Categories
ECONOMY

เชียงรายเปิดประตูยาง นำร่องส่งตรงจีน ภาษีเหลือศูนย์ ดันคุณภาพชีวิตเกษตรกร

เชียงรายเตรียมเป็นประตูการค้าผ่านโขง เจรจาจีนซื้อตรงยางพารา 300 ตัน ลดภาษีเหลือ 0% สร้างจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยางพาราไทย

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์การส่งออกยางพาราของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจุดสำคัญ หลังเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศเปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาโรงงานจีน เตรียมนำร่องซื้อยางพาราจากเกษตรกรไทยโดยตรง 300 ตัน พร้อมสิทธิประโยชน์ภาษี 0% ผ่านลุ่มแม่น้ำโขงเข้าสู่มณฑลยูนนาน จีน เสริมบทบาทเชียงรายในฐานะ “จุดยุทธศาสตร์การค้าภาคเหนือ” สะท้อนนัยยะเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจทั้งจังหวัดและประเทศ

จุดเริ่มเปลี่ยนสมดุลการค้าชายแดนเหนือ

จุดเด่น ของโครงการนี้คือการส่งออกยางโดยตรงผ่าน “ด่านเชียงของ” จังหวัดเชียงราย ลดต้นทุนภาษีจาก 20% เหลือ 0% สอดคล้องกับกลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบโลจิสติกส์ที่เคยเน้นภาคใต้ ซึ่งแต่เดิมพ่อค้าจีนรับยางผ่าน 6 ด่านหลักในภาคใต้ของไทย ต้องแบกภาษีนำเข้าราว 7,500 บาท/ตัน รวมถึงภาษีแวตและค่าขนส่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ยางจากเชียงรายและภาคเหนือกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ได้เปรียบเชิงภาษีและโลจิสติกส์

ปัจจุบัน เครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศมีสมาชิกกระจายทั่วประเทศ โดย ภาคเหนือและอีสาน เป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อรวมศักยภาพการรวมกลุ่ม เกษตรกรไทยจะมีโอกาสขายยางในราคาดีขึ้น ลดการถูกกดราคาจากโรงงาน หรือหักค่าหัวคิวจากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการผลักดันโดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และกระทรวงเกษตรฯ

บทบาทใหม่ “เชียงรายฮับยางไทย” ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายในฐานะ “ประตูการค้าภาคเหนือ” กำลังขยายบทบาทจากเดิมที่เป็นจุดผ่านแดนสำคัญ สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปยางในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมทั้งเครือข่ายเกษตรกร ระบบขนส่งทางน้ำผ่านโขง และความร่วมมือระดับนโยบายกับจีนโดยตรง

ประเด็นสำคัญ ที่ตามมาคือ หากโครงการนี้นำร่องสำเร็จ ราคายางในพื้นที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสูง ลดแรงกดดันจากภาวะราคาตกต่ำ ส่วนผู้ประกอบการในภาคใต้ที่เคยได้เปรียบด้านโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของเส้นทางและรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ

อีกด้านหนึ่ง โรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ในจีนและลาวที่เคยลงทุนเพื่อรองรับยางจากภูมิภาคนี้อาจมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเข้ามาลงทุนร่วมกับท้องถิ่น ส่งเสริมการขยายกำลังผลิตและสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ในภาคเหนือ

วิเคราะห์ผลกระทบและอนาคตอุตสาหกรรมยางพารา

การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการส่งออกยางผ่านเชียงราย นอกจากจะลดภาษีให้เกษตรกร ยังเปิดโอกาสการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองในการกำหนดราคายางกับต่างประเทศ ลดการผูกขาดโดยนายหน้า การดำเนินโครงการนี้ยังมีส่วนช่วยให้การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานยางพาราไทยโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับคุณภาพยางพาราไทยมากกว่ายางจากประเทศอื่นในอาเซียน

ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเดินหน้าแก้ไขอุปสรรคเชิงระบบ เช่น การสนับสนุนค่าขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ในภาคเหนือ และการดูแลมาตรฐานการผลิตและแปรรูปยางให้สอดคล้องกับตลาดจีน เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงคุณภาพ

ความท้าทาย คือภาคเอกชนและชุมชนจะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ขยายเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากเชียงราย ขยายโอกาสการส่งออกไปยังตลาดจีนและประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ความคืบหน้าการส่งออกยางผ่านเชียงราย ไม่เพียงเปลี่ยนสมดุลทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมยางไทย แต่ยังตอกย้ำบทบาทของเชียงรายในฐานะ “ศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของภาคเหนือ” เปิดประตูใหม่สู่ตลาดจีนโดยตรง เสริมรายได้เกษตรกร กระตุ้นการจ้างงาน และสร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประชาชาติธุรกิจ
  • สำนักงานการยางแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • China Daily
  • World Bank Thailand Economic Monitor
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเปิดงบกระตุ้น อปท.ไร้บทบาท งบกระจุกหน่วยงานกลาง ชายแดนโดดเด่น

เปิดแกะไส้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.87 พันล้าน จ.เชียงราย “กรมทางหลวง” คว้าแชมป์ อปท.ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่รัฐบาลเร่งปั่นเศรษฐกิจด้วยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล 157,000 ล้านบาท ภาพที่ปรากฏในจังหวัดเชียงรายกลับสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่น่าตั้งคำถาม เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดกลับไม่ได้รับแม้แต่บาทเดียว ขณะที่หน่วยงานราชการส่วนกลางแบ่งปันงบประมาณกันหมด

เปิดตัวเลขสะเทือน งบ 1.87 พันล้าน แบ่งไป 10 หน่วยงาน

จากการวิเคราะห์เชิงลึกของทางเชียงรายนิวส์ พบว่าจังหวัดเชียงรายได้รับจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกทั้งสิ้น 1,876,111,500 บาท จาก 191 โครงการ โดยมี “กรมทางหลวง” เป็นตัวจริงคว้าสิงโตงวดไปถึง 713,901,000 บาท จาก 82 โครงการ คิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของงบประมาณทั้งหมด

รองลงมาคือ “กรมทรัพยากรน้ำ” ที่ได้ 327,525,800 บาท จากเพียง 2 โครงการ แต่ละโครงการมีมูลค่าเฉลี่ยโครงการละกว่า 163 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดในรายการ ตามด้วย “กรมชลประทาน” 255 ล้านบาท, “กรมทางหลวงชนบท” 175 ล้านบาท และ “กองทัพบก” 154 ล้านบาท ตามลำดับ

อำเภอเมืองเชียงรายยืนหนึ่ง ชายแดนตามติด

เมื่อมองในมิติของพื้นที่ อำเภอเมืองเชียงรายครองตำแหน่งผู้นำด้วยงบประมาณ 243,601,300 บาท จาก 34 โครงการ สะท้อนความเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของจังหวัด ขณะที่อำเภอเวียงชัยติดอันดับสองด้วย 219 ล้านบาท แม้จะมีเพียง 4 โครงการ

น่าสนใจคือ อำเภอชายแดนสำคัญอย่างเชียงแสน เชียงของ และเทิง ได้รับงบประมาณสูงเป็นอันดับต้นๆ ด้วยมูลค่า 214, 185 และ 182 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

เจาะลึกโครงการ “มีดีมีเสีย” แบบเดียวกับระดับชาติ

ข้อมูลสำคัญเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ที่ทำให้เห็นภาพรวมของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยระบุว่า “โครงการที่อนุมัติเหมือนใช้งบกลางปกติ ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นโครงการที่ทำอยู่แล้ว หรือถูกหั่นงบจากงบประมาณ 68”

ตัวอย่างเช่น การซ่อมถนนตามวงรอบปกติของทางหลวง การช่วยผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือการเพิ่มเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ตั้งงบไม่พอ ซึ่งล้วนเป็นภารกิจปกติที่ควรจะดำเนินการอยู่แล้ว

โครงการใหม่น่าจับตา แต่ยังไม่เห็นรายละเอียด

อย่างไรก็ตาม ยังมีโครงการใหม่ที่น่าสนใจ เช่น โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่ได้รับจัดสรร 1,760 ล้านบาท (แม้จะขออนุมัติ 3,100 ล้านบาท) สินเชื่อผู้ประกอบการผ่านประกันสังคมหมื่นล้านบาท และโครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (OTOD) รวมถึง OTOD AI ช่วยชาติ แต่ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน

สำหรับในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โครงการที่โดดเด่นและน่าจับตา ได้แก่ การปรับปรุงห้องน้ำสาธารณะตามแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอสำคัญหลายแห่ง เช่น เชียงแสน เวียงแก่น ขุนตาล ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ยังมีโครงการแก้มลิง เขื่อนประตูน้ำ ระบบสูบน้ำไฟฟ้าในหลายพื้นที่ เช่น แม่สาย เชียงแสน เทิง ซึ่งสอดคล้องกับการรับมือภัยแล้งและน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นที่

ข้อกังวลที่ต้องจับตา

แม้จะมีโครงการที่น่าสนใจ แต่ก็มีข้อกังวลที่ไม่ควรมองข้าม เริ่มจากการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้รับงบประมาณเลย ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดและเข้าใจปัญหาพื้นที่ได้ดี

การกระจุกตัวของงบประมาณในบางพื้นที่ เช่น อำเภอเมืองเชียงรายที่ได้รับงบมากที่สุด ขณะที่อำเภอห่างไกล เช่น แม่สรวย เวียงแก่น แม่ลาว ได้รับงบน้อย อาจเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการพัฒนา

ความซ้ำซ้อนของโครงการบางประเภทในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ห้องน้ำสาธารณะหรือระบบส่งน้ำ ซึ่งหากขาดการบูรณาการ อาจใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

ผลกระทบระยะสั้น-ยาว ต่อจังหวัดเชียงราย

ในระยะสั้น โครงการเหล่านี้จะสร้างการจ้างงานโดยตรง โดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินในพื้นที่ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แรงงานในท้องถิ่น ร้านค้า และซัพพลายเออร์จะได้รับประโยชน์โดยตรง

ในระยะยาว การลงทุนในระบบน้ำและถนนในพื้นที่ชนบทจะเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร การเดินทาง และการเข้าถึงตลาด พื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติบ่อยจะมีระบบรองรับที่ดีขึ้น

การยกระดับแหล่งท่องเที่ยวด้วยการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพสูง

สำหรับบทบาทของพื้นที่ชายแดน การที่อำเภอเชียงของ-เชียงแสนได้รับงบจำนวนมาก สะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมสู่ศูนย์เศรษฐกิจ CLMVT Corridor ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจังหวัดในอนาคต

ข้อเสนอแนะต่อการติดตามและพัฒนา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ภูมิภาคเสนอแนะว่า ควรมีการเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการเป็นระยะ เพื่อสร้างความโปร่งใสและให้ประชาชนสามารถติดตามได้

การส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบหรือติดตามผลโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการลงทุนสูง จะช่วยให้โครงการตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ได้มากขึ้น

การใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายที่เชื่อมโยงกับลาว-จีน ผ่านเชียงแสนและเชียงของ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการลงทุนในครั้งนี้

นอกจากนี้ ควรพิจารณาการพัฒนา “Smart Chiang Rai” ที่เชื่อมโยงระบบพื้นฐานเข้ากับการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบน้ำอัจฉริยะ ถนนอัจฉริยะ หรือระบบติดตามผลแบบออนไลน์

โอกาสทองสู่ความยั่งยืน

การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.87 พันล้านบาทในจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ หากดำเนินอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส จะเป็น “โอกาสทอง” ในการเร่งพัฒนาจังหวัดให้ยกระดับจาก “เมืองปลายทางท่องเที่ยว” ไปสู่ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนภาคเหนือ” ได้ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการจะขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่ดี การมีส่วนร่วมของประชาชน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หากขาดองค์ประกอบเหล่านี้ โครงการเหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงตัวเลขในกระดาษ โดยไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับประชาชนในพื้นที่ได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนและวิเคราะห์ข้อมูลโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลงบประมาณจาก ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568
  • ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชาติ วงเงิน 157,000 ล้านบาท รอบแรก
  • การวิเคราะห์จากกรมพัฒนาชุมชน กรมทางหลวง กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตผลไม้ไทย ทุเรียนราคาดิ่ง มะม่วงหลุดผู้นำ ผวาเวียดนามครองตลาดจีน

ไทยเสียแชมป์ผลไม้ส่งออก สัญญาณวิกฤตศักยภาพเกษตรไทยในตลาดโลก

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น “เจ้าตลาดผลไม้เมืองร้อน” โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านการส่งออกทุเรียน มังคุด และมะม่วง กลับต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2568 เมื่อเวียดนามก้าวขึ้นมาครองพื้นที่ทางการตลาดอย่างน่าเกรงขาม ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดปลายทาง

จากอดีตที่ผลไม้ไทยแทบไม่มีคู่แข่งในตลาดจีน วันนี้สถานการณ์กลับพลิกผันในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จุดเริ่มต้นของการเสียความเป็นผู้นำทุเรียนไทยถูกแทนที่

ต้นปีที่ผ่านมา ทุเรียนไทยซึ่งเคยเป็นผลไม้เรือธงในการส่งออก ถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตลาดจีน ด้วยสัดส่วนการนำเข้าทุเรียนเวียดนามกว่า 64% ขณะที่ทุเรียนไทยหดตัวเหลือเพียงราว 30% เท่านั้น

สาเหตุหลักเกิดจากความสามารถในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเวียดนามที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับรัฐบาลจีนในด้านการเปิดจุดผ่านแดนและการเร่งพิธีการศุลกากร ซึ่งช่วยให้ผลไม้เวียดนามเข้าเมืองจีนได้เร็วขึ้นและสดใหม่กว่า

ราคาตกต่ำ – ความเชื่อมั่นสั่นคลอน

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ราคาทุเรียนหน้าสวนไทยในปี 2568 ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี เหลือเพียงกิโลกรัมละ 80-95 บาท จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 120-150 บาท ส่วนหนึ่งมาจากภาวะล้นตลาด ขาดการวางแผนการผลิต และการกระจายสินค้าที่ไร้เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าขบวนการในเวียดนามบางกลุ่มพยายาม “สวมสิทธิ์” ทุเรียนไทยเพื่อหลอกตลาดจีน โดยอ้างว่าเป็นผลไม้ที่ผ่านการรับรองจากประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผลไม้ไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริง

มะม่วงไทยร่วงพ้น Top 5 – เวียดนามครองตลาด 97%

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ มะม่วงไทยที่เคยติด Top 3 ผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของจีน กลับมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 3% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่เวียดนามกลับขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 97% ด้วยคุณภาพที่คงเส้นคงวา ราคาสมเหตุสมผล และการส่งออกอย่างมีระบบ

นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่า จุดแข็งของเวียดนามอยู่ที่การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนามาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผลไม้เวียดนามผ่านด่านการตรวจสอบของจีนได้รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไทยกำลังสูญเสียข้อได้เปรียบดั้งเดิมในเวทีโลก

การเสียตำแหน่งในตลาดจีนของทุเรียนและมะม่วงไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขันด้านผลไม้เท่านั้น แต่เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยในความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยในภาพรวม ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน

หลายปัจจัยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการที่ล่าช้า การขาดความเป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงาน ความล่าช้าในการปรับตัวต่อมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศ และการพึ่งพาตลาดส่งออกแบบกระจุกตัว

หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการปรับยุทธศาสตร์ ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผลไม้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า 144,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลปี 2566 จากกรมศุลกากร) และจะกระทบตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจมหภาค

ทางออกไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ทั้งระบบ

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไทยควรปรับทิศทางนโยบายการเกษตรใหม่ใน 3 ด้าน ได้แก่:

  1. ยกระดับมาตรฐานการผลิต: พัฒนาคุณภาพตั้งแต่ต้นทางด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบ Smart Farming การจัดการดิน น้ำ และปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. พัฒนาการตลาดเชิงรุก: เร่งสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยผ่านการตลาดดิจิทัล และการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐที่มีเป้าหมายชัดเจน
  3. สร้างเครือข่ายความร่วมมือภูมิภาค: เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรปเพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงช่องทางเดียว

บทสรุป

สถานการณ์ในปี 2568 ไม่ได้สะท้อนแค่การเปลี่ยนแปลงในตลาดผลไม้ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมอันดับต้น ๆ ของโลก จำเป็นต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างจริงจัง หากไม่อยากถูกผลักให้กลายเป็นผู้เล่นรายรองในเวทีที่เคยเป็นเจ้าภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • Vietnam Trade Promotion Agency (VIETRADE)
  • สำนักข่าว Xinhua (China)
  • ข้อมูลรายงานการค้าผลไม้ไทย-จีน ประจำไตรมาส 1 ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวจีนหาย KKP ชี้ความปลอดภัยลดลง

วิกฤตนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย โอกาสและความท้าทายในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว

ประเทศไทย, 26 พฤษภาคม 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของชาติ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างน่าตกใจในช่วงต้นปี 2568 สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงราย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ แต่ยังทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “นักท่องเที่ยวจีนหายไปไหน?” และประเทศไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ความหวังที่พังทลายหลังตรุษจีน

ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และสร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาทต่อปี ด้วยตัวเลขที่สูงเช่นนี้ ประเทศไทยจึงคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาด โดยเฉพาะเมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID และเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2565

ในช่วงปลายปี 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยมีจำนวนเฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 60-70% ของระดับก่อนโควิด-19 ความหวังพุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนในเดือนมกราคม 2568 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 660,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ความหวังนี้กลับพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ลดลงเกือบครึ่ง เหลือเพียง 300,000 คนต่อเดือน หรือเพียง 30% ของระดับก่อนโควิด-19

สถานการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ คำถามที่ตามมาคือ สาเหตุใดที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างรุนแรง และประเทศไทยจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างไร KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้วิเคราะห์สถานการณ์นี้และชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราวที่ส่งผลต่อการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับตัวเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

สาเหตุของการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน

KKP Research ได้ระบุถึงสามปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว ดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีน
    ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ข้อมูลจาก China Tourism Academy ระบุว่า ในปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางภายในประเทศฟื้นตัวถึง 93.6% ของระดับปี 2562 ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศฟื้นตัวเพียง 86.5% เท่านั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเติบโตเพียง 4.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ National Bureau of Statistics of China ยังส่งผลให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนลดลง ทำให้หลายคนเลือกท่องเที่ยวในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ไปสู่นักท่องเที่ยวอิสระ (Free Individual Traveler: FIT) เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ในอดีต นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยมีสัดส่วนกรุ๊ปทัวร์สูงถึง 40% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคที่อยู่ระหว่าง 10-20% อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ลดลงเหลือเพียง 20% ในขณะที่นักท่องเที่ยวอิสระเพิ่มขึ้นเป็น 80% การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยกลยุทธ์เน้นราคาต่ำ เช่น ทัวร์ราคาถูก อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวอิสระให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น เช่น คุณภาพการบริการ ความปลอดภัย และประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

  1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่เสื่อมถอย
    ปัญหาความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีน จากการสำรวจของ Dragon Trail International ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 52% ของนักท่องเที่ยวจีนที่ตอบแบบสอบถามมองว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ที่การรับรู้ด้านความปลอดภัยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

เหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ได้แก่ การลักพาตัวดาราชาวจีนในช่วงต้นปี 2568 การปราบปรามธุรกิจสีเทาที่สร้างความกังวลในหมู่นักท่องเที่ยว และเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กในบางพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งถูกขยายความในสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่ากรุ๊ปทัวร์ การรับรู้ด้านความปลอดภัยที่ลดลงนี้สะท้อนจากข้อมูลการจองเที่ยวบินขาเข้าไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ในขณะที่เที่ยวบินขาออกจากจีนไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซียกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

  1. การแข่งขันจากจุดหมายปลายทางอื่น
    ปัจจัยทั้งเชิงโครงสร้างและชั่วคราวคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันไปเลือกจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งมีข้อได้เปรียบในด้านความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว คุณภาพการบริการ และภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ข้อมูลจาก International Air Transport Association (IATA) แสดงให้เห็นว่า เที่ยวบินจากจีนไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ในขณะที่เที่ยวบินไปไทยลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่า ความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค

กลยุทธ์รับมือและโอกาสใหม่

เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ KKP Research เสนอว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการสร้างความหลากหลายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย
    การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะยาว Dragon Trail International ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดคือการออกคำแนะนำด้านการเดินทางในเชิงบวกจากรัฐบาลจีน และการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยโดยรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่ง 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่ามีความสำคัญ รองลงมาคือการรับข้อมูลเชิงบวกจากสื่อสังคมออนไลน์และเพื่อนนักท่องเที่ยว (25%) และการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงต่ำหรือการซื้อประกันการเดินทาง (20%) ในทางกลับกัน การเดินทางกับกรุ๊ปทัวร์หรือการมีไกด์ท้องถิ่นไม่ได้ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวจีนมากนัก

รัฐบาลไทยจึงควรประสานงานกับรัฐบาลจีนเพื่อปรับปรุงการรับรู้ด้านความปลอดภัย รวมถึงลงทุนในแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในจีน เช่น WeChat และ Douyin เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและการเพิ่มกำลังตำรวจท่องเที่ยว จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้

  1. การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย
    ในระยะสั้น การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวอาจเป็นความเสี่ยง KKP Research แนะนำให้มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 7.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ International Monetary Fund (IMF) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ฟื้นตัวถึง 120% ของระดับปี 2562 และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

นักท่องเที่ยวยุโรปมีฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปีถึงต้นปี ซึ่งช่วยเติมเต็มช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง ในขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมากในช่วงกลางปี (พฤษภาคม-มิถุนายน) ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างจากนักท่องเที่ยวจีนอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวยุโรปให้ความสำคัญกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ อาหารริมทาง และการช้อปปิ้งของที่ระลึก ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียชื่นชอบกิจกรรมยามค่ำคืน การนวดและสปา และการช้อปปิ้งเสื้อผ้าและเครื่องหนัง

การปรับนโยบายการท่องเที่ยวจึงควรเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในภาคเหนือและอีสานสำหรับนักท่องเที่ยวยุโรป และการส่งเสริมสถานบันเทิงและสปาคุณภาพสูงในกรุงเทพฯ และพัทยาสำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย

  1. การยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว
    การเปลี่ยนแปลงสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอิสระที่มีกำลังซื้อสูง การพัฒนาการบริการ การเพิ่มความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับประเทศไทย นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มจองที่พักและกิจกรรมออนไลน์ที่สะดวกและเข้าถึงได้ง่าย จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวอิสระทั้งจากจีนและกลุ่มอื่นๆ

โอกาสท่ามกลางวิกฤต

การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปี 2568 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แม้ว่าปัญหานี้จะมีทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว แต่ก็เป็นโอกาสให้ประเทศไทยทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์การท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวในอดีตได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรม เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว

ในระยะสั้น การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการประชาสัมพันธ์เชิงบวกจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนได้บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ยังมีศักยภาพในการกลับมา อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายไปสู่นักท่องเที่ยวยุโรปและอินเดียจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความสมดุลให้กับอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและการยกระดับคุณภาพการบริการจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยวแบบอิสระยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่เน้นประสบการณ์เฉพาะตัว เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเชียงราย การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาคใต้ หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกรุงเทพฯ การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย:
    • ปี 2562: 11 ล้านคน (28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด)
    • ปี 2567: เฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน (60-70% ของระดับก่อนโควิด-19)
    • มกราคม 2568: 660,000 คน
    • กุมภาพันธ์-เมษายน 2568: เฉลี่ย 300,000 คนต่อเดือน (30% ของระดับก่อนโควิด-19)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน:
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางในประเทศ: ฟื้นตัว 93.6% ของระดับปี 2562
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศ: ฟื้นตัว 86.5% ของระดับปี 2562
      ที่มา: China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีน:
    • ปี 2562: กรุ๊ปทัวร์ 40%, นักท่องเที่ยวอิสระ 60%
    • ปี 2567: กรุ๊ปทัวร์ 20%, นักท่องเที่ยวอิสระ 80%
    • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวอิสระ: 77.4% (5.3 ล้านคน)
    • การฟื้นตัวของกรุ๊ปทัวร์: 33.4% (1.4 ล้านคน)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การรับรู้ด้านความปลอดภัย:
    • เดือนกันยายน 2567: 38% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
    • เดือนเมษายน 2568: 52% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
      ที่มา: Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้:
    • ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568: ฟื้นตัว 120% ของระดับปี 2562
    • สัดส่วน: คิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย:
    • ปี 2567: GDP เติบโต 7.8%
      ที่มา: International Monetary Fund (www.imf.org)
  • ข้อมูลเที่ยวบิน:
    • เที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: เพิ่มขึ้น 15% ในไตรมาสแรกของปี 2568
    • เที่ยวบินจากจีนไปไทย: ลดลง 10% ในไตรมาสแรกของปี 2568
      ที่มา: International Air Transport Association (www.iata.org)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (www.kkpfg.com)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • International Monetary Fund (www.imf.org)
  • International Air Transport Association (www.iata.org)
  • National Bureau of Statistics of China (www.stats.gov.cn)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ทอท.โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก รายได้ทะลุเป้า หนุนสนามบินไทย

AOT เผยรายได้ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 พุ่งแตะ 36,235 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยาน 6 แห่งทั่วประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทย, 15 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) โดยมีรายได้รวม 36,235.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.98 สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการเดินทางภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบริการของท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้จากกิจการการบินเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ปริมาณเที่ยวบินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 414,377 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 237,511 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารรวมทั้งหมด 68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.76 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 42.34 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกิจการการบินอยู่ที่ 18,188.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง ร้อยละ 17.82

เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-บริการ-เทคโนโลยี มุ่งสู่ “Smart Airport – Smart Immigration”

เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว AOT ได้ดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องในท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่:

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ: กำลังดำเนินโครงการขยายศักยภาพรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง: เตรียมขยายขีดความสามารถจาก 30 ล้านคนเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2576
  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และภูเก็ต: อยู่ระหว่างพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 2 ในทั้งสองจังหวัด

ในด้านเทคโนโลยี AOT ได้นำระบบอัจฉริยะมาใช้บริการภายในสนามบินเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร อาทิ:

  • ระบบบริหารจัดการเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติ
  • ระบบโหลดสัมภาระอัตโนมัติ
  • ระบบสแกนใบหน้า (Biometric)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC)
  • การใช้ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) แทน ตม.6 แบบเดิม

ระบบเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลารอคอย เพิ่มความปลอดภัย และลดความแออัด โดยเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา

เดินหน้าพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์และร่วมลงทุน PPP สร้างรายได้ยั่งยืน

AOT ไม่เพียงมุ่งพัฒนาบริการสนามบิน แต่ยังได้ขับเคลื่อนโครงการพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • โครงการ AOT Property Showcase
  • โครงการ ลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
  • โครงการ คลังสินค้า
  • การก่อสร้างอาคาร Junction Building อาคารจอดรถ และศูนย์เชื่อมต่อระบบราง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง

โดยทั้งหมดนี้เปิดรับการลงทุนในรูปแบบ ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริการและสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจรอบสนามบินให้เข้มแข็ง

การพัฒนาที่ยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero Emissions

ด้านสิ่งแวดล้อม AOT ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยติดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ทั้งในระดับโลกและตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง 6 และ 10 ปี ตามลำดับ และยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings ระดับ A

AOT ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2587 ผ่านการดำเนินงาน เช่น:

  • การติดตั้งระบบ โซลาร์เซลล์
  • การใช้ พลังงานสะอาด
  • การเปลี่ยน ยานพาหนะในสนามบินเป็นระบบไฟฟ้า (EV)

ความสำเร็จระดับโลกสะท้อนภาพลักษณ์องค์กร

ปี 2025 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการจัดอันดับจาก Skytrax ให้เป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดอันดับที่ 39 ของโลก เพิ่มขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน และติดอันดับ 3 ท่าอากาศยานที่พัฒนาดีที่สุดในโลก ขณะเดียวกันอาคาร SAT-1 ยังคว้ารางวัล Prix Versailles 2024 ในฐานะท่าอากาศยานที่สวยที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับบทบาทในระบบการบินภาคเหนือ

แม้จะเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค แต่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูมิภาคเหนือกับศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มประเทศ และยังได้รับการรับรอง ระดับ 2 (Level 2) ด้านคุณภาพบริการภายใต้โครงการ Customer Experience จากสภาท่าอากาศยานนานาชาติ (ACI) ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของสนามบินในพื้นที่ระดับจังหวัด

บทบาท AOT ต่อเศรษฐกิจไทยและเชียงราย

จากภาพรวมการดำเนินงานของ AOT จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน โดยมีการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สนามบินไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ในขณะที่สนามบินระดับภูมิภาคอย่าง แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอิงกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวภาคเหนือที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์แบบองค์รวมของ AOT ที่ไม่เน้นเพียงสนามบินหลักในเมืองใหญ่ แต่ยังพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

รายการ

ข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

รายได้รวม AOT

36,235.82 ล้านบาท

รายงาน AOT, พ.ค. 2568

กำไรสุทธิ

10,397.57 ล้านบาท

AOT

จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด

414,377 เที่ยวบิน

AOT

จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด

68.42 ล้านคน

AOT

เที่ยวบินระหว่างประเทศ

237,511 เที่ยวบิน

AOT

เที่ยวบินภายในประเทศ

176,866 เที่ยวบิน

AOT

รายได้จากกิจการการบิน

18,188.15 ล้านบาท

AOT

เป้าหมาย Net Zero Emissions

ภายในปี 2587

รายงานความยั่งยืน AOT

ระดับการรับรองบริการ ACI (เชียงราย)

Customer Experience Level 2

Airport Council International

AOT ยืนยันศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาค ด้วยการพัฒนาเชิงรุก ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การให้บริการ และความยั่งยืน สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชาติควบคู่กับการยกระดับท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

วิกฤตภาษีสหรัฐฯ ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน SME เร่งปรับตัว

ประเทศไทยเผชิญพายุภาษีสหรัฐฯ มุมมองผู้ว่าการแบงก์ชาติและทางออกเพื่ออนาคต

กรุงเทพฯ, 12 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ ในงาน “Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/2568” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจไทยท่ามกลาง “พายุ” ทางเศรษฐกิจ พร้อมนำเสนอแนวทางรับมือที่เน้นความยั่งยืนและการปรับโครงสร้างเพื่ออนาคต

ความไม่แน่นอนจากพายุภาษีสหรัฐฯ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย นโยบายนี้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก โดย ดร.เศรษฐพุฒิ เปรียบสถานการณ์นี้เป็น “พายุ” ที่อาจกินเวลานานและไม่คลี่คลายง่าย ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ จะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป 90 วัน แต่การเจรจากับหลายประเทศที่มีจำนวนมากทำให้มองเห็นความท้าทายในการหาข้อสรุปที่ชัดเจน

“พายุลูกนี้จะใช้เวลานาน ไม่น่าจะจบเร็ว การเจรจาคงไม่ง่าย และอาจไม่จบลงด้วยดีในทุกกรณี” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานแถลงข่าว

ผลกระทบจากมาตรการภาษีนี้คาดว่าจะเริ่มชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 โดยจุดต่ำสุดของผลกระทบอาจอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าผลกระทบในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าวิกฤตโควิด-19 หรือวิกฤตการเงินปี 2540 แต่ก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากความลึกและระยะเวลาของผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและความเปราะบางของ SME

ธปท. ประเมินว่ามี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบหนักจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในปริมาณสูง ได้แก่:

  1. เครื่องใช้ไฟฟ้า
  2. ยานยนต์และชิ้นส่วน
  3. ยางล้อ
  4. อาหารแปรรูป
  5. อิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่อเนื่องไปยังสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังจีนหรือเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่มุ่งสู่สหรัฐฯ

อีกหนึ่งความกังวลสำคัญคือการที่สินค้าจากต่างประเทศอาจ “ทะลัก” เข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด เนื่องจากสินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย

“การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจกระทบ SME ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ภาครัฐควรใช้มาตรการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

นโยบายการเงินและการคลังที่ต้องแม่นยำ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบจากพายุภาษีในขั้นต้น แต่หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด ธปท. พร้อมทบทวนนโยบายเพิ่มเติม

“กระสุนทั้งฝั่งนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด ต้องใช้อย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ดร.เศรษฐพุฒิ เน้นย้ำ

ในด้านนโยบายการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. แนะนำว่ารัฐบาลควรหลีกเลี่ยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “ปูพรม” เช่น การแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากผลกระทบจากพายุภาษีมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน การกระตุ้นการบริโภคอาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินไปยังสินค้านำเข้า ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลการค้า

“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตควรได้รับการทบทวนในแง่ความคุ้มค่าและประสิทธิผล โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น สินค้าต่างชาติที่อาจทะลักเข้ามา” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังข้อเสนอของ ธปท. และยอมทบทวนโครงการดังกล่าว

ในส่วนของมาตรการเฉพาะเจาะจง ธปท. สนับสนุนการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น SME ในอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องออกแบบให้ตรงจุดและไม่ครอบคลุมกว้างเกินไป เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

โอกาสท่ามกลางวิกฤตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าพายุภาษีสหรัฐฯ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว หากประเทศไทยยังยึดติดกับรูปแบบการเติบโตแบบเดิม เช่น การพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมหนัก อาจทำให้การเติบโตชะลอตัวลงในอนาคต การปรับตัวในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

หนึ่งในแนวทางที่ผู้ว่าการ ธปท. เสนอคือการยกระดับภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เน้นมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมสูงวัยทั้งในไทยและทั่วโลก ตลาดนี้มีศักยภาพเติบโตสูงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของประเทศ

“ในช่วงที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง การทำธุรกิจที่ ‘ขาวสะอาด’ มีความสำคัญ การพัฒนากาสิโนอาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดู ‘สีเทา’ ซึ่งไม่เหมาะสมในบริบทปัจจุบัน” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชี้ว่า การพัฒนาศูนย์สุขภาพจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและสอดคล้องกับจุดแข็งของไทย

นอกจากนี้ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การลงทุนในเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว โครงการอย่าง “Financial Landscape” และ “Open Data” ที่ ธปท. กำลังผลักดัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายในอนาคตการเปลี่ยนผ่านผู้ว่าการ ธปท.

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุภาษีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ดร.เศรษฐพุฒิกำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในวันที่ 30 กันยายน 2568 การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ว่าการคนใหม่จะต้องรับมือกับความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการประสานงานกับรัฐบาลที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน

คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. นำโดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2568 ผู้สมัครที่มีศักยภาพ ได้แก่:

  1. ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในนโยบายการเงินและการพัฒนาภูมิทัศน์ทางการเงิน
  2. ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุน
  3. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้มีประสบการณ์บริหารทั้งในภาครัฐและเอกชน
  4. ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล ผู้มีเครือข่ายทางการเมืองและประสบการณ์ในวงการการเงิน
  5. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ อดีตรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการวิจัย
  6. ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ

การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของไทยในช่วงเวลาที่ท้าทาย ผู้ว่าการคนใหม่จะต้องมีความสามารถในการประสานงานกับรัฐบาล ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นอิสระของ ธปท. เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบจากพายุภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ:
    • ในปี 2567 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17% ของการส่งออกทั้งหมด
    • อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 2.2% ของ GDP ประเทศไทย
    • แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  2. ผลกระทบต่อ SME:
    • SME ในประเทศไทยมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด แต่มีเพียง 30% ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการ
    • การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจทำให้ SME ในภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถึง 20-30%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  3. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
    • อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ถูกปรับลด 2 ครั้งในปี 2568 จาก 2.50% เหลือ 2.00%
    • การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  4. หนี้ครัวเรือน:
    • หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2567 อยู่ที่ 90.8% ของ GDP ลดลงเล็กน้อยจาก 91.3% ในปี 2566
    • โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีผู้เข้าร่วมกว่า 500,000 ราย ณ เดือนเมษายน 2568
    • แหล่งอ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

พายุภาษีสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปี 2568 แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่แม่นยำ การปกป้อง SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการลงทุนในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าพายุครั้งนี้ไปได้

สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ แนะนำให้ติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน ส่วนรัฐบาลและ ธปท. ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เวียดนามแซงไทย! ชิงเจ้าการบิน เจ้าการเกษตร ไทยจะตามทันไหม?

การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเผชิญความท้าทายจากเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตร

เวียดนาม, 12 พฤษภาคม 2568 – การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาสะท้อนถึงความท้าทายที่กำลังเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกมิติของเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวเพียง 1.9% ในปี 2566 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการพัฒนาที่ชะลอตัว ขณะที่เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการบิน การท่องเที่ยว และการเกษตร

เศรษฐกิจไทยในมุมมองภูมิภาค

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องและการขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวทำให้การพัฒนาในหลายภาคส่วนเริ่มชะลอตัว ข้อมูลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2566 ที่ 1.9% นั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ราว 4.2% สะท้อนถึงความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ในทางตรงกันข้าม เวียดนามแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก เช่น การผลิต การท่องเที่ยว และการเกษตร การสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามที่มีความต่อเนื่องช่วยให้ภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีสายการบินเวียตเจ็ทเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น

การบินและการท่องเที่ยว – เวียตเจ็ทขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม

นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยเฉพาะในภาคการบินและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี สายการบินเวียตเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของเวียดนาม ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายเครือข่ายการบินทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) และการให้บริการภาคพื้น

จากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เวียตเจ็ทรายงานรายได้รวม 17.952 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรก่อนหักภาษี 836,000 ล้านดอง (ประมาณ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เสริมจากบริการต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของรายได้รวม สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจที่หลากหลาย

เวียตเจ็ทยังขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้เปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี กับเมืองสำคัญในจีน (ปักกิ่งและกวางโจว) และอินเดีย (เบงกาลูรูและไฮเดอราบาด) รวมถึงวางแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังนิวซีแลนด์ (โฮจิมินห์ ซิตี – โอ๊คแลนด์) ภายในปลายปี 2568 ปัจจุบัน เวียตเจ็ทให้บริการ 137 เส้นทางทั่วโลก โดยมีเส้นทางระหว่างประเทศ 97 เส้นทาง และภายในประเทศ 40 เส้นทาง

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังลงทุนในฝูงบินที่ทันสมัย โดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ 2 ลำในไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้มีเครื่องบินทั้งสิ้น 106 ลำ ซึ่งเป็นหนึ่งในฝูงบินที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 87% และความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูงถึง 99.72% เวียตเจ็ทจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

การขนส่งสินค้าทางอากาศ จุดแข็งของเวียตเจ็ท

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียตเจ็ทแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการเดินทางของผู้โดยสาร การขนส่งแบบ Cargo in Cabin และการโหลดสินค้าใต้ท้องเครื่องบินช่วยให้เวียตเจ็ทรักษาผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงวิกฤต บริษัทลูกอย่างสายการบินไทยเวียตเจ็ทยังได้รับการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเห็นได้จากโครงการต่างๆ เช่น “ลิ้นจี่บินได้” “ลำไยบินได้” และ “สับปะรดบินได้” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รวมถึงโครงการ “ทะเลบินได้” และ “กุ้งบินได้” จากภูเก็ต

ความสามารถในการขนส่งสินค้าเกษตรทางอากาศของเวียตเจ็ทและไทยเวียตเจ็ทแสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดและการตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเกษตร เวียดนามแซงหน้าด้วยตัวเลขการส่งออก

นอกเหนือจากภาคการบิน อุตสาหกรรมเกษตรของเวียดนามยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้สามารถแซงหน้าประเทศไทยในแง่ของมูลค่าการส่งออก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม (MARD) ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวมการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมง มูลค่ารวมจะสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.7% จากปี 2566

ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2567 อยู่ที่ 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ถูกเวียดนามแซงหน้าไปเล็กน้อย สินค้าเกษตรหลักของเวียดนาม เช่น ผลไม้ ข้าว กาแฟ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดส่งออก

ไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร

การแข่งขันระหว่างไทยและเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตรสะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาที่ชะลอตัวและนโยบายที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีนโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบุคลากรที่มีศักยภาพ การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การเรียนรู้จากความสำเร็จของเวียดนาม เช่น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของเวียตเจ็ท และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันและแข่งขันในเวทีโลกได้

โอกาสและความท้าทาย

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่ต่อเนื่องและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร การขาดความชัดเจนในนโยบายและการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการจัดการซัพพลายเชนเกษตร และการพัฒนาฝูงบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเวียดนาม จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ การแข่งขันที่สร้างสรรค์จะเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การเติบโตของจีดีพี:
    • ประเทศไทย: 1.9% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
    • เวียดนาม: 5.0% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
  2. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร:
    • เวียดนาม: 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม)
    • ประเทศไทย: 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย)
  3. ผลการดำเนินงานของเวียตเจ็ท:
    • รายได้รวมไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 17.952 ล้านล้านดอง (690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
    • กำไรก่อนหักภาษี: 836,000 ล้านดอง (32.1 ล้าน初心
  4. จำนวนผู้โดยสารของเวียตเจ็ท:
    • ไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 6.87 ล้านคน (ที่มา: รายงานผลประกอบการของเวียตเจ็ท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารโลก: รายงานการเติบโตของจีดีพีในอาเซียน ปี 2566
  • กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของสายการบินเวียตเจ็ท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ค่าเทอมพุ่ง หอการค้าเผย เศรษฐกิจยังไหว แต่การศึกษาเหลื่อมล้ำ

รายจ่ายเปิดเทอมปี 2568 ทะลุ 6.2 หมื่นล้านบาท สูงสุดรอบ 16 ปี สะท้อนภาพเศรษฐกิจยังเคลื่อนไหว แม้ผู้ปกครองกังวลผลกระทบ

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน พบว่าแม้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะการชะลอตัวระดับโลก แต่การใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงเปิดเทอมกลับสูงขึ้นแตะระดับ 62,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.80% ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มสำรวจปี 2553

แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา สูงขึ้น แต่สะท้อนความสำคัญในใจผู้ปกครอง

จากผลสำรวจพบว่า ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการวางแผนจัดซื้อสินค้าเกี่ยวกับการเรียนและอุปกรณ์การศึกษาก่อนเปิดภาคเรียน โดย

  • ร้อยละ 78.6% วางแผนซื้อหนังสือเรียนใหม่ทั้งหมด
  • ร้อยละ 42.7% ซื้ออุปกรณ์การเรียนใหม่บางส่วน
  • ค่าเทอมเฉลี่ย 21,142 บาท
  • ค่าชุดนักเรียน เพิ่มขึ้น 38.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรวมต่อคนอยู่ที่ 26,039 บาท

ถึงแม้ว่าผู้ปกครองร้อยละ 45.6% มองว่าค่าใช้จ่ายในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ยังมีถึงร้อยละ 30.2% ที่รู้สึกว่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยสาเหตุหลักคือ ราคาสินค้าแพงขึ้น และ ปริมาณสิ่งของที่ซื้อเพิ่มขึ้น

วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายด้านการศึกษา

รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่จากการใช้จ่ายในช่วงเปิดภาคเรียนสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทย “ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้” โดยไม่มีสัญญาณของภาวะซึมเศร้ารุนแรง การใช้จ่ายของผู้ปกครองไม่ได้ลดลงหรือระมัดระวังจนผิดปกติ ซึ่งอาจตีความได้ว่า

  1. ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเพิ่มขึ้นจริง
  2. ผู้ปกครองยังให้ความสำคัญกับการศึกษา
  3. ภาพรวมการบริโภคไม่ได้ชะลอลงถึงขั้นวิกฤต

นอกจากนี้ ยังระบุว่า ไม่พบสัญญาณชัดเจนของผลกระทบจาก สงครามการค้าโลก หรือการชะลอตัวจากตลาดแรงงานที่รุนแรงแต่อย่างใด

ผู้ปกครองยอมรับภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการศึกษา

แม้ภายนอกดูเหมือนเศรษฐกิจยังทรงตัวได้ แต่ผลสำรวจยังชี้ว่า มากกว่า 90% ของผู้ปกครองยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวรายได้น้อย ซึ่งต้องวางแผนและจำกัดการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ

ข้อกังวลของผู้ปกครอง นอกเหนือเรื่องเงิน ยังมีเรื่องอนาคตลูก

ผลสำรวจยังเปิดเผยถึงความกังวล 5 อันดับแรกของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน ได้แก่

  1. ความกังวลเรื่องการคบเพื่อนของลูกหลาน
  2. ความรุนแรงในโรงเรียน
  3. ความเสี่ยงไม่มีงานทำในอนาคต
  4. ความสามารถในการเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
  5. การสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

ข้อกังวลเหล่านี้สะท้อนว่า การศึกษาในยุคใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องตำราเรียนหรือคะแนนสอบ แต่เกี่ยวพันกับคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อม และทักษะการใช้ชีวิตของนักเรียน

ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษายังเป็นปัญหาเรื้อรัง

รายงานระบุว่า มี ความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างนักเรียนในเมืองและต่างจังหวัด โดยเฉพาะด้านโอกาสในการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยี และครูผู้สอนคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กนอกเมืองมีความเสี่ยงตกหล่นทางการศึกษาอย่างถาวร

ความสำคัญของ กยศ. ต่อโอกาสทางการศึกษา

ในการประเมินบทบาทของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) พบว่า

  • 50.1% ของผู้ปกครองมองว่า กยศ. มีความสำคัญอย่างมาก
  • มากกว่า 90% เห็นว่า กยศ. ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในระดับปานกลางถึงมาก

นโยบายของรัฐด้านการศึกษา เช่น กยศ. ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ผู้ปกครองอยากให้รัฐบาลปรับปรุงด้านการศึกษา

จากผลสำรวจ พบว่าผู้ปกครองเสนอให้มีการปฏิรูป 6 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. ปรับปรุงระบบประเมินผลให้หลากหลาย ไม่ยึดคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  2. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โรงเรียนทุกแห่งมีมาตรฐานเท่าเทียม
  3. สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับเด็กขาดแคลน
  4. ยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล
  5. ปรับวิธีสอนให้ทันสมัย ดึงดูดนักเรียนมากขึ้น
  6. เพิ่มจำนวนครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เพียงพอ

มุมมองของผู้ประกอบการ เศรษฐกิจการศึกษายังไปต่อได้

ในแง่ของผู้ประกอบการ พบว่า

  • ร้อยละ 38.2% เชื่อว่าบรรยากาศช่วงเปิดเทอมปีนี้ “คึกคักกว่าปีที่แล้ว”
  • ร้อยละ 85% มีความเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาไทยจะสามารถยกระดับให้ทัดเทียมระดับนานาชาติได้ในอีก 10 ปี
  • อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการระบุอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษา คือ
    1. ความเข้าใจผิดของสังคมเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูป
    2. การเปลี่ยนนโยบายทางการศึกษาบ่อยครั้งตามการเมือง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

ผลการสำรวจสะท้อนภาพรวมที่ซับซ้อนของสถานการณ์การศึกษาในไทย กล่าวคือ

  • เศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ก็ยังมีผลกระทบกับกลุ่มเปราะบาง
  • ผู้ปกครองยังเห็นคุณค่าในการลงทุนด้านการศึกษา แม้ต้นทุนสูง
  • ระบบการศึกษาไทยต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างมาตรฐานเดียวกัน
  • การสนับสนุนจากรัฐ เช่น กยศ. ยังมีบทบาทสำคัญ และควรเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึง
  • ผู้ประกอบการเชื่อในอนาคตของการศึกษาไทย แต่ต้องการความต่อเนื่องในนโยบาย

สถิติสำคัญจากการสำรวจ (มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, พฤษภาคม 2568)

รายการ

ตัวเลขสำคัญ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเปิดเทอม

26,039 บาท

ค่าเทอมเฉลี่ย

21,142 บาท

เม็ดเงินสะพัดช่วงเปิดเทอม

62,614 ล้านบาท

ผู้ปกครองมองว่ามีผลกระทบจากเศรษฐกิจ

90%

ความสำคัญของ กยศ. (มองว่าสำคัญมาก)

50.1%

ความเชื่อมั่นระบบการศึกษาไทยพัฒนาได้ใน 10 ปี

85% ผู้ประกอบการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (สำรวจพฤษภาคม 2568)
  • กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) www.studentloan.or.th
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
  • โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยส่อแวว ธุรกิจเจ๊งพุ่ง 2,218 แห่ง ใน 2 เดือน

เศรษฐกิจไทยสะเทือน ธุรกิจปิดกิจการ 2,218 แห่งใน 2 เดือนแรกปี 2568

ประเทศไทย, 25 มีนาคม 2568 –  ผู้สื่อข่าวรายงานตัวเลขของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีธุรกิจปิดกิจการแล้วถึง 2,218 แห่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 16.86% ขณะที่ยอดการจัดตั้งธุรกิจใหม่กลับลดลง 5.09% เมื่อเทียบกับปี 2567

ธุรกิจใหม่ลดฮวบ ทุนจดทะเบียนหดตัว

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนเพียง 7,529 ราย ลดลง 579 ราย หรือ 7.14% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 ขณะที่ทุนจดทะเบียนใหม่ลดลงถึง 19.78% เหลือ 16,335 ล้านบาท

เมื่อรวมยอดสะสม 2 เดือนแรกปี 2568 พบว่ามีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพียง 16,391 ราย ลดลงจาก 17,270 รายในปีที่แล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 41,285 ล้านบาท ลดลง 9.85% จากปีก่อน

ธุรกิจยอดนิยมที่ยังเกิดใหม่แม้ภาวะชะลอ

แม้ภาพรวมจะซบเซา แต่ยังมี 3 ประเภทธุรกิจที่ยังได้รับความนิยมในการจัดตั้ง ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป – 1,319 ราย ทุน 2,762 ล้านบาท
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – 1,085 ราย ทุน 4,156 ล้านบาท
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร – 675 ราย ทุน 1,341 ล้านบาท

ธุรกิจล้มเลิกพุ่งสูง เหตุต้นทุนพุ่ง-เศรษฐกิจชะลอ

สำหรับการเลิกกิจการ 2 เดือนแรก พบว่ามีจำนวน 2,218 ราย เพิ่มขึ้น 320 ราย คิดเป็น 16.86% จากปี 2567 โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 7,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 656 ล้านบาท หรือ 10.31% ธุรกิจที่เลิกสูงสุด ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป – 227 ราย ทุน 375 ล้านบาท
  2. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร – 92 ราย ทุน 274 ล้านบาท
  3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – 87 ราย ทุน 289 ล้านบาท

ธุรกิจนิติบุคคลยังคงดำเนินการกว่า 9.3 แสนราย

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนิติบุคคลจดทะเบียนรวม 1,981,221 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้มีนิติบุคคลที่ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ 935,839 ราย คิดเป็น 47% ของนิติบุคคลทั้งหมด โดยเป็นบริษัทจำกัดถึง 737,891 ราย หรือ 78.85% ของธุรกิจที่ยังดำเนินการอยู่

ต้นเหตุธุรกิจสะดุด: ปัจจัยภายใน-ภายนอกบีบตัวเลขติดลบ

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้การจัดตั้งธุรกิจใหม่ชะลอตัวลง เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น นโยบายการค้าและภาษีที่เปลี่ยนแปลงจากฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นในประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อในหลายภาคส่วน ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนและการเริ่มต้นกิจการใหม่

สัดส่วนการตั้งธุรกิจต่อเลิกกิจการ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

แม้สถานการณ์จะน่าเป็นห่วง แต่หากพิจารณาอัตราการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการยังอยู่ในระดับ 7:1 ซึ่งดีกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 4:1 ถือเป็นสัญญาณบวกในภาพรวมของเศรษฐกิจไทย

การลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง

ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีนักลงทุนต่างชาติเปิดกิจการในไทย 73 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 68% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 35,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% แหล่งทุนหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น – 38 ราย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท
  2. จีน – 23 ราย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท
  3. สิงคโปร์ – 23 ราย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา – 19 ราย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง – 16 ราย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท

ธุรกิจที่ได้รับการลงทุน ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้า วิจัยและพัฒนา บริการรับจ้างผลิต รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูล (Data Center)

แนวโน้มเศรษฐกิจและความหวังจากมาตรการรัฐ

หน่วยงานรัฐยังคาดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ อาทิ

  • Easy E-Receipt
  • การท่องเที่ยวช่วงฤดูพีค
  • การลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน
  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์ว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจตลอดปี 2568 จะสามารถแตะเป้า 90,000–95,000 ราย ได้หากภาครัฐเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า ตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจยังสูงกว่าการเลิกกิจการอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังน่าลงทุน ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศไทย

ฝ่ายกังวล ชี้ว่า ตัวเลขการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงแรงกดดันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อยที่รับภาระต้นทุนไม่ไหว หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุด อาจเห็นการเลิกกิจการมากขึ้นในไตรมาสถัดไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ม.ค.–ก.พ. 2568)

  • จัดตั้งธุรกิจใหม่: 16,391 ราย (-5.09%)
  • ทุนจดทะเบียนใหม่: 41,285 ล้านบาท (-9.85%)
  • ธุรกิจเลิกกิจการ: 2,218 ราย (+16.86%)
  • ทุนจดทะเบียนเลิก: 7,017 ล้านบาท (+10.31%)
  • นิติบุคคลดำเนินกิจการ: 935,839 ราย
  • การลงทุนจากต่างชาติ: 35,277 ล้านบาท (+33%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ วันที่ 25 มีนาคม 2568 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

รมว.พาณิชย์แก้ราคาข้าว ชดเชยไร่ละพัน เร่งส่งออกข้าว

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ พร้อมวางแนวทางยกระดับรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – นายพิชัย นริททะพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักถึงความเดือดร้อนของชาวนา โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

รมว.พาณิชย์ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงเกิดจาก ประเทศอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ระงับการส่งออกบางส่วน ส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้นเกินและกดดันราคาข้าวไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีมาตรการรองรับโดยการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ

แนวทางเร่งด่วนในการช่วยเหลือชาวนา

  1. ผลักดันการส่งออกข้าวไทย
    กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขยายตลาดส่งออก โดยขณะนี้ได้มีการ เจรจาขายข้าวปริมาณ 280,000 ตันให้กับจีน และอีก 370,000 ตันให้กับตลาดแอฟริกา ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกและลดผลกระทบจากราคาข้าวที่ตกต่ำ
  2. มาตรการชดเชยรายได้ชาวนา
    รัฐบาลได้อนุมัติ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรโดยการจ่ายเงินชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นการช่วยเหลือในระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

แนวทางระยะยาวเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาวนา

รมว.พาณิชย์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกษตรกรพึ่งพาเพียงมาตรการชดเชยระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องการให้ ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ข้าวไทย โดยมีแนวทางดังนี้

  • พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูง เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
  • ส่งเสริมการแปรรูปข้าว เช่น การผลิตข้าวออร์แกนิก ข้าวเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีมูลค่าสูง
  • กระจายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร เช่น ระบบชลประทาน การเก็บรักษาข้าว และระบบโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยปี 2567 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยเติบโต 5.4% และในเดือนมกราคม 2568 การส่งออกขยายตัวขึ้นอีก 13.6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการค้าระหว่างประเทศยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย

นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ปัญหาหลักที่ยังต้องเร่งแก้ไขคือ ภาวะหนี้สินในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง

แนวทางแก้ปัญหาหนี้สินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์เสนอว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลมีแนวทางในการช่วยเหลือ เช่น

  • มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้สำหรับประชาชนที่มีภาระหนี้สูง
  • กระตุ้นเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย
  • สนับสนุนธุรกิจ SME และเศรษฐกิจฐานราก ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและปรับตัวรับการแข่งขันในตลาด

รมว.พาณิชย์ระบุว่า หากสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับ 4-5% ต่อปี

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่สนับสนุน
กลุ่มที่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลมองว่า การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการชดเชยรายได้เป็นมาตรการที่เหมาะสมในระยะสั้น ขณะที่การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวและกระจายตลาดส่งออกในระยะยาว จะช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ฝ่ายที่เห็นต่าง
บางฝ่ายมองว่า มาตรการชดเชยไร่ละ 1,000 บาท เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และอาจไม่สามารถช่วยให้เกษตรกรพ้นจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลว่ามาตรการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนและแอฟริกา อาจไม่สามารถชดเชยความต้องการที่ลดลงของตลาดโลกได้ทั้งหมด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ข้าวไทย

  • ปริมาณการส่งออกข้าวไทย ปี 2567 – ประมาณ 5 ล้านตัน
  • ราคาข้าวขาว 5% ของไทย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 560 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • ราคาข้าวอินเดีย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 520 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • การชดเชยรายได้เกษตรกร – ไร่ละ 1,000 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่)
  • อัตราการเติบโตของการส่งออกข้าวไทย6% ในเดือนมกราคม 2568

บทสรุป

รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำผ่านมาตรการเร่งด่วน เช่น การชดเชยรายได้และการผลักดันส่งออกข้าว ขณะเดียวกันก็วางแนวทางระยะยาวเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยให้มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ ทั้งในแง่ของปัจจัยตลาดโลกที่ไทยควบคุมไม่ได้ และปัญหาโครงสร้างหนี้ภายในประเทศที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ดังนั้น ความสำเร็จของมาตรการต่างๆ จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE