Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ล้านนาตะวันออก สวรรค์ของเมืองกาแฟ Eastern Lanna Coffee Fest 2024

 

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567  ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก สวรรค์ของเมืองกาแฟ Eastern Lanna Coffee Fest 2024” กิจกรรม ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟ และพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย  ผู้อำนวยการส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน
.
นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ จัดขึ้นตามนโยบายและทิศทางการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) ตามประเด็นการพัฒนา ส่งเสริมการผลิตและพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ สร้างตราสินค้ากาแฟ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ และนำเสนอกาแฟคุณภาพของเกษตรกรที่ได้รับการพัฒนาต่อผู้บริโภค และเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ
.
ซึ่งสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกันดำเนินการยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ จำนวน 27 ราย จาก 4 จังหวัด โดยการอบรมให้ความรู้ด้านการทดสอบรสชาติของกาแฟ หรือ cupping และประเมินคุณภาพเมล็ดกาแฟโดย Q grader ตามมาตรฐานการรับรองของสมาคมกาแฟพิเศษแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ SCAA พร้อมทั้งให้เกษตรกรแบ่งผลผลิตมาผลิตเป็นกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งปกติเกษตรกรที่ปลูกกาแฟอินทรีย์ส่วนใหญ่จะจำหน่ายเป็นแบบเชอรี่ ในราคา 29-40 บาท/กก. หากมีการผลิตแบบประณีตยกระดับเป็นกาแฟพิเศษแล้ว จะสามารถเพิ่มมูลค่าขึ้นได้มากกว่า 1,000 บาท/กก. อีกทั้งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสม และสร้างตราสินค้า พร้อมทั้งนำเสนอกาแฟคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 สิงหาคม 2567 ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย 

สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การออกบูธประชาสัมพันธ์ จัดแสดง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟคุณภาพของจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน และบูธของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากาแฟ รวม 30 บูธ การเจรจาธุรกิจ และมีกิจกรรม workshop สาธิตให้ความรู้ด้านกาแฟ การทำสครับกาแฟ เทคนิคการชงกาแฟให้ได้รสชาติที่ดี และชิมกาแฟคุณภาพจากเกษตรกรผู้ปลูกที่คัดสรรมาจาก 4 จังหวัด ที่จะสลับสับเปลี่ยนมาให้ผู้ร่วมงานได้ชิมรสชาติกันทุกวัน พร้อมกิจกรรมการแสดงดนตรี ศิลปวัฒนธรรม และการร่วมสนุกเล่นเกมส์รับของรางวัลด้วย
.
นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีพื้นที่ปลูกกาแฟร้อยละ 30.36 ของพื้นที่ปลูก ทั้งประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ที่มีพื้นที่ปลูกกาแฟอาราบิก้ามากที่สุดในภาคเหนือ รองลงมาเป็นจังหวัดน่าน แพร่ และพะเยา โดยกาแฟของแต่ละจังหวัดจะมีเอกลักษณ์และความโดดเด่นต่างกัน เนื่องจากด้วยพื้นที่ปลูกและกระบวนการแปรรูป สถิติพื้นที่ปลูกกาแฟตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของอุตสาหกรรมกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จะเห็นว่ากาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าให้กลุ่มจังหวัด ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปีแล้ว ยังมีส่วนช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระบบเกษตรกรรมแบบยั่งยืน ด้วยการปลูกร่วมกับไม้ผลและป่าธรรมชาติ จึงเรียกได้ว่าเป็นกาแฟรักษาป่า สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของภาคเหนือและกลุ่มจังหวัดที่ว่า “ท่องเที่ยวบนพื้นฐานวัฒนธรรมร่วมสมัย ยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร สิ่งแวดล้อมยั่งยืน สู่เศรษฐกิจมั่นคง” 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“สวัสดิการชุมชน พลังสร้างสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้วิกฤตประชากรไทย”

 

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 67  นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (มหาชน)   เป็นประธานเปิดงานสมัชชาสวัสดิการชุมชน ภาคเหนือ ภายใต้ชื่องาน “สวัสดิการชุมชน พลังสร้างสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้วิกฤตประชากรไทย”  โดยมี ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ  เครือข่ายสวัสดิการชุมชนภาคเหนือและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในงานสมัชชาสวัสดิการชุมชนภาคเหนือ (17 จังหวัด) และ นายอนันต์ ดนตรี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมเสวนา  ในหัวข้อ “สวัสดิการชุมชน พลังสร้างสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้วิกฤตประชากรไทย”  นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกาศทิศทางการขับเคลื่อนงานสวัสดิการชุมชน และกล่าวปิดงาน

          นอกจากนี้ยังมีนายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย  นางนัยน์รัตน์ เผดิมรอด ภู่งาม ผอ.กองกฎหมายและงานคดี นายสุทธิรักษ์ อุฒมนตรี ผอ.กองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร และเจ้าหน้าที่ ร่วมงานสมัชชาสวัสดิการสังคมภาคเหนือ“สวัสดิการชุมชน สร้างพลังสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้วิกฤติประชากรไทย” เพื่อเป็นเวทีถ่ายทอดบทเรียนการจัดสวัสดิการสังคมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการพัฒนายกระดับการจัดสวัสดิการสังคมชุมชนสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายการทำงานของพื้นที่และระดับประเทศ และร่วมจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์ภารกิจของหน่วยงาน ให้แก่หน่วยงานภาคีเครือข่าย ณ อาคารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ (อาคาร GMS) จังหวัดเชียงราย

          สำหรับการงานสมัชชาสวัสดิการชุมชน ภาคเหนือ (17 จังหวัด) ในครั้งนี้  เพื่อเป็นการถ่ายทอดบทเรียนการดำเนินงานสวัสดิการชุมชนด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนทั้งเมืองและชนบท สู่การสร้างการรับรู้งานสวัสดิการชุมชน สร้างความมั่นคงทางสังคมของคนในชุมชน และหลักประกันในการดำรงชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การสร้างพลังทางสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และขับเคลื่อนการพัฒนาสู่การแก้ไขปัญหาวิกฤตประชากร ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศ ด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ภายใต้หลักการ จัดสวัสดิการชุมชนที่ว่า “ให้อย่างมีคุณค่า รับอย่างมีศักดิ์ศรี” รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ให้ความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรทุกช่วงวัย และการดูแลประชากรกลุ่มเปราะบางให้ได้รับการพัฒนา สร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคมต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

โรงเรียนนวัตกรรมสังคม ‘ไร่รื่นรมย์’ เพื่อสังคมที่มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชน

 

เมื่อวันที่ 9-11 สิงหาคม พ.ศ. 2567 สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดย อาจารย์กฤษณ์ ขนาบศักดิ์ ผู้ช่วยคณบดีสำนักวิชานวัตกรรมสังคม และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปฐมพงศ์ มโนหาญ รองคณบดีสำนักวิชานวัตกรรมสังคม ได้จัดกิจกรรมโรงเรียนนวัตกรรมสังคม (Field school) ณ ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมีนักศึกษาจำนวน 16 คน จากสาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้

กิจกรรมโรงเรียนนวัตกรรมสังคมมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้แนวคิดและการดำเนินงานของกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ผ่านการศึกษาภาคสนาม โดยไร่รื่นรมย์เป็นหนึ่งในกิจการเพื่อสังคมที่มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ

ในวันที่ 1 ของกิจกรรม นักศึกษาได้รับฟังบรรยายจากผู้ก่อตั้งไร่รื่นรมย์ เกี่ยวกับแนวคิดการจัดตั้งและการดำเนินงานในฐานะกิจการเพื่อสังคม พร้อมทั้งวิเคราะห์แนวคิดดังกล่าวเชื่อมโยงกับ SDGs ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาความยากจน ส่งเสริมการศึกษา การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักศึกษาได้มีโอกาสอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของกิจการเพื่อสังคมในชุมชนท้องถิ่น และการที่ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของไร่

ในวันที่ 2 นักศึกษาได้ลงพื้นที่ทำกิจกรรมในรูปแบบเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Circular Green Economy หรือ BCG) ภายในไร่รื่นรมย์ ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กิจกรรมประกอบด้วยการเรียนรู้การจัดการระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ การบริหารจัดการน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการศึกษาแนวทางการทำเกษตรอินทรีย์ (Organic Farming) ซึ่งเป็นการปลูกพืชและเลี้ยงปศุสัตว์โดยปราศจากการใช้สารเคมี การเกษตรอินทรีย์นี้เป็นหนึ่งในแนวทางที่ส่งเสริมสุขภาพของทั้งผู้บริโภคและเกษตรกรในชุมชน รวมถึงเป็นการปกป้องสภาพแวดล้อมจากมลพิษทางเคมี

ไร่รื่นรมย์ถือเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนของการพัฒนากิจการเพื่อสังคมที่มีความยั่งยืน เนื่องจากไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในชุมชนโดยรอบ นักศึกษาได้เห็นถึงการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนผ่านการทำฟาร์มแบบออร์แกนิกและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การทำฟาร์มแบบออร์แกนิกเป็นการปลูกพืชที่ไม่ใช้สารเคมีซึ่งนอกจากจะลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ การเลี้ยงปศุสัตว์ภายใต้แนวทางนี้ก็เป็นส่วนสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในวันที่ 3 นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานภาคปฏิบัติกับชุมชนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนโดยใช้แนวคิดจาก SDGs มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน การพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชนบทและชุมชนท้องถิ่นเป็นเป้าหมายสำคัญของไร่รื่นรมย์ที่มีความสอดคล้องกับเป้าหมายที่ 12 ของ SDGs คือ การสร้างการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งไร่รื่นรมย์ได้ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมชุมชนในพื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง ผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการพัฒนา โดยชุมชนได้รับประโยชน์จากการพัฒนากิจการเกษตรร่วมกับไร่รื่นรมย์ เช่น การจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรและการสร้างเครือข่ายการค้าชุมชนที่เข้มแข็ง

กิจกรรมโรงเรียนนวัตกรรมสังคมในครั้งนี้ได้สร้างความเข้าใจให้นักศึกษาเห็นถึงความสำคัญของกิจการเพื่อสังคมที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามกรอบ SDGs โดยเฉพาะเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับท้องถิ่น นอกจากนี้ นักศึกษายังได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาและทำงานในอนาคต

การจัดกิจกรรมครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจในบทบาทของกิจการเพื่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์แนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เดินหน้าพัฒนาชุมชนต้นแบบ “ศูนย์ข้าวศรีดอนมูล” เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 นายโอวาท ยิ่งลาภ ผู้อำนวยการกองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว กรมการข้าว เปิดเผยว่า กรมการข้าวมุ่งสนองนโยบายรัฐบาล รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ด้วยการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าข้าวให้มีมูลค่าสูง ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ สินค้านวัตกรรม การบริการ และทำการต่อยอดข้าวออกสู่ช่องทางตลาดต่าง ๆ ให้ได้มากยิ่งขึ้น โดยยังส่งเสริมให้เกษตรกรเกิดการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ในกระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำให้มากขึ้น โดยมี “โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตรและแผนการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงตลาด ปี 2567” เป็นโครงการสำคัญ ซึ่งโครงการนี้จะมุ่งทำงานกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอย่างเข้มข้น และมุ่งเน้นให้แต่ละพื้นที่พัฒนาข้าวให้กลายเป็นสินค้าพรีเมียม เชื่อมโยงกับตลาดที่มีศักยภาพทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โมเดิร์นเทรด และทำให้เกิดแบรนด์ที่น่าจดจำจากแต่ละชุมชน

หนึ่งในชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวของภาคเหนือคือ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลจุน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา ซึ่งพื้นที่แห่งนี้มีความโดดเด่นในการผลิตข้าวได้หลากสายพันธุ์จากความอุดมสมบูรณ์ทางภูมิศาสตร์ในการปลูกข้าว ด้วยดินที่เกิดจากตะกอนลำน้ำที่มีส่วนประกอบจากหินภูเขาไฟและหินตะกอนชนิดต่าง ๆ ซึ่งพบบริเวณพื้นที่ราบหรือค่อนข้างราบระหว่างหุบเขา ดินมีการระบายน้ำเลวเนื้อละเอียด ซึ่งเหมาะแก่การปลูกข้าว ประกอบกับการมีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ถูกพัดพามาจากน้ำแม่อิงส่งผลให้ผลผลิตข้าว จังหวัดพะเยามีความหอม รสชาติที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และความหลากหลายทางสายพันธุ์ข้าวยังเป็นข้อได้เปรียบในการต่อยอดไปสู่ผู้บริโภคที่มีหลากหลายไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวอย่างของชุมชนที่สร้างมูลค่าจากการใช้กรรมวิธีเกษตรอินทรีย์ ซึ่งสอดคล้องกับในช่วงสองปีที่ผ่านมามูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น 27% (มูลค่าปี 2565 อยู่ที่ 9,169.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ 7,127.63 ล้านบาท) มีการเพิ่มขึ้นของพื้นที่การทำเกษตรอินทรีย์กว่า 4% รวมถึงผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาให้ความสำคัญกับการบริโภคสินค้าเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

นายโอวาท กล่าวเพิ่มเติมว่า วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ตำบลจุน ได้เข้าร่วมหลากหลายโครงการตามกิจกรรมสนับสนุนของกรมการข้าวอย่างต่อเนื่อง อาทิ ปี 2557 ได้รับการสนับสนุนเครื่องเป่าทำความสะอาดข้าวและเมล็ดพันธุ์แบบติดตั้ง ต่อมาในปี 2561 รับการสนับสนุนรถตักข้าว จำนวน 2 คัน และปี 2563 ได้รับการสนับสนุนเครื่องเป่าทำความสะอาดข้าวและเมล็ดพันธุ์แบบเคลื่อนที่ โดยจากการได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องได้ช่วยให้คนในชุมชนมีความสะดวกในหลากกระบวนการผลิตข้าวที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมยังช่วยตอกย้ำให้ชุมชนรู้จักช่องทางการขายหรือแนวทางการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการตลาดและผู้บริโภค

ด้านนางสาวชัญญาณัฐ พระวิสัตย์ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลจุน เปิดเผยว่า กรมการข้าวได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมองค์ความรู้สมัยใหม่ในการผลิตข้าว รวมถึงการเพิ่มมูลค่าข้าวในทางการค้าเชิงพาณิชย์ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อยกระดับข้าวพื้นเมืองให้ได้คุณภาพและมาตรฐานสากล ซึ่งผลิตภัณฑ์ข้าวของวิสาหกิจชุมชนเป็นสินค้าที่มีความต้องการของตลาดและผู้บริโภค มีข้าว 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ (กข15 และกข105) ข้าวกล้อง ข้าวมะลิแดง ข้าวก่ำ และข้าวไรซ์เบอรี่ ด้วยเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี จึงต่อยอดความต้องการของตลาดและขยายพันธุ์ข้าวในวิสาหกิจชุมชน โดยการขับเคลื่อนการดำเนินงานควบคู่ในการเป็นศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน เพื่อให้เกษตรกรได้มีพันธุ์ข้าวให้เลือกเพาะปลูก ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่ เพิ่มผลผลิตลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี

“วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลจุน ประกอบไปด้วยชาวบ้านในพื้นที่รวม 1,000 คน 200 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกข้าวรวม 1,000-2,000 ไร่ เกษตรกรจะทำการปลูกข้าวด้วยกรรมวิธีอินทรีย์ผสานกับการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จำเป็น เกษตรกรทำนาปีละ 1 ครั้ง มีฤดูกาลเพาะปลูกคือเดือน พฤษภาคม – ตุลาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 650 กิโลกรัม/ไร่ โดยปีที่ผ่านมามีผลผลิตรวม 50 ตัน สามารถจำหน่ายข้าวเปลือกได้ตันละ 15,000 บาท โดยกลุ่มสินค้าข้าวที่ขายดีที่สุดและสร้างรายได้ให้กับชุมชนคือ ข้าวหอมมะลิ โดยนอกเหนือจากความโดดเด่นในการเพาะปลูกข้าวได้หลากหลายสายพันธุ์แล้ว วิสาหกิจยังมีความพร้อมในการผลิตเพื่อรองรับการบริโภคด้วยกำลังการผลิตที่สูง ผ่านผลิตภัณฑ์ข้าวที่ออกสู่ตลาดภายใต้แบรนด์สร้อยศรี ซึ่งแบรนด์นี้มุ่งใช้
กลยุทธ์ที่สำคัญทั้งความเป็นข้าวพรีเมียม ความเป็นสินค้าอินทรีย์ที่ผลิตจากแหล่งเพาะปลูกคุณภาพบนพื้นที่สูง ไม่มีการใช้ยาหรือสารเคมี และมีสุดยอดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวทั้ง 5 ชนิด
ที่หารับประทานได้ยาก มีความหอม นุ่ม เหนียว อร่อย รับประทานกับอาหารได้หลากหลายประเภท”

นางสาวชัญญาณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเพิ่มมูลค่าข้าวในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นสินค้าพรีเมียมเพื่อส่งต่อไปถึงผู้บริโภค ได้แก่ ข้าวบรรจุถุง ข้าวพองกรอบเคลือบช็อกโกแลต เวย์ข้าวโปรตีนผสมธัญพืช 9 ชนิด แป้งข้าวอินทรีย์ และข้าวแต๋น ที่หลากหลายรสชาติ ผสมผสานการตกแต่งให้น่ารับประทาน โดยได้สร้างผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูปในชุมชนให้เป็นที่รู้จัก ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ข้าวหอมสร้อยศรี” เช่นเดียวกับข้าวสำเร็จรูป การันตีด้วยรางวัลข้าวดีเด่น ปี 2543 และปี 2544 กับโล่รางวัลชนะเลิศประเภทข้าวหอมมะลิดีเด่นระดับประเทศ อีกทั้งยังได้ผลักดันผลิตภัณฑ์ข้าวให้ก้าวสู่สินค้าโมเดิร์นเทรดสำหรับผู้ประกอบการห้าง ค้าปลีก และค้าส่ง เพื่อนำไปจัดจำหน่าย อาทิ ท็อปส์ เดลี่ สาขา พะเยา และห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ทั้งนี้ พร้อมเดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์ข้าวผ่านกลยุทธ์ ทางการตลาดที่ครบวงจรการจัดจำหน่าย ผ่านออนไลน์ อาทิ เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ นายโอวาท เปิดเผยเพิ่มว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพ และเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนจำเป็นต้องมีการสร้างแปลงนา – วิสาหกิจชุมชนต้นแบบเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจในการพัฒนา พร้อมทั้งทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ ผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิตที่ดีไปยังชุมชนอื่น ๆ โดยแนวทางดังกล่าวยังช่วยให้กลุ่มชาวนามีความเข้มแข็ง มั่นคง รู้จักแนวทางเพิ่มมูลค่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป การลดของเสีย นวัตกรรมในการผลิต การต่อยอดสินค้าไปสู่การบริการ รวมทั้งการส่งเสริมการทำตลาดและการทำแบรนด์สินค้า และผลักดันให้ระบบเกษตรกรรมอย่าง การปลูกและผลิตข้าวในแต่ละพื้นที่มีความแข็งแกร่งและอยู่ได้ในระยะยาวอีกด้วย

“ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ถือเป็นชุมชนต้นแบบการผลิตข้าวที่สำคัญของจังหวัดและภูมิภาค ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแปลงใหญ่ข้าวด้วยแนวคิดการปลูกข้าวปลอดภัย เพื่อแก้ปัญหาการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพดี ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมีจนได้รับมาตรฐานการรับรอง GAP (Good Agricultural Practice) การผลิตข้าวตามหลักการ GAP Seed จากกรมการข้าว ควบคู่กับการจัดทำระบบควบคุมภายในเพื่อควบคุมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยชุมชนแห่งนี้ ยังเป็นแหล่งกระจายและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีสู่ชาวนาในพื้นที่ด้วยพื้นที่เพื่อการผลิตเฉพาะเมล็ดพันธุ์ถึง 238 ไร่ สามารถกระจายไปถึง 5 พื้นที่ที่มีการปลูกข้าว และยังเป็นศูนย์ถ่ายทอดความรู้ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญให้กับคนในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้เกษตรกรยังมีความมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแบบประณีต พร้อมทั้งการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตข้าวตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ มีความเชื่อมั่นระดับสูง การยกระดับมาตรฐาน GAP สู่เกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้งการแปรรูปข้าวให้เป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีการดำเนินการด้านการตลาดเข้าถึงผู้บริโภคที่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตลอดจนการเชื่อมต่อผลผลิตข้าวเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีศักยภาพในการสร้างงาน กระจายรายได้ให้กับประชาชนในตำบล”

นอกจากการผลักดันชุมชนต้นแบบในการผลิตข้าวของแต่ละพื้นที่แล้ว กองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว ยังมุ่งลดจุดอ่อนอุตสาหกรรมข้าวไทยในกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว เช่น การลดของเสีย การทำการตลาด รวมถึงการผลักดันสินค้าสร้างสรรค์ – สินค้านวัตกรรมของแต่ละชุมชนให้เหนือไปกว่าการแปรรูปขั้นกลาง เนื่องจากขณะนี้ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยแนวทางนี้มุ่งหวังให้ อย่างน้อยเกิด 1 ผลิตภัณฑ์หรือบริการเรือธง ที่ต่อยอดหรือใช้ประโยชน์จากพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เพื่อสร้างการจดจำและรายได้ที่มากขึ้นให้กับวิสาหกิจชุมชน พร้อมทั้งพลิกโฉมเกษตรกรรมให้ไปสู่เกษตรสมัยใหม่ที่ทุกกระบวนการเชื่อมโยงกันทั้งระบบการทำเกษตรที่มีประสิทธิภาพสูง คนในชุมชนเกิดรายได้สูง และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น

ด้านนายธนานุวัฒน์ จันทร์ฟอง ประธานศูนย์ข้าวชุมชนศรีดอนมูล เปิดเผยว่า กรมการข้าว ได้ให้
การส่งเสริมองค์ความรู้ การพัฒนาการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สินค้าข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดข้าว รวมถึงการเพิ่มมูลค่าข้าวในทางการค้าเชิงพาณิชย์ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อยกระดับสินค้าในพื้นที่ชุมชนศรีดอนมูล ซึ่งผลิตพันธุ์ข้าวเป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภค มีข้าวพื้นเมือง 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ (กข15 และกข105) ข้าวเหนียว (กข6 สันป่าตอง และกข-แม่โจ้ 2) ด้วยเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี จึงได้ต่อยอดขยายพันธุ์ข้าวให้มีเมล็ดพันธุ์เพิ่มมากขึ้น เริ่มจากสมาชิกในชุมชน และให้เกษตรกรเลือกเพาะปลูก เพื่อผลผลิตที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการของศูนย์ข้าวชุมชนในการขยายพันธุ์ข้าวให้มีเมล็ดพันธุ์เพิ่มมากขึ้น

วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชน ตำบลศรีดอนมูล ประกอบไปด้วยชาวบ้านในพื้นที่รวม 38 คน 45 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกข้าวรวม 1,037 ไร่ เกษตรกรจะทำการปลูกข้าวด้วยกรรมวิธีอินทรีย์ผสานกับการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จำเป็น ทั้งนี้ เกษตรกรทำนาปีละ 2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ มีฤดูกาลเพาะปลูกคือเดือน มิถุนายน – สิงหาคม และ เดือน พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือน เมษายน และเดือน มิถุนายน ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 800 กิโลกรัม – 1.29 ตัน/ไร่ โดยปีที่ผ่านมามีผลผลิตรวม 250 ตัน สามารถจำหน่ายข้าวเปลือกได้ตันละ 11,000 บาท โดยกลุ่มสินค้าข้าวที่ขายดีที่สุดและสร้างรายได้ให้กับชุมชนคือ ข้าวหอมมะลิ

นอกเหนือจากนี้ความโดดเด่นของศูนย์ข้าวชุมชนศรีดอนมูล คือ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวเขี้ยวงู เป็น คราฟต์เบียร์ ภายใต้แบรนด์สุราฮิมนา ซึ่งอยู่ในกระบวนการทดสอบความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์แปรรูปให้เป็นไปตามมาตรฐานกรมสรรพสามิต ทั้งเรื่องของรสชาติ การสร้างแบรนด์ให้ตรงการตามต้องการของตลาดและดึงดูดใจผู้บริโภค นอกจากนี้ยังต่อยอดข้าวเหนียวเขี้ยวงู (GI) แปรรูปเป็นเหล้าขาว ในรูปแบบโซจู ที่ทำการตกแต่งกลิ่นและรสชาติหลากหลายรส อาทิ ลิ้นจี้ สตอเบอรี่ มะม่วง และพีช และมียังมีแนวคิดในการแปรรูปข้าวหอมมะลิ 105 เป็น ชา ที่มีความหอมของข้าวหอมมะลิ โดยแนวคิดเหล่านี้กำลังอยู่ในกระบวนการต่อยอดความสำเร็จในผลิตภัณฑ์ ให้เป็นสินค้าประจำชุมชนในการสร้างรายได้อนาคต”


นายธนานุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชุมชนศรีดอนมูลยังมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเพิ่มมูลค่าให้ข้าวด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อส่งต่อผู้บริโภค ได้แก่ ข้าวสุญญากาศภายใต้ชื่อแบรนด์ “ศรีดอนมูล” ฟางข้าว
อัดก้อน กระดาษสาจากฟางข้าว ก้อนเพาะเห็ดจากฟางข้าว และก้อนอิฐจากฟางข้าว โดยผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูปได้พัฒนาคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าวและผลิตข้าวได้มาตรฐาน GAP ได้รับรางวัลการันตีในการประกวดข้าวหอมมะลิ ประเภทรายบุคคลและสถาบันเกษตร ในปี 2565 นอกจากนี้ยังมีการต่อยอดการสีข้าว ส่วนฟาง แปรรูปเป็นรำหยาบ รำละเอียด ปลายข้าว และแกลบ ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนไม่มีเหลือทิ้งเป็นขยะแต่อย่างใด (Zero Waste) และ
เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อจัดจำหน่าย ส่งเสริมการค้าเชิงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม สำหรับศูนย์ข้าวชุมชน ตำบลศรีดอนมูล ได้เข้าร่วมหลากหลายโครงการตามกิจกรรมสนับสนุนของกรมการข้าวอย่างต่อเนื่องถึง 11 ปี อาทิ ปี 2563 ได้รับการสนับสนุนเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก โดยจากการได้รับการสนับสนุนจะช่วยให้คนในชุมชนมีความสะดวกในกระบวนการผลิตข้าวที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังสามารถช่วยรักษาคุณภาพของเมล็ดรักษาสีและรูปร่างของเมล็ดข้าวให้สวยและมีความสมบูรณ์สูง ไม่ทำให้เยื่อหุ้มและตาข้าวเสียหาย พร้อมยังช่วยตอกย้ำให้ชุมชนรู้จักช่องทางการขายหรือแนวทางการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการตลาดและผู้บริโภค

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการข้าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ปรับเงื่อนไขร่วมลงทุนศูนย์ขนส่งสินค้า เชียงของ จ.เชียงราย 2,864 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 กรมการขนส่งทางบกปรับเงื่อนไขจูงใจเอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่าย รูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย !!! ผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนได้ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2567 ถึง 20 กันยายน 2567 นี้

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 วงเงินโครงการรวมกว่า 2,864 ล้านบาท โดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน และค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สำนักงานและส่วนประกอบ และงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ และเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ทั้งหมด รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้และจ่ายค่าสัมปทานให้ภาครัฐตลอดระยะเวลา 15 ปี นับจากปีเปิดให้บริการ ทั้งนี้ ประกาศเชิญชวนฉบับนี้ ได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขบางส่วนให้สอดรับกับความต้องการของภาคเอกชน และสถานการณ์การขนส่งในปัจจุบัน เฉพาะในส่วนที่ไม่ขัดต่อหลักการของโครงการร่วมลงทุนตามที่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย จัดเป็นหนึ่งในโครงการตามแผนพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) ของกรมการขนส่งทางบก ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประชิดด่านพรมแดนเชียงของ และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ – ห้วยทราย) บนเนื้อที่กว่า 335 ไร่ ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสินค้าทางถนน เป็นสถานีปรับเปลี่ยนการขนส่งระหว่างประเทศไปสู่ภายในประเทศ รองรับการขนส่งสินค้าทางถนนระหว่างประเทศบนเส้นทางสาย R3A เชื่อมต่อการขนส่งระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีนฝั่งตะวันตก (นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน) รองรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงาน CIQ ซึ่งจะช่วยสนับสนุน

ให้เป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) สามารถดำเนินพิธีการที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้ในจุดเดียว และยังรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (Modal Shift) ระหว่างทางถนนกับทางราง ผ่านโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้อย่างไร้รอยต่ออีกด้วย โดยปัจจุบันกรมการขนส่งทางบก

อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโครงการในระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. 2569 อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินโครงการบนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประสบความสำเร็จและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของภาคเอกชน ควบคู่กับการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ซึ่งการออกประกาศเชิญชวนในครั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ได้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางส่วนให้จูงใจภาคเอกชนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

โดยโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ของภาคเหนือ (Northern Logistics Hub) ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางให้เป็นระบบการขนส่งหลัก (Backbone) ของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ภาคเอกชนที่สนใจสามารถติดต่อขอซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน ในราคาชุดละ 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ได้ที่ส่วนพัสดุและแผ่นป้ายทะเบียนรถ อาคาร 6 ชั้น 4 กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2567 ถึง 20 กันยายน 2567 ทุกวันทำการ ระหว่างเวลา 09.00 น. ถึง 15.00 น. และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากประกาศเชิญชวน โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย

โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.dlt.go.th หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ สำนักการขนส่งสินค้า กรมการขนส่งทางบก โทร. 0 2271 8492 – 3 ในวันและเวลาราชการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทยประชุมบูรณาการ สปป.ลาว ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์คิงส์โรมัน

 

เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2567 ที่ห้องประชุม สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร.ได้ประชุมบูรณาการร่วมหน่วยงานความมั่นคงชายแดน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไทย-สปป.ลาว-เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” โดยมี เจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ฝ่ายปกครอง ทหาร คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีท่านคำเพ็ง กุมพัน หัวหน้าห้องว่าการเมืองต้นผึ้ง ท่านบุญถี ยัดทะวง รองหัวหน้ากองบัญชาการ ปกส.(ตำรวจ) เมืองต้นผึ้ง ท้าวอุ่นเรือน วิไซพัน หัวหน้าห้องการเทคโนโลยีและการสื่อสารเมืองต้นผึ้ง และท่านดาวเพ็ด วันมะแสง หัวหน้าหน่วยงานประสานชายแดนเมืองต้นผึ้ง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนในการประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมมีการหารือเรื่องเดียวคือการปราบปรามขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลีย่มทองคำ เมืองต้นผึ้ง ร่วมกัน

โดยมีมติร่วม 2 ข้อคือ 1.ทางการ สปป.ลาว จะไม่ยินยอมให้มีขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอ์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำโดยเด็ดขาด โดยหลังจากวันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นไปหากพบผู้เข้าไปลักลอบตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวมถึงคนไทยจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของ สปป.ลาว อย่างเช้มงวด 2.เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องจึงจะมีการศึกษาและกำหนดแนวทางในการตั้ง “คณะทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามเขตแนวชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว” ซึ่งในส่วนของฝ่ายไทยทาง พล.ต.ท.ธัชชัย ได้มอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์และ ภ.5 ได้ศึกษาในการตั้งคณะกรรมการ โดยหากมีการแจ้งความดำเนินคดีในฝ่ายไทยก็จะมีการแจ้งข้อมูลต่อให้กับคณะกรรมการถ้าเป็นคนไทยก็นำมาลงโทษในประเทศไทยหรือหากมีหมายจับก็จะควบคุมดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้มีเพียงเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ เพราะถือเป็นปัญหาใหม่สำหรับการพูดคุยหารือกันระหว่างประเทศเพราะเราต้องการความมั่นใจว่าต่อไปนี้จะต้องไม่มีพื้นที่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนและมาหลอกลวงคนไทยอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้มีการตัดสัญญานอินเตอร์เน็ตที่ส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผลคือมีการใช้สัญญานโทรศัพท์จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นจนเกิดการโทรศัพท์ที่มีหมายเลขจำนวนมาหาคนไทย แสดงให้เห็นว่าแก๊งนี้ทำไม่ได้เหมือนเดิม และในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาแก๊งที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชาหลบหนีเข้ามายังฝั่งไทยที่ จ.ชลบุรี ซึ่งถูกตำรวจไทยจับกุมดำเนินคดีได้แล้วที่ อ.ศรีราชา ในที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หน่วยงานความมั่นคงชายแดน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

เปิดป้ายสถานชีวาภิบาลวัดหัวฝาย เปิดป้ายสถานชีวาภิบาลวัดหัวฝาย

 

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 67 เวลา 14.00 น. ที่วัดหัวฝาย ต.สันกลาง อ.พาน จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประกอบพิธีเปิดป้ายสถานชีวาภิบาลในชุมชนวัดหัวฝาย กุฏิชีวาภิบาลวัดหัวฝาย บ้านกลาง และชมรมคนพิการทางด้านการเคลื่อนไหวอำเภอพาน โดยได้รับเมตตาจาก พระครูปิยวรรณพิพัฒน์, ดร. เจ้าคณะตำบลสันกลาง เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย ประธานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ โดยมี นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นายวุฒิกร คำมา นายอำเภอพาน พร้อมด้วยนายอำเภอ ทุกอำเภอในพื้นที่จังหวัดเชียงราย นายศรีวรรณ วงค์จินา กำนันตำบลสันกลาง นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดเชียงราย พร้อมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และพี่น้องประชาชน ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในวันนี้ตนมีความตั้งใจที่เดินทางมาร่วมกับพี่น้องประชาชนทำพิธีเปิดป้ายสถานชีวาภิบาลในชุมชนวัดหัวฝาย กุฏิชีวาภิบาลวัดหัวฝาย บ้านกลาง และชมรมคนพิการทางด้านการเคลื่อนไหวอำเภอพาน ภายใต้ความเมตตาของ พระครูปิยวรรณพิพัฒน์, ดร. เจ้าคณะตำบลสันกลาง เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย ผู้นำคณะสงฆ์ผู้มีเมตตาสงเคราะห์ญาติโยมทั้งในจังหวัดเชียงราย และทั่วประเทศ กระทั่งท่านได้รับอาราธนานิมนต์ให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพราะท่านได้แสดงเจตนารมณ์ด้วยการ “ลงมือทำ” เป็นผู้นำดูแลกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ทั้งผู้พิการและผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นพระสงฆ์สาธารณสงเคราะห์ สอดคล้องตามบันทึกข้อตกลงร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงมหาดไทยและมหาเถรสมาคม 3 โครงการสำคัญ คือ 1) บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม 2) โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ร่วมกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของ วัดและบ้าน ตามหลัก 5 ส. และ 3) โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5 ขยายผลสู่ หมู่บ้านศีลธรรม” ร่วมกับสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร เพื่อรณรงค์ให้คนมีศีลธรรม ไม่ได้เพียงแค่ศาสนาพุทธ แต่รวมไปถึงศาสนาคริสต์ อิสลาม และทุกศาสนา

“วันนี้เราได้รับเมตตาจากพระสงฆ์องค์เจ้า พระครูปิยวรรณพิพัฒน์, ดร. เจ้าคณะตำบลสันกลาง เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย ได้ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการสงเคราะห์ญาติโยม ซึ่งสิ่งที่ท่านทำนั้นสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ของพวกเราชาวมหาดไทยในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผู้นำของพื้นที่อำเภอ” คือ ท่านนายอำเภอทุกอำเภอ ต้องนำแนวทางนี้มาบูรณาการทำงานจับมือร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกอำเภอ ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดูแลให้พี่น้องประชาชนมีความสุขที่เพิ่มมากขึ้น และขจัดปัดเป่าความทุกข์หรือปัญหาของชีวิตให้เบาบางลงจนหมดไป ซึ่งคำว่า บำบัดทุกข์ บำรุงสุข เป็นปณิธานและจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่พี่น้องทั้งผู้นำท้องที่ และผู้นำท้องถิ่น ต้องช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างยั่งยืน ดังเช่นเมื่อสักครู่ จากการตรวจเยี่ยมพบปะพูดคุยกับผู้สูงอายุที่บ้านกลาง ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ทำให้ได้ทราบข้อมูลว่า ป้าผู้มาพักไม่มีบ้านอยู่เพราะบ้านที่เคยอยู่ได้รับความเสียหาย โดยเมื่อกำนันตำบลสันกลางได้รับทราบข้อมูล จึงได้รับปากว่าจะช่วยซ่อมแซมบ้านให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน จึงขอขอบคุณท่านกำนัน และขอให้พวกเราชาวตำบลสันกลางได้ร่วมกับท่านกำนันช่วยกันดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมช่วยเหลือ เพื่อตำบลสันกลางของพวกเราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความรัก ความสามัคคี ความเมตตาการุญอาทรกันและกัน ดังที่วันนี้พวกเราทุกคนต่างมากันด้วยความสำนึกในบุญคุณของพระครูปิยวรรณพิพัฒน์, ดร. รวมทั้งขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน ช่วยกันขยายผลสิ่งที่ดีนี้ไปยังทั่วทั้ง 231 หมู่บ้านของอำเภอพาน พร้อมทั้งช่วยกันชักชวนให้พื้นที่อื่น ๆ มาศึกษาดูงาน มาช่วยกันให้กำลังใจ ร่วมกันอนุโมทนา และดูแลให้สมาชิกของสถานชีวาภิบาลแห่งนี้ได้รับคำแนะนำที่ดีจากแพทย์ ให้ได้รับการดูแลจากอสม. ได้รับอาหารครบทุกหมู่ อยู่ในสถานที่ที่สะอาด สวยงาม รื่นรมย์ ด้วยความสุข” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า สิ่งสำคัญที่พวกเราในฐานะผู้นำพื้นที่ ตลอดจนถึงผู้นำท้องที่ และท้องถิ่น ต้องช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชน นั่นคือ “สุขภาพพลานามัย” ด้วยการส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายในทุกวัน ค้นหาผู้นำการออกกำลังกายมาทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความเข้มแข็ง มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งการจะทำให้คนอำเภอพานทั้ง 100% ได้มีสุขภาพที่ดี ต้องทำอย่างน้อยที่สุด 3 เรื่อง คือ 1) เรื่องอาหาร ด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริ บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง และทางนี้มีผลผู้คนรักกัน ซึ่งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานไว้เป็นแนวทางในการ พึ่งพาตนเองด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร ไว้ในบริเวณพื้นที่ว่างของบ้าน และริมถนนสาธารณะ หรือพื้นที่สาธารณะของชุมชน เพื่อที่สมาชิกในหมู่บ้าน/ชุมชน จะได้มีสุขภาพที่ดีจากการบริโภคพืชผักปลอดสารพิษเหล่านี้ และยังเป็นการส่งเสริมพลังความรักสามัคคี เพราะทุกคนจะได้ร่วมกันเอามื้อสามัคคี ได้ออกกำลังกายไปในตัว และยังจะได้มีพืชผลทางการเกษตรเหล่านี้แบ่งปันภายในหมู่บ้าน/ชุมชน 2) เรื่องการออกกำลังกาย ด้วยการต้องออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที บริเวณพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้าน/ชุมชน หรือพื้นที่ว่างภายในบ้าน ซึ่งการออกกำลังกายมีหลายรูปแบบ โดยหากทุกคนทำอย่างต่อเนื่องก็จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และ 3) เรื่องการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพพลานามัย ต้องระมัดระวังอย่าให้ตนเองเป็นคนประมาทที่ไม่รู้เรื่องการประพฤติปฏิบัติตัวว่า “กินอะไรที่จะส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ” โดยเฉพาะโรคที่สำคัญ เมื่อเป็นแล้วเป็นเวรเป็นกรรม น่าสงสารที่สุด นั่นคือ “โรค Stroke หรือเส้นเลือดในสมองชำรุด รั่ว ซึมแตก หรือชื่อเป็นทางการว่า “โรคหลอดเลือดสมอง” โดยขอให้ท่านนายอำเภอได้เชิญชวนให้คนในอำเภอพาน และทุกอำเภอ สมัครเข้าร่วมโครงการเดินวิ่งปั่นแสงนำใจไทยทั้งชาติ ครบ 100% ซึ่งในวันจัดกิจกรรมนั้นก็สามารถใช้พื้นที่ถนนในพื้นที่อำเภอ/ตำบล/หมู่บ้าน จัดกิจกรรมพร้อมกับส่วนกลางได้

“อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญถัดมา คือการดูแลสุขภาพอนามัยของเด็ก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา กระทั่งเป็นเด็กเล็ก เด็กโต ด้วยการส่งเสริมการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่ เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ถูกต้องตามหลักสาธารณสุข และเมื่อคลอดออกมาแล้วต้องมีคู่มือในการดูแลให้เด็กเล็กได้รับการบริโภคสารอาหารที่ครบถ้วน ขณะเดียวกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องจัดสถานที่สำหรับสันทนาการควบคู่การเรียนรู้ โดยสามารถบูรณาการร่วมกับมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา เพื่อให้มีพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กเล็ก ได้ฝึกสมองและฝึกกล้ามเนื้อ ให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงสมบูรณ์ และเมื่อเด็กโตขึ้นก็ให้ได้รับการบริโภคอาหารครบทั้ง 5 หมู่ มีสถานที่ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ และพื้นที่ในการเรียนรู้ตามวัย ในท้ายที่สุดเด็กทุกคนต้องได้รับการเรียนหนังสือ หากพบเด็กที่พบปัญหาขาดแคลนทุนการศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ทุกคนต้องช่วยกันเป็นจิตอาสา เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ โดยไม่ต้องผ่านการฝึกอบรม ไม่ต้องมีเครื่องแบบ แต่ต้องมี “ใจและความประพฤติปฏิบัติ” ที่เป็น “จิตอาสา” เฉกเช่นสิ่งที่พระครูปิยวรรณพิพัฒน์, ดร. ทำ ถือเป็นจิตอาสาชั้นอ๋อง อันหมายความว่า เป็นจิตอาสาที่มีความโดดเด่น เพราะใจท่านมีความเมตตากรุณาอยากช่วยเหลือสงเคราะห์ศรัทธาญาติโยมทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ดังนั้น พวกเราคนหมู่บ้านเดียวกัน รู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้ว ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลและนำข้อมูลข่าวสารไปยังผู้นำท้องที่ คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่น คือ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฝ่ายราชการ คือ ปลัดอำเภอ และข้าราชการผู้รับผิดชอบประจำตำบล ถึงนายอำเภอถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงผู้นำทางศาสนา คือ หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ เพราะข้อมูลหลายส่วนไปไม่ถึงฝ่ายราชการ จึงขอให้วิถีชีวิตเราตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เราจะไม่เพิกเฉยถ้าเกิดเจอปัญหาที่อยู่ในพื้นที่ ถ้าเราช่วยกันแก้ไขได้ในพื้นที่ เราก็จะช่วย ช่วยไม่ได้เพราะเกินกำลังเราก็จะบอก “ผู้นำ” ที่สามารถพึ่งพาได้ และสิ่งที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัย คือ ต้องพาลูกหลานเข้าวัดเข้าวา ถ่ายทอดองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรม การทำอาหาร การทำบุญใส่บาตร รู้จักไหว้พระก่อนนอน กราบพระรัตนตรัยทุกคืน ก่อนออกจากบ้านก็ต้องไหว้พ่อแม่ปู่ย่าตายาย กลับมาบ้านก็ต้องไหว้ ซึ่งจะส่งผลให้เขาเป็นเด็กที่มีความอ่อนหวาน เป็นเด็กเรียบร้อยเป็นคนดี แต่ที่สำคัญพ่อแม่ปู่ย่าตายายต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม

นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันขยายผลทำความ ดี ด้วยหัวใจ ช่วยกันดูแลกลุ่มเปราะบาง ช่วยกันขยายผลโครงการชีวาบาล โรงเรียนผู้สูงอายุ ในการทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้มีคุณูปการต่อครอบครัว ต่อสังคม ที่บั้นปลายมีความยากลำบากเพราะสุขภาพร่างกายและครอบครัวไม่เอื้ออำนวยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ช่วยกันทำให้สมกับคำว่า บ้านเมืองไทยของเราเป็นเมืองพุทธ ดังนั้น ความเมตตากรุณา การช่วยเหลือสงเคราะห์ที่ท่านพระครูปิยวรรณพิพัฒน์, ดร. ได้ดำเนินการอยู่ดีนี้ พี่น้องประชาชนทุกคนต้องช่วยกันสนับสนุน ทำให้เกิดขึ้นที่บ้าน ที่หมู่บ้าน และที่ตำบลของพวกเรา โดยมีนายอำเภอ กำนัน นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยทำให้เกิดขึ้นเต็มพื้นที่ของอำเภอพาน เพื่อที่พวกเราทุกคนจะมีความสุขด้วยกัน จากการที่พวกเราช่วยกัน ทำความ ดี ด้วยหัวใจ เป็นกำลังสำคัญของการดูแลช่วยเหลือครอบครัว ชุมชน ตำบล หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติมีความมั่นคง ทำให้พี่น้องประชาชนคนที่เป็นญาติมิตรและคนที่เรารู้จักและไม่รู้จักได้มีความสุขอย่างยั่งยืน เพื่อความสุขที่เรามีด้วยกันจะช่วยทำให้ประเทศชาติและสังคมของเรามีความมั่นคงอย่างแน่แท้ตลอดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครูแดงแนะตั้งหน่วยเฉพาะกิจดูแล ช่วยให้สัญชาติไทย’ชาวไทลื้อเชียงราย’

 

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ได้นำสื่อมวลชนจากส่วนกลางกว่า 10 คนลงพื้นที่ชุมชนชาวไทลื้อบ้านร่มโพธิ์ทอง จังหวัดเชียงราย เพื่อขับเคลื่อนประเด็นผู้เฒ่าไร้สัญชาติภายหลังจากที่ผู้เฒ่ากลุ่มใหญ่ได้ร้องเรียนถึงความล้าช้าในกระบวนการแปลงสัญชาติเนื่องจากแต่ละคนตกอยู่ในสภาพเปราะบางเพราะต่างสูงวัย โดยมีสมาคมไทลื้อเชียงราย นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดเวทีให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนซึ่งมีชาวบ้านเชื้อสายไทลื้อประมาณ 300 คนเข้ารวม

นางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” กรรมการผู้ก่อตั้ง พชภ. และอดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย กล่าวว่าปัญหาที่ จ.เชียงราย คือ ผู้เฒ่าที่ยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติ ได้ส่งคำร้องที่คณะกรรมการฯ ระดับจังหวัดไปกรมการปกครองแล้ว จำนวนรวมกว่า 1,332 คำร้อง แต่ได้รับการแปลงสัญชาติเพียง 239 ราย ยังไม่ได้พิจารณาอีก 1,093 คำร้อง ก่อนหน้านี้การแปลงสัญชาติต้องมีเกณฑ์ต่างๆ แต่หลังจากการขับเคลื่อนแก้ปัญหาผู้เฒ่าไร้สัญชาติ จนปี 2563 ได้มีหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทย ให้ปรับปรุงแนวทางการประกอบการพิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชนกลุ่มน้อยโดยการแปลงสัญชาติตามมาตรา 10 แห่งพรบ.สัญชาติ พศ.2508 ปรับลดเกณฑ์ลงสำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป

“คุณสมบัติความเป็นพลเมืองดี เราได้ผลักดันจนยกเลิกเป็นให้ใช้พยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ 3 คน ความรู้ภาษาไทย อ่านเขียนร้องเพลงชาติยกเลิกแล้ว ตอนนี้เหลือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ถิ่นที่อยู่ 5 ปี ก่อนแปลงสัญชาติ และ ทร.14 เคสที่มาพบวันนี้เป็นผู้เฒ่าเชื้อสายไทยลื้อ ที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากสิบสองปันนาจีนตอนใต้ เชียงตุง ท่าขี้เหล็ก อยู่มามากกว่า 50 ปี การตรวจสอบระดับจังหวัดไปแล้ว 40 คน พบว่าผู้เฒ่าเสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 คน กระบวนการล่าช้าทำให้เขาเสียสิทธิและผู้เฒ่าถือว่าเป็นบุคคลที่เปราะบางที่สุด ซึ่งเขาเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายของลูกหลานคนไทย ที่ร่วมสร้างบ้านแปลงเมือง อยู่มานานมีถิ่นฐานอยู่ที่นี่”นางเตือนใจกล่าว

นางเตือนใจกล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาความล่าช้า กรมการปกครองมีข้อเสนอให้ยกระดับความสำคัญของงานสัญชาติ และจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อดูแลเรื่องสถานะบุคคลหรือสัญชาติ ส่วนที่วุฒิสภาเสนอที่ตรงกับภาคประชาสังคมให้มีหน่วยงานเฉพาะเพื่อดูแลเรื่องสัญชาติ และยกระดับความสำคัญ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพในแง่โครงสร้าง บุคลากร ความรู้ความเข้าใจและทรัพยากรสนับสนุน

นายแอ่น ลิวไชย นายกสมาคมชาวไทลื้อ จ.เชียงราย กล่าวว่า ชาวบ้านไทลื้อ อ.แม่สาย อ.แม่สรวย อ.แม่จัน อ.เวียงป่าเป้า ฯลฯ พี่น้องไทยลื้อได้ลงแรงทำมาหากิน ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายหรือเสื่อมเสีย

“เราขอความเมตตาจากรัฐบาลไทย เรามาอยู่ไทยมายาวนาน ลูกเต้าเราเป็นคนไทย เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นครู ฯลฯ แต่พ่อแม่ยังติดขัด ยังไม่ได้รับบัตรประชาชนไทย หากได้สัญชาติไทยได้เข้าระบบบัตรประชาชนก็จะยินดีมาก ผมได้คุยกับนายอำเภอที่เชียงของ และที่แม่สรวยนี้ เราไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจไม่ได้เอาคนมาสวมมาใส่ ทำตามกฎหมาย เราช่วยกันมีอะไรก็ช่วยกัน วันนี้ขอร้องขอความเมตตาเจ้านาย ขอท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” นายแอ่น กล่าว

ด้านนายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ทำเรื่องขอสัญชาติผ่านอำเภอ 48 คน เสียชีวิต 5 ราย รวมแล้วมีผู้ทำเรื่อง 43 คน ได้รับสัญชาติ 11 คน และเหลืออีก 32 คนอยู่ระหว่างพิจารณา ขณะนี้ทางอำเภอกำลังจัดเตรียมเอกสาร 17 ราย ยื่นไปจังหวัดแล้ว 14 ราย โดยงานทะเบียนอำเภอมีเจ้าหน้าที่เพียง 2 คน แต่ดูแลประชาชนกว่า 70,000 คน อย่างไรก็ตามจะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด

นายพรม พรชัย ชาวบ้านร่มโพธิ์ทอง อ.แม่สรวย กล่าวว่า คนที่ไร้สัญชาติไทยไม่มีบัตรประชาชนอย่างพวกตตนถ้าไม่มีเงินสดซื้อของไม่ได้เพราะไม่มีบัตรประชาชน แต่คนมีบัตรประชาชนไม่มีเงินก็เอาบัตรเซ็นได้

“ผมได้ยื่นขอแปลงสัญชาติตั้งแต่ปี 2560 จนปี 2563 เข้าไปสอบที่จังหวัดแล้ว ร้องเพลงชาติแล้ว แต่ผ่านมาเวลานี้ก็ยังไม่ได้รับการแปลงสัญชาติ ตอนนี้คนที่เคยไปขอแปลงสัญชาติตายไปแล้ว 10 คน ผมขอฝากเรื่องนี้ด้วย” นายพรม กล่าว

ขณะที่นายแสง ศรีวิชัย ชาวบ้านจาก อ.แม่จัน กล่าวว่า ได้ยื่นขอแปลงสัญชาติตั้งแต่ปี 2559 ร้องเพลงชาติที่ศาลากลางแล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ขณะที่ลูกหลานได้เป็นคนไทยหมดทุกคน โดยคนเฒ่าที่ขอแปลงสัญชาติตายไปแล้วนับสิบคน เขาบอกว่าได้แน่นอน คือนอนตาย หรืออย่างไร

นายทูล วงศา ชาวบ้านจาก อ.แม่สาย กล่าวว่า ตนเองเข้ามาไทยตั้งแต่ปี 2510 แรกๆ ไม่รู้จักและไม่สนใจเรื่องบัตรประชาชน แต่ทำให้เกณฑ์ทหารไม่ได้ ตนได้เป็นทหารรับจ้างสู้กับคอมมิวนิสต์ ปี 2523-2525 เห็นทหารกองพล 93 เอาคนไปสู้รบจนได้สัญชาติ ก็อยากทำเช่นนั้นบ้าง ที่แม่สายมีไทลื้อ 27 หมู่บ้าน รวมกัน 1,000 กว่าครอบครัว สำรวจเมื่อปี 2545

“ปี 2559 อำเภอมีหนังสือแจ้งว่าผู้เฒ่าไร้สัญชาติ อายุ 65 ปีขึ้นไป และต่อมาแก้เป็น 60 ปี เราก็ไปยื่น ตอนนี้ได้ประมาณ 100 คนแรก ยังเหลืออีก 500 คน อยากให้ช่วยดูแลให้ระยะเวลาสั้นลง เพราะกระบวนการ 730 วันยาวนานมากและหลายคนก็รอไม่ไหว ขออำลา ที่แม่สายรอไม่ไหวเสียชีวิตไปมากกว่าสิบคน” นายทูล กล่าว

ในขณะที่นายตาน ชาวบ้านจาก อ.เมือง (ห้วยปลากั้ง) อายุ 73 ปี กล่าวว่า เข้ามาตั้งแต่ปี 2520 ยังถือบัตรเลข 6 อยากรู้ว่าหากจะไปเป็นสัญชาติไทยต้องทำอย่างไร จะขอได้หรือไม่

“เคยไปที่ศาลากลางปี 2557 ขอที่อำเภอเขาก็บอกว่ายังไม่อนุมัติ ปัจจุบันก็แก่กันแล้ว อยู่มานาน ลูกหลานได้เป็นคนไทย หลานเป็นทหารสองคน ไทลื้อ บัตรเลข 6 มีเยอะ ถามอำเภอก็บอกรอก่อน ขอเบอร์ไว้แต่ก็ไม่โทรมาบอกข่าวดี ขึ้นเครื่องบินหรือออกต่างจังหวัดต้องขอหนังสือเดินทาง หัวขาวแล้วยังต้องขอใบเดินทาง เจ้าหน้าที่เรียกตรวจออกต่างจังหวัด ถูกจับถูกปรับเป็นพันเป็นหมื่น” นายตาน กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ฝนตกต่อเนื่อง ส่งผลให้เชียงราย ทุกอำเภออยู่ระดับเฝ้าระวังสถานการณ์

 

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายได้แจ้งสภาพอากาศจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่่านมาว่ามีฝนปานกลาง – อ่อน ในบางพื้นที่ของจังหวัด และมีฟ้าหลัวสลับปลอดโปร่งในตอนกลางวัน ซึ่งหลังจาก 14 สิงหาคม 2567 ได้เกิดฝนตกต่อเนื่องสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 4 อำเภอ 12 ตำบล 34 หมู่บ้าน 1 เทศบาลนคร (5ชุมชน) ตลาด/ชุมชนเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ 2 แห่ง ดังนี้ อำเภอแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ม.1 เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. แม่น้ำสายบริเวณจุดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ไทย-เมียนมา เพิ่มระดับสูงขึ้น จนล้นตลิ่งเข้าท่วมตลาดการค้าชายแดน “ตลาดสายลมจอย” และชุมชนโดยรอบ ส่วนตำบลแม่สาย ม.1 น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและถนนในชุมชน อปท. และประชาชนวางแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วม และตำบลเกาะช้าง ม.6 เวลา 09.10 น. พนังดินกั้นแม่น้ำสายที่บ้านป่าซางงาม ม.6 ถูกกระแสน้ำกัดเซาะ พังทลายลง มวลน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรด้านล่าง

อำเภอเมืองเชียงราย ตำบลแม่ยาว ม.10,14 น้ำหลากท่วมพื้นที่เกษตร อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย และมีดินสไลด์ ต้นไม้ล้มทับกีดขวางถนนเป็นบางจุด ด้านตำบลนางแล ม.11 น้ำนางแลกัดเซาะพนังกั้นน้ำ ได้รับความเสียหาย ส่วนตำบลบ้านดู่ น้ำป่าดอยโป่งพระบาทไหลเข้าเขตชุมชน ได้รับผลกระทบประมาณ 5 หมู่บ้าน และน้ำท่วมผิวจราจรถนนพหลโยธินสาย 1 ฝั่งขาขึ้น (ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อธนพิริยะจนถึงคุ้มภูคำ) รถสัญจรได้ทางเดียว และในเขตเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนห้วยปลากั้ง/ชุมชนแควหวาย/ชุมชนวัดใหม่หน้าค่าย/ชุมชนสันกลาง/ชุมชนสันเมืองเหล็ก (ซอย18 มิถุนา 6/3) น้ำท่วมขัง/น้ำล้นท่อรอการระบาย/น้ำล้นจากคลองระบายน้ำ ท่วมหมู่บ้านจัดสรร บ้านเรือนประชาชน และผิวถนนเป็นบางจุด ระดับน้ำทรงตัวรถเล็กสามารถสัญจรผ่านได้ เทศบาลนครเชียงราย ออกสำรวจความเสียหาย กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ/ท่อระบายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
 
อำเภอแม่จัน ตำบลป่าตึง ม.1,3,4 ‘แม่น้ำจันล้นตลิ่ง ท่วมบ้านเรือนราษฎรและถนนภายในหมู่บ้าน รถเล็กยังสามารถสัญจรได้ ในขณะที่ตำบลแม่คำ (พื้นที่ 8 หมู่บ้าน) น้ำท่วมถนนในหมู่บ้านเป็นบางจุด ในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลสายน้ำคำ
อำเภอแม่ฟ้าหลวง ตำบลแม่สลองนอก ม.10 ดินสไลด์ กำแพงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่จันหลวง ม.10 ทรุดตัวลง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนที่ตำบลเทอดไทย ม.1,4,16 ดินสไลด์ บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 3 หลัง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีดินสไลด์และต้นไม้ล้มทับถนน 4 จุด ได้แก่ เส้นทางบ้านเทอดไทย – บ้านปางมะหัน / เส้นทางบ้านเทอดไทย – เเม่หม้อ/ เส้นทางบ้านปูนะ – บ้านจะตี/ เส้นทางบ้านห้วยหม้อ – บ้านทูหมออาเน สำหรับที่ตำบลแม่สลองใน ม.1,9,14,15 ม.1 ดินสไลด์บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 1 หลัง/ ม.9,14,15 มีดินสไลด์และต้นไม้ล้มทับถนน อยู่ระหว่างดำเนินการเปิดเส้นทาง รถยนต์ยังไม่สามารถสัญจรผ่านได้
 
แนวโน้มสถานการณ์ อยู่ในระดับเฝ้าระวัง ภาพรวมระดับน้ำแม่น้ำสายหลัก มีแนวโน้มทรงตัว ด้านนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งการและเน้นย้ำให้ทุกอำเภอ เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากน้ำล้นตลิ่งอย่างต่อต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมความพร้อม เครื่องมืออุปกรณ์ เครื่องจักรกล ยุทโธปกรณ์ กำลังพลพร้อมให้ความช่วยเหลือทันทีตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อได้รับการร้องขอ และเร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือตามระเบียบต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ชวนเที่ยว 13 – 15 ส.ค. มหกรรมเปิดโลกอุทยานธรณีเพื่อการท่องเที่ยว

 

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้อำนวยการอุทยานธรณีเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรมเปิดโลกอุทยานธรณีเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย” ตอน “ธรณีมหัศจรรย์ สร้างสรรค์อัตลักษณ์เชียงราย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2567 ณ หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายพชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นางสาวศิรประภา ชาติประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 1 หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคีเครือข่าย และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมงาน

ในพิธีเปิด นายก อบจ.เชียงราย กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน และชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของอุทยานธรณีเชียงราย ซึ่งเป็นอุทยานธรณีใหม่ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวและการเผยแพร่องค์ความรู้ทางธรณีวิทยา

“อุทยานธรณีเชียงรายมีศักยภาพที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและการเผยแพร่องค์ความรู้ทางธรณีวิทยา จังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีความมุ่งมั่นและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่” นายก อบจ.เชียงราย กล่าว

การจัดงานในครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงเรื่องราวทางธรณีวิทยากับอัตลักษณ์เฉพาะตัวของจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรมและความหลากหลายของเรื่องราวในแต่ละชุมชน ซึ่งการจัดงานยังใช้กระบวนการบริหารจัดการ “จากล่างสู่บน” เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว

“Geopark is people” คือแนวคิดหลักของการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้ชุมชนมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ โดยการจัดกิจกรรมและการพัฒนาต่าง ๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานในท้องถิ่นเป็นหลัก การสร้างความตระหนักรู้และแรงบันดาลใจให้กับชุมชนจะช่วยให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่ศาสตร์แขนงอื่น ๆ และพัฒนาจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน

งานนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุทยานธรณีเชียงรายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายและเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของจังหวัด ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนและการพัฒนาที่ยั่งยืนของจังหวัดเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News