Categories
CULTURE

เที่ยวเชียงรายยามเย็น เส้นทางใหม่ “แสงเวียง”

เชียงใหม่จัดประชุมออกแบบเส้นทาง “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” 6 จังหวัดภาคเหนือ เชื่อมโยงเมืองเก่า สู่วิถีใหม่ทางวัฒนธรรม

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องดอยหลวง ชั้น 24 โรงแรมดวงตะวันเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดประชุมหารือภายใต้โครงการ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองเก่าอารยธรรมล้านนา” เพื่อออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ในชื่อว่า “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า ผ่านการนำเสนออัตลักษณ์ล้านนาในช่วง “ยามแลง” หรือช่วงเย็น ด้วยกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างกลมกลืน

การประชุมระดับภูมิภาค – ความร่วมมือระหว่าง 6 จังหวัดล้านนา

ในการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงาน มีหัวหน้าส่วนราชการจากทั้ง 6 จังหวัดเข้าร่วม ประกอบด้วย วัฒนธรรมจังหวัด พัฒนาชุมชนจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว

จากจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายยุทธนา สุทธสม นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนางสาวมณฑา กิติมา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ เข้าร่วมประชุม ร่วมกับคุณสิกัญพัสส์ ปาละวรรณ์ กรรมการสมาคมมัคคุเทศก์จังหวัดเชียงราย โดยการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

3 เวทีวิชาการ บรรยายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อออกแบบเส้นทาง

การประชุมประกอบด้วยการบรรยาย 3 หัวข้อ ได้แก่

  1. “เสน่ห์เมืองเก่า คุณค่าอารยธรรมล้านนา” โดยอาจารย์ภูเดช แสนสา นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  2. “การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากวิถีชีวิตและต้นทุนวัฒนธรรม” โดยอาจารย์นรพรรณ โพธิพฤษ์ หัวหน้าภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยว ม.ฟาร์อีสเทอร์น
  3. “การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว ‘มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา’” โดยคุณธนกร สมฤทธิ์ จากบริษัท เกรท มอร์ โซลูชั่น จำกัด

หัวใจของการออกแบบเส้นทางอยู่ที่การใช้ทุนวัฒนธรรมเป็นฐาน เสริมด้วยความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดการท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพักค้างในพื้นที่ เดินทางซ้ำ และเกิดรายได้หมุนเวียนภายในชุมชน

“6 แสง” – เส้นทางนำร่องตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น

เส้นทางท่องเที่ยวนำร่องภายใต้โครงการนี้มีชื่อเรียกตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ดังนี้:

  • แสงธรรม แสงมู (เชียงใหม่)
  • แสงเวียง (เชียงราย)
  • แสงศรัทธา (พะเยา)
  • แสงกาด (ลำปาง)
  • แสงแห่งวิถี (ลำพูน)
  • แสงสี…ปายยามเย็น (แม่ฮ่องสอน)

แนวคิด “6 แสง” ไม่เพียงเป็นการตั้งชื่อเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา และเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น ที่จะถูกนำเสนอผ่านกิจกรรมและประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในช่วงเย็นถึงค่ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแนวโน้มในอนาคต

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า การส่งเสริมเส้นทางเมืองเก่าในช่วงเย็นถือเป็นการใช้จังหวะเวลาที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การใช้จ่ายในช่วงค่ำคืนมีแนวโน้มสูงขึ้นและเพิ่มเวลาการพักในพื้นที่ ส่งผลต่อการหมุนเวียนเศรษฐกิจชุมชนโดยตรง

ขณะที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ชี้ว่า เส้นทางเมืองเก่าแบบ “แสงล้านนา” มีโอกาสขยายผลในเชิงพื้นที่และเชิงธีมต่อยอด เช่น แสงศิลป์ แสงเสียง แสงสุขภาพ เพื่อเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2567 พบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าพื้นที่เมืองเก่าใน 6 จังหวัดล้านนามีจำนวนรวมกว่า 5.4 ล้านคน/ปี โดยช่วงเย็น-ค่ำมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว 1,980 บาท/คน/วัน สูงกว่าช่วงกลางวันประมาณร้อยละ 26
  • การสำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ากิจกรรมวัฒนธรรมช่วงเย็นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา
  • รายงานของ CEA ระบุว่า การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากต้นทุนทางวัฒนธรรมสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้พื้นที่ได้เฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกปนเปื้อน รัฐบาลเร่งเจรจาพม่า

เชียงใหม่-เชียงราย ยืนยันน้ำประปาปลอดภัย แม้พบสารหนูในแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมาแก้เหมืองแร่ต้นตอปัญหา

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก และการควบคุมผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หลังจากมีการตรวจพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำสาธารณะ โดยยืนยันว่าคุณภาพน้ำประปายังคงอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถอุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ

ตรวจวิเคราะห์ 12 จุด พบสารหนูเกินมาตรฐานใน 9 จุด

จากรายงานผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ระหว่างวันที่ 21–24 เมษายน 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างจาก 12 จุดตลอดความยาวแม่น้ำกกประมาณ 157 กิโลเมตร จากเขตชายแดนไทย–เมียนมา ที่อำเภอแม่อาย จ.เชียงใหม่ ไปจนถึงเขต อ.เมือง จ.เชียงราย ผลการวิเคราะห์พบสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานใน 9 จุด โดยเฉพาะสารหนู (As)

จุดที่ตรวจพบประกอบด้วย 3 จุดในอำเภอแม่อาย และอีก 6 จุดในเขตอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของการเกิดมลพิษในแหล่งน้ำธรรมชาติ และอาจส่งผลต่อระบบนิเวศในระยะยาว

เร่งสำรวจแหล่งมลพิษ – พบต้นตออาจมาจากเมียนมา

ภายหลังพบสารปนเปื้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในเชียงใหม่และเชียงรายได้เข้าตรวจสอบแหล่งต้นกำเนิดมลพิษตลอดลำน้ำกก โดยเฉพาะบริเวณโรงงาน พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งทิ้งของเสีย ปรากฏว่าไม่พบแหล่งที่ปล่อยสารหนูหรือโลหะหนักจากฝั่งประเทศไทย จึงมีข้อสันนิษฐานอย่างมีน้ำหนักว่าสารเหล่านี้อาจมาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในเขตประเทศเมียนมา

ทางรัฐบาลไทยได้ประสานความร่วมมือระดับพื้นที่กับชุมชนและผู้ใช้น้ำ รวมถึงเตรียมส่งคณะทำงานร่วมเจรจากับรัฐบาลเมียนมา เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเหมืองแร่ตามหลักวิชาการเพื่อลดผลกระทบข้ามพรมแดน

ยืนยันคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ยังปลอดภัย

แม้จะพบสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ยืนยันว่า คุณภาพน้ำประปาในเขตเทศบาลและพื้นที่รอบแม่น้ำกกยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้

สำหรับกรณีที่มีประชาชนร้องเรียนว่ามีอาการผื่นคันหลังจากลงเล่นน้ำในแม่น้ำกก เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำและส่งทีมแพทย์เข้าตรวจสอบ พบว่าอาการผื่นคันดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษหรือโลหะหนัก แต่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสภาพผิวหนังกับพืชน้ำหรือสารอินทรีย์ในน้ำ

ผลการตรวจสัตว์น้ำ – ไม่พบสารหนูหรือสารปรอท

กรณีที่มีรายงานการพบปลาตายในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ทางสำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงรายเก็บตัวอย่างเนื้อปลาเพื่อตรวจสอบ พบว่าปลาที่ตายมีการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ไม่พบการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น สารหนูหรือปรอท

อย่างไรก็ตาม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนปรุงอาหารจากสัตว์น้ำให้สุกทุกครั้งก่อนบริโภค เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือโรคที่อาจเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัสอื่น ๆ

มุมมองเชิงวิชาการ – จำเป็นต้องกำหนดแผนระยะยาว

นักวิชาการสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเสนอว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอาจช่วยลดผลกระทบในระยะสั้น แต่สิ่งสำคัญคือการวางแผนการจัดการแหล่งน้ำในระยะยาวร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน และควรมีการจัดตั้งระบบเตือนภัยสิ่งแวดล้อมล่วงหน้าสำหรับพื้นที่ชายแดน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น IoT และ AI

นอกจากนี้ ยังควรมีการออกกฎหมายรองรับการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนแบบบูรณาการ และส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 (เชียงใหม่) ปี 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำเฉลี่ยปีละ 48 ครั้ง ใน 12 จุด โดยพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 9 จุดในช่วงเดือนเมษายน 2568
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ร้องเรียนอาการผิดปกติหลังใช้น้ำธรรมชาติรวม 36 ราย คิดเป็นเพียง 0.005% ของประชากรพื้นที่
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างปลา 28 ตัวจาก 5 จุด พบว่าทั้งหมดไม่มีการปนเปื้อนสารหนูหรือสารปรอท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปกป้องลุ่มน้ำ ชาวเหนือฮึดสู้เหมืองเถื่อนข้ามแดน

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: เชียงราย-เชียงใหม่รวมพลังปกป้องลุ่มน้ำ เรียกร้องปิดเหมืองเถื่อนข้ามแดน

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งสำคัญในหัวข้อ “ปกป้องแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย/ปิดเหมืองต้นน้ำ-ฟื้นฟูลุ่มน้ำ” ได้จุดประกายความหวังและความตื่นตัวในหมู่ประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อต่อสู้กับวิกฤตมลพิษจากสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย อันเป็นผลจากการทำเหมืองแร่เถื่อนบริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คน จากหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพระภิกษุ นักธุรกิจ ศิลปิน นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม พร้อมตั้งเป้าจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยหวังระดมพลถึง 10,000 คน เพื่อส่งเสียงถึงรัฐบาลไทย เมียนมา และจีน ให้ยุติการทำเหมืองที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและชุมชน

แม่น้ำแห่งชีวิตที่กำลังป่วยหนัก

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มานานนับศตวรรษ แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ผ่านจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ส่วนแม่น้ำสายเป็นลำน้ำสำคัญที่ไหลจากชายแดนไทย-เมียนมา มารวมกับแม่น้ำรวกและลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำทั้งสองสายนี้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สาย เชียงแสน และเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคเหนือ

ทว่าในปี 2567 ภัยพิบัติจากอุทกภัยครั้งใหญ่ได้เผยให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในลำน้ำเหล่านี้ การพังทลายของดินจากเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจากจีน ได้นำพาตะกอนโคลนและสารพิษ เช่น สารหนูและตะกั่ว ลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง ชาวบ้านในพื้นที่ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยพบว่าน้ำขุ่นข้นผิดปกติและมีกลิ่นแปลกๆ เด็กที่ลงเล่นน้ำมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลทางการเกษตรเริ่มได้รับผลกระทบจากการรดน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ

รายงานจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ความละเอียดสูง (0.5 เมตร) ในการวิเคราะห์ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอยในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ระบุว่าแม่น้ำรวกมีความหนาแน่นของตะกอนอยู่ที่ 40–60 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีความหนาแน่นลดลงเหลือ 20–40 mg/L การวิเคราะห์นี้ใช้ดัชนี Normalized Difference Suspended Sediment Index (NDSSI) และสมการ Total Suspended Solids (TSS) เพื่อประเมินความรุนแรงของมลพิษ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องลุ่มน้ำ

การรวมพลังของชุมชนเพื่อปกป้องแม่น้ำ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงรายได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูลุ่มน้ำกกและสาย นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล โดยระบุว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจีน โดยไม่มีการควบคุมหรือคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำ ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นการขุดเหมืองขนาดใหญ่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดถึงขั้นทำเหมืองกลางแม่น้ำสาย

“นี่เป็นเพียงผลกระทบในช่วงปีแรกๆ หากเหมืองเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปอีกหลายปี ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในฤดูฝนที่น้ำจะพัดพาตะกอนและสารพิษลงสู่ท้ายน้ำมากขึ้น” นางสาวเพียรพรกล่าว พร้อมชี้ว่าการตรวจสอบน้ำในแม่น้ำกกพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ซึ่งเป็นผลจากการเดินขบวนเรียกร้องของชาวบ้านท่าตอนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม

ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้มีการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เพื่อแสดงพลังของประชาชน โดยตั้งเป้าระดมผู้เข้าร่วม 10,000 คน ซึ่งเทียบเท่า 1% ของประชากรจังหวัดเชียงราย การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะรวมถึงการยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อแรร์เอิร์ธจากเหมืองเถื่อน รวมถึงการเชิญตัวแทนกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเข้าร่วมหารือ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้จัดพิธีสืบชะตาแม่น้ำกก เพื่อรณรงค์ในเชิงสัญลักษณ์ และผูกริบบิ้นติดรถยนต์เพื่อกระตุ้นให้ชาวเชียงรายแสดงออกถึงความห่วงใยต่อแม่น้ำ

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปรียบแม่น้ำกกว่าประดุจมารดาที่กำลังป่วยหนักอยู่ในห้องไอซียู โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษา “แม่น้ำกกคือความมั่นคงของชุมชนและชาติ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง และประชาชนต้องส่งเสียงให้ดังถึงระดับนานาชาติ” พระมหานิคมกล่าว พร้อมเสนอให้ออกแถลงการณ์ร่วมและยกระดับเรื่องนี้ไปสู่เวทีอาเซียนและสหประชาชาติ

นายซอแลต นักวิจัยชาวคะฉิ่น เปิดเผยถึงความรุนแรงของการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อแม่น้ำอิรวดีมาแล้ว โดยระบุว่าสารเคมีจากเหมืองทำให้ปลาและสัตว์ตาย ชาวบ้านไม่สามารถหาปลาหรือทำเกษตรได้ “ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ของไทย แต่กระทบถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา การแก้ไขต้องยกระดับเป็นประเด็นการเมืองระดับภูมิภาค” นายซอแลตกล่าว

แผนปฏิบัติการและความหวังในการฟื้นฟู

การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 โดยจะมีการจัดงานทั้งในตัวเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน และอำเภอแม่สาย รวมถึงการใช้สวนตุงเป็นสถานที่หลักในตัวเมือง เพื่อดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อกระจายข้อมูลและเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วม

ดร.สืบสกุลเสนอให้สามมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเชียงราย ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพื่อให้มีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำ ตะกอน ดิน และพืชผลเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง “การตรวจสอบในปัจจุบันล่าช้าเกินไป เกษตรกรและชาวประมงต้องรอผลจากหน่วยงานในเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ การมีศูนย์ในเชียงรายจะช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลที่ทันท่วงที” ดร.สืบสกุลกล่าว

รายงานจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่ ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินในวันที่ 1–2 พฤษภาคม 2568 พบว่า:

  • แม่น้ำกก บริเวณจุดก่อนไหลลงแม่น้ำโขง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน มีสารหนู 0.031 mg/L และบริเวณสบกก ตำบลบ้านแซว มีสารหนู 0.036 mg/L (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
  • แม่น้ำสาย บริเวณบ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย มีตะกั่ว 0.058 mg/L และสารหนู 0.44 mg/L บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 มีตะกั่ว 0.063 mg/L และสารหนู 0.45 mg/L และบริเวณบ้านป่าซางงาม มีตะกั่ว 0.066 mg/L และสารหนู 0.49 mg/L (ค่ามาตรฐานตะกั่วไม่เกิน 0.05 mg/L)

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉานและสำนักข่าวชายขอบ ระบุว่าการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธในรัฐฉานยังคงขยายตัว โดยมีโรงงานขุดทอง 3 จุด และเรือขุดทอง 2 ลำที่ใช้งานอยู่ในแม่น้ำกก ชาวบ้านในพื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน รายงานว่าน้ำขุ่นข้นและมีสารพิษ ทำให้เด็กมีอาการแพ้และปลาตายเป็นจำนวนมาก

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

การประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการสร้างความตื่นตัวและวางแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การรวมพลังของชุมชน: การมีส่วนร่วมของกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่พระภิกษุ ผู้นำท้องถิ่น ไปจนถึงนักวิชาการ แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายประชาชน การตั้งเป้าระดม 10,000 คนในวันที่ 5 มิถุนายน เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่มีความเป็นไปได้ หากมีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง
  2. การใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์: การนำภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 และผลตรวจคุณภาพน้ำมาใช้ในการรณรงค์ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเน้นย้ำถึงความรุนแรงของปัญหา
  3. การยกระดับสู่ระดับนานาชาติ: ข้อเสนอให้ยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีนและหารือกับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมา แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาข้ามแดน

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ความล่าช้าของภาครัฐ: แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา แต่กลไกที่ใช้ยังเป็นแบบราชการทั่วไป ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและความรวดเร็วในการดำเนินการ
  2. ข้อจำกัดด้านการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในเมียนมา และอิทธิพลของบริษัทจีนในภูมิภาค
  3. ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน: การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือภาคเอกชน
  4. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขปัญหาต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการดังต่อไปนี้:

  • เสริมสร้างการประชาสัมพันธ์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์และสื่อท้องถิ่นเพื่อกระจายข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมวันที่ 5 มิถุนายน และผลกระทบของมลพิษ
  • สร้างพันธมิตรระดับนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP หรือ MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายเพื่อจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และสนับสนุนการวิจัยระยะยาว
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของเยาวชน: จัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนและนักศึกษา เช่น การแข่งขันด้านสิ่งแวดล้อม หรือแคมเปญออนไลน์ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมเคลื่อนไหว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอย:
    • แม่น้ำรวก: 40–60 mg/L
    • แม่น้ำโขง (บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ): 20–40 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2.
  2. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำสาย (บ้านหัวฝาย อำเภอแม่สาย): ตะกั่ว 0.058 mg/L, สารหนู 0.44 mg/L
    • แม่น้ำสาย (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2): ตะกั่ว 0.063 mg/L, สารหนู 0.45 mg/L
    • แม่น้ำสาย (บ้านป่าซางงาม): ตะกั่ว 0.066 mg/L, สารหนู 0.49 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  3. การทำเหมืองในรัฐฉาน:
    • โรงงานขุดทอง: 3 จุด (เมืองกก, เมืองสาด, บ้านฮุ่ง)
    • เรือขุดทองในแม่น้ำกก: 2 ลำ (ใช้งานได้จากทั้งหมด 3 ลำ)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักข่าวชายขอบ. (14 พฤษภาคม 2568). รายงานสถานการณ์การทำเหมืองทองในรัฐฉาน.
  4. ผลกระทบต่อชุมชน:
    • เด็กที่มีอาการผื่นคันจากการสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก: 3 ราย (พื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน)
    • การลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยวในอำเภอแม่ยาว: 80%
    • แหล่งอ้างอิง: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน. (2568). รายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ชาติพันธุ์ล้านนา Soft Power ดันเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จุดประกาย Soft Power เชื่อมชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 16 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือได้นำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างรายได้และความยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน

ภายในงานมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ การสาธิตงานหัตถกรรม และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

Soft Power พื้นถิ่น สู่นโยบายระดับชาติ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของไทยที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ นอกจากสร้างรายได้ให้ชุมชน ยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จึงเป็นมากกว่างานแสดงวัฒนธรรม เพราะเป็นการต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มที่สนใจวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม และประสบการณ์เฉพาะถิ่น

ล้านนาแหล่งวัฒนธรรมที่ยังไม่สิ้นแสง

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม ทั้งจากมรดกทางประวัติศาสตร์ ประเพณี ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และอาหารท้องถิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year)

กิจกรรมในครั้งนี้ จึงเน้นการยกย่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในรูปแบบร่วมสมัย สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตจริงของชุมชน ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

สร้างเวทีให้ชุมชนมีบทบาทในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นายจักรพล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในรูปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวในอนาคต

ในโอกาสนี้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเชื่อมโยงชุมชน เครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างงดงามและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

วิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและลบ

ด้านบวก

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนสามารถนำสินค้าหัตถกรรมมาจำหน่าย เพิ่มรายได้
  • สร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ล้านนา สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
  • ยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยว

ด้านลบ (ข้อควรระวัง)

  • หากขาดการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
  • ความเสี่ยงในการทำลายอัตลักษณ์แท้ของชาติพันธุ์จากการดัดแปลงเพื่อตอบโจทย์ตลาด
  • ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนจริง ไม่เน้นเพียงภาพลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเพื่อการตลาดเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การตีความวัฒนธรรม และการสื่อสารภาพลักษณ์ให้น่าสนใจภายใต้บริบทความเป็นไทยอย่างแท้จริง

การสนับสนุนควรมุ่งสู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ในระยะยาว ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐ และส่งเสริมการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทยกว่า 12.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีเดียวกัน
  • จากรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างรายได้รวมกว่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2567
  • พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน มีจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า 320 ชุมชน ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลปี 2566 จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • งานวิจัยเรื่อง “Soft Power ไทยกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สงกรานต์คึกคัก ‘เชียงใหม่’ เที่ยวได้ ฟรีจอดรถ 4 สนามบิน

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือสงกรานต์ 2568 เพิ่มเที่ยวบิน-เปิดจอดรถฟรี ท่าอากาศยานเชียงรายพร้อมเต็มที่รับนักเดินทาง

ประเทศไทย, 9 เมษายน 2568 – รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมเต็มรูปแบบในการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างหนาแน่น โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านการคมนาคมในท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ รวมถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประตูการเดินทางสำคัญของภาคเหนือที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าว

มาตรการรับมือผู้โดยสารช่วงสงกรานต์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนรองรับการเดินทางของประชาชน โดยเน้นการลดความแออัดในอาคารผู้โดยสาร การเพิ่มเจ้าหน้าที่บริการ และอำนวยความสะดวกในด้านการตรวจเอกสาร การเช็กอิน และการจัดระเบียบการเดินทางในพื้นที่ท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)
  4. ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
  5. ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)
  6. ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมต้อนรับนักเดินทาง

ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ได้เตรียมการรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดเชียงรายถือเป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม ทั้งในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมสงกรานต์พื้นเมือง

ในช่วงสงกรานต์นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และต่างประเทศ เช่น จีนและลาว ผ่านเที่ยวบินตรงมายังสนามบินเชียงราย ซึ่ง ทอท. ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์เช็กอิน การดูแลผู้โดยสาร และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นและปลอดภัย

ข้อมูลเที่ยวบิน-ผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นชัดเจน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ประมาณการเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2568 พบว่า

  • เที่ยวบินระหว่างประเทศมีจำนวน 267,603 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.1%
  • เที่ยวบินภายในประเทศมีจำนวน 213,792 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 22.7%
  • รวมผู้โดยสารทั้งหมด 79,191,431 คน เพิ่มขึ้น 18.3%
    • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48,243,845 คน เพิ่มขึ้น 14.1%
    • ผู้โดยสารภายในประเทศ 30,947,586 คน เพิ่มขึ้น 25.5%

การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินและผู้โดยสารสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักเดินทางในการเดินทางภายในประเทศ

จอดรถฟรี 4 สนามบินทั่วประเทศ

เพื่อส่งมอบความสะดวกแก่ผู้โดยสาร รัฐบาลได้เปิดพื้นที่ “จอดรถฟรี” ณ ท่าอากาศยาน 4 แห่ง ระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2568 ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ลานจอดรถระยะยาว โซน C
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง – ลานจอดหน้าตึกจอดรถ 5 ชั้น
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ – บริเวณลานช้าง ข้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
  4. ท่าอากาศยานภูเก็ต – หน้าอาคารสำนักงาน ทภก.

การอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยี

นอกจากการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่แล้ว ท่าอากาศยานทุกแห่ง รวมถึงเชียงราย ได้เตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น

  • เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS)
  • เครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD)
  • ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric)

ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใช้บริการได้ที่เครื่อง CUSS หรือผ่านเจ้าหน้าที่สายการบินในขั้นตอนเช็กอิน เพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดความแออัด

เชียงใหม่มั่นใจ พร้อมรับนักท่องเที่ยวแม้เจอแผ่นดินไหว

นอกจากนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้เกิดเหตุแผ่นดินไหวเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่ผลกระทบมีเพียงบางส่วน เช่น อาคารดวงกมลคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบด้านโครงสร้าง และอีก 2 อาคารที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากผิวฉาบแตก

ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมกลับสู่ภาวะปกติ บรรยากาศการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญอย่างถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนคนเดิน และรอบคูเมือง พร้อมทั้งมีกิจกรรมสงกรานต์ “ปี๋ใหม่เมือง” ที่จัดเต็มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสของการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

การที่รัฐบาลเพิ่มเที่ยวบินและอำนวยความสะดวกผ่านนโยบายจอดรถฟรี เป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงราย ซึ่งในช่วงนี้มีเทศกาลประเพณีพื้นถิ่น เช่น สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว และขบวนแห่สืบสานวัฒนธรรมล้านนา ที่สร้างสีสันและความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมจำหน่ายสินค้า OTOP การท่องเที่ยวชุมชน และการสร้างงานให้คนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ทอท. คาดการณ์เที่ยวบินระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2568
    • เที่ยวบินระหว่างประเทศ: 267,603 เที่ยวบิน (+9.1%)
    • เที่ยวบินในประเทศ: 213,792 เที่ยวบิน (+22.7%)
  • ผู้โดยสารทั้งหมด: 79,191,431 คน (+18.3%)
    • ระหว่างประเทศ: 48,243,845 คน (+14.1%)
    • ในประเทศ: 30,947,586 คน (+25.5%)
  • จังหวัดเชียงราย:
    • มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ช่วงเทศกาล (ข้อมูลจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง, 2567)
    • คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์: ไม่น้อยกว่า 180,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • พื้นที่จอดรถฟรีในสนามบินเชียงใหม่: รองรับได้มากกว่า 1,500 คัน ตลอดช่วงเวลาให้บริการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

แผ่นดินไหวเชียงใหม่ตึกสูงเสียหาย สั่งปิดคอนโดฯ ด่วน

เชียงใหม่สั่งปิดดวงตะวันคอนโดมิเนียม ตรวจสอบความเสียหายหลังแผ่นดินไหว

เชียงใหม่,28 มีนาคม 2568 – จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 28 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงใหม่ได้รับแรงสั่นสะเทือน ส่งผลกระทบต่ออาคารสูงหลายแห่ง โดยเฉพาะ ดวงตะวันคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับความเสียหายรุนแรง จนต้องมีคำสั่งปิดอาคารโดยด่วน ขณะที่ อีก 3 แห่ง ได้แก่ ศุภาลัย มอนเต้ 1-2 และ อาคารจอดรถสวนดอกพาร์ค ได้รับความเสียหายในระดับที่ไม่กระทบต่อโครงสร้างหลัก แต่มีรอยร้าวและการหลุดร่วงของวัสดุตกแต่ง

คำสั่งปิดอาคารและการดำเนินการเบื้องต้น

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งการให้ นายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์และประเมินความเสียหาย

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ดวงตะวันคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 103 ห้อง และมีผู้อยู่อาศัยอยู่ 60 ห้อง ได้รับความเสียหายในเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง เสาอาคารเกิดการบิดงอ และมีปูนกะเทาะในหลายจุด เบื้องต้น สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งปิดอาคารทันทีและห้ามประชาชนเข้าออกโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

การดูแลผู้ได้รับผลกระทบและศูนย์พักพิงชั่วคราว

เทศบาลนครเชียงใหม่ได้จัดตั้ง ศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 2 แห่ง เพื่อรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่:

  • โรงยิมของสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่
  • บริเวณชั้น 2 ของสถานีขนส่งอาเขตเชียงใหม่

ทั้งนี้ ทางอาคารที่ได้รับความเสียหายได้มีการทำประกันภัยอาคารไว้แล้ว โดยผู้พักอาศัยสามารถย้ายไปพักยังโรงแรมหรือที่พักสำรองได้ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมและตรวจสอบโครงสร้างเพิ่มเติม

ความเสียหายในพื้นที่อื่น ๆ

  • โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และ โรงพยาบาลลานนา ได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากแรงสั่นสะเทือน แพทย์และพยาบาลได้อพยพผู้ป่วยลงจากอาคารชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย และปัจจุบันสามารถกลับมาให้บริการได้ตามปกติ
  • วัดสันทรายต้นกอก ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบรอยแตกร้าวที่องค์เจดีย์
  • วัดน้ำล้อม อำเภอสันกำแพง วิหารของวัดเกิดรอยแตกร้าวเช่นกัน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างอยู่ระหว่างการสำรวจและประเมินความเสียหาย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: มีความเห็นว่าการปิดอาคารอย่างเร่งด่วนเป็นมาตรการที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยของประชาชน และการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นการดูแลผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว
  • ฝ่ายกังวล: บางฝ่ายมีความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบอาคารที่ได้รับผลกระทบอย่างละเอียด และเสนอให้มีการตรวจสอบโครงสร้างอาคารสูงทั้งหมดในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ขนาดแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางในเมียนมา: 7.7 แมกนิจูด (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
  • จำนวนอาคารที่ได้รับความเสียหายในจังหวัดเชียงใหม่: 4 แห่ง (ที่มา: ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเชียงใหม่)
  • จำนวนผู้พักอาศัยที่ได้รับผลกระทบจากการปิดอาคาร: 60 ห้องพัก (ที่มา: ดวงตะวันคอนโดมิเนียม)
  • ศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับผู้ประสบภัยได้กว่า 300 คน (ที่มา: เทศบาลนครเชียงใหม่)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รวบ 2 นายช่าง รีดเงิน เวนคืนที่ดิน 2.5 แสน เชียงใหม่

ทุจริตเวนคืน! จับ 2 นายช่าง เรียกเงินชาวบ้าน 2.5 แสน

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – ตำรวจ ปปป. บุกจับ 2 นายช่างโยธาสำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ ฐานเรียกรับผลประโยชน์มิชอบ กรณีเวนคืนที่ดินเชียงดาว พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) และ พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผกก.4 บก.ปปป.) นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวนายปารย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เจ้าหน้าที่นายช่างโยธา สังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 1 และนายชญานนท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี ลูกจ้างสังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 1 ณ สำนักงานทางหลวงที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์โดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

พฤติการณ์แห่งคดี

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้เสียหายรายหนึ่งได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กก.4 บก.ปปป.) เพื่อขอความเป็นธรรมหลังถูกผู้ต้องหาทั้งสองเรียกเงินจำนวน 250,000 บาท โดยอ้างว่าจะดำเนินการช่วยเพิ่มราคาประเมินค่าเวนคืนที่ดินของผู้เสียหายในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จากเดิม 2,700,000 บาท เป็น 3,600,000 บาท

ต่อมา เมื่อผู้เสียหายนำเช็คค่าเวนคืนที่ดินที่ได้รับจากแขวงทางหลวงไปขึ้นเงินที่ธนาคาร ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้งสองรายได้เดินทางไปรอรับเงินค่าดำเนินการดังกล่าวทันที อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม จึงพบว่า แท้จริงแล้วที่ดินของตนเองมีการประเมินค่าเวนคืนไว้ที่ 3,600,000 บาท ตั้งแต่แรก และตัวเลข 2,700,000 บาท เป็นเพียงราคาประเมินเฉพาะที่ดินโดยยังไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง

พฤติกรรมดังกล่าวของผู้ต้องหาทั้งสองถือเป็นการหลอกลวงเพื่อเรียกรับเงินจากประชาชนโดยมิชอบ ซึ่งสร้างความเสียหายและความเข้าใจผิดให้แก่ผู้เสียหายเป็นอย่างมาก หลังจากพนักงานสอบสวนได้รับเรื่อง จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองราย ก่อนนำไปสู่การจับกุมในที่สุด

ผลการสอบสวนเบื้องต้น

ภายหลังการจับกุม ผู้ต้องหาทั้งสองยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำผิดอย่างชัดเจน เบื้องต้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

การแถลงข่าวและมาตรการดำเนินคดี

ในวันเดียวกันนี้ เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. และตัวแทนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดของคดีอย่างเป็นทางการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และแนวทางการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองราย

การดำเนินการในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเชิงรุกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยเฉพาะการกระทำผิดเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและความเป็นธรรมในกระบวนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • คดีทุจริตเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน: ในปี 2567 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับรายงานคดีเกี่ยวกับการทุจริตในกระบวนการเวนคืนที่ดิน รวม 42 คดี เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีการรายงานเพียง 30 คดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปัญหาดังกล่าว (ที่มา: สำนักงาน ป.ป.ช., 2567)
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: คดีเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินในปี 2567 มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,200 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงคมนาคม, 2567)
  • อัตราการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีทุจริตภาครัฐ: ตำรวจ ปปป. รายงานว่าในปี 2567 มีการจับกุมผู้ต้องหาคดีทุจริตภาครัฐ เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่มา: กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) /สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) /กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวง /สำนักงานศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทอดพระเนตรผ้าไทย เชียงใหม่

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการ และการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน ภาคเหนือ

เชียงใหม่, 14 มีนาคม 2568 – สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการ และการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคเหนือ ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

พระราชกรณียกิจสำคัญด้านการส่งเสริมผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชน

วันที่ 13 มีนาคม 2568 เวลา 13.42 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคเหนือ ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

โอกาสนี้ พระองค์ทรงพระดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนจาก 22 กลุ่มงานสำคัญ อาทิ กลุ่มเตาหลวงสตูดิโอ จ.เชียงใหม่ กลุ่มเชียงใหม่ศิลาดล ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ วิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ใยกัญชงทรายทอง จ.เชียงใหม่ กลุ่มเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง จ.เชียงราย และวิสาหกิจชุมชนงานเครื่องปั้นเครื่องเคลือบเวียงกาหลง จ.เชียงราย เป็นต้น

การพัฒนาและส่งเสริมผ้าไทยภาคเหนือ

จากนั้น พระองค์ทรงพระดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการผ้าไทยจากเส้นใยธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะ “โครงการหลวงเลอตอ” ซึ่งเป็นโครงการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขา ลดการปลูกฝิ่น และฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร

นิทรรศการที่น้อมนำแนวคิดแฟชั่นแห่งความยั่งยืน (Sustainable Fashion) มานำเสนอ ประกอบด้วย หัตถอุตสาหกรรมกัญชง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำมาต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งสามารถสร้างรายได้สูงกว่าพืชเชิงเดี่ยวบนพื้นที่สูง 9,000 – 14,000 บาทต่อไร่ อีกทั้งยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ อาทิ ผ้าปักชนเผ่าต่าง ๆ เช่น อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง เมี่ยน และลีซู เป็นต้น

เชียงใหม่: ศูนย์กลางงานหัตถกรรมและอัตลักษณ์ล้านนา

สำหรับจังหวัดเชียงรายนั้น ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางงานหัตถกรรมและอัตลักษณ์ล้านนา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซรามิกและเครื่องเคลือบดินเผา ซึ่งเวียงกาหลงเป็นแหล่งผลิตสำคัญที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ของเวียงกาหลง ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผาเคลือบเซรามิกที่ได้รับอิทธิพลจากยุคสุโขทัยและล้านนา รวมถึงผ้าทอพื้นเมืองที่มีลวดลายเฉพาะตัว อาทิ ผ้ายกดอกลำพูน ผ้าฝ้ายทอมือ และผ้าขิดจากชุมชนต่าง ๆ ซึ่งมีการพัฒนาและออกแบบให้ทันสมัยมากขึ้น

จากการสำรวจของ Google Maps และรีวิวจากนักท่องเที่ยว พบว่าจังหวัดเชียงรายมีสถานที่ที่ได้รับการรีวิวสูงสุดเกี่ยวกับงานหัตถกรรมและวัฒนธรรมล้านนา ได้แก่

  1. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ (Black House Museum) – มีรีวิวกว่า 12,298 รีวิว
  2. วัดร่องขุ่น – มีรีวิวกว่า 21,753 รีวิว
  3. วัดร่องเสือเต้น – มีรีวิวกว่า 22,374 รีวิว
  4. ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมล้านนาเชียงราย – ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
  5. กลุ่มหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาเวียงกาหลง – ได้รับการยกย่องจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นหนึ่งในแหล่งเรียนรู้หัตถกรรมที่ดีที่สุดของภาคเหนือ

บทสรุปและแหล่งอ้างอิง

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในครั้งนี้ เป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยและหัตถกรรมท้องถิ่นของภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการและโครงการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้เติบโตต่อไปในอนาคต พร้อมกับยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ / Google Maps / ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมล้านนาเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

AOT เตือนปล่อยโคมเสี่ยงคุก เตือนอันตรายถึงเครื่องบิน

AOT เตือนอันตรายจากการปล่อยโคมลอยช่วงลอยกระทง อาจกระทบเที่ยวบินและความปลอดภัย

[กรุงเทพฯ 11 พฤศจิกายน 2567] บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ออกมาเตือนประชาชนถึงอันตรายจากการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการบินอย่างรุนแรง ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า การปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน พลุ ตะไล บั้งไฟ หรือแม้แต่โดรน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยานได้หลายประการ เช่น เครื่องบินสูญเสียการควบคุม เกิดอุบัติเหตุ หรือหากโคมเข้าไปในเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดการระเบิดได้ นอกจากนี้ ยังบดบังทัศนวิสัยของนักบินและรบกวนสมาธิในการบิน

อันตรายจากการปล่อยโคมลอย

ดร.กีรติเน้นย้ำว่า การปล่อยโคมลอยเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับสูงสุด หากก่อให้เกิดความเสียหายต่ออากาศยาน อาจมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต

มาตรการควบคุมการปล่อยโคมลอย

  • เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ: ห้ามปล่อยโคมลอยในเขตพื้นที่ดังกล่าวโดยเด็ดขาด
  • พื้นที่อื่นๆ: ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นล่วงหน้า
  • โดรน: ต้องขออนุญาตจากสนามบินหากบินในรัศมี 9 กิโลเมตรจากสนามบิน
  • จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย: กำหนดเวลาและพื้นที่ในการปล่อยโคมลอยอย่างชัดเจน

ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ที่นิยมปล่อยโคมลอย โดยในเขตพื้นที่ความปลอดภัยในการเดินอากาศบริเวณใกล้เคียง ทชม.และ ทชร.และพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษระดับ 1 (พื้นที่สีแดง) ไม่อนุญาตให้ปล่อยโคมลอยไม่ว่าช่วงเวลาใด ซึ่งพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากพื้นที่ดังกล่าวจะต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก่อน

โดยจังหวัดเชียงใหม่ได้กำหนดระยะเวลาในการจุดหรือปล่อย คือ สามารถปล่อยโคมลอย โคมไฟได้ในวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 19.00-01.00 น. และปล่อยโคมควัน (ว่าวฮม) ได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น. สำหรับจังหวัดเชียงรายสามารถปล่อยโคมลอยได้ในวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 21.00-01.00 น. และปล่อยโคมควันได้ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น.

ผลกระทบต่อเที่ยวบิน

เนื่องจากความเสี่ยงจากการปล่อยโคมลอย สายการบินหลายแห่งจึงตัดสินใจยกเลิกและเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินในช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปล่อยโคมลอยเป็นจำนวนมาก

AOT สนับสนุนประเพณีลอยกระทง

แม้ว่า AOT จะต้องออกมาเตือนถึงอันตรายจากการปล่อยโคมลอย แต่ก็ยังคงสนับสนุนการอนุรักษ์และสืบสานประเพณีไทย โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสกับบรรยากาศของเทศกาลลอยกระทง

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558
  • ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวทางในการพิจารณาอนุญาตให้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอกทำการบินภายในระยะ 9 กิโลเมตรจากสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน พ.ศ. 2561

สรุป

AOT ขอให้ประชาชนร่วมมือกันงดการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง เพื่อความปลอดภัยในการบินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากต้องการร่วมสืบสานประเพณีไทย สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในท่าอากาศยานได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

CPFC จับมือ IKEA-ดีแคทลอน ปฏิวัติร้านสะดวกซื้อใหม่ในเชียงใหม่

CPFC จับมือ IKEA และ Decathlon สร้างมิติใหม่ของร้านสะดวกซื้อในเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ CPFC ร่วมกับ CP AXTRA, CP All และ TRUE ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ IKEA และ Decathlon สองยักษ์ใหญ่ในธุรกิจรีเทลระดับโลก เปิดตัว “ฟิวเจอร์ คอนวีเนียนซ์ สโตร์” (FCS) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของร้านสะดวกซื้อบนทำเลหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นการออกแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน นำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เข้าถึงง่ายและสะดวกสบาย คาดว่าร้านนี้จะเป็นต้นแบบสำหรับการขยายสาขาในอนาคตทั่วประเทศ

แนวคิดและเป้าหมายของความร่วมมือ

คุณปพิตชญา สุวรรณดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CPFC กล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้เน้นการผสมผสานความเชี่ยวชาญของทุกฝ่าย ทั้ง CPFC และพันธมิตรระดับโลกอย่าง IKEA และ Decathlon เพื่อสร้างสรรค์มิติใหม่ให้กับธุรกิจร้านสะดวกซื้อ นอกจากการนำเสนอสินค้าคุณภาพจาก IKEA และ Decathlon แล้ว ยังเน้นการออกแบบร้านที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตและวัฒนธรรมในชุมชนท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

โมเดล FCS ร้านสะดวกซื้อแห่งอนาคต

โมเดล FCS ของ CPFC ที่จะเริ่มต้นเปิดให้บริการในต้นปี 2568 ณ แม็คโคร สาขาหางดง เชียงใหม่ จะเป็นร้านสะดวกซื้อที่แตกต่างจากร้านทั่วไป โดยมีสินค้าและบริการที่หลากหลาย เหมาะสำหรับผู้บริโภคนอกเขตกรุงเทพฯ และเน้นการพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เข้าถึงง่ายในชุมชน โดยเป็นการผสานแนวคิดรีเทลล้ำสมัยเข้ากับการสร้างความยั่งยืนและความสะดวกสบายแก่ผู้คนในชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ

เกี่ยวกับซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น (CPFC)

CPFC เป็นผู้นำในด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2563 ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ บริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการให้อยู่ในมาตรฐานคุณภาพสูงสุด โดย CPFC มีเป้าหมายในการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่น่าอยู่ สะดวกสบาย และยั่งยืนผ่านนวัตกรรมที่ทันสมัย นอกจากนี้ CPFC ยังให้ความสำคัญกับโครงการอสังหาฯ แบบมิกซ์ยูสและโครงการที่ตั้งอยู่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยเน้นพัฒนาโครงการที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและผลักดันความเจริญในประเทศ

แผนการขยายและอนาคตของ FCS ทั่วประเทศ

หลังจากที่สาขาหางดงเปิดทำการ CPFC มีแผนที่จะขยายโมเดล FCS ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการสร้างเครือข่ายร้านสะดวกซื้อที่เป็นมิตรกับชุมชน นำเสนอบริการที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือระหว่าง CPFC, IKEA และ Decathlon ไม่เพียงแค่สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้กับการช้อปปิ้งในร้านสะดวกซื้อ แต่ยังเป็นการผสานพลังเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ลดขยะ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (ซีพีเอฟซี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News