Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงราย World Sport Tourism เร่งแผนสนามบิน-อาสาสมัคร 1,000 คน รับ Spartan World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี

เชียงรายเดินเครื่อง “Spartan Super World Championship 2026–2028” ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด เร่งแผนสนามบิน ที่พัก อาสาสมัคร 1,000 คน วางเป้ารายได้ 800 ล้านบาท/ปี สู่สถานะ “World Sport Tourism Destination”

การประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแข่งขัน Spartan Super World Championship (SSWC) ที่สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เป็นสัญญาณชัดเจนว่า จังหวัดกำลัง “เปลี่ยนโหมด” จากการรับข่าวดีเรื่องสิทธิ์เจ้าภาพ ไปสู่การปฏิบัติจริงด้านโลจิสติกส์ เศรษฐกิจ และการสร้างแบรนด์เมืองในระยะยาว แกนกลางของแผน คือ (1) ความพร้อมของท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง-เชียงราย (CEI) ซึ่งมีแผนขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารระยะที่ 1 สู่ 6 ล้านคน/ปี, (2) โครงสร้างรองรับผู้เยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 60,000 คน/ปี ในสัปดาห์จัดงาน (ที่พัก ขนส่ง อาสาสมัคร 1,000 คน), และ (3) โมเดลกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้เป็น “เทศกาลกีฬา” ทั้งจังหวัด มากกว่าจะกระจุกตัวเฉพาะพื้นที่จัดสนามแข่ง ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า SSWC คือรายการชิงแชมป์โลกของระยะ “Super” (10 กิโลเมตร 25 ด่านอุปสรรค) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวครั้งแรกที่ Mammoth Lakes, แคลิฟอร์เนีย ในปี 2025 ก่อนส่งไม้ต่อให้เชียงรายในปี 2026–2028 ทำให้จังหวัดกลายเป็นเจ้าภาพชิงแชมป์โลกประเภทนี้รายแรกของเอเชีย และ 1 ใน 4 เมืองของโลกในวัฏจักรการจัดชิงแชมป์ของ Spartan ระดับโลกในช่วงเวลาดังกล่าว (ข้อมูลการเปิดตัว SSWC 2025 ที่สหรัฐฯ เผยแพร่โดย Spartan Thailand เมื่อ ต.ค. 2567; ส่วนสิทธิ์เชียงราย 2026–2028 มีการสื่อสารต่อเนื่องโดยหน่วยงานจังหวัด)

เชียงราย,6 พฤศจิกายน 2568 – “เปลี่ยนเมืองให้เป็นสนาม” ภารกิจของคณะทำงานคือการ “แปลงสิทธิ์เจ้าภาพ” ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้ ตั้งแต่การบินระหว่างประเทศเข้าสู่ CEI การจัดการรถโดยสารสาธารณะ ไปจนถึงการจัดหาที่พักหลายระดับราคารองรับผู้เข้าแข่งขันและผู้ติดตามจากกว่า 50 ประเทศ รวมแล้วมากกว่า 60,000 คนในสัปดาห์จัดงาน พร้อมเป้าหมายอาสาสมัครท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 1,000 คน เพื่อสร้างประสบการณ์ “ล้านนายิ้มสู้” ที่เป็นหัวใจของการสร้างภาพจำบนเวทีโลก (ข้อมูลกรอบการประชุมและเป้าหมายอาสาสมัครอ้างจากบันทึก/ข่าวสารหน่วยงานจังหวัด)

บนโต๊ะ มีปฏิทิน “ธันวาคม” วางเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะ SSWC ถูกวางให้จัดใน “ฤดูท่องเที่ยวสูงสุด” ของภาคเหนือ อากาศเย็นสบายและทิวเขาสีทองคือฉากหลังสมบูรณ์แบบของสนาม OCR แต่ก็แปลว่า ระบบรองรับต้อง “พร้อมกว่าปกติ” ทั้งสนามบิน ด่านตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร การขนส่งภาคพื้น และที่พักหลากหลายระดับราคาเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน ไม่ให้รายได้รั่วไหลไปอยู่ในระบบเครือโรงแรมใหญ่เพียงกลุ่มเดียว (แนวนโยบาย “เทศกาลกีฬา” เพื่อกระจายรายได้มีการสื่อสารในสื่อจังหวัดและหน่วยงานท่องเที่ยว)

ทำไม “Super World Championship” จึงเป็นดีลประวัติศาสตร์

  1. SSWC = 10 กม. 25 ด่านอุปสรรค
    ระยะ “Super” ของ Spartan เป็นขั้นที่ท้าทายกว่าสายเริ่มต้น (Sprint 5 กม.) แต่ยังเข้าถึงได้สำหรับมวลชน ทำให้เกิดฐานผู้เข้าร่วมและผู้ติดตามจำนวนมาก มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจปลายทาง ข้อมูลทางการตลาดของ Spartan ระบุรูปแบบนี้อย่างชัดเจน (10K/25 Obstacles) ซึ่งเผยแพร่ในช่องทางทางการของ Spartan Thailand
  2. เวทีโลกเพิ่งเปิดในปี 2025 ที่ Mammoth Lakes
    ปี 2025 นับเป็นครั้งแรกที่ Spartan เปิด “ชิงแชมป์โลกระยะ Super” อย่างเป็นทางการ โดยเลือก Mammoth Lakes รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเจ้าภาพเปิดประวัติศาสตร์ ก่อนส่งต่อสิทธิ์ให้ “เชียงราย” ในปีถัดไป สะท้อนทิศทางใหม่ของ Spartan ที่กระจายชิงแชมป์ไปหลายทวีป มากกว่าจะผูกอยู่กับอเมริกาเพียงจุดเดียว (ข้อมูลยืนยันจาก Spartan Thailand)
  3. บทบาทเชียงรายในระบบ “ชิงแชมป์โลกหลายประเภท”
    นอกเหนือจาก SSWC Spartan ยังมีรายการชิงแชมป์โลกประเภทอื่นกระจายอยู่ เช่น Trifecta ที่สปาร์ตา (กรีซ), Ultra, Beast ฯลฯ ซึ่งสะท้อน “พอร์ตการจัดชิงแชมป์ระดับโลก” ที่ต้องการกระจายความสนใจและฐานแฟนกีฬาไปหลายภูมิภาค (ข้อมูลอ้างอิงจากประกาศ/รายงานงานชิงแชมป์ปีต่าง ๆ และบันทึกข่าวสาร Spartan)

ความหมายเชิงกลยุทธ์ การที่เชียงรายถูกวางเป็นเจ้าภาพต่อเนื่อง 3 ปี (2026–2028) เท่ากับ “ยึดปฏิทินโลก” ได้ยาวๆ เมืองจะได้อานิสงส์สื่อระหว่างประเทศอย่างน้อยสามฤดูกาล และสามารถ “ล็อก” การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรอาสาสมัคร ห่วงโซ่อุปทานท่องเที่ยว ให้เกิดการเรียนรู้สะสม (learning curve) สร้างความคล่องตัวและลดต้นทุนจัดงานในปีถัดๆ ไป (แผนและกรอบการสื่อสารจากหน่วยงานจังหวัด)

เศรษฐกิจท้องถิ่น เป้าหมาย 800 ล้านบาท/ปี ทำได้จริงหรือไม่?

โจทย์ตัวเลขที่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายคือ รายได้ทางเศรษฐกิจ “ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี” หรือรวม 3 ปี “2,400 ล้านบาท” จากผู้เข้าร่วมและผู้ติดตามมากกว่า 60,000 คน/ปี หากเทียบกับกรณีศึกษางาน Spartan ระดับภูมิภาคที่จัดในไทยก่อนหน้า ซึ่งดึงผู้ร่วมงานราว 16,000 คนและประเมินรายได้ราว 300 ล้านบาท จะเห็นว่า SSWC มี “ฐานผู้เข้าชมใหญ่กว่า 3–4 เท่า” และมีสัดส่วนชาวต่างชาติสูงกว่า จึงมีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าโดยธรรมชาติ ทำให้ตัวเลข 800 ล้านบาท/ปีดู “เป็นไปได้” หากระบบรองรับพร้อมและแผนการตลาดเชื่อมการท่องเที่ยวทำงานได้จริง (กรอบอ้างอิงจากสื่อ Spartan/หน่วยงานไทยและบทเรียนงานก่อนหน้า)

สิ่งที่ต้องทำให้ได้ เพื่อไปถึงเป้า

  • จัดสรร “พอร์ตรายได้” ให้ครบทั้ง ที่พัก อาหาร เดินทาง ทัวร์วัฒนธรรม–สินค้าชุมชน (มิใช่รายได้ค่าบัตร–โลจิสติกส์งานเพียงด้านเดียว)
  • สร้าง “แพ็กเกจเชื่อมเมือง” เช่น เส้นทางวัฒนธรรมล้านนา–วิถีกาแฟชุมชน–เทรลสุขภาพ เพื่อยืดระยะพำนักเฉลี่ย (length of stay) และค่าใช้จ่ายต่อทริป
  • ตั้ง “โควตาเนื้อหาท้องถิ่น” ในกิจกรรมข้างสนาม ให้ผู้ประกอบการชุมชนได้สิทธิ์เข้าถึงผู้ชม/นักกีฬาอย่างเป็นธรรม (ข้อเสนอเชิงนโยบาย)

โครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน–ขนส่ง–ที่พัก คือ “สามขุมกำลัง”

(1) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง-เชียงราย (CEI) โครงการพัฒนาระยะที่ 1 โดย ทอท. (AOT) มีการสื่อสารเรื่องเป้า “ขยายขีดความสามารถ” ไปที่ราว 6 ล้านคน/ปี ควบคู่การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม เพิ่มหลุมจอดประชิดอาคาร และระบบสาธารณูปโภค ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับโจทย์การรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศในฤดูพีคและสัปดาห์จัดชิงแชมป์โลก (ข้อมูลเผยแพร่โดยแหล่งข่าวด้านอุตสาหกรรมการบิน/ท่องเที่ยวและการสื่อสารภายในเครือ AOT)

สาระสำคัญทางปฏิบัติ คือ “ไทม์ไลน์ก่อสร้าง ทดสอบระบบ เปิดใช้งาน” ต้องเสร็จทันก่อนธันวาคม 2026 โดยเฉพาะช่องทางตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร และจุดเชื่อมต่อภาคพื้น (ground transportation hub) มิฉะนั้น “ประสบการณ์ผู้โดยสาร” อาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ระดับโลกได้

(2) ระบบขนส่งภาคพื้น จังหวัดวางภาพรวมให้รถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ (ทั้งภายใน–ต่างจังหวัด) รับบท “แกนกลาง” เชื่อมจุดพักค้าง สนามแข่งขัน กิจกรรมทั่วเมือง ลดการพึ่งพารถเช่า/รถส่วนตัวซึ่งจะสร้างคอขวดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนของวันแข่งขัน (แนวทางตามกรอบการประชุมคณะทำงาน)

(3) กำลังที่พัก การหลั่งไหลของผู้เยี่ยมชมระดับ “หลักหมื่น” ในหน้าพีค ต้องแปลงเป็นบัญชีที่พักหลากหลายประเภท ตั้งแต่โรงแรมไฮเอนด์สำหรับสื่อ–นักกีฬาชั้นนำ ไปจนถึงโฮมสเตย์/เกสต์เฮาส์ชุมชน เพื่อ “กระจายรายได้” และสร้างประสบการณ์ “ล้านนาแท้” ซึ่งเป็นเนื้อหาไวรัลชั้นดีตามธรรมชาติ (แนวคิดเทศกาลกระจายทั่วจังหวัด)

สนามแข่งขัน 10 กม. 25 ด่าน ภูมิประเทศคือ “เวทีโชว์แบรนด์เชียงราย”

สนาม Super ต้องการเส้นทางธรรมชาติที่มีทั้งทางเขา ป่า พื้นที่เปิดโล่ง และโลจิสติกส์ภาคสนามสำหรับติดตั้งสิ่งกีดขวางมาตรฐานโลก อาทิ A-Frame Cargo, Atlas/Bucket Carry, Balance Element ฯลฯ หัวใจการออกแบบสนามในยุคสื่อดิจิทัลคือ ภาพจำ”  มุมกล้องที่พาโลกเห็นภูมิประเทศเชียงราย ความงามวัฒนธรรมล้านนา และพลังชุมชนเคียงข้างนักกีฬา ภาพถ่ายทอดสดเหล่านี้คือ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่ตีมูลค่าโฆษณาได้มหาศาล หากทีมโปรดักชันทำงานร่วมกับชุมชนอย่างพอดี (ข้อมูลคุณลักษณะระยะ Super อ้างอิงจากช่องทางทางการของ Spartan/สื่อ OCR) 

กำลังคน อาสาสมัคร 1,000 คน = เส้นเลือดใหญ่ของงาน

Spartan คือ “กีฬามวลชน” ที่ประสบการณ์หน้างานตัดสินความประทับใจ อาสาสมัครจึงเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทั้งด้านความปลอดภัย จัดคิวหลุมอุปสรรค เส้นทาง น้ำดื่ม การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศเชียร์ โจทย์เชียงรายคือ “คัด เลือก อบรม และดูแล” อาสาสมัครจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย ชุมชน ให้พร้อมใช้งานอย่างมืออาชีพ พร้อมสิ่งตอบแทน/สวัสดิการที่เป็นธรรม และการรับรองชั่วโมงจิตอาสา (กรอบเป้าหมายอาสาสมัครจากการประชุมคณะทำงาน)

แผนสร้างแบรนด์และมรดก (Legacy) ให้สามวันของการแข่ง “อยู่ในใจโลก” ไปอีกหลายปี

Brand Moment 1 – พิธีส่งมอบสิทธิ์จากสหรัฐฯ สู่เชียงราย (ปลายปี 2025)
เมื่อ SSWC 2025 ปิดฉากที่ Mammoth Lakes โอกาสทองของเชียงรายคือต้อง “ยึดไมค์โลก” ด้วยพิธีรับธง/ส่งมอบสิทธิ์ ภาพ “ธงไทยโบกไหวกลางจอโลก” คือคอนเทนต์ที่หน่วยงานรัฐ TCEB การท่องเที่ยว ควรร่วมออกแบบร่วมกับ Spartan ให้กลายเป็นพาดหัวสื่อกีฬา ท่องเที่ยวทันทีหนึ่งปีก่อนวันแข่งจริง (จุดตั้งต้นเชิงข้อมูลจากประกาศ SSWC 2025)

Brand Moment 2 – เนื้อหาไวรัลจากนักกีฬา
บทเรียนจากหลายอีเวนต์กีฬาโลกชี้ว่า “เสียงนักกีฬา” ที่ชื่นชมการต้อนรับ วัฒนธรรม อาหารท้องถิ่น มักกลายเป็นไวรัลข้ามประเทศ เชียงรายควรจัดทริปวัฒนธรรม/ธรรมชาติแบบ “เบาแต่ลึก” (soft itinerary) ก่อน หลังวันแข่ง ให้ทีมชาติชั้นนำและสื่อได้สร้างเรื่องเล่าด้วยตัวเอง สิ่งนี้ตีเป็นมูลค่า Earned Media ได้สูงกว่างบซื้อโฆษณาหลายเท่า

Brand Moment 3 – มรดกถาวรหลังปี 2028
ลงทุนสร้าง “ศูนย์ฝึก OCR ถาวร” หรือคงไว้ซึ่งเส้นทาง สิ่งกีดขวางมาตรฐาน เพื่อต่อยอดงานระดับภูมิภาค/APAC และค่ายฝึกซ้อมนานาชาติ รวมถึงห่วงโซ่ธุรกิจกีฬา อุปกรณ์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ให้โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นไม่กลายเป็น “สิ่งปลูกสร้างไร้การใช้งาน” หลังจบ 3 ปีแรก

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)

  1. ตั้ง “ศูนย์อำนวยการ SSWC เชียงราย” กลางจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด TCEB AOT ร่วมเป็น Co-Chair เชื่อมงานโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน/ขนส่ง/สนามแข่ง) กับการตลาด สื่อ ชุมชน
  2. Quarterly Milestones ของสนามบิน CEI รายงานความก้าวหน้าระยะที่ 1 ต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสายการบิน นักกีฬา และสื่อกีฬาโลก (เป้าหมาย 6 ล้านคน/ปี)
  3. Local Content Quota กำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของผู้ประกอบการชุมชนในโซนตลาด/คาเทอริ่ง/ทัวร์ ปักหมุด “Money to Community” ให้เห็นเป็นตัวเลข
  4. Green–Clean Event วางแผนจัดการขยะ ฟื้นฟูเส้นทางแข่งขันหลังงาน ภายใต้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อสมดุลเศรษฐกิจ ชุมชน ธรรมชาติ
  5. Post-2028 Plan ยื่นประมูลงาน OCR/กีฬาความทนทานระดับนานาชาติหมุนเวียนต่อเนื่อง พร้อมพัฒนา “แบรนด์เทศกาลกีฬาเชียงราย” รายปี

เสียงจากเวทีประชุม “จากสิทธิ์เจ้าภาพ สู่เมืองกีฬาของเอเชีย”

ผู้แทนจังหวัดสรุปกรอบทำงานว่า เป้าหมายไม่ใช่เพียง “จัดแข่งขันให้สำเร็จ” แต่คือการวางรากฐานระยะยาวให้เชียงรายก้าวสู่ World Sport Tourism Destination ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งแต่สายการบิน ผู้ประกอบการที่พัก ร้านอาหาร ชุมชนท่องเที่ยว มหาวิทยาลัย ไปจนถึงเครือข่ายสื่อท้องถิ่น/ระดับชาติ เพื่อเล่า “เรื่องเชียงราย” ให้ไปไกลกว่าผลการแข่งขัน (กรอบสารจากการสื่อสารของหน่วยงานจังหวัด)

เช็คพอยต์ความพร้อมสำคัญ (Key Readiness Checkpoints)

  • สนามบิน CEI ไทม์ไลน์ก่อสร้าง ระบบตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร จุดรับส่งกระเป๋า โหนดขนส่งภาคพื้น ต้องพร้อมใช้งานก่อน ธ.ค. 2026 (อ้างอิงแผนขยายขีดความสามารถโดย AOT/แหล่งข่าวอุตสาหกรรม)
  • สนามแข่งขัน ล็อกโลเคชัน ขออนุญาตพื้นที่ ออกแบบสิ่งกีดขวางมาตรฐาน 25 ด่าน วางแผนความปลอดภัยและการแพทย์สนามตามมาตรฐานสากลของ Spartan
  • ที่พัก ทำทะเบียนห้องพักพร้อมโควตาราคา คุณภาพ การขนส่งเชื่อมสนาม/แหล่งท่องเที่ยว
  • อาสาสมัคร 1,000 คน ออกแบบหลักสูตรอบรม ตารางผลัด สวัสดิการ ประกันอุบัติเหตุ
  • คอนเทนต์เมือง แพ็กเกจท่องเที่ยว วัฒนธรรม ของชุมชน พร้อมคู่มือสื่อในหลายภาษา

โอกาส 3 ปีที่อาจเปลี่ยนโฉมเมือง

หากวัดเพียงตัวเลขรายได้ 800 ล้านบาท/ปี เป้าหมายของเชียงรายก็ดู “เอื้อมถึง” เมื่อพิจารณาขนาดผู้เข้าร่วมและฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ กำไรที่แท้จริง” ของโครงการน่าจะอยู่ที่ มรดก ทั้งทักษะการจัดอีเวนต์ขนาดโลกของหน่วยงานจังหวัด เครือข่ายอาสาสมัครที่เข้มแข็ง ระบบขนส่ง ที่พักที่เชื่อมเมือง และแบรนด์ “เชียงราย” ในฐานะจุดหมายกีฬามวลชนบนภูมิประเทศที่แตกต่างในเอเชีย หากทุกฟันเฟืองเดินพร้อมกันตั้งแต่สนามบิน CEI ถึงโฮมสเตย์ชุมชน สามวันของการแข่งขัน สามารถ “อยู่ในใจโลก” ได้ สามปี และต่อยอดเป็น สามทศวรรษ ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • SSWC 2025 (Mammoth Lakes, USA)
  • Spartan Thailand
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • Spartan Race Thailand
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง-เชียงราย (CEI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิด “Biz Shop” ณ ตลาดล้านเมือง รวบรวม 116 ผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล

ผู้ว่าฯ เปิด “Biz Shop เชียงราย” ที่ตลาดล้านเมือง เปิดประตูสินค้าเด่น 116 ผลิตภัณฑ์ สร้างศูนย์รวมแรงบันดาลใจผู้ประกอบการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยพลังเครือข่าย

เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 — “คนเชียงราย ร่วมใจ สร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ แต่เริ่มกลายเป็นพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่จับต้องได้ เมื่อจังหวัดเชียงรายเปิดร้าน “Biz Shop เชียงราย” อย่างเป็นทางการ ณ ตลาดล้านเมือง ศูนย์กลางกระจายสินค้าและโลจิสติกส์ของเมือง โดยมี นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน เครือข่ายผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน

พื้นที่ตั้ง “ตลาดล้านเมือง” อยู่โซนตะวันออกของตัวเมือง เชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมสำคัญของจังหวัดและเป็นแหล่งค้าส่งที่คึกคัก ช่วยให้ร้านใหม่แห่งนี้เข้าถึงทั้งผู้บริโภคในจังหวัด นักท่องเที่ยว และผู้ซื้อจากต่างพื้นที่ได้อย่างสะดวก สอดคล้องบทบาทตลาดที่ถูกพัฒนาให้เป็นฮับสินค้าเกษตร–ของฝากในพื้นที่ต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมา

จาก “เครือข่าย” สู่ “หน้าร้าน” — ทำไม Biz Shop จึงสำคัญ

หัวใจของโครงการนี้ คือการรวมพลัง เครือข่ายธุรกิจ Biz Club จังหวัดเชียงราย ให้มี “หน้าร้านกลาง” ที่คัดเลือกสินค้าดี–สินค้าเด่นของสมาชิกมาวางจำหน่ายอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็น “พื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน” เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้า แพ็กเกจจิ้ง การสร้างแบรนด์ และทักษะด้านดิจิทัลของผู้ประกอบการรายย่อย

แนวคิด Biz Club เองถือกำเนิดและขับเคลื่อนในกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ผ่านกลไกกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ที่เน้น “เครือข่าย–การจับคู่ธุรกิจ–การยกระดับมาตรฐาน” เป็นวิถีทางให้ SMEs เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว โครงข่ายนี้ปรับตัวตามบริบทจังหวัด เพื่อให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานรากและเอกลักษณ์ท้องถิ่นได้ดีที่สุด

พิธีเปิดที่มากกว่า “ตัดริบบิ้น” วาระเชื่อมคน–เชื่อมตลาด–เชื่อมอนาคต

บรรยากาศพิธีเปิดเรียบง่ายแต่แฝงพลังความร่วมมือ ผู้ว่าราชการจังหวัดย้ำว่า “Biz Shop เชียงราย” คือก้าวสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เพราะเป็นทั้งเวทีแสดงศักยภาพสินค้า โอกาสขยายตลาด และพื้นที่ทดลองโมเดลธุรกิจร่วมกันของผู้ประกอบการรายย่อย ภายใต้เป้าหมาย “มั่นคง–มั่งคั่ง–ยั่งยืน”

ด้าน นายศรันย์ เนมหาวรรณ์ ประธานเครือข่ายธุรกิจ Biz Club จังหวัดเชียงราย อธิบายเจตนารมณ์ชัดเจนว่า ร้านแห่งนี้ไม่ใช่แค่ช่องทางจำหน่ายของฝากและของที่ระลึก แต่จะพัฒนาเป็น ศูนย์กลางแห่งแรงบันดาลใจและการสร้างสรรค์” ให้ผู้ประกอบการในเครือข่ายและชุมชนได้ทดลองแนวคิดใหม่ ๆ ร่วมกัน ปัจจุบันมีสมาชิกนำสินค้าเข้าจำหน่าย 22 ราย รวม 116 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมทั้งอาหาร–เครื่องดื่มแปรรูป งานหัตถกรรม–สิ่งทอ เครื่องสำอางจากสมุนไพร และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ที่ดึงอัตลักษณ์ล้านนาตะวันออกอย่างโดดเด่น

คำกล่าวชูประเด็น
“เชียงรายมีสินค้าดีและผู้ประกอบการที่มีหัวใจนักสู้ เราต้องช่วยกันทำให้สินค้าคุณภาพเหล่านี้ได้ ‘พื้นที่’ และ ‘โอกาส’ ที่สมศักดิ์ศรี ทั้งหน้าร้านมาตรฐาน การตลาดดิจิทัล และการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนกลับสู่ชุมชนอย่างแท้จริง” — ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (ในพิธีเปิด)

ทำเลคือ “ตัวคูณ” ตลาดล้านเมืองในฐานะจุดยุทธศาสตร์การค้า

การเลือกตั้งร้านใน ตลาดล้านเมือง มีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพราะนอกจากเป็นแหล่งค้าส่งและจุดกระจายสินค้าที่ผู้ค้าในพื้นที่คุ้นเคย ยังอยู่บนเส้นทางที่นักท่องเที่ยวและผู้ซื้อจากต่างอำเภอ–ต่างจังหวัดสัญจรผ่าน จึงช่วยลดต้นทุนการกระจายสินค้าและเพิ่มโอกาสการมองเห็น (visibility) อย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งสอดรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจเชียงรายที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ และการค้าชายแดน ซึ่งความคึกคักของ “หน้าร้านรวม” จะสร้างแรงดึงดูดให้ทัวร์–รถเช่า–ไกด์ท้องถิ่นบรรจุจุดหมายนี้ไว้ในเส้นทางได้ง่ายขึ้น

ภาพใหญ่เศรษฐกิจ ทำไม “ศูนย์รวม SME” จึงจำเป็นในเวลานี้

โครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพา SMEs ในสัดส่วนสูงมาโดยตลอด และในระดับประเทศ SMEs สร้างมูลค่าเศรษฐกิจในสัดส่วนสำคัญของจีดีพี ขณะที่ภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงรายมีฐาน SMEs ด้านเกษตรแปรรูป–ท่องเที่ยว–ค้าปลีกกระจายตัวจำนวนมาก การมี “หน้าร้านรวม” ที่ทำหน้าที่เป็น โชว์รูม + แพลตฟอร์มฝึกทักษะ + จุดกระจาย จึงช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับตลาด และย่นระยะห่างระหว่าง “ผู้ผลิตรายย่อย” กับ “ผู้ซื้อปลายทาง” ได้จริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางยุทธศาสตร์ของหน่วยงานพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระดับชาติที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรฐาน สร้างนวัตกรรม และเข้าถึงตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง

ในมิติ “ดีมานด์” ฝั่งการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรสำคัญของเชียงรายมาอย่างยาวนาน รายงานภาครัฐก่อนโควิดระบุว่า จังหวัดเคยต้อนรับนักท่องเที่ยวทะลุ หนึ่งล้านคน และสร้างรายได้หลายพันล้านบาทต่อปี ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนศักยภาพฐานผู้ซื้อที่ชัดเจน ซึ่งหากจับคู่กับ “สินค้าท้องถิ่นคุณภาพ–เล่าเรื่องได้–มีจุดต่างชัดเจน” ย่อมต่อยอดเป็นมูลค่าทางการค้าได้อีกมาก

116 ผลิตภัณฑ์ คัดจาก “อัตลักษณ์” สู่ “มาตรฐาน”

สาระสำคัญของ Biz Shop อยู่ที่กระบวนการคัดเลือกและจัดแสดงสินค้าให้ “เล่าเรื่องเชียงราย” ได้อย่างครบถ้วน โดยทีมคัดเลือกให้ความสำคัญกับ 4 แกนหลัก

  1. แหล่งที่มาและภูมิปัญญา – เน้นวัตถุดิบจากพื้นที่ (เช่น ชา–กาแฟ–สมุนไพร–ผลไม้พื้นถิ่น) และลวดลาย/เทคนิคงานหัตถกรรมที่สะท้อนชุมชน
  2. มาตรฐาน–ความปลอดภัย – ผลิตภัณฑ์อาหาร–เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางต้องเดินหน้าสู่มาตรฐาน อย./มผช./อย.ฮาลาล (หากเกี่ยวข้อง) เพื่อขยายตลาดกว้างขึ้น
  3. แพ็กเกจจิ้ง–การสื่อสาร – ปรับภาพลักษณ์ให้ “พร้อมวางขาย” ทั้งบนชั้นหน้าร้านและแพลตฟอร์มออนไลน์
  4. การตั้งราคา–มูลค่าเพิ่ม – ช่วยวางตำแหน่งสินค้า (positioning) ให้สอดคล้องกลุ่มเป้าหมาย เช่น นักท่องเที่ยวคุณภาพ, นักเดินทางระยะยาว, พรีเมียมซูวีเนียร์ ฯลฯ

ผู้ประกอบการหลายรายเป็น “รุ่นใหม่กลับบ้าน” นำความรู้ด้านการตลาดดิจิทัลมาผสมกับทรัพยากรในพื้นที่ ผลลัพธ์คือสินค้าเชิงสร้างสรรค์ที่ “อัพมูลค่า” จากของดีชุมชน เช่น ขนม–ของหวานอินสไปร์จากชาเขียวดอยสูง, งานทอ–ย้อมสีธรรมชาติ, กาแฟสเปเชียลตี้สายพันธุ์ท้องถิ่น, สกินแคร์สมุนไพรล้านนา, หรือ ของใช้ทำมือ ที่ตีโจทย์ของฝากร่วมสมัย

โอกาส–ความท้าทาย และจุดคานงัดสู่ความยั่งยืน

1) ทำเล + เครือข่าย = ตัวคูณการตลาด
การตั้งร้านในตลาดล้านเมืองทำให้ Biz Shop อยู่ “กลางทาง” ของทั้งผู้บริโภคท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อผสานกับเครือข่าย Biz Club ที่มีสมาชิกหลากหลาย จะเกิดเอฟเฟกต์เครือข่าย (network effect) ช่วยเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่หมุนเวียน และดึงผู้เข้าชมซ้ำ

2) เชื่อม “หน้าร้าน–ออนไลน์–ท่องเที่ยว” ให้เป็นหนึ่งเดียว
การจัดการสต็อกให้ทันฤดูกาลท่องเที่ยว, ทำ QR Storytelling (สแกนอ่านเรื่องราวชุมชน–มาตรฐาน–วิธีใช้), การทำ pre-order/ส่งถึงที่พัก และการเชื่อมกับเส้นทางท่องเที่ยว (เช่น ทัวร์กาแฟ–ไร่ชา–งานศิลปะ) จะทำให้มูลค่าต่อหัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีที่เชียงรายคึกคัก

3) ขยับมาตรฐานเพื่อไป “นอกจังหวัด–นอกประเทศ”
การยกระดับมาตรฐานสินค้า (FDA/มผช./HALAL/Organic ฯลฯ) และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สอดคล้องกฎระเบียบปลายทาง จะเปิดทางให้สินค้าบางกลุ่มเข้าสู่โมเดิร์นเทรด/สนามบิน/ดีลเลอร์เพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งแนวทางนี้สอดคล้องกับบทบาทของเครือข่าย Biz Club ที่ทำหน้าที่เป็น “แพลตฟอร์มบ่มเพาะมาตรฐานและการจับคู่ธุรกิจ” อยู่แล้ว

4) ใช้ข้อมูลตลาดจริง ตั้ง “คีย์เพอร์ฟอร์แมนซ์” ที่วัดได้
เพื่อให้โครงการลงหลักปักฐานแกร่ง ควรมีตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เยี่ยมชม/วัน, สัดส่วนลูกค้าท้องถิ่น–นักท่องเที่ยว, อัตรา conversion เป็นยอดขาย, ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อชิ้น ฯลฯ และทบทวนทุกไตรมาส พร้อมยืดหยุ่นสัดส่วนสินค้าให้ตอบพฤติกรรมผู้ซื้อ

5) หนุนด้วย “การเล่าเรื่องจังหวัด” และข้อมูลท่องเที่ยว
เชียงรายมีฐานนักท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องหลังโรคระบาด การนำสถิติตามฤดูกาล/อำเภอ/แหล่งท่องเที่ยวมาเป็น “คัมภีร์วางแผนสินค้า” จะทำให้การผลิต–การสต็อก–แคมเปญการตลาดแม่นขึ้น และดึงดูดกลุ่มคุณภาพได้มากขึ้น (เช่น นักเดินทางระยะยาว, กลุ่มครอบครัว, นักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)

เสียงจากผู้ประกอบการ พื้นที่ที่ทำให้ “ตัวเล็ก” ไม่โดดเดี่ยว

“ได้เรียนรู้เรื่องมาตรฐานและการตั้งราคาที่สะท้อนคุณค่า ทำให้กล้าขยับไปตลาดใหม่มากขึ้น และมีเพื่อนร่วมทางให้ปรึกษา” — ผู้ประกอบการงานหัตถกรรมย้อมคราม

“จากเดิมขายออนไลน์อย่างเดียว พอมีหน้าร้าน ทำให้ลูกค้าจับต้อง กลิ่น–รส–เรื่องราวของสินค้าเราได้ ยอดสั่งซ้ำเพิ่มขึ้นชัดเจน” — ผู้ประกอบการชากาแฟแปรรูป

เสียงสะท้อนเหล่านี้สะท้อน “งานหลังบ้าน” ของ Biz Shop ที่ไม่ได้มีเพียงการวางสินค้า แต่รวมถึงการโค้ชจุดอ่อน–ต่อยอดจุดแข็ง ทำภาพ–ทำคำ–ทำแพ็กเกจจิ้ง–วางบาร์โค้ด/QR ให้พร้อมขายบนทุกแพลตฟอร์ม

ตัวเลขชวนคิด

  • 116 ผลิตภัณฑ์ จาก 22 ผู้ประกอบการ ฐานตั้งต้นที่พร้อมเติบโตทั้งเชิงปริมาณ–คุณภาพ
  • ฮับการค้า ทำเลตลาดล้านเมืองช่วยลดต้นทุนกระจายสินค้าและเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวได้โดยตรง
  • SMEs = กระดูกสันหลังเศรษฐกิจ แนวโน้มเชิงยุทธศาสตร์ประเทศยังย้ำบทบาท SMEs และการยกระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
  • ดีมานด์จากท่องเที่ยว เชียงรายเคยรองรับนักท่องเที่ยวมากกว่าล้านคน/ปี รายได้หลายพันล้านบาท—ฐานลูกค้าที่พร้อมเปลี่ยน “ของดีท้องถิ่น” เป็น “มูลค่าเพิ่ม” ได้จริง

จากร้านเล็กในตลาด สู่โมเดลพัฒนา “เมืองสินค้าและคุณภาพ”

การเปิด “Biz Shop เชียงราย” มิใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจท้องถิ่นธรรมดา หากเป็น โมเดลความร่วมมือ ที่จับต้องได้ ระหว่างภาครัฐ–เอกชน–เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ต่างมีบทบาทของตนอย่างชัดเจน “หน้าร้านรวม” ทำหน้าที่เป็นทั้ง เครื่องขยายเสียง (amplifier) ให้ของดีท้องถิ่นดังไกล เป็น ห้องทดลอง (sandbox) ให้ผู้ประกอบการได้ฝึก–ได้ล้ม–ได้ลุก และเป็น เครื่องมือคืนรายได้ ให้ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อบวก “ทำเลที่ใช่” เข้ากับ “เครือข่ายที่แข็งแรง” และ “การจัดการความรู้ที่ต่อเนื่อง” เชียงรายย่อมมีโอกาสก้าวไปสู่ภาพฝัน เมืองสินค้าและคุณภาพ” ที่ผู้ประกอบการตัวเล็กไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และผู้บริโภคมั่นใจว่า ทุกชิ้นที่ซื้อคือเรื่องเล่าที่มีมาตรฐานรองรับ

บทสรุปสั้น

  • ร้านนี้คือ เครื่องมือกลาง ที่รวมคน–รวมสินค้าดี–รวมโอกาส
  • ทำเลตลาดล้านเมืองช่วย “เชื่อมดีมานด์” จากท่องเที่ยว–ค้าส่งได้จริง
  • หากรักษามาตรฐานสินค้า–วัดผลเชิงธุรกิจ–เล่าเรื่องให้ถึงใจ ผู้ประกอบการจะยืนระยะได้ และรายได้จะหมุนกลับสู่ชุมชนตามเป้าหมาย “คนเชียงราย ร่วมใจ สร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Biz Club ภายใต้กระทรวงพาณิชย์/DBD
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ราคาทรุด! ปลาเศรษฐกิจแม่น้ำกกดิ่งเหว ชุมชนปากน้ำร้องรัฐวางแผนน้ำสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กลิ่นกาแฟชาหอมฟุ้ง! เชียงรายจัดใหญ่ Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025

 “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2025” เปิดฉากยิ่งใหญ่! เชียงรายนำทัพ 4 จังหวัดล้านนาตะวันออก ชูศักยภาพชา-กาแฟ สู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – ลานกาสะลองแน่นขนัด “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” ชูเสน่ห์กาแฟ-ชาล้านนา สร้างโอกาสใหม่สู่ตลาดโลก กลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดและชาชั้นดีล่องลอยคลอเสียงเพลงสดจากศิลปินชื่อดัง ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย สะท้อนความคึกคักและสีสันของ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2025” (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025) ที่เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ ท่ามกลางผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างชาติที่เข้าร่วมแน่นขนัด

งานนี้ถือเป็นความร่วมมือบูรณาการของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน เพื่อนำศักยภาพกาแฟและชาคุณภาพระดับโลกของภูมิภาคล้านนาตะวันออก ก้าวสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเรื่องราววัฒนธรรม-วิถีชีวิตกับประสบการณ์ท่องเที่ยว

ล้านนาตะวันออก แหล่งปลูกชา-กาแฟระดับโลก

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้จัดงาน เปิดเผยว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพด้านการผลิตชาและกาแฟสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ เชียงรายเป็นแหล่งปลูกกาแฟอาราบิก้าคุณภาพดี มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 30% ของประเทศ และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปี ขณะที่อุตสาหกรรมชาก็เติบโตโดดเด่น โดยชาและกาแฟเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังมีบทบาทในการอนุรักษ์ป่าไม้ รักษาดุลยภาพระบบนิเวศและสร้างเสถียรภาพให้เกษตรกรในพื้นที่

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาคเหนือตอนบน 2 มีภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เหมาะสม ชาและกาแฟของแต่ละพื้นที่จึงมีรสชาติ กลิ่น และเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ ต่อยอดเป็นอัตลักษณ์การท่องเที่ยวได้ดี” งานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญผลักดันเศรษฐกิจฐานราก ขยายตลาดใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยบนเวทีโลก ภายใต้นโยบายชาติว่าด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์และยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก พ.ศ.2561-2580

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างสุขภาพ สานวัฒนธรรม-การท่องเที่ยว

งาน “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงสินค้ากาแฟและชา แต่ยังสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับแบรนด์กาแฟท้องถิ่น-ระดับโลกในภูมิภาคล้านนา เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยกิจกรรมหลากหลาย เช่น การสาธิตชงชา-กาแฟโดยบาริสต้าระดับประเทศ เวิร์กช็อปปลูกและดูแลต้นกาแฟ/ชา การประกวดชงกาแฟ การจับคู่เมล็ดกาแฟกับขนมพื้นเมือง ไปจนถึงเวทีสัมมนาเรื่อง “โอกาสชา-กาแฟไทยสู่ตลาดโลก” โดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันต่างประเทศ

การจัดงานครั้งนี้ ยังช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SME อย่างเป็นรูปธรรม โดยประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อกาแฟ ชา ผลิตภัณฑ์แปรรูปหลากหลาย พร้อมรับคำแนะนำจากผู้ปลูกโดยตรง สัมผัสเสน่ห์ความเป็นล้านนาแท้จริงผ่าน “กาแฟถ้วยโปรด ชาจอกสุขภาพ”

อนาคตเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของล้านนา

“Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” เป็นโมเดลสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว และบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ธุรกิจ SME สู่ตลาดสากล กิจกรรมตลอด 4 วัน เปิดให้ชมฟรี พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่แห่งวัฒนธรรมเครื่องดื่มและสุขภาพแก่ผู้ร่วมงาน ทั้งยังเป็นเวทีสร้างความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม ภาครัฐ เอกชน และกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่

เทศกาลนี้ สะท้อนความพร้อม “เชียงราย-ล้านนาตะวันออก” สู่ศูนย์กลางกาแฟ-ชาเอเชีย

ความสำเร็จของ “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและความพร้อมของเชียงรายและกลุ่มจังหวัดล้านนาตะวันออก ไม่เพียงแต่ในฐานะ “แหล่งปลูกกาแฟ-ชา” ที่ใหญ่ที่สุดของไทย แต่ยังพร้อมก้าวเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สุขภาพ และวัฒนธรรม” ระดับภูมิภาค สร้างรายได้ เสริมความยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้เกษตรกร-ผู้ประกอบการท้องถิ่น

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • ส่งเสริมการสร้างแบรนด์ “กาแฟ-ชาล้านนา” และสนับสนุนการตลาดออนไลน์เชิงรุก
  • สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนให้เข้าถึงองค์ความรู้-เทคโนโลยี และตลาดต่างประเทศ
  • พัฒนาเทศกาลนี้ให้เป็นอีเวนต์ประจำปีระดับนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยว-นักลงทุน
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผสานวัฒนธรรม-อาหาร-ภูมิปัญญาล้านนา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • ข้อมูลการปลูกกาแฟ-ชาของกระทรวงเกษตรฯ
  • งานสัมมนา Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย นำทัพ! สู่ตลาดมาตรฐานระดับชาติ หนุนเที่ยว สร้างงาน

เชียงรายยกระดับตลาดท้องถิ่น 4 แห่ง เข้ารอบประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐาน” ปี 2568 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 24 มิถุนายน 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมและยกระดับตลาดสดในพื้นที่ หลังได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงมหาดไทย ให้เข้าร่วมประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้นโยบายการพัฒนาตลาดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่ความเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชน เพิ่มมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม

ก้าวสำคัญ ตลาดดีมีมาตรฐาน สร้างงาน สร้างอาชีพ

โครงการ “ตลาดดีมีมาตรฐาน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งยกระดับตลาดท้องถิ่นทั่วประเทศให้เป็นตลาดที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน และอาหารพื้นถิ่นที่หลากหลาย ตอบโจทย์วิถีชีวิตของประชาชน และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล โดยเน้นการพัฒนาตลาดให้เป็นพื้นที่สร้างรายได้ สนับสนุนอาชีพและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย 4 ตลาดเด่น

ในปีงบประมาณ 2568 จังหวัดเชียงรายมีตลาดที่ผ่านเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายจำนวน 4 แห่ง ได้แก่

  1. ตลาดสดเทศบาล 2 ศิริกรณ์
  2. ตลาดสดเทศบาลตำบลบ้านดู่
  3. ตลาดประชารัฐตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  4. ตลาดสดเวียงชัย อำเภอเวียงชัย

การประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน ดำเนินการโดยคณะกรรมการระดับจังหวัด นำโดยนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด หอการค้าจังหวัดเชียงราย สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด อบจ.เชียงราย และท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย

ยกระดับมาตรฐานตลาด สุขาภิบาล สะอาด ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยว

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มอบหมายให้นางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย นางนงคราญ กันกา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านสุขอนามัย ความสะอาด ความปลอดภัย รวมถึงการคัดสรรและจัดระเบียบพื้นที่การขายสินค้าให้มีมาตรฐาน พร้อมส่งเสริมการจัดกิจกรรมตลาดนัดเชิงสร้างสรรค์ เพิ่มความมีชีวิตชีวาและตอบโจทย์การท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของการขับเคลื่อนตลาดดีมีมาตรฐานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเชื่อมโยงตลาดท้องถิ่นกับภาคการท่องเที่ยว สร้างความมั่นคงให้กับอาชีพค้าขายและการผลิตสินค้าเกษตรในท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และโอกาส

การเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายของ 4 ตลาดในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการตลาดของท้องถิ่นที่สามารถรักษามาตรฐานด้านความสะอาด สุขาภิบาล และการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดศักยภาพด้านเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยววิถีชุมชน นำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

การยกระดับตลาดในครั้งนี้ จะช่วยสร้าง “จุดขาย” ให้กับชุมชน เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ใหม่ กระจายโอกาสและสร้างความภาคภูมิใจแก่ประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • คณะกรรมการประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชาวเมียนมาริมชายแดนแม่สาย เก็บเศษเหล็กสร้างรายได้ ยามทหารช่างทำงาน

ทหารช่างเร่งสร้างพนังกั้นน้ำลำน้ำสาย รับมืออุทกภัยซ้ำซาก แม่สายหวังเห็นผลก่อนฤดูฝนมาเยือน

เชียงราย,10 มิถุนายน 2568 – ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณลำน้ำสาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะนี้เข้าสู่ช่วงสำคัญของโครงการก่อสร้าง “แนวป้องกันน้ำท่วมถาวร” โดย หน่วยทหารช่างจากจังหวัดราชบุรี ได้ระดมเครื่องจักรและกำลังพลลงพื้นที่ก่อสร้างกำแพงกันน้ำแบบเสาเหล็กเสียบแผ่นคอนกรีต และกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งให้ทันฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

พื้นที่ดังกล่าวถือเป็นจุดเสี่ยงอุทกภัยซ้ำซาก โดยเฉพาะตลาดสายลมจอย แหล่งค้าขายหลักของแม่สาย ที่เคยได้รับความเสียหายรุนแรงจากน้ำหลากในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ และโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ทำให้ภารกิจครั้งนี้เป็นมากกว่างานช่างทั่วไป แต่คือความหวังในการรักษาความมั่นคงของชีวิตชาวบ้าน

ชาวบ้านเฝ้าติดตามใกล้ชิด วางใจใน “แนวเหล็ก-คอนกรีต” ว่าเอาอยู่

ตลอดแนวลำน้ำสาย บรรยากาศการทำงานของทหารช่างเต็มไปด้วยความคึกคัก มีประชาชนจากพื้นที่ใกล้เคียงเดินทางมาดูความคืบหน้าของโครงการด้วยความหวังและกำลังใจ โดยเฉพาะในช่วงวางเสาเข็ม วางคาน และติดตั้งแผ่นคอนกรีต ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมความมั่นคงของโครงสร้าง

“ทุกปีเราต้องยกของหนีน้ำ จนเหนื่อยใจ ปีนี้ขอให้กำแพงนี้เสร็จก่อนฝนมาเถอะ” เสียงจากแม่ค้าในตลาดสายลมจอยที่สะท้อนความรู้สึกของชุมชนได้อย่างชัดเจน

โครงสร้างแนวกั้นน้ำในครั้งนี้ เป็นแบบผสมผสานระหว่าง เสาเหล็กเสียบแผ่นคอนกรีต กับ กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก มีจุดเด่นคือรับแรงดันน้ำได้สูง และลดแรงกระแทกของตะกอนและวัสดุที่ไหลตามกระแสน้ำ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนเชื่อมต่อโครงสร้างกับถนนและพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าพื้นที่ด้านหลัง

แรงงานเมียนมาร่วมเก็บเศษเหล็กหารายได้ ท่ามกลางเครื่องจักรที่ทำงานต่อเนื่อง

อีกด้านของโครงการก่อสร้าง คือภาพของแรงงานชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ฝั่งไทย ซึ่งเข้ามามีบทบาทแบบไม่เป็นทางการในพื้นที่ก่อสร้าง โดยอาศัยช่วงเวลาที่รถแม็คโครของทหารขุดเปิดหน้าดินบริเวณริมตลิ่ง ร่วมกันเก็บเศษเหล็กจากโครงสร้างเก่าใต้ดิน โดยบางคนใช้ค้อนทุบแผ่นคอนกรีตเดิมเพื่อดึงเหล็กเส้นออกไปขายในตลาดท้องถิ่น

แม้กิจกรรมนี้จะไม่ได้อยู่ในแผนงานของภาครัฐ แต่สะท้อนให้เห็นถึงอีกมิติหนึ่งของ “การอยู่รอด” ในพื้นที่ชายแดนที่ยังขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ แรงงานเหล่านี้ไม่รบกวนงานหลักของทหารช่าง และได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ที่มองเห็นว่า “ความยากจนไม่ใช่อาชญากรรม” หากอยู่ภายใต้ขอบเขตของความปลอดภัย

ทหารช่างเดินหน้าภารกิจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ท่ามกลางฝุ่น โคลน และความหวัง

จากการลงพื้นที่ของทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ พบว่าหน่วยทหารช่างได้จัดแบ่งกำลังเป็น 2 ผลัด ปฏิบัติงานทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่หยุดพัก โดยมีเป้าหมายเร่งรัดโครงการให้เสร็จในระยะเวลาที่กำหนด ก่อนพยากรณ์อากาศจะยืนยันแนวโน้มฝนตกหนักในช่วงปลายเดือนมิถุนายน

เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เผยว่า ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมชลประทาน สำนักงานโยธาธิการฯ และองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อเร่งเบิกงบประมาณในส่วนของวัสดุและการขนส่ง รวมถึงร่วมกันวางแผนสำรองรับมือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจากฝนตกก่อนเสร็จสิ้นโครงการ

พนังกั้นน้ำ…มากกว่าการป้องกัน แต่คือการฟื้นความมั่นใจของคนชายแดน

สิ่งที่กำลังก่อสร้างขึ้นริมลำน้ำสาย ไม่ใช่เพียงแค่ “พนังกั้นน้ำ” หากแต่เป็น “เส้นแบ่ง” ระหว่างความสูญเสียซ้ำซากกับโอกาสในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของชุมชน ความร่วมมือระหว่างทหาร วิศวกร และชาวบ้าน สะท้อนให้เห็นว่าภารกิจเชิงวิศวกรรมอาจกลายเป็นเครื่องมือของการฟื้นฟูสังคม

อีกด้านหนึ่ง ปฏิกิริยาของแรงงานเมียนมาที่เข้าเก็บเศษเหล็ก ยังชี้ให้เห็นว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนควรพิจารณาเรื่อง “เศรษฐกิจรายย่อย” ควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้ความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ยิ่งทวีความรุนแรง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หน่วยทหารช่างราชบุรี
  • กองทัพภาคที่ 3
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
  • รายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘ม.พะเยา’ คว้าเหรียญทอง เวทีนานาชาติ “แม่อิงชิโบริ” ศิลปะคราฟท์สีย้อมผ้าธรรมชาติ

บพท. นำ 3 นวัตกรรมเด่นคว้ารางวัลระดับโลก ในงาน KIDE 2024 ณ ไต้หวัน

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) นำโดย ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. พร้อมทีมผู้บริหารและนักวิจัย คัดเลือก 3 ผลงานนวัตกรรมเด่นส่งเข้าร่วมประกวดในงาน 2024 Kaohsiung International Invention and Design EXPO (KIDE 2024) ณ เมืองเกาสง ไต้หวัน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม 2567 งานนี้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวมนวัตกรรมกว่า 500 ผลงานจาก 30 ประเทศทั่วโลก

ผลงานนวัตกรรมจากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจาก บพท. และคว้ารางวัลทั้ง 3 ผลงาน ประกอบด้วย:

รางวัลเหรียญทอง (GOLD MEDAL): “แม่อิงชิโบริ” ศิลปะคราฟท์สีย้อมผ้าธรรมชาติ

พัฒนาโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย เอกรินทร์ ลัทธศักย์ศิริ และคณะ ผลงานนี้ผสานภูมิปัญญาล้านนาเข้ากับศาสตร์ญี่ปุ่น เกิดเป็นลวดลายอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ผ่านเทคนิคการพิมพ์ลายผ้าและนวัตกรรมที่ช่วยลด Carbon Footprint โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน

รางวัลเหรียญเงิน (SILVER MEDAL) และรางวัลพิเศษ (Special Award) จากประเทศโปแลนด์:

“เครื่องเพิ่มความชื้นและลดอุณหภูมิจากโอ่งมังกร”
นวัตกรรมที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างความชื้นต่ำและลดอุณหภูมิในโรงเรือน ทำให้สามารถผลิตเห็ดในและนอกฤดูกาลได้ เพิ่มผลผลิตและรายได้ของคนในชุมชน งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำ

รางวัลเหรียญเงิน (SILVER MEDAL): “บ้านปลามีชีวิต”

นวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ ออกแบบให้เป็นแหล่งอยู่อาศัยของสัตว์น้ำ มีอายุการใช้งานยาวนาน ลดการซ่อมแซม และช่วยเพิ่มจำนวนสัตว์น้ำในชุมชน ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยว

ขยายผลนวัตกรรม ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า ความสำเร็จจากการประกวดในครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการสร้างนวัตกรรมที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ชุมชน นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างโอกาสในการเข้าสู่ตลาดโลก เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ

ในปี 2568 บพท. วางแผนขยายผลนวัตกรรมเหล่านี้สู่การใช้งานจริงในชุมชน พร้อมทั้งสร้างพื้นที่เรียนรู้และพัฒนาขีดความสามารถให้กับชุมชนต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับเศรษฐกิจฐานราก

งาน KIDE 2024: เวทีโชว์ศักยภาพระดับโลก

งาน KIDE 2024 เป็นเวทีนานาชาติที่รวมผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เปิดโอกาสในการพัฒนานวัตกรรม และเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างประเทศ ความสำเร็จของทีมวิจัยไทยในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

การคว้ารางวัลในเวทีนี้เป็นกำลังใจสำคัญสำหรับนักวิจัยและผู้พัฒนานวัตกรรมในประเทศไทยที่จะมุ่งมั่นสร้างผลงานที่มีคุณค่าและยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลัง พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในการนี้ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยมีเป้าหมายหลักคือการนำเอาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย: ผู้ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะหน่วยงานทางวิชาการ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาโครงการ โดยจะนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจและตอบสนองความต้องการของตลาด

ชุมชนท้องถิ่น: ผู้สร้างสรรค์และผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง

ชุมชนท้องถิ่นทั้งสามแห่ง ได้แก่ ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว จะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว โดยนำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของชุมชน จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยือน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

โครงการนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อจังหวัดเชียงราย ดังนี้

  • การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก: สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
  • การอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม: ช่วยอนุรักษ์และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน
  • การสร้างงาน: สร้างโอกาสทางการงานให้กับคนในชุมชน
  • การพัฒนาการท่องเที่ยว: ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจังหวัดเชียงรายมากขึ้น

บทสรุป

โครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เป็นโครงการที่สำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและยั่งยืน โดยการนำเอาศักยภาพของชุมชนและทรัพยากรทางวัฒนธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE