Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT-เทศบาลนครเชียงราย จับมือแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบิน ผลักดันเที่ยวบินยูนนาน

AOT จับมือเทศบาลนครเชียงราย แก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าดึงเที่ยวบินยูนนาน–ไทย ยกระดับเมืองสู่ประตูเศรษฐกิจใหม่

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ขยับยุทธศาสตร์สำคัญในภาคเหนือ เมื่อคณะผู้บริหารเดินทางเข้าพบนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณโดยรอบท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ควบคู่กับการวางมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การหารือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่กำลังจะมีการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA อย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับบทบาทของเชียงรายในฐานะสนามบินสำคัญของภูมิภาค และประตูสู่การท่องเที่ยวและโลจิสติกส์สายเหนือ–จีนตอนใต้ในอนาคต

ระดับพื้นที่ ร่วมวางรากฐานใหม่ เริ่มจากแก้น้ำท่วมและขยายเขตเมืองรอบสนามบิน

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เทศบาลนครเชียงรายนำโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยนายภาธร์ รังษีกุลพิพัฒน์ รองนายกเทศมนตรี และนายวินัย โซนี่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาเมือง ให้การต้อนรับนางสาวสิริกัญ วนัสบดีกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และรองผู้อำนวยการฝ่ายท่าอากาศยาน พร้อมคณะ

การพบปะครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

  1. ประชาสัมพันธ์โครงการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  2. หารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณโดยรอบสนามบิน ควบคู่กับการวางมาตรการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบินถูกมองว่าเป็น “ข้อจำกัดเชิงกายภาพและความปลอดภัย” ที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะเกี่ยวข้องกับทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบระบายน้ำ ความเชื่อมั่นของสายการบิน และความปลอดภัยของผู้โดยสาร หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ไม่เพียงกระทบภาพลักษณ์สนามบิน แต่ยังอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่อง “การขยายเขตพื้นที่ให้ครอบคลุมบริเวณสนามบิน” เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และการบริการนักท่องเที่ยวเดินไปในทิศทางเดียวกัน การวางเขตเมืองที่ชัดเจนจะช่วยให้การจัดการถนน ระบบขนส่งสาธารณะ ป้ายสัญลักษณ์ รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินมีเอกภาพ และสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแท้จริง

เชียงรายในสายตา AOT จากสนามบินภูมิภาค สู่ฟันเฟืองเชื่อมยูนนาน–ไทย

อีกประเด็นสำคัญในการหารือครั้งนี้ คือ แผนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างยูนนาน–ไทย เพื่อผลักดันการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินตรงสู่จังหวัดเชียงรายโดยตรง แนวทางดังกล่าวถูกมองว่าเป็น “กุญแจเศรษฐกิจ” สำคัญของเชียงราย เพราะจังหวัดมีจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ ทั้งการเป็นประตูการค้าชายแดน การเชื่อมโยงจีนตอนใต้ เมียนมา และลาว และมีบทบาทในด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม

หากเที่ยวบินตรงระหว่างยูนนาน–เชียงรายเกิดขึ้นจริง จะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง เพิ่มความสะดวกให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ และเปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการในเมืองและรอบจังหวัดได้ขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดจีนตอนใต้โดยตรง

ความร่วมมือนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มตัวเลขผู้โดยสารสนามบิน แต่ยังหมายถึงการเชื่อมเศรษฐกิจชายแดน การค้า การลงทุน และการสร้างเครือข่ายเมืองท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงบนฐานการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ

มองจากระดับประเทศ AOT โตต่อเนื่อง รายได้และผู้โดยสารขยับขึ้นพร้อมกัน

เพื่อรองรับทิศทางการพัฒนาของสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงราย จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยัง “ศักยภาพขององค์กร” ที่ดูแลสนามบินหลักของประเทศอย่าง AOT ด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทในปีงบประมาณ 2568 (ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) ว่า AOT มีรายได้จากกิจการการบินรวม 33,047.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,046.83 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6

เมื่อรวมทุกประเภทรายได้ AOT มีรายได้รวมทั้งสิ้น 68,586.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.12 และมีกำไรสุทธิรวม 18,125.20 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน แต่อุตสาหกรรมการบินไทยภายใต้การบริหารจัดการของ AOT กำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ

ด้านปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในสังกัด AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีเที่ยวบินรวม 788,095 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.56 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 444,944 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 343,151 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารใช้บริการรวมทั้งสิ้น 125,989,505 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.61 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 76,636,387 คน และผู้โดยสารภายในประเทศ 49,353,118 คน ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า การเดินทางทางอากาศกลับมาเป็นหัวใจสำคัญของการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง และเป็นฐานสำคัญในการต่อยอดสนามบินภูมิภาคให้ก้าวไปสู่บทบาทใหม่

สุวรรณภูมิในฐานะ Hub ระดับโลก ตัวอย่างมาตรฐานที่เชียงรายต้องเทียบเคียง

ในบรรดาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ยังเป็นตัวหลักที่แบกรับจำนวนผู้โดยสารกว่า 62 ล้านคนต่อปี และถือเป็น “หน้าตา” ของระบบการบินไทยในระดับสากล

ทสภ.ได้รับการจัดอันดับสำคัญจากหลายสถาบัน อาทิ

  • อันดับที่ 7 สนามบินที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทางอากาศ
  • อันดับที่ 9 สนามบินที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศสูงสุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง จาก ACI APAC&MID
  • อันดับที่ 12 ของโลก ในกลุ่ม Global Airport Megahubs 2025 จาก OAG
  • ติดอันดับท็อป 10 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกจาก Condé Nast Traveler
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ 4 ดาว จาก Skytrax

การได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติเหล่านี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการยกระดับบริการภายในสนามบินอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มจุดลงทะเบียนใบหน้าผ่านระบบ Biometric สำหรับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เพื่อลดขั้นตอนการแสดงเอกสาร และการขยายจุดติดตั้ง Auto Channel บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมืองทั้งขาเข้าและขาออก เพื่อให้การตรวจคนเข้าเมืองราบรื่น รวดเร็ว และปลอดภัย

มาตรฐานที่ทสภ.วางไว้ จึงกลายเป็น “แรงขับเคลื่อนเชิงคุณภาพ” ที่ส่งผลไปถึงสนามบินอื่นในสังกัด AOT รวมถึงแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงยกระดับขีดความสามารถเช่นกัน

จากมาตรฐานระดับโลก สู่สนามบินภูมิภาค หมุดหมายใหม่ของแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

แม้การเติบโตของผู้โดยสารท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปัจจุบันจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรวมของทั้ง 6 ท่าอากาศยาน แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ สนามบินแห่งนี้กลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นประตูสู่ภาคเหนือและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

การที่ AOT และเทศบาลนครเชียงรายจับมือกันแก้ปัญหาน้ำท่วมและวางแผนขยายเขตพื้นที่เมืองให้ครอบคลุมสนามบิน ถือเป็นการ “ปรับฐานโครงสร้าง” ให้พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต เมื่อผนวกกับแผนดึงเที่ยวบินยูนนาน–ไทย เข้าสู่เชียงรายโดยตรง สนามบินแม่ฟ้าหลวงจึงมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็น “จุดเชื่อมต่อการเดินทางและโลจิสติกส์” ที่สำคัญของภูมิภาค

ด้าน AOT เองยืนยันว่า จะเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานในความรับผิดชอบทุกมิติ ทั้งบริการ เทคโนโลยี ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ‘World Class Hospitality’ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสาร แนวคิดนี้หากถูกนำมาปรับใช้กับแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อย่างจริงจัง จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์สนามบินให้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงสนามบินภูมิภาค ไปสู่สนามบินที่นักเดินทางจดจำในเชิง “ประสบการณ์และความประทับใจ”

ผลกระทบเชิงลึกต่อชุมชน เมื่อการแก้น้ำท่วมเชื่อมโยงกับปากท้องและโอกาสทางเศรษฐกิจ

แม้หัวข้อหลักของการหารือจะเน้นเรื่องน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในเชิงลึก ผลลัพธ์ของการพัฒนาครั้งนี้จะเชื่อมโยงถึงชีวิตประจำวันของคนเชียงรายโดยตรง

หากระบบระบายน้ำรอบสนามบินมีประสิทธิภาพมากขึ้น พื้นที่ชุมชนรอบข้างจะลดความเสี่ยงต่อความเสียหายทั้งทรัพย์สินและการประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการใกล้สนามบินจะมั่นใจมากขึ้นในการลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน การวางระบบคมนาคมเชื่อมจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างมีแบบแผน จะทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

ดังนั้น การแก้ปัญหาน้ำท่วมจึงไม่ใช่เพียงประเด็นวิศวกรรม แต่เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ไปพร้อมกัน

เมื่อ “น้ำท่วม–พื้นที่–เที่ยวบิน” กลายเป็นสมการอนาคตของเชียงราย

จากการขยับตัวของ AOT และเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ประเด็นน้ำท่วมรอบสนามบิน การจัดทำ EIA การขยายเขตพื้นที่เมือง การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างยูนนาน–ไทย และการยกระดับมาตรฐานบริการสนามบิน ล้วนเชื่อมโยงกันเป็น “สมการอนาคต” ของเชียงราย

หากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเดินหน้าอย่างเป็นระบบ เขตพื้นที่รอบสนามบินถูกจัดวางใหม่ให้รองรับการเติบโต โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมได้รับการพัฒนา และเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกผลักดันจนสำเร็จ เชียงรายจะไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่จะก้าวขึ้นมาเป็น “โหนดการเดินทางและเศรษฐกิจ” ที่เชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จระดับตัวเลขของ AOT ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ เที่ยวบิน และผู้โดยสาร รวมถึงการยอมรับในระดับโลกของสุวรรณภูมิ สะท้อนว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการบินและการบริหารสนามบินที่มาตรฐานสูงอยู่แล้ว คำถามคือ เราจะใช้ศักยภาพนั้น “ส่งต่อ” ไปสู่สนามบินภูมิภาคอย่างแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้เร็วและลึกแค่ไหน

คำตอบของคำถามนี้ อาจไม่ได้อยู่เพียงบนกระดาษ EIA หรือแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังอยู่ในความร่วมมือระยะยาวของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน ที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนให้ “สนามบิน–เมือง–ชุมชน” เติบโตไปด้วยกันอย่างสมดุลและยั่งยืน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ข้อมูลท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ 3 บทบาทชัดเจน หนุนเชียงรายสู่ประตูการค้าชายแดน

เชียงรายเร่งเครื่อง NEC–SEZ ปักหมุด “ประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บรรยากาศการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone – SEZ) เต็มไปด้วยความคาดหวัง

ภายใต้การเป็นประธานของนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจงานเชิงเอกสาร หากแต่เป็นการ “จัดวางหมาก” เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อผลักดันเชียงรายจากจังหวัดชายแดน ให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดนที่เชื่อมไทยกับจีน สปป.ลาว และเมียนมา ในระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) อย่างแท้จริง

จากมติระดับชาติ สู่การลงมือจริงในพื้นที่ชายแดน

เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย (SEZ) ถือกำเนิดจากมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตั้งแต่ปี 2558 โดยกำหนดพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอชายแดน คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ รวมพื้นที่กว่า 916 ตารางกิโลเมตร

หลังจากผ่านเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ การประชุมครั้งนี้จึงเป็นเหมือน “จุดทบทวนและเร่งเครื่อง” เพื่อประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และจัดวางทิศทางใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจภูมิภาคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน NEC และ SEZ จังหวัดเชียงรายอย่างเป็นทางการ รวมทั้งสรุปผลการดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งในมิติพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการเตรียมความพร้อมรองรับการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

3 อำเภอ 3 บทบาท: แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ ในยุทธศาสตร์ SEZ เชียงราย

จุดเด่นของการออกแบบ SEZ เชียงราย คือ “บทบาทเชิงยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจนของแต่ละอำเภอ ซึ่งไม่ได้เน้นการแข่งขันกันเอง แต่เน้นเสริมกันเป็น “คลัสเตอร์ชายแดน” ที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ

อำเภอแม่สาย – Trading City
แม่สายถูกวางให้เป็น “เมืองการค้า” หรือ Trading City เต็มรูปแบบ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการครบวงจร รองรับทั้งร้านค้าปลอดภาษี ศูนย์แสดงสินค้า และศูนย์ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ จุดแข็งสำคัญคือการเป็นด่านชายแดนสำคัญที่เชื่อมโยงการค้าระหว่างไทย–เมียนมา และต่อเนื่องไปสู่จีนตอนใต้

การเสริมบทบาทแม่สายจึงไม่ได้หมายถึงการเพิ่มร้านค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการยกระดับมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานการค้าชายแดน การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร และการพัฒนาบริการทางการเงินและโลจิสติกส์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

อำเภอเชียงแสน – Port City ริมโขง
เชียงแสนถูกกำหนดบทบาทเป็น “เมืองท่า” หรือ Port City โดยใช้ศักยภาพท่าเรือแม่น้ำโขงเป็นหัวใจหลัก ทั้งเพื่อการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวทางน้ำ ควบคู่กับการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ ศูนย์วัฒนธรรม และแหล่งหัตถกรรมของเชียงราย

บทบาทนี้ทำให้เชียงแสนไม่ได้เป็นเพียงเมืองโบราณหรือพื้นที่ประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ประตูน้ำ” ริมโขง ที่เชื่อมเส้นทางการค้าสินค้าจากจีนตอนใต้ผ่านแม่น้ำโขงลงมาสู่ไทย และเชื่อมต่อไปยังตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค

อำเภอเชียงของ – Logistic City และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
เชียงของได้รับการออกแบบให้เป็น “Logistic City” ศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวมถึงการแปรรูปสินค้าเกษตร โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่มีสะพานมิตรภาพไทย–ลาว เชื่อมสู่ สปป.ลาว และจีนตอนใต้ และเป็นปลายทางสำคัญของโครงข่ายคมนาคมใหม่ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ

เป้าหมายคือการทำให้เชียงของกลายเป็น “จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าและศูนย์ขนส่งมวลชนในอนาคต” ที่เชื่อมโยงระบบขนส่ง บก–น้ำ–ราง ไว้ด้วยกันในจุดเดียว ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

NEC – ระเบียงเศรษฐกิจเหนือเชื่อม GMS มากกว่าชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค

นอกจาก SEZ แล้ว การประชุมยังให้ความสำคัญกับ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC)” ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาที่มองเชียงรายไม่ใช่เพียงจังหวัดชายแดน แต่เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงโครงข่ายเมือง เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับความร่วมมือในการขับเคลื่อน NEC รวมทั้งรายงานการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างประเทศของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติ เข้ากับข้อเท็จจริงในพื้นที่และความต้องการของภาคเอกชน

NEC จึงทำหน้าที่เหมือน “โครงร่างใหญ่” ที่กำหนดทิศทางการพัฒนา ขณะที่ SEZ เป็น “พื้นที่นำร่อง” ที่ลงมือทำจริงในระดับพื้นที่ หากทั้งสองกลไกทำงานสอดประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้เชียงรายเดินหน้าไปในทิศทางที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น

เชื่อมเมือง เชื่อมคน เชื่อมทุน Sister City – ประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย – GMS

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ที่ประชุมได้รับทราบ คือ รายงานการระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนความร่วมมือเมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับเมืองสำคัญในจีน สปป.ลาว และเมียนมา

Sister City ไม่ใช่เพียงพิธีลงนาม หากแต่เป็นกรอบความร่วมมือที่เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งด้านการค้า การลงทุน การศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว หากเชียงรายสามารถออกแบบความร่วมมือในเชิง “เมืองคู่ขนาน” ที่มีบทบาทเกื้อหนุนกัน เช่น เมืองโลจิสติกส์–เมืองอุตสาหกรรม–เมืองท่องเที่ยว ก็จะช่วยให้การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน จังหวัดยังเตรียมแผนจัดการประชุมสัมมนาความร่วมมือ 4 ประเทศ 10 ฝ่าย เขตชายแดน ครั้งที่ 11 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของความร่วมมือด้านเศรษฐกิจชายแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การมีเวทีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ภาครัฐและเอกชนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ปัญหา และโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างใกล้ชิด

การลงทุนเชิงโครงสร้าง รถไฟทางคู่ – สนามบิน – การค้าชายแดน

การขับเคลื่อน NEC และ SEZ จะไม่สมบูรณ์ หากปราศจากโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเติบโตในระยะยาว ที่ประชุมจึงเน้นย้ำความเชื่อมโยงกับโครงการลงทุนสำคัญ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

รถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ที่มีรายงานความคืบหน้าเร็วกว่าแผน และมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2571 ถูกมองว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่สายใหม่” ที่จะเชื่อมระบบขนส่งทางรางเข้ากับศูนย์โลจิสติกส์เมืองเชียงของโดยตรง ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการชายแดน และเชื่อมโยงการค้าไทยกับตลาดจีนตอนใต้และลุ่มน้ำโขงได้สะดวกยิ่งขึ้น

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
แผนพัฒนา SEZ ยังสอดคล้องกับแนวทางขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารสู่ระดับ 6–8 ล้านคนต่อปี พร้อมการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน การยกระดับสนามบินให้เป็น “ฮับการเดินทางและโลจิสติกส์ทางอากาศ” จะช่วยดึงดูดทั้งสายการบิน นักท่องเที่ยว และนักลงทุนให้เลือกเชียงรายเป็นประตูเข้าสู่ภาคเหนือและ GMS มากขึ้น

การค้าชายแดนแม่สาย–เชียงของ
ด้านการค้าชายแดน แม่สายในฐานะ Trading City ยังคงเป็นด่านการค้าที่มีมูลค่าสูง แม้จะเผชิญความผันผวนจากสถานการณ์ในเมียนมา ขณะที่เชียงของยังคงทำหน้าที่เป็นเส้นทางการค้าผ่านแดนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของจังหวัด การกำหนดบทบาทเมืองให้ชัดเจน และเชื่อมโยงกับระบบโลจิสติกส์ใหม่ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ “ห่วงโซ่มูลค่า” ตลอดแนวชายแดน

ดึงดูดนักลงทุนจีน จากเวทีประชุม สู่ Business Matching หน้างานจริง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นในที่ประชุม คือ แผนการจัดกิจกรรมต้อนรับคณะผู้แทนนักลงทุนจากประเทศจีน ที่จะเดินทางมาเยี่ยมชมพื้นที่ จัดประชุม และจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ในจังหวัดเชียงรายโดยตรง

กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นมากกว่าการนำเสนอข้อมูลเชิงเอกสาร เพราะเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เห็น “พื้นที่จริง ศักยภาพจริง และเครือข่ายจริง” ของเชียงราย ทั้งในเขต SEZ และพื้นที่โดยรอบ หัวใจสำคัญอยู่ที่การเตรียม “ข้อมูลพื้นที่และโครงการลงทุน” ให้ชัดเจน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนในปัจจุบันที่มองหาโลเคชันเชื่อมโยงจีน–ลาว–เมียนมา–ไทยในจุดเดียว

การมี Business Matching ยังช่วยให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้พบกับคู่ค้าและพันธมิตรใหม่ ๆ เปิดช่องให้เกิดการร่วมทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการต่อยอดสินค้า–บริการที่มีรากฐานในเชียงราย แต่มีโอกาสเติบโตในตลาดกว้างระดับอนุภูมิภาค

โอกาสและความท้าทาย เมื่อศูนย์กลางโลจิสติกส์หมายถึงคน–ชุมชน–สิ่งแวดล้อม

แม้ยุทธศาสตร์การพัฒนา NEC และ SEZ จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ต้องยอมรับว่ามี “โจทย์ท้าทาย” ตามมาด้วย ทั้งในมิติชุมชน สิ่งแวดล้อม และความเหลื่อมล้ำ

การผลักดันเชียงของให้เป็น Logistic City หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำเป็นต้องออกแบบอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้การขยายตัวของระบบโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม กลายเป็นภาระต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของชุมชนชายแดน การกำหนดมาตรการคุมเข้มมลพิษ มาตรฐานโรงงาน และระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การเติบโตของเมืองการค้าและเมืองท่า อาจทำให้ราคาที่ดินและค่าครองชีพในบางพื้นที่สูงขึ้น หากไม่มีการวางแผนด้านผังเมือง และการกระจายประโยชน์อย่างเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนกับชุมชนพื้นถิ่นอาจขยายกว้าง ดังนั้น การออกแบบนโยบายจำเป็นต้องคำนึงถึง “คนตัวเล็ก” และเศรษฐกิจฐานรากควบคู่ไปกับเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่

จากห้องประชุมสู่อนาคตเชียงราย การตัดสินใจวันนี้ กำหนดทิศทางหลายทศวรรษข้างหน้า

การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน NEC–SEZ ในวันนี้ อาจมองภายนอกเป็นเพียงการประชุมหนึ่งในหลายวาระของจังหวัด แต่แท้จริงแล้ว การกำหนดวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “ประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” คือการตัดสินใจที่มีผลยาวไกลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

หากกลไก NEC, SEZ, Sister City, การประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สามารถเดินไปในทิศทางเดียวกัน เชียงรายจะไม่ใช่เพียงจังหวัดชายแดนปลายทาง แต่จะกลายเป็น “จุดเชื่อม” ที่ผู้คน สินค้า ทุน และความร่วมมือจากหลายประเทศต้องผ่าน

ในทางกลับกัน หากขาดการบูรณาการ ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน และขาดการบริหารจัดการที่โปร่งใส ยุทธศาสตร์เหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงแผนงานบนกระดาษ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตประชาชนได้จริง

เชียงรายบนเส้นทางสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ GMS – โอกาสที่ต้องบริหารอย่างรอบด้าน

การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ในจังหวัดเชียงราย กำลังยกระดับบทบาทของจังหวัดจาก “ชายแดนตอนบนของไทย” สู่ “ศูนย์กลางโลจิสติกส์และประตูการค้าของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”

ด้วยการกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางราง ทางอากาศ และทางน้ำ ตลอดจนกลไกความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคอย่าง Sister City และการประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย เชียงรายกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “เชียงรายจะเป็นฮับได้หรือไม่” แต่คือ “เชียงรายจะเป็นฮับแบบไหน และใครจะได้ประโยชน์จากการเป็นฮับนั้นบ้าง” หากการพัฒนาสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนชายแดนได้พร้อมกัน NEC และ SEZ เชียงรายอาจกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาชายแดนไทยในยุคใหม่ ที่ไม่ได้มองชายแดนเป็นเพียงเส้นแบ่ง แต่เป็น “สะพาน” ที่เชื่อมโอกาสของทั้งภูมิภาคเข้ามาสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT เปิดแผนพัฒนาพื้นที่ 91 ไร่รอบสนามบินเชียงราย ดึงเอกชนร่วมลงทุน 30 ปี

เชียงราย–วาระแห่งสนามบิน “AOT เปิดพื้นที่รอบสนามบิน” จุดชนวนศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่—โอกาส การบ้าน และสมดุลที่ต้องทันเวลา

เชียงราย,11 พฤศจิกายน 2568 – AOT เปิดแผนปลดล็อกศักยภาพที่ดินรอบสนามบินทั้ง 6 แห่ง ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาวสูงสุด 30 ปี ดึงเอกชนร่วมลงทุน 16 โครงการ ครอบคลุมธุรกิจตั้งแต่ MRO-โลจิสติกส์-โรงแรม-Mixed-use ถึง EV Hub โดยมี “เชียงราย” เป็นหนึ่งในทำเลเป้าหมายสำคัญ พร้อมพัฒนาแปลงหน้าสนามบินแม่ฟ้าหลวงกว่า 91 ไร่ เพื่อต่อยอดแผนเพิ่มขีดความสามารถผู้โดยสารจาก 3 เป็น 6 ล้านคน/ปี ในทศวรรษหน้า คำถามคือ—เชียงรายพร้อมแค่ไหน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เมือง และ “คน” ที่จะก้าวสู่ Aviation & Tourism Hub แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)

สนามบิน = หัวจักรเศรษฐกิจเมืองเหนือ

เช้าวันที่เชียงรายลมหนาวแตะ 20 องศา เงาของปีกเครื่องบินแต้มท้องฟ้าเหนือรันเวย์…ภาพคุ้นตาที่บอกเราว่า “สนามบิน” ไม่ใช่เพียงจุดขึ้น-ลง แต่คือ “หัวจักรเศรษฐกิจ” ที่ดึงนักท่องเที่ยว ทุน และโอกาสใหม่ๆ เข้าสู่เมือง ภายใต้บริบทเช่นนี้ การที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) เปิดแผนให้เอกชนเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ระยะยาวสูงสุด 30 ปี รอบสนามบินทั้ง 6 แห่ง พร้อมรายงานว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอต่อเนื่อง และอยู่ในกระบวนการให้สิทธิประกอบกิจการ 16 โครงการ จึงเป็น “สัญญาณ” ของคลื่นลงทุนลูกใหญ่ที่กำลังวิ่งเข้าหาเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม

สิ่งที่จับต้องได้ยิ่งกว่านั้นคือ รายละเอียด “พอร์ตที่ดิน” แปลงนำร่องของ AOT อาทิ สุวรรณภูมิ แปลง B 275 ไร่ (Airport Business) และ แปลง E 105 ไร่ (ศูนย์บริการและสนับสนุนกิจการท่าอากาศยาน) ซึ่งถูกโปรโมตในฐานะทำเลพรีเมียม ขยายภาพความเป็นไปได้ของโมเดล Airport City/ Aerotropolis สำหรับเมืองใหญ่ และเป็น “ต้นแบบ” ให้สนามบินเมืองรองอย่างเชียงรายชี้ทิศทางตามมาในสเกลที่เหมาะสม

ขณะเดียวกัน สื่อธุรกิจรายงานตรงกันว่า เชียงราย เองก็ถูกระบุเป็นหนึ่งในทำเลเป้าหมาย โดยมี แปลงหน้าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ขนาดราว 91 ไร่ สำหรับพัฒนาเชิงพาณิชย์ นี่คือหมุดหมายที่จะต่อจิ๊กซอว์ “เมืองสนามบิน” ให้ครบวงจร ทั้งที่พัก-บริการ-ธุรกิจรองรับโลจิสติกส์-ท่องเที่ยว ฯลฯ

และเพื่อรองรับ demand ในอนาคต แผนเพิ่มขีดความสามารถสนามบินแม่ฟ้าหลวง อยู่ระหว่างการพัฒนา ตั้งเป้าขยายความสามารถรองรับจาก 3 เป็น 6 ล้านคน/ปี ภายในปี 2576 (2033) ตามกรอบที่ ACI Asia-Pacific เผยแพร่—ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า หาก “พื้นที่รอบสนามบิน” เดินหน้าไปพร้อม “ขีดความสามารถตัวสนามบิน” เชียงรายจะยกระดับบทบาทจาก “จุดหมาย” สู่ “ศูนย์กลาง” เชื่อมไทย-ลาว-เมียนมา และจีนตอนใต้ได้จริง

ภาพใหญ่ AOT Property จากสุวรรณภูมิถึงเชียงราย

AOT Property Showcase/Property Tour เปิดหน้าต่างทรัพยากรที่ดินของ AOT ให้เอกชนร่วมพัฒนาในรูปแบบสัญญาเช่าระยะยาวทั่วประเทศ โดยสรุปรวมสาระสำคัญที่สะท้อนแนวโน้มได้ 3 ประการ

  1. พอร์ตที่ดินเรือธง – สุวรรณภูมิ แปลง B (275 ไร่) และ E (105 ไร่) ถูกวางบทบาทเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ของระบบ Airport Business/Support ซึ่งโมเดล รายได้-คน-เทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นจะ “spillover” ไปสนามบินเมืองรองในเชิงองค์ความรู้ มาตรฐาน และพันธมิตรธุรกิจ (เช่น ผู้ให้บริการภาคพื้น, โลจิสติกส์, ดิจิทัล)
  2. ความหลากหลายของกิจการ – AOT เปิดทางสำหรับธุรกิจตั้งแต่ MRO (ศูนย์ซ่อมอากาศยาน), Logistics Hub, Private Jet Terminal, Training Center, Mixed-use/โรงแรม, EV service & charging, ไปจนถึง Attraction in Terminal โดยยืนยันว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเช่าพื้นที่ทั้งนอก/ในอาคารผู้โดยสารแล้ว และกำลังดำเนินการให้สิทธิรวม 16 โครงการ
  3. จังหวัดเป้าหมายถัดไป – ข่าวเศรษฐกิจชี้ชัดว่า “เชียงราย” มี แปลงหน้า CEI 91 ไร่ อยู่ในรายการศักยภาพพัฒนาเชิงพาณิชย์เคียงข้างสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-เชียงใหม่-ภูเก็ต-หาดใหญ่ โดยบางสำนักพิมพ์ระบุรายละเอียด “ที่ดินเด่น” ของแต่ละสนามบินไว้ชัดเจน (เช่น ทางหลวงเชื่อม, ระยะเวลาเข้าถึงเทอร์มินัล) ซึ่งในทางปฏิบัติคือ “จุดขาย” ที่สำคัญสำหรับนักลงทุน

เชียงรายในสมการ AOT โอกาส 4 ชั้น

(1) Aviation & Tourism Hub – เมื่อสนามบินตั้งเป้าขยายจาก 3 → 6 ล้านคน/ปี ภายในปี 2576 เมืองต้องพร้อมรองรับ ดีมานด์นักเดินทาง ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ทั้ง “พัก-กิน-เที่ยว-ขนส่ง” หาก “แปลงหน้า CEI 91 ไร่” ถูกพัฒนาเป็น ศูนย์บริการผู้โดยสารและนักลงทุน (โรงแรมระดับกลาง-บน, Co-working/Trade Center, Retail, Food Destination) จะทำให้การใช้จ่ายต่อทริปยาวนานและลึกในท้องถิ่นมากขึ้น—เงินหมุนในเมืองไม่ “หลุด” ออกไปสนามบินใหญ่ใกล้เคียง

(2) Logistics & Cross-Border Trade – เชียงรายคือ “ประตู GMS” เชื่อม 3 ด่านสำคัญ (แม่สาย-เชียงของ-เชียงแสน) และโครงข่ายลุ่มน้ำโขง แนวคิด Airport + Dry Port ขนาดย่อม (เชื่อมคลังสินค้า/คีออสศุลกากร/Cold Chain สำหรับสินค้าเกษตร-อาหารปลอดภัย) จะเสริมความเร็วและความน่าเชื่อถือให้ซัพพลายเชน “เหนือสุดสยาม” ขยายตลาดผลผลิตและสินค้าแปรรูปไปนักท่องเที่ยว-ผู้โดยสาร และต่อเชื่อมสู่ภูมิภาคได้จริง

(3) MRO & Skilled Jobs – แม้เชียงรายยังไม่ใช่ฐาน MRO ใหญ่เช่นอู่ตะเภา แต่การมี ศูนย์ซ่อมเฉพาะทาง/ศูนย์ฝึกอบรม ที่ระดับ “Regional” จะจ้างงานทักษะสูง (ช่างอากาศยาน-อิเล็กทรอนิกส์-ความปลอดภัย) พร้อมสร้าง Talent Pipeline กับมหาวิทยาลัย/อาชีวศึกษาในพื้นที่—งานที่รายได้ดีและ “ผูก” คนเก่งไว้กับเมือง

(4) EV & Sustainable Mobility – โครงสร้างพื้นฐาน EV Service/Charging บนพื้นที่ AOT สามารถเป็น “โครงข่ายหลัก” เชื่อมสนามบิน-ตัวเมือง-แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ (ดอยแม่สลอง-แม่สาย-เชียงแสน) รองรับนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ Low-carbon travel และยกระดับภาพลักษณ์เมืองสีเขียว

การบ้าน 5 ข้อของเชียงราย ทำอย่างไรให้ “โอกาส” ไม่กลายเป็น “ช่องโหว่”

ข้อ 1 – ถนน-ระบบรองรับต้องวิ่ง “ทันสนามบิน”
โครงการก่อสร้าง ทางลอดแยกศูนย์ราชการ (ชร.1023) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการด้วยงบประมาณราว 850 ล้านบาท ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ คอขวดหน้าสนามบิน—นี่คือ “งานคู่ขนาน” กับการพัฒนาแปลงหน้า CEI ต้องกำกับมาตรฐาน ความปลอดภัย-ฝุ่น-การจราจร ให้เข้มข้น ไม่เช่นนั้น ภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวคุณภาพอาจถูกบั่นทอนด้วยประสบการณ์เดินทาง “ไม่ราบรื่น” ของผู้โดยสารและคนเมือง (หน่วยงานเจ้าของโครงการคือ กรมทางหลวงชนบท) ซึ่งย้ำในเชิงนโยบายเรื่องความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องเร่งรัดและปฏิบัติจริงจังในพื้นที่

ข้อ 2 – ผังเมืองและน้ำท่วม “โตเร็วแต่ไม่ท่วมเร็ว”
เชียงรายมีพื้นที่ลุ่มริมน้ำกกและจุดเปราะบางด้านอุทกภัย การพัฒนาเชิงพาณิชย์ 91 ไร่ และบูมก่อสร้างโดยรอบ ต้องถูก “ล็อกระเบียบ” ด้วยมาตรการ ผังเมือง-ระบายน้ำ-พื้นที่รับน้ำ/แก้มลิง-Flood Mark ให้สอดคล้องแผนบริหารจัดการน้ำระดับจังหวัด มิฉะนั้น “ความเจริญ” อาจกลายเป็น “ตัวเร่งปัญหาน้ำหลาก” ในฤดูกาลวิกฤต

ข้อ 3 – สิ่งแวดล้อม-สาธารณสุข Airport City ต้อง Low-Emission
มาตรฐาน อาคารเขียว/พลังงาน-น้ำ-ขยะ ควรถูกกำหนดเป็น เงื่อนไขข้อเสนอเช่า พื้นที่ AOT (เช่น มีระบบบำบัดน้ำเสีย, Solar Roof, จัดการขยะอาหาร, จุดชาร์จ EV) เพื่อให้โมเดลเศรษฐกิจเมืองสนามบินไม่เพิ่ม “รอยเท้าคาร์บอน” และต้นทุนสุขภาพต่อชุมชน

ข้อ 4 – Skill-Up คนเชียงราย งานรายได้ดีต้องเป็นของคนท้องถิ่นก่อน
แผน Reskill/Upskill ด้านภาษา (อังกฤษ-จีน/พม่า), การบริการ, ดิจิทัลโลจิสติกส์, ความปลอดภัยสนามบิน, และช่างเทคนิคอากาศยาน ควรถูกตั้งเป็น พันธกิจร่วม ระหว่าง AOT-เอกชนผู้เช่า-สถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อให้ประโยชน์รอบสนามบิน “ตกในเมือง” มากที่สุด

ข้อ 5 – กลไกมีส่วนร่วม สัญญา 30 ปีต้องมี “เสียงพลเมือง”
การปล่อยเช่าระยะยาวควรมี คณะทำงานร่วม ระหว่างรัฐ-เอกชน-ท้องถิ่น-ภาคประชาชน กำกับ ผลกระทบ-การจ้างงาน-การใช้พื้นที่สาธารณะ-สิทธิชุมชน ด้วย KPI ที่วัดได้ (เช่น สัดส่วนการจ้างคนท้องถิ่น, สัดส่วนพื้นที่สาธารณะ, เกณฑ์ฝุ่น-เสียง) เพื่อให้ สัญญา 30 ปี เป็น “สัญญาความเชื่อมั่น” ร่วมกัน ไม่ใช่แค่สัญญาทางพาณิชย์

ตัวเลขที่ควรรู้ (Key Stats)

  • 91 ไร่: ขนาด แปลงหน้าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่ AOT โปรโมตว่าพร้อมพัฒนาเชิงพาณิชย์ (ตามรายงานสื่อเศรษฐกิจ)
  • 275/105 ไร่: ขนาดแปลง B/E สุวรรณภูมิ ที่ทำหน้าที่ “โชว์เคส” โมเดล Airport Business/Support ของ AOT
  • 16 โครงการ: จำนวนโครงการที่อยู่ในกระบวนการให้สิทธิประกอบกิจการของ AOT ทั่วเครือข่ายสนามบิน ณ ปี 2568 (ตามข่าวทางการ/สื่อหลัก)
  • 3 → 6 ล้านคน/ปี ภายในปี 2576: เป้าหมายขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารของ สนามบินแม่ฟ้าหลวง (CEI) ตามข้อมูล ACI Asia-Pacific

เสียงจากเอกชน & นักวิเคราะห์ (ภาพรวมจากแผน AOT)

แม้แต่ละโครงการยังอยู่ในช่วงกระบวนการให้สิทธิ แต่ “ทิศทาง” ที่ AOT สื่อสารต่อสาธารณะทำให้ตลาดมองเห็น 3 โอกาสหลัก

  1. Hotel-Mixed Use – Demand นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ “ก่อน-หลังบิน” จะหนุนให้โรงแรมระดับกลาง-บน, Co-working, และ Retail ไลฟ์สไตล์ “ติดรันเวย์” เติบโตเร็ว
  2. Logistics-MRO-Training – โครงข่ายการค้า GMS + การท่องเที่ยวคุณภาพ ทำให้คลังสินค้า/Cold Chain/Training Center เกิด Ecosystem ใหม่ในเมือง
  3. EV & Green Services – การพัฒนา “เมืองสนามบินสีเขียว” คือจุดขายยุค Net-Zero ที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ

(สาระดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบพอร์ตโฟลิโอที่ AOT ประกาศโปรโมตในงาน Showcase/Property Tour และข่าวสื่อเศรษฐกิจหลายฉบับ)

จาก “สนามบินเมืองรอง” สู่ “ศูนย์กลางใหม่”

ลองจินตนาการปลายปี 2576 เมื่ออาคารผู้โดยสารเชียงรายรองรับ 6 ล้านคน/ปี ผู้โดยสารลงเครื่อง—เดินไม่ถึง 10 นาทีถึง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว-โรงแรม-ศูนย์อาหารท้องถิ่นคุณภาพ ที่คัดสรรจากผู้ประกอบการ SME เชียงราย, Shuttle EV เชื่อมสนามบิน-ริมน้ำกก-ดอยแม่สลอง, สินค้าเกษตรปลอดภัยแพ็กส่งด่วนจาก Cold Chain Hub ข้างสนามบินสู่กรุงเทพฯ-สิงคโปร์—มูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตลอดสายโซ่อุปทาน เม็ดเงิน “ค้างเมือง” มากขึ้น และที่สำคัญ “งานรายได้ดี” ของคนเชียงรายไม่ได้อยู่แค่ในเทศกาล แต่เกิดทุกวัน

สตอรี่ไลน์นี้ไม่ใช่ความฝันเกินจริง หาก 3 ราง เดินคู่กัน
(1) รางนโยบาย – AOT/AOT-Property เดินเร่งกลไกให้สิทธิอย่างโปร่งใส-แข่งขัน-มี KPI สังคม
(2) รางโครงสร้างพื้นฐาน – ถนน-ระบบน้ำ-ผังเมือง-น้ำท่วม-สิ่งแวดล้อม ต้อง “ทันเวลา”
(3) รางคน – Reskill/Upskill ให้ “คนเชียงราย” เป็นเจ้าบ้านของ Hub ใหม่อย่างแท้จริง

 “เชียงรายพร้อมหรือยัง?”

การเปิดพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินของ AOT คือ “โอกาสศตวรรษ” ที่ไม่ได้ผ่านมาเสมอ การมี แปลง 91 ไร่หน้า CEI + แผนขยายสนามบิน 6 ล้านคน/ปี คือคู่หูทรงพลังที่จะลากเศรษฐกิจเชียงรายให้วิ่งเร็ว—แต่ “ยิ่งเร็ว” ยิ่งต้อง ปลอดภัย เป็นธรรม และยั่งยืน

สิ่งที่ควรทำทันที

  • ตั้ง คณะทำงานร่วม (AOT-จังหวัด-อบจ./เทศบาล-ภาคเอกชน-ภาคประชาชน) วาง Roadmap 3-5 ปี ของพื้นที่รอบสนามบิน กำหนด KPI ด้านสังคม-สิ่งแวดล้อม-การจ้างงานท้องถิ่น ควบคู่กับ KPI เชิงพาณิชย์
  • เร่ง มาตรการก่อสร้างปลอดฝุ่น-ปลอดอุบัติเหตุ ในทุกโครงการโครงสร้างพื้นฐาน “หน้าบ้านสนามบิน” ให้สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยว-ชั่วโมงเรียนของโรงเรียนใกล้เคียง (รอบบ่าย/เย็นต้อง “ถนนสะอาด-สว่าง-ปลอดภัย”)
  • เปิด Fast-Track Reskilling ร่วมสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เตรียมแรงงานเฉพาะทางสำหรับงานที่จะเกิดขึ้นในพอร์ต AOT (บริการ-ภาษา-โลจิสติกส์-ดิจิทัล-ช่างเทคนิค)

สาระสำคัญที่สุด “เมืองสนามบิน” ที่ดีไม่ได้วัดที่ “ตึกสูงเท่าไร” แต่วัดที่ พลเมืองมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจริง แค่ไหน—ถ้าเชียงรายยึดหลักนี้ไว้ได้ โครงการ AOT รอบสนามบินจะไม่ใช่แค่สิทธิเช่า 30 ปี แต่คือ “สัญญาความเจริญร่วมกัน” ของทั้งเมือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • AOT
  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News