Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘บุญส่ง’ เตือนเชียงรายสั่งเฝ้าระวัง ภัยสารพิษอันตราย ‘แม่น้ำกก’

อำเภอเมืองเชียงรายออกหนังสือเร่งด่วนเตือนประชาชนริมแม่น้ำกก หลังพบสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

เชียงราย, 5 เมษายน 2568 – นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ได้ออกหนังสือเร่งด่วนระดับ “ด่วนที่สุด” ที่ ชร 0118.3/63 ลงวันที่ 5 เมษายน 2568 ถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน และผู้ใหญ่บ้านในเขตพื้นที่ติดแม่น้ำกก เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้ระวังการใช้น้ำจากแม่น้ำกก หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักจำพวกสารหนู (Arsenic) และสารตะกั่ว (Lead) เกินค่ามาตรฐานน้ำผิวดิน จากผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำกก

ที่มาของปัญหาและการตรวจสอบ

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากรายงานเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าแม่น้ำกกในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีสีขุ่นผิดปกติและมีตะกอนดินปนเปื้อนจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ประสานงานกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เพื่อลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดิน และดำเนินการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน รวมถึงการตรวจวัดโลหะหนักและสารพิษ เช่น สารไซยาไนด์

ตัวอย่างน้ำผิวดินที่เก็บได้ถูกส่งไปยังกรมควบคุมมลพิษเพื่อวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ซึ่งได้รับการแจ้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ระบุว่า น้ำในแม่น้ำกกบริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย มีการปนเปื้อนของสารหนูและสารตะกั่วในระดับที่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดสำหรับน้ำผิวดิน โดยค่ามาตรฐานของสารหนูอยู่ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) และสารตะกั่วอยู่ที่ 0.05 mg/L แต่ผลการตรวจพบระดับที่สูงกว่านี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมหากมีการสัมผัสหรือบริโภคโดยตรง

หนังสือแจ้งเตือนและแนวทางปฏิบัติ

จากผลการตรวจสอบดังกล่าว นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ได้ออกหนังสือเร่งด่วนถึงหน่วยงานท้องถิ่นในเขตอำเภอเมืองเชียงรายที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำกก เพื่อให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่โดยทันที ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เสียงตามสาย หอกระจายข่าว หรือสื่อออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงสถานการณ์และปฏิบัติตามแนวทางป้องกันภัยจากน้ำปนเปื้อน ดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง
    • ขอให้งดการสัมผัสน้ำหรือประกอบกิจกรรมทางน้ำในช่วงฤดูร้อน เช่น การเล่นน้ำหรือการจับสัตว์น้ำ
    • หากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ ขอให้ล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดทันทีหลังสัมผัส และระวังไม่ให้น้ำเข้าสู่ร่างกายผ่านทางอาหารหรือการดื่ม
  2. กลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด
    • ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้รุนแรง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกโดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือผลกระทบต่อสุขภาพ
  3. น้ำประปายังปลอดภัยต่อการใช้งาน
    • ผู้ใช้น้ำประปาในเขตอำเภอเมืองเชียงรายสามารถวางใจได้ เนื่องจากการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายได้ยืนยันว่า กระบวนการผลิตน้ำประปามีระบบบำบัดที่ได้มาตรฐานตามองค์การอนามัยโลก (WHO) และมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำประปายังคงปลอดภัยสำหรับการอุปโภคและบริโภค
  4. การเฝ้าระวังอาการผิดปกติ
    • หากประชาชนมีการบริโภคหรือสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง และเกิดอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อาการทางประสาทและกล้ามเนื้อ (เช่น ชักหรือสั่น) นอนไม่หลับ หรือท้องเสีย ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

นายอำเภอเมืองเชียงรายเน้นย้ำว่า การแจ้งเตือนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และขอให้หน่วยงานท้องถิ่นดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง โดยระบุในหนังสือว่า “จึงเรียนมาเพื่อทราบและพิจารณาดำเนินการ”

ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากสารปนเปื้อน

สารหนูและสารตะกั่วเป็นโลหะหนักที่มีพิษรุนแรงต่อร่างกาย หากสัมผัสในระยะสั้นอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผื่นคัน หรือท้องเสีย แต่หากสะสมในร่างกายเป็นเวลานานอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด หรือมะเร็งตับ ในกรณีของสารหนู และอาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือชัก ในกรณีของสารตะกั่ว ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) การบริโภคสารหนูในปริมาณ 100 มิลลิกรัมอาจถึงแก่ชีวิตได้ ขณะที่ตะกั่วในระดับสูงอาจทำให้เสียชีวิตจากพิษเฉียบพลัน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายได้ประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ โดยขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกับการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกในเขตอำเภอเมืองเชียงราย แต่ได้ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

สาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง

การปนเปื้อนของสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำกกอาจมีสาเหตุจากกิจกรรมเหมืองแร่ในเขตเมืองสาด รัฐฉานใต้ ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกก สารหนูเป็น “เพื่อนแร่” (Associated Mineral) ที่มักพบร่วมกับแร่ทองคำตามธรรมชาติ และการทำเหมืองทองคำหากไม่มีการจัดการน้ำเสียอย่างเหมาะสม อาจปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งน้ำได้ รายงานจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) สันนิษฐานว่า การขุดเหมืองและการปล่อยตะกอนดินจากฝั่งเมียนมาอาจเป็นต้นตอของปัญหานี้ ซึ่งสอดคล้องกับการที่น้ำในแม่น้ำกกมีสีขุ่นผิดปกติในช่วงฤดูแล้ง

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายได้ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งคาดว่าจะได้รับภายใน 1-2 สัปดาห์ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการแก้ไขเพิ่มเติม ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปา เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารพิษปนเปื้อนในระบบ

นอกจากนี้ อำเภอเมืองเชียงรายได้กำชับให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ติดตามสถานการณ์ในชุมชน และรายงานหากพบปัญหาสุขภาพหรือสิ่งผิดปกติจากประชาชน เพื่อให้หน่วยงานสาธารณสุขสามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันท่วงที

ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำสำคัญของประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองเชียงรายที่มีชุมชนตั้งอยู่ริมน้ำจำนวนมาก ประชาชนใช้แม่น้ำนี้เพื่อการเกษตร การประมง และบางส่วนใช้อุปโภคในครัวเรือน การปนเปื้อนของสารพิษอาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกในการชลประทาน หากน้ำไม่สามารถใช้งานได้ อาจเพิ่มต้นทุนในการหาแหล่งน้ำทดแทน

ด้านสิ่งแวดล้อม สารหนูและตะกั่วที่ปนเปื้อนในน้ำอาจสะสมในห่วงโซ่อาหาร เช่น ปลาและสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของชุมชน ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวหากมีการบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำกกในช่วงนี้

แนวทางแก้ไขและความท้าทาย

การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำกกมีความท้าทาย เนื่องจากต้นตออาจอยู่ในเขตประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของหน่วยงานไทย การเจรจาระหว่างประเทศจึงเป็นแนวทางระยะยาวที่จำเป็น เพื่อให้มีการจัดการมลพิษจากเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมาอย่างเหมาะสม ส่วนในระยะสั้น หน่วยงานไทยมุ่งเน้นการแจ้งเตือนและป้องกันผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงการตรวจสอบระบบน้ำประปาและแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่

นายบุญส่ง ตินารี กล่าวว่า “เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อปกป้องประชาชน แต่การแก้ปัญหาที่ต้นตอต้องอาศัยความร่วมมือระดับนานาชาติ ซึ่งอาจใช้เวลา ระหว่างนี้เราจะดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำไทย: กรมทรัพยากรน้ำบาดาลระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) พบแหล่งน้ำบาดาลในภาคเหนือปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน 12 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติและมลพิษจากมนุษย์ (ที่มา: รายงานคุณภาพน้ำบาดาล, 2567)
  2. มลพิษในแม่น้ำสายหลักของไทย: กรมควบคุมมลพิษรายงานว่า ในปี 2567 แม่น้ำสายหลักในประเทศไทย 22 สาย มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม 8 สาย โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการปนเปื้อนโลหะหนัก (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  3. ผลกระทบต่อสุขภาพจากสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ทั่วโลกมีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำดื่มปนเปื้อนสารหนูมากกว่า 140 ล้านคน โดยในเอเชียพบมากที่สุด (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • อำเภอเมืองเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • องค์การอนามัยโลก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เตือนภัยไว ส่งตรงมือถือ True

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เต็มรูปแบบ ย้ำประสิทธิภาพสูง หวังยกระดับระบบเตือนภัยไทยเทียบมาตรฐานโลก

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งเดินหน้าระบบ Cell Broadcast ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่ายหลัก

กรุงเทพมหานคร – วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง และผู้แทนจาก กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยด้วย Cell Broadcast (CBS) ผ่านเครือข่าย True อย่างเป็นทางการ

การทดสอบดังกล่าวเป็นการจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ต้องการความเร่งด่วนในการแจ้งเตือนประชาชนให้ได้รับข้อมูลโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการทดสอบ พบว่า CBS สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ได้อย่างทันที ทั้งระบบ iOS และ Android โดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

Cell Broadcast คืออะไร ทำไมจึงสำคัญยิ่งในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

Cell Broadcast คือระบบส่งข้อความเตือนภัยแบบกระจายสัญญาณผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมายพร้อมกันในทันที ข้อดีสำคัญ ได้แก่:

  • แจ้งเตือนแม้โทรศัพท์อยู่ในโหมดเงียบ
  • ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน
  • ส่งข้อความได้พร้อมกันแบบไม่จำกัดจำนวน
  • เจาะจงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำ

ซึ่งระบบนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ พายุ หรือแม้แต่การก่อการร้าย

ความร่วมมือ 3 ค่ายมือถือใหญ่ ผลักดันระบบ CBS ให้ครอบคลุม

หลังการประชุมร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ราย ได้แก่ AIS, True, และ NT ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบ CBS ให้สามารถใช้งานได้จริงในระดับประเทศ โดยขณะนี้ ทุกค่ายได้ติดตั้งระบบ CBC (Cell Broadcast Center) แล้วเสร็จ เหลือเพียงหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ CBE (Cell Broadcast Entity) ซึ่ง ปภ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบขั้นสุดท้าย

ผลการทดสอบล่าสุด ยืนยันระบบพร้อมใช้งานจริง

นายภาสกร ระบุว่า การทดสอบในวันนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ CBS อย่างชัดเจน และถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยที่ทั่วโลกยอมรับมาใช้ ซึ่งหากระบบสามารถดำเนินการครบทั้ง CBC และ CBE ได้อย่างสมบูรณ์ ไทยจะสามารถเปิดใช้งาน CBS ทั่วประเทศได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ ปภ. ยังวางแผนจัดทำ แนวปฏิบัติ (SOP) สำหรับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัย และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพเมื่อเกิดเหตุจริง

SMS vs Cell Broadcast ทำไมไทยต้องเปลี่ยน?

แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้ SMS เป็นหลักในการแจ้งเตือนภัย แต่ SMS มีข้อจำกัดชัดเจนหลายประการ เช่น:

  • ส่งได้ช้า เพราะต้องส่งทีละหมายเลข
  • มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการส่งพร้อมกัน
  • ไม่มีเสียงเตือนพิเศษ
  • ต้องอาศัยฐานข้อมูลผู้ใช้งาน

ในขณะที่ CBS สามารถทำงานได้ทันทีในระดับ “Broadcast” ทำให้ผู้ใช้ในพื้นที่เสี่ยงได้รับการแจ้งเตือนพร้อมกันแบบเรียลไทม์

ตัวอย่างต่างประเทศ ญี่ปุ่น-สหภาพยุโรป ประสบความสำเร็จจาก CBS

  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ J-Alert ซึ่งส่งข้อความผ่าน CBS ไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่ภัยพิบัติ พร้อมเสียงเตือนพิเศษ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2550
  • เนเธอร์แลนด์ ใช้ระบบ NL-Alert สำหรับแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลัน
  • ฝรั่งเศส ใช้ระบบ FR-Alert แจ้งเตือนการก่อการร้ายหรือภัยสาธารณะ

ทุกประเทศระบุว่า CBS ช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของประชาชนได้อย่างชัดเจน

ทัศนคติจากสองมุมมอง เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์หรือยังไม่ครอบคลุม?

ฝ่ายสนับสนุน CBS เห็นว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ ใช้งานง่าย ไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชัน และสามารถแจ้งเตือนแบบเจาะจงพื้นที่ ช่วยลดความสูญเสียได้จริง และเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบเตือนภัยของไทยได้อย่างพลิกโฉม

ขณะที่ฝ่ายกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ CBS จะดีเยี่ยม แต่ยังมีช่องว่าง เช่น ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เด็ก ผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่ชำนาญเทคโนโลยี อาจไม่ได้รับแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที จึงเสนอให้รัฐผสาน CBS กับระบบแจ้งเตือนแบบเดิม เช่น วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือทีวี เพื่อความครอบคลุมสูงสุด

ทางออก “Multi-Channel Alert System” ผสานหลายช่องทางสู่ระบบเตือนภัยแบบยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญจาก United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) แนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรใช้ ระบบแจ้งเตือนหลายช่องทาง (Multi-Channel Alert System) เพื่อครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม เช่น:

  • Cell Broadcast สำหรับมือถือ
  • ลำโพงประกาศสาธารณะในชุมชน
  • SMS สำหรับสำรองข้อมูล
  • วิทยุชุมชนและโทรทัศน์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 92 ของประชากรไทย มีโทรศัพท์มือถือ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • ประเทศที่ใช้งาน Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ: ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ (ที่มา: UNDRR, 2567)
  • ไทยมีแผนเปิดใช้งาน Cell Broadcast ทั่วประเทศภายใน ไตรมาส 3 ปี 2568 (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
  • เหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน มีเฉลี่ยปีละ 2–3 ครั้ง (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • กสทช.
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • UNDRR
  • ITU
  • Japan Meteorological Agency
  • European Commission
  • Dutch Government
  • Cabinet Office of Japan
  • สำนักสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ติดตามช่วยเหลือเชียงราย สั่งเฝ้าระวังอากาศหนาว

นายกฯ สั่งติดตามช่วยเหลือเชียงราย-แม่สาย พร้อมแจ้งเตือนสภาพอากาศแปรปรวน

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานส่วนราชการในพื้นที่เชียงรายและแม่สายยังคงตรวจสอบความต้องการช่วยเหลือของประชาชน แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายลงแล้ว โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและติดตามกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือครอบครัวที่ยังคงต้องการการฟื้นฟูในพื้นที่

ล่าสุด ศปช. ได้รับรายงานจาก นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่า สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พมจ.เชียงราย) ได้รับการร้องขอจากมูลนิธิกระจกเงาในการเข้าไปช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านของนางจันทร์แสง หมื่นยอง อายุ 64 ปี ในชุมชนเกาะทราย อำเภอแม่สาย ซึ่งบ้านได้รับความเสียหายบางส่วนจากอุทกภัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะส่วนของประตู หน้าต่าง ห้องครัว และห้องน้ำที่เสียหายอย่างหนัก ขณะนี้ พมจ.เชียงราย และเทศบาลตำบลแม่สายกำลังดำเนินการซ่อมแซมเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้พักอาศัย

กรมอุตุฯ แจ้งเตือนอากาศหนาวและฝนตกหนักในหลายพื้นที่

กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนถึงสภาพอากาศแปรปรวนในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยอุณหภูมิในพื้นที่ดังกล่าวจะลดลงอีก 2–4 องศาเซลเซียส ในขณะที่บริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวเย็นลง สำหรับภาคกลาง กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน อุณหภูมิจะลดลง 1–3 องศาเซลเซียส และในภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ ระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2567 โดยจังหวัดที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง และพังงา

คำแนะนำในการป้องกันสุขภาพและภัยอันตรายจากอากาศหนาว

จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสานควรเตรียมรับมือกับอากาศหนาวเย็นและลมแรง พร้อมทั้งดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้พิการ ทั้งนี้ อากาศแห้งและลมแรงยังอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอัคคีภัย จึงควรระมัดระวังการจุดไฟหรือการใช้อุปกรณ์ให้ความร้อน และสำหรับภาคใต้ ควรเฝ้าระวังความเสียหายที่อาจเกิดกับผลผลิตทางการเกษตรเนื่องจากฝนตกหนัก

ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพอากาศและประกาศแจ้งเตือนได้ที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th หรือโทรสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเตือนประชาชนรับมืออากาศเย็นและหมอกหนา

เชียงรายอุณหภูมิลดต่ำ หมอกหนาจัด ผู้ขับขี่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 สื่อมติชนรายงานว่า ประชาชนชาวเชียงรายผู้ขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่สัญจรบนท้องถนน โดยเฉพาะถนนพหลโยธิน สายแม่จัน-แม่สาย ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีหมอกหนาปกคลุมในช่วงเช้า ซึ่งลดรัศมีการมองเห็นของผู้ขับขี่เหลือไม่ถึง 1 กิโลเมตร ส่งผลให้ผู้ขับขี่ต้องเปิดไฟหน้ารถเพื่อป้องกันอันตราย โดยหมอกหนานี้เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดถึงสาย ก่อนที่จะสลายตัวไป ลักษณะดังกล่าวพบได้ทุกวันในช่วงนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเมืองหรือพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของป่าและนาข้าว

การเตรียมรับมือสภาพอากาศเย็นจากมวลอากาศเย็นจากจีน

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ทางจังหวัดได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ 18 อำเภอให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุณหภูมิที่ลดต่ำลง ภายหลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศฉบับที่ 1 ระบุว่ามวลอากาศเย็นกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงจากประเทศจีนกำลังแผ่ลงมาปกคลุมทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้ในระยะแรกมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่ ก่อนที่อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ทำให้อากาศในตอนเช้าเย็นจัดและมีลมแรง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดทางตอนบนของประเทศไทย

คำแนะนำในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยจากอากาศหนาว

นายประเสริฐกล่าวว่า ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสภาพอากาศจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และควรสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ เพื่อรักษาความอบอุ่นให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ผู้พิการ และสตรีมีครรภ์ ควรดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ และควรงดเว้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความหนาว เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อน ซึ่งอาจทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

นอกจากนี้ ประชาชนควรระมัดระวังการก่อไฟผิงเพื่อคลายความหนาว เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ หากไม่มีการดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ คำแนะนำดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นสุดฤดูหนาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News