Categories
ECONOMY

ททท.เปิดยุทธศาสตร์ Amazing 5-Economy เปลี่ยนการท่องเที่ยวจากปริมาณสู่คุณค่า

ททท.เดินหน้า “Amazing 5-Economy” ปรับทิศทางท่องเที่ยวไทยจาก “ปริมาณ” สู่ “คุณค่า” ชูเหนือเป็นสนามทดสอบ โยงเศรษฐกิจมหภาค สนามบิน ซอฟต์พาวเวอร์ หนุนไทยมุ่ง Premium Destination

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดแผน “Amazing 5-Economy” เพื่อยกระดับประเทศไทยจาก “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” สู่ “ดินแดนแห่งความหมาย” (Value over Volume) เน้นเพิ่ม “คุณค่าและการใช้จ่ายต่อทริป” แทนการไล่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเดียว โดยหยิบ 5 เศรษฐกิจเป้าหมาย Wellness, Subculture, Night, Tax-free, Prompt Pay มาประกอบเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่ข้อมูลสนับสนุนจากภาคการบินและสถาบันวิจัยเอกชนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “การเติบโตเชิงคุณภาพ” คือคำตอบ หากไทยต้องการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนและพฤติกรรมนักเดินทางที่เปลี่ยนไป

รายงานนี้ถอด “แผน 5-Economy” ให้อยู่ในบริบทกว้างขึ้น ตั้งแต่ภาพรวมการเดินทางทางอากาศของภาคเหนือ, สัญญาณจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยเกี่ยวกับรายได้ต่อทริป, ไปจนถึงพิมพ์เขียวเศรษฐกิจมหภาคของธนาคารโลก เพื่อชี้ว่าการยกระดับสู่ Premium Destination ไม่ใช่เพียงแคมเปญการตลาด แต่เป็นยุทธศาสตร์โครงสร้างที่ต้องเดินพร้อมกันทั้งนโยบาย การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และทักษะแรงงาน

ไฮไลต์สำคัญ

  • ททท. วาง 5 เศรษฐกิจเป้าหมายเป็น “โครงใหม่” ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ: Wellness / Subculture / Night / Tax-free / Prompt Pay
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้การกลับไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวก่อนโควิดทำได้ยาก ต้องหันมาเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่อทริป ผ่าน MICE, คอนเสิร์ตระดับโลก, กีฬาโลก, Medical & Wellness
  • ดัชนีภาคการบินภาคเหนือ สะท้อนศักยภาพรองรับดีขึ้น: ปีงบประมาณ 2025–2026 ยอดผู้โดยสารรวม ท่าอากาศยานเชียงใหม่ อยู่ที่ 10.20 ล้านคน (+6.87%) และ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย 2.13 ล้านคน (+3.54%) ตามตารางสรุปในเอกสารประกอบ
  • ธนาคารโลก แนะไทยต้องยกระดับผลิตภาพ (TFP) และเร่งลงทุน R&D ดิจิทัล บริการมูลค่าสูง (สุขภาพ/เวลเนส เศรษฐกิจสร้างสรรค์) เพื่อผลักดันเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย ≥5% มุ่งเป้าประเทศรายได้สูงปี 2580

เรื่องเล่าจากพฤติกรรมนักเดินทาง จาก “ไปถึง” สู่ “เข้าถึงความหมาย”

ในทศวรรษที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ “เลือกประเทศจากความหมายที่สถานที่นั้นมอบให้” มากกว่าการปักหมุดแลนด์มาร์ก ต้องการประสบการณ์ที่ปลอดภัย เข้าถึงง่าย สอดคล้องวิถีดิจิทัล และสะท้อนตัวตนผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย การวางทิศทาง Value over Volume ของททท. จึงมิใช่เพียงสโลแกน หากเป็นการเคลื่อนจาก Mass Tourism ไปสู่ Quality Tourism ที่ทุนมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม และทุนดิจิทัล ทำงานร่วมกันเป็นวงจรเดียว

แผน Amazing 5-Economy จึงตอบโจทย์ “ความหมาย” 5 มิติที่นักท่องเที่ยวตามหา สุขภาพกายใจ (Wellness), อัตลักษณ์ร่วมสมัย (Subculture), ประสบการณ์กลางคืนที่ปลอดภัย (Night), ประสบการณ์ช้อปปลอดภาษี (Tax-free) และ การจ่ายเงินไร้รอยต่อ (Prompt Pay) ซึ่งล้วนเชื่อมกับ ค่าใช้จ่ายต่อทริป โดยตรง

หลักฐานเชิงข้อมูล ท่าอากาศยานภาคเหนือบอกอะไรเรา

สัญญาณจากผู้โดยสารทางอากาศช่วยยืนยันผลของการเชื่อมต่อ (Connectivity) และความพร้อมรองรับ (Capacity) ซึ่งเป็นฐานของการสร้างรายได้คุณภาพสูง โดยข้อมูลสรุปปีงบประมาณ 2025/2026 ของภาคเหนือที่จัดทำประกอบข่าวชิ้นนี้ระบุว่า

  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (CNX):
    • ปีงบฯ 2025 ผู้โดยสารรวม (Grand Total) 9,383,719 คน (+6.37%)
    • ปีงบฯ 2026 ระหว่างปีสะสม (YTD) 820,382 คน (+12.96%)
    • รวมสองปี (Total) 10,204,101 คน (+6.87%)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI):
    • ปีงบฯ 2025 ผู้โดยสารรวม 1,947,014 คน (+2.47%)
    • ปีงบฯ 2026 ระหว่างปีสะสม 187,654 คน (+16.09%)
    • รวมสองปี (Total) 2,134,668 คน (+3.54%)

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อน 3 ประเด็นสำคัญ

  1. โครงสร้างพื้นฐานพร้อมรับ   สนามบินเชียงใหม่และเชียงรายยังเป็น “สองประตูหลักของเหนือบน” ที่รองรับเที่ยวบินเชื่อมกรุงเทพฯ ภูมิภาค และเส้นทางต่างประเทศ ทำให้เส้นทางคุณภาพ (คอนเสิร์ต กีฬาโลก MICE เวลเนส) มีฐานผู้โดยสารรองรับ
  2. โอกาสของเมืองรอง   แรงดึงจากกิจกรรม/อีเวนต์ใหญ่ในพะเยา น่าน แพร่ หรือเชียงราย สามารถ “อาศัย” ศักยภาพสนามบินสองแห่งนี้ในการกระจายตัวนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง สอดรับเป้าหมายของททท. ที่ต้องการกระจายความหนาแน่นและรายได้
  3. ภารกิจเพิ่มรายได้ต่อทริป   แม้ผู้โดยสารเติบโตในอัตรา “บวกอย่างมั่นคง” แต่ความท้าทายคือ การแปลงทุกการเดินทางเป็นการใช้จ่ายมูลค่าสูง ผ่าน 5-Economy ไม่ใช่เพียงจำนวนคน

สนามบินพร้อม แต่รายได้จะโตยั่งยืน ต้องให้ปลายทาง ‘มีความหมาย’ พอให้คนยอมจ่ายแพงขึ้น/อยู่นานขึ้น” – สาระหลักที่ททท. และนักวิจัยเอกชนเห็นพ้อง

มุมมองนักเศรษฐศาสตร์ท่องเที่ยว เมื่อ “จำนวน” เริ่มชนเพดาน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในปี 2569 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยราว 34.1 ล้านคน (+4% YoY) ยัง “ต่ำกว่าศักยภาพก่อนโควิด” และ “ค่าใช้จ่ายต่อทริปยังต่ำ” ขณะที่การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวรุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป

บทสรุปเชิงนโยบายของสถาบันวิจัยชี้ชัดว่า ประเทศไทยต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป ผ่านสินค้า/ประสบการณ์ที่มี Ticket Size สูง เช่น MICE, คอนเสิร์ตศิลปินโลก, กีฬาโลก, Medical & Wellness พร้อมผลักดัน “เมืองรอง” ด้วยอัตลักษณ์ท้องถิ่น (เช่น GI) และระบบนิเวศการใช้จ่าย (Tax-free, e-Payment) ที่ไร้รอยต่อ ซึ่งสอดรับกับ 5-Economy แทบทุกข้อ

5-Economy ลงในพื้นที่: ทำอย่างไรให้ “คนยอมอยู่นาน จ่ายเพิ่ม”

1) Wellness Economy – จาก “เช็คอิน” สู่ “พักฟื้นและป้องกัน”

ไทยมีทุนเดิมด้านแพทย์ สปา อาหารสุขภาพ และธรรมชาติ การต่อยอดสู่ Medical & Wellness Hub ต้องยกระดับบริการเฉพาะทาง (Longevity / Preventive Care / Rehabilitation) เชื่อมกับ ออนเซ็น/น้ำพุร้อน/สปา คุณภาพสูง และ ดิจิทัลเฮลธ์ (นัดหมาย ชำระเงิน เวชระเบียนสุขภาพบนคลาวด์) ให้ไร้รอยต่อ เพื่อยืดระยะพำนักและค่าใช้จ่ายต่อหัว

2) Subculture Economy – เมืองที่ “มีชีวิต”

ดนตรี แฟชั่น ศิลปะ เกม/คอมมูนิตี้ คือภาษากลางของนักเดินทางเจนใหม่ เมืองเหนือสามารถจัด เทศกาลดนตรี/Arts Week/Street Culture ในช่วง Low Season เพื่อเบี่ยงฤดูกาลท่องเที่ยวและเพิ่ม “เหตุผลใหม่ในการมา” นอกเหนือจากธรรมชาติสวย

3) Night Economy – ชั่วโมงเศรษฐกิจที่มองไม่เห็น

มาตรการ “ความปลอดภัย ความเป็นมิตร ทางเลือกหลากหลาย” สำหรับย่านกลางคืน ทำให้ธุรกิจอาหาร ดนตรี ตลาดค่ำ และศิลปะกลางคืน กลายเป็น เครื่องจักรเพิ่ม ASV (Average Spending per Visit) สำคัญ โดยเฉพาะในเมืองรองที่กลางวันเงียบ

4) Tax-free Economy – ให้การช้อปเป็นประสบการณ์

ห่วงโซ่ Tax-free Ecosystem ตั้งแต่ดิวตี้ฟรีเมือง การคืน VAT   การเชื่อมระบบกับ e-Payment ช่วยดึงกลุ่มกำลังซื้อสูง และทำให้ “การช้อป” กลายเป็นเหตุผลของการเดินทาง

5) Prompt Pay Economy – ปลายทางดิจิทัลที่เป็นมิตร

มาตรฐาน Payment Experience ที่จ่ายได้ทุกที่ ทุกสกุลเงิน (เชื่อม QR Cross-border) ช่วยลดแรงเสียดทานนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างภาพลักษณ์ Digital-friendly Destination

เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารโลก–BCG+ และเป้าหมายประเทศรายได้สูง

ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทยตามรายงาน ธนาคารโลก สะท้อนความเร่งด่วน: อัตราเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ยเพียง 2–2.5% ต่ำกว่าที่จำเป็นต้องรักษา ≥5% เพื่อบรรลุ “ประเทศรายได้สูง ปี 2580” ปัญหาอยู่ที่ ผลิตภาพรวม (TFP) ลดลง, การลงทุนภาคเอกชนชะลอ และกำลังแรงงานทักษะใหม่ยังไม่พอ

ข้อเสนอของธนาคารโลกจึงมุ่ง “ยกเครื่องโครงสร้าง” ด้วยสามขีดความสามารถ (สีเขียว ดิจิทัล บริการ) และห้าเสาอุตสาหกรรมอนาคต ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความยั่งยืน ตรงกับ “Wellness Economy” ของททท. แทบจะพอดี

ประเด็นสำคัญ คือ การลงทุนและความสอดคล้องเชิงนโยบาย (Policy Alignment)

  • เร่งอัตราการลงทุนรวม (รัฐ+เอกชน) ใกล้ 40% ของ GDP พร้อมผูกพัน R&D นวัตกรรม
  • จัดตั้งกลไกธรรมาภิบาลดิจิทัล รวมศูนย์การประสานงานข้อมูลและ PDPA เพื่อบริการสุขภาพ/ท่องเที่ยวดิจิทัลที่จริงจัง
  • ฝากความยืดหยุ่นต่อภูมิอากาศไว้ในงบประมาณ (BCG+) เพราะน้ำ/อากาศ/ป่า คือสินทรัพย์การท่องเที่ยวโดยตรง

กล่าวอีกอย่าง: 5-Economy จะกลายเป็นเครื่องยนต์การเติบโตได้จริง ก็ต่อเมื่อ “ภาคท่องเที่ยว ดิจิทัล การแพทย์ สิ่งแวดล้อม” เดินพร้อมกันในระดับนโยบายและงบประมาณ

ภาคเหนือคือ “สนามทดสอบ” ที่ดีที่สุด

ทำไมต้องภาคเหนือ โดยเฉพาะ เชียงใหม่–เชียงราย–เมืองรองรอบกว๊านพะเยา/พาน/แพร่/น่าน

  1. ทางอากาศพร้อม – สนามบินเชียงใหม่และเชียงรายรองรับมากกว่า 12 ล้านคน รวมสองปีงบประมาณล่าสุดในภาพรวม (CNX 10.20 ล้าน, CEI 2.13 ล้าน) เป็นฐานพัฒนาเส้นทาง Premium (MICE–Concert–Sports–Wellness) ได้ทันที
  2. สินทรัพย์ทางธรรมชาติ–วัฒนธรรมหนาแน่น   จากน้ำพุร้อน/ภูเขา/ลำน้ำ ไปจนถึงชุมชนชาติพันธุ์ กาแฟ ชา อาหารเหนือ ซึ่งเชื่อมตรงกับ Wellness / Subculture / Night / Gastronomy (ใน Tax-free & PromptPay ช่วยเสริมการใช้จ่าย)
  3. สามารถกระจายสู่เมืองรองได้จริง – ด้วยการเชื่อมถนนดีขึ้นและอีเวนต์ใหญ่ในพะเยา น่าน แพร่ ที่ช่วย “ดึงคนนอนค้าง” นอกเมืองหลัก

เส้นเรื่องสู่ Premium Destination จากสนามบิน…ถึงเงินในกระเป๋าชุมชน

ฉากที่ 1 – เครื่องลงเชียงใหม่
นักท่องเที่ยวต่างชาติลง CNX ด้วยตั๋วคอนเสิร์ตศิลปินโลก + แพ็กเกจสปาพรีเมียม 3 คืน (Wellness + Night) ระบบชำระเงินไร้เงินสดรองรับได้ทุกใบ
ผลลัพธ์: ค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นโดยธรรมชาติ

ฉากที่ 2 – ต่อรถไปเชียงราย
ผู้โดยสารบินเชื่อม CEI เพื่อร่วมงานวิ่งเทรล/จักรยานทางไกล + รีทรีตสุขภาพบนภูเขา มีเวชระเบียนดิจิทัลเชื่อมโรงพยาบาลเอกชน (Digital Health)
ผลลัพธ์: อยู่ยาวขึ้น ค่าใช้จ่ายโรงแรม อาหาร กิจกรรม เพิ่มขึ้น

ฉากที่ 3   ยืนยิ้มในตลาดค่ำเมืองรอง
คืนสุดท้าย เลือกนอน พะเยา/พาน/แพร่/น่าน เพื่อเที่ยว ตลาดกลางคืน คาเฟ่วิวทะเลสาบ แกลเลอรี พร้อมซื้อสินค้าท้องถิ่นแบบ Tax-free / e-Payment
ผลลัพธ์: รายได้หยดลงชุมชน “เมืองรอง” ได้ส่วนแบ่งจริง

ความท้าทายและความเสี่ยง สิ่งที่ต้องระวังระหว่างทาง

  1. ค่าใช้จ่ายต่อทริปยังต่ำ – หากไม่เร่ง “คอนเทนต์ที่แพงอย่างมีเหตุผล” (MICE–Concert–Sports–Wellness) ASV จะไม่ขยับ
  2. ฝุ่นควัน/น้ำท่วม/ภาวะอากาศ – กระทบฤดูกาลท่องเที่ยว จำเป็นต้องตลาด “ฤดูสีเขียว” และลงทุน BCG+ จริงจัง
  3. ทักษะบริการ–ดิจิทัล – ถ้าแรงงานหน้าบ้าน หลังบ้านยังไม่พร้อม (ภาษา/สุขภาพ/ดิจิทัล/PDPA) จะรับพรีเมียมดีมานด์ไม่ได้
  4. ความสอดคล้องเชิงสถาบัน – หากหน่วยงานเดินไม่พร้อม “5-Economy” จะติดคอขวดที่กฎ งบ ดาต้าเชื่อมกันไม่เสร็จ

ข้อเสนอเชิงนโยบาย/ปฏิบัติการ (เน้นทำได้ทันที)

  1. ตั้ง “Northern Premium Route Board” ระดับภูมิภาค เชื่อมสนามบิน ททท. จังหวัด เอกชน เพื่อจัดพอร์ตอีเวนต์/แพ็กเกจ Premium ข้ามเมือง (Concert–MICE–Sports–Wellness) พร้อมตารางบินและ Campaign ร่วม
  2. Tax-free & PromptPay @ เมืองรอง จัดเขตทดลองคืน VAT/ดิวตี้ฟรีเมือง + Cross-border QR รองรับสกุลเงินหลักในย่านท่องเที่ยว ตลาดค่ำ
  3. Wellness Playbook สำหรับผู้ประกอบการเหนือ: มาตรฐานคลินิก สปา อาหารสุขภาพ + บันไดเชื่อมโรงพยาบาล (นัดหมาย จ่าย เวชระเบียนออนไลน์)
  4. กองทุนย่อย Subculture สนับสนุนเทศกาลศิลปะ ดนตรี ดีไซน์ เชื่อมชุมชน/มหาวิทยาลัย สร้างปฏิทินเมืองที่ “มีชีวิต” ตลอดปี
  5. Green-Season Guarantee สร้างแพ็กเกจรับฤดูฝน (ส่วนลด คอนเทนต์ กิจกรรมธรรมชาติ) พร้อมแผนสื่อสารความปลอดภัยอากาศ เส้นทาง
  6. คน ดิจิทัล ภาษา เปิด Micro-credentials 3 เดือน สำหรับพนักงานท่องเที่ยว: ภาษาอังกฤษจีน/การชำระเงินดิจิทัล/มาตรฐานสุขภาพ PDPA ให้จบแล้ว “ทำงานได้จริง”
  7. ดัชนี ASV รายจังหวัด เผยแพร่รายไตรมาส วัดผล 5-Economy แบบโปร่งใส (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/คืนพัก/กิจกรรมพรีเมียม) เพื่อขับการแข่งขันเชิงคุณภาพ

เมื่อ “ความหมาย” แปลงเป็น “มูลค่า”

ข้อมูลจากสนามบินภาคเหนือยืนยันว่าระบบรองรับกำลังกลับมาแข็งแรง แต่โจทย์ต่อไปคือการทำให้ทุกเที่ยวบินส่งผลเป็น การใช้จ่ายที่มีความหมาย ผ่าน 5-Economy ของททท. ในขณะเดียวกัน เสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์และธนาคารโลกชี้ว่าหากไทยต้องการก้าวสู่ประเทศรายได้สูง การท่องเที่ยวต้องเป็น “เครื่องยนต์บริการมูลค่าสูง” ทำงานประสานกับดิจิทัล สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ทักษะคน

กล่าวให้กระชับ  Value over Volume ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น ทางรอดและทางรุ่ง ของการท่องเที่ยวไทยในทศวรรษหน้า ภาคเหนือในฐานะสนามทดลองเชื่อมอากาศ ธรรมชาติ วัฒนธรรม สุขภาพ จึงพร้อมจะเป็น “เวที” ให้ไทยพิสูจน์ตนว่า Premium Destination สำหรับโลกยุคใหม่ มีอยู่จริงบนผืนแผ่นดินนี้

ภาคผนวกข้อมูล (สรุปตารางผู้โดยสารสนามบินภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2025–2026)

แหล่งข้อมูลภาพ/ตารางประกอบข่าว: The Northern Report – “ยอดผู้โดยสารท่าอากาศยานปีงบประมาณ 2025/2026”

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (CNX)

  • 2025: Grand Total 9,383,719, %Change +6.37%
  • 2026 (ระหว่างปีสะสม): Grand Total 820,382, %Change +12.96%
  • รวม: 10,204,101, %Change +6.87%

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)

  • 2025: Grand Total 1,947,014, %Change +2.47%
  • 2026 (ระหว่างปีสะสม): Grand Total 187,654, %Change +16.09%
  • รวม: 2,134,668, %Change +3.54%
สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • นโยบายดิจิทัลภาครัฐ/PDPA
  • แผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว–สุขภาพดิจิทัล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เปิดตัว YouTube Shopping ในไทย ร่วมมือ Shopee เสริมรายได้ครีเอเตอร์

YouTube เปิดตัว YouTube Shopping ในไทย เสริมรายได้ให้ครีเอเตอร์ผ่านแอฟฟิลิเอตร่วมกับ Shopee

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 YouTube ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด “YouTube Shopping” ในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการแอฟฟิลิเอตที่ร่วมมือกับ Shopee โดยเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ไทยสามารถหารายได้เพิ่มจากการติดแท็กสินค้าในวิดีโอของตนได้ และคนดูก็สามารถช็อปปิ้งสินค้าได้อย่างง่ายดายขณะดูวิดีโอ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 ในโลกที่ได้ใช้ YouTube Shopping

การเปิดตัว YouTube Shopping ครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสำหรับประเทศไทย โดยไทยเป็นประเทศที่ 4 ในโลก และเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้ร่วมโปรแกรมแอฟฟิลิเอตนี้ ต่อจากสหรัฐอเมริกา เกาหลี และอินโดนีเซีย นับเป็นการยืนยันความสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว

ครีเอเตอร์มีสิทธิ์รับค่าคอมมิชชั่น 100% ในช่วงแรกของโครงการ

สำหรับครีเอเตอร์ที่สนใจเข้าร่วมโปรแกรมนี้ ต้องมีคุณสมบัติที่กำหนดไว้ เช่น มียอดชั่วโมงการดูวิดีโอมากกว่า 4,000 ชั่วโมงในปีที่ผ่านมา และมียอดผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คน เมื่อครีเอเตอร์สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ จะได้รับรายได้ในรูปแบบค่าคอมมิชชันจากการติดแท็กสินค้าที่มีจำหน่ายบน Shopee ขณะที่คนดูก็สามารถคลิกที่ลิงก์และซื้อสินค้าผ่าน Shopee ได้ทันที โดยวิดีโอยังคงเล่นต่อไปได้เช่นเดิม

เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตสูง YouTube จึงเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซ

การที่ YouTube กระโดดเข้าสู่สนามการช็อปปิ้งครั้งนี้ มาจากแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านอีคอมเมิร์ซ ซึ่งคิดเป็น 61% ของมูลค่าสินค้ารวม (GMV) ในปี 2566 และคาดว่าในปี 2568 มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยจะสูงถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

คอนเทนต์ที่เชื่อถือได้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ชม

YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการช็อปปิ้ง โดยมีการดูคลิปเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 30,000 ล้านชั่วโมง ซึ่งเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า ผู้ชมถึง 85% เห็นด้วยว่าครีเอเตอร์ในไทยผลิตคอนเทนต์ที่เชื่อถือได้ และการสำรวจจาก Kantar ยังเผยอีกว่า 87% ของผู้ชมใช้ข้อมูลจาก YouTube ในการตัดสินใจซื้อสินค้า

การสนับสนุนจาก Shopee และโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้

Shopee ยังสนับสนุนครีเอเตอร์ในหลายๆ ด้าน โดยครีเอเตอร์ที่เข้าร่วมโปรแกรมสามารถรับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้นได้จากร้านค้าที่ร่วมโปรแกรมพิเศษ ค่าคอมมิชชันอาจสูงถึง 80% ซึ่งถือเป็นโอกาสใหม่ในการเพิ่มรายได้จากการขายสินค้าผ่านวิดีโอ

โอกาสในการเติบโตของครีเอเตอร์ไทยผ่าน YouTube Shopping

สำหรับครีเอเตอร์ไทย YouTube Shopping เป็นเครื่องมือใหม่ที่ช่วยเพิ่มรายได้และเปิดโอกาสในการเชื่อมต่อกับผู้ชมผ่านการช็อปปิ้งในรูปแบบใหม่ โดยการเปิดตัวครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยอย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : YouTube

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News