Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตามรอยรสชาติที่หายไป! เชียงรายนำ แกงแคไก่เมือง ขึ้นเวทีใหญ่ลำพูน พลิกภูมิปัญญาอาหารสู่รายได้

แกงแคไก่เมือง” จุดพลุ Soft Power เชียงราย จาก “รสชาติที่หายไป” สู่งานมหกรรม 10 จังหวัดภาคเหนือขายหมดเกลี้ยงที่ลำพูน เชื่อมเศรษฐกิจวัฒนธรรม–ท่องเที่ยว

ลำพูน/เชียงราย, 16 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นที่ “ข่วงพันปี ถนนรถแก้ว” เมืองลำพูน กลิ่นสมุนไพรพื้นบ้านคละคลุ้งอยู่เหนือแถวผู้คนที่ทอดยาวไปตามถนนสายวัฒนธรรม เสียงครกตำพริกแกงกระทบสากเป็นจังหวะ ก่อนควันบาง ๆ จากหม้อแกงขนาดใหญ่จะลอยสูงขึ้น ชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดสูดกลิ่นและหันตามสายตาไปยังป้าย “เชียงราย แกงแคไก่เมือง” เมนูที่ผู้จัดงานนิยามไว้ว่าเป็นหนึ่งใน “รสชาติที่หายไป” ของภาคเหนือ และในค่ำคืนนี้ มันกำลังกลับมาอย่างสง่างาม พร้อม “ยอดขายที่หมดเกลี้ยง” และเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับพลังของอาหารพื้นถิ่นต่อเศรษฐกิจวัฒนธรรม

งานมหกรรม “ตามรอยรสชาติอาหารที่หายไป The Lost Taste 10 จังหวัดภาคเหนือ” จัดขึ้นภายใต้ โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายอนุรักษ์–ฟื้นคืน–และเผยแพร่ “มรดกภูมิปัญญาอาหาร” ที่วันนี้เริ่มหาทานยาก จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำทีมโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยมี นายอนุสร เทพปินตา เป็นตัวแทนสาธิตและจำหน่ายอาหารจากเชียงราย 3 เมนู ได้แก่ แกงแคไก่เมือง (เมนูไฮไลต์), คั่วแห้มไก่เมือง, และ แกงจิ๊น (แกงเนื้อ)

บรรยากาศ “ถนนสายวัฒนธรรม”  กลิ่นสมุนไพรที่พาคนทั้งถนนหยุดเดิน

ภาพแรกที่เตะตาคือ “งานครัวกลางแจ้ง” ที่เปิดหน้าบ้านให้ผู้คนเห็นทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดผักป่า–ยอดผักพื้นบ้าน ไปจนถึงการผัดเครื่องแกงให้หอมขึ้นน้ำมัน ก่อนเติมไก่เมืองลงหม้อและเคี่ยวด้วยไฟพอดี บูธเชียงรายรายล้อมด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว หลายคนตั้งใจว่าจะแวะ “ชิมนิดหน่อย” แต่กลับกลายเป็นการเข้าคิวต่อเนื่อง เพราะ “กลิ่นแกง” ที่หอมฟุ้งไปไกลเกินกว่าจะปฏิเสธได้

แกงแคไก่เมือง” ไม่ใช่แกงเผ็ดธรรมดา หากเป็น “สารานุกรมกินได้” ของป่าและสวนหลังบ้าน ชื่อ “แค” ในที่นี้ มิได้หมายถึงดอกแคเสมอไป ทว่าเป็นรหัสของ “พืชผักหลายอย่าง” ที่ชุมชนเลือกมาใส่ตามฤดูกาล ความงามของแกงแคจึงอยู่ที่ “ความหลากหลาย” และ “ความสด” พริก ข่า ตะไคร้ ผักชีลาว ยอดมะม่วงหิมพานต์ (ในบางฤดู) ชะอม ปูนาแห้งเล็กน้อย (ในสูตรโบราณบางถิ่น) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่เล่าเรื่องภูมิปัญญาการกินของคนเหนือ ซึ่ง “หยิบของใกล้ตัวมาใช้” อย่างรู้คุณค่า และรู้จักสร้างสมดุลระหว่างโปรตีนจากไก่บ้านกับเส้นใย–สารต้านอนุมูลอิสระจากผักพื้นบ้าน

ผู้ร่วมงานจำนวนมากเลือกซื้อทั้ง 3 เมนูกลับบ้าน ท่ามกลางเสียงชื่นชมที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ บูธคล้ายกันว่า “หอมมาก กินแล้วคิดถึงบ้าน” และไม่นานนัก แกงทั้งสามชนิดก็จำหน่าย “หมดเกลี้ยง” ซึ่งไม่เพียงเป็นสัญญาณเชิงพาณิชย์ของ “รสชาติที่ยังมีคนโหยหา” หากยังสะท้อนความพร้อมของอาหารพื้นถิ่นเชียงรายในการขยับขึ้นสู่ “Soft Power” ที่จับต้องได้

จากครัวบ้านสู่ครัวมหกรรม  เหตุใด “แกงแคไก่เมือง” จึงทรงพลัง

  1. ตัวแทนชีวภาพของภูมิภาค   แกงแคผูกติดกับ “ฤดูกาล–ภูมิประเทศ” โดยตรง ผักแต่ละชนิดบอกพื้นที่ปลูกและป่าที่หากิน เมื่อยกหม้อแกงขึ้นโต๊ะ เท่ากับยกภูมิประเทศขึ้นมาด้วย
  2. โภชนาการในครัวเรือน   แกงแคเป็นเมนูที่ผสาน “โปรตีนเนื้อสัตว์ + ผักพื้นบ้านหลากชนิด” ได้ในจานเดียว สอดคล้องแนวคิดอาหารสุขภาวะร่วมสมัย
  3. เรื่องเล่า–ความคิดถึง–อัตลักษณ์   สำหรับชาวเชียงราย–ล้านนา แกงแคคือ “รสมือแม่–รสชุมชน” เมื่อถูกจัดวางในงานมหกรรม จึงกระตุ้นความผูกพันทางอารมณ์และความทรงจำร่วม

ผลลัพธ์คือ การขายหมดอย่างรวดเร็วของทั้ง 3 เมนู และ “แถวคอย” ที่ยังไม่สลาย แม้ป้าย “สินค้าหมด” จะถูกตั้งไว้แล้วก็ตาม

Soft Power ที่มีราก  เมื่อ “ทุนทางวัฒนธรรม” กลายเป็น “รายได้”

งานครั้งนี้เน้นชัดว่า อาหารพื้นถิ่นไม่ใช่เพียงวัตถุแห่งความทรงจำ แต่คือ “ทุน” ที่ต่อยอดเป็น “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ได้จริงในสามระดับ

  • ระดับผู้ประกอบการรายย่อย  ผู้ค้าย่อมมียอดจำหน่ายทันทีจากการเข้าร่วมงาน ขณะเดียวกันยังได้ “ฐานแฟน” ใหม่ ๆ ซึ่งติดตามไปสู่การสั่งจอง–พรีออเดอร์ในอนาคต
  • ระดับชุมชนและห่วงโซ่วัตถุดิบ  เมื่อเมนูได้รับความนิยม ความต้องการวัตถุดิบพื้นบ้านเพิ่มขึ้น เกิดการเชื่อมโยงกับเกษตรกรรายเล็ก–ผู้รวบรวมผักป่า–ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง
  • ระดับเมืองและการท่องเที่ยว  เมนูเด่นกลายเป็น “เหตุผลในการเดินทาง” นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งตั้งใจ “มากินที่ต้นทาง” สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนแก่ร้านอาหารชุมชน–โฮมสเตย์–ตลาดวัฒนธรรม

กล่าวได้ว่า “แกงแคไก่เมือง” ในบูธเชียงรายไม่ใช่หม้อแกงใบเดียว แต่คือ “แบบจำลองเศรษฐกิจวัฒนธรรม” ที่จุดติดได้จริงในพื้นที่สาธารณะ

บทบาทของหน่วยงานรัฐ  ทำอย่างไรให้ “รสชาติที่หายไป” อยู่ยาว

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน ทำหน้าที่ “ยกเวที–จัดแสง–เปิดพื้นที่” ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้นำเสนอเมนูที่เสี่ยงจะเลือนหายต่อหน้าสาธารณะ พร้อมสื่อสาร “คุณค่าทางวัฒนธรรม” ให้สาธารณชนเข้าใจว่า อาหารพื้นถิ่นคือองค์ความรู้รวมหมู่ ไม่ใช่เพียงสูตรลับส่วนตัว

ในทางปฏิบัติ บทบาทรัฐที่เห็นผลได้จริงในงานครั้งนี้มีอย่างน้อยสี่ประการ

  1. คัดเลือกเมนูเชิดชูอัตลักษณ์   เลือกเมนูที่สื่อความเป็นเชียงรายชัดเจน มีเรื่องเล่า มีวัตถุดิบเฉพาะถิ่น
  2. ยกระดับมาตรฐานการสาธิต   การทำครัวกลางแจ้งแบบเปิด เพื่อให้คนดู “เรียนรู้ผ่านสายตา” เข้าใจเครื่องแกง–ขั้นตอน–เหตุผลของวัตถุดิบ
  3. เชื่อมเครือข่ายผู้ประกอบการ   ดึงผู้ประกอบการที่มีความรู้และรสมือเป็นที่ยอมรับ เช่น นายอนุสร เทพปินตา มาเป็น “ครูภาคสนาม” ให้ผู้ชมได้ซักถาม
  4. เก็บข้อมูล–ต่อยอดเชิงนโยบาย   สำรวจความนิยมของเมนู–ความพร้อมของวัตถุดิบ–ศักยภาพขยายตลาด เพื่อนำไปออกแบบโครงการต่อเนื่อง

สูตรที่เล่าเรื่อง  เคล็ดลับของความ “หอมกรุ่น”

แกงแคไก่เมืองที่ขายหมดเกลี้ยงในคืนนี้ ไม่ได้โดดเด่นที่ “ความเผ็ด” หากโดดเด่นที่ “ความหอม” ซึ่งมาจากสามชั้นสำคัญ

  • ชั้นเครื่องแกง  พริก–ข่า–ตะไคร้–ผิวมะกรูด–กะปิ–กระเทียมตำสด ผัดให้หอมขึ้นน้ำมันก่อนเติมน้ำซุป
  • ชั้นผักพื้นบ้าน  ชะอม–ผักชีลาว–ยอดฟักทอง–ถั่วฝักยาว–ใบชะพลู (ขึ้นกับฤดูกาล) ที่ให้กลิ่นเฉพาะ
  • ชั้นเนื้อไก่เมือง  เนื้อแน่น–ไขมันน้อย เคี้ยวได้รสและกลิ่นควันไฟอ่อน ๆ เมื่อเคี่ยวพอดี

การเลือกไก่เมืองแทนไก่เนื้อทั่วไปทำให้ “น้ำแกงไม่เลี่ยน” และ “กลิ่นสมุนไพรชัด” ซึ่งสอดรับกับรสนิยมร่วมสมัยที่เน้นรสสมุนไพร–ผักพื้นบ้าน และการกินอย่างรู้แหล่งที่มา (origin)

คำถามสำคัญหลังหม้อแกง  จะทำอย่างไรให้ “ความนิยมวันนี้” กลายเป็น “เศรษฐกิจยั่งยืน”

การขายหมดในงานมหกรรมคือสัญญาณเริ่มต้น ไม่ใช่เส้นชัย หากต้องการให้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power เชิงระบบ ที่พาเชียงรายไปต่อ มีข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ 4 ด้านดังนี้

(1) มาตรฐาน–ถ่ายทอด–สร้างคนทำแกงรุ่นใหม่

  • จัดทำ “ชุดตำรับมาตรฐาน” (Standardized Recipe) ที่ยังยืดหยุ่นต่อฤดูกาล
  • เปิดคลาสสาธิตต่อเนื่องในจังหวัด เชื่อมครัวโรงเรียน–วิทยาลัยอาชีวศึกษา–มหาวิทยาลัย
  • สร้าง “ช่างทำแกงแคประจำชุมชน” ที่รับงานจัดเลี้ยง–ครัวเทศกาลได้

(2) วัตถุดิบ–ห่วงโซ่–การรับรองแหล่งที่มา

  • พัฒนาเครือข่ายผู้ปลูกผักพื้นบ้าน–ผู้เลี้ยงไก่เมือง พร้อม “ป้ายบอกแหล่งที่มา” ในงาน/ร้าน
  • ส่งเสริม “ตลาดนัดผักพื้นบ้าน” รายสัปดาห์ในเชียงราย เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงของสดง่ายและคงคุณภาพ

(3) เมนูต่อยอด–แพ็กเกจท่องเที่ยว–เส้นทางอาหาร

  • สร้างเมนูคู่ขวัญ (เช่น คั่วแห้ม–แกงจิ๊น) ให้เป็น “ชุดประสบการณ์ล้านนา”
  • ทำ “เส้นทางแกงแค” เชื่อมชุมชน–ครัวบ้าน–ร้านอาหาร–ตลาดวัฒนธรรม
  • ผนวกกิจกรรม “ครัวสาธิต” ในแพ็กเกจทัวร์เรียนรู้ เพื่อเพิ่มเวลาใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในเชียงราย

(4) การสื่อสาร–แบรนด์–ตลาดออนไลน์

  • สร้างแบรนด์ “Lost Taste Chiang Rai” ทำโลโก้–เรื่องเล่า–วิดีโอสั้น
  • เปิดพรีออเดอร์ชุดแกง (ชุดเครื่องแกง–ผัก–คู่มือ) จัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ
  • ใช้คอนเทนต์คู่ความรู้ เช่น สรรพคุณสมุนไพร–เรื่องเล่าฤดูกาล ช่วยสร้างการจดจำ

เสียงสะท้อนจากพื้นที่จัดงาน  “กินแล้วนึกถึงบ้าน”

แม้ในงานไม่ได้มีการจัดเวทีเสวนาเฉพาะของเชียงราย แต่ “สนามจริง” หน้าเตา–หน้าหม้อคือพื้นที่พูดคุยที่ดีที่สุด หลายครอบครัวเล่าให้กันฟังว่ารสนี้ “ทำให้คิดถึงแม่” บางคู่พาผู้สูงอายุมาชิม พร้อมอธิบายว่าครั้งหนึ่งเคยกินจากฝีมือคุณยายในงานบุญ สิ่งเหล่านี้คือ “ทุนทางความทรงจำ” ที่เงินโฆษณาซื้อไม่ได้ และเป็นแรงส่งให้เมนูพื้นถิ่นมีชีวิตอยู่ต่อในเศรษฐกิจร่วมสมัย

ก้าวถัดไปของเชียงราย  จากบูธมหกรรมสู่ “เมืองรสชาติ”

ความสำเร็จที่ลำพูนทำให้เห็นว่า เชียงรายมีศักยภาพจะประกาศตัวเองในฐานะ “เมืองแห่งรสชาติพื้นถิ่นล้านนา” ได้อย่างไม่ขัดเขิน และหากขยับอย่างเป็นระบบ เมืองสามารถมี “ปฏิทินอาหารพื้นถิ่น” รายไตรมาส จัดหมุนเวียนในอำเภอต่าง ๆ (เมือง–แม่สาย–เชียงแสน–เวียงชัย–เวียงเชียงรุ้ง ฯลฯ) เพื่อสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวในมิติใหม่ที่ผสานตลาดชุมชน–งานวัฒนธรรม–และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น

สำหรับหน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษาในพื้นที่ การจับมือกันทำ “ห้องทดลองอาหารพื้นถิ่น” (Living Lab) จะช่วยรวบรวมสูตร–เครื่องมือ–และความรู้การแปรรูป เช่น ชุดเครื่องแกงพร้อมปรุง–น้ำพริกแกงแคพร้อมใช้–ชุดผักแห้งอบกรอบเสริมใย–แคริ่งแพ็กเกจเพื่อคนเมืองที่อยากทำแกงแคเองในคอนโด แกนกลางของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “ขายได้” แต่คือ “รักษาได้” รักษาสูตร–รักษาฤดูกาล–รักษาผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เดินไปพร้อมเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยว

ประโยคชวนคิด  ถ้าหม้อแกงหนึ่งใบทำให้คนหันกลับมามองผักพื้นบ้านและไก่เมืองทั้งห่วงโซ่ได้ นั่นไม่ใช่แค่ยอดขายที่หมดเกลี้ยง หากคือ “ระบบคุณค่าที่กลับมามีชีวิต”

สรุปแกนความสำเร็จในลำพูน 

  • เมนูเชิดชูอัตลักษณ์  แกงแคไก่เมือง สื่อเรื่องฤดูกาล–ภูมิประเทศ–โภชนาการ
  • รูปแบบนำเสนอ  ครัวสาธิตกลางแจ้ง เห็นทุกขั้นตอน–ถามตอบได้จริง
  • ผลตอบรับ  ผู้คนต่อคิวยาว ยอดจำหน่าย 3 เมนู “หมดเกลี้ยง” ภายในงาน
  • โอกาสต่อยอด  สร้างแบรนด์รสชาติ–เส้นทางท่องเที่ยว–ชุดเครื่องแกงพร้อมปรุง–ตลาดผักพื้นบ้าน
  • หัวใจเชิงนโยบาย  รัฐเป็น “ผู้เปิดพื้นที่–เชื่อมเครือข่าย–คุ้มคุณค่า” เอกชน–ชุมชน–คนรุ่นใหม่เป็น “ผู้ทำให้เกิดจริง”

รายละเอียดภาคปฏิบัติ  ใคร–ทำอะไร–ที่ไหน

  • เวทีจัดงาน  ข่วงพันปี ถนนรถแก้ว (ถนนสายวัฒนธรรม) อำเภอเมืองลำพูน
  • กรอบงาน  มหกรรม “ตามรอยรสชาติอาหารที่หายไป The Lost Taste 10 จังหวัดภาคเหนือ” ภายใต้โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม
  • ผู้ร่วมดำเนินงานจากเชียงราย  สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ และคณะเจ้าหน้าที่
  • ผู้สาธิต/จำหน่าย (เชียงราย)  นายอนุสร เทพปินตา ผู้ประกอบการเชียงราย พร้อมเมนู แกงแคไก่เมือง, คั่วแห้มไก่เมือง, แกงจิ๊น
  • ผลตอบรับในงาน  ความสนใจล้นหลาม กลิ่นแกงโดดเด่น ทำให้สินค้าทั้ง 3 เมนูจำหน่ายหมดภายในงาน

 “รสชาติที่หายไป” กำลังกลับมาด้วยความภูมิใจร่วม

ค่ำคืนที่ลำพูนคือภาพจำว่า “รสชาติ” ไม่เคยหายไปจากผู้คน เพียงรอเวทีเหมาะสมให้กลับมาดังอีกครั้ง เชียงรายใช้โอกาสนี้อย่างงดงาม ยกเมนูพื้นบ้านขึ้นสู่พื้นที่สาธารณะ พูดภาษาเศรษฐกิจได้ชัดขึ้น และเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแบบลึกซึ้งในระดับชุมชน หากแรงส่งนี้ถูกต่อยอดด้วยโครงสร้างรองรับที่ดี มาตรฐานสูตร การถ่ายทอดทักษะ ห่วงโซ่วัตถุดิบ และการสื่อสารที่ร่วมสมัย แกงแคไก่เมือง” จะไม่เป็นเพียงเมนูที่ขายหมดในงานหนึ่งครั้ง แต่จะกลายเป็น “สัญลักษณ์รสชาติของเชียงราย” ที่เดินได้ไกลทั้งในตลาดไทยและสายตานานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชิดชูอาหารถิ่น “แกงแคไก่เมือง” ดาวเด่นจากเชียงราย สะท้อนคุณค่าทางเศรษฐกิจ

มรดกกินได้จากแดนเหนือ “แกงแคไก่เมือง” เชียงราย สู่เวที “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 สะท้อนคุณค่าภูมิปัญา มหาศาลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 – ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการหลั่งไหลของข้อมูลและเทคโนโลยีอันไร้ขีดจำกัด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหลายรายการกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ที่อาจนำไปสู่การลบเลือนหรือสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของผู้คน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ยังมีจุดประกายความหวังที่เปล่งประกายออกมาจากความพยายามในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และต่อยอดคุณค่าอันล้ำเลิศนี้ให้คงอยู่และเจริญงอกงามต่อไป โดยมี “อาหาร” เป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการฟื้นฟูมรดกที่ “หายไป” อย่างน่าประทับใจ คือ เทศกาลอาหารถิ่น “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน 2568 ณ รอยัลพาร์ค พลาซ่า ชั้น 1 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ งานนี้จัดขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิดหลัก “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเผยแพร่องค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของชาติอย่างแท้จริง

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ชี้ อาหารถิ่นเป็นรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยระบุว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ ที่สะท้อนตัวตน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสมานฉันท์ และก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่สร้างรายได้ให้กับผู้คน”

ท่านยังได้กล่าวเสริมว่า กระทรวงวัฒนธรรมตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาและป้องกันไม่ให้มรดกเหล่านี้ลบเลือนหรือสูญหายไปจากปัจจัยภายนอกและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จึงได้กำหนดมาตรการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู อาทิ การจัดทำบัญชีในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ การประกาศขึ้นบัญชี การยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ทักษะสู่คนรุ่นใหม่ นี่คือวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่มองเห็น “อาหาร” เป็นมากกว่าแค่การบริโภค แต่คือการลงทุนในอนาคตของชาติ

แกงแคไก่เมือง” เชียงราย ดาวเด่นแห่งภูมิปัญญาที่กลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง

ภายในงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมของอาหารถิ่นจากทั่วประเทศ บูธของจังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นจุดรวมความสนใจของประชาชนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา “ชม-ชิม-ช้อป” และซื้อกลับบ้านอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมี “แกงแคไก่เมือง” เป็นเมนูชูโรงที่สร้างความประทับใจและปลุกเร้ารสชาติที่เหมือนจะ “หายไป” ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมนูนี้ได้รับการคัดเลือกจาก 5 เมนูสุดยอดของจังหวัด จนกลายเป็น “สุดยอดอาหารเมือง” และ “อาหารชูถิ่น” ของเชียงราย ที่กลับมาเป็น “ดาวเด่นในเวทีระดับประเทศ”

อะไรคือความพิเศษที่ทำให้ “แกงแคไก่เมือง” ครองใจผู้คนได้ถึงเพียงนี้ คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในความพิถีพิถันของวัตถุดิบและภูมิปัญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมนูนี้มิใช่เพียงอาหารจานหนึ่ง แต่คือ “เมนูสุขภาพ” และ “เมนูอายุยืน” ของภาคเหนือ ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสุขภาพ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สิ่งที่ทำให้แกงแคไก่เมืองแตกต่างและโดดเด่น คือการเป็นเมนูที่ “ปลอดโรค ปลอดสาร” อย่างแท้จริง ด้วยการใช้ผักสมุนไพรพื้นบ้านทั้งหมด

ความลับที่ซ่อนอยู่ในหม้อแห่งภูมิปัญญา

มิติแห่งผักพื้นบ้าน แกงแคไก่เมืองอุดมไปด้วยผักพื้นบ้านมากกว่า 10 ชนิด ผักเหล่านี้มาจากธรรมชาติแท้ ๆ ทั้งที่ปลูกในสวนและที่ได้จากป่า ซึ่งนอกจากความสดใหม่ตามฤดูกาลแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอันน่าทึ่ง อาทิ ผักเผ็ด ที่มีรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ผักขี้หูด ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และ หางหวาย วัตถุดิบหาทานยากที่มีรสขมอมหวาน ช่วยแก้ร้อนในได้อย่างดีเยี่ยม ความหลากหลายของผักยังมาจาก “โครงการผักส่วนครัว รั้วกินได้” ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและสนับสนุนผลผลิตจากชุมชน

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ขอมอบเกียรติบัตรฉบับนี้ ให้ไว้เพื่อแสดงว่า คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้บริหาร สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้เข้าร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ ๑ จังหวัด ๑ เมนู เชิดชูอาหารถิ่น "รสชาติ...ที่หายไป The Lost Taste" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ขอขอบคุณที่ได้ร่วมส่งเสริม สนับสนุนและยกระดับภาพลักษณ์ของอาหารถิ่นสู่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง

ไก่บ้านจากชุมชนท้องถิ่น ตัวเอกที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่บ้าน” โดยเฉพาะ “ไก่เมืองจากเวียงชัย” ที่ได้รับการคัดสรรเป็นพิเศษ โดยใช้ไก่ที่ไม่แก่หรือหนุ่มจนเกินไป คือช่วงอายุประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เนื้อกำลังหวานและมี texture ที่เหมาะสม ไม่เหนียวหรือยุ่ยจนเกินไป ไก่เหล่านี้มาจากกลุ่มชุมชน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

พริกแกงสูตรลับเฉพาะตระกูล เคล็ดลับความอร่อยของแกงแคเริ่มต้นจากการเจียว “พริกแกงที่โขลกเองกับมือ” ซึ่งเป็น “สูตรลับเฉพาะของแต่ละตระกูล” การโขลกเครื่องแกงอย่างพิถีพิถันนี้เองที่ทำให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรสดถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ เป็นเอกลักษณ์ที่หาทานได้ยากในยุคสมัยใหม่

ความใส่ใจในการปรุง หลังจากนั้นคือการ “ผัดไก่ด้วยไฟอ่อนๆ” เพื่อดึงรสชาติของสมุนไพรพื้นบ้านออกมาให้ได้มากที่สุด และความลับที่สำคัญที่สุดคือ “การเรียงลำดับการใส่ผัก” โดยจะใส่ผักที่สุกยากลงไปก่อน แล้วค่อยๆ ตามด้วยผักที่สุกง่าย เหมือน “ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของผืนป่าให้ลงไปอยู่ในหม้อ”

ตามคำกล่าวของเชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารล้านนา “เหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้ มันคือความรัก ความใส่ใจ และภูมิปัญญาที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแกงแคไก่เมืองไม่ใช่เพียงเมนูอาหาร แต่คือ “ส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เป็นมรดกที่กินได้ที่เชื่อมโยงเรากับธรรมชาติและรากเหง้าของชาวเชียงราย”

บทบาททางเศรษฐกิจและสังคม มรดกกินได้ที่สร้างรายได้และคุณค่า

การกลับมาของ “แกงแคไก่เมือง” ในฐานะดาวเด่นบนเวทีระดับประเทศ ไม่เพียงแต่เป็นการเชิดชูอาหารพื้นถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ การใช้ไก่บ้านจากกลุ่มชุมชนและผักจากโครงการ “ผักส่วนครัว รั้วกินได้” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่เชื่อมโยงผู้ผลิตท้องถิ่นเข้ากับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในชุมชน และส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ การนำเสนออาหารถิ่นเหล่านี้ยังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้สนใจ ให้เดินทางมาสัมผัส “รสชาติที่แท้จริงของเชียงราย” และเรื่องราวเบื้องหลังอาหารที่มากกว่าแค่การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

กิจกรรมหลากหลาย ต่อยอดภูมิปัญญา สร้างการมีส่วนร่วม

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การชิมอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การลองลิ้มชิมรสชาติอาหารที่หาทานได้ยาก จากทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ผ่านกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

การเรียนรู้ “อร่อยตามรอยภูมิปัญญา” ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 เส้นทาง อาทิ อาหารสายอันซีน, พหุวัฒนธรรมล้ำรส, งดงามภูมิปัญญาล้ำค่าทรัพยากร, จากหยดน้ำแรกแห่งธารา ถึงคลื่นครามแห่งอ่าวไทย, ตามเส้นทางพี่สตังค์หรอยแรงชิมขนมและแกงถิ่นปักษ์ใต้, และ Isan discovery

“ครัวฟุ้ง ปรุงไทย” Cooking Show โดย Chef Celebrity Thailand อาทิ เชฟพฤกษ์ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย และ กัณฑิมา สารีบท เชฟท้องถิ่นวิสาหกิจชุมชนเจ้าอุ้งลูกจีน จังหวัดกาญจนบุรี ที่มาสาธิตการทำอาหารในสไตล์ฟิวชั่น โดยยังคงผสมผสานสมุนไพรไทยลงในอาหาร เพื่อยกระดับอาหารถิ่นสู่สากล

การแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแสดงพื้นบ้าน ตลอดจนการแสดงประกอบเพลง “รสชาติที่หายไป” โดย แซ็ค ชุมแพ และ อาบูม แชมป์มิราเคิลมิวสิค เพื่อสร้างความสุขและความเพลิดเพลิน นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย คุณบริพันธ์ ชัยภูมิ กล่าวถึงความสำคัญของเพลงลูกทุ่งในฐานะวัฒนธรรมไทยที่จะมาสร้างความสุขในงาน และพิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ให้กับผู้เครือข่ายทางวัฒนธรรมจาก 77 จังหวัด และการมอบรางวัลอินฟลูเอนเซอร์ที่สนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานวัฒนธรรม โดยอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา

ทีมเมนู “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ได้รับเกียรติบัตรสำหรับเมนู แกงแคไก่เมือง” โดยมี นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ นายอนุสร เทพปินตา จากร้านสบันงาขันโตก เป็นตัวแทนเข้ารับมอบ ในการนี้ นายกำพล จาววัฒนาสกุล นักวิชาการวัฒนธรรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม รักษาราชการแทน วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วย คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง นครเชียงรายนิวส์ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) นายอนุสร เทพปินตา นางสาวศิวพร จอมสว่าง ตัวแทนผู้ประกอบการร้านสบันงาขันโตก (สาธิต) และนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

มรดกที่ต้องส่งต่อเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

เทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงอาหาร แต่เป็นภาพสะท้อนอันทรงพลังของความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการรักษาและต่อยอดคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม จากกลิ่นหอมของแกงแคไก่เมือง ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสัมผัส ไปจนถึงคำเชิญชวนของศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง แซ็ค ชุมแพ ที่กล่าวว่า “อยากเชิญชวนมิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย…มางานนี้ถือว่าครบจบ ทั้งความสนุกและอาหารอร่อย” นี่คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รสชาติที่หายไป” เหล่านี้ มีศักยภาพที่จะสร้างแรงบันดาลใจ ความสุข และคุณค่าที่จับต้องได้ให้กับทุกคน

การลงทุนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่องค์ความรู้เหล่านี้ มิได้เป็นการมองย้อนอดีตอย่างเดียวดาย แต่เป็นการวางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับอนาคตที่วัฒนธรรมไทยจะยังคงเป็นเสาหลักในการสร้างอัตลักษณ์ ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในหมู่คนไทยทุกคน ผู้ที่สนใจและผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจหรือประกอบการทำงาน จึงไม่ควรพลาดโอกาสในการมา “ชม-ชิม-ช้อป อิ่มท้อง-อิ่มใจ-ได้ความรู้” ในงานเทศกาลนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยยังคงดำรงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป

ตัวเลขที่น่าสนใจ

จากข้อมูลเบื้องต้นของงานเทศกาลในปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 50,000 คนต่อปี และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นกว่า 10 ล้านบาทจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารถิ่น ขณะที่การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ผลิตชุมชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีแรกของการจัดงาน

การสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมงานในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 85 ของผู้เข้าร่วมงานมีความประทับใจในรสชาติอาหารถิ่นที่ “เคยลืม” และร้อยละ 78 แสดงความสนใจที่จะเดินทางไปยังจังหวัดต้นทางของอาหารเหล่านั้นเพื่อสัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

เมื่ออาหารกลายเป็นเครื่องมือการพัฒนา

เทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในการเปลี่ยนมุมมองต่อ “อาหารถิ่น” จากสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น “อาหารชาวบ้าน” ไปสู่การเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า” นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งหลายคนเริ่มหันกลับมาเรียนรู้วิธีการทำอาหารพื้นบ้านจากผู้ใหญ่ในชุมชน

การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการสนับสนุนงานครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), และบริษัท ดอนเมืองพัฒนา จำกัด (ตลาดสี่มุมเมือง) แสดงให้เห็นถึงการรับรู้และการให้ความสำคัญของภาคธุรกิจต่อคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความยั่งยืนของโครงการในระยะยาว

คำมั่นสัญญาสู่อนาคต

นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักของงาน ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “งาน ไทยฟุ้ง ปรุงไทย ไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานเทศกาลประจำปี แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการอนุรักษ์และพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เราได้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมแล้วว่า เมื่อชุมชนมีความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมี พวกเขาจะมีแรงจูงใจในการรักษาและต่อยอดให้ดีขึ้น”

การจัดงานในครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติหลายท่าน ได้แก่ คุณสมพล ตรีภพนารถ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), คุณจรูญรัตน์ สาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด, คุณพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร, และ คุณจิตสุภา วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ รวมทั้งศิลปินและบุคคลสำคัญอีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของสังคม

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 จึงไม่เพียงแต่เป็นการจัดเทศกาลอาหาร แต่เป็นการปูทางสู่อนาคตที่วัฒนธรรมไทยจะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ความเข้มแข็งของชุมชน และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชาติไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงวัฒนธรรม, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • เอกสารงานเทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2025)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ไทยคอนเวนชั่นแอนด์เอ็กซิบิชั่นบูโร)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น ประจำปี 2568
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

รสชาติที่หายไป! แกงแคไก่เมืองเชียงรายชนะโหวตเมนูเชิดชูอาหารถิ่นประจำปี 68

 “แกงแคไก่เมือง” ทวงคืนรสชาติที่หายไป เชียงรายชู Soft Power อาหารถิ่นสู่เวทีชาติ

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางยุคสมัยที่อาหารฟิวชั่นและรสมือจากต่างชาติเข้ามาครองใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ เมนูพื้นบ้านหลายอย่างกำลังถูกลืมเลือนจากสำรับอาหารไทย แต่ในปี 2568 นี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ให้ “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย กลับกลายเป็นเมนูดาวเด่นที่ปลุกกระแสรักษ์ถิ่น จากการเปืดให้ชาวเชียงรายร่วมโหวต 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น ประจำปี 2568 “Thailand Best Local Food : รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

แกงแคความหมายที่มากกว่าอาหารจานหนึ่ง

แกงแคไก่เมือง เป็นมากกว่าเมนูรสจัดจ้านในครัวคนเหนือ เพราะนี่คือ “ภูมิปัญญาการกิน” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติและวิถีชีวิตบนผืนดินล้านนาแท้จริง แกงแคจึงไม่ใช่แค่แกงรวมผักหรืออาหารประจำฤดูกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย ความพอเพียง และการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ในหนึ่งหม้อรวมทั้งผักจากสวนและจากป่า เช่น ผักเผ็ด ผักขี้หูด เห็ดลม มะเขือเปราะ หางหวาย และที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่เมือง” หรือไก่พื้นบ้านที่เนื้อแน่น หอมหวาน ไม่ฉุนกลิ่นยา

จากการสืบค้นในตำนานอาหารพื้นเมือง คำว่า “แค” ในภาษาเหนือ หมายถึง การรวมผักหรือเครื่องปรุงหลายอย่างเข้าด้วยกัน โดยแต่ละบ้านอาจเลือกผักตามฤดูกาลหรือตามความอุดมสมบูรณ์ในช่วงนั้น เป็นความยืดหยุ่นที่เปิดโอกาสให้แต่ละครอบครัวใส่ “ลายเซ็นของตัวเอง” ลงในหม้ออาหาร

เชฟสะระแหน่  – ต้นตำรับความกลมกล่อม จากครัวชุมชนสู่เวทีชาติ

ในปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพื้นบ้านล้านนา “เชฟสะระแหน่” จากร้านสบันงาขันโตก จังหวัดเชียงราย ได้รับเชิญให้ถ่ายทอดเคล็ดลับการปรุงแกงแคไก่เมืองต้นตำรับ ซึ่งเขาเน้นย้ำถึง 3 หัวใจสำคัญที่ทำให้เมนูนี้ยังคงเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

  1. วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น โดยเฉพาะไก่เมืองพันธุ์พูหางดำจากเวียงชัย และผักปลอดสารที่ปลูกเองในสวน
  2. การเจียวเครื่องแกงและผัดไก่ด้วยไฟอ่อน เพื่อดึงรสชาติจากสมุนไพร เช่น กระเทียม พริกแห้ง ดีปลี และ “จี้ลี่ปากกา” หรือดีปลีพื้นบ้าน
  3. ลำดับการใส่ผัก ที่เริ่มจากผักแข็งก่อน เช่น หางหวาย ยอดมะพร้าวอ่อน ตามด้วยเห็ดลม มะเขือเปราะ ปิดท้ายด้วยผักอ่อนและสมุนไพรหอมฉุนที่ทำให้กลิ่นและรสชาติซับซ้อนขึ้น

เชฟสะระแหน่ กล่าวว่า “อาหารเหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ อาหารไม่มีผิดถูก ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้”

การทวงคืน “รสชาติที่หายไป” กับภารกิจอนุรักษ์ Soft Power อาหารไทย

โครงการ 1 จังหวัด 1 เมนูฯ ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ไม่เพียงเป็นเวทีคัดสรรเมนูเด่น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ฟื้นชีวิต” ให้อาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นักเรียน และนักท่องเที่ยว ในปีนี้ มีเมนูจาก 77 จังหวัดเข้าร่วมประกวดทั่วประเทศ โดยแกงแคไก่เมืองเชียงรายได้รับคะแนนโหวตสูงสุด สะท้อนการยอมรับในระดับชาติ

สิ่งที่น่าจับตาคือ “แกงแคไก่เมือง” จะไม่ได้หยุดอยู่ที่ตำรับในบ้านหรือบนโต๊ะอาหารท้องถิ่นอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น Soft Power สำคัญด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เตรียมต่อยอดด้วยการเผยแพร่สูตรดั้งเดิม ส่งเสริมร้านอาหารในพื้นที่ให้ดึงเมนูนี้เข้าสู่เมนูหลัก ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลอาหารถิ่นเพื่อการเรียนรู้และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสมัยใหม่

ผลลัพธ์ที่กว้างขวาง “แกงแคไก่เมือง” กับอัตลักษณ์เชียงราย

ชัยชนะของแกงแคไก่เมืองในปี 2568 ไม่เพียงเป็นเรื่องราวของการแข่งขัน แต่เป็น “ชัยชนะของอัตลักษณ์” ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เศรษฐกิจฐานราก และการอนุรักษ์ภูมิปัญญา

  1. ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน: ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถใช้เมนูนี้เป็นจุดขาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มรสต้นตำรับถึงถิ่น
  2. กระตุ้นการผลิตวัตถุดิบปลอดภัย: การเน้นใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน ทำให้เกษตรกรในชุมชนมีตลาดรองรับ ผลักดันให้เกิดการปลูกผักปลอดสาร พัฒนาอาชีพและรายได้
  3. สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น: เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้รากเหง้าทางวัฒนธรรม พร้อมส่งต่อสูตรอาหารอย่างเป็นระบบ เป็นสะพานเชื่อมโยงอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

อาหารพื้นบ้านในฐานะ “มรดกที่กินได้”

เรื่องราวของแกงแคไก่เมืองในวันนี้ คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ศิลปะหรือวัตถุโบราณ แต่อยู่ใน “หม้อแกง” ของบ้านทุกหลัง และสามารถก้าวสู่ Soft Power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง

ขณะที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังอยู่ระหว่างรวบรวมและประกาศผลอย่างเป็นทางการสำหรับทุกจังหวัด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในเชียงรายคือ กระแสการตื่นตัว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความภาคภูมิใจของชุมชนที่ต้องการทวงคืน “รสชาติที่หายไป” ให้กลับมาเป็นหัวใจบนสำรับอาหารไทยอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สัมภาษณ์เชฟสะระแหน่  ร้านสบันงาขันโตก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News