Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด “ป๊ะกาด”! เปลี่ยนโฉมตลาด 100 ปี สู่แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย

ป๊ะกาด” ศิลปะบุกกาดหลวง เทศกาลที่จุดประกายชีวิตให้ตลาด 100 ปีแห่งเชียงราย

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ในใจกลางเมืองเชียงรายที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ตลาดกาดหลวง หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ “ตลาดเทศบาล 1” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เต้นไม่หยุดของชุมชนมานานกว่า 100 ปี ด้วยกลิ่นหอมของอาหารล้านนา เสียงเจรจาค้าขาย และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวเชียงรายอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคึกคักของกาดหลวงอาจลดลงตามยุคสมัย แต่ความทรงจำและเรื่องราวที่ฝังรากลึกยังคงรอวันถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นี้ เทศกาลศิลปะสุดสร้างสรรค์ “ป๊ะกาด” (Pagad) จะมาถึง เพื่อเปลี่ยนโฉมกาดหลวงให้กลายเป็นแกลเลอรีแห่งศิลปะร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเชื่อมโยง ด้วยแนวคิด “ศิลปะ กับ กาลเวลา” เทศกาลนี้จะนำเสนอผลงานศิลปะหลากหลายแขนงใน 16 จุดทั่วทั้งตลาด พร้อมเชิญชวนผู้คนจากทุกมุมให้มาร่วม “ป๊ะ” หรือพบปะกันที่ “กาด” เพื่อค้นหาความหมายของวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมกัน

จากกาดสู่แกลเลอรีการเดินทางของ “ป๊ะกาด”

คำว่า “ป๊ะกาด” มาจากภาษาเหนือที่แปลว่า “พบกันที่กาด” ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของงานนี้ที่มุ่งสร้างพื้นที่พบปะระหว่างศิลปะ ชุมชน และผู้มาเยือน เทศกาลนี้จัดโดย Everywhere Gallery กลุ่มศิลปะทางเลือกที่มุ่งมั่นนำศิลปะสู่ผู้คนในทุกพื้นที่ โดยในปีนี้ พวกเขาเลือกกาดหลวงเป็นผืนผ้าใบสำหรับการเล่าเรื่อง ด้วยการผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับบริบทของชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

เทศกาล “ป๊ะกาด” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Art Fair ที่ชั้น 1 ของตึกโรงรับจำนำร้างใกล้หอนาฬิกาเก่า ซึ่งจะจัดแสดงผลงานจากศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญ, Workshop ที่ชวนผู้คนในชุมชนมาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ, Group Show และ Art Exhibition ที่กระจายอยู่ใน 16 จุดแลนด์มาร์คทั่วกาดหลวง ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศิลปะ แต่ยังเป็นการสนทนาที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชุมชน

หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ #ป๊ะกาด Art Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จับคู่ศิลปินกับพื้นที่ในตลาด เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนเรื่องราวของกาดหลวง นอกจากนี้ยังมี กาด Talk เสวนาที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในชุมชนมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของตลาด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมองว่างานนี้เป็นการฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาให้กับกาดหลวง

กาดหลวงหัวใจที่เต้นไม่หยุดของเชียงราย

กาดหลวง หรือตลาดเทศบาล 1 ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมวิถีชีวิตที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงราย ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายหลักของชาวเชียงรายมาหลายชั่วอายุคน ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นกิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมานาน บางร้านยังคงรักษาวิธีการค้าขายแบบดั้งเดิมไว้ สถาปัตยกรรมของอาคารยังคงสภาพดั้งเดิม สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่ฝังรากลึกในชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของกาดหลวงว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรา การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

ด้วยการดำเนินงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กาดหลวงมีจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ตั้งแต่การค้าส่งผักผลไม้ในยามเช้าตรู่ ไปจนถึงร้านอาหารริมทางที่คึกคักในยามค่ำคืน ความหลากหลายนี้ทำให้กาดหลวงเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิด

ศิลปะจุดประกายอนาคต ผลกระทบของ “ป๊ะกาด”

เทศกาล “ป๊ะกาด” ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูและส่งเสริมกาดหลวงให้เป็นมากกว่าตลาดทั่วไป การนำศิลปะร่วมสมัยมาผสานกับพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ช่วยสร้างมุมมองใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจมองข้ามความสำคัญของตลาดดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของศิลปินท้องถิ่น 16 คนและการจัดแสดงใน 16 จุดทั่วตลาด ยังเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับชุมชน

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงานนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการยกระดับกาดหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งขึ้น การที่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะและการเสวนา ช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจในคุณค่าของมรดกท้องถิ่น นอกจากนี้ การจัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย เช่น ใกล้หอนาฬิกาเก่าและสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พญามังราย และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ทำให้ “ป๊ะกาด” มีโอกาสดึงดูดผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อัตลักษณ์ดั้งเดิมของกาดหลวงและการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ผ่านศิลปะร่วมสมัย การที่เทศกาลนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนเป็นสัญญาณที่ดี แต่การจะรักษาความยั่งยืนของงานในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สู่การค้นพบครั้งใหม่ที่กาดหลวง

“ป๊ะกาด” ไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอนาคตของกาดหลวงเชียงราย ผ่านผลงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวของชุมชน และกิจกรรมที่ชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ กาดหลวงจะไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ศิลปะและความทรงจำมาบรรจบกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์นี้ สามารถเดินทางมากาดหลวงได้อย่างง่ายดาย ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเชียงราย ใกล้ถนนธนาลัย อุตรกิจ ไตรรัตน์ และสุขสถิต พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น หอนาฬิกาเชียงราย และวัดร่องขุ่น ที่รอให้คุณมาค้นพบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). ข้อมูลเกี่ยวกับกาดหลวงเชียงรายและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น.
  • Everywhere Gallery. (2568). รายละเอียดเทศกาล “ป๊ะกาด” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง.
  • รายงานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2567.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย นำทัพ! สู่ตลาดมาตรฐานระดับชาติ หนุนเที่ยว สร้างงาน

เชียงรายยกระดับตลาดท้องถิ่น 4 แห่ง เข้ารอบประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐาน” ปี 2568 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 24 มิถุนายน 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมและยกระดับตลาดสดในพื้นที่ หลังได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงมหาดไทย ให้เข้าร่วมประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้นโยบายการพัฒนาตลาดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่ความเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชน เพิ่มมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม

ก้าวสำคัญ ตลาดดีมีมาตรฐาน สร้างงาน สร้างอาชีพ

โครงการ “ตลาดดีมีมาตรฐาน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งยกระดับตลาดท้องถิ่นทั่วประเทศให้เป็นตลาดที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน และอาหารพื้นถิ่นที่หลากหลาย ตอบโจทย์วิถีชีวิตของประชาชน และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล โดยเน้นการพัฒนาตลาดให้เป็นพื้นที่สร้างรายได้ สนับสนุนอาชีพและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย 4 ตลาดเด่น

ในปีงบประมาณ 2568 จังหวัดเชียงรายมีตลาดที่ผ่านเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายจำนวน 4 แห่ง ได้แก่

  1. ตลาดสดเทศบาล 2 ศิริกรณ์
  2. ตลาดสดเทศบาลตำบลบ้านดู่
  3. ตลาดประชารัฐตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  4. ตลาดสดเวียงชัย อำเภอเวียงชัย

การประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน ดำเนินการโดยคณะกรรมการระดับจังหวัด นำโดยนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด หอการค้าจังหวัดเชียงราย สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด อบจ.เชียงราย และท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย

ยกระดับมาตรฐานตลาด สุขาภิบาล สะอาด ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยว

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มอบหมายให้นางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย นางนงคราญ กันกา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านสุขอนามัย ความสะอาด ความปลอดภัย รวมถึงการคัดสรรและจัดระเบียบพื้นที่การขายสินค้าให้มีมาตรฐาน พร้อมส่งเสริมการจัดกิจกรรมตลาดนัดเชิงสร้างสรรค์ เพิ่มความมีชีวิตชีวาและตอบโจทย์การท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของการขับเคลื่อนตลาดดีมีมาตรฐานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเชื่อมโยงตลาดท้องถิ่นกับภาคการท่องเที่ยว สร้างความมั่นคงให้กับอาชีพค้าขายและการผลิตสินค้าเกษตรในท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และโอกาส

การเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายของ 4 ตลาดในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการตลาดของท้องถิ่นที่สามารถรักษามาตรฐานด้านความสะอาด สุขาภิบาล และการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดศักยภาพด้านเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยววิถีชุมชน นำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

การยกระดับตลาดในครั้งนี้ จะช่วยสร้าง “จุดขาย” ให้กับชุมชน เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ใหม่ กระจายโอกาสและสร้างความภาคภูมิใจแก่ประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • คณะกรรมการประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกเทศบาลฯ ปลุกพลัง Soft Power สร้างคุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาชุมชน สร้าง Soft Power จากฐานอัตลักษณ์วัฒนธรรม เปิดเส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชน Soft Power บนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดโดยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาเอนกประสงค์ราชเดชดำรง เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

โครงการยกระดับศักยภาพชุมชนผ่าน Soft Power บนรากวัฒนธรรม

โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย ด้วยการนำ “Soft Power” มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ผ่านการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ร้อยเรียงเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าด้วยกัน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เส้นทางท่องเที่ยว “หมาน มัก ม่วน” ถือเป็นนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวที่นำเสนออัตลักษณ์เฉพาะของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนรากเดชดำรง ชุมชนดอยทอง และชุมชนวัดพระแก้ว สะท้อนเรื่องราวรากเหง้า ความเชื่อ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมล้านนา ต่อยอดสู่การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนภายนอกได้สัมผัสความงดงามเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

เสวนา “หมาน มัก ม่วน” – สะท้อนพลังวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ภายในงานมีเวทีเสวนาหัวข้อ “หมาน มัก ม่วน” เส้นทาง Soft Power ชุมชน : จากรากเง้าวัฒนธรรมสู่คุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีตัวแทนชุมชนทั้ง 3 แห่ง รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย ร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนด้วยฐานวัฒนธรรม ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้

การเสวนานี้เปิดโอกาสให้แต่ละชุมชนได้นำเสนอแนวคิด “Soft Power” ที่แตกต่างกัน เช่น การส่งต่อภูมิปัญญาผ่านงานหัตถกรรมพื้นถิ่น กิจกรรมทางวัฒนธรรม งานประเพณีและอาหารท้องถิ่น โดยทุกกิจกรรมถูกบูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การขับเคลื่อน “หมาน มัก ม่วน” สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การจัดโครงการและกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเมืองเชียงรายในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวในการนำพลังวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ขับเคลื่อนเมือง เชื่อมโยงกับแนวคิด Soft Power ที่กำลังได้รับความสำคัญในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวย้ำถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างคุณค่าให้กับรากเหง้าวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยตั้งเป้าให้เส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” เป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่างของการพัฒนาท่องเที่ยวที่เกิดจากพลังชุมชนและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ก้าวต่อไปของเชียงรายในโลก Soft Power

ความสำเร็จของโครงการนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการนำ Soft Power มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้า หากสามารถบูรณาการภาคประชาชน ภาครัฐ และสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะสามารถต่อยอดโมเดลนี้สู่ชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ กลายเป็นตัวอย่างของเมืองที่เติบโตจากวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มฟล.สร้างเครือข่าย ชวนชุมชนเฝ้าระวังน้ำ-เกษตรอินทรีย์ ในเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงผนึกเทศบาลนครเชียงราย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ รับมือมลพิษแม่น้ำกก สู่การดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางวิกฤตปัญหามลพิษและโลหะหนักในแม่น้ำกก ที่ยังเป็นปมร้อนต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ภาคีภาครัฐและสถาบันการศึกษาชั้นนำในท้องถิ่นเดินหน้ารุกหนักสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นำโดยศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ที่ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำชุมชน (กรณีศึกษามลพิษแม่น้ำกก)” ณ ศูนย์การเรียนรู้เชียงรายเมืองอาหารปลอดภัย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568

สร้างองค์ความรู้-เสริมทักษะคนท้องถิ่น สู้ภัยมลพิษน้ำ

การอบรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “เกษตรปลอดภัยด้วยวิทยาศาสตร์พลเมือง” ที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคประชาสังคม มุ่งสร้างเครือข่ายประชาชนที่มีทักษะในการติดตาม ตรวจสอบ และจัดการปัญหามลพิษทางน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะประเด็นการปนเปื้อนของโลหะหนักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของประชาชนในเขตลุ่มน้ำกก

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก พ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วย รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มฟล. ที่กล่าวต้อนรับและเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์ของกิจกรรม วางกรอบการอบรมให้เน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

ลงลึก 5 หัวใจสำคัญ ฝึกทักษะเฝ้าระวัง-จัดการน้ำเสีย

เนื้อหาหลักสูตรแบ่งเป็น 5 ช่วงสำคัญ ได้แก่

  1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารพิษในน้ำ ให้ชุมชนเข้าใจถึงภัยเงียบที่แฝงมากับสายน้ำ
  2. ฝึกปฏิบัติเครื่องมือเฝ้าระวัง ชี้แนะการใช้ test kit และอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในท้องถิ่น
  3. การประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่าย ถ่ายทอดเทคโนโลยีภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การกรองสารพิษเบื้องต้น
  4. การเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ปนเปื้อน สอนแนวทางปรับวิธีการผลิต ลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
  5. การสร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังที่ยั่งยืน เสริมพลังให้ชุมชนร่วมกันติดตาม แจ้งเตือน และส่งต่อข้อมูลสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศแลกเปลี่ยนความรู้เชิงลึก

งานอบรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้จากคณาจารย์และนักวิจัยชั้นนำจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและสถาบันพันธมิตร อาทิ

  • ผศ.ดร.อภิสม อินทรลาวัณย์ สำนักวิชาการจัดการ บรรยายภาพรวมสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รศ.ดร.โกวิทย์ นามบุญมี สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ อธิบายผลกระทบของโลหะหนักต่อสุขภาพ
  • ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ให้แนวทางลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
  • ผศ.ดร.ธรากร มณีรัตน์ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์แนวทางปรับปรุงคุณภาพดินและน้ำสำหรับการปลูกพืชสมุนไพร
  • ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ จากทีมวิจัย BIOTEC/สวทช. เสนอแนวคิดเสริมศักยภาพของพืชสมุนไพรทนพิษ เช่น ฟ้าทะลายโจร

ตลอดทั้งวัน นอกจากการบรรยายแล้วยังมีการฝึกปฏิบัติจริง การทดลองใช้อุปกรณ์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงจากเกษตรกรและเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ ถือเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ร่วมที่ชูบทบาทของชุมชนเป็นศูนย์กลาง

ก้าวสำคัญสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก

ผลจากกิจกรรมอบรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มทักษะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย “นักวิทยาศาสตร์พลเมือง” ที่จะมีส่วนร่วมตรวจสอบ ติดตาม แจ้งเตือน และผลักดันให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดในอนาคต

การทำงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับเทศบาลนครเชียงราย และภาคีเครือข่ายท้องถิ่น เป็นตัวอย่างการสร้างพลังสังคมเพื่อแก้ไขวิกฤตน้ำและสุขภาวะชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งยังตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาพประชาชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักวิชาการจัดการ/สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกเทศมนตรีเชียงรายลงนาม เปิดประตูสู่โอกาสการศึกษาโลก

นายกเทศมนตรีนครเชียงรายลงนาม MOU กับมหาวิทยาลัยแบคซอก เกาหลีใต้ ยกระดับการศึกษานานาชาติ ผลักดันโอกาสใหม่แก่เยาวชนเชียงราย

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่การศึกษาก้าวไกลไร้พรมแดน การเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นไทยกับสถาบันการศึกษาระดับนานาชาติถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ แก่เยาวชนและประชาชนในภูมิภาค ล่าสุด เทศบาลนครเชียงรายนำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมพันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ มหาวิทยาลัยแบคซอก (Baekseok University) สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนายชัง จง ฮยอน อธิการบดีมหาวิทยาลัยแบคซอก และนายโช โบ ฮยอน จากโรงเรียนนานาชาติเชียงราย ร่วมลงนามในพิธี พร้อมข้าราชการ และผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลทั้ง 8 แห่ง ณ ห้องประชุมดาวน์ทาวน์ เทศบาลนครเชียงราย

สร้างพันธมิตรการศึกษานานาชาติ ผลักดันอนาคตเด็กเชียงราย

นายวันชัย จงสุทธานามณี เปิดเผยถึงความสำคัญของการลงนามในครั้งนี้ว่า “นี่คือโอกาสสำคัญที่จะสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมกับสถาบันการศึกษาระดับนานาชาติ เพื่อประโยชน์ของเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ และเชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ทั้งในด้านการเรียนรู้ ภาษา วัฒนธรรม และอาชีพที่สามารถดูแลครอบครัวได้”

ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นประตูให้เยาวชนเชียงรายได้เข้าถึงโอกาสใหม่ในการเรียนต่อและฝึกงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยแบคซอกซึ่งเป็นสถาบันเอกชนคริสเตียนชั้นนำของเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ในเมืองชอนัน จังหวัดชุงชองใต้ และมีนักศึกษากว่า 15,000 คน เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีที่หลากหลาย รองรับการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานยุคใหม่

มหาวิทยาลัยแบคซอก ย้ำพันธกิจแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม-ความรู้

นายชัง จง ฮยอน อธิการบดีมหาวิทยาลัยแบคซอก กล่าวในพิธีลงนามว่า “มหาวิทยาลัยแบคซอกมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางการศึกษากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ความร่วมมือกับเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ ผ่านการศึกษาและการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว”

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและบุคลากร, โครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานร่วมกัน, การแลกเปลี่ยนหลักสูตรหรือเทคโนโลยีทางการศึกษา ตลอดจนการพัฒนาภาษาต่างประเทศและเสริมสร้างทักษะสำคัญที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ให้แก่เยาวชนในท้องถิ่น

เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ สร้างเครือข่ายเยาวชนเชียงรายสู่เวทีโลก

ตลอดพิธีการ ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย และคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแบคซอก ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ต่อบทบาทของการศึกษาระหว่างประเทศ ว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของเยาวชนในจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านความรู้วิชาการ ทักษะอาชีพ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนจัดกิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้และเปิดเวทีให้เยาวชนและครูอาจารย์ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการศึกษาในท้องถิ่น

บทวิเคราะห์และผลลัพธ์ในระยะยาว

ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของเชียงรายในการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเยาวชนในภูมิภาคกับแรงงานโลก ทั้งยังช่วยปลูกฝังทัศนคติแบบเปิดกว้าง สนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเตรียมพร้อมสู่สังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับประชาชนในพื้นที่ นับเป็นโอกาสทองที่บุตรหลานจะได้รับประโยชน์จากโครงสร้างความร่วมมือที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านการศึกษา ภาษา วัฒนธรรม และอาชีพที่ก้าวไกลในยุคโลกาภิวัตน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแบคซอก (Baekseok University), สาธารณรัฐเกาหลี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายต้อนรับสปสช. พัฒนาสาธารณสุข

เทศบาลนครเชียงรายต้อนรับ สปสช. ศึกษาดูงานการพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น มุ่งสร้าง “เมืองแห่งความสุข” อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย เปิดบ้านต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำเสนอแนวทางการยกระดับระบบบริการสาธารณสุขแบบบูรณาการ ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มวัยบนฐานของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ พร้อมเดินหน้ายกระดับ “นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” อย่างเป็นรูปธรรม

ภายใต้การนำของ พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ให้การต้อนรับ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชระไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

เชียงรายเมืองน่าอยู่” เริ่มต้นจากชุมชนเข้มแข็ง

เทศบาลนครเชียงรายได้นำเสนอแนวคิด “เมืองสร้างคน คนสร้างเมือง” ซึ่งเป็นแกนหลักในการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องผ่านการบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน องค์กรเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการวางนโยบาย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขที่เป็นกลไกสำคัญของคุณภาพชีวิต

ความร่วมมือระดับชาติสู่พื้นที่จริง

การต้อนรับคณะจาก สปสช. ครั้งนี้ มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และประเมินความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสุขภาพของเทศบาลนครเชียงราย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองทุนสุขภาพระดับท้องถิ่น, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), รวมถึงหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่และสถาบันการศึกษาชั้นนำในภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเป็นเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ซึ่งมีบทบาทในการสนับสนุนองค์ความรู้ การวิจัย และการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพชุมชน

สามมิติสู่เมืองแห่งความสุข

การดำเนินการขับเคลื่อนเมืองแห่งความสุขของเทศบาลนครเชียงราย ถูกจัดวางภายใต้แนวคิด นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” ใน 3 มิติ ได้แก่

  1. สุขภาพดี – ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มคนพิการ และผู้มีรายได้น้อย
  2. สังคมดี – การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง
  3. สิ่งแวดล้อมดี – การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการขยะ การส่งเสริมพื้นที่สีเขียว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

กองทุนสุขภาพท้องถิ่น กลไกสำคัญของความยั่งยืน

เทศบาลนครเชียงรายได้เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่บริหารจัดการกองทุนสุขภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกองทุนสุขภาพ 3 รูปแบบสำคัญที่ดำเนินการแล้ว ดังนี้

  • กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น (กปท.): ทั่วประเทศมีการจัดตั้งแล้วกว่า 7,760 แห่ง
  • กองทุน LTC (Long Term Care): สำหรับการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จัดตั้งแล้ว 7,423 แห่ง
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด: มีการดำเนินงานแล้ว 72 แห่ง จากทั้งหมด 76 แห่งในประเทศไทย (ข้อมูล ณ เมษายน 2568)

ผลงานจริง ประชาชนสัมผัสได้

นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี กล่าวว่า “เทศบาลนครเชียงรายถือเป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่สามารถบูรณาการกองทุนจากหลายหน่วยงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีงบประมาณซ้ำซ้อน และมีระบบติดตามผลที่วัดได้จริง ส่งผลให้ประชาชนในทุกกลุ่มวัยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ทั้งด้านสุขภาพกาย ใจ และสังคม”

จากการรายงานผลลัพธ์ของการดำเนินงานในรอบปี 2567 พบว่า เทศบาลสามารถให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมกว่า 96% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เข้าถึงบริการเพิ่มขึ้นถึง 82% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเริ่มโครงการ

วิเคราะห์ผลกระทบของการดำเนินโครงการสุขภาพท้องถิ่น

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย
  • งบประมาณด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการซ้ำซ้อน
  • การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชน ทำให้เกิดนโยบายจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Policy)
  • สร้างความร่วมมือระยะยาวกับภาคการศึกษาและภาคประชาสังคม

ข้อท้าทาย

  • ความต่อเนื่องของโครงการยังขึ้นอยู่กับงบประมาณประจำปี
  • ความแตกต่างทางบริบทชุมชนอาจทำให้การดำเนินงานไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่
  • ความเข้าใจและทักษะของบุคลากรท้องถิ่นในการบริหารกองทุนยังต้องได้รับการพัฒนา

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูล สปสช. ณ เมษายน 2568 ประเทศไทยมี 7,760 กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น, 7,423 กองทุน LTC และ 72 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
  • เทศบาลนครเชียงรายมีประชากรประมาณ 71,000 คน โดยมีหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิจำนวน 12 แห่ง
  • ร้อยละ 96 ของประชากรในเขตเทศบาลเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพประจำปี
  • เทศบาลใช้จ่ายงบประมาณเฉลี่ยต่อหัวในการพัฒนาระบบสุขภาพ ประมาณ 256 บาท/คน/ปี โดยมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการบริหารแบบบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เทศบาลนครเชียงราย

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • รายงานติดตามผลโครงการกองทุนสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

งบ 646 ล้านบาท ของเทศนครเชียงราย โอกาสที่คุณกำหนดได้เอง

งบประมาณเทศบาลนครเชียงราย ปี 2568 มูลค่า 646 ล้านบาท โอกาสและความท้าทายในการพัฒนาท้องถิ่น

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งบประมาณท้องถิ่นคือหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงการพัฒนาเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีเทศบาลรวมกันถึง 574 แห่ง ประกอบด้วยเทศบาลนคร 6 แห่ง เทศบาลเมือง 31 แห่ง และเทศบาลตำบล 537 แห่ง ในจำนวนนี้ จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการท้องถิ่น โดยเทศบาลนครเชียงรายได้รับความสนใจอย่างมากจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มูลค่ารวม 646,624,800 บาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความท้าทายในการบริหารจัดการเมืองที่มีประชากร 77,911 คน บนพื้นที่ 60.85 ตารางกิโลเมตร การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนชาวเชียงรายจะมีส่วนกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองผ่านการเลือกผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน

ความสำคัญของงบประมาณท้องถิ่น

งบประมาณท้องถิ่นเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงการพัฒนาในระดับชุมชน โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเทศบาลทั้งสิ้น 73 แห่ง รองจากจังหวัดเชียงใหม่ที่มีถึง 121 แห่ง งบประมาณของเทศบาลนครเชียงรายในแต่ละปีมาจากสามแหล่งหลัก ได้แก่ (1) รายได้จากการจัดเก็บเอง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงเรือน และภาษีป้าย (2) งบประมาณจากการจัดสรรของรัฐบาล เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต และ (3) เงินอุดหนุนจากรัฐบาลทั้งในรูปแบบทั่วไปและเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนภารกิจและโครงการพัฒนาท้องถิ่น

ในปีงบประมาณ 2568 เทศบาลนครเชียงรายได้รับงบประมาณรวม 646,624,800 บาท ลดลงจากปี 2567 จำนวน 10,182,800 บาท ซึ่งได้รับงบประมาณรวม 656,807,600 บาท การลดลงของงบประมาณในครั้งนี้ส่งผลให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างครอบคลุม ประชากร 77,911 คนของเทศบาลนครเชียงราย ประกอบด้วยผู้หญิง 41,192 คน และผู้ชาย 36,719 คน มีความหลากหลายทั้งในด้านอายุ เพศ และความต้องการ การจัดสรรงบประมาณจึงต้องคำนึงถึงความครอบคลุมและความเท่าเทียม เพื่อให้ทุกกลุ่มในสังคมได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง

สถานะการคลังและการบริหารงบประมาณ

จากข้อมูลของฝ่ายแผนงานและงบประมาณ กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย สถานะการคลังในปีงบประมาณ 2567 (ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567) แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของเทศบาล ดังนี้

  • เงินฝากธนาคาร: 672,992,744.27 บาท
  • เงินสะสม: 44,641,036.42 บาท
  • เงินทุนสำรองเงินสะสม: 0.00 บาท
  • รายการกันเงินไว้แบบก่อหนี้ผูกพันและยังไม่ได้เบิกจ่าย: 4 โครงการ รวม 14,760,789.00 บาท
  • รายการกันเงินไว้โดยยังไม่ได้ก่อหนี้ผูกพัน: 18 โครงการ รวม 69,139,200.00 บาท
  • เงินกู้คงค้าง: 92,994,648.21 บาท

สถานะการคลังดังกล่าวสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินของเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งอย่างไรก็ตาม การที่มีเงินกู้คงค้างถึงเกือบ 93 ล้านบาท และงบประมาณที่ลดลงจากปีก่อนหน้า ทำให้การจัดสรรงบประมาณในปี 2568 ต้องเน้นความคุ้มค่าและการตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างตรงจุด

ในส่วนของการบริหารงบประมาณในปี 2566 เทศบาลนครเชียงรายมีรายรับจริงรวม 912,797,893.31 บาท แบ่งเป็น

  • หมวดภาษีอากร: 142,775,013.07 บาท
  • หมวดค่าธรรมเนียม ค่าปรับ และใบอนุญาต: 17,277,750.79 บาท
  • หมวดรายได้จากทรัพย์สิน: 10,048,864.81 บาท

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของเทศบาล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม การที่งบประมาณในปี 2568 ลดลงจากปีก่อนหน้า ทำให้ผู้บริหารต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดสรรงบประมาณปี 2568 ความท้าทายและโอกาส

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ของเทศบาลนครเชียงรายครอบคลุมหลากหลายแผนงานที่มุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิต ประกอบด้วย

  • แผนงานบริหารงานทั่วไป: มุ่งเน้นการบริหารจัดการภายในและการพัฒนาบุคลากร รวมถึงการจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนสำหรับนายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี และพนักงานเทศบาล
  • แผนงานการศึกษา: สนับสนุนการพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของเยาวชน
  • แผนงานสาธารณสุข: เสริมสร้างระบบสาธารณสุขและการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด รวมถึงการจัดซื้อวัสดุวิทยาศาสตร์และการแพทย์ในช่วงที่มีโรคระบาด
  • แผนงานสังคมสงเคราะห์: จัดสรรเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (95,845,200 บาท) และเบี้ยความพิการ (15,784,800 บาท) เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบำนาญ (1,470,000 บาท)
  • แผนงานโยธาและอุตสาหกรรม: รวมถึงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าเป็นเคเบิลใต้ดินตามสัญญาเลขที่ 2192/40/2565 และการบำรุงรักษาและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน
  • แผนงานการจัดการภัยพิบัติ: เตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมและไฟป่า ที่เกิดถี่ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ
  • แผนงานการท่องเที่ยว: ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยรถรางและรถโค้ช เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

นอกจากนี้ งบประมาณเฉพาะการสถานธนานุบาล ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของเทศบาล มีรายรับรวม 52,030,500 บาท และรายจ่ายที่ครอบคลุมการบริหารจัดการสถานธนานุบาล เช่น ค่าตอบแทนพนักงาน ค่าบำรุงรักษาทรัพย์สิน และเงินทดแทนท้องถิ่นร้อยละ 30 (7,200,000 บาท) การบริหารจัดการสถานธนานุบาลนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลในการให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ความท้าทายหลักของเทศบาลนครเชียงรายในปี 2568 คือการบริหารงบประมาณที่ลดลงให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในช่วงที่เมืองกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองในระยะต่อไป ผู้บริหารคนใหม่จะต้องเผชิญกับคำถามสำคัญ เช่น

  • จะจัดลำดับความสำคัญของโครงการพัฒนาอย่างไร เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งความต้องการเร่งด่วนและการพัฒนาในระยะยาว?
  • จะบริหารจัดการหนี้กู้ยืมที่คงค้างอยู่เกือบ 93 ล้านบาทอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต?
  • จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ท้องถิ่นอย่างไร เพื่อลดการพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐบาล?

วิสัยทัศน์และความคาดหวัง

งบประมาณครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการกำหนดทิศทางการใช้จ่ายของเทศบาล แต่ยังเป็นโอกาสที่ผู้บริหารท้องถิ่นจะแสดงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่กำลังจะมาถึงจึงไม่เพียงแต่เป็นการเลือกผู้นำ แต่ยังเป็นการเลือกวิสัยทัศน์และนโยบายที่จะกำหนดอนาคตของเมือง ผู้สมัครที่สามารถนำเสนอแผนการบริหารงบประมาณที่ชัดเจน โปร่งใส และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ จะมีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจคือการจัดสรรเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลในการดูแลกลุ่มเปราะบางในสังคม นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าเป็นเคเบิลใต้ดิน และการจัดการภัยพิบัติ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายให้กับประชาชนในระยะยาว โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยรถรางและรถโค้ช จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

การบริหารงบประมาณ 646 ล้านบาทในปี 2568 ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับนายกเทศมนตรีคนใหม่ โดยเฉพาะในบริบทที่งบประมาณลดลงและความคาดหวังของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการต่อยอดงบประมาณเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชน เช่น

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า และการจัดการน้ำท่วม จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับประชาชน
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น: การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับชุมชน
  • การดูแลกลุ่มเปราะบาง: การจัดสรรเงินเบี้ยยังชีพและการพัฒนาระบบสวัสดิการจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและผู้พิการ
  • การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ: การลงทุนในระบบเตือนภัยและการจัดการภัยพิบัติจะช่วยลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้น

โอกาสและบทบาทของผู้นำท้องถิ่น

การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ประชาชนชาวเชียงรายจะมีส่วนกำหนดอนาคตของเมือง ผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้ง งบประมาณ 646 ล้านบาทในปี 2568 เป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและพัฒนาเมืองให้ก้าวหน้า ผู้สมัครที่สามารถนำเสนอนโยบายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากกว่า

หนึ่งในโอกาสสำคัญของผู้บริหารคนใหม่คือการต่อยอดงบประมาณเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว เช่น การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง นอกจากนี้ การบริหารจัดการหนี้กู้ยืมที่คงค้างอยู่เกือบ 93 ล้านบาทจะเป็นบททดสอบความสามารถของผู้บริหารในการรักษาความสมดุลทางการคลัง

การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่ประชาชนชาวเชียงรายจะแสดงพลังในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมือง สิทธิและอำนาจในการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ประชาชนสามารถใช้เพื่อเลือกผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มในสังคม การเลือกผู้นำที่มีความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบจะช่วยให้งบประมาณ 646 ล้านบาทถูกใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของบริบทงบประมาณท้องถิ่นในภาคเหนือและจังหวัดเชียงราย ต่อไปนี้คือสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนเทศบาลในภาคเหนือ: 574 แห่ง (เทศบาลนคร 6 แห่ง, เทศบาลเมือง 31 แห่ง, เทศบาลตำบล 537 แห่ง)
    ที่มา: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2567
  • จังหวัดที่มีเทศบาลมากที่สุดในภาคเหนือ: เชียงใหม่ (121 แห่ง), เชียงราย (73 แห่ง), ลำปาง (43 แห่ง)
    ที่มา: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2567
  • งบประมาณเทศบาลนครเชียงราย ปี 2568: 646,624,800 บาท (ลดลง 10,182,800 บาท จากปี 2567)
    ที่มา: ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย, 2567
  • รายรับจริงของเทศบาลนครเชียงราย ปี 2566: 912,797,893.31 บาท (ภาษีอากร 142,775,013.07 บาท, ค่าธรรมเนียม 17,277,750.79 บาท, รายได้จากทรัพย์สิน 10,048,864.81 บาท)
    ที่มา: ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย, 2567
  • ประชากรเทศบาลนครเชียงราย: 77,911 คน (ชาย 36,719 คน, หญิง 41,192 คน)
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • เงินกู้คงค้างของเทศบาลนครเชียงราย: 92,994,648.21 บาท (ณ 31 กรกฎาคม 2567)
    ที่มา: ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย, 2567
  • งบประมาณสถานธนานุบาล ปี 2568: รายรับ 52,030,500 บาท, รายจ่ายรวมค่าบำรุงรักษาและเงินทดแทนท้องถิ่น 7,200,000 บาท
    ที่มา: รายงานรายละเอียดประมาณการรายรับ-รายจ่ายสถานธนานุบาล, เทศบาลนครเชียงราย, 2567

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดเชียงราย และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างยั่งยืน การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนชาวเชียงรายจะมีส่วนกำหนดอนาคตของเมืองผ่านการเลือกผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มในสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเลือกตั้งคึกคัก 2 ทีมใหญ่ชิงนายกเทศมนตรี

สนามเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงรายคึกคัก! เปิดรับสมัครวันแรกสองทีมใหญ่ลงชิงชัย

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – บรรยากาศที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงรายเต็มไปด้วยความคึกคัก ในวันแรกของการเปิดรับสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) ทั้ง 4 เขต รวม 24 คน โดยมีผู้สมัครเดินทางมาเตรียมพร้อมรอสมัครตั้งแต่เช้าก่อนเวลาเปิดรับสมัครในเวลา 08.30 น.

สองทีมใหญ่เปิดศึกชิงตำแหน่ง

การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีสองทีมหลักที่ประกาศลงสมัครแข่งขัน ได้แก่ ทีมของ นายวันชัย จงสุทธานามณี อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ ทีมของ พรรคประชาชน นำโดย นายศราวุธ สุตะวงค์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งต่างก็ประกาศเจตนารมณ์ในการพัฒนาเชียงรายอย่างเต็มที่

การจับสลากหมายเลขสมัคร

เมื่อถึงเวลาเปิดรับสมัคร ทั้งสองทีมไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องหมายเลขสมัคร ทำให้ พ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ต้องให้มีการจับสลากเพื่อกำหนดหมายเลขสมัคร ผลการจับสลากปรากฏว่า

  • นายศราวุธ สุตะวงค์ จากพรรคประชาชน จับได้ หมายเลข 1 ท่ามกลางเสียงเฮจากกองเชียร์ที่มาร่วมให้กำลังใจ
  • นายวันชัย จงสุทธานามณี ได้รับ หมายเลข 2 พร้อมทีมสมาชิกสภาเทศบาลที่ได้รับหมายเลข 7-12
  • ขณะที่ ทีมของพรรคประชาชน ทีมสมาชิกสภาเทศบาลได้รับหมายเลข 1-6 ตามลำดับ

นโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร

นายวันชัย จงสุทธานามณี ระบุว่า เขามุ่งเน้นการสานต่อโครงการพัฒนาเมืองเชียงรายที่ได้ริเริ่มไว้ในช่วงดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้เสริมให้กับประชาชน เพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นจุดเด่นของจังหวัดเชียงราย

นายศราวุธ สุตะวงค์ จากพรรคประชาชน ชูนโยบาย “4 เสาหลัก” ในการพัฒนาเชียงราย ประกอบด้วย:

  1. เศรษฐกิจดี – ส่งเสริมการค้าขายให้มีความต่อเนื่องตลอดทั้งปี
  2. เชียงรายปลอดภัย – สร้างความมั่นคงในด้านชีวิต ความเป็นอยู่ และการลงทุน
  3. สุขภาวะที่ดี – ประชาชนทุกกลุ่มวัยสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ
  4. เชียงรายเมืองเดินได้ – ปรับปรุงโครงสร้างเมืองให้เอื้อต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว

บรรยากาศการเลือกตั้ง

กองเชียร์ของทั้งสองทีมต่างส่งเสียงเชียร์ มอบพวงมาลัยและดอกกุหลาบแดงให้กำลังใจผู้สมัครของตนอย่างคึกคัก ขณะที่เจ้าหน้าที่เทศบาลนครเชียงรายได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้สมัครและประชาชนที่เดินทางมาร่วมให้กำลังใจอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

จากการสำรวจข้อมูลการเลือกตั้งท้องถิ่นในประเทศไทย พบว่าในช่วงปี 2565-2567 มีอัตราการใช้สิทธิ์เลือกตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65-70% โดยเฉพาะการเลือกตั้งในเขตเมืองที่มีการแข่งขันสูงมักมีผู้มาใช้สิทธิ์มากขึ้น การเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ คาดการณ์ว่าประชาชนจะออกมาใช้สิทธิ์อย่างคึกคัก เนื่องจากมีผู้สมัครที่มีชื่อเสียงและมีฐานเสียงสนับสนุนอย่างแข็งแกร่ง

ทัศนคติและความคิดเห็นที่แตกต่าง

  • ฝ่ายสนับสนุนทีมวันชัย จงสุทธานามณี เชื่อว่าการมีผู้นำที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารเมืองจะสามารถสานต่อโครงการที่มีอยู่และพัฒนาเมืองเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
  • ฝ่ายสนับสนุนทีมศราวุธ สุตะวงค์ มองว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำและแนวทางการบริหารใหม่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่หลากหลายและสามารถแก้ไขปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประชาชนในการเลือกผู้นำที่มีความสามารถ และพร้อมที่จะทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของชุมชน การเลือกตั้งในครั้งนี้จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2568 ขอเชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเพื่อกำหนดอนาคตของเมืองเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
  • สำนักงานเทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นและสำนักข่าวหลัก
  • ข้อมูลการสำรวจจากศูนย์วิจัยการเลือกตั้งแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กันน้ำท่วม” เชียงรายสำรวจ ขุดลอกแม่น้ำกกรับฝน

จังหวัดเชียงรายตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัยในฤดูฝน

เชียงราย,26 มีนาคม 2568 – ที่จุดลงเรือท่าเรือเชียงราย เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกก เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนนี้

การสำรวจครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น นายกเทศมนตรีนครเชียงราย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย

แนวทางการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัย

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการสำรวจสภาพปัจจุบันของลำน้ำกกในเชิงลึก รวมถึงการตรวจสอบแนวป้องกันตลิ่งและสภาพการตื้นเขินของแม่น้ำ การขุดลอกแม่น้ำกกเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทัพบกและกรมชลประทาน ที่เพียงพอในการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึง

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงการกำจัดซากต้นไม้ที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำน้ำ ซึ่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) จะสนับสนุนเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมาและการป้องกันในอนาคต

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอแม่สาย ดังนั้น การขุดลอกแม่น้ำกกจะช่วยลดปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำ เพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า โครงการขุดลอกแม่น้ำกกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอุทกภัย แต่ยังเสริมศักยภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำ และกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายโดยรวม

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายผู้บริหารและหน่วยงานรัฐ : มองว่าการขุดลอกแม่น้ำกกเป็นมาตรการเชิงรุกที่จำเป็นต่อการป้องกันอุทกภัย พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ : หลายฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงต้องการให้มีการติดตามผลและประเมินความสำเร็จของโครงการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเดือนกันยายน 2567: กว่า 15 ตำบล ในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย (แหล่งข้อมูล: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • ความยาวของแม่น้ำกกที่มีการวางแผนขุดลอก: 12 กิโลเมตร (แหล่งข้อมูล: กรมเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE