Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้าน! ภาคเหนือเร่ง “ลดเสี่ยงแม่สาย-เร่งเครื่องเชียงของ” สร้างเสถียรภาพการค้า

การค้าชายแดนภาคเหนือสุดผันผวน! ด่านแม่สายเสี่ยงสูงจากเมียนมา แต่ “เชียงของ” แบกรับมูลค่ามหาศาลจากทุเรียนสู่จีน

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าที่เวียงแก่นหมอกบางแตะไหล่เขา เสียงเครื่องยนต์หัวลากค่อยๆ ไล่คิวหน้าด่านศุลกากรเชียงของ รถผลไม้หุ้มคลุมอย่างแน่นหนารอชั่ง–สแกน–ปล่อยผ่าน เส้นเลือดโลจิสติกส์ R3A ซึ่งพุ่งขึ้นเหนือไปคุนหมิงทำงานไม่เคยหยุด และนั่นคือ “หัวใจเต้น” ของการค้าผ่านแดนเชียงรายในปีงบประมาณ 2568 ที่ตัวเลขรวมภาคเหนือแตะ 224,215.423 ล้านบาท โดยมูลค่าส่งออกคิดเป็น 150,860.635 ล้านบาท ตามรายงานของสำนักงานศุลกากรภาค 3

เมื่อส่องเฉพาะ “สามด่านหลัก” ของเชียงราย—เชียงของ, แม่สาย และเชียงแสน—ภาพความต่างปรากฏชัด

  • เชียงของ คือ “ประตูสู่จีนตอนใต้” แบกสัดส่วนการค้ารวมของเชียงรายถึง 73.5% ด้วยมูลค่าส่งออก 42,099.333 ล้านบาท และฐานสินค้าหลักคือผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียน—ราชาผลไม้ที่ขึ้นรถจากภาคตะวันออก–ภาคใต้ของไทยแล้วเร่งทำเวลาผ่านแดนไปยังยูนนาน
  • แม่สาย คือ “ตลาดปลายแดน” ของเมียนมา ส่งออกโดยตรง 11,462.327 ล้านบาท แต่เปราะบางต่อประกาศ–การสู้รบ–ข้อกำหนดชั่วคราวของฝ่ายเมียนมาที่พลิกเกมการค้าได้ภายใน “สัปดาห์เดียว”
  • เชียงแสน คือ “ท่าขึ้น–ลงทางน้ำ” มูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ใช้ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 เป็นเข็มขัดพยุงสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก เชื่อมจีน–ลาว–เมียนมาบนลุ่มโขงตอนบน

เชียงของ 73.5% ของเค้กทั้งก้อน—R3A พยุงค้าผ่านแดน ผลไม้คือ “ทองคำที่ต้องรักษาความเย็น”

ตัวเลขที่โดดเด่นที่สุดของเชียงรายปีนี้มาจาก ด่านศุลกากรเชียงของ—ด่านชายแดนที่ทำหน้าที่ “โหนฉลุย” ให้ขบวนคอนวอยสินค้าเกษตรไทยวิ่งผ่าน สปป.ลาว ไปจีนตอนใต้ตามเส้นทาง R3A ด้วยความรวดเร็ว ตัวเลขสัดส่วน 73.5% ของมูลค่าการค้าจังหวัดที่เกิดจาก “การค้าผ่านแดน (Transit Trade)” บอกชัดว่าเชียงของคือ “จุดคอขวดดีมานด์” ไปจีน

สินค้าเอก คือผลไม้สด ทุเรียน–ลำไย–มะขาม โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองสัดส่วนมูลค่าโดดเด่น ฤดูกาลพีคทำให้ภาพรถห้องเย็นต่อคิวเป็นเรื่องปกติ สำนักงานศุลกากรภาค 3 ระบุว่าเฉพาะผลไม้สดที่ไหลผ่านภาค 3 รวมกันมีน้ำหนักกว่า 439 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าราว 38,669 ล้านบาท การรักษา โซ่ความเย็น (cold chain) ตั้งแต่สวน–ล้ง–ด่าน–ปลายทาง จึงไม่ใช่ “ดีต่อภาพลักษณ์” แต่คือ “ชีวิตของมูลค่า” ที่ต้องไม่สะดุด ทั้งฝั่งเอกชนและรัฐจึงต้องจัดการคิว–ห้องเย็น–การตรวจปล่อยให้ เร็ว–แม่น–ปลอดภัย

ด้านนำเข้า เชียงของมีบทบาทรับไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านคิดเป็นมูลค่าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท และผัก–ผลไม้จากจีน เช่น องุ่นสด–ส้มแมนดาริน—สะท้อนความเป็น Fruit Corridor สองทิศทางของด่านนี้อย่างชัดเจน

จุดท้าทายที่ต้องเร่งแก้ แรงกดดันทางกายภาพของ R3A (หลุมบ่อ, ระยะหยุดรอ, ความหนาแน่นหน้าด่าน, เอกสารด่านคู่) และความแปรปรวนตามฤดูกาลของผลผลิตเป็นต้นเหตุ “คอขวด” ที่ทำให้ความเสี่ยงเสียโซ่ความเย็นเพิ่มขึ้นทันทีที่เกิดความล่าช้า

แม่สาย ส่งออกแรง แต่ “เปราะบางที่สุด”—เมียนมาสะเทือน ตลาดไทยสั่นตาม

ด่านแม่สาย เป็นจุดค้าชายแดนโดยตรงกับ ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา ซึ่งในทางสถิติคือ “ตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของภาคเหนือ” ในหลายเดือนที่ผ่านมา ทว่าปี 2568 ความไม่แน่นอนกลับเด่นชัด—ตั้งแต่ประกาศฝ่ายเมียนมาวันที่ 1 กันยายน 2568 ให้เข้มงวดการนำเข้าสินค้าไทย (ก่อนจะผ่อนคลายภายในราวหนึ่งสัปดาห์) ไปจนถึงเหตุสู้รบในพื้นที่ต่างๆ ที่โยงกับเส้นทางขนส่งหลักทางฝั่งเมียวดี/แม่สอด ทั้งหมดนี้กดให้ด่านแม่สาย “ผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ย” อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ภาพรวมทั้งปี แม่สาย ยังทำมูลค่าส่งออก 11,462.327 ล้านบาท และสินค้าหลักอย่าง น้ำมันดีเซล มีรายงานมูลค่าส่งออกประมาณ 14,308 ล้านบาท ประกอบกับสินค้าอุปโภค–บริโภคอย่างเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังมีดีมานด์ต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยง “ปิด–เปิดกะทันหัน” คือปัจจัยที่ผู้ประกอบการควบคุมไม่ได้

ผลสั่นคลอนระดับภูมิภาค แม้มีเหตุสู้รบ เมืองคู่แฝดอย่าง แม่สอด–เมียวดี ยังทำมูลค่าส่งออกสูงถึง 53,470.825 ล้านบาท ยืนยันว่า “ดีมานด์มีจริง” แต่ “เสถียรภาพของเส้นทาง” คือปัจจัยตัดสินใจอันดับต้นๆ ของผู้ส่งออก

เชียงแสน ท่าเรือพาณิชย์แห่งที่ 2 ถือหาง—ทางน้ำคือ “กันชน” ของระบบ

หากเชียงของคือหัวรถจักรทางบก เชียงแสน ก็เป็น กันชนทางน้ำ ที่ช่วยเฉลี่ยภาระระบบ ด้วยมูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 ที่เชื่อม จีน–ลาว–เมียนมา บนลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เส้นทางน้ำมีจุดแข็งที่การรองรับสินค้าน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก แต่ก็มี “ฤดูกาลของน้ำโขง” เป็นเงื่อนไขเชิงธรรมชาติ ดังนั้น ประสิทธิภาพของท่าเรือ–การจัดตารางเรือ–การบริหารคิวขนถ่าย–การเชื่อมต่อถนนหน้าเทอร์มินัลคือหัวใจ

บทบาทที่เริ่มชัด คือการเป็นทางเลือกสำหรับสินค้า Bulk/General Cargo และรองรับจังหวะที่ทางบกแน่น (เช่น ช่วงผลไม้พีค) ทำให้เชียงแสนเป็น ตัวปรับสมดุล” (balancer) ของระบบการค้าจังหวัดในมิติการเดินทางของสินค้า

โครงสร้างสินค้า “เกษตรสด–พลังงาน–อุปโภคบริโภค” กำหนดทิศ และ “ไฟฟ้า–แร่–ผักผลไม้จีน” คือฝั่งนำเข้า

เมื่อถอดรหัสโครงสร้างสินค้า

  • ส่งออก ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม, มังคุด), น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • นำเข้า พลังงานไฟฟ้า (≈ 26,013.7 ล้านบาท), โลหะพลวงและแร่พลวง (รวมกว่า 14,900 ล้านบาท โดยประมาณ), องุ่นสด (≈ 5,186.4 ล้านบาท), ส้มแมนดาริน (≈ 2,159.7 ล้านบาท), ผักกาดขาว–ฮ่องเต้ (≈ 1,867.3 ล้านบาท), ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (≈ 1,743.7 ล้านบาท)

ภาพนี้ตอกย้ำว่าเชียงรายทำหน้าที่ ศูนย์รวม–กระจายสินค้าเกษตรสด ของไทยสู่จีน ขณะเดียวกันก็เป็น ประตูรับพลังงานและวัตถุดิบ สู่ไทย—โมเดล “สองทิศ–สองระบบ” ที่ต้องการทั้ง คุณภาพสินค้า และ ความพร้อมโลจิสติกส์

ภาคเหนือในกระจก เมียนมาคือ “เครื่องยนต์ส่งออก” จีน–ลาวคือ “เครื่องดูดนำเข้า”

การอ่านภาพทั้งภาคเหนือ (น้ำหนัก 20%) ตามกรอบสถิติรายเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง ส.ค. 2568 สะท้อนว่า การค้าชายแดนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98% ของการค้าในภูมิภาค โดย เมียนมา คือตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง (ประมาณ 157.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าว) ทำให้ภาคเหนือ เกินดุล เด่นกับเมียนมา ขณะที่ จีนตอนใต้ และ สปป.ลาว เป็นคู่ค้าฝั่งนำเข้าที่ใหญ่กว่า ส่งผลให้เกิดดุลการค้าแบบ “เกินดุลกับเมียนมา–ขาดดุลกับจีน/ลาว” ตามโครงสร้างสินค้าและบทบาทเส้นทางผ่านแดน

บทเรียนสำหรับเชียงราย ดุลการค้าบวก–ลบเหล่านี้ไม่ใช่ “ผิดปกติ” หากสะท้อน บทบาทหน้าที่เฉพาะ ของแต่ละด่าน—แม่สายเน้นซัพพลายสินค้าบริโภค–พลังงานให้เมียนมา, เชียงของ–เชียงแสนเน้น “ระเบียงผลไม้–วัตถุดิบ” เชื่อมจีนและลาว

ปัจจัยเสี่ยง ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา–คอขวด R3A–น้ำโขง–เอกสารข้ามแดน

  1. เมียนมา — ความไม่สงบ–มาตรการเฉียบพลัน ทำให้แม่สาย “เปิด–ปิด–ผ่อน–เข้ม” ได้ภายในไม่กี่วัน กระทบ ต้นทุนถือสต็อก, ต้นทุนความเสี่ยง, สภาพคล่องผู้ประกอบการ
  2. R3A — ความพร้อมของผิวทาง–ด่านคู่–ช่องจอด–ระบบสแกน–ห้องเย็น เป็นปัจจัยชี้ชะตาโซ่ความเย็นผลไม้สด
  3. แม่น้ำโขง — ระดับน้ำเปลี่ยนตามฤดูกาลจำกัดโควตาความถี่/น้ำหนักบรรทุกของเรือ กระทบแผนขนส่งระยะกลาง–ยาว
  4. พิธีการ–เอกสาร — ความต่างมาตรฐานการตรวจของด่านคู่/ช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้ เวลาวงรอบ (cycle time) บวมง่าย

ข้อเสนอเชิงนโยบาย–เชิงปฏิบัติ “ลดเสี่ยงแม่สาย–เร่งเครื่องเชียงของ–เสริมเข็มขัดเชียงแสน”

De-risking แม่สายแบบแผนที่เดินได้จริง

  • จัดทำ แผนฉุกเฉินโลจิสติกส์ (contingency plan) สำหรับสินค้าที่วิ่งออกแม่สาย เส้นทางสำรองผ่านแม่สอด/เชียงของ/เชียงแสน ตามประเภทสินค้า
  • ประกันความเสี่ยงการค้า รายย่อย ผลักดันสินเชื่อเฉพาะกิจ/รับประกันความเสี่ยงระยะสั้นให้ผู้ส่งออก SMEs ที่พึ่งพาแม่สาย
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเตือนภัยการค้าเมียนมา แบบเรียลไทม์ รวบรวมประกาศ–เงื่อนไขใหม่–จุดคัดกรอง–เวลาเฉลี่ยข้ามแดน

ยกระดับ R3A–เชียงของ จาก “คอขวด” เป็น “ทางด่วนผลไม้”

  • ลงทุน จุดรอ–ที่จอด–สถานีตรวจ–ห้องเย็น หน้า–หลังด่าน เพิ่ม throughput และลด dwell time สำหรับรถห้องเย็น
  • อัปเกรด เอกสารดิจิทัล–ชิปติดตาม–นัดหมายคิว (slot booking) เชื่อมระบบด่านคู่ให้ตรวจปล่อย “ไร้กระดาษ–ไร้คิวล่องหน”
  • สนับสนุน มาตรฐานโซ่ความเย็น ตั้งแต่สวน–ล้ง–ขนส่ง–ด่าน (audit + incentive) เพื่อคงคุณภาพจนถึงแดนจีน

เสริมบทบาทเชียงแสน กันชนทางน้ำ–ทางเลือกสินค้าหนัก

  • เพิ่มประสิทธิภาพ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 กำลังขนถ่าย, พื้นที่พักตู้/พักของ, ระบบจองคิวเรือ
  • ทำ แผนบูรณาการถนน–ท่าเรือ รองรับ peak season ของผลไม้/สินค้าปริมาณมาก ลดซ้อนทับกับ R3A

เกษตรเพื่อการค้า “เร็ว–สะอาด–ตามเกณฑ์คู่ค้า”

  • ชุดมาตรการ ผลไม้พร้อมส่ง” ตรึงมาตรฐาน GAP/GMP, ระบบตรวจย้อนกลับ, ห้องเย็นเชิงเครือข่าย, ประกันราคาฤดูกาลพีค
  • จัด เวิร์กช็อปกฎจีน สำหรับผู้ประกอบการชายแดน ฉลาก, พิธีการใหม่, มาตรการสุ่มตรวจ, การตอบกลับเมื่อเคลม

 “หนึ่งนาทีที่ด่าน เท่ากับหนึ่งชั่วโมงของโซ่ความเย็น”

“ไฟห้องเย็นต้องไม่ดับ—คิวต้องไม่ค้าง—เอกสารต้องไม่ตกหล่น” คือสามคำสั้นๆ ที่คนขับรถห้องเย็นพูดตรงกัน เมื่อคิวข้ามแดน “สั้นลงหนึ่งนาที” ก็เท่ากับ “อุณหภูมิในตู้” เสถียรขึ้นอีกขั้น ลดโอกาสคัดทิ้งหน้าปลายทางจีนที่ราคาเข้มงวดกว่าตลาดในประเทศหลายเท่า ในมุมกลับกัน รถที่ “หลุดคิว–จอดตากแดด–รอตรวจ” คือ กำไรที่ระเหย เพราะผลไม้สดไม่รอใคร

ด่านเชียงของจึงไม่ใช่แค่ “เสาเขตแดน” แต่เป็น พื้นที่เวลา ที่ต้องบริหารอย่างแม่นยำ—ความต่างระหว่าง “ขายได้ราคา” กับ “เสียทั้งล็อต” อยู่ที่ วงจรคิวและเอกสาร ล้วนๆ

เชื่อมโยงต่างประเทศ 10% จีน–ลาว–เมียนมา—สามคู่ค้า สามโจทย์

  • จีนตอนใต้ เป็นทั้งตลาดรับผลไม้ไทยและแหล่งผัก–ผลไม้เข้าไทย—มาตรฐานตรวจ–ความเร็วพิธีการคือปัจจัยชี้อนาคตมูลค่าการค้า
  • สปป.ลาว พันธมิตร “ทางผ่าน” สำคัญ—ความคล่องตัวพิธีการ–ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานฝั่งลาวช่วยให้ R3A ไหลลื่น
  • เมียนมา ตลาดส่งออกสำคัญของภาคเหนือ—แต่เสถียรภาพการเมืองคือปัจจัยความเสี่ยงหมายเลขหนึ่งที่กระทบแม่สายโดยตรง

 “แยกบทบาท–ลดเสี่ยง–เร่งประสิทธิภาพ” คือทางรอดเชียงราย

  1. ยอมรับข้อเท็จจริงเชิงบทบาท แม่สาย = ตลาดเมียนมาที่ผันผวนสูง, เชียงของ = ทางด่วนผลไม้สู่จีน, เชียงแสน = กันชนทางน้ำ/สินค้าหนัก
  2. ลดการพึ่งด่านเดียว วางแผนเส้นทางสำรองสำหรับทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเน่าเสียง่าย
  3. ลงทุนจุดคอขวด ห้องเย็น–คิวดิจิทัล–ลานจอด–ช่องตรวจ–คน–ระบบเชื่อมด่านคู่
  4. ยกระดับมาตรฐานสินค้า ผลไม้พร้อมส่ง—ตรึงคุณภาพและการตรวจย้อนกลับให้สอดรับเกณฑ์จีน
  5. กลไกการเงิน–ประกันความเสี่ยง เพื่อให้ SMEs ชายแดนรับมือเหตุฉุกเฉินได้โดยไม่สะดุดเงินทุนหมุนเวียน

เชียงรายในปี 2568 จึงไม่ได้มีเพียง “ข่าวดีมูลค่าโต” หรือ “ข่าวร้ายด่านผันผวน” หากคือ บทสอบการบริหารสมดุล ระหว่าง “ความเร็ว” กับ “ความเสถียร”—ระหว่าง “ผลไม้สด” ที่ต้องการเวลาและอุณหภูมิ กับ “เส้นทางชายแดน” ที่ถูกกำหนดโดยการเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อรู้บท–รู้เสี่ยง–รู้จะลงทุนตรงไหน เมืองชายแดนเหนือสุดของไทยย่อมกลายเป็น ฮับการค้า GMS ที่แข็งแรงกว่าที่เคย

สรุปตัวเลขชวนคิด

  • มูลค่ารวมการค้าชายแดน/ผ่านแดนภาคเหนือ ปีงบฯ 2568 224,215.423 ล้านบาท (ส่งออก 150,860.635 ล้านบาท, นำเข้า 73,354.788 ล้านบาท)
  • เชียงของถือ 73.5% ของเค้กการค้าเชียงราย—ส่งออก 42,099.333 ล้านบาท; สินค้าเด่น ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม)
  • แม่สายส่งออก 11,462.327 ล้านบาท—เสี่ยงสูงต่อเหตุการณ์ฝั่งเมียนมา; สินค้าเด่น น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • เชียงแสนส่งออก 9,285.396 ล้านบาท—บทบาททางน้ำผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • ผลไม้สดผ่านภาค 3 น้ำหนักรวมกว่า 439 ล้านกก., มูลค่าประมาณ 38,669 ล้านบาท
  • นำเข้าหลัก พลังงานไฟฟ้าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท, แร่/โลหะพลวงรวมกว่า 14,900 ล้านบาท, องุ่นสด ≈5,186.4 ล้านบาท, ส้มแมนดาริน ≈2,159.7 ล้านบาท เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ผู้จัดการออนไลน์
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเศรษฐกิจภาคเหนือ)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมศุลกากร
  • กรมเจ้าท่า/ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย/หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยงานความมั่นคง/ประกาศภาครัฐเมียนมา
  • ข้อมูลสถิติสินค้าเฉพาะรายการ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา อุโมงค์แม่กาพลิกเกม เร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่สู่เชียงของ

รถไฟทางคู่ภาคเหนือ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” เดินหน้าครบครึ่งทาง เจาะทะลุอุโมงค์แม่กาเร็วกว่าแผน 10 เดือน สู่ฤดูกาลเร่งเครื่องก่อนเปิดใช้ปี 2571

เชียงราย/พะเยา, 14 ตุลาคม 2568 — แสงไฟสาดสะท้อนปลายโพรงหิน ก่อนเสียงปรบมือดังพร้อมเสียงหวูดเครื่องจักรดังก้องในหุบเขา… “แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา” ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง หากคือจุดพลิกเกมของ โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ เมื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประกาศ เจาะทะลุอุโมงค์แม่กา ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา ได้ เร็วกว่าแผนถึง 10 เดือน ท่ามกลางภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินและฤดูกาลฝนที่ทดสอบวินัยของวิศวกรไทยกว่าหนึ่งปีเต็ม

ในพิธีบวงสรวงเพื่อความเป็นสิริมงคลเมื่อ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งมี นายอรรถพล เก่าประเสริฐ วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง รฟท. เป็นประธาน พร้อมคณะวิศวกรโครงการ นำโดย นายธีระ รุ่งโรจน์สุวรรณ และ นายปัฐตพงษ์ บุญแก้ว ตลอดจนกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และผู้รับจ้าง กิจการร่วมค้าซีเคเอสที ดีซี 2 ความคืบหน้าชิ้นนี้ถูกยืนยันด้วยตัวเลขหน้างาน อุโมงค์แม่กา ยาว 2,700 เมตร (ขุดสองทิศรวม 5,400 เมตร) เดินหน้าแล้ว 59.76% เร็วกว่าเป้า 2.60% และช่วยผลักดันสถานะรวมทั้งโครงการให้ คืบหน้าเฉลี่ย 43.984% ณ กลางเดือนตุลาคม

การเจาะทะลุ “แม่กา” คือหมุดหมายสำคัญของ สัญญาที่ 2 (ช่วงงาว–เชียงราย) และเป็นสัญญาณว่าคอขวดด้านอุโมงค์—งานที่เสี่ยงและใช้เวลานานที่สุด—กำลังผ่านจุดหักเห เพื่อเปิดทางให้ “งานบนดิน” เร่งก่อสร้างราง ทางยกระดับ และสถานี รวม 26 สถานี ตลอดระยะทางกว่า 323 กิโลเมตร จาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน จ.พะเยา–จ.เชียงราย สิ้นสุดที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งถูกออกแบบให้มีทั้ง ทางระดับดิน ทางยกระดับ และอุโมงค์ 4 แห่ง รวมความยาวอุโมงค์ กว่า 27 กิโลเมตร โดยเฉพาะ อุโมงค์งาว จ.ลำปาง ที่มีความยาว กว่า 6 กิโลเมตร เตรียมขึ้นแท่น อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดแห่งใหม่ของไทย

โครงเรื่องใหญ่ของรางเหล็ก ทำไม “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” จึงสำคัญ

รถไฟสายใหม่นี้มิใช่แค่บรรทัดหนึ่งในแผนแม่บทคมนาคม หากคือ “เส้นเลือดฝอยเชื่อมเส้นเลือดใหญ่” ของเศรษฐกิจเหนือ จากแพร่–ลำปาง–พะเยา–เชียงราย ไปถึง ด่านพรมแดนเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อ สปป.ลาว และเครือข่ายโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) อย่างมีนัยสำคัญ

  • ระยะทางรวม: ~323 กม.
  • สถานี: 26 สถานี (ออกแบบรองรับทั้งผู้โดยสารและสินค้าในบางสถานี)
  • รูปแบบเส้นทาง: ทางระดับดิน ทางยกระดับ และอุโมงค์ 4 แห่ง (รวมยาว >27 กม.)
  • อุโมงค์ไฮไลต์: อุโมงค์งาว >6 กม. (ลำปาง) ว่าที่อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในไทย
  • แผนเปิดใช้: ภายใน ปี 2571 (นับจากสถานะคืบหน้า 43.984% ณ ต.ค. 2568)

การมีรางคู่สายใหม่ที่ “สอดเข้าไป” กลางภูมิประเทศภูเขาสลับซับซ้อน หมายถึง การร่นเวลาเดินทาง–ขนส่ง, ลดต้นทุนโลจิสติกส์, เพิ่มความถี่และความตรงเวลา, และ เพิ่มความปลอดภัย เมื่อเทียบกับการขนส่งถนนบนทางลาดชัน ทั้งยังช่วยแบ่งเบาความแออัด–การสึกหรอสาธารณูปโภคทางหลวงสายหลักในฤดูกาลท่องเที่ยวและฤดูผลผลิต

จากปลายสว่านถึงปลายราง อุโมงค์คือ “ตัวตั้งเวลา” ของทั้งโครงการ

โครงการทางยาวในภูมิประเทศเป็นเทือกเขา วาระสำคัญคือ “จังหวะอุโมงค์” เพราะเป็นงานเสี่ยงสูง ใช้เครื่องจักรเฉพาะและทีมงานที่ต้องเดินหน้า 24 ชั่วโมง ภายใต้กรอบ ความปลอดภัย–ธรณีวิทยา–สภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

อุโมงค์แม่กา ที่เจาะทะลุได้เร็วกว่ากำหนดถึง 10 เดือน จึงเป็น “ตัวเร่งเวลา” ให้สัญญาที่ 2 สามารถโยกกำลังคน–เครื่องจักรไปหน้างานโครงสร้างอื่นได้เร็วขึ้น ในขณะที่ อุโมงค์งาว (ยาว >6 กม.) และอุโมงค์อื่นในแนวเส้นทางยังคงเป็น สมการหลัก ที่ผู้รับจ้างและ รฟท. ต้องบริหารความเสี่ยงแบบวันต่อวัน—ความสำเร็จของแม่กาเป็นทั้ง สัญญาณความพร้อม และ แรงใจ ของทีมวิศวกรด้านอุโมงค์ทั่วแนวเส้นทาง

แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา” ภาพจำ–พลังใจ–ความเป็นเจ้าของร่วม

เบื้องหลังความเร็วกว่าแผน 10 เดือน ไม่ใช่แค่ความสามารถของเครื่องจักร แต่คือ การวางแผนเชิงรุก การจัดลำดับงาน (sequencing) และ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ–ที่ปรึกษา–ผู้รับจ้าง–ชุมชน การจัดพิธีบวงสรวง ณ ปากอุโมงค์แม่กา นอกจากเพื่อความเป็นสิริมงคล ยังสะท้อน “การสื่อสารสาธารณะ” ว่านี่คือ โครงการของชุมชน ไม่ใช่ “โครงการของรัฐฝ่ายเดียว” เสียงและสายตาของคนพะเยาที่เห็นแสงแรกในอุโมงค์ จึงเทียบได้กับการเห็น โครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้ กำลังพุ่งเข้ามาในเมืองของตน

ภาพรวมความคืบหน้า 43.984% “ตัวเลขเดียว” ที่ซ่อนหลายสมการ

ตัวเลขรวม 43.984% บอกความจริงได้เพียงส่วนหนึ่ง โครงการใหญ่ที่ยาว 323 กม. มี ความต่างทางเทคนิค ระหว่างสัญญา/ตอน เช่น ตอนที่เป็นที่ราบ (งานดิน–คันทาง–สะพาน) จะเดินหน้าเร็วกว่าตอนที่มีอุโมงค์ยาวหรือทางยกระดับยาว ขณะเดียวกัน “งานระบบ” (ราง–สัญญาณ–โทรคมนาคม–ไฟฟ้า) มักไล่ตามหลังงานโยธา และจะเร่งตัวแรงมากในช่วง ปีสุดท้ายก่อนเปิดบริการ นั่นหมายความว่า แม้นาทีนี้จะยังไม่ถึง “ครึ่งหลัง” ของเวลาโครงการ แต่ ความเร็วเฉลี่ย ใน 12–18 เดือนข้างหน้าอาจสูงขึ้นอย่างชัดเจน หากอุโมงค์หลักคืบตามแผน

เศรษฐกิจที่รอราง จากฟาร์ม–โรงงาน–ด่านชายแดน สู่ตลาดใหม่

แม้ผู้สื่อข่าวจะยังไม่มีตัวเลขทางการเรื่อง เวลาที่ร่นลง หรือ ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง สำหรับสายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ (ตัวเลขดังกล่าวโดยปกติจะมาพร้อมรายงานประเมินผลหลังเปิดใช้) แต่ตรรกะพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และประสบการณ์จากสายทางคู่อื่นในไทยชี้ว่า ผลกระทบเชิงบวกจะเกิด สามชั้น

  1. ชั้นจังหวัด — การเคลื่อนย้ายคน–ของระหว่างเมืองหลัก (แพร่–พะเยา–เชียงราย) รวดเร็วขึ้น เกิดอานิสงส์กับ ท่องเที่ยว (เมืองรอง), เกษตรแปรรูป, ผู้ประกอบการ SMEs และ นิคมอุตสาหกรรม/เขตส่งเสริม ที่อาจเกิดขึ้นตามสถานีขนาดใหญ่
  2. ชั้นภูมิภาคเหนือ–GMS — เชื่อม เชียงของ เข้ากับเครือข่ายสะพานข้ามโขง–สปป.ลาว เพิ่มทางเลือกขนส่งสินค้าออกนอกประเทศผ่านแดนตะวันออกเฉียงเหนือของภาคเหนือ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสด/แช่เย็น/แปรรูปที่ต้องการ เวลา–ความเสถียร มากกว่าความเร็วสูงสุด
  3. ชั้นประเทศ — กระจายโครงสร้างพื้นฐานออกจาก คอขวดภาคกลาง ช่วยยืดอายุการใช้งานถนน–สะพานหลัก ลด externalities (การชน–มลพิษ–การสึกหรอ) และวางฐานให้ ตู้สินค้า–ขบวนรถ กลายเป็น “โครงกระดูก” ของระบบขนส่งที่ไทยพยายามสร้างสมดุลระหว่าง Road–Rail–River–Air

วิศวกรรม–ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม สามเหลี่ยมที่ต้องสมดุล

งานอุโมงค์ในภูมิประเทศภาคเหนือบังคับให้โครงการต้อง เข้มข้นเรื่องความปลอดภัย ตั้งแต่การสำรวจธรณีวิทยา (ชั้นหิน–รอยเลื่อน–น้ำใต้ดิน), การออกแบบค้ำยัน, ระบบระบายอากาศ, ไปจนถึง การซ้อมอพยพฉุกเฉิน เมื่อทะลุทั้งสองปากแล้ว ยังต้องงาน “รองรับการเดินรถ” เช่น ช่องหลบภัย, ระบบดับเพลิง, ระบบตรวจจับควัน–กล้อง, และ การเชื่อมต่อสื่อสาร กับศูนย์ควบคุมการเดินรถ (OCC)

ด้านสิ่งแวดล้อม การเปิดหน้าดิน–ขุดอุโมงค์–ทำทางยกระดับในภูเขา ต้อง บริหารตะกอน–ดิน–น้ำ อย่างเคร่งครัด ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ร่วมกับการปลูกป่าทดแทน–คืนผิวหน้าดิน–กำแพงกันดิน–ระบบระบายน้ำถาวร ก่อน–ระหว่าง–หลังงาน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแหล่งน้ำสาธารณะและชุมชนลุ่มน้ำใกล้เคียง โดยเฉพาะช่วงพะเยา–เชียงรายที่ประชาชน ใช้แม่น้ำ–ลำห้วย เป็นฐานเศรษฐกิจชุมชน

สถานี–เมือง–พื้นที่รอบสถานี โอกาสและโจทย์ของ “การพัฒนาเชิงที่ดิน”

รถไฟสร้าง สถานี และสถานีสร้าง เมืองย่อย นี่คือสมการที่ไทยต้องวางแผน “TOD—Transit Oriented Development” ตั้งแต่วันนี้ เขตเมืองที่สถานีตั้งอยู่ (โดยเฉพาะสถานีหลักใน พะเยา–เชียงราย) ควรเตรียม ผังเมือง–ผังแม่บท รอบสถานีให้รองรับ ที่อยู่อาศัย–พาณิชยกรรม–บริการสาธารณะ–ลานเชื่อมต่อรถ–จักรยาน–คนเดิน พร้อมมาตรการคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อไม่ให้ การเก็งกำไร ทำลายความสมดุลราคาและคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น

เปิดปี 2571” เส้นตายที่ต้องวิ่งด้วย “ความร่วมมือ”

เป้าหมาย เปิดบริการปี 2571 คือเส้นตายที่นับถอยหลังแล้ว นอกจากอุโมงค์ที่เป็นคอขวด ยังมี “งานระบบ” (ราง–อาณัติสัญญาณ–ไฟ–สื่อสาร), “จัดขบวนรถ–ทดสอบ”, “ความพร้อมฝ่ายเดินรถ–ซ่อมบำรุง”, และ “ความปลอดภัยอุโมงค์” ที่ต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบหลายชั้น ก่อนเปิดเดินรถพาณิชย์จริง การรักษาโมเมนตัมหลัง “แม่กา” จึงต้องอาศัย สี่ขา เดินพร้อมกัน—รฟท. ในฐานะเจ้าของโครงการ, ผู้รับจ้าง ในฐานะมือปฏิบัติ, ที่ปรึกษา ในฐานะผู้พิสูจน์คุณภาพ และ ชุมชน–ท้องถิ่น ในฐานะเจ้าของพื้นที่ตัวจริง

เมื่อรถไฟมาถึง เราพร้อมหรือยัง

รถไฟคือโครงสร้างพื้นฐาน แต่ผลลัพธ์คือ วิถีชีวิตใหม่ เมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย–พะเยาอาจเห็น แพ็กเกจเที่ยว 2–3 วัน ที่ยึด “สถานีรถไฟ” เป็นจุดตั้งต้น โรงงานแปรรูป–คลังสินค้าอาจขยับตามแนวทางคู่ และ โลจิสติกส์ชายแดนเชียงของ อาจมีกรอบความร่วมมือใหม่กับฝั่งลาว เพื่อให้ “ของไหลลื่น” ต้นทุนบีบลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ขณะเดียวกัน ความปลอดภัยชุมชน–สิ่งแวดล้อม–เสียง–ฝุ่น–จราจรหน้าสถานี ต้องถูกคิดล่วงหน้าและบริหารแบบ ร่วมออกแบบ กับคนพื้นที่

“แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา” จึงไม่ใช่จุดจบของงานอุโมงค์ แต่เป็น ไฟสัญญาณ ว่าโครงการเข้าโค้งครึ่งหลังแล้ว ความคืบหน้า 43.984% คือสัญญาว่าถ้าเรารักษาจังหวะงาน ควบคู่กับการสื่อสาร–มีส่วนร่วม–ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ จะกลายเป็น กระดูกสันหลังโครงสร้างพื้นฐานภาคเหนือ ที่จับต้องได้ใน ปี 2571 ตามที่สังคมคาดหวัง

สรุปสถานะและสาระสำคัญ (เพื่อการตัดสินใจ/การทำงาน)

  • สถานะโครงการ (ต.ค. 2568): คืบหน้าเฉลี่ย 43.984%
  • เหตุการณ์เด่น: เจาะทะลุอุโมงค์แม่กา ได้เร็วกว่าแผน 10 เดือน ความก้าวหน้างานอุโมงค์ 59.76% เร็วกว่าเป้า 2.60%
  • องค์ประกอบโครงสร้างหลัก: ทางระดับดิน–ยกระดับ–อุโมงค์ 4 แห่ง (รวมยาว >27 กม.), สถานีรวม 26 แห่ง, ระยะทางรวม ~323 กม.
  • อุโมงค์ยาวที่สุด: อุโมงค์งาว จ.ลำปาง ยาว >6 กม. (ว่าที่อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในไทยแห่งใหม่)
  • กำหนดเปิดใช้: ปี 2571 (ภายใต้เงื่อนไขงานโยธา–ระบบ–ทดสอบเป็นไปตามแผน)
  • ประโยชน์คาดหมาย ร่นเวลาเดินทาง, ลดต้นทุนโลจิสติกส์, เสริมโอกาสเมืองรอง–ท่องเที่ยว–สินค้าเกษตร–โลจิสติกส์ชายแดน, กระจายความหนาแน่นจากถนนสายหลัก
  • ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร ธรณีวิทยาอุโมงค์–ความปลอดภัย, สิ่งแวดล้อม–น้ำ–ตะกอน, การส่งมอบพื้นที่, จังหวะผังเมืองรอบสถานี (TOD), กำลังคนเดินรถ–ซ่อมบำรุง

บันทึกชื่อบุคคล/หน่วยงานจากเหตุการณ์ 10 ตุลาคม 2568 

  • ประธานพิธีบวงสรวง: นายอรรถพล เก่าประเสริฐ — วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • คณะวิศวกรโครงการ: นายธีระ รุ่งโรจน์สุวรรณ, นายปัฐตพงษ์ บุญแก้ว
  • กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา: CSDCC
  • ผู้รับจ้าง: กิจการร่วมค้าซีเคเอสที ดีซี 2
  • เหตุการณ์: เจาะทะลุอุโมงค์แม่กา (พะเยา) เร็วกว่าแผน 10 เดือน; ความก้าวหน้ารวมของโครงการ 43.984%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข./OTP)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ./ONEP)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โกลเดนวีคดันยอดจีนพุ่ง! ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% โจทย์ใหญ่เชียงรายคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

พร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนหรือยัง? “โกลเดนวีค” ดันยอดผู้มาเยือนพุ่ง—ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% สะท้อนพลังดีมานด์ แต่โจทย์สำคัญคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

เชียงราย, 6 ตุลาคม 2568 — ช่วงเวลา 9 วันของ “โกลเดนวีคจีน” (28 ก.ย.–6 ต.ค.) ปีนี้ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยคึกคักเป็นพิเศษ เที่ยวบินจากเมืองหลัก–เมืองรองของจีนทะยอยลงจอดแน่นทุกสนามบินหลัก ขณะที่ตัวเลขรายงานจากสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุชัดว่าอัตราผู้โดยสารเฉลี่ยพุ่งแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางชาวจีน “ต่อวัน” ขยับจากราว 11,000 คนไปใกล้ 24,000 คน/วัน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน/วัน ณ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ในสัปดาห์เดียว (26 ก.ย.–2 ต.ค.) นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 586,942 คน ในจำนวนนี้ ชาวจีน 123,752 คน หรือ 21% ของทั้งหมดยืนยันการกลับมาของตลาดจีนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน “สัญญาณแรง” อีกด้านคือราคาตั๋วขากลับเส้นทาง กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง ที่ดีดขึ้นกว่า 400% ไปแตะ 4,000–5,800 หยวน ในช่วง 7–9 ต.ค. สะท้อนดีมานด์เร่งตัวกว่าปกติหลายเท่าและที่นั่งกลับ “แทบเต็ม” แทบทุกสายการบิน (China Eastern, Hainan Airlines, Air China รวมถึง Vietjet) ซึ่งสื่อไทยหลายสำนักรายงานอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้

คำถามใหญ่ที่ผุดขึ้นทันทีสำหรับเมืองท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์เข้มข้นอย่าง เชียงราย คือ “เรา พร้อม แค่ไหนในการเปลี่ยน ปริมาณ ให้เป็น คุณภาพ”—พร้อมแค่ไหนที่จะทำให้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมา “ซ้ำเที่ยว–นานวัน–ใช้จ่ายคุ้มค่า” แทนที่จะเป็นเพียงตัวเลขผ่านเข้า–ออกสนามบิน

 

โอกาสทางเศรษฐกิจที่ “เห็น–จับต้องได้”

  • ตัวเลขดีมานด์ โกลเดนวีคปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศเฉลี่ยวันละเกือบ 2 หมื่นปลาย ที่นั่งเที่ยวบินกลับ “แน่น” จนราคาดีด 4 เท่า ในบางวัน หลังวันหยุดยาว—a classic supply–demand shock ที่ชี้ว่าความต้องการมาเที่ยวไทยยังแข็งแรง (และ พร้อมจ่าย หากประสบการณ์คุ้มค่า)
  • การกระจายรายได้ โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการทัวร์ สายการบิน ได้อานิสงส์ตรง ๆ โดยสื่อเศรษฐกิจประเมินเทรนด์ “คึกคัก” และการฟื้นตัวที่เห็นชัดในหลายเมืองหลัก–รอง ซึ่งเป็นสัญญาณให้จังหวัดนอกหัวเมืองใหญ่ “เร่งคว้าโอกาส” ขณะดีมานด์ยังพุ่ง

เชียงรายในฐานะ เมืองศิลป์ริมโขง ศูนย์กลางวัฒนธรรมล้านนา–ชนเผ่า–กาแฟ–ชา” มีทุนทางการท่องเที่ยวชัดเจน ทั้งแลนด์มาร์กเชิงศิลปะ (วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น/บ้านดำ) ธรรมชาติ (ดอยตุง–แม่สลอง–สามเหลี่ยมทองคำ) และไลฟ์สไตล์ (คาเฟ่สเปเชียลตี้–ไร่ชา–งานคราฟต์) ที่ตรงรสนิยม “ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม+ภาพถ่ายสวย+อาหารเครื่องดื่มมีเรื่องเล่า” ของนักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดโดยเฉพาะกลุ่ม FIT (เดินทางอิสระ) รุ่นใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่

 

พุ่งแรง” แต่ “พร้อมจริง” หรือยัง 5 มุมวิจารณ์ความพร้อมเชียงราย

แม้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นข่าวดี แต่การแปลงโอกาสให้เป็น คุณภาพการเติบโต ต้องตอบคำถามความพร้อมเชิงระบบ ดังนี้

1) การเข้าถึงปลายทาง (Accessibility)

  • เที่ยวบิน–การเชื่อมต่อ ขณะกรุงเทพฯ–ภูเก็ต–เชียงใหม่ คือสามหัวรถจักรหลักของนักท่องเที่ยวจีน การดึง “ไฟลต์ตรง” สู่เชียงรายอาจยังจำกัดตามฤดูกาลและดีมานด์ (ขึ้นกับสายการบินจีน/ไทย) ช่วงพีกจึงเป็นหน้าต่างเวลาทองสำหรับภาคเอกชน–สมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ในการ หารือจับคู่เส้นทางเช่าเหมาลำ/ตามฤดูกาล พร้อมแพ็กเกจร่วมกับผู้ให้บริการภาคพื้น (ที่พัก–รถเช่า–แหล่งท่องเที่ยว) ให้สายการบินเห็นภาพรายได้สุทธิชัดเจน
  • เชื่อมต่อบก หากนักท่องเที่ยวลงเชียงใหม่แล้วต่อรถขึ้นเชียงราย สิ่งที่ต้องทำคือ ปรับมาตรฐานรถ–คนขับ–ไกด์ และจุดแวะพักให้ “ปลอดภัย สะอาด มีภาษา” เพราะความรู้สึก “ปลอดภัย–ไว้ใจได้” คือจุดตัดสินใจกลับมาซ้ำเที่ยวของตลาดจีน

2) ที่พัก–บริการ (Hospitality & Inventory)

  • โกลเดนวีคทำให้ ห้องพีก–ห้องสวย ในเมืองท่องเที่ยวถูกจองแน่นเร็ว ราคาขยับขึ้นตามดีมานด์—เชียงรายควรบริหาร สมดุลราคา–คุณค่า (value for money) ให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาพ “แพงฉับพลัน” เพราะความยั่งยืนของตลาดอยู่ที่ อัตราการกลับมาใหม่ มิใช่ “ขายแพงครั้งเดียวแล้วหาย”
  • โฮมสเตย์/ที่พักชุมชน/โฮเทลสไตล์บูทีคที่เล่าเรื่องชุมชน–กาแฟ–ชา ควร มาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย ตลอดจน ช่องทางชำระเงินดิจิทัล เป็นมิตรกับผู้ใช้จีน (QR/อีวอลเล็ตสากล/บัตร) เพื่อปิดจุดปวดเวลาเช็คอิน–เช็คเอาต์

3) ภาษา–ไกด์–สื่อสาร (Language & Content)

  • ประสบการณ์ดี ๆ ในเชียงรายจำนวนมาก “ขายได้ด้วยการเล่าเรื่อง” ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ ไปจนถึง คาเฟ่สเปเชียลตี้ และ สวนชา/ไร่กาแฟ หากมี เมนู–ป้าย–โบรชัวร์ภาษาจีนกลาง/อังกฤษ ที่ถูกต้อง อ่านง่าย มี คิวอาร์โค้ดสแกนอ่านรีวิว/คอนเทนต์ จะเพิ่ม conversion จาก “มาเช็กอิน” เป็น “ใช้เวลา–ใช้จ่าย”
  • มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่มีความรู้วัฒนธรรมชนเผ่า–ศิลปะ–อาหารพื้นถิ่น จะยกระดับมูลค่าใช้จ่ายต่อหัว ทัวร์ชา/กาแฟ (cupping–hand drip) เวิร์กช็อปศิลป์/งานคราฟต์–ทอผ้า–ย้อมคราม–เครื่องเงิน ฯลฯ

4) ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น (Safety & Trust)

  • รายงานข่าวระดับประเทศชี้ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาแรงปีนี้ ได้แก่ “เสถียรภาพการเมือง” และ “ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติในอาเซียน” ทำให้สื่อจีนรายงานภาพบวก—ไทยเป็นจุดหมาย “ปลอดภัย–บริการดี–เป็นมิตร” ซึ่งเป็นฐานที่เชียงรายต้องรักษาให้มั่น ด้วยมาตรการพื้นที่ กล้องวงจรปิด–ไฟส่องสว่าง–รถตำรวจท่องเที่ยว/อาสา และ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายภาษา ในย่านท่องเที่ยวหลัก

5) ประสบการณ์ที่ “ใช่” สำหรับชาวจีน (China-fit Experiences)

จากพฤติกรรมผู้เดินทางจีนยุคใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Z–มิลเลนเนียล) จุดขายที่สอดคล้องกับเชียงราย ได้แก่

  • เส้นทางศิลป์+คาเฟ่สเปเชียลตี้+โลคัลคราฟต์ เดย์ทริป “วัด–งานศิลป์–เวิร์กช็อป–คาเฟ่” พร้อมเซ็ตภาพถ่าย (photo spots)
  • ชา–กาแฟ–ฟาร์มทัวร์ ดอยตุง–แม่สลอง–ม้ง–อาข่า เชื่อมการ “ชิม–ช้อป–ชง” พร้อมคิตของฝากจับต้องได้ (กาแฟ/ชา/ขนมพื้นถิ่นพร้อมแพ็กจิ้ง)
  • กินท้องถิ่นอย่างเข้าใจ เมนูเล่าเรื่อง “แกงฮังเล–น้ำพริกหนุ่ม–แกงแค–ข้าวซอย” เป็นภาษาจีน พร้อม ตัวเลือกเผ็ดระดับ–ฮาลาล–วีแกน เพราะกรุ๊ปเพื่อน/ครอบครัวจีนมีความหลากหลายสูง
  • เทศกาล–แลนด์สเคปไฟฤดูหนาว หากจังหวัดและเอกชนร่วมกันต่อยอดกิจกรรมฤดูหนาว (ลอยกระทง–ไฟประดับ–งานคริสต์มาส–ปีใหม่) ให้เกิด ธีมเดียวกันทั้งเมือง จะสร้างแรงดึงดูด “อยู่ยาวขึ้น–กลับมาอีกปีหน้า”

 

ด้านสว่าง–ด้านท้าทาย ข้อเท็จจริง 6 ประการที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้

  1. ดีมานด์จีน “กลับมาแรง” จริงตามข่าว
    ตัวเลขรายสัปดาห์ 26 ก.ย.–2 ต.ค. 2568 ชาวจีนเข้าไทย 123,752 คน (21% ของต่างชาติทั้งหมด 586,942 คน) และรายวันขยับแตะ เกือบ 24,000 คน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน ณ 2 ต.ค.—นี่ไม่ใช่ “สัญญาณลวง” แต่คือแรงซื้อที่ต้องรับมือด้วยสินค้า–บริการคุณภาพ
  2. ภาคการบิน “อัดแน่น” จนราคาขากลับดีด 400%
    เส้นกรุงเทพฯ–ปักกิ่งช่วง 7–9 ต.ค. ขึ้นไป 4,000–5,800 หยวน จากเดิม 1,500–2,000 หยวน ขณะที่นั่งกลับ “เกือบเต็มทุกไฟลต์”—แปลว่าความพร้อมของ “ปลายทาง” ต้องรองรับ แรงกระแทกของจำนวน โดยไม่ลดทอนคุณภาพ Mgr Online
  3. โอกาสของเมืองรอง
    รายงานเศรษฐกิจชี้นักท่องเที่ยวจีน เริ่มกระจายตัว นอกเมืองหลักมากขึ้น การจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” หรือ “เชียงราย–ลาว/พม่า (ชายแดนท่องเที่ยว)” ที่สื่อสารชัด จะดึงทริปให้อยู่ภาคเหนือ 2–4 คืน แทน 1–2 คืน เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป pptvhd36.com
  4. ภาพลักษณ์ความปลอดภัยสำคัญกว่าราคา
    การสื่อสาร proactive ด้านความปลอดภัย–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (เบอร์ติดต่อ/จุดช่วยเหลือ/แผนที่จีน/คิวอาร์) ในช่องทาง WeChat–红书 (RED)–抖音 (Douyin) ของผู้ประกอบการและหน่วยงานท้องถิ่น มีผลต่อการ “ตัดสินใจ–บอกต่อ” แรงกว่าการลดราคา
  5. คุณภาพบริการคือจุดคัดแยก
    ในเมื่อ “ที่นั่งบินกลับ” ยังเป็นคอขวดเป็นระยะ นักท่องเที่ยวพร้อม “เลือกจ่ายแพงขึ้น” ถ้าเชื่อว่าประสบการณ์คุ้ม—จุดนี้เชียงรายได้เปรียบด้วยสินค้าท้องถิ่นมีเรื่องเล่า หาก มาตรฐานบริการ–ภาษา–การชำระเงิน ไหลลื่น
  6. Data-driven & Co-op Marketing
    ผู้ประกอบการรายย่อยควรจับมือเป็น คลัสเตอร์ (ที่พัก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–ชุมชน–รถเช่า–มัคคุเทศก์) ทำแพ็กเกจรวม + เก็บ รีวิวจีนคุณภาพ เพื่อดันอันดับค้นหาแพลตฟอร์มยอดนิยม (Trip.com/Fliggy/RED/Douyin) ให้เกิด ความน่าเชื่อถือร่วม มากกว่าทำเดี่ยว ๆ

 

กลยุทธ์ “พร้อมรับ–พร้อมรุก” สำหรับเชียงราย (เช็กลิสต์ทำได้ทันที)

ระยะสั้น (1–3 เดือน นับจากโกลเดนวีค)

  • ภาษา–เมนู–ป้าย–คิวอาร์จีน ให้ครบในย่านท่องเที่ยวหลัก (วัดร่องขุ่น/ร่องเสือเต้น/ไนท์บาซาร์/ถนนคนเดิน/ไร่ชา–กาแฟ)
  • FAST-TRACK Service Mind จุดจอด–จุดรับส่งทัวร์, ห้องน้ำสะอาด, มุมพัก นทท., จุดถ่ายรูป—จัดให้ชัดและ “เป็นมิตรกับคิว”
  • ชุดประสบการณ์รวดเร็ว (2–3 ชม.) สำหรับนักท่องเที่ยวผ่านเมือง เช่น “ศิลป์–กาแฟ–ของฝาก” พร้อมบัตรส่วนลดกลับมาพักคืนหน้า

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • Seasonal Charter/ไฟลต์พิเศษจีน–เชียงราย จับคู่สายการบิน + ผู้ประกอบการพื้นที่ ทำแพ็กข้ามเมือง “เชียงใหม่–เชียงราย” 3D2N/4D3N
  • เทศกาลฤดูหนาวธีมเดียวทั้งเมือง ประสานเทศบาล–เอกชน–แหล่งท่องเที่ยว ต่อยอดไฟประดับ–อีเวนต์ศิลป์–ดนตรี–ชิมชา/กาแฟ
  • มาตรฐานโฮมสเตย์/คอมมูนิตี้–จีนเฟรนด์ลี่ (ภาษา–ความสะอาด–อีเพย์เมนต์) พร้อมคอร์สสั้นสำหรับผู้ประกอบการ

ระยะยาว (มากกว่า 12 เดือน)

  • สร้างซิกเนเจอร์ระดับภูมิภาค “เชียงราย เมืองศิลป์–ชา–กาแฟของอาเซียน” เชื่อม Soft Power อาหารเหนือ–งานคราฟต์–คาเฟ่วิวไร่ชา
  • ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลหลายภาษา (รวมภาษาจีน) ที่อัปเดตรายสัปดาห์ อีเวนต์, สภาพอากาศ, มลพิษ, งานเทศกาล, การเดินทาง
  • พัฒนาเครือข่ายมัคคุเทศก์ท้องถิ่นรุ่นใหม่ เน้นเล่าเรื่องชนเผ่า–ศิลป์–ธรรมชาติอย่างเข้าใจบริบทจีน (มารยาท–ศาสนา–การถ่ายภาพในวัด)

 

มุมมองเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยว “ราคาแพง” ไม่ใช่ปัญหา ถ้า “คุณค่า” ชัด

ราคาตั๋วขากลับที่พุ่ง 400% ทำให้บางคนกังวลว่าอาจ “ปิดประตู” นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มประหยัดในอนาคต แต่งานวิจัยท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ไปในทางเดียวกันว่า—ปัจจัยตัดสินใจหลัก ของนักท่องเที่ยวคุณภาพไม่ใช่ “ราคาตั๋วอย่างเดียว” หากคือ ประสบการณ์ปลายทาง” ที่คุ้มค่าเวลา–เงิน–ภาพจำ โดยเฉพาะตลาดจีนยุคใหม่ที่แสวงหา ความหมาย มากกว่า “ช้อป–เช็กอิน” แบบเดิม

ดังนั้น หากเชียงราย ยกระดับคุณค่าประสบการณ์ ให้เด่นชัด (ศิลป์–วัฒนธรรม–ชา/กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ) พร้อม บริการลื่นไหล (ภาษา–ชำระเงิน–ความปลอดภัย) ความยืดหยุ่นด้านราคาจะสูงขึ้น นักท่องเที่ยว พร้อมยอมรับค่าเดินทางที่สูงขึ้นเป็นครั้งคราว และยังวางแผน “กลับมา–แนะนำเพื่อน” ซึ่งสร้าง มูลค่าอายุลูกค้า (LTV) สูงกว่าการหวังปริมาณระยะสั้น

 

ก่อนไฮซีซันเหนือจะเริ่มเต็มตัว

  1. ข้อมูลรวมศูนย์ นักท่องเที่ยวจีนต้องการข้อมูลที่ อัปเดต–เชื่อถือได้–หลายภาษา (เวลาเปิด–ปิด, กฎการแต่งกายวัด, วิธีไป–จอดรถ, งานเทศกาล) การรวมข้อมูลไว้ใน เว็บ/ไลน์/WeChat/QR เดียว ของจังหวัดจะลดคำถามซ้ำ–ลดประสบการณ์สะดุด
  2. มาตรฐานทัวร์–รถ–คนขับ ป้องกันข่าวลบ/อุบัติเหตุ—สร้าง ไวท์ลิสต์ ผู้ให้บริการผ่านอบรม พร้อมสติกเกอร์รับรองชัดเจน
  3. ฝุ่นควัน–สภาพอากาศ สื่อสารเชิงรุกเรื่อง ช่วงเวลาที่เหมาะเที่ยว–มุมชมวิว–กิจกรรมในร่ม และพยากรณ์รายสัปดาห์ เพื่อบริหารความคาดหวัง
  4. ของแท้–ราคายุติธรรม สินค้าชุมชน–ของฝากต้อง มาตรฐานราคา ชัด ลดช่องว่างการต่อราคาแรง เพื่อความสบายใจและความรู้สึก “แฟร์”

 

ให้ “ผังเมืองท่องเที่ยว” ตอบว่าเชียงรายพร้อมหรือยัง

ตัวเลข โกลเดนวีคปีนี้บอกเราว่า จีนกลับมาแล้ว—แรงและกว้างกว่าที่คาด อัตราผู้โดยสารเฉลี่ยแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางจีน แตะ 24,000 คน/วัน ในบางวัน ขณะที่ราคาตั๋วกลับ ดีด 4 เท่า เป็นภาพสะท้อนดีมานด์ชัดเจน ทว่า ความพร้อมจริง ของเชียงรายวัดกันที่ “ประสบการณ์ปลายทาง” ตั้งแต่ จุดลงสนามบิน–การเดินทาง–ภาษา–เมนู–ความปลอดภัย–กิจกรรม–เทศกาล ไปจนถึง คุณภาพที่พักและบริการ

หากเชียงรายทำให้ เส้นทางศิลป์–ชา–กาแฟ–ชุมชน กลายเป็น ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องได้หลายภาษา เชื่อมด้วย บริการที่ลื่นไหล และ เทศกาลฤดูหนาว ที่ทั้งเมืองร่วมมือกันขับเคลื่อน—คำตอบเรื่องความพร้อม จะชัดเจนเองจาก รีวิว–การกลับมาเยือน–ค่าใช้จ่ายต่อทริป ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน

ท้ายที่สุด ผู้อ่านในฐานะ “ผู้มีส่วนร่วม” ก็มีบทบาท—เลือก–รีวิว–สนับสนุนบริการที่ซื่อสัตย์และคุณภาพ เพื่อส่งสัญญาณให้ตลาดขยับไปสู่มาตรฐานที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

คำถามชวนคิด เมื่อราคาตั๋วกลับปักกิ่งสามารถดีดขึ้น 400% ได้ในช่วงพีก—สิ่งที่เชียงรายควรเร่งทำ ไม่ใช่กังวลเรื่อง “แพง–ถูก” แต่คือการทำให้ทุก “หยวน” ที่นักท่องเที่ยวจ่าย ซื้อเวลาและความทรงจำที่คุ้มค่า จนอยากกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายผงาด! ค้าปลีกโตสวนเศรษฐกิจภาคเหนือ ด้วยพลังโลจิสติกส์ชายแดน

ค้าปลีกเชียงรายโตสวนกระแสเศรษฐกิจเหนือ เบื้องหลังตัวเลข “+1.7% QoQ” ในไตรมาส 2/2568 จากแรงอัดฉีดรัฐ–พลังการค้าชายแดน และบททดสอบครึ่งปีหลัง

เชียงราย, 3 ตุลาคม 2568 — กลางบรรยากาศค้าขายคึกคักบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก รถบรรทุกผลไม้และสินค้าอุปโภคบริโภคทยอยผ่านเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ร้านค้าปลีก–ค้าส่งตลอดแนวชายแดนชูโปรโมชันรับลูกค้าชาวไทย–เมียนมา–ลาว ในช่วงเวลาที่หลายจังหวัดภาคเหนือยังจับจ่ายระมัดระวังมากขึ้น ตัวเลข “ขายดีผิดคาด” ของเชียงรายถูกยืนยันด้วยรายงานผลสำรวจเบื้องต้นของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ว่าใน ไตรมาส 2 ปี 2568 ธุรกิจการขายปลีกสินค้าและงานบริการของจังหวัด ขยายตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อน (+1.7% QoQ)

ตัวเลขดังกล่าวโดดเด่นด้วยสองเหตุผลสำคัญ หนึ่ง—มันสวนทางกับ “สัญญาณชะลอ” ของการบริโภคในภาคเหนือโดยรวมที่เริ่มอ่อนแรงลง และสอง—มันเผยให้เห็น “โครงสร้างแรงขับ” ที่ไม่ได้มาจากกำลังซื้อครัวเรือนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก การเร่งตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ และ ความแข็งแกร่งของการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองปัจจัยสะท้อนบทบาทของเชียงรายในฐานะ “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ของล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้

เลนส์ตัวเลข โตจาก “รายรับรวม” ขณะ “สต็อก” ประเทศลดลง

ข้อมูลภาพรวมจาก “การสำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” ของ สสช. ระบุว่ามูลค่ายอดขาย/รายรับรวมของธุรกิจค้าปลีกและบริการในประเทศ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน มูลค่าสินค้าคงเหลือของธุรกิจค้าปลีกโดยรวมลดลง 2.8% QoQ สะท้อนการระบายสต็อกที่ดีขึ้นในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดที่ก่อนหน้าเผชิญต้นทุนและภาวะระบายสินค้าช้าจากเศรษฐกิจอ่อนแรง

หาก “ซูม” มาที่เชียงราย รายได้ค้าปลีก/บริการที่ทยอยดีขึ้นสอดรับกับกิจกรรมเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะ กิจกรรมโลจิสติกส์–เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น “ห่วงโซ่ตามน้ำ” ของโครงการลงทุนสาธารณะและการค้าข้ามแดน ยิ่งเมื่อประกอบกับฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวไตรมาส 2 ยิ่งช่วยประคองกิจกรรมบริการให้เป็นบวก

เบื้องหลังการเติบโต ไม่ใช่ “ฟื้นกำลังซื้อ” แต่คือ “อุปสงค์นำโดยรายจ่าย”

เมื่อเทียบกับจังหวะเศรษฐกิจภาคเหนือที่โดยรวมยังระวังการใช้จ่าย ตัวเลขของเชียงรายจึงชวนถามว่า “พลังอะไร” ขับเคลื่อน? คำตอบอยู่ที่ แรงอัดฉีดภาครัฐ และ แรงส่งจากการค้าชายแดน ที่เด่นชัดกว่าจังหวัดอื่น

  • ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายลงทุน ข้อมูลเศรษฐกิจภูมิภาคระบุว่า รายจ่ายภาครัฐของเชียงรายพุ่งขึ้นถึง +86.9% YoY ในช่วงไตรมาส 2 โดยมาจากงานลงทุนทางชลประทาน ทางหลวงชนบท และหน่วยงานท้องถิ่นจำนวนมาก เงินลงทุนเหล่านี้ไหลเข้าระบบผ่านค่าแรง–ค่าวัสดุ–ค่าน้ำมัน–ค่าขนส่ง จนเกิด “แรงคูณ” ไปยังค้าปลีกและบริการในพื้นที่
  • การค้าชายแดนยังแข็งแรง มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนของเชียงราย ขยายตัวราว +15.0% ในไตรมาสเดียวกัน สินค้าเด่นคือ ผลไม้สด (ทุเรียน–มังคุด) ไปจีน, น้ำมันเชื้อเพลิง ไป สปป.ลาว, รวมถึง รถยนต์–ปูนซีเมนต์ ตัวเลขดังกล่าวย้ำบทบาทเชียงรายในฐานะโหนดโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ร้านค้าปลีก–ปั๊มน้ำมัน–ศูนย์บริการยานยนต์–โกดังสินค้า รับอานิสงส์ตรง

กล่าวอีกทางหนึ่ง การเติบโตของเชียงรายในไตรมาส 2/2568 เป็นการโตแบบ “Expenditure-led” คือขับโดยรายจ่ายลงทุนและการค้า ไม่ใช่ “Income-led” ที่เกิดจากรายได้ครัวเรือนขยายฐาน กรอบคิดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดเชียงรายจึง “ตัดขาด” จากภาพรวมภาคเหนือบางส่วน และทำไมตัวเลข +1.7% QoQ จึงยืนได้แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคไม่ฟื้นชัด

ภาพภาคบริการ โรงแรม–อาหาร–เดินทาง ช่วยพยุงโมเมนตัม

ฝั่งบริการ ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ขยับดีขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาส 2 และกิจกรรมประชุม–สัมมนา–งานอีเวนต์ของหน่วยงานรัฐ–เอกชนที่มากขึ้น โรงแรมในเมือง–ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวง–บริเวณแม่สาย–เชียงแสน รายงานอัตราเข้าพักคงที่ถึงดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ธุรกิจเดินทางและซ่อมบำรุงยานยนต์ได้ “แรงเสริม” จากปริมาณรถบรรทุก–รถตู้รับส่งตามแนวชายแดน

อย่างไรก็ดี ภาคท่องเที่ยวเชียงรายยังต้องจับตา “ฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติ” โดยเฉพาะตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศที่อาจกดดันการตัดสินใจเดินทาง หากฐานต่างชาติไม่ฟื้นแรง รายได้ฝั่งบริการอาจต้องพึ่งพาตลาดในประเทศและกลุ่มอาเซียน–เกาหลีใต้มากขึ้น

มองลึกพฤติกรรมค้าปลีก ใครได้ประโยชน์มากสุด?

เมื่อลอง “แยกชั้น” ภูมิทัศน์ค้าปลีกในเชียงราย จะพบสัญญาณสองด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

  1. ค้าปลีกเชิงพาณิชย์–โครงสร้างพื้นฐาน ได้อานิสงส์ตรงจากงานรัฐและการค้า ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์โลจิสติกส์ อะไหล่–บริการยานยนต์ หมวดเหล่านี้หมุนเงินไว กำไรต่อหน่วยไม่สูง แต่ยอดรวมขับดันรายรับทั้งจังหวัด
  2. ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โตแบบค่อยเป็นค่อยไปและแข่งขันสูง การขยายสาขาของผู้เล่นรายใหญ่ในจังหวัดยิ่งกระตุ้น “การแข่งขันด้านราคา–ต้นทุน” ผู้ค้ารายย่อยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเรื่องบริหารสต็อก–ช่องทางดิจิทัล–ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (niche) เพื่อรักษาฐานลูกค้าในย่านชุมชน

ในภาพรวมจึงเห็น “แนวโน้มควบรวมตลาดเงียบ ๆ” (market consolidation) ที่ยอดขายรวมขยับขึ้น แต่สัดส่วนกลับไหลไปหาผู้ประกอบการที่บริหารต้นทุนและซัพพลายเชนได้มีประสิทธิภาพกว่า

สัญญาณเตือนครึ่งปีหลัง แรงส่งงบลงทุนเริ่มบาง กำลังซื้อพื้นฐานชะลอ

แม้ Q2 จะ “สวย” แต่ H2/2568 ของเชียงรายมีโจทย์ยากอยู่ 3 ประการ

  1. แรงอัดฉีดภาครัฐมีแนวโน้มกลับสู่ระดับปกติ — การเบิกจ่ายระดับ +86.9% YoY เป็นจังหวะเร่งพิเศษ หากเข้าสู่ช่วงปรับสมดุล ไตรมาสถัดไปกิจกรรมตามน้ำ (เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ขนส่ง) อาจชะลอตัวตาม
  2. กำลังซื้อพื้นฐานอ่อนแรง — ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนในภาคเหนือชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนการระวังใช้จ่ายของครัวเรือนและรายได้ภาคเกษตรที่ไม่สดใส หากไม่มีมาตรการกระตุ้นใหม่ รายจ่ายครัวเรือนด้านสินค้าฟุ่มเฟือยอาจถูกเลื่อนออก
  3. ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์–ท่องเที่ยวต่างชาติ — ข่าวเชิงลบด้านความปลอดภัย/เสถียรภาพส่งผลต่อการรับรู้ต่างชาติ หากตลาดจีนชะลอยืดเยื้อ รายได้ฝั่งบริการจะถูกท้าทายมากขึ้น

เมื่อตัวเลขยอดขายรวมเติบโตจาก “อุปสงค์ภายนอก” มากกว่า “รายได้ครัวเรือน” จึงต้องระวัง ความเสี่ยงสต็อกล้น ในหมวดอุปโภคบริโภค หากผู้ค้า “สั่งของตามความรู้สึกว่าขายดี” แต่ฐานลูกค้าจริงยังย่อส่วน

เมื่อข้อมูลประเทศชี้ “ลดลง 2.8%” ธุรกิจเชียงรายควรอ่านอย่างไร

ข้อมูล สสช. ระบุว่า มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศลดลง 2.8% QoQ หมายถึงหลายธุรกิจเลือก “เบาเหมาะ–เร็วพอ” ในการตุนสินค้า กระแสนี้ควรถูกนำมาใช้ที่เชียงรายด้วยหลัก 3 ข้อ

  1. อ่านจังหวะโครงการรัฐ/งานชายแดนให้ขาด — สินค้าตามน้ำ เช่น วัสดุก่อสร้าง–เชื้อเพลิง–อุปกรณ์โลจิสติกส์ ควร “รีสต็อกแบบหมุนไว” ผูกโยงกับแผนงานภาครัฐ–เทศบาล–รัฐวิสาหกิจ และตารางส่งออกผลไม้ผ่านแดน เพื่อหลีกเลี่ยงการตุนเกินจำเป็น
  2. แยกหมวดฟุ่มเฟือย–จำเป็น — หมวดจำเป็น (อาหาร–ยา–ของใช้ประจำ) ปรับสต็อกแบบปลอดภัย แต่หมวดฟุ่มเฟือย (ไฟฟ้าบางชนิด–ของใช้เพื่อไลฟ์สไตล์) ควร “รอคำสั่งซื้อ” มากกว่า “สั่งตุน” เพื่อรักษาเงินสด
  3. ใช้ข้อมูลดิจิทัลบริหารสต็อก — เชื่อมข้อมูล POS/ออนไลน์–ออฟไลน์ ให้เห็นรอบหมุนสินค้า (inventory turns) รายวัน/สัปดาห์ ลดดีมานด์ฟอร์แคสต์แบบเดาใจลูกค้า

เพื่อให้การเติบโต 1.7% “ต่อยอด” ไม่ใช่ “ชั่วคราว”

สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีก–บริการ

  • บริหารสภาพคล่อง–สต็อกแบบอนุรักษ์นิยม ใน Q3–Q4/2568 โฟกัสหมวดที่ขายเร็ว เกี่ยวข้องโครงการรัฐ–ชายแดน พร้อมแผนระบายสต็อก (promotion playbook) หากกำลังซื้อสะดุด
  • เสริมช่องทางดิจิทัล–ข้ามแดน ปรับสัดส่วนยอดขายไปยังอีคอมเมิร์ซ B2B/B2C และพาร์ตเนอร์โลจิสติกส์ชายแดน ขายยกลัง/สัญญาระยะสั้นแทนหน้าร้านอย่างเดียว
  • ลงทุน “ความต่าง” สินค้าเฉพาะถิ่น–สุขภาพ–เกษตรปลอดภัย–ของฝากคุณภาพ ช่วยกันแรงกดดันด้านราคา และจับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่พักค้าง
  • บริหารต้นทุนอย่างมีวินัย เจรจาซัพพลายเออร์–รวมคำสั่งซื้อ–ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดแรงบีบกำไรขั้นต้นในช่วงแข่งขันราคา

สำหรับหน่วยงานรัฐในจังหวัด

  • คงความต่อเนื่องของโครงสร้างพื้นฐาน–จุดผ่านแดน ดูแลความคล่องตัวด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ เพิ่มประสิทธิภาพพิธีการศุลกากร–โลจิสติกส์
  • สื่อสารความปลอดภัย–ความสงบ บริหารความเชื่อมั่นเชิงรุก โดยจับมือ ททท.–หอการค้า–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว สร้างแคมเปญเจาะตลาดที่ยืดหยุ่น เช่น เกาหลีใต้–มาเลเซีย พร้อมฟื้นภาพลักษณ์ตลาดจีนอย่างมีแผน
  • ข้อมูล–อินไซท์เข้าถึงได้ สนับสนุนแดชบอร์ดข้อมูลค้าปลีก–ชายแดน–นักท่องเที่ยวรายเดือน เพื่อให้เอกชนวางสต็อก–โปรโมชันตรงจังหวะ
  • ยกระดับทักษะดิจิทัล–โลจิสติกส์ สำหรับ SMEs ท้องถิ่น เช่น โปรแกรมย่อส่วน “E-commerce Export Readiness” และการเงินหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยเป็นธรรม

เสียงจากพื้นที่ ภาคเอกชนมอง “ชัด–เฉียบ–เชื่อม”

ผู้ประกอบการค้าปลีกย่านแม่สายสะท้อนคล้ายกันว่า “ลูกค้าดีขึ้นจากรถสินค้าข้ามแดน–แรงงานงานก่อสร้างในพื้นที่ แต่รายจ่ายครัวเรือนทั่วไปยังบีบ” ขณะที่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในเชียงของมองการค้าผ่านแดนไปจีนตอนใต้ “ทรงตัวถึงขยายเล็กน้อย” หากด่านลื่นไหล–เอกสารดิจิทัลเชื่อมกันได้มากขึ้น “รอบหมุน” จะดีต่อเนื่องและส่งผ่านมายังค้าปลีกปลายทาง

 “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ที่ต้องรักษาสมดุล

ตัวเลข +1.7% QoQ ของเชียงรายคือ “การพิสูจน์ศักยภาพของเมืองชายแดน” ว่าเมื่อรัฐเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานและด่านการค้าทำงานคล่อง เศรษฐกิจท้องถิ่นสามารถ “ต้านแรงเฉื่อย” ของวัฏจักรบริโภคภูมิภาคได้ อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของโมเมนตัมนี้ขึ้นอยู่กับ สามสมดุล ที่ต้องรักษาให้ได้พร้อมกัน

  1. สมดุลรายได้–รายจ่าย จากโตด้วยรายจ่ายรัฐ สู่โตด้วยรายได้ครัวเรือน—ต้องเร่งยกระดับผลิตภาพ–ทักษะ–งานบริการคุณภาพ เพื่อให้กำลังซื้อฐานรากฟื้นจริง
  2. สมดุลค้าปลีก–ชุมชน การขยายของผู้เล่นรายใหญ่ควรเดินคู่การยกระดับร้านชุมชน ให้มีดิจิทัล–โลจิสติกส์–สินค้าคุณภาพ สร้างระบบนิเวศที่อยู่ร่วมกันได้
  3. สมดุลชายแดน–ภาพลักษณ์ ความคล่องตัวด่านและความปลอดภัยท่องเที่ยวคือ “สองคานงัด” ที่ต้องแข็งพร้อมกัน เพื่อให้เชียงรายรักษาฐานค้าชายแดนและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

หากทุกฟันเฟืองหมุนสอดประสาน เชียงราย จะไม่เพียง “โตสวนทาง” ชั่วคราว แต่สามารถยืนระยะในฐานะ ศูนย์กลางค้าปลีก–บริการชายแดน ของภาคเหนือ ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอให้ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ยั่งยืน

ไฮไลต์ตัวเลขที่ต้องจำ

  • ค้าปลีก/บริการเชียงราย Q2/2568 +1.7% QoQ (รายรับรวม)
  • สินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศ Q2/2568 –2.8% QoQ
  • รายจ่ายภาครัฐเชียงราย เร่งตัว +86.9% YoY (หนุนกิจกรรมตามน้ำ)
  • มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนเชียงราย ขยาย ประมาณ +15.0%
  • ความท้าทาย H2/2568 แรงส่งงบลงทุน “จาง”; การบริโภคพื้นฐาน “อ่อน”; ความเสี่ยงภาพลักษณ์ท่องเที่ยว “ยังมี”

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (Actionable)

ผู้ประกอบการ

  • ปรับสต็อกให้ “หมุนไว–เสี่ยงต่ำ” โฟกัสสินค้าตามน้ำโครงการรัฐ–ชายแดน
  • เร่ง “อีคอมเมิร์ซ–B2B ชายแดน” และสร้างสินค้าเฉพาะถิ่นเพิ่มมูลค่า
  • ทำ “ต้นทุนแจ่ม–ข้อมูลชัด” ใช้แดชบอร์ดขายรายสัปดาห์ตัดสินใจโปรโมชัน

ภาครัฐจังหวัด

  • คงความลื่นไหลด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ และระบบเอกสารดิจิทัล
  • สื่อสารความปลอดภัยเชิงรุก ร่วม ททท.–ผู้ประกอบการ
  • เปิดข้อมูลเชิงลึกค้าปลีก–ท่องเที่ยวรายเดือน ให้เอกชนใช้วางแผนสต็อก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – เอกสารสรุปผล “สำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” และอินโฟกราฟิกประกอบ:
    • มูลค่ายอดขาย/รายรับรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568
    • มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกลดลง 2.8% QoQ ในไตรมาส 2/2568
      (อ้างอิงจากเอกสารภาพประกอบทางการของ สสช. ที่ผู้สื่อข่าวได้รับ)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคเหนือ – รายงานภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือระยะใกล้ ที่ชี้ว่า
    • การบริโภคภาคเอกชนภาคเหนือ “ชะลอลง/หดเล็กน้อย” ในไตรมาส 2/2568
    • การลงทุนภาครัฐในเชียงรายเร่งตัวสูง โดยมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (ชลประทาน–ทางหลวงชนบท–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
    • แนวโน้มไตรมาส 3/2568 มีความเสี่ยงชะลอตัวต่อเนื่อง
      (เอกสารรายงานเศรษฐกิจภูมิภาค ธปท. สำนักงานภาคเหนือ งวดล่าสุดที่เผยแพร่สาธารณะ)
  • กระทรวงพาณิชย์/สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และกรมศุลกากร (ด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) – สถิติการค้าชายแดนและผ่านแดนที่สะท้อนการขยายตัวในไตรมาส 2/2568 ราว +15% โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้ น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และวัสดุก่อสร้าง
    (ข้อมูลภาพรวมการค้าชายแดนของจังหวัดและรายด่านที่เปิดเผยต่อสาธารณะ/รายเดือน)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – บทวิเคราะห์แนวโน้มท่องเที่ยวปี 2568 และความเสี่ยงจากประเด็นภาพลักษณ์ความปลอดภัยของไทยที่อาจฉุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลง (ประเมินหดตัวราว 2–3% YoY) และผลต่อรายได้ท่องเที่ยวภูมิภาคเหนือ
    (รายงานคาดการณ์และบทวิเคราะห์ฉบับล่าสุด ณ ช่วงไตรมาส 2–3/2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รฟท. เปิดปฐมฤกษ์เชื่อมราง เด่นชัย–เชียงของ ดันโลจิสติกส์เชื่อม GMS

เด่นชัยเชื่อมรางประวัติศาสตร์ สร้างฮับโลจิสติกส์ใหม่ “ล้านนาตะวันออก–ลาว–จีน”  จุดเปลี่ยนระบบรางไทย และคำถามใหญ่หลังพิธีเปิด

เชียงราย/แพร่, 2 ตุลาคม 2568 — เวลา 09.09 น. วันที่ 30 กันยายน 2568 ระฆังช็อตสำคัญของระบบรางไทยดังขึ้นที่ สถานีเด่นชัย จ.แพร่ เมื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทำพิธี เปิดปฐมฤกษ์เชื่อมราง ระหว่างรางรถไฟประวัติศาสตร์กับรางทางคู่สายใหม่ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ช่วงแรกในพื้นที่เด่นชัย—ภาพของรางเหล็กที่ประกบแนบสนิทกัน ไม่ได้หมายถึงแค่การบรรจบราง แต่คือการบรรจบโอกาส จากเมืองราบสูงสู่ชายแดนล้านนาตะวันออก จากชุมชนเล็กริมรางสู่เครือข่ายการค้า ลาว–จีนตอนใต้ และตลาดโลก

บนชานชาลา นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการ รฟท. ทำหน้าที่ประธานในพิธี ท่ามกลางผู้แทนภาครัฐท้องถิ่น อาทิ นายประจักร์ จินดาจำรูญ นายอำเภอเด่นชัย, นายนิคม ชุ่มใจ รองนายกเทศมนตรีตำบลเด่นชัย รวมถึง กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และ กิจการร่วมค้าไอทีดี–เนาวรัตน์ ซึ่งเป็นคีย์พาร์ตเนอร์ในภาคสนาม—ชี้ชัดว่าการขับเคลื่อนระบบรางไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมส่วนกลางเท่านั้น หากแต่ยืนอยู่บน “สนามจริง” ของเมือง–ชุมชน–ผู้ประกอบการ

เด่นชัย จากสถานีอายุ 113 ปี สู่ “หัวต่อใหม่” ของระบบรางล้านนาตะวันออก

สถานี เด่นชัย เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2455 กว่า 113 ปี บนหน้าประวัติศาสตร์การรถไฟไทย เด่นชัยคือ “จุดเปลี่ยนทิศทาง” สำคัญของโครงข่ายเหนือฝั่งตะวันออก และวันนี้สถานีเดิมกำลังถูกจัดวางบทบาทใหม่ให้เป็น Distribution Hub หรือ ศูนย์กระจายสินค้า รองรับรถสินค้า/ตู้คอนเทนเนอร์และขบวนผู้โดยสารภายใต้แผน รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ที่ตั้งเป้าเชื่อม จังหวัดปลายทางชายแดน อย่าง เชียงราย/เชียงของ สู่ สปป.ลาว–จีนตอนใต้ ผ่าน ด่านเชียงของ–ห้วยทราย และเครือข่าย รถไฟลาว–จีน

สาระเชิงยุทธศาสตร์ ของ “หัวต่อเด่นชัย” มี 3 มิติเด่น:

  1. โลจิสติกส์–การค้า ทางคู่เพิ่มความจุเส้นทาง (Line Capacity) ลดการรอหลีก เพิ่มความตรงเวลา (On-time) และทำให้ ต้นทุนต่อหน่วย ขนส่งทางรางมีเสถียรมากขึ้น หากโหนเข้าสู่โครงข่าย ลาว–จีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดแกนขนส่ง “รางต่อราง” จากแหล่งผลิต–ศูนย์กระจาย–ด่านชายแดน ลดการยกถ่ายซ้ำซ้อน
  2. ท่องเที่ยว–การเข้าถึงเมืองรอง ทางคู่สร้าง การเดินทางที่คาดการณ์ได้ (Predictable Travel Time) ลดเวลาต่อรถ และเชื่อมสนามบิน–เมืองท่องเที่ยวในล้านนาตะวันออก ทำให้การท่องเที่ยว นอกฤดู และ เมืองรอง (แพร่, น่าน, พะเยา, เชียงราย) มีแรงส่งจากระบบราง
  3. คุณภาพชีวิต–โอกาสชุมชน รถโดยสารที่ตรงเวลา–ความจุสูง ช่วยลด “ต้นทุนเวลา” ของแรงงาน นักเรียน ผู้ป่วย โดยเฉพาะชุมชนชนบทที่การเข้าถึงบริการรัฐ–โรงพยาบาล–ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ยังพึ่งพาทางถนนเป็นหลัก

พิธีที่ “เชื่อมราง”—และเชื่อมความหวัง

ภาพเชื่อมราง ณ เวลา 09.09 น. อาจดูเป็นสัญลักษณ์ แต่ในทางวิศวกรรมคือหมุดหมาย ความพร้อมเชิงโครงสร้าง ที่ยืนยันว่าพื้นฐานงานดิน–โครงสร้าง–ทางวิ่ง–ทางแยก–ราง–ระบบประแจ เดินหน้าไปสู่จุดที่ รางใหม่ “คอนแท็กต์” กับรางเดิม อย่างปลอดภัย การเชื่อมรางที่เด่นชัยจึงเป็น “Zero Moment” ที่ลั่นกลองสู่เฟสทดสอบ–ปรับเทียบ–บูรณาการระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–ความปลอดภัย ก่อนเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในระยะถัดไป

ตัวแทนฝ่ายปกครองท้องถิ่นอย่าง นายอำเภอเด่นชัย และ รองนายกเทศมนตรีตำบลเด่นชัย ที่เข้าร่วมพิธี สะท้อน “ความพร้อมด้านพื้นที่”—ตั้งแต่การจัดระเบียบจราจรข้ามทางรถไฟ, มาตรการความปลอดภัยชุมชนริมราง, ไปจนถึงการเตรียมพื้นที่สนับสนุนกิจกรรมโลจิสติกส์ (ลานพักสินค้า/คอนเทนเนอร์) และบริการผู้โดยสาร

จากเด่นชัย–ขึ้นล้านนา–แตะชายแดน ทำไม “ทางคู่” คือคำตอบ

ประเทศไทยขนส่งสินค้าด้วยทางถนนมากกว่าทางรางอย่างยาวนาน ขณะที่ ต้นทุนโลจิสติกส์ คิดเป็นสัดส่วนสูงต่อ GDP เมื่อเทียบบางประเทศในภูมิภาค การ “อัพเกรดเป็นทางคู่” จึงเป็นนโยบายเชิงโครงสร้างเพื่อลด คอขวดเชิงเทคนิค ของทางเดี่ยวที่ต้องรอหลีก ซึ่งขัดกับความต้องการบริการขนส่ง ตรงเวลา–ความถี่สูง ทั้งภาคสินค้าและผู้โดยสาร

ในทางปฏิบัติ ทางคู่ ให้ “ความจุเส้นทาง” มากขึ้น ชั่วโมงละหลายขบวน สามารถแทรกขบวนสินค้า–ผู้โดยสารได้อย่างยืดหยุ่น ลดเวลาจอดรอที่สถานีหลีกตลอดเส้นทาง และเมื่อจับคู่กับ ระบบอาณัติสัญญาณ–ควบคุมการเดินรถ ที่ทันสมัย จะยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัย–ความตรงเวลา ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของโลจิสติกส์ยุคอีคอมเมิร์ซ/การผลิตแบบทันเวลา (Just-in-Time) และการท่องเที่ยวที่ผู้โดยสารคาดหวังความแน่นอน

เด่นชัยฮับ” ในภาพใหญ่ลุ่มน้ำโขง เชื่อมลาว–จีนอย่างไรให้ “เกิดผล”

บทเรียนสำคัญ ของโครงข่ายคือ ปลายทางต้องรับกันได้จริง” เด่นชัยอาจทำหน้าที่หัวต่อได้ดี แต่ถ้า ปลายทางเชียงของ–ด่านห้วยทราย และ สถานี/ยาร์ด ฝั่งชายแดนไม่พร้อมรองรับ ขบวน–รอบ–น้ำหนัก–มาตรฐานตู้ หรือ ระบบพิธีการศุลกากร–ด่านควบคุม ยังติดขัด การเชื่อมโยงกับเครือข่าย รถไฟลาว–จีน จะกลายเป็น “ข้อต่อหลวม” ที่ทำให้ประสิทธิภาพหดหาย

ดังนั้น ประเด็นที่ผู้ปฏิบัติการและหน่วยงานสาธารณะต้องโฟกัสหลังพิธีเชื่อมราง คือ

  • โครงสร้างยาร์ด–คลัง–ลานตู้ (ICD/Logistics Park)  ต้องมีความจุรับ–จ่ายตู้, เครน–อุปกรณ์ขนถ่าย, ระบบตรวจ–ชั่ง–ความปลอดภัย ที่รองรับรูปแบบขนส่งหลายโมด (Multimodal)
  • ด่าน–ศุลกากร–พิธีการ ต้องปรับ กระบวนงานไร้รอยต่อ (Seamless) ข้ามแดน ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน, ยกระดับดิจิทัล/แลกเปลี่ยนข้อมูลล่วงหน้า เพื่อให้ “รถไฟสินค้าข้ามแดน” เคลื่อนผ่านได้ตามตารางเวลา
  • ความถี่/ตารางเดินรถ ต้องออกแบบให้สอดรับดีมานด์จริงจากผู้ส่งออก–ผู้นำเข้า ไม่ใช่มีราง–มีสถานี แต่ไม่มี “รอบวิ่ง” ที่เพียงพอและคาดการณ์ได้

ผลสะเทือนต่อ “เชียงราย–ชายแดน” และเมืองรองล้านนาตะวันออก

แม้พิธีจะเกิดที่แพร่ แต่จุดสิ้นสุดของโครงการคือ เชียงของ (ชายแดน) และเมืองหลักอย่าง เชียงราย ได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งด้านท่องเที่ยว–ลงทุน–โลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐานทางราง จะทำให้การวางเครือข่าย คลัง–กระจายสินค้า–ศูนย์รวบรวมการเกษตร ของภาคเหนือฝั่งตะวันออก เข้าถึงชายแดนเร็วขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนเดินทางสู่ เชียงราย/ภูชี้ฟ้า/ดอยตุง/เชียงของ ด้วย เส้นทางราง–ถนน ที่ผสมผสานคล่องตัวกว่าเดิม

ในเชิง เศรษฐกิจฐานราก การมี “รอบรถ–รอบขนส่ง” ที่แน่นอน ช่วยเกษตรกร/SME วางแผนการส่งสินค้าแช่เย็น–เกษตรสด–เกษตรแปรรูปได้ดีขึ้น ลดการสูญเสียปลายทาง ส่วนในมิติ สังคม–บริการสาธารณะ การเดินทางด้วยรางเปิดช่องทางให้คนเปราะบาง–ผู้สูงวัย–นักเรียน เข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาในเมืองได้สะดวกและปลอดภัยกว่า

สถิติ–บริบทชวนคิด (เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย)

  • 113 ปี อายุสถานีเด่นชัย—จากสถานีท้องถิ่นสู่หัวต่อยุทธศาสตร์ของทางคู่
  • 1 ช็อตเชื่อมราง จุดเริ่มของเฟสทดสอบ–บูรณาการระบบ ก่อนเปิดเชิงพาณิชย์
  • หลายหมื่นล้านบาท สเกลงานลงทุนทางคู่และระบบประกอบ (ตามกรอบโครงการทางคู่ทั่วไปของประเทศ) ที่จะคืนผลลัพธ์ผ่าน ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง และ ประสิทธิภาพเวลา
  • ห่วงสำคัญ หากไม่มี ICD/Yard รองรับ–พิธีการข้ามแดนทันสมัย–ความถี่เดินรถเพียงพอ ผลลัพธ์ “รางต่อราง” จะถูกจำกัด

สาระสำคัญ “ความเร็วในการสร้างราง” ต้องเดินคู่กับ “ความเร็วในการจัดระบบปลายทางและพิธีการ” เพื่อให้ ผลประโยชน์สาธารณะ ตกถึงมือประชาชน–ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง

เสียงและมุมมองผู้เกี่ยวข้อง (ถอดความจากสาระในพิธี–ข้อมูลที่เปิดเผย)

  • ฝ่าย รฟท. (นายจเร รุ่งฐานีย) มองการเชื่อมรางเป็น “หลักไมล์” ที่ยืนยันความก้าวหน้าตามแผน และเป็นฐานให้การทดสอบระบบ–ความปลอดภัยก่อนให้บริการจริง
  • ฝ่ายปกครองท้องถิ่น (นายอำเภอเด่นชัย/เทศบาล) ให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยชุมชน ระหว่างก่อสร้าง–ทดลองเดินรถ และโอกาส ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน รอบสถานี
  • ที่ปรึกษา/ผู้รับเหมา (CSDCC/ITD–Nawarat JV) โฟกัส คุณภาพ–มาตรฐานงานวิศวกรรม และการส่งมอบพื้นที่–ระบบตามไทม์ไลน์ เพื่อเปิดทางให้ “งานระบบ” (อาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–ทดสอบ) ทำต่อเนื่องได้ทันที

สิ่งที่ต้องเร่งทำ “หลังพิธี”

  1. Roadmap ทดลอง–รับรองความปลอดภัย (Safety Case)  เผยกำหนดการทดสอบวิ่ง, การปรับจูนอาณัติสัญญาณ, การฝึกบุคลากร และ มาตรฐานความปลอดภัย สำหรับเปิดเดินรถ
  2. โครงสร้างโลจิสติกส์ปลายทาง เร่งวางแผน ICD/คลัง/ยาร์ด ที่เชียงของ–เชียงราย–แพร่ ให้ “ราง–ถนน–ศุลกากร” ต่อเชื่อมไร้รอยต่อ
  3. การมีส่วนร่วมชุมชน จัดทำ มาตรการกำกับเสียง–สั่นสะเทือน–ข้ามราง และสื่อสารความเสี่ยง–ข้อปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
  4. แพ็กเกจการท่องเที่ยวทางราง บูรณาการ ททท.–จังหวัด–เอกชนท่องเที่ยว ออกแพ็กเกจ “Rail + Local Experience” สู่เมืองรองล้านนาตะวันออก ช่วงหลังเปิดบริการ

จากรางเหล็กสู่ชีวิตคน

“การเชื่อมราง” ที่เด่นชัย คือภาพจำของ เหล็กชนเหล็ก แต่ สาระ อยู่ที่ “เหล็กสัมผัสชีวิตคน”—เด็กนักเรียนที่ไม่ต้องรอรถนาน, ผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลเมืองได้ตามเวลา, เกษตรกรที่ส่งสินค้าได้ตรงรอบ, นักท่องเที่ยวที่ไปเมืองรองได้สะดวก, ผู้ประกอบการที่วางแผนโลจิสติกส์ได้อย่างมืออาชีพ และชุมชนที่มี ทางเลือกการเดินทาง เพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย

บทสรุปเชิงบรรณาธิการ

  • พิธีเชื่อมรางเด่นชัยคือ “สัญญาณบวก” ว่า โครงสร้างพื้นฐานทางคู่ เดินมาถูกทางในฝั่งล้านนาตะวันออก
  • ความสำเร็จจริง จะเกิดเมื่อ “ราง–ยาร์ด–ด่าน–พิธีการ–ความถี่เดินรถ” ทำงานสอดประสาน และประชาชนรู้สึกถึง คุณภาพเดินทางที่ดีขึ้น
  • สำหรับ เชียงราย–เชียงของ และเมืองรองรอบๆ จุดหมายต่อไปคือ แปลงรางเป็นรายได้ โลจิสติกส์ที่ถูกลง, ท่องเที่ยวที่เข้าถึงง่ายขึ้น, โอกาสฐานรากที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข./OTP) 
  • กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และ กิจการร่วมค้าไอทีดี–เนาวรัตน์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แผน 20 ปี เชียงราย สู่เมืองสร้างสรรค์-สุขภาพ-โลจิสติกส์ โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงรายเร่งทบทวนแผน 20 ปี สู่ “มหานครชายแดน” เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองสุขภาพ–โลจิสติกส์เชื่อม GMS ถ้าทำครบเกมรุก โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงราย, 30 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เมืองเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยตัวแทนกว่า 250 คน จากภาครัฐ ภาควิชาการ เอกชน และท้องถิ่น ภายใต้โจทย์เดียวกันว่า “แผน 20 ปี ของเชียงราย” ต้องถูก “ปรับจูน–ประกบ–เร่งเครื่อง” ให้เท่าทันโลกและบริบทใหม่ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ เชียงราย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เมืองแห่งสุขภาพ เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง พัฒนาอย่างยั่งยืน” ไปให้ถึงเส้นชัยตามกรอบ พ.ศ. 2566–2585

การประชุมเชิงปฏิบัติการฉบับทบทวนครั้งนี้มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และมี น.ส.ปัทมาภรณ์ จันทรคณา ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดฯ ชี้แจงกรอบดำเนินการ ว่าการทบทวนนี้สอดคล้องแนวทางของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ที่กำหนดให้ทุกจังหวัดปรับเป้าหมายพัฒนา “ทุก 5 ปี” เพื่อไม่ให้แผนระยะยาวล้าสมัย และเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่อัปเดตแล้วจริง

เส้นเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน จากจังหวัดปลายทางท่องเที่ยว สู่มหานครชายแดนที่ยั่งยืน

คำถามที่ทุกคนเฝ้าฟังคำตอบคือ—ถ้าทำตามแผนได้ครบ เชียงรายจะยืนอยู่จุดไหน?”
คำตอบถูกวางไว้ชัดในเอกสารประชุม เชียงรายจะก้าวเป็น “Sustainable Border Metropolis” เมืองชายแดนที่เติบโตด้วยความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ เชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับจีน–ลาวผ่านระเบียงเศรษฐกิจ R3A/NSEC และยืนหยัดด้วย “โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง–ซอฟต์เพาเวอร์ทรงพลัง–ฐานรากเข้มแข็ง–สิ่งแวดล้อมสมดุล”

4 ช่วงเวลา 20 ปี จังหวะก้าวที่ถูกกำหนด

  • ช่วงที่ 1 (2566–2570): ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เชิงสุขภาพ เกษตรปลอดภัย—สร้างแบรนด์และจุดจำหน่าย/กิจกรรมที่หนุนเศรษฐกิจฐานราก
  • ช่วงที่ 2 (2571–2575): เร่งผลักดัน UNESCO Creative City และ Geopark, เปิดใช้โครงสร้างพื้นฐานหลัก, เดินเครื่อง Smart City และ “นวัตกรรมการแพทย์”
  • ช่วงที่ 3 (2576–2580): ขยายบทบาทสู่ ศูนย์กลางสุขภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ดัน “เกษตรมูลค่าสูง” และจัดการทรัพยากรแบบสมดุล
  • ช่วงที่ 4 (2581–2585): ปิดเกมด้วย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง, เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง, เมืองคาร์บอนต่ำ, และ สังคมร่วมสมัยที่เท่าเทียม

จุดเด่นที่ “เริ่มทำแล้ว” ฐานรากกับฟันเฟืองที่หมุนอยู่จริง

ตลอดสองปีแรกของแผน จังหวัดรายงาน “ความคืบหน้าเชิงรูปธรรม” หลายมิติ ซึ่งเป็น “หมุดหมายตั้งต้น” ของการเปลี่ยนผ่าน

1.เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ / Soft Power เมือง

  • เชียงรายเดินเกมแบรนด์เมืองต่อเนื่อง ภายใต้กรอบเมืองสร้างสรรค์ และกิจกรรมระดับนานาชาติ (เช่น เทศกาลบอลลูนนานาชาติที่คว้ารางวัล) เพื่อยกระดับการรับรู้ พร้อมโยงสู่การยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตร–หัตถกรรม ด้วยดีไซน์/เรื่องเล่าที่จับใจ
  • เมืองหันจากการขาย “สถานที่” ไปสู่การขาย “ประสบการณ์” และ “อารมณ์ร่วม”—ตั้งแต่งานออกแบบเชิงวัฒนธรรมล้านนา จนถึงผลิตภัณฑ์กาแฟ/ชา/สิ่งทอที่เล่าเรื่องชุมชนได้
  1. เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) รับบท “สมองและหัวใจ” ของนวัตกรรมสุขภาพจังหวัด ผลักดันองค์ความรู้/งานวิจัย/หลักสูตร/บริการ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ผลิตภัณฑ์สมุนไพร/อาหารสุขภาพ ที่มีรากจากภูมิปัญญาล้านนา
  • สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลเครือข่าย เดินเกม “สุขภาพไปหาเมือง” เช่น โมเดลคลินิก/จุดตรวจ/ฉีดวัคซีนในพื้นที่ใช้ชีวิตจริง (ศูนย์การค้า/ชุมชน) ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ สร้างวัฒนธรรม “ดูแลตัวเองเป็นกิจวัตร”

2.ศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ รายงานความก้าวหน้าประมาณ 41% (คาดเปิดใช้งาน พ.ศ. 2571) ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมเหนือ-ลุ่มน้ำโขง-จีน บทบาท “ด่านเชียงของ/สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4” จะยิ่งโดดเด่น
  • โครงข่ายถนน/อุโมงค์/ทางลอดสำคัญในเมืองเดินหน้า (เช่น ทางลอดแยกศูนย์ราชการ), ระบบเชื่อม R3A ได้รับการเร่งรัด เพื่อรองรับคน–ของ–บริการสุขภาพข้ามแดน
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง (CEI) อยู่ในแผนยกระดับความจุและบริการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะเป็น “หมุดธุรกิจ” เสริมบทบาทการบิน/ท่องเที่ยว/ขนส่งในอนาคต

ถ้าดึง 3 ฟันเฟืองนี้ประสานกัน—การเดินทางสะดวก (Rail/Road/Air), เมืองมีซอฟต์เพาเวอร์จริงจัง, และบริการสุขภาพ–นวัตกรรมเข้าที่—เชียงรายจะเปลี่ยน “สถานะ” ทางเศรษฐกิจของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าทำครบ…เชียงรายจะยืนตรงไหนในแผนที่เศรษฐกิจ–สังคมของภาคเหนือและ GMS?

  1. เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง
    สถานะ UNESCO Creative City (และแผน Geopark) จะเป็น “ตราประทับคุณภาพ” ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อมกิจกรรมศิลปะ–วัฒนธรรม–การออกแบบ–เทศกาล สู่ผลิตภัณฑ์/บริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น ชุมชนมีรายได้กระจาย ไม่ใช่กระจุกในแลนด์มาร์กไม่กี่แห่ง
  2. ศูนย์กลางสุขภาพ GMS
    ด้วย “บันได 3 ขั้น”—(ก) โครงสร้างพื้นฐานเข้าถึงง่าย, (ข) นวัตกรรมการแพทย์/ผลิตภัณฑ์สุขภาพจาก มฟล.–สาธารณสุข, (ค) แพ็กเกจ Wellness & Medical Tourism—เชียงรายสามารถเป็น ศูนย์กลางส่งเสริมสุขภาพ สำหรับผู้คนจากลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้–นักเดินทางระหว่างประเทศ ที่ต้องการบริการคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้
  3. ศูนย์กลางโลจิสติกส์–การค้าชายแดน
    รถไฟทางคู่ไปถึงเชียงของ = ลดต้นทุน–เวลา ขยายคลัง/ศูนย์กระจายสินค้า/แปรรูป–บรรจุภัณฑ์ เกิดงานบริการต่อเนื่อง (ขนส่งเย็น, e-commerce cross-border, QC/มาตรฐานอาหารปลอดภัย) เมืองกลายเป็น “เครือข่ายศูนย์” ไม่ใช่ “ปลายเส้นทาง”
  4. เมืองคาร์บอนต่ำและสังคมเท่าเทียม
    โลจิสติกส์ระบบราง + ผังเมืองที่ดี + พลังงานสะอาด + การจัดการของเสีย–มลพิษ หมายถึงเส้นทางสู่ Net-Reduction ที่จับต้องได้ ขณะที่การกระจายรายได้ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์/สุขภาพ/โลจิสติกส์ จะค่อย ๆ อุดช่องว่าง SDG 1 (ความยากจน) ให้แคบลง

แต่ “จุดเสี่ยง–คอขวด” ก็ใหญ่พอ ๆ กับความฝัน

  • SDG 9 (นวัตกรรม–โครงสร้างพื้นฐาน) หากงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, ศูนย์ทดสอบ–มาตรฐาน, Sandbox นวัตกรรมเมือง ไม่ขยับเร็ว แพลน Smart City/HealthTech ในระยะที่ 2 จะช้า
  • SDG 7 (พลังงานสะอาด) เมืองคาร์บอนต่ำในระยะที่ 4 ต้องเริ่มลงทุน “วันนี้”—โซลาร์บนหลังคาสาธารณะ/เอกชน, EV logistics, โรงไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล–เศษวัสดุเกษตร, ศูนย์รีไซเคิล–แยกขยะต้นทาง
  • SDG 1 (ความยากจน) ถ้า “มูลค่าเพิ่ม” ไม่ซึมถึงฐานราก—เกษตรกร/แรงงานนอกระบบ/ผู้สูงอายุ การเติบโตจะกระจุก ไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องออกแบบ “Product–Skill–Market” สำหรับฐานรากอย่างเป็นระบบ

Roadmap เร่งด่วน 3 ข้อ (เพื่อไม่ให้พลาดโค้งสำคัญใน 5 ปีแรก)

  1. ทำ SDG 9 และ 7 ให้เป็น “KPI ข้ามหน่วยงาน”
    ตั้งงบกลางจังหวัดสำหรับ ดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานเมือง/ห้องทดลองมาตรฐาน และ โครงการพลังงานสะอาดในสถานที่สาธารณะ ที่วัดผลได้—เชื่อมตรงกับเป้าหมาย Smart City–คาร์บอนต่ำ
  2. ใช้ “จังหวะรถไฟ–R3A–สนามบิน” เป็นเครื่องเร่ง
    ก่อนรถไฟเปิดเต็มระบบ ควรทำ แพ็กเกจโลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–สุขภาพ ทดลองตลาดจีนตอนใต้/CLMV ผ่านถนน R3A พร้อมเชื่อมปฏิบัติการสนามบิน/ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ที่กำลังยกระดับ
  3. ยก “ดีไซน์” เป็นวาระจังหวัด–บ่มเพาะผู้ประกอบการฐานราก
    ต่อท่อความรู้จากมหาวิทยาลัย/ดีไซเนอร์ ไปยังเกษตรกร–วิสาหกิจชุมชน—ให้มีงบ “ออกแบบ–ต้นแบบ–แบรนด์–คอนเทนต์–ตลาดออนไลน์” แบบมืออาชีพต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อแปลง Soft Power เป็นรายได้จริง

เสียงจากเวทีและหมายเหตุเชิงนโยบาย

แม้เวทีวันนี้จะเป็นเชิงเทคนิค แต่สารตั้งต้นจากฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัดชัดเจน “ไม่ใช่แค่ทำแผนให้ครบ เรายิ่งต้อง ‘ทำงานแบบเครือข่าย’” — ภาครัฐ (จังหวัด/อำเภอ/อปท.), มหาวิทยาลัย (มฟล./มหาวิทยาลัยในพื้นที่), สาธารณสุข, เอกชน (ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การแพทย์–การบิน), ชุมชน ต้อง “ล็อกเป้าร่วม” และ “รายงานผลร่วม” ทุก 6–12 เดือน เพื่อให้ทุกโครงการ “คืบหน้าเท่ากัน” ไม่ใช่ไปเร็วเฉพาะบางเสาแล้วเหลื่อมล้ำในภาพรวม

ภาพที่เห็นได้ชัดหลังปิดการประชุมคือ “เชียงรายเริ่มมีร่างของมหานครชายแดน”—เส้นเลือดใหญ่กำลังก่อรูป, กล้ามเนื้อเศรษฐกิจสร้างสรรค์เริ่มขึ้นรูป, ปอดสีเขียว–สุขภาพเมืองกำลังถูกออกแบบ… “งานยาก” คือการทำให้ทุกอวัยวะ เต้นจังหวะเดียวกัน ตลอด 20 ปี

สรุปสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/หน่วยงาน

  • ธีมเมือง “ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ + สุขภาพ + โลจิสติกส์ชายแดน + คาร์บอนต่ำ” คือสูตรผสมที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ–วัฒนธรรม–พรมแดนของเชียงราย
  • ตัวเร่ง ทำ SDG 9 และ 7 ให้ “ขึ้นจริง” ใน 3 ปี—เพราะเป็นฐานของ Smart City, HealthTech, และคาร์บอนต่ำ
  • ตัวชี้ขาด โครงสร้างพื้นฐาน “เดินตามแผน” + กลไกกำกับแบบ KPIs ข้ามหน่วยงาน + เงินทุน/มาตรการจูงใจเอกชน
  • ภาพเส้นชัย เชียงรายเป็นเมืองปลายทางที่ผู้คน “อยากไป–อยู่ได้–ทำงานได้–รักษาพยาบาลได้–ค้าขายเชื่อมโลกได้” และฐานราก “อยู่ดี–มีกิน–สะอาด–เท่าเทียม”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย — กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) / ก.น.บ.
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) / สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมทางหลวง
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT
  • เครือข่ายการท่องเที่ยว/อุตสาหกรรมสร้างสรรค์จังหวัดเชียงราย
  • กรอบ SDGs ระดับจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เกมรุกโลจิสติกส์! ไทย-จีนเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่ง ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออก

เชียงราย–กรุงเทพฯชี้ชัด “เปิดด่านผลไม้ใหม่ไทย–จีน 5 แห่ง 1 ก.ย. 2568” เกมรุกโลจิสติกส์ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออกแตะ 1.8 แสนล้านบาท

เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 – เส้นทางการค้าผลไม้ไทยกับจีนกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อไทยและจีนตกลง “เพิ่มจุดนำเข้า–ส่งออกผลไม้” อีก 5 แห่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือขนส่งผ่านประเทศที่สาม กำหนดเริ่มใช้ “1 กันยายน 2568” เป้าหมายชัดเจน คือ ลดต้นทุนและคลายความแออัดของด่านเดิมในฤดูกาลผลไม้ พร้อมขยายทางเลือกสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ข่าวนี้ถูกจับตาในฐานะ “เครื่องมือเชิงโครงสร้าง” ที่อาจยกระดับโซ่อุปทานผลไม้ไทยทั้งระบบ หากสามารถปิดความเสี่ยงเรื่องความพร้อมของด่านฝั่งไทยและการพึ่งพาตัวกลางได้อย่างเป็นรูปธรรม

จุดเปลี่ยนเริ่มที่ด่าน เปิดทางใหม่ 5 แห่ง เชื่อมไทย–ยูนนานโดยตรง

ข้อตกลงครั้งนี้เพิ่มด่านฝั่งไทย 3 แห่ง และฝั่งจีน 2 แห่ง ดังนี้

  • ฝั่งไทย: ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน, ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา, ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์
  • ฝั่งจีน: เมิ่งคัง (Mengkang) และ ต๋าลั่ว (Daluo) มณฑลยูนนาน

การเปิดใช้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 มีนัยต่อการระบายผลไม้ฤดูกาลปลายปี และฤดูกาลต้นปีถัดไปโดยตรง โดยด่านยูนนานช่วยย่นเวลาสู่ “ตลาดภายในจีน” ได้มากขึ้น ไม่ต้องกระจุกที่ชายแดนกว่างซีเพียงไม่กี่จุดเหมือนที่ผ่านมา

ทำไมต้องเร่งเปิดด่านใหม่ในปีนี้

หนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเผชิญ “คอขวดชายแดน” ซ้ำๆ โดยเฉพาะ ด่านโหย่วอี้กวาน ในกว่างซีที่มีรถบรรทุกหนาแน่นทุกฤดูกาลทุเรียน แม้ทางการจีนและเวียดนามทยอยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในช่วงผลไม้ทะลักเข้าด่าน ปัญหาแออัดยังเกิดซ้ำ โยงสู่ความเสี่ยงคุณภาพและต้นทุนที่พุ่งขึ้น. การเพิ่มด่านใหม่จึงถูกวางเป็น “วาล์วระบาย” เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์ทั้งเครือข่าย

ปลายไตรมาสสองปีนี้ จีนยัง “ขยายเวลาเปิดทำการบางด่าน” และเพิ่มห้องปฏิบัติการตรวจสารต้องห้ามสำหรับทุเรียนไทย เพื่อลดคิวและเร่งรัดการตรวจปล่อย สะท้อนแรงจูงใจของจีนที่ต้องการสินค้าผลไม้คุณภาพจากไทยอย่างต่อเนื่อง

มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาท ตัวเลขที่ “ต้องรักษาและต่อยอด”

ข้อมูลภาครัฐระบุว่า จีนยังเป็นตลาดหลักของผลไม้ไทย มูลค่าส่งออกปีล่าสุด “เกิน 1.8 แสนล้านบาท” ตัวเลขนี้ไม่ได้หมายถึงรายได้ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นทันทีในปีเดียว แต่สะท้อน “ฐานตลาด” ที่นโยบายเปิดด่านใหม่มุ่งรักษาและผลักดันให้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยการลดต้นทุนโลจิสติกส์และลดการสูญเสียจากความล่าช้าที่ด่าน

ในทางปฏิบัติ “การคลายคอขวด” มีผลโดยตรงต่อราคาและคุณภาพ โดยเฉพาะทุเรียนและลำไยที่อ่อนไหวต่อเวลา การกระจายไปยูนนานผ่านเมิ่งคัง–ต๋าลั่ว ช่วยเปิดทางสู่ตลาดตะวันตกและภาคกลางของจีนเร็วขึ้น ซึ่งต่างจากเส้นทางชายฝั่งเดิมที่ต้องแย่งคิวท่าเรือหรือสนามบิน

ความพร้อมฝั่งไทย คือจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่

แม้มีกรอบวันเริ่มใช้ชัดเจน แต่ “ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน” ฝั่งไทยยังเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งปิดงานให้ทันกำหนด

  • ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์: โครงการก่อสร้างด่านและอาคารประกอบเพิ่งอยู่ในขั้น “ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)” กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สะท้อนว่าการก่อสร้างยังเดินหน้าไล่กับกรอบเวลา ต้องเร่งมือทั้งงานอาคารและระบบกำกับมาตรฐานสินค้าเกษตร
  • ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน / ด่านพรมแดนห้วยโก๋น: ผู้บริหารกรมศุลกากรลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป้าหมายคือเตรียมความพร้อมอาคาร สายพานตรวจปล่อย และประสานงานชายแดน เพื่อให้รองรับรถบรรทุกผลไม้ได้ทันฤดูกาล
  • ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา: จังหวัดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อ “ยกระดับจุดผ่านแดนถาวร” เร่งคลี่คลายงานเชื่อมต่อด่านสากลฝั่งลาวที่ปางมอน เพื่อให้ลำเลียงผลไม้เข้าสายเหนือได้คล่องตัวกว่าเดิม

ภาพรวมสะท้อน “เส้นตายที่ชัด แต่เส้นทางยังต้องเร่ง” การประสานระหว่างจังหวัด ชายแดน และศุลกากรจึงเป็นคอขวดใหม่ที่ต้องบริหารจัดการให้ทันฤดูกาล.

ภูมิทัศน์โลจิสติกส์ใหม่จากกว่างซี สู่ยูนนาน และรางจีน–ลาว

สองปีที่ผ่านมา จีนและภูมิภาคเร่งต่อจิ๊กซอว์โลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดด่านใหม่ในกว่างซี เช่น หลงปัง (Longbang) ที่เริ่มรับทุเรียนไทย และ “โมหาน” ในยูนนานที่เติบโตเร็วจาก รถไฟจีน–ลาว ทำให้ผลไม้ไทยเข้าลึกสู่มณฑลตอนในได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล. การมี “เมิ่งคัง–ต๋าลั่ว” เพิ่มในยูนนาน จะช่วยเฉลี่ยภาระงานระหว่างด่านทางเหนือ ลดการกระจุกที่โหย่วอี้กวาน และช่วยให้ผู้ประกอบการออกแบบเส้นทางผสมผสาน “ถนน–ราง” ได้คุ้มค่าขึ้น

วิเคราะห์ความเสี่ยง เปิดด่านใหม่ยังไม่พอ ถ้า “โครงสร้างตลาด” เดิมไม่เปลี่ยน

หนึ่ง ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ คือ “ความพร้อมหน้างาน” ในวันเปิดใช้จริง หากอาคาร ระบบตรวจสอบ เอกสารดิจิทัล และการประสานงานข้ามหน่วยยังไม่เสถียร อาจสร้าง “คอขวดก้อนใหม่” แทนที่จะคลายคอขวดเดิม นี่คือเหตุผลที่ต้องตั้ง War room ระดับจังหวัด–ชายแดน เพื่อเคลียร์ปัญหาแบบรายวันใน 4–6 สัปดาห์แรก. ข้อมูล e-bidding ของด่านภูดู่บอกชัดว่า งานก่อสร้างยังเดินอยู่ ต้องเร่งกำลังคนและเครื่องจักรให้เข้าใกล้เส้นตายมากที่สุด

สอง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง คือ “การพึ่งพาตัวกลาง” หรือที่อุตสาหกรรมเรียกติดปากว่า ล้งจีน แม้ด่านจะเพิ่ม แต่หากผู้ส่งออกไทยยังต้องพึ่งผู้รับซื้อรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย อำนาจต่อรองราคาและเงื่อนไขการชำระเงินก็ยัง “เปราะบาง” ทางรอดคือ เพิ่มสัดส่วนการส่งออกโดยตรง และใช้แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในจีนควบคู่ เพื่อเข้าถึงผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือเชิงนโยบายด้านกฎระเบียบและข้อมูลตลาด.

สาม ความเสี่ยงภายนอก คือภูมิรัฐศาสตร์การค้า หากข้อพิพาทการค้าระหว่างมหาอำนาจยกระดับ ไทยอาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนทางอ้อม จึงควรกระจายความเสี่ยงตลาด และรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารให้เข้ม เพื่อผ่านด่านตรวจของจีนได้ราบรื่นในทุกสถานการณ์. แนวโน้มจีน “คุมเข้มคุณภาพ” เช่น การเพิ่มห้องแล็บตรวจสารต้องห้ามและการยืดเวลาเปิดด่าน สะท้อนมาตรฐานที่สูงขึ้นและการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัยผู้บริโภค

ตัวเลขที่ต้องเฝ้าดู “เวลา–คิว–สูญเสีย”

เมื่อด่านแออัด สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพ สินค้าบางชนิดมี อายุการขาย สั้น การจอดคารอแดด 24–48 ชั่วโมง สามารถทำให้ ชั้นคุณภาพตกสเปค และราคาต่อหน่วยลดลงทันที การเพิ่มด่านยูนนานสองจุดเท่ากับเพิ่มท่อระบายใหม่ ให้ผู้ส่งออกเลือก “จราจรเบาบางกว่า” เพื่อรักษาคุณภาพและราคาขายปลายทาง โดยเฉพาะช่วงพีกของทุเรียนและลำไยที่ออกพร้อมกันในบางสัปดาห์. ข้อมูลภาคสนามชี้ว่า ในวันเร่งด่วน โหย่วอี้กวาน รองรับตู้ผลไม้ได้มากที่สุดในทุกด่าน แต่ก็ยอมรับว่าความแออัดยังเกิดซ้ำในฤดูกาล จึงต้องพึ่งด่านทางเลือกมากขึ้น

ภาพใหญ่ของ “1.8 แสนล้าน”โตได้อีก หากแก้โจทย์ “คุณภาพ–มาตรฐาน–รางเย็น”

ตลาดจีนยังโตต่อ โดยเฉพาะกลุ่มเมืองชั้นรองในยูนนาน เสฉวน ฉงชิ่ง การรักษามูลค่า 1.8 แสนล้านบาทให้ “โตแบบยั่งยืน” ต้องทำสามเรื่องพร้อมกัน

  1. มาตรฐานคุณภาพ: GAP, GMP และ Traceability ต้องเข้ม ระบบตรวจย้อนกลับช่วยลดความเสี่ยงการปฏิเสธสินค้าเมื่อเกิดปัญหา ปัจจุบันจีนเน้นความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  2. โครงสร้างเย็น (Cold Chain): การลงทุน “รางเย็น” เชื่อมไทย–ลาว–จีน จะยกระดับคุณภาพถึงมือผู้บริโภค เพิ่มราคาต่อหน่วยและสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยในตลาดบน
  3. ข้อมูลและการตลาดดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มค้าปลีกในจีนเชื่อมผู้ซื้อปลายทาง เพิ่มยอดขายตรง ลดการพึ่งพาตัวกลางในบางสินค้า.

ทำวันนี้ให้ทัน 1 กันยา และทำพรุ่งนี้ให้ยั่งยืน

สำหรับภาครัฐ

  • ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการด่าน ชั่วคราว 60 วันแรก หลัง 1 กันยายน เพื่อแก้ปัญหาทันที ทั้งคิวตรวจ รถเข้า–ออก เอกสาร และระบบ IT หน้างาน
  • เร่ง “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ติดงานก่อสร้าง โดยเฉพาะด่านภูดู่ พร้อมวางแผนสำรองจุดพักรถ แดดร่มกันฝน และระบบคิวอัจฉริยะ ลดความร้อนของสินค้าในระหว่างรอ
  • จัดทำ ไกด์ไลน์ส่งออกตรง ให้ผู้ประกอบการไทยที่พร้อม สามารถขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าฝั่งจีนได้ง่ายขึ้น ร่วมกับการอบรมข้อกำหนด GACC และมาตรฐานจีนสมัยใหม่
  • ทำ MoU ด้าน ข้อมูลคิวด่านแบบเรียลไทม์ แลกเปลี่ยนกับฝั่งจีน ให้ผู้ประกอบการเลือกเส้นทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการ–เกษตรกร

  • วางแผนเส้นทางใหม่ “ผ่านยูนนาน” เข้าสู่ตลาดตอนใน ลดการพึ่งด่านกว่างซีเพียงเส้นทางเดียว
  • ลงทุนในบรรจุภัณฑ์และ พรีคูล เพื่อคุมอุณหภูมิ ตั้งแต่สวนถึงด่าน ลดการตกชั้นคุณภาพ
  • สำรวจช่องทาง อีคอมเมิร์ซจีน ร่วมกับคู่ค้า เพื่อขายตรงในเมืองเป้าหมาย

สำหรับโลจิสติกส์

  • เตรียม Fleet Management รองรับหลายด่าน กระจายรถและคนขับ ลด Dead time หน้าด่าน
  • ลงทุน Cold Chain Mobile และระบบติดตามอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ ส่งข้อมูลให้ผู้ซื้อปลายทาง สร้างความเชื่อมั่น

 “เปิดด่านใหม่คือการต่อยอดพิธีสารเดิม”

สาระสำคัญของข้อตกลงคือ “การปรับปรุงภาคผนวกของพิธีสารขนส่งผลไม้ผ่านประเทศที่สาม” ซึ่งไทย–จีนเคยลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้า การเพิ่มด่านครั้งนี้จึงเป็นการ “ต่อยอดกรอบเดิม” ให้ความร่วมมือเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ภาครัฐไทยสื่อสารชัดว่า การเปิดใช้ 1 กันยายน จะ “ลดต้นทุน เพิ่มทางเลือก” และหนุนให้การค้าผลไม้ไทยในจีนเติบโตมากขึ้น

ในทางปฏิบัติ ฝั่งไทยยังเดินหน้าตรวจเยี่ยมด่านและประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ทุ่งช้าง–ห้วยโก๋น ไปจนถึงบ้านฮวก ขณะที่ฝั่งอุตรดิตถ์เร่งเครื่องก่อสร้างภูดู่ เพื่อไล่ให้ทันกำหนดการเปิดด่านพร้อมกันทั้งแพ็ก ความต่อเนื่องเช่นนี้คือสัญญาณบวก ว่าจิ๊กซอว์ฝั่งไทยกำลังถูกวางลงกระดานอย่างจริงจัง

จับตา 4 ตัวชี้วัด หลัง 1 กันยายน 2568

  1. เวลารอคิวหน้าด่าน เฉลี่ยลดลงกี่ชั่วโมง เมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน
  2. สัดส่วนสินค้าผ่านยูนนาน เทียบกว่างซี เพิ่มขึ้นแค่ไหนใน 60 วันแรก
  3. อัตราการปฏิเสธสินค้า จากปัญหามาตรฐาน ลดลงหรือไม่ หลังจีนเพิ่มห้องปฏิบัติการและขยายเวลาเปิดด่าน
  4. ราคาหน้าสวน ของทุเรียน–ลำไยในจุดผลิตหลัก ดีขึ้นตามต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลงหรือไม่

ด่านใหม่คือ “จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่ “ปลายทาง”

การเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่งในวันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นก้าวครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานผลไม้ไทย–จีน เป้าหมายคือคลายคอขวด ลดต้นทุน และกระจายเส้นทางสู่ตลาดตอนในของจีน แต่ความสำเร็จระยะยาวจะเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราจัดการ “งานในบ้าน” ให้เรียบร้อย เร่งโครงสร้างพื้นฐานให้ทันเส้นตาย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเชิงรุก และลดการพึ่งพาตัวกลางด้วยช่องทางการตลาดใหม่ๆ หากทำครบถ้วน ด่านใหม่จะไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่จะเป็น “สะพานแห่งความสามารถแข่งขัน” ที่ช่วยให้มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาทเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคงในปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (PRD)
  • กรมศุลกากร
  • ด่านศุลกากรทุ่งช้าง / ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง: หลักฐานสถานะ e-bidding โครงการก่อสร้าง ด่านภูดู่ กลางเดือนกรกฎาคม 2568.
  • จังหวัดพะเยา (สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัด): รายงานประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับ จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก 6 ส.ค. 2568.
  • Global Times: รายงานการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลไม้ไทยผ่าน โมหาน–รถไฟจีน–ลาว ยืนยันบทบาทเส้นทางรางในระบบโลจิสติกส์ใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โลจิสติกส์บูม! คลังสินค้าไทยผงาดเป็นศูนย์กลางโลก พร้อมปลดล็อกเชียงแสน

ไทยผงาดเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าโลก รับแรงส่งการลงทุนต่างชาติ EEC-โลจิสติกส์บูม ขณะเชียงแสนเร่งปลดล็อกศักยภาพประตูการค้าจีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยกำลังย่างก้าวขึ้นสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญในฐานะ “ศูนย์กลางคลังสินค้าโลก” โดยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสการย้ายฐานการผลิตและการจัดจำหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่มองหาจุดยุทธศาสตร์ที่มั่นคงสำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้า

การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของ 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของประเทศ ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมาตรฐานคลังสินค้าที่เทียบเท่าระดับสากล ซึ่งสะท้อนผ่านการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าของภาคเอกชนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประตูสู่ท่าเรือและเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ภาคเอกชนเร่งขยายลงทุน รับดีมานด์พุ่งทะยาน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าไทยปรากฏชัดเจนจากผลการดำเนินงานของผู้เล่นรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ

SCX Corporation บริษัทลูกในเครือ SC Asset ที่มุ่งเน้นธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ได้ประกาศแผนการลงทุน 20,000 ล้านบาทระหว่างปี 2568-2572 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้สูงถึง 110,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 260% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทะลุ 150,000 ตารางเมตร

ความสำเร็จของ SCX ปรากฏชัดจากโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ซึ่งพื้นที่อาคารทั้งหมดถูกเช่าเต็ม 100% ทันทีที่เปิดตัว จุดแข็งของ SCX อยู่ที่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งสัญชาติ (ญี่ปุ่น 25%, จีน 23%) และประเภทธุรกิจ (โลจิสติกส์ 45%, การผลิต 25%, ดาต้าเซ็นเตอร์ 16%) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัวคลังสินค้า “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 คลังสินค้าแห่งใหม่นี้มีพื้นที่กว่า 34,200 ตร.ม. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยได้รับการออกแบบตามมาตรฐานสากลและมุ่งสู่การเป็น “Green Warehouse” เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยยึดหลัก ESG พร้อมแผนก่อสร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เร่งขยายพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอีกเกือบ 6,000 ตารางเมตร นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า-ส่งออกที่ต้องการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เมื่อรวมพื้นที่เดิม คลังสินค้าปลอดอากรของ SINO จะเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ตารางเมตร จากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร และมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ภายในปี 2569

ข้อมูลจากตลาดโลจิสติกส์ไทยชี้ว่า ในปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่ 150,686 ตร.ม. เข้าสู่ตลาด โดย EEC จะคิดเป็น 72% ของอุปทานในอนาคต ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว

เชียงแสน-เชียงของ ประตูการค้าเหนือที่กำลังปลดล็อกศักยภาพ

ขณะที่ภาคกลางและตะวันออกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภาคเหนือก็กำลังเขียนบทใหม่ด้วยการยกระดับท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าและโลจิสติกส์สำคัญ การพัฒนาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา แต่คือการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่ารวม 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกผ่านท่าเรือมีมูลค่า 5,650 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 312 ล้านบาท

ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของการขนส่งสินค้าทางน้ำกับจีน ด้วยขีดความสามารถที่สูงถึง 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่าตัว แต่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันมহาศาลนี้ยังคงไม่เต็มที่ สาเหตุหลักมาจาก “ความท้าทายในการเดินเรือ” ในแม่น้ำโขง ทั้งในเรื่องกระแสน้ำเชี่ยวในฤดูน้ำหลากและระดับน้ำที่ตื้นเขินในฤดูแล้ง

อย่างไรก็ตาม ความหวังใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากการประกาศของสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ที่อนุมัติให้ “ท่าเรือกวนเหล่ย” ในมณฑลยูนนานของจีน มีสถานะเป็น “ด่านเฉพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” อย่างเป็นทางการ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของภาคการส่งออกไทย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป “ผลไม้ไทย” จะสามารถเดินทางจากท่าเรือเชียงแสนตรงไปยังจีนทางแม่น้ำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีการหลายขั้นตอนเหมือนในอดีต

การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาคอขวดที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญ และคาดการณ์ว่าปริมาณการนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะพุ่งสูงถึง 150,000 ตัน ในปี 2568 และแตะ 300,000 ตัน ภายในปี 2573 โดยผลไม้สด เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปยังจีนผ่านเส้นทาง R3A

ควบคู่ไปกับการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน อำเภอเชียงของ กำลังถูกวางตำแหน่งให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบ” (Multimodal Logistics Hub) และ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” (SEZ) ที่สำคัญ โดยมีจุดเด่นจากการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งทางถนน (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4), ทางน้ำ และในอนาคตอันใกล้นี้คือทางรถไฟ

การแข่งขันจากรถไฟจีน-ลาว บทท้าทายที่เป็นโอกาส

การเปิดให้บริการ “รถไฟจีน-ลาว” เมื่อปลายปี 2564 ได้สร้างคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ในแวดวงโลจิสติกส์ภาคเหนือ เส้นทางใหม่นี้ไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่คือ “ตัวเร่ง” ให้ท่าเรือเชียงแสนและเชียงของต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรถไฟจีน-ลาวมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในหลายด้าน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนน R3A และ 42% เมื่อเทียบกับเส้นทางแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังลดเวลาการขนส่งผลไม้สดจากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ ให้เหลือเพียง 55 ชั่วโมง เร็วกว่าการขนส่งแบบเดิมถึง 1 วัน

ข้อมูลปี 2566 แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรไทย โดยดูดซับผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยมากกว่า 40% นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าการเกิดขึ้นของรถไฟจีน-ลาว คือการเปลี่ยนเกมครั้งสำคัญที่จะผลักดันให้การค้าและการลงทุนมุ่งไปสู่ระบบรางมากขึ้น และจะทำให้เส้นทางการค้าทางน้ำต้องหันมาเน้นการขนส่งสินค้าเฉพาะทางหรือสินค้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นหลัก

ประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทย

การขยายตัวครั้งใหญ่ในธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในหลายมิติ

การลงทุนขนาดใหญ่ในคลังสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ สร้างความต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในส่วนของการก่อสร้าง การบริหารจัดการคลังสินค้า และบริการสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง การที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้น ไม่เฉพาะในธุรกิจคลังสินค้า แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิต การค้า และอีคอมเมิร์ซ

ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าหรือผลิตในประเทศลดลง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ในราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น การมุ่งเน้นการสร้าง “Green Warehouse” การใช้พลังงานสะอาด และรถขุดไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เพื่อปลดล็อกศักยภาพของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าสำคัญของประเทศอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ที่ท่าเรือกวนเหล่ย รวมถึงประสานงานกับลาวเพื่อปรับปรุงเวลาทำการของด่านให้สอดคล้องกัน

การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ และโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อบูรณาการระบบขนส่งให้ครบทุกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญ

การแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำอย่างรอบด้าน รวมถึงการใช้โอกาสจากการที่ท่าเรือกวนเหล่ยเปิดเป็นด่านผลไม้ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลไม้ไทยให้สูงสุด และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน cold chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงแต่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ครบวงจรและยั่งยืน สร้างประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนทุกคนในทุกมิติ การปรับตัวและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ของประเทศไทย จะช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสทองจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกได้อย่างเต็มที่ และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • SC Asset Corporation (SCX Corporation) – รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปี 2568
  • Bangkok Post – รายงานการค้าชายแดน 10 เดือนแรก 2567
  • Knight Frank Thailand – รายงานตลาดโลจิสติกส์ไทย ครึ่งปีหลัง 2567
  • China Briefing – ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน 2568
  • บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด – ข่าวประชาสัมพันธ์การเปิดคลังสินค้าแหลมฉบัง
  • บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น – แผนขยายคลังสินค้าปลอดอากร
  • สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) – ประกาศอนุมัติท่าเรือกวนเหล่ย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือตอนบน 2 เชื่อมโยงอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

 

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ที่ห้องประชุมศรีจอมทอง ชั้น 2 โรงแรมไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายน 2567 

 

โดยมีนายธนะสิทธิ์ ศรีคำภา หัวหน้าสำนักงานบริหารยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 นำส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับ รองผู้ว่าราชการจังหวัด พะเยา แพร่ น่าน และเจ้าหน้าที่จากพะเยา แพร่ น่าน เพื่อเตรียมความพร้อม และระดมความคิดเห็นในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน สำหรับใช้เป็นข้อเสนอในการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) ฉบับทบทวน พ.ศ. 2568 – 2570 และแผนปฏิบัติราชการประจำปึงบประมาณ พ.ศ. 2569 ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 “ท่องเที่ยวบนพื้นฐาน วัฒนธรรมร่วมสมัย ยกระดับสินค้าเกษตร สิ่งแวดล้อมยั่งยืน สู่เศรษฐกิจมั่นคง”

 

นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปัจจุบันนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยว รักษาพยาบาลและสุขภาพ อาหาร การบิน เทคโนโลยี และการเงิน โดยมีแผนพัฒนาการเป็นศูนย์กลางการบิน การขนส่งของภูมิภาค ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค นอกจากนี้ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน2 มีโครงข่ายระบบโลจิสติกส์ (Logstics) 

 

ที่สามารถเชื่อมโยงสู่กลุ่มประเทศ GMS ได้สะดวก รวดเร็ว เช่น การสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของจังหวัดเชียงรายและศูนย์รับซ่อมอากาศยานครบวงจร ของท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบกับ กลุ่มจังหวัด ฯ มีภูมิศาสตร์ที่เป็นประตูการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ที่สำคัญในภาคเหนือและของประเทศ มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น กลุ่มจังหวัด จึงควรเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการระดมความคิดเห็น เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัด ๆ ภายใต้ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อให้เป้าหมายการพัฒนาสัมฤทธิ์ผลผ่านแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ระยะ 5 ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดได้ก้าวต่อไปในอนาคต

 

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 3 วัน ผู้เข้าร่วมฯ จะได้ร่วมระดมความคิดเห็น เพื่อแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหารจังหวัดภายในกลุ่มจังหวัด ส่วนราชการ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน  รวมถึงมีการบรรยายที่สำคัญ ได้แก่ “ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2เชื่อมโยงกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง “

 

การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงข่ายระบบโลจิสติกส์ภายในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เชื่อมโยงกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” จากวิศวกรโครงการ ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) “ศักยภาพระบบโลจิสติกส์ทางอากาศสู่การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ” จากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และ”การพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ภายใต้ศูนย์เปลี่ยนถ่าย รูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย” จากขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News