Categories
SOCIETY & POLITICS

4 โรคร้ายคุกคาม ผู้ป่วยมากขึ้น เร่งควบคุมโรคกระจายวัคซีน

คณะกรรมการโรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญ เตรียมจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม

ประเทศไทย, 13 มีนาคม 2568 – กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินหน้ามาตรการควบคุมโรคติดต่อสำคัญ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้ ขยายแนวทางการจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มหลัก พร้อมกระจายวัคซีนให้กับ 6 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดสูง ได้แก่ พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร โดยแต่ละจังหวัดจะได้รับจัดสรร 10,000 โดส ขณะที่ค่ายทหารและเรือนจำได้รับเพิ่มเติม 30,000 โดส

แนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ณ กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค โดยที่ประชุมมีมติ เห็นชอบแนวทางป้องกันและควบคุม 4 โรคสำคัญ ได้แก่:

  1. โรคไข้หวัดใหญ่
  • ปี 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย
  • พบการแพร่ระบาดสูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี และเด็กเล็กอายุ 0 – 4 ปี
  • กระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติมใน 6 จังหวัด และค่ายทหาร-เรือนจำ
  1. โรคไข้เลือดออก
  • แม้แนวโน้มผู้ป่วยลดลง แต่ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและประชากรวัยทำงานอายุ 40 – 59 ปี
  • เตรียมเดินหน้าศึกษาวัคซีนไข้เลือดออกเพิ่มเติม โดยเริ่มทดลองฉีดในอาสาสมัคร 4 เมษายน 2568 ที่จังหวัดนครพนม
  1. โรคฝีดาษวานร (Mpox)
  • พบผู้ป่วยสะสม 873 ราย และเสียชีวิต 13 ราย โดย 12 ราย เป็นเพศชายที่ตรวจพบเชื้อ HIV
  • กระทรวงฯ ได้รับวัคซีนฝีดาษจำนวน 2,220 โดส จากสมาพันธ์อาเซียน เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรทางการแพทย์
  1. โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี
  • พบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 290,396 ราย แต่ได้รับการรักษาเพียง 13.33%
  • เร่งพัฒนาระบบ Hepatitis-BC-DDC เพื่อเฝ้าระวังและติดตามการรักษาอย่างครบวงจร

เชียงราย: จุดยุทธศาสตร์สำคัญในการกระจายวัคซีน

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่พบอัตราการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สูง จากข้อมูลของ กรมควบคุมโรค พบว่า อัตราป่วยในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมกับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปีนี้จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 โดส ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง”

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อมาตรการควบคุมโรค

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิชาการด้านสาธารณสุขมองว่า การจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมและการเฝ้าระวังการแพร่ระบาด เป็นมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก และการขยายการฉีดวัคซีน HPV ยังเป็นการยกระดับมาตรการป้องกันโรคให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น

ฝ่ายกังวลเรื่องงบประมาณ

ขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามถึง งบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อวัคซีนและความคุ้มค่าในการกระจายวัคซีนในบางพื้นที่ รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก ที่ยังอยู่ในช่วงทดลอง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการประเมินประสิทธิภาพก่อนนำมาใช้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 165,333 ราย ทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค)
  • จังหวัดเชียงรายพบอัตราป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2567 (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ได้รับการรักษาเพียง 13.33% (ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข)
  • โครงการฉีดวัคซีน HPV มีการฉีดสะสม 700,860 โดส จากเป้าหมาย 1 ล้านโดส (ที่มา: กรมควบคุมโรค)

สรุป

การขยายมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม สะท้อนถึงความพยายามในการลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับงบประมาณและประสิทธิภาพของวัคซีนบางชนิด ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามผลในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวเชียงรายสัมผัสธรรมชาติ 6 เส้นทางวิถีชุมชน คนกับป่า

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้สู่ชุมชน

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ 6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว “วิถีชุมชนคนกับป่า” ณ โรงเรียนปางมะกาดวิทยาคม ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า, นางสาวทัศนาภรณ์ จันทร์ดง พัฒนาการอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม

พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ

อำเภอเวียงป่าเป้าถือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีหลายหมู่บ้านที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บ้านขุนลาว บ้านห้วยคุณพระ บ้านปางมะกาด บ้านห้วยน้ำกืน บ้านห้วยมะเกลี้ยง และบ้านแม่หาง เส้นทางเหล่านี้มีจุดเด่นด้านการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติ เที่ยวป่าต้นน้ำ ชมน้ำตก ชิมชา กาแฟอินทรีย์ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

การเปิดเส้นทาง “วิถีชุมชนคนกับป่า” เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน

6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

1. หมู่บ้านปางมะกาด (หมู่ 8 ต.แม่เจดีย์)

  • สักการะพระธาตุปางมะกาด

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เที่ยวน้ำตกเลาลี

  • ชมสวนดอกซิมมีเดียมและดอกนางลาว

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

2. บ้านห้วยน้ำกืน (หมู่ 13 ต.แม่เจดีย์)

  • ไหว้พระเจ้าพ่อคูณสาม

  • ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดอยป่า ดอยมด

  • ชมดอกซากุระและดอกกุหลาบพันปี

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

3. บ้านขุนลาว (หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • เที่ยวน้ำตกขุนลาว

  • ชมสวนชาและกาแฟพันธุ์พิเศษ

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ สบู่กาแฟ น้ำพริกตาแดง

4. บ้านห้วยคุณพระ (หมู่ 12 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • นมัสการพระที่อาราม

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เช็คอินที่ “แผ่นดินหวิด”

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

5. บ้านแม่หาง (หมู่ 7 ต.ป่างิ้ว)

  • เยี่ยมชมไร่ชาในชุมชน

  • เที่ยวน้ำตกห้วยต้นซ้อ

  • ไหว้พระขอพรที่วัดแม่หาง

  • ท่องเที่ยวดอยแปคมดาบ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

6. บ้านห้วยมะเกลี้ยง (หมู่ 8 ต.ป่างิ้ว)

  • ชมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอ

  • นมัสการพระธาตุดุสิตาผาโง้ม

  • ไหว้พระเจ้าทันใจ

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเชียงราย เพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 30% ภายในปีแรก และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่า 2 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขยะและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น นักอนุรักษ์เสนอให้มีมาตรการควบคุมและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / รายงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567 / ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารสร้างฝายชะลอน้ำ เชียงรายยั่งยืน ตามรอยพ่อหลวง

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลสร้างฝายชะลอน้ำ เสริมความยั่งยืนให้ชุมชน

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลลงพื้นที่สร้างฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ณ สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ

ปฏิบัติการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานร่วมกับหัวหน้าสถานีพัฒนาการเกษตร เจ้าหน้าที่ และคนงานในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย โดยการสร้างฝายดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้

ลักษณะของฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร

ฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวรที่จัดสร้างในครั้งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวัสดุตามธรรมชาติและวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีความคงทน แข็งแรง และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย เหมาะสมกับพื้นที่ต้นน้ำที่มีลักษณะคดเคี้ยวและลาดชันสูง โดยฝายจะช่วยชะลอการไหลของน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนตลอดทั้งปี

ประโยชน์ของฝายชะลอน้ำ

  • ชะลอความเร็วของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลากในฤดูฝน
  • แก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
  • ดักตะกอนหน้าดิน ลดการชะล้างดินจากต้นน้ำ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ ให้กับเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ

ปฏิบัติการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การดำเนินโครงการนี้ยังเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แสดงถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและฝายชะลอน้ำ

  • จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำ พบว่าประเทศไทยมีการสร้างฝายชะลอน้ำไปแล้วกว่า 100,000 ฝาย ทั่วประเทศ
  • ฝายชะลอน้ำสามารถช่วยกักเก็บน้ำได้เฉลี่ย 50-100 ลูกบาศก์เมตร ต่อฝาย ขึ้นอยู่กับขนาดและพื้นที่
  • การสร้างฝายในพื้นที่ป่าต้นน้ำช่วยลดความเร็วของน้ำไหลลงได้ถึง 30-50% เมื่อเทียบกับพื้นที่ไม่มีฝาย
  • ชุมชนที่มีฝายชะลอน้ำสามารถลดปัญหาภัยแล้งได้มากถึง 40% จากสถิติของกรมชลประทาน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำของมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยบริหารจัดการน้ำ เพิ่มความมั่นคงทางน้ำ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แก้รถติด ‘สนามบินเชียงราย’ สร้างทางลอด 849 ล้าน เสร็จปี 70

กรมทางหลวงชนบทเร่งแก้รถติดหน้าสนามบินเชียงราย เสริมศักยภาพการเดินทาง

โครงการก่อสร้างทางลอดช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณทางแยกศูนย์ราชการ ถนนสาย ชร.1023 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะบริเวณหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นจุดคอขวดที่ส่งผลต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570

เสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการเดินทาง

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงถนนและเตรียมก่อสร้างทางลอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหารถติด แต่ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบนอีกด้วย

รายละเอียดโครงการก่อสร้างทางลอด

โครงการนี้ประกอบไปด้วย:

  • ก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ความยาว 425.50 เมตร
  • ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีความกว้างของช่องจราจรมากขึ้น ตลอดระยะทาง 410 เมตร
  • ปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภคอื่น ๆ
  • ระยะทางดำเนินการทั้งหมด 1.635 กิโลเมตร
  • งบประมาณก่อสร้าง 849.800 ล้านบาท

ผลกระทบและมาตรการรองรับการก่อสร้าง

ในช่วงที่ดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้ติดตั้งมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ป้ายเตือนลดความเร็ว และสัญญาณไฟกระพริบ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ ทช. ได้ขออภัยในความไม่สะดวกและจะรายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ

การพัฒนาโครงข่ายถนนรองรับอนาคต

หลังจากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่แออัดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรองรับการขยายตัวของชุมชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมหลักให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจราจรในเชียงราย

  • จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่า ปริมาณจราจรบริเวณหน้าสนามบินเชียงรายเพิ่มขึ้น กว่า 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 2.5 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • ถนนสาย ชร.1023 เป็นเส้นทางหลักที่ใช้เชื่อมต่อสนามบินกับตัวเมืองเชียงราย โดยมีปริมาณรถยนต์ผ่านเข้า-ออกกว่า 30,000 คันต่อวัน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณหน้าสนามบินเชียงราย เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร เพิ่มศักยภาพการเดินทาง และเสริมสร้างเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวของพื้นที่ให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สาวๆ เที่ยวชิลล์ที่ “เชียงราย” ปลอดภัยสุดเป็น อันดับ 2 ของโลก

เชียงรายติดอันดับ 2 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

Time Out จัดอันดับ “เชียงราย” เมืองปลอดภัยอันดับสองของโลกสำหรับผู้หญิงนักเดินทางสายดิจิทัล

เชียงราย – วันที่ 10 มีนาคม 2568 Time Out และ Holidu เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับ นักเดินทางหญิงสายดิจิทัล (Female Digital Nomads) โดยผลการจัดอันดับระบุว่า เชียงราย ได้รับการจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 2 ของโลก รองจาก ไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง

การสำรวจดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลของ Nomads.com และใช้เกณฑ์การวิเคราะห์หลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินทางคนเดียว ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง และกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ทำงาน ผลการสำรวจชี้ว่า เชียงรายเป็นเมืองที่ มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ทำงานทางไกลและเดินทางคนเดียว

หญิงดิจิทัลโนแมด” เทรนด์ใหม่มาแรง! อิสระ ทำงานได้ทั่วโลก

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น “หญิงดิจิทัลโนแมด” หรือ “Female Digital Nomads” กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

“หญิงดิจิทัลโนแมด” หมายถึง ผู้หญิงที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานประจำ พวกเธอมีความยืดหยุ่นในการทำงานและสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ

ลักษณะสำคัญของหญิงดิจิทัลโนแมด

  • ทำงานทางไกล (Remote Work): ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, และแอปพลิเคชันต่างๆ ในการทำงาน
  • อิสระในการเดินทาง: สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเธอสามารถเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ
  • ความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาและสถานที่ทำงาน ทำให้พวกเธอสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้
  • ทักษะดิจิทัล: มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน เช่น การตลาดออนไลน์, การเขียน, การออกแบบกราฟิก, หรือการพัฒนาเว็บไซต์

ข้อดีของการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมด

  • อิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน
  • โอกาสในการเดินทางและสัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย
  • ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • โอกาสในการสร้างรายได้จากทั่วโลก

ข้อเสียที่ต้องพิจารณา

  • ความไม่แน่นอนของรายได้
  • ความท้าทายในการจัดการเวลาและการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
  • ความเหงาและความโดดเดี่ยว
  • ความท้าทายในการจัดการเรื่องภาษีและกฎหมายในต่างประเทศ

ถึงแม้ว่าการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมดจะมีข้อเสียที่ต้องพิจารณา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

เหตุผลที่เชียงรายได้รับเลือกเป็นเมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทางหญิง

  1. ความปลอดภัยในการเดินทางและการใช้ชีวิต

จากรายงาน Holidu ระบุว่า เชียงรายได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับสามของโลกในหัวข้อ ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินคนเดียว” โดยมีคะแนนสูงถึง 93.18 เทียบกับกรุงเทพฯ ที่ได้เพียง 79.44 คะแนน นอกจากนี้ อัตราอาชญากรรมในเชียงรายยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในเอเชีย

  1. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติและผู้หญิง

เชียงรายเป็นเมืองที่มีอัตราส่วนของนักเดินทางหญิงสายดิจิทัลต่อผู้ชายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ทำงานทางไกลมีแนวโน้มจะพบเจอและสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมอาชีพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสูงในด้าน ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ” โดยผู้คนในท้องถิ่นมีความต้อนรับและเปิดกว้างต่อผู้มาเยือน

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการทำงานทางไกล
  • ค่าครองชีพต่ำกว่าหลายเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต
  • อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีให้บริการทั่วเมือง
  • คาเฟ่และพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working Spaces) มีให้เลือกมากมาย

นักเดินทางที่ทำงานทางไกลสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงเกินไป

อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในเอเชียสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

  1. ไทเป,ไต้หวัน (อันดับ 1 ของโลก)
  2. เชียงราย,ประเทศไทย (อันดับ2 ของโลก)
  3. ปีนัง,มาเลเซีย (อันดับ5 ของโลก)
  4. เกาสง,ไต้หวัน (อันดับ7 ของโลก)
  5. อูบุด,อินโดนีเซีย (อันดับ10 ของโลก)
  6. หนานจิง,จีน (อันดับ 17 ของโลก)
  7. โซล,เกาหลีใต้ (อันดับ 22 ของโลก)
  8. เชียงใหม่,ประเทศไทย ( อันดับ 26 ของโลก)
  9. กรุงเทพฯ,ประเทศไทย (อันดับ 31 ของโลก)
  10. แทจ็อน,เกาหลีใต้ (อันดับ 44 ของโลก)

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเชียงราย

ด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

  • ดึงดูดนักเดินทางสายดิจิทัลจากทั่วโลก
  • เพิ่มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานร่วม
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติของเชียงราย

ด้านสังคมและความปลอดภัย

  • ช่วยกระตุ้นการพัฒนานโยบายด้านความปลอดภัยในเมือง
  • ทำให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบของเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิง
  • เพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในที่ทำงาน

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับผลการจัดอันดับ

ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่า:

  • เชียงรายเป็นเมืองที่เงียบสงบ ปลอดภัย และมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์
  • ความปลอดภัยสูงกว่ากรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย
  • เป็นโอกาสดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางของ Digital Nomads

ฝ่ายที่กังวลมองว่า:

  • แม้จะเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่อาจต้องพัฒนาสาธารณูปโภคเพิ่มเติม
  • ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่
  • อาจทำให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น และกระทบต่อคนท้องถิ่น

บทสรุป: เชียงราย เมืองแห่งโอกาสสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล

การจัดอันดับครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยเฉพาะผู้หญิง เมืองนี้มีความปลอดภัยสูง ค่าครองชีพที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับผู้มาเยือน หากสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการเพิ่มเติม เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของ Digital Nomads ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

สัมผัสวิถีชีวิตช้างอย่างใกล้ชิดที่ Elephant Family Chiang Rai!

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมของ Elephant Family Chiang Rai สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081 022 6807 โดยทางสถานที่มีโปรแกรมให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่:

  • โปรแกรมเต็มวัน (1 Day Trip): ราคา 2,500 บาท
  • โปรแกรมครึ่งวัน (Half Day Trip): ราคา 1,800 บาท

ทั้งสองโปรแกรมรวมบริการรถรับส่ง อาหารกลางวัน และไกด์คอยดูแลตลอดกิจกรรม ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเรียนรู้เกี่ยวกับช้างอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : timeout / Elephant Family Chiang Rai / The Northern Report

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดอาชีพผู้ต้องขัง ‘ราชทัณฑ์’ ปันสุขฯ คืนคนดีสู่สังคม

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ฯ ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม

ติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาและฝึกอาชีพผู้ต้องขัง

เชียงราย,วันที่ 7 มีนาคม 2568 – พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 กรรมการมูลนิธิราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย

ในโอกาสนี้ ได้เป็นประธานเปิด อาคารแสดงผลิตภัณฑ์ฝีมือผู้ต้องราชทัณฑ์ ภายใต้แนวคิด “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม” โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางจิรภา สินธุนาวา รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

เยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพผู้ต้องขังเพื่อคืนสู่สังคม

ภายในงาน พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้เยี่ยมชมฐานฝึกอาชีพต่าง ๆ อาทิ การนวดแผนไทย การเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกสมุนไพร การผลิตปุ๋ยจากมูลไส้เดือน รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์จากโครงการกำลังใจ และกิจกรรมราชทัณฑ์ปันโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ร้านกาแฟและร้านอาหารที่ดำเนินการโดยผู้ต้องขัง

โครงการกำลังใจฯ ตามแนวพระราชดำริ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ต้องขัง

เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ดำเนินการภายใต้โครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งได้น้อมนำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อพ้นโทษ ทั้งนี้การฝึกอาชีพ เช่น งานช่างไม้ งานเกษตร และงานฝีมือ ช่วยเพิ่มโอกาสการประกอบอาชีพและลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ

นโยบาย 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม

ปัจจุบันเรือนจำกลางเชียงราย ดำเนินโครงการ “รวมพลังขับเคลื่อน 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม” อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นให้ ผู้ต้องขังมีทักษะอาชีพที่สามารถนำไปใช้หลังพ้นโทษ เช่น การฝึกช่างไม้ ที่มีการผลิตเครื่องเรือนจำหน่าย ทั้ง โต๊ะรับแขก โต๊ะอาหาร โต๊ะกาแฟ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ในช่วงบ่าย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง ได้เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อติดตามความร่วมมือระหว่างเรือนจำและมหาวิทยาลัยฯ ในการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาอาชีพผู้ต้องขัง จากนั้นได้เดินทางต่อไปยัง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เพื่อติดตามความก้าวหน้าของ นายสุรพล ดอนเลย ผู้ต้องขังที่พ้นโทษแล้วสามารถประกอบอาชีพทำสวนพริกส่งออกต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ

สถิติโครงการราชทัณฑ์ปันสุข และผลกระทบทางสังคม

จากข้อมูลของ กรมราชทัณฑ์ (2567) พบว่า

  • อัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ที่ผ่านโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ลดลง กว่า 45%
  • ผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกอาชีพมีโอกาสได้งานทำหลังพ้นโทษมากขึ้น 70%
  • มีผู้ต้องขังเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพในเรือนจำกลางเชียงราย มากกว่า 1,500 คนต่อปี
  • รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขังมีมูลค่ากว่า 5 ล้านบาทต่อปี

บทสรุป: ก้าวต่อไปของโครงการราชทัณฑ์ปันสุข

โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน การฝึกอาชีพและการสร้างโอกาสทำงานเป็นปัจจัยที่ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมและการกระทำผิดซ้ำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้วสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและไม่หวนกลับไปกระทำผิดอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่ง-ปั่น ขึ้นดอยตุง 1000 คนร่วมใจ ไหว้สาพระธาตุ

เชียงรายจัดกิจกรรม “วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ส่งเสริมสุขภาพและอนุรักษ์วัฒนธรรม

กิจกรรมออกกำลังกายเชื่อมโยงประเพณีและความศรัทธา

เชียงราย,9 มีนาคม 2568 เวลา 07.00 น. จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” เพื่อส่งเสริมสุขภาพและร่วมสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ กล่าวรายงาน ณ สถานีขนส่งดอยตุง (ท่ารถม่วง) ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน ร่วมสร้างบรรยากาศแห่งสุขภาพและศรัทธา

กิจกรรมครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงผู้เข้าร่วมจาก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมทั้งสิ้น 1,000 คน แบ่งเป็น ประเภทปั่นจักรยาน 431 คน และประเภทวิ่ง 569 คน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมประเพณีนมัสการพระธาตุดอยตุง

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “2007 ปี สืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดเชียงรายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและวัฒนธรรม เช่น การเดินจาริกแสวงบุญ พิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนา และพิธีสรงน้ำพระธาตุดอยตุง เพื่อให้ประชาชนและพุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสร่วมทำบุญและแสดงความเคารพต่อพระธาตุดอยตุง

กำหนดการงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง 2568

จังหวัดเชียงรายกำหนดจัดงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2568วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่:

  • พิธีสมโภชน้ำสรงพระราชทาน
  • พิธีบวงสรวงพระธาตุดอยตุง
  • กิจกรรมทำบุญตักบาตร
  • พิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนา

สถิติกิจกรรมและผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน

จากการสำรวจพบว่า การจัดกิจกรรมลักษณะนี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชนและลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้ถึง 30% จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายที่ระบุว่า กว่า 85% ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม รู้สึกพึงพอใจและต้องการให้มีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องในปีถัดไป

บทสรุป: กิจกรรมที่ควรค่าแก่การสืบสาน

กิจกรรม วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่ต่อไป การที่ภาครัฐและประชาชนให้ความร่วมมือกันในกิจกรรมลักษณะนี้ ถือเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพและศรัทธาอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายพ่นละอองน้ำ ดักฝุ่นหลังน้ำท่วม สู้ PM2.5

เทศบาลนครเชียงรายเร่งสร้างละอองน้ำลดฝุ่น PM2.5 และฟื้นฟูหลังอุทกภัย

มาตรการเร่งด่วนเพื่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาล

เชียงราย, 7 มีนาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภาคีเครือข่าย และโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค นำโดย นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการ พ่นละอองน้ำในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังอุทกภัยที่เพิ่งผ่านพ้นไป

แนวทางปฏิบัติและพื้นที่ดำเนินการ

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ที่มีปัญหาฝุ่นละอองและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยในช่วงเช้าได้มีการ ล้างถนนและดูดโคลนเลน ตามถนนสายหลักในเขตเมืองเชียงราย จากนั้นได้ดำเนินการพ่นละอองน้ำในจุดสำคัญ ได้แก่:

  • ถนนสิงหไคล (หน้ารพ.โอเวอร์บรุ๊ค)
  • บริเวณอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
  • สวนตุงและโคมนครเชียงราย

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายพื้นที่การพ่นละอองน้ำไปยังจุดที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และจุดที่มีค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูง เพื่อให้มาตรการนี้สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของโครงการพ่นละอองน้ำ

นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค กล่าวว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนโดยตรง เพราะฝุ่น PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว มาตรการพ่นละอองน้ำยังช่วย บรรเทาความร้อนในช่วงฤดูร้อน ทำให้ประชาชนรู้สึกสบายขึ้น และช่วยลดอุณหภูมิในเขตเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน

การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: ถังน้ำจากภารกิจช่วยเหลืออุทกภัย

หนึ่งในแนวทางที่เทศบาลนครเชียงรายนำมาใช้คือการ ปรับใช้ถังน้ำขนาดใหญ่ที่เคยนำไปช่วยเหลือประชาชนในช่วงประสบอุทกภัย โดยนำกลับมาบรรจุน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการพ่นละอองน้ำ ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ

จากรายงานของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดในภาคเหนือ โดยในช่วงเดือนมีนาคม ค่าฝุ่น PM2.5 มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

จากสถิติของ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นกว่า 35% ในช่วงเดือนที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

เสียงสะท้อนจากประชาชนต่อมาตรการพ่นละอองน้ำ

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ: ชาวเชียงรายหลายคนเห็นด้วยกับมาตรการพ่นละอองน้ำ โดยให้ความเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยลดฝุ่นได้ในระยะสั้น และช่วยให้สภาพอากาศดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้สัญจรและชุมชนหนาแน่น

นายสมพงษ์ ชาวเชียงราย ให้ความเห็นว่า พ่นละอองน้ำช่วยให้หายใจโล่งขึ้น ลดฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกดีขึ้นเวลาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านจุดที่มีการพ่นน้ำ”

ฝ่ายที่มีข้อกังวล: บางกลุ่มมองว่ามาตรการพ่นละอองน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวและไม่สามารถแก้ไขต้นเหตุของปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างถาวร โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลักของภาคเหนือ

นางสาวปรียานุช นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การพ่นละอองน้ำช่วยลดฝุ่นได้ชั่วคราว แต่ต้นเหตุของปัญหามาจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุการเกษตร หากไม่แก้ไขที่ต้นตอ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

แนวทางเพิ่มเติมในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5

นักวิชาการและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ควรมี มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่ง และ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดควันในการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การติดตั้ง เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ในพื้นที่สาธารณะ และ การใช้รถบรรทุกน้ำฉีดพ่นถนนในพื้นที่ที่มีฝุ่นสะสมสูง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรได้รับการพิจารณา

สรุป

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายถือเป็นแนวทางเร่งด่วนที่สามารถช่วย ลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ได้ในระยะสั้น และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังอุทกภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของมาตรการดังกล่าว และความจำเป็นในการจัดการต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างแนวทางที่สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อ.แม่สรวย” ติดไฟ 133 ต้น อบต.ป่าแดด แก้ปัญหาจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ

อบต.ป่าแดด เดินหน้าติดตั้งไฟส่องสว่าง 133 ต้น เพิ่มความปลอดภัยบนถนนสายแม่สรวย-ฝาง

ลดอุบัติเหตุ เพิ่มแสงสว่างให้ชุมชน คาดแล้วเสร็จเมษายน 2568

เชียงราย, 7 มีนาคม 2568 – นายชัยธวัช สิทธิสม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าแดด ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างสาธารณะ บนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 109 สายแม่สรวย-ฝาง จังหวัดเชียงราย โดยมีการดำเนินงานติดตั้งเสาไฟฟ้าส่องสว่างจำนวน 133 ต้น เริ่มต้นจากหมู่ที่ 1 บ้านดงน้ำใส ไปจนถึงบริเวณใกล้เขื่อนแม่ตาช้าง คาดว่าการติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2568

ปัญหาความมืดและอุบัติเหตุบ่อยครั้งเป็นเหตุผลหลักในการดำเนินโครงการ

เส้นทางดังกล่าวเป็นทางหลวงสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผ่านหลายหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านห้วยอ้อ (หมู่ 1), บ้านสันโค้ง (หมู่ 16), บ้านทุ่งรวงทอง (หมู่ 15), และบ้านใหม่เจริญ (หมู่ 14) โดยมีจุดเชื่อมต่อทางเข้าหมู่บ้านหลายแห่ง อีกทั้งรถยนต์ที่สัญจรผ่านมีความเร็วสูง แต่กลับไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างในช่วงเวลากลางคืน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

องค์การบริหารส่วนตำบลป่าแดดได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และได้ทำเรื่องขอความอนุเคราะห์จาก แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2567 เพื่อให้ดำเนินการติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ดำเนินโครงการ และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการติดตั้ง

เส้นทางแม่สรวย-ฝาง: ถนนสายหลักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 109 สายแม่สรวย-ฝาง มีระยะทาง 61.133 กิโลเมตร เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่าง อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย และอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ไปยัง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เดิมเส้นทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ที่เริ่มต้นจากบ้านป่าสัก อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ผ่าน อำเภอแม่ลาว อำเภอแม่สรวย และไปบรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 107 ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

ในปี 2513 ได้มีการสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1019 (แม่สรวย-เวียงป่าเป้า-ดอยสะเก็ด) ซึ่งส่งผลให้ช่วง บ้านป่าสัก-แม่สรวย ถูกปรับรวมเข้ากับเส้นทางดังกล่าว และภายหลังในปี 2537 ได้กำหนดให้เป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 118 ปัจจุบันถนนสายแม่สรวย-ฝางจึงเหลือเฉพาะเส้นทางจาก แม่สรวยไปฝางเท่านั้น

เส้นทางที่เคยรับเสด็จในอดีต

ถนนเส้นนี้ยังมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากเมื่อปี 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ถิ่นทุรกันดารภาคเหนือ และได้เสด็จผ่านถนนเส้นนี้ซึ่งขณะนั้นเพิ่งตัดใหม่ ทำให้เส้นทางนี้เป็นที่จดจำในฐานะเส้นทางพระราชดำเนินอีกสายหนึ่งของประเทศไทย

สรุป

โครงการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างสาธารณะบนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 109 สายแม่สรวย-ฝาง ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน โดยได้รับการสนับสนุนจาก อบต.ป่าแดด และแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

แม้ว่าจะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงมีข้อเสนอให้มีมาตรการเพิ่มเติม เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและป้ายแจ้งเตือน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนเมษายน 2568 และจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยส่งเสริมความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนตำบลป่าแดด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แองเจิลเชียงรายคืนสนามบิน ต้อนรับนักท่องเที่ยว หลังดราม่าหนัก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายต้อนรับ “Angel Of Chiang Rai” อย่างเป็นทางการ

ฟื้นคืนแลนด์มาร์กศิลปะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม

[ประเทศไทย, 7 มีนาคม 2568] – ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จัดกิจกรรมต้อนรับ “Angel Of Chiang Rai” ณ อาคารผู้โดยสาร โดยมี นางแสงเดือน อ้องแสนคำ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ด้านสนับสนุนธุรกิจ) และ ดร.สิทธิปัฐพ์ มงคลอภิบาลกุล รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ด้านปฏิบัติการและบำรุงรักษา) ร่วมมอบของที่ระลึกตราสัญลักษณ์ AOT ให้แก่ผู้โดยสาร พร้อมกิจกรรมถ่ายภาพร่วมกับผลงานศิลปะอันโดดเด่นนี้

“Angel Of Chiang Rai” เป็นผลงานของ อาจารย์ไกรวุฒิ ดอนจักร ศิลปินจากสมาคมขัวศิลปะเชียงราย ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากการรวม 10 ชาติพันธุ์ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประติมากรรมนี้เคยถูกจัดแสดงที่ด่านพรมแดนไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ก่อนที่จะถูกย้ายไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) และได้รับการบูรณะซ่อมแซมก่อนที่จะกลับมาตั้ง ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายในเดือนมีนาคม 2568

กระแสดราม่าจากอดีตสู่ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ ประติมากรรม “Angel Of Chiang Rai” เคยตกเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำให้ชาวบ้านบางส่วนเชื่อมโยงเหตุการณ์น้ำท่วมกับการติดตั้งรูปปั้นดังกล่าว ณ ด่านพรมแดนไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า แม้น้ำจะท่วมสูง แต่รูปปั้นกลับไม่ได้รับความเสียหาย ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป

ในขณะเดียวกัน อาจารย์ไกรวุฒิ ดอนจักร ศิลปินเจ้าของผลงาน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ศิลปะไม่มีอำนาจในการก่อภัยพิบัติ” และขอให้ผู้ที่เชื่อมโยงงานศิลปะกับภัยธรรมชาติ ใช้เหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายมากกว่าความเชื่อส่วนบุคคล นอกจากนี้ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ยังได้ออกมาปกป้องงานศิลปะดังกล่าว โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องไร้สาระที่จะโทษรูปปั้นว่าเป็นต้นเหตุของน้ำท่วม” และเสนอให้ย้ายรูปปั้นไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงรายเพื่อป้องกันกระแสต่อต้านที่อาจเกิดขึ้น

“Angel Of Chiang Rai” กับบทบาทใหม่ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

การนำ “Angel Of Chiang Rai” กลับมาติดตั้งที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงการคืนแลนด์มาร์กศิลปะให้กับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาคุณภาพการให้บริการผู้โดยสารของท่าอากาศยาน โดยมุ่งเน้นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรต่อผู้เดินทาง รวมถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

ทั้งนี้ การนำงานศิลปะกลับมาติดตั้งยังสอดคล้องกับแนวทางขององค์การยูเนสโก ที่ประกาศให้เชียงรายเป็น เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” (City of Design) ซึ่งเป็นโอกาสในการต่อยอดด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัด

ความคิดเห็นของประชาชนต่อ “Angel Of Chiang Rai”

แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปปั้นในอดีต แต่ปัจจุบัน “Angel Of Chiang Rai” ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้โดยสารที่เดินทางมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย หลายคนเห็นว่างานศิลปะชิ้นนี้เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย และสมควรได้รับการอนุรักษ์และเผยแพร่ในฐานะส่วนหนึ่งของมรดกศิลปะร่วมสมัย

อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการนำรูปปั้นกลับมาติดตั้ง โดยให้เหตุผลว่าความเชื่อทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควรเคารพ และหากประชาชนบางส่วนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับฮวงจุ้ยหรืออาถรรพ์ ก็ควรหาสถานที่ที่เหมาะสมมากกว่าสำหรับการจัดแสดง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและการท่องเที่ยวในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม โดยในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายกว่า 2.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 15% นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย (CCAM) มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นกว่า 30% หลังจากมีการจัดแสดงผลงานศิลปะที่หลากหลาย รวมถึงการนำ “Angel Of Chiang Rai” กลับมาติดตั้งอีกครั้ง

นักวิชาการด้านศิลปะและวัฒนธรรมให้ความเห็นว่า การใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงรายที่มีความโดดเด่นด้านศิลปะร่วมสมัยและวัฒนธรรมชาติพันธุ์ หากมีการบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม อาจทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศิลปะระดับนานาชาติได้ในอนาคต

บทสรุป

การกลับมาของ “Angel Of Chiang Rai” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นการคืนแลนด์มาร์กให้กับจังหวัด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการพัฒนาเมืองผ่านศิลปะ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เคยเป็นกระแสดราม่าในอดีตสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางความเชื่อในสังคมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรได้รับการพูดคุยและทำความเข้าใจร่วมกัน

ในขณะที่เชียงรายยังคงเดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้และเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวอาจเป็นแนวทางที่ช่วยให้เมืองนี้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News