Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สุริยะเปิดถนนใหม่เชื่อมโครงการหลวง หนุนเศรษฐกิจชุมชน

“สุริยะ” เปิดโครงการพัฒนาถนนเชื่อมโครงการหลวง อำนวยความสะดวกประชาชนและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนในพื้นที่โครงการหลวง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวง บรรเทาความเดือดร้อนด้านการเดินทาง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน

โครงการที่สำเร็จล่าสุดคือถนนสาย แยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว (ช่วงที่ 1) อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยโป่ง และ อุทยานแห่งชาติขุนแจ

รายละเอียดโครงการ

โครงการดังกล่าวมีระยะทางรวม 19.800 กิโลเมตร และใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 84.090 ล้านบาท โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ช่วง:

  1. ช่วงที่ 1: อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้
  2. ช่วงที่ 2: อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติขุนแจ ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

เส้นทางดังกล่าวเริ่มต้นจากทางหลวงหมายเลข 118 (กม. 76+100) ผ่านจุดสำคัญหลายแห่ง เช่น อ่างเก็บน้ำดอยงู, บ้านทุ่งยาว, บ้านห้วยทราย, บ้านปางมะกาด, บ้านห้วยคุณพระ, และ บ้านขุนลาว ก่อนจะกลับมาบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 118 อีกครั้งที่ กม. 54+100

รูปแบบการก่อสร้าง

  • ผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต กว้าง 5 เมตร
  • ผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร
  • ก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 แห่ง
  • ติดตั้งระบบระบายน้ำ เครื่องหมายจราจร และอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย

สำหรับถนนสาย แยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว (ช่วงที่ 2) ซึ่งมีระยะทาง 16.875 กิโลเมตร ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อปลายปี 2566

วัตถุประสงค์และประโยชน์ของโครงการ

นายสุริยะ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวถือเป็นการสนับสนุนงานโครงการหลวงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญในการ:

  1. สนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน
    • ช่วยให้การเดินทางในพื้นที่โครงการหลวงสะดวกและปลอดภัย
    • ลดอุปสรรคในการเดินทางเข้าไปปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และประชาชน
  2. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
    • สนับสนุนการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร เช่น ผัก, ผลไม้เมืองหนาว, ใบชา, และเมล็ดกาแฟ
    • ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
    • พัฒนาพื้นที่รอบ อุทยานแห่งชาติขุนแจ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยว
    • ยกระดับมาตรฐานเส้นทางให้เหมาะกับการเดินทางทุกฤดูกาล

เสียงสะท้อนจากกรมทางหลวงชนบท

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ห่างไกล ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน

บทสรุป

โครงการพัฒนาถนนสายแยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว ไม่เพียงแต่สนับสนุนงานของมูลนิธิโครงการหลวง แต่ยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติขุนแจ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกระทรวงคมนาคมที่ได้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนในพื้นที่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท (ทช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘สุดาวรรณ’ เยือนชุมชนปกาเกอะญอ จัดพื้นที่คุ้มครองวีถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

 
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยได้เดินทางไปติดตามการดำเนินงานตามแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง ณ ชุมชนปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดยเยี่ยมชมและร่วมหารือกับชุมชนถึงแนวคิดการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ของชุมชน เป็นต้นแบบให้กับชุมชน ชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่
 
ในโอกาสนี้ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเยี่ยมชมการบริหารจัดการพื้นที่ชุมชนว่า “รู้สึกยินดีมาก ที่ได้มาเห็นรูปธรรมความสำเร็จของชุมชนพี่น้องปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน ซึ่งเป็นชุมชนที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพราะได้เห็นถึงแนวทางการจัดการที่ดีของชุมชน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนชาติพันธุ์ที่สามารถพึ่งตนเองได้บนฐานทุนทางวัฒนธรรม ที่สำคัญ คือ การกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นแนวทางที่นอกจากจะทำให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ และเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาติพันธุ์ด้วยมิติวัฒนธรรม ทำให้ชุมชนมีความมั่นคงในชีวิต สามารถทำธุรกิจและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล จึงเห็นว่านี่เป็นรูปธรรมของการใช้พลังทางวัฒนธรรม หรือ Soft Power เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์”
 
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวด้วยว่า “รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีงาน มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ให้เป็นกฎหมายที่จะคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมศักยภาพของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในประเทศไทยอย่างเสมอภาคกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เชื่อว่าเมื่อกฎหมายนี้ประกาศใช้แล้วจะเป็นหลักประกันให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์มีความมั่นคงในชีวิต สามารถประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ดำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี มากไปกว่านั้น คือ เป็นประโยชน์กับประเทศที่เราจะได้โอบรับความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้เป็นทุนทางวัฒนธรรมของชาติ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วยทุนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ และทุนวัฒนธรรมที่หลากหลาย”
 
“ประโยชน์กับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในประเทศไทย และการที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนชุมชนพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลานใน ในวันนี้ นอกจากได้เห็นและให้กำลังใจพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้มาบอกกล่าวกับพี่น้องให้ได้ร่วมยินดีที่ในอีกเร็ววันนี้ที่เราจะมีกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทย” นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวปิดท้าย
 
บ้านห้วยหินลาดใน เป็นชุมชนปกาเกอะญอ ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ชาวบ้านห้วยหินลาดในอยู่ที่นี่มานานกว่า 150 ปี ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ นำร่อง 1 ใน 4 พื้นที่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง โดยชาวบ้านได้จัดทำข้อตกลงในการดูแลป่าชุมชนบนฐานวัฒนธรรมและข้อห้ามตามประเพณี ทำให้ชุนชนที่มีจำนวนชาวบ้านเพียงกว่าร้อยชีวิต สามารถรักษาผืนป่ากว่า 10,000 ไร่เอาไว้อย่างสมบูรณ์
 
นอกจากนี้ชุมชนยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยเฉพาะกาแฟ ชา และน้ำผึ้ง สร้างรายได้ให้กับชุมชนจำนวนมาก การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านห้วยหินลานในได้รับการยอมรับจากในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว เมื่อปี 2548 และได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบการจัดการทรัพยากรบนฐานวัฒนธรรมของชุมชนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมาอีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แล้วใครทำ! หลังชาว ‘ปกาเกอะญอ’ อ.เวียงป่าเป้า ถูกทำลายไร่หมุนเวียน

 

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 67 นายจรัสศรี จันทร์อ้าย สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ,นายศรุต ศรีจันทร์ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.),นายนิราภร จะพอ ตัวแทนชุมชนห้วยหินลาดใน และ นายถนัด จะสุ ตัวแทนชุมชนห้วยหินลาดนอก ซึ่งเป็นตัวแทนจากชุมชนห้วยหินลาดใน ห้วยหินลาดนอก และบ้านผาเยือง ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ประมาณ 20 คน เดินทางมารวมตัวที่บริเวณสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 จ.เชียงราย เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีมีชายแต่งชุดดำพร้อมอาวุธปืนเข้าไปบุกรุกและทำลายทรัพย์สินในพื้นที่ชุมชนและไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เมื่อ 4 มิ.ย.67 ที่ผ่านมา โดยมี นายธนชัย จิตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า มาพบตัวแทนและรับหนังสือ

 

นายธนชัย ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ชี้แจงว่า กรณีได้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นคำสั่งจากอธิบดีกรมป่าไม้ให้ตรวจสอบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าตามโครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าปี 2566 ทางสำนักจัดการที่ดินป่าไม้ สังกัดกรมป่าไม้ จึงได้ทำความร่วมมือกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงจากดาวเทียม หากเดิมเป็นพื้นที่ป่า ดาวเทียมจะจับจุดสัญญาณได้เป็นสีเขียว หากมีการแผ้วถาง จุดสัญญาณจะเป็นสีขาว ซึ่งข้อมูลดาวเทียมจังหวัดเชียงราย พบจุดพิกัดสีขาวถึง 1,800 จุด จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบในระดับพื้นที่ ซึ่งในการเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นไปตามการอนุญาตภายใต้มาตรา 19 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งกรณีชุมชนห้วยหินลาดใน ทางหน่วยงานมีความเช้าใจในวิถีเกษตรแบบไร่หมุนเวียนของชุมชนเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข้อขัดแย้งในการทำงานแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบสังกัดเข้าไปกระทำพฤติกรรมดังกล่าวในชุมชน ทางส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่าได้รับรายงานข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดเช่นเดียวกัน แต่จากการซักถามเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำ จึงเห็นว่าทางชุมชนอาจต้องไปแจ้งความเพื่อให้เกิดการสอบสวนจนได้ข้อยุติว่าใครคือผู้กระทำผิดจริง

 

โดยทาง ตัวแทนชุมชนห้วยหินลาดในและใกล้เคียง ต้องการเรียกร้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่โดยไม่แจ้งทางผู้ใหญ่บ้านและชุมชน ทำลายข้าวของในพื้นที่ทำกินของชุมชน และต้องการให้มีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน ซึ่งต้องเป็นการตรวจสอบที่มีสัดส่วนชองชุมชน ท้องที่ท้องถิ่น และหน่วยงานอย่างเท่า ๆ กัน ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบกันเองภายในหน่วยงาน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นในพื้นที่ทำกินเช่นนี้ และยังไม่ได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงอาจทำให้ชาวบ้านสงสัยและกังวลใจว่า หลังจากนี้หากชาวบ้านจะเข้าไปในไร่หรือพื้นที่ทำกินได้เช่นเดิมหรือไม่ ถ้ายังทำกินอยู่จะเกิดการบุกรุกและคุกคามเช่นนี้หรือไม่ จึงอยากให้ทางหน่วยงานชี้แจงและยืนยันว่าจะยังคงสามารถทำกินในพื้นที่ได้ดังเดิมที่ผ่านมาชาวบ้านในชุมชนต่างยินดีให้ความร่วมมือกับทางหน่วยงาน เมื่อทางหน่วยงานต้องการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ทางชุมชนก็อำนวยความสะดวกโดยตลอด แต่กลับพบการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับชุมชนอื่น ๆ อีก เพื่อให้ได้ผลการตรวจสอบและให้เกิดมาตรการป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต และให้แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนภายใน 7 วัน โดยให้มีสัดส่วนของชุมชนห้วยหินลาดในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในสัดส่วนที่เท่ากัน และต้องหามาตรการเยียวยาผลกระทบของชาวบ้านในพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่ถูกทำลายทรัพย์สิน รวมถึงเยียวยาผลกระทบต่อความมั่นคงทางจิตใจของชาวบ้าน และยืนยันว่าชาวบ้านจะยังสามารถทำกินอยู่ในพื้นที่ไร่หมุนเวียนทุกแปลงได้โดยเร่งด่วน

 

 

ซึ่งชาวบ้านตั้งข้อเกตว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยปกติจะมีการแจ้งทางผู้ใหญ่บ้านให้ทราบวัตถุประสงค์ในการเข้ามาในพื้นที่ เจ้าของแปลงทำกินก็จะสามารถพาไปลงพื้นที่แปลงทำกินของตนเพื่อยืนยันลักษณะการทำกินได้ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีการแจ้งให้ทราบแต่อย่างใด ทางชุมชนจึงไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงมีการกระทำเช่นนี้ในพื้นที่

 

 

ทางทีมข่าวนครเชียงนิวส์ ได้ทำการสัมภาษณ์และค้นหาข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางแหล่งข่าวได้แจ้งกับทีมข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่จำนวน 3 คน ที่แจ้งเตือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพป่าที่ป่า จึงเข้าไปตรวจสอบว่าพื้นที่ตรงนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากที่ดินทํากินเดิม หรือเป็นที่บุกเบิกใหม่ เพื่อจะมาปิดในระบบ และเพื่อเช็คว่ามีการบุกรุกจริงหรือไม่

 

ช่วงประมาณ 14.00 น. มีเจ้าหน้าที่ได้ไปถึงในพื้นที่ และมีการตรวจสอบถ่ายภาพตามจุดพิกัด โดยได้มีไปเจอชาวบ้าน และได้เข้าไปสอบถามชาวบ้านว่าทํากินในพื้นที่นี้นานหรือยัง พอใช้เวลาตรวจสอบสักพัก หลังจากนั้นก็มีการถอนกําลัง ระหว่างนั้นได้เกิดฝนตกเจ้าหน้าที่จึงได้มีการไปแวะพักที่ศาลาที่มีแทงค์น้ำตั้งอยู่ และ ระหว่างรอฝนหยุดตก ขากลับยางล้อรถของเจ้าหน้าที่รั่วจึงค่อยๆ ขับรถกลับกันมาจนถึงชุมชนในหมู่บ้าน และในเวลาประมาณเกือบ 17.00 น. ชาวบ้านจึงขอให้เจ้าหน้าที่เปิดเผยใบหน้าเนื่องจากตอนที่เจ้าหน้าที่ไปลงพื้นที่ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไป จึงมีการปิดบังใบหน้าบางส่วนด้วยหน้ากากไว้เพื่อกันแดดและฝนตามปกติ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาปะยางรถประมาณ 30 นาที ช่วงระยะเวลานั้นชาวบ้านก็เข้ามาสอบถามว่ามาทําอะไร ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการชี้แจงว่ามาตรวจสอบพื้นที่และปรึกษาเรื่องการขออนุญาตไฟฟ้า จากนั้นหลังเวลา 17.40 น. ได้ขี่รถออกมาจากหมู่บ้าน

 

และในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ปรากฏว่ามีกระแสข่าวในโลกโซเชียลออกมาต่อว่ามีชายชุดดำบุกทำลายไร่หมุนเวียน ซึ่งก็มีแต่เจ้าหน้าที่ ที่เข้าไปก็เลยอาจจะเข้าใจได้ว่า เป็นคนเข้าไปทําลายสิ่งของ และเข้าไปหารื้อถอนทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการสอบถามเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แล้วทุกคน ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้มีการเข้าไปทำลายทรัพย์สินอะไรทั้งสิ้น อย่างเช่น รอยฟันถังน้ำที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ระบุว่าตอนนที่ขึ้นไปมีแค่ปืนกระบอกเดียวที่เป็นอาวุธประจํากายที่ใช้ไปออกลาดตระเวน และเข้าไปทํางานตามปกติไม่ได้มีการไปข่มขู่หรือทําลายข้าวของ ส่วนจุดพิกัดที่ถูกถ่ายภาพมาว่ามีการไปทำลายทรัพย์สิน ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ทราบว่าอยู่จุดนี้คือจุดไหน แต่รู้จุดเดียวคือที่มีการขับผ่านศาลาที่มีกรวยห้อยตามศาลา แต่ไม่ได้มีการเข้าไปในพื้นที่ของชุมชนแต่อย่างใด

 

และจากการสอบถามทางผู้นําชุมชน เพื่อขอหลักฐานภาพถ่าย หรือพยานบุคคลเพื่อยืนยันว่ามีใครเห็นเจ้าหน้าที่ไปทำลายข้าวของหรือไม่ ซึ่งเพราะถ้ามีการกระทำดังนั้นจริง จะต้องมีเรื่องวินัยเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทางผู้นําชุมชนก็บอกว่าเห็นเจ้าหน้าป่าไม้เข้ามา และพอเจ้าหน้าที่ออกไปก็เห็นข้าวของเสียหาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า ถ้ามีใครไปแอบอ้างทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ไม่ทํา จะพิสูจน์ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเห็นเจ้าหน้าที่เป็นคนทำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำ ตามปกติแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว ตลอดเส้นทางที่เข้าไปก็มีการสอบถามทางกับทางชุมชน โดยได้เจอพระรูปหนึ่งจึงได้เข้าไปคุยว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบพื้นที่นะ ตอนเจอคนในชุมชนก็มีการแจ้งชื่อ ตอนเข้าไปในชุมชนก็มีชาวบ้านประมาณ 10 กว่าคนมาถามชื่อ ชาวบ้านบางคนก็ยังมาช่วยปะยางรถด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเป็นการเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ทำกินเดิม และหน่วยงานก็มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่น่าจะมีการดำเนินการอะไรทึ่ไม่สมควรอย่างที่กล่าวอ้าง

 

แต่ยอมรับว่าไม่มีการแจ้งเป็นหนังสือเข้าไป เพราะเป็นการเข้าไปในพื้นที่เดิม ตรวจสอบและไปปิดในระบบ ซึ่งเป็นการเข้าไปลาดตระเวน เผื่อเจอคนบุกรุก แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงคิดว่า พื้นที่เป็นพื้นที่เดิมและไม่น่าจะมีปัญหาในการเข้าไปตรวจสอบ และได้ยืนยันแล้วว่าไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว แต่หากชาวบ้านท่านใดมีข้อมูล พยาน หรือหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่เข้าไปทําลายทรัพย์สินสามารถส่งหลักฐานมาให้ทางหน่วยงานตรวจสอบได้เลย

 

สำหรับเหตุการณ์ชายแต่งชุดดำคล้ายเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.ค.67 ที่ผ่านมา มีชายแต่งชุดดำคล้ายเจ้าหน้าที่จำนวน 3 นาย มีผ้าปิดคลุมใบหน้า พร้อมอาวุธปืนยาว 1 กระบอก ได้ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเข้ามาในบริเวณชุมชน ซึ่งทางชุมชนเข้าใจว่าเป็นการเข้ามาลาดตระเวนที่ต้องใช้เส้นทางดังกล่าวเข้าออกเป็นปกติ จนกระทั่งชาวบ้านได้เข้าไปยังบริเวณไร่หมุนเวียนแปลงดังกล่าวแล้วพบว่า ทรัพย์สินในกระท่อมในไร่หมุนเวียนถูกรื้อทำลาย รวมทั้งถังเก็บน้ำสำรองที่ใช้ดับไฟป่าก็ถูกกรีดและถูกปล่อยน้ำออกจนหมด รวมไปถึงอุปกรณ์พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในไร่หมุนเวียนตามความเชื่อของชุมชนกะเหรี่ยง “จื่อ ลอ มวา ข่อ” ที่ใช้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติที่จะขอให้ฟ้าฝนช่วยให้การเพาะปลูกราบรื่นนั้นถูกรื้อทำลายกระจัดกระจาย

 

 

ทั้งนี้หมู่บ้านห้วยหินลาดในถือเป็นหมู่บ้านที่มีการอนุรักษ์ป่าไม้และวิถีชีวิตวัฒนธรรมปกาเกอะญออย่างเข้มแข็ง และหน่วยงานราชการหลายหน่วยได้มีการเข้ามาดูผลงานในหมู่บ้านดังกล่าว และชุมชน ผู้นำชุมชนหลายคนก็เคยได้รับรางวัลหลากหลายรางวัลที่การันตีถึงความยั่งยืนในพื้นที่ อาทิ

 

1.รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 1 ปี 2542 ประเภทชุมชน

2.“รางวัล 5 ปีแห่งความยั่งยืน” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นรางวัล “สิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน”) ในปี 2548

3.กลุ่มเยาวชนบ้านห้วยหินลาดใน ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 7 ในปี 2548

4.พะตีปรีชา ศิริ (อายุ 59 ปี) ได้รับรางวัล “วีรบุรุษ รักษาป่า” Forest Hero จากการประชุมของ องค์การสหประชาชาติ เรื่องป่าไม้ ที่กรุงอิสตันบูล ในปี 2556

5.ได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบ และศึกษาแลกเปลี่ยนชุมชนต้นแบบที่ประเทศมาเลเซีย ในปี 2566

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สร้างฝายดินซีเมนต์ ช่วย อ.เวียงป่าเป้า ป้องกันปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วม

 
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567 เวลา 15.00 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นางรัชนีกร วงษา ส.อบจ.เชียงราย อ.เวียงป่าเป้า เขต 1 ลงพื้นที่พบปะ และให้กำลังใจ นายมงคล ศรีธิ หัวหน้าฝ่ายสำรวจ บุคลากรสำนักช่าง อบจ.เชียงราย ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ที่อาสามาร่วมทำกิจกรรม สร้างฝายดินซีเมนต์ (ฝายแกนดินซีเมนต์) ณ ฝ่ายต้นน้ำดินซีเมนต์ บ้านลังกา ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า
 
 
โดยฝายดินซีเมนต์ (ฝายแกนดินซีเมนต์) เป็นฝายชะลอน้ำชั่วคราว แต่มีความแข็งแรง กักเก็บน้ำได้ดี ที่สำคัญใช้ต้นทุนต่ำ ก่อสร้างได้เร็ว จึงเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ป้องกันปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี ทางสำนักช่าง อบจ.เชียงราย จึงได้ร่วมมือกับ ชมรมช่างจังหวัดเชียงราย ได้จัดสร้างฝายดินซีเมนต์ (ฝายแกนดินซีเมนต์)เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ตามโครงการจิตอาสา พัฒนาชุมชน ของสำนักช่าง อบจ.เชียงราย ในวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2567 ณ บ้านลังกา ต. บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า และวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ พุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย
 
 
ตำบลบ้านโป่งเป็นตำบลหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเวียงป่าเป้าทางทิศใต้  ห่างจากที่ว่าการอำเภอเวียงป่าเป้า 4 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรือนอยู่เขตพื้นที่ราบ ตามแนวทางหลวงสายเชียงราย-เชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรมีจำนวน 2 หมู่บ้าน และลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของทางหลวงสาย เชียงราย-เชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร มีจำนวน 4 หมู่บ้านและตั้งบ้านเรือนอยู่บนพื้นที่สูงห่างจากที่ตั้งของตำบลไปทางทิศตะวันตกตามทางหลวงสายอำเภอเวียงป่าเป้า-อำเภอพร้าวประมาณ 25 กิโลเมตรจำนวน1 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านชาวเผ่ากะเหรี่ยงและลีซอ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ดันการแข่งกีฬาประชาชน ต.สันสลี เฟ้นหานักกีฬาท้องถิ่นสู่ระดับสากล

 

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 08.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เปิดการแข่งขันกีฬาประชาชนตำบลสันสลี ต้านยาเสพติด ประจำปี 2567 ณ สนามกีฬาโรงเรียนบ้านโป่งนก ต.บัวสลี อ.เวียงป่าเป้า โดยมี

นายวีระเดช โรจนคีรีสันติ นายก อบต.สันสลี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากร ร่วมต้อนรับและให้เกียรติในพิธีเปิดโครงการฯ ในครั้งนี้ด้วย
 
การจัดการแข่งขันกีฬาประชาชนตำบลสันสลีต้านภัยยาเสพติด ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชาชนในตำบล ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยการเล่นกีฬา และเสริมสร้างพลานามัยให้สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่บ้าน ได้ทำกิจกรรมกีฬาร่วมกันและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนในตำบลสันสลี 
 
 
โดยการจัดการแข่งขันกีฬาฯ มีหมู่บ้านในตำบลสันสลีเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 13 หมู่บ้าน มีการจัดการแข่งขันกีฬา และกีฬาพื้นบ้านให้ประชาชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งนี้ อบจ.เชียงราย มีนโยบาย”กีฬาเยาวชนเงินล้าน” ที่ตั้งใจจะส่งเสริมให้กีฬาเข้ามามีส่วนสำคัญกับเยาวชน สร้างโอกาสและสนับสนุนส่งเสริมให้เยาวชนมีพื้นที่สร้างสรรค์โดยใช้กีฬานานาชนิด ในการค้นหาสร้างเยาวชนช้างเผือกด้านกีฬาสู่สากลกีฬาประจำท้องถิ่น กีฬาคนพิการ รวมไปถึงส่งเสริมให้เยาวชนทั่วไปทำกิจกรรมเล่นกีฬาประเภทอื่นๆวางรากฐานเรื่องกีฬามาตั้งแต่ท้องถิ่น ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ มุ่งสู่การเป็นนักกีฬาระดับจังหวัดระดับภาค ระดับประเทศ ระดับสากล และนักกีฬาอาชีพต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อ.เวียงป่าเป้า สวยงาม สนุกสนาน อนุรักษ์วัฒนธรรมงานปีใหม่ลาหู่ ปี 2567

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 11.00 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ร่วมงานปีใหม่ลาหู่ ปี 2567 ณ บ้านแม่ปูนหลวง ม.8 ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า พร้อมด้วย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย นางรัชนีกร วงษา ส.อบจ.เชียงราย อ.เวียงป่าเป้า เขต 1 โดยมีนายสมเพชร วงษา อดีตกำนัน ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า นายกิตติพงษ์ วงษา นายก อบต.เวียง นายจะที จองจู๋ ผู้ใหญ่บ้านแม่ปูนหลวง นายภัทรพล จะก้วย สมาชิกสภาอบต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า ผู้นำชุมชนและ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง

ในการร่วมงานครั้งนี้นายก นก ได้กล่าวสวัสดีปีใหม่เป็นภาษาลาหู่ กล่าวอวยพรปีใหม่และชื่นชมถึงความรัก ความอบอุ่น ความสามัคคีและความสวยงามของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ทั้งนี้ยังได้ร่วมเต้นจะคึร่วมกับชาวลาหู่ด้วย ซึ่งการเฉลิมฉลองปีใหม่บ้านแม่ปูนหลวง ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า จะจัดไปจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 โดยการเฉลิมฉลองปีใหม่ ในภาษาลาหู่(มูเซอ) เรียกว่า ประเพณี เขาะเจ๊าเว ซึ่งแปลว่า “ปีใหม่การกินวอ” ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่บรรดาญาติมิตร ได้กลับมาร่วมงานกันที่บ้านอย่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลเมื่อทราบว่าทางหมู่บ้านตัวเองจะจัดงานดังกล่าวก็จะกลับมาร่วมกัน เทศกาลของลาหู่ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แตกต่างจากชนเผ่าอื่นๆ ซึ่งปีใหม่หรือการกินวอนี้ มีความสำคัญต่อชาวลาหู่อย่างยิ่ง เพราะเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเผ่าเสียเป็นส่วนมาก
 
 
จากข้อมูลของ ethnicity กล่าวว่า ลาหู่ เดิมตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบสูงทิเบต – ชิงไห่ มีเชื้อสายมาจากชาวโลโล ต่อมาคนไทใหญ่และจีนได้เข้าครอบครองพื้นที่ ชาวลาหู่จึงอพยพลงมาทางมณฑลยูนนานบริเวณแม่น้ำสาละวินกับแม่น้ำโขง จากนั้นอพยพเข้ามาในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. 2418 ด้วยเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศเมียนมา เมื่อเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทย ได้ตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และตาก คนกลุ่มนี้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยวิธีที่หลากหลาย ทั้งการใช้พิธีกรรมบำบัด การใช้สมุนไพร การใช้โภชนบำบัด การใช้ความร้อน กัวซาบำบัด เหรียญฝรั่งประคบ และการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

ตำรวจไซเบอร์ รวบ! ผู้ขายซิมม้าออนไลน์เวียงป่าเป้า

ตำรวจไซเบอร์ รวบ! ผู้ขายซิมม้าออนไลน์เวียงป่าเป้า

Facebook
Twitter
Email
Print
ตามที่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.4 ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ 15-31 พ.ค. 66 โดยมีเป้าหมายการระดมกวาดล้างเกี่ยวกับ การกระทำความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ได้แก่ เป็นธุระจัดหาโฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ หรือขาย เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ (เป็นคนกลางประกาศขายซิมการ์ดผี) ซึ่ง ตร.ได้กำชับให้ บช.สอท. เร่งรัดดำเนินการตาม พ.ร.ก.มาตรการฯโดยเฉพาะการกวดขันจับกุมผิดใดๆ เกี่ยวกับ บัญชีม้าและซิมม้า
 
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตรวจสอบพบ มีการโพสต์โฆษณา จำหน่ายซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนแล้ว ใน Facebook ในกลุ่มสาธารณะชื่อ “ซื้อขายซิม ไม่ลงทะเบียน และ ลงทะเบียน ทุกค่าย AIS DTAC TRUE” โดยโพสต์ดังกล่าวเป็นโพสต์สาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ผู้ใช้บัญชี Facebook ชื่อ “สุพัตรา มณีวงษ์” ได้โพสต์โฆษณาขายซิมการ์ดโดยมีข้อความว่า “ขายซิมดีแทคปกสุขใจ ลงทะเบียนไม่เปิดเบอร์ มี 175 ซิม ขายเหมาที่ซิมละ 39 พร้อมส่งฟรีค่ะ” โดยโพสต์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 66 เวลา 17.30 น.
 
ต่อมาวันที่ 20 พ.ค.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากสายลับว่าได้รับพัสดุ ซึ่งกล่องหีบห่อพัสดุอยู่ในสภาพปิดผนึกเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการเปีด งัดแงะ หรือฉีกขาด แต่อย่างใดโดยระบุชื่อผู้ส่งคือ นางสุพัตราฯ หมายเลขโทรศัพท์ 092-4656656 จึงนำมามอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นได้สอบพัสดุดังกล่าว พบว่าภายในกล่องบรรจุชิมการ์โทรศัพท์ระบบ DTAC จำนวน 20 ใบ ซึ่งลงทะเบียนแล้ว ตรงตามที่สายลับได้ทำการสั่งซื้อจากการตรวจสอบชิมการ์ด หมายเลขโทรศัพท์ 094-4175955 พบว่าได้มีการลงทะเบียนใช้งานบุคคลอื่นแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดชิมการ์ดที่ได้รับดังกล่าวไว้เป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 66 เวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้นำหมายค้นศาลแขวงเวียงป่า เพื่อตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งใน ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งเปิดเป็นร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและ อุปกรณ์ไอที ชื่อร้าน “ไอทีคอมพิวเตอร์” และเป็นที่พักอาศัยของผู้ต้องหานี้ด้วย เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ดังกล่าวพบ นางสุพัตรา มณีวงษ์ อายุ 43 ปี ชาว จ.เชียงราย แสดงตัวเป็นผู้ครอบครองบ้าน เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายค้นให้กับนางสุพัตราฯ ดูจนเป็นที่พอใจ แจ้งวัตถุประสงค์ให้ทราบ ยินยอมให้ทำการตรวจค้น และเป็นผู้นำเจ้าหน้าที่ตรวจค้นด้วยตนเอง ผลการตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด
 
จากการสอบถามนางสุพัตรา มณีวงษ์ฯ รับว่าตนได้ขายชิมการ์ดระบบ DTAC ที่ลงทะเบียนแล้ว ให้กับสายลับ (ไม่ประสงค์ออกนาม) จำนวน 20 ใบ ในราคา 900 บาท จริง เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 66 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกล่องพัสดุที่ได้รับจากสายลับและซิมการ์ดระบบ DTAC จำนวน 20 ใบ ที่บรรจุในกล่องดังกล่าว มาแสดงต่อหน้านางสุพัตราฯ สอบถามนางสุพัตราฯ ยอมรับว่ากล่องพัสดุดังกล่าวตนเป็นผู้ใช้บรรจุชิมการ์ดและที่สายลับสั่งซื้อส่งให้กับสายลับจริง และชิมการ์ดจำนวน 20 ใบดังกล่าว เป็นของตนซึ่งได้ขายให้กับสายลับจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นางสุพัตราฯ ทราบว่า “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดเพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 นางสุพัตราฯ ทราบและเข้าใจในข้อกล่าวหาเป็นอย่างดีแล้วให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวทา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จึงทำการเชิญตัวนางสุพัตราฯ มาที่ สภ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เพื่อจัดทำบันทึกร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อ พงส.สภ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
 
ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พ.ต.อ.สุขสันต์ เปาอินทร์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.4, ได้สั่งการ พ.ต.ท.อนุรักษ์ พรมเมือง รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.4 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. – CCIB

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News