Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับหนุ่ม ‘แม่สลอง’ ฟอกเงินแก๊งคอลฯ วันละ 30 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่งอื้อ

ตำรวจ ปอท. จับกุมตัวการสำคัญฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 70 เครือข่าย หลอกคนไทยวันละ 30 ล้านบาท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติบนดอยแม่สลอง

เชียงราย – วันที่ 8 มีนาคม 2568 ตำรวจ ปอท. เข้าจับกุม นายบุรพล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินให้เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักใน หมู่ 6 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1842/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ในข้อหา มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากปฏิบัติการ “Lockdown the Cat” ซึ่งดำเนินการโดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่มีการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจสามารถจับกุม บัญชีม้า คนจัดหาบัญชีม้า พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และล่ามแปลภาษาของหัวหน้าเครือข่ายชาวจีน ก่อนขยายผลไปถึงนายบุรพล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการฟอกเงินให้แก๊งดังกล่าว

เผยพฤติกรรมการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการสอบสวน นายบุรพล ให้การรับสารภาพว่า ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศฟอกเงินในปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยมีเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ หลอกลวงคนไทยกว่า 70 เครือข่าย ใช้บริการฟอกเงินของตนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน โดยมีบอสชาวจีนเป็นผู้ควบคุมระบบ

เงินที่ถูกหลอกจากเหยื่อวันละ 30 ล้านบาท จะถูกโอนผ่านบัญชีม้า ก่อนเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเทรดเงินดิจิทัล และโอนผ่านบัญชีต่างประเทศ โดยนายบุรพลจะได้รับส่วนแบ่ง 8-12% ของเงินที่ฟอกได้ คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจำนวนมหาศาล

ปฏิบัติการจับกุมและผลกระทบต่ออาชญากรรมทางการเงิน

ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็น ความก้าวหน้าสำคัญในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยตำรวจ ปอท. ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 500 ราย และสามารถยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บัญชาการตำรวจ ปอท. เปิดเผยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างมาก การจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการต่อเนื่องในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” พร้อมย้ำว่า ตำรวจยังคงเดินหน้าตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเงินของเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มข้น

สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแนวทางป้องกัน

จากข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (CCIB) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า:

  • มูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 2567 สูงถึง 10,000 ล้านบาท
  • กว่า 85% ของเหยื่อเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง
  • ช่องทางหลักที่ใช้ในการหลอกลวงคือการโทรศัพท์ผ่าน VoIP และการส่ง SMS ปลอม
  • บัญชีม้าในประเทศไทยมีมากกว่า 50,000 บัญชี ที่ถูกใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปราบปรามมองว่า การที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวการฟอกเงินครั้งนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์” นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีและปฏิบัติการเชิงรุกจะช่วยลดจำนวนเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างระบุว่า ถึงแม้การจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้” เนื่องจากเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศในการสืบสวนและปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย

บทสรุป: ก้าวต่อไปในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์

การจับกุม นายบุรพล และการขยายผลสู่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญของ ตำรวจ ปอท. ในการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม การป้องกันปัญหานี้ยังต้องอาศัย ความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและยับยั้งการกระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ต้องสงสัย และตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน หากพบเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน ปอท. โทร 1441 หรือ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์แห่งชาติ โทร 1599

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียวดีส่งต่างด้าว “จีนเทา” คืนปักกิ่ง ไทยรับช่วงต่อ

กองกำลัง BGF เตรียมส่งชาวต่างด้าวกว่า 7,000 คน กลับประเทศ ผ่านไทย

จีนเตรียมรับพลเมืองกลับประเทศ ไทยประสานการส่งตัวผ่านแม่สอด

เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง, 7 มีนาคม 2568 – ความคืบหน้ากรณีที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ของเมียนมา เตรียมส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง จำนวนกว่า 7,000 คน ให้กับประเทศไทย หลังจากไม่สามารถดูแลบุคคลเหล่านี้ได้ ขณะนี้ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมรับตัว โดยรอเพียงคำสั่งอย่างเป็นทางการจากหน่วยเหนือ

ขั้นตอนการส่งตัวชาวต่างชาติผ่านประเทศไทย

พันโทหน่าย มอซอ โฆษกกองกำลัง BGF เปิดเผยว่า ได้ตรวจเยี่ยมชาวต่างชาติที่อยู่ภายในศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัย BGF เมืองเมียวดี ซึ่งตรงข้ามกับบ้านริมเมย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยการส่งตัวบุคคลเหล่านี้จะเริ่มขึ้นตามกำหนดการดังนี้:

  • 6 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 7 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 8 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 9 มีนาคม 2568 จำนวน 71 คน

ทั้งนี้ หากสถานทูตของแต่ละประเทศมีการประสานงานเข้ามา การส่งตัวกลับประเทศต้นทางจะดำเนินการทันที โดยเฉพาะทางการจีน ซึ่งได้เตรียมเครื่องบินรับพลเมืองของตนเองกลับประเทศผ่านท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด

ไทยเตรียมความพร้อมรับตัวชาวจีน 1,439 คน ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2

จังหวัดตากและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมในการรับตัวชาวจีนจำนวน 1,439 คน จากเมืองเมียวดีมายังอำเภอแม่สอด โดยจะเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 บ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ตำบลท่าสายลวด เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนและเจ้าหน้าที่สถานทูตจะใช้รถบัสรับตัวบุคคลเหล่านี้จากเมียวดีและนำส่งไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด ตั้งแต่วันที่ 6-9 มีนาคม 2568

การตรวจสอบและกระบวนการทางกฎหมายของไทย

ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้กำหนดแนวทางดำเนินการกับชาวต่างชาติที่ถูกส่งตัวกลับ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การรับตัวบุคคลจากเมืองเมียวดี – รถบัสเช่าเหมาลำจากจีนเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 โดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตและตำรวจจีนติดตาม พร้อมออกบัตรหมายเลขให้ตรงกับบัญชีรายชื่อ
  2. การดำเนินการของหน่วยงานไทย – กองกำลังเฉพาะกิจราชมนูดูแลความปลอดภัยของบุคคลที่ถูกส่งตัว (จัดเจ้าหน้าที่ 1 นายต่อบุคคลต่างชาติ 1 คน) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งปฏิเสธการเข้าเมือง เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และแจ้งคำสั่งให้ออกจากราชอาณาจักรตามแบบ ตม. 35
  3. การบันทึกข้อมูลและส่งตัวกลับประเทศ – เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเก็บอัตลักษณ์บุคคลเพื่อดำเนินการบันทึกลงระบบแบล็กลิสต์ (Blacklist) ของ สตม. และจัดเตรียมกระบวนการส่งตัวกลับประเทศ โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังสนามบินแม่สอด และเดินทางออกจากประเทศไทยโดยทันที

การคืนทรัพย์สินและการช่วยเหลือชาวต่างชาติ

พันโทหน่าย มอซอ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางกองกำลัง BGF ได้คืนโทรศัพท์มือถือให้แก่ชาวต่างชาติที่สามารถแสดงตนเป็นเจ้าของ โดยมีการตรวจสอบผ่านล่ามที่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามถึงกรณีที่มีการทำร้ายร่างกายบุคคลเหล่านี้ พบว่าหลายคนได้รับบาดเจ็บจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของกลุ่มบริษัทที่ว่าจ้างให้ดูแลพวกเขา ซึ่งทาง BGF กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด

สถิติและแนวโน้มการส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ตามรายงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในปี 2567 มีชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกส่งกลับประเทศต้นทางผ่านประเทศไทยมากกว่า 10,000 คน โดยส่วนใหญ่มาจากจีน เมียนมา และกัมพูชา ขณะที่ในปี 2568 คาดว่าจำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้มข้นขึ้น

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การส่งตัวบุคคลเหล่านี้กลับประเทศเป็นแนวทางที่ดีในการลดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรการดูแลสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกส่งตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรสิทธิมนุษยชนในระดับสากลติดตามอย่างใกล้ชิด

โดยสรุป การประสานความร่วมมือระหว่างไทย จีน และเมียนมา ในการส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์กลับประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมอาชญากรรมข้ามชาติ และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังและพัฒนากลไกที่สามารถรักษาสิทธิมนุษยชนของบุคคลเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ไทย-ลาว จับมือแน่น ปราบแก๊งคอลฯ-ยาเสพติด

ไทย-ลาวกระชับความร่วมมือ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ยาเสพติด พร้อมขยายการค้าสู่ 11,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2027

เชียงราย, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – นายกรัฐมนตรีไทยและลาวเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในโอกาสเฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมตั้งเป้าขยายการค้าทวิภาคีแตะ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

ผู้นำไทย-ลาวหารือ ย้ำกระชับความสัมพันธ์ในทุกมิติ

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.15 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ให้การต้อนรับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

ภายหลังตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นายกรัฐมนตรีทั้งสองเดินเข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อหารือเบื้องต้นและลงนามในสมุดเยี่ยม ก่อนเข้าหารืออย่างเป็นทางการ ณ ตึกภักดีบดินทร์ โดยมีคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศเข้าร่วม

ความมั่นคงชายแดน: จับมือสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

หนึ่งในประเด็นหลักของการหารือคือความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์

ปราบปรามยาเสพติดร่วมกัน

ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องเร่งปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดบริเวณชายแดน โดยไทยเสนอแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การขยายผลการสืบสวน และการสนับสนุนโครงการชุมชนปลอดยาเสพติดผ่านการปลูกพืชทดแทน

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ไทยและลาวต่างให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ โดยไทยเสนอให้ลาวแต่งตั้งหน่วยงานหลักเพื่อทำงานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรีไทยชื่นชมปฏิบัติการของทางการลาวในการกวาดล้างขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ในแขวงบ่อแก้วเมื่อปีที่ผ่านมา และเสนอแนวทางการป้องกันการใช้ทรัพยากรของทั้งสองประเทศในทางที่ผิด

ปัญหาหมอกควันข้ามแดน: เร่งขยายความร่วมมือแก้ไขไฟป่า

ผู้นำไทย-ลาวเห็นพ้องว่าปัญหาหมอกควันข้ามแดนต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยนายกรัฐมนตรีลาวชื่นชมไทยที่สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจสอบจุดความร้อน ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อนและระดับหมอกควันในพื้นที่ลดลง

ไทยเสนอให้มีการตั้งห้องปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันร่วมกัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีจาก GISTDA ของไทยในการตรวจวัดคุณภาพอากาศและแจ้งเตือนล่วงหน้า

เป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

ขยายโอกาสทางการค้าและโลจิสติกส์

ไทยและลาวตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 8,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบันเป็น 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 โดยเน้นย้ำการพัฒนาเส้นทางคมนาคมและลดอุปสรรคทางการค้า

นายกรัฐมนตรีไทยขอบคุณลาวที่ช่วยแก้ปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีลาวย้ำความร่วมมือในการลดปัญหาการเผาในภาคเกษตรที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม

โลจิสติกส์: เชื่อมไทย-ลาว-จีน เสริมเศรษฐกิจภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีลาวยินดีกับความคืบหน้าการก่อสร้าง สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งจะมีการเชื่อมกึ่งกลางสะพานเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะเปิดใช้งานปลายปีนี้

ไทยยังเสนอแนวทางพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีน โดยสนับสนุนการสร้างสะพานรถไฟแห่งใหม่ที่ หนองคาย-เวียงจันทน์ เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น

ความร่วมมือด้านประชาชนและการศึกษา

ไทยและลาวร่วมเปิดตัวตราสัญลักษณ์เฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต และประกาศโครงการมอบ ทุนการศึกษา 75 ทุน ให้กับนักศึกษา สปป.ลาว เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ไทยยินดีที่ลาวประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่ง ประธานอาเซียน เมื่อปีที่แล้ว และเชิญนายกรัฐมนตรีลาวเข้าร่วม ประชุมสุดยอดความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพปลายปีนี้

สรุป: ไทย-ลาวเดินหน้าความร่วมมือระยะยาว

การหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ไทย-ลาว ทั้งในด้านความมั่นคง การค้า สิ่งแวดล้อม และการศึกษา เพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด และร่วมกันก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ไทยปราบแก๊งคอลฯ ผนึกกำลัง ทหาร-ตำรวจ ลุยชายแดน

รอง นรม./รมว.กห. หารือร่วมกับนายกฯ เร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผู้นำหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อเร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด ที่ยังคงเป็นภัยต่อประชาชน

การประชุมจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางบูรณาการกำลังพลและทรัพยากรของกองทัพให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล

แนวทางปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ

พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการเด็ดขาดของรัฐบาลที่ดำเนินมาแล้ว เช่น การตัดเส้นทางลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง การปิดกั้นสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ ได้ส่งผลให้การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การพนันผิดกฎหมาย และการหลอกลวงทางคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้คณะกรรมการนโยบายด้านชายแดนดำเนินการขยายแผนการทำงาน และให้รายงานผลความคืบหน้าภายใน 1 เดือน โดยเน้นการปิดช่องโหว่ของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาศัยพื้นที่ชายแดนไทยเป็นฐานปฏิบัติการ

ผลลัพธ์จากมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล

จากปฏิบัติการที่เข้มข้นและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พบว่ามีการปิดสถานบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการระบุเป้าหมายของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนคัดแยก และส่งตัวกลับประเทศต้นทางโดยได้รับความร่วมมือจากกองกำลังป้องกันชายแดน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไทยจะไม่เป็นศูนย์อพยพของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม โดยมีแนวทางที่ชัดเจนคือ

  1. ขจัดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ออกจากประเทศไทย
  2. ปิดกั้นไม่ให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด

การสร้างกำแพงชายแดน และความร่วมมือระดับภูมิภาค

ประเด็นที่ได้รับความสนใจในการประชุมคือ แนวคิดการสร้างกำแพงชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปอยเปต ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเป็นฐานปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีระบุว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย และต้องมีการศึกษารายละเอียดเชิงลึกก่อน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินความร่วมมือระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันและปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นระบบ และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ

ความเข้มข้นของมาตรการปราบปรามอาชญากรรม

นายภูมิธรรม เวชยชัย เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยจะไม่ลดระดับความเข้มข้นของมาตรการ แม้จะได้รับสัญญาณจากกองกำลังต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านว่ามีมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในประเทศของตนเองแล้ว โดยยืนยันว่ามาตรการต้องเป็นไปตามเป้าหมายและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

“ปัญหาสำคัญของเราคือ ต้องกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกไปให้ได้ และจะไม่ให้ใช้พื้นที่ของไทยเป็นแหล่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ” นายภูมิธรรมกล่าว

บทสรุป

รัฐบาลไทยกำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด อย่างจริงจัง โดยเน้นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค พร้อมใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ให้มีที่ยืนในประเทศไทย

การดำเนินการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และจะเดินหน้ากำจัดภัยคุกคามเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7,000 คนกลับไทย

เมียนมาพร้อมส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7,000 คนกลับไทย

ตาก, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลเมียนมาประกาศเตรียมส่งตัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับไทยอีก 7,000 คน หลังจากปล่อยตัวเหยื่อชุดแรก 261 คนเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการของไทยจะประสานกับประเทศปลายทางเพื่อให้สามารถรับตัวผู้เสียหายกลับได้โดยตรง ลดปัญหาการตกค้างในจังหวัดตาก

ไทยเร่งประสานนานาชาติ พร้อมรับเหยื่อกลับบ้าน

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ทางการไทยได้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตจากหลายประเทศทั่วโลก อาทิ แอฟริกา ลาตินอเมริกา ยุโรป และเอเชีย รวมถึงญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เพื่อให้ประเทศเหล่านี้พร้อมรับพลเมืองของตนที่ถูกหลอกไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับบ้านอย่างปลอดภัย

จับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

นอกจากการช่วยเหลือเหยื่อ ทางการไทยยังสามารถจับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังการหลอกลวงนักแสดงชาวจีนให้ไปทำงานผิดกฎหมาย โดยขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว

มาตรการซีลชายแดนของไทย ได้ผลจริง

นายภูมิธรรมย้ำว่า มาตรการซีลชายแดนของไทยและการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลเมียนมา ได้ช่วยให้ปัญหาการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ทางการจีนได้ขอบคุณไทยสำหรับมาตรการนี้ ซึ่งส่งผลให้มีการช่วยเหลือพลเมืองที่ถูกหลอกลวงกลับประเทศได้สำเร็จ

บุคคลต่างชาติ จำนวน 260 ราย(ชาย 221 / หญิง 39) จาก 20 สัญชาติ

โดย ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร ได้บูรณาการร่วมในการปฏิบัติกับฝ่ายปกครอง อ.พบพระ, สภ.พบพระ, ร้อย.ตชด.346 และ พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จ.ตาก (พม.ตาก) ในการรับตัว

ในเวลา 15.45 น.ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร ดำเนินการรับตัวบุคคลต่างชาติ จำนวน 260 ราย(ชาย 221 / หญิง 39) จาก 20 สัญชาติ โดยทางฝ่ายเมียนมา และ กกล.DKBA ส่งมอบบริเวณท่าข้ามสินค้าหมายเลข 28 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก

จากนั้น ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร นำบุคคลต่างชาติมาร่วมคัดกรองและตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อยืนยันสัญชาติ และจำนวน 20 สัญชาติ ภายในที่ว่าการอำเภอพบพระ ร่วมกับ ตม.จ.ตาก และ พม.จ.ตาก ประกอบด้วย

  1. สัญชาติ ฟิลิปปินส์ จำนวน 16 ราย
  2. สัญชาติ เคนยา จำนวน 23 ราย
  3. สัญชาติ แทนซาเนีย จำนวน 1 ราย
  4. สัญชาติ บราซิล จำนวน 2 ราย
  5. สัญชาติ เอธิโอเปีย จำนวน 138 ราย
  6. สัญชาติ ปากีสถาน จำนวน 12 ราย
  7. สัญชาติ บังกลาเทศ จำนวน 2 ราย
  8. สัญชาติ เนปาล จำนวน 7 ราย
  9. สัญชาติ กัมพูชา จำนวน 1 ราย
  10. สัญชาติ ศรีลังกา จำนวน 1 ราย
  11. สัญชาติ ยูกันดา จำนวน 6 ราย
  12. สัญชาติ ไต้หวัน จำนวน 7 ราย
  13. สัญชาติ ลาว จำนวน 6 ราย
  14. สัญชาติ อินโดนีเซีย จำนวน 8 ราย
  15. สัญชาติ บุรุนดี จำนวน 2 ราย
  16. สัญชาติ ไนจีเรีย จำนวน 1 ราย
  17. สัญชาติ กานา จำนวน 1 ราย
  18. สัญชาติ อินเดีย จำนวน 1 ราย
  19. สัญชาติ มาเลเซีย จำนวน 15 ราย
  20. สัญชาติ จีน จำนวน 10 ราย

แผนรับผู้ถูกหลอกกลับไทย ประสานประเทศปลายทางโดยตรง

รัฐบาลไทยเน้นย้ำว่าจะไม่มีการนำตัวเหยื่อไปพักไว้ที่ไทย แต่จะส่งตัวให้ประเทศต้นทางโดยตรงเพื่อป้องกันปัญหาความแออัดและลดภาระการดูแล

หากประเทศใดมีจำนวนผู้ถูกหลอกมาก สามารถจัดเตรียมเครื่องบินมารับตัวพลเมืองของตนกลับไปพร้อมกันได้ทันที รัฐบาลไทยจะเร่งรายงานความคืบหน้าให้กับนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด

สรุป

การดำเนินมาตรการของรัฐบาลไทยเพื่อช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์และลดการค้ามนุษย์ ได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศทั่วโลก การซีลชายแดน การประสานงานระดับนานาชาติ และการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด ส่งผลให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มว่านโยบายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการหลอกลวงแรงงานข้ามชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดรัฐบาลเมียนมาจึงส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับไทย?
    รัฐบาลเมียนมามีข้อตกลงกับไทยและนานาชาติเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอกลวง และส่งตัวกลับประเทศต้นทาง
  2. ไทยมีมาตรการอย่างไรในการช่วยเหลือเหยื่อ?
    ไทยประสานงานกับสถานทูตต่างประเทศ เพื่อให้พลเมืองของแต่ละประเทศสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
  3. หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกจับกุมแล้วหรือไม่?
    ใช่ ทางการไทยจับกุมตัวหัวหน้าแก๊งได้ทั้งหมด และกำลังดำเนินคดีตามกฎหมาย
  4. ทำไมไทยต้องใช้มาตรการซีลชายแดน?
    เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองและการค้ามนุษย์ รวมถึงลดปัญหาการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
  5. ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีประเทศใดบ้าง?
    หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และหลายประเทศในยุโรปและลาตินอเมริกา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงกลาโหม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

บก.ปอศ.บุก 46 จุด ขยายผลเครือข่ายฟอกเงิน 442 บริษัท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงิน 46 จุดทั่วประเทศ คุม 442 บริษัท เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 46 จุดทั่วประเทศ ดำเนินคดีกับนิติบุคคล 442 บริษัท และผู้ต้องหากว่า 1,000 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นชาวจีนกว่า 250 ราย ซึ่งร่วมกันจดทะเบียนบริษัทเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจและฟอกเงิน รวมถึงรับโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์

พฤติการณ์การกระทำความผิด

จากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดใน 2 ลักษณะ คือ

  1. การจดทะเบียนบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee): ชาวต่างชาติว่าจ้างบริษัทบัญชีให้จดทะเบียนนิติบุคคล โดยมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการตามข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร โดยมีทุนจดทะเบียนรวมกว่า 891 ล้านบาท
  2. การจดทะเบียนบริษัทม้า: จดทะเบียนบริษัทเพื่อเปิดบัญชีธนาคารสำหรับรับโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยบัญชีเหล่านี้สามารถทำธุรกรรมได้ไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC)

พื้นที่เป้าหมายการตรวจค้น

  1. สำนักงานบัญชีและนอมินี: ตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบบริษัท 244 แห่ง และเอกสารการถือครองอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 254 ล้านบาท
  2. ร้านค้าและโกดังสินค้า: ตรวจค้นในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พบสินค้าหลายแสนรายการจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าผิดกฎหมาย
  3. บริษัทแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ดิจิทัล: ตรวจพบธุรกิจที่ใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของ แต่ดำเนินการโดยชาวจีนและลักลอบเปิดกิจการอย่างผิดกฎหมาย

มูลค่าความเสียหายและพฤติกรรมที่พบ

จากการตรวจค้นครั้งนี้ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท รวมถึงบัญชีธนาคาร 314 บัญชี ซึ่งมีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเข้าข่ายการกระทำความผิดจำนวนมาก

บทลงโทษและมาตรการต่อเนื่อง

บก.ปอศ. ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้สนับสนุน เช่น เจ้าหน้าที่บัญชีและทนายความที่รับรองเอกสารเท็จ และได้แจ้งให้สภาทนายความและสภาวิชาชีพบัญชีพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ การตรวจค้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและฟอกเงินอย่างเป็นระบบ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทยประชุมบูรณาการ สปป.ลาว ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์คิงส์โรมัน

 

เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2567 ที่ห้องประชุม สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร.ได้ประชุมบูรณาการร่วมหน่วยงานความมั่นคงชายแดน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไทย-สปป.ลาว-เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” โดยมี เจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ฝ่ายปกครอง ทหาร คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีท่านคำเพ็ง กุมพัน หัวหน้าห้องว่าการเมืองต้นผึ้ง ท่านบุญถี ยัดทะวง รองหัวหน้ากองบัญชาการ ปกส.(ตำรวจ) เมืองต้นผึ้ง ท้าวอุ่นเรือน วิไซพัน หัวหน้าห้องการเทคโนโลยีและการสื่อสารเมืองต้นผึ้ง และท่านดาวเพ็ด วันมะแสง หัวหน้าหน่วยงานประสานชายแดนเมืองต้นผึ้ง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนในการประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมมีการหารือเรื่องเดียวคือการปราบปรามขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลีย่มทองคำ เมืองต้นผึ้ง ร่วมกัน

โดยมีมติร่วม 2 ข้อคือ 1.ทางการ สปป.ลาว จะไม่ยินยอมให้มีขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอ์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำโดยเด็ดขาด โดยหลังจากวันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นไปหากพบผู้เข้าไปลักลอบตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวมถึงคนไทยจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของ สปป.ลาว อย่างเช้มงวด 2.เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องจึงจะมีการศึกษาและกำหนดแนวทางในการตั้ง “คณะทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามเขตแนวชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว” ซึ่งในส่วนของฝ่ายไทยทาง พล.ต.ท.ธัชชัย ได้มอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์และ ภ.5 ได้ศึกษาในการตั้งคณะกรรมการ โดยหากมีการแจ้งความดำเนินคดีในฝ่ายไทยก็จะมีการแจ้งข้อมูลต่อให้กับคณะกรรมการถ้าเป็นคนไทยก็นำมาลงโทษในประเทศไทยหรือหากมีหมายจับก็จะควบคุมดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้มีเพียงเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ เพราะถือเป็นปัญหาใหม่สำหรับการพูดคุยหารือกันระหว่างประเทศเพราะเราต้องการความมั่นใจว่าต่อไปนี้จะต้องไม่มีพื้นที่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนและมาหลอกลวงคนไทยอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้มีการตัดสัญญานอินเตอร์เน็ตที่ส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผลคือมีการใช้สัญญานโทรศัพท์จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นจนเกิดการโทรศัพท์ที่มีหมายเลขจำนวนมาหาคนไทย แสดงให้เห็นว่าแก๊งนี้ทำไม่ได้เหมือนเดิม และในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาแก๊งที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชาหลบหนีเข้ามายังฝั่งไทยที่ จ.ชลบุรี ซึ่งถูกตำรวจไทยจับกุมดำเนินคดีได้แล้วที่ อ.ศรีราชา ในที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หน่วยงานความมั่นคงชายแดน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลเล็งใช้เวทีแม่โขง-ล้านช้าง ผลักดันกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยย้ำว่า เป็นวาระที่สำคัญ พร้อมได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประสานร่วมกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC ครั้งที่ 9 ด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคมนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเน้นย้ำความมุ่งมั่นใจการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน

ขณะที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปได้ เพราะจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ

ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลของกัมพูชา, สปป.ลาว, จีน และอินเดีย ต่างให้ความสำคัญ และคำมั่นที่จะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลางในลุ่มน้ำโขง จึงพร้อมผลักดันวาระดังกล่าวร่วมกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กำลังจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายมาริษยังขอบคุณฝ่าย สปป.ลาว โดยเฉพาะนายทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้วคนใหม่ ที่ได้ประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกกิจการภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวในทุกระดับ พร้อมมั่นใจว่า ฝ่ายลาว ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาก และยืนยันว่า ทางการไทย ก็พร้อมร่วมมือกับ สปป.ลาวในระดับพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมกำหนดการในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ 9 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคมนี้ ที่โรงแรมแมริออท เชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี จะการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “Towards Safer and Cleaner Mekong Lancang” และจะมีการแถลงข่าวร่วมกัน (Joint Press Conference)

หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 9 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน

สำหรับกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่ริเริ่มโดยประเทศไทย ในปี 2555 เพื่อพัฒนากรอบความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาอาเซียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวสื

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกตำรวจ ตามยึด SIMBOX กล่องกระจายสัญญาน

 

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ จ.เชียงใหม่ ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา นายหลิน ชุน หง (Mr.LIN CHUN HUNG) สัญชาติไต้หวัน และ นายโสภณ สงวนนามสกุล อายุ 28 ปี ชาว ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พร้อมของกลาง เครื่องกระจายสัญญาณโทรศัพท์ หรือ Simbox จำนวน  6เครื่อง เร้าเตอร์ wifi แบบใส่ซิมการ์ด 6 เครื่อง กล้องวงจรปิด 7 ตัว โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง  

พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5  เปิดเผยว่า ตนได้ไปกู้เงินสหกรณ์ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะนำเงินไปซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่หลังจากที่เรื่องอนุมัติและมีเงินโอนเข้าบัญชีของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบัญชีของตนเอง พอวันรุ่งขึ้น ก็มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เบอร์ลงท้ายด้วยเลข 4986 โทรเข้ามา ทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ที่รู้ว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีจำนวนหนึ่ง ได้แจ้งว่า บัญชีมีความผิดปกติมีเงินเข้าจำนวนมาก จึงให้ตนนั้นดำเนินการตามขั้นตอนและกรอกข้อมูลส่วนตัวลงไป  

ตนจึงเกิดคำถามว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เหล่านี้ จะรู้เรื่อง เงินเข้าออกบัญชีส่วนตัวเราได้อย่างไร ซึ่งจากพฤติกรรมดังกล่าวเชื่อได้ว่า เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรมาหลอกลวง จึงมีการสั่งการให้ นำหมายเลขโทรศัพท์ ที่โทรเข้ามา ไปตรวจสอบด้วยเครื่องพิเศษในการติดตาม และเช็กสัญญานชัดเจนว่า มีการออนระบบในพื้นที่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จึง ได้ทำการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดเชียงรายที่ ค.206/2567  เพื่อขอหมายค้น 

โดยได้ตรวจค้น อาคาร G ห้องG03 โดยได้ตรวจพบ กล้อง ip camera ยี่ห้อ tp-link model: tapo C200 จำนวน 1 เครื่อง  เครื่องกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ต ยี่ห้อ tp-link model:Archer MR600 จำนวน 1 เครื่อง  และสามารถจับกุม นายโสภณ  และ นายหลิน ชุน หง ได้

สอบสวนทราบว่า นายหลิน ชุน หง ได้นำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาติดตั้ง เพื่อกระจายสัญญาณโทรศัพท์ โดยเป็นการสุ่มหมายเลขออกไปเพื่อให้ปลายทาง ที่รับสายไม่สามารถระบุได้ว่าปลายทางของสายเป็นใคร และมาจากประเทศอะไร โดยได้จ้างวานนายโสภณ ให้เป็นล่ามในการช่วยประสานงานการทำงานวันละ 1,000 บาท  ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลบเลี่ยงการตรวจจับสัญญานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะได้ขยายผลหากลุ่มผู้ร่วมขบวนการต่อไป 

สำหรับการตรวจยึด Sim Box หรือเครื่องกระจายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งโดยทั่วไปไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปติดตั้ง ใช้ส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ซึ่งขณะตรวจค้นพบว่า มีการติดตั้งและเปิดทำงานอยู่ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการขอหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองตาม จ.289/67 และ จ.290/67 ของศาลจังหวัดเชียงราย และได้ดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ ดำเนินการตามกฎหมายในข้อหา ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

พบสายส่ง ถูกฝังดินชายแดนเชียงราย ใกล้เขตว้า 11.5 กิโล จุดเริ่มต้นจากไทย

 

เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2567 ความคืบหน้ากรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.) ตร.มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร.ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมาย สำนักงาน กสทช.และตำรวจ ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.มานพ เสนากุล ผบก.ภ.จว.เชียงราย ทหารกองกำลังผาเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบการส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงพื้นที่ชายแดน จ.เชียงราย เพื่อป้องกันการลักลอบส่งสัญญาณไปให้กับขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น

ล่าสุดนอกจากจะพบการส่งสัญญาณไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้ามแม่น้ำโขงกับ อ.เชียงแสน แล้ว พบว่าทางเจ้าหน้าที่ทหารพรานกองกำลังผาเมือง ได้ตรวจพบชุดสายส่งสัญญาณที่ฝังดินบริเวณชายแดนด้าน อ.แม่จัน ติดกับประเทศเมียนมา และใกล้กับเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของว้าแดงที่มีการสร้างเมืองต่างๆ ในเขตของตัวเองอย่างใหญ่โต โดยมีเครื่องส่งสัญญาณเพียงชุดเดียว แต่มีสายส่งที่ยาวรวมกันกว่า 11.5 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นมีในฝังไทยแต่ได้ข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและ กสทช.จะได้นำไปชยายผลว่าเครื่องและสายส่งสัญญาณดังกล่าว มีผู้ขออนุญาตใช้เป็นใครเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.ธัชชัย ได้แถลงข่าวหลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน จ.เชียงราย เพื่อร่วมป้องกันการลักลอบส่งสัญญาณไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยผิดกฎหมายว่า ปฏิบัติการทั้งหมดเรียกว่าปฏิบัติการ “ระเบิดสะพานโจร” โดยเป็นตัดสัญญาณไม่ให้นำไปใช้โดยผิดกฎหมายโดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้วางมาตรการ 4 ข้อ คือ 
 
1.เริ่มทำการตัดสัญญาณข้ามประเทศทุกชนิด โดย กสทช. จะร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดำเนินการ
2.ทาง ตำรวจจะตรวจสอบในระบบแจ้งความว่ามีการแจ้งความว่าถูกหลอกลวงมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านจุดใด
3.จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและระหว่างตำรวจ และ กสทช.ว่ามีการใช้สัญญาณข้ามประเทศอย่างไร ทั้งระบบ ซิม สาย เสา หากมีการทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการทันที และ
4.จะมีการเข้มงวดของตรวจคนเข้าเมืองเพื่อป้องกันการเข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
 
ทางด้าน พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นทราบกันดีว่าอยู่ในต่างประเทศ ทำให้ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีกับผู้ลักลอบติดตั้งเสาและสายส่งสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดนเพื่อส่งไปให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว 33 ราย ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ระงับการส่งสัญญาณโทรคมนาคม และถอดสายสัญญาณและอุปกรณ์ (ล้มเสา) จำนวน 179 จุด ใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด.
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News