Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมา จับมือแก้ปัญหา สารพิษที่เกิดใน “แม่น้ำกก”

ไทย-เมียนมาร่วมมือแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารเคมี การประปาฯ ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์การปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก อันเป็นผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ประเทศเมียนมาใกล้พรมแดนไทย การประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 ออกมายืนยันความมั่นใจในคุณภาพน้ำประปาว่ายังคงปลอดภัยต่อการบริโภค พร้อมทั้งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอย่างเข้มข้น

ต้นเหตุของความกังวล เหมืองแร่ทองคำในเมียนมา

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหลผ่านหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยมีจุดต้นกำเนิดจากเขตภูเขาทางตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยและกลายเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำดิบสำคัญของการประปาส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารเคมีประเภทโลหะหนัก เช่น สารไซยาไนด์ ซึ่งใช้ในกระบวนการแยกแร่ทองคำ จากเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำในแม่น้ำกก และเป็นที่มาของความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน

ผู้อำนวยการ กปภ.เขต 9 ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผู้อำนวยการการประปาส่วนภูมิภาค เขต 9 กล่าวในการแถลงข่าว ณ จังหวัดเชียงใหม่ว่า ทางการประปาได้เฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีมาตรการปรับกระบวนการผลิตน้ำเพื่อรองรับกับคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลง จึงมั่นใจว่าน้ำประปาที่ยังคงผลิตอยู่ในขณะนี้ มีความสะอาดและปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามปกติ

“เราตรวจสอบคุณภาพน้ำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง พร้อมทั้งปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตและบำบัดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองความมั่นใจของประชาชน” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

รัฐบาลไทยเร่งสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

ภายหลังจากที่ได้รับรายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค ได้สั่งการให้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานของเมียนมาโดยเร่งด่วน

โดยมีการประสานกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแจ้งข้อห่วงกังวลของไทย และเสนอแนวทางการดำเนินการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก

ทางกงสุลใหญ่เมียนมาได้แสดงท่าทีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ว่าการเมืองสาด เมืองยอน และส่วนราชการระดับกลางของประเทศเมียนมา เพื่อดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขในพื้นที่ต้นน้ำอย่างเร่งด่วน

วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการประปาจะยืนยันความปลอดภัยของน้ำประปาในปัจจุบัน แต่การปนเปื้อนในแหล่งน้ำต้นทาง เช่น แม่น้ำกก ยังคงถือเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะสารไซยาไนด์หรือโลหะหนักอื่น ๆ หากหลุดรอดเข้าสู่แหล่งน้ำดิบและไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม อาจสะสมในสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดโรคในระบบประสาท ไต หรือก่อมะเร็งได้

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่มีอำนาจโดยตรงในการเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ต้นน้ำในประเทศเมียนมา จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกทางการทูตในการบริหารจัดการปัญหานี้ร่วมกัน

บทบาทของประชาชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่

นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ภาคประชาสังคมและองค์กรสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก และกลุ่มชุมชนริมแม่น้ำในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ก็ได้ร่วมติดตามสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำในพื้นที่

มีการรายงานว่าในช่วงต้นปี 2568 มีการพบปลาจำนวนหนึ่งตายในลำน้ำ และมีสีของน้ำเปลี่ยนแปลงในบางช่วงเวลา แม้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับการทำเหมือง แต่ก็สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ ควรมีการดำเนินงานในหลายมิติ ได้แก่

  1. การตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา เพื่อร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำต้นน้ำ และติดตามผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่โดยตรง
  2. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ในการตรวจวัดสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
  3. การสร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง
  4. การขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • การประปาส่วนภูมิภาค รายงานว่า แหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ภาคเหนือกว่า 35% มาจากแม่น้ำกก และมีประชาชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกประมาณ 1.2 ล้านคน
  • กรมควบคุมมลพิษ (ปี 2566) ระบุว่า พื้นที่ชายแดนภาคเหนือมีจุดเสี่ยงจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา 14 จุด โดย 5 จุด อยู่ใกล้แม่น้ำที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย
  • รายงานจาก เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก ระบุว่า ในช่วงปี 2565-2567 มีการแจ้งเหตุปลาตายหรือคุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงในลำน้ำกกกว่า 23 ครั้ง
  • รายงานของ World Health Organization (WHO) ระบุว่า การได้รับสารไซยาไนด์ในปริมาณ 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว สามารถก่อผลกระทบทางสุขภาพได้ในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาค เขต 9
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก
  • รายงานสุขภาพสิ่งแวดล้อม WHO ปี 2023
  • กระทรวงมหาดไทย แถลงข่าว 9 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ลุยแก้ปัญหาที่ดิน สอน. รพ.สต. ปลดล็อกบริการ

อบจ.เชียงรายเร่งปลดล็อกปัญหาที่ดิน “รพ.สต.-สอน.” หวังยกระดับบริการสุขภาพสู่ประชาชน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เดินหน้าแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย หลังได้รับการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถดำเนินภารกิจด้านการให้บริการสุขภาพต่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และถูกต้องตามกฎหมาย

เริ่มต้นด้วยความตั้งใจจริง สู่การระดมแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ

ในการประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา อบจ.เชียงราย ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม อาทิ สำนักงานธนารักษ์ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินสาธารณะ ซึ่ง รพ.สต. และ สอน. ตั้งอยู่ เพื่อให้การขออนุญาตใช้พื้นที่เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบ

สถานการณ์ปัจจุบันของที่ดิน “รพ.สต. – สอน.” ในพื้นที่เชียงราย

จากข้อมูลเบื้องต้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ และ รพ.สต. อยู่ในความรับผิดชอบทั้งสิ้น 211 แห่ง ซึ่งล้วนแต่ประสบปัญหาที่ดินยังไม่ได้รับการจัดการด้านเอกสารสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ โดยในจำนวนนี้ มีหลายแห่งตั้งอยู่บนที่ดินของหน่วยงานรัฐหลากหลายประเภท เช่น

  • ที่ราชพัสดุ (สำนักงานธนารักษ์)
  • ที่ดินป่าสงวน (กรมป่าไม้)
  • พื้นที่ ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
  • ที่ดินศาสนสมบัติ (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • ที่ดินของโรงเรียน หรือการไฟฟ้าฯ
  • ที่ดินเอกชนที่ชาวบ้านบริจาค

แต่ละกรณีล้วนมีข้อจำกัดเฉพาะ ซึ่งส่งผลต่อความล่าช้าในการขออนุญาตใช้พื้นที่ รวมถึงกระบวนการถ่ายโอนสิ่งปลูกสร้าง

ปัญหาเชิงระบบจากการถ่ายโอนภารกิจ

การถ่ายโอนภารกิจของ รพ.สต. และ สอน. จากกระทรวงสาธารณสุขมายังองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามนโยบายกระจายอำนาจ เป็นแนวทางที่รัฐมุ่งหวังให้เกิดความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้นในระดับพื้นที่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) พบว่า ภายหลังการถ่ายโอน มีสถานพยาบาลทั้งประเทศกว่า 4,452 แห่ง ที่ อบจ. ได้รับผิดชอบ โดยมีปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมากถึง กว่า 90%

อบจ.เชียงรายเอง กำลังเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน โดยพบว่า หน่วยงานเจ้าของภารกิจเดิมยังไม่จัดทำเอกสารสิทธิ์ให้ครบถ้วน เช่น ยังไม่ขึ้นทะเบียนสิ่งปลูกสร้าง ส่งคืนสำนักงานธนารักษ์ หรือยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ในพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน

สาเหตุหลักของอุปสรรคในการอนุญาตใช้ที่ดิน

  1. การไม่มีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เดิม: อาคารบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิ์ หรือยังไม่มีการรังวัดเขตแน่นอน เช่น พื้นที่บริจาคจากชาวบ้าน หรือที่ราชพัสดุที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน
  2. หน่วยงานเดิมยังไม่ส่งมอบข้อมูลครบถ้วน: บางกรณีสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีการขึ้นทะเบียนตามแบบฟอร์ม ทบ.6 หรือไม่มีหนังสือรื้อถอนจากเจ้าของเดิม ส่งผลให้หน่วยงานรับโอนอย่าง อบจ. ไม่สามารถดำเนินการต่อได้
  3. ขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนมีความซับซ้อน: การดำเนินการต้องได้รับอนุมัติจากกรมป่าไม้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาหลายชั้น ตั้งแต่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ จนถึงกรมส่วนกลาง

ความมุ่งมั่นของนายก อบจ.เชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ย้ำในที่ประชุมว่า “อบจ.เชียงรายจะเร่งประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขออนุญาตใช้ที่ดินสถานพยาบาลเหล่านี้ เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเร็วที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร แต่คือคุณภาพชีวิตของประชาชน”

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย เร่งจัดทำผังบริเวณ รังวัดที่ดิน และจัดเตรียมเอกสารประกอบคำขออย่างครบถ้วน พร้อมประสานงานกับสำนักงานธนารักษ์ และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้จังหวัด เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการอนุญาต

ความสำคัญของ รพ.สต. และ สอน. ต่อระบบสุขภาพไทย

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ (สอน.) เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่ประชาชนพึ่งพาเป็นด่านหน้าในการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพแม่และเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข

หากสถานพยาบาลเหล่านี้ไม่สามารถใช้อาคารหรือที่ดินได้อย่างถูกต้อง ย่อมกระทบต่อคุณภาพบริการและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง

ข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางดังนี้

  • สร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันระหว่าง สถ. – สธ. – ธนารักษ์ – ป่าไม้ เพื่อให้การดำเนินงานโปร่งใสและไม่ซ้ำซ้อน
  • เร่งจัดทำร่างระเบียบกลางว่าด้วยการถ่ายโอนและการใช้ประโยชน์ในที่ราชการร่วมกัน เพื่อลดภาระการขออนุญาตรายกรณี
  • เสนอแก้ไขกฎหมายบางประการที่เป็นอุปสรรค เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ เพื่อให้เอื้อต่อภารกิจด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ณ ต้นปี 2568 ระบุว่า มีสถานพยาบาล (รพ.สต. – สอน.) ที่ได้รับการถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวนทั้งสิ้น 4,452 แห่ง ทั่วประเทศ
  • จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า มากกว่า 90% ของสถานพยาบาลที่ถ่ายโอน ยังไม่ได้รับการจัดการเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้อง
  • ในจังหวัดเชียงราย อบจ.มีความรับผิดชอบดูแลสถานพยาบาลที่ถ่ายโอนแล้วถึง 211 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกัน
  • รายงานจาก กรมป่าไม้ ระบุว่า พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติครอบคลุมกว่า 38% ของพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของการใช้ประโยชน์พื้นที่ในหลายจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.), หนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 6 มกราคม 2568
  • กรมป่าไม้, รายงานพื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2566
  • สำนักงานธนารักษ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (การประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายปั้นเทศกาลโลก อวดเมือง ดึงดูดนานาชาติ

เชียงรายระดมความคิดยกระดับเทศกาลไทยสู่เวทีนานาชาติ หวังสร้างภาพลักษณ์ “เมืองแห่งเทศกาล”

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – สำนักงานจังหวัดเชียงรายจัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำโครงการ “เพิ่มขีดความสามารถผู้จัดเทศกาลไทย ผู้สร้างสรรค์เทศกาลไทยสู่เวทีนานาชาติ” ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้เป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนเมืองเชียงรายสู่การเป็นเมืองแห่งเทศกาล พร้อมยกระดับการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ประชุมวางรากฐาน “เทศกาลของเมือง” สู่ระดับโลก

เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมสำนักงานจังหวัดเชียงราย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นภายใต้โครงการดังกล่าว โดยได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม แทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ที่มอบหมายหน้าที่ในครั้งนี้

การประชุมดังกล่าวมุ่งเน้นการเสนอแนวคิด สะท้อนปัญหา และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลในจังหวัด โดยเน้นการยกระดับงานเทศกาลให้เป็นมากกว่ากิจกรรมท้องถิ่น แต่สามารถขยายสู่ระดับนานาชาติได้อย่างมีศักยภาพ

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเสนอแนวทางพัฒนาเทศกาล

ในที่ประชุม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมและเสนอแนวคิดสำคัญหลายประการ อาทิ การคัดเลือกเทศกาลของจังหวัดเชียงรายเพื่อเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนออัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ และมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทศกาลให้กลายเป็น “City Expo” ที่สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในระดับพื้นที่

บุคลากรผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายประกอบด้วย นางสาวณพิชญา นันตาดี, นางเพียรโสม ปาสาทัง, นายจิรัฏฐ์ ยุทธ์ธนประวิช และนายวรพล จันทร์คง ซึ่งได้ร่วมอภิปรายในประเด็นด้านการพัฒนาเทศกาลให้สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึงการใช้ทุนทางวัฒนธรรมเดิม ผสานแนวคิดใหม่ในการออกแบบกิจกรรมให้ทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่

เปิดเวทีให้ภาคีเครือข่ายร่วมขับเคลื่อน

การประชุมในครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลนครเชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย และ YEC เชียงราย ที่ได้นำเสนอมุมมองของผู้ประกอบการและภาคเอกชนต่อการจัดเทศกาลในระดับจังหวัดและแนวทางการยกระดับให้เข้าถึงมาตรฐานสากล

ตัวแทนจากหอการค้าจังหวัดเชียงราย ได้เน้นถึงโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการจัดเทศกาลในลักษณะ “เทศกาลเมือง” ที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นช่องทางสร้างงานและรายได้ให้กับผู้ประกอบการในชุมชน ทั้งกลุ่มอาหารพื้นถิ่น กลุ่มหัตถกรรม และกลุ่มบริการที่เกี่ยวข้อง

แนวทางสู่เมืองแห่งเทศกาลและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

โครงการ “เพิ่มขีดความสามารถผู้จัดเทศกาลไทยฯ” เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในเชิงวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งเทศกาล” อย่างแท้จริง หรือ Thailand as a Festival Country

หัวใจสำคัญของแนวทางดังกล่าวคือการ ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติผ่านเทศกาลที่มีเอกลักษณ์ และมีกลไกสนับสนุนจากทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล แหล่งท่องเที่ยว และฐานวัฒนธรรมอันเข้มแข็ง

แนวคิดจากพื้นที่…สู่เวทีโลก

หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือการจัดตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดเทศกาลตามมาตรฐานสากล โดยให้มีการเก็บข้อมูลสถิติผู้เข้าร่วมงาน รายได้หมุนเวียน และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ-สังคม อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลลัพธ์และพัฒนาเทศกาลในรอบปีถัดไป

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ส่งเสริมเทศกาลของจังหวัดที่จัดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น เทศกาลดอกไม้งามเชียงราย, งานไม้ดอกเมืองหนาว, งานวัฒนธรรมชนเผ่า และงานสงกรานต์เชียงราย ให้มีการปรับรูปแบบให้เชื่อมโยงกับแนวคิดของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดเวทีให้กลุ่มเยาวชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

วิเคราะห์แนวโน้มของเมืองเชียงรายในฐานะศูนย์กลางเทศกาลภาคเหนือ

จากบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะจังหวัดท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ การผลักดันแนวคิด “เมืองแห่งเทศกาล” จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว

หากสามารถจัดเทศกาลในรูปแบบที่ยั่งยืน มีเนื้อหาใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมดั้งเดิม และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้จังหวัดเชียงรายสามารถยืนอยู่ในเวทีระดับนานาชาติได้อย่างมั่นคงในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า อุตสาหกรรมเทศกาลมีส่วนต่อ GDP ประเทศไทยประมาณ 1.2% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
  • ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีการจัดงานเทศกาลมากกว่า 2,300 งานต่อปี แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่าการจัดงานเทศกาลที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 18-25% ต่อรอบกิจกรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (ประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ. ลุยบ้านดู่ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด่วน

นายก อบจ.เชียงราย เร่งแก้น้ำเน่าบ้านดู่ หลังชาวบ้านร้องเรียนเดือดร้อน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ปัญหาน้ำเน่าเสียในเขต ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย กลายเป็นวาระเร่งด่วน หลังประชาชนร้องเรียนต่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ถึงความเดือดร้อนที่ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนร้องเรียนปัญหาเน่ารุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 11.50 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตำบลบ้านดู่โดยด่วน หลังได้รับรายงานจากประชาชนเรื่อง น้ำขังรอการระบายจนเกิดน้ำเน่า ส่งกลิ่นเหม็นตลอดทั้งวัน

หลายครัวเรือนในพื้นที่ต้องประสบปัญหาไม่สามารถเปิดหน้าต่างบ้านได้ และบางพื้นที่เริ่มพบสัตว์พาหะ เช่น ยุง และแมลงวัน เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ

นายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่จริง รับฟังประชาชนโดยตรง

ทันทีที่เดินทางถึงพื้นที่ นายก อบจ.เชียงราย ได้พบกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมรับฟังผลกระทบและข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยได้เน้นย้ำว่า ทุกปัญหาที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน จะได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีหลายจุดในเขตชุมชนที่น้ำท่วมขังมานาน และไม่มีการระบายน้ำออกจากระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำเสียและขยะอินทรีย์

สั่งการหน่วยงานภายในทันที บูรณาการแก้ปัญหากับท้องถิ่น

นางอทิตาธร ได้สั่งการให้ สำนักช่างของ อบจ.เชียงราย เร่งสำรวจพื้นที่ที่มีปัญหาโดยละเอียด พร้อมทั้งประสานงานกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนที่สุด

การดำเนินการครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการขุดลอกทางระบายน้ำที่ตื้นเขิน การติดตั้งระบบท่อระบายน้ำเพิ่มเติมในจุดที่จำเป็น และการจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของพื้นที่เสี่ยง

วางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ในระยะยาว อบจ.เชียงราย มีแผนร่วมมือกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง เพื่อ วางระบบระบายน้ำใหม่ ที่สามารถรองรับน้ำฝนในฤดูมรสุม รวมถึงปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมผ่านโครงการ บ้านดู่ร่วมใจดูแลสิ่งแวดล้อม” โดยสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบและรายงานจุดเสี่ยงน้ำเน่าเสียในพื้นที่

ปัญหาน้ำเสียส่งผลกระทบกว้างทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ

ข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

ด้านภาคธุรกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เนื่องจากกลิ่นเหม็นรบกวนลูกค้าและทำให้ยอดขายลดลงอย่างชัดเจน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองขยายตัว ต้องการการจัดการที่เป็นระบบ

เหตุการณ์ในตำบลบ้านดู่ สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอ ย่อมนำไปสู่ปัญหาสะสมทั้งในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน

การบูรณาการระหว่างท้องถิ่นกับจังหวัด และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ (2567) พบว่า พื้นที่เขตเมืองในภาคเหนือกว่า 43% มีปัญหาน้ำเน่าเสียจากการระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • เชียงรายมีอัตราการร้องเรียนเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าในปี 2567 สูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ (กรมอนามัย)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า 61% ของประชาชนในเขตเมืองต้องการให้มีการลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 2567
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, รายงานภาวะสุขภาพประชาชนจากมลภาวะ 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

“ศุภชัย” บูรณาการเชียงราย พัฒนาท้องถิ่น วิทย์-วิจัย-นวัตกรรม

อว. ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามขับเคลื่อน อววน. เร่งพัฒนาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจฐานความรู้

เชียงราย – 8 เมษายน 2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารระดับสูงลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการขับเคลื่อนภารกิจด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) โดยมีหน่วยงานการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เข้าร่วมรายงานผลและจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานเชิงรูปธรรม

ผลักดันเชียงรายสู่โมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคเหนือ

กิจกรรมภาคเช้าจัดขึ้น ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการนำเสนอผลการดำเนินงานของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัด และเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสนับสนุน Soft Power ท้องถิ่น และการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับภาคการผลิตจริง

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้นำเสนอโครงการที่สะท้อนการบูรณาการ อววน. กับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เช่น โครงการ “เชียงรายแบรนด์”, โครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย และ “สันสลีโมเดล” ที่ใช้การเรียนการสอนแบบไร้รอยต่อระหว่างห้องเรียน ชุมชน และธุรกิจ

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ได้นำเสนอผลงานเด่นด้านวิจัยเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีประยุกต์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ, การใช้ IoT และ AI คาดการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์

พิธีมอบรางวัลชุมชนสร้างสรรค์ และ Smart Student

นายศุภชัยได้มอบรางวัล “ชุมชนสร้างสรรค์” ให้แก่หมู่บ้านและภาคีเครือข่ายที่มีการนำผลการวิจัยและองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยไปต่อยอดในเชิงพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และการนำภูมิปัญญามาพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ ยังได้มอบรางวัล “Smart Student 2568” ให้แก่นักศึกษาที่มีความโดดเด่นด้านวิชาการและนวัตกรรม

ภาคบ่ายเยี่ยมชม ‘มหาวิทยาลัยวัยที่สาม’ ต้นแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

คณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวัยที่สาม นครเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิตบนฐานชุมชน โดยมีทั้งหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ, การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน, โครงการเกษตรปลอดภัย Farm to Table และศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน ภายใต้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย

ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. ยืนยันหนุนเชียงรายพัฒนาเป็น Hub ด้านการศึกษา-นวัตกรรมของภาคเหนือ

นายศุภชัยให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เห็นถึง “ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเชียงราย พร้อมยืนยันว่า อว. จะสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างให้แก่โครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้

เมื่อสอบถามถึงบทบาทของ อว. ในการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง เช่น แผ่นดินไหว ไฟป่า และหมอกควัน ท่านระบุว่า กระทรวงจะเร่งผลักดันการใช้ Big Data และ IoT ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อเป็นระบบแจ้งเตือนและบริหารจัดการภัยอย่างแม่นยำ

บทบาทของ RMUTL เชียงราย เด่นทั้งในเชิงวิชาการและเทคโนโลยี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร มทร.ล้านนา เชียงราย นำเสนอผลการดำเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่:

  • ด้านการศึกษา – หลักสูตร WIL และ Co-op ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ร่วมกับสถานประกอบการจริง
  • ด้านวิจัยและนวัตกรรม – ผลงานวิจัยเชิงประยุกต์ เช่น ระบบ Smart Water Management และอาหารแปรรูปจากผลผลิตท้องถิ่น
  • ด้านภัยพิบัติ – มีศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ ใช้เทคโนโลยีตรวจจับ และระบบวิเคราะห์ล่วงหน้า โดยร่วมมือกับ ปภ. และท้องถิ่น

ความคิดเห็นสองมุมมองต่อทิศทาง อววน. เชียงราย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิจัย และการศึกษาเข้ากับการพัฒนาท้องถิ่นได้จริง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืน

ในขณะที่ฝ่ายกังวล เห็นว่ายังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงโครงการบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่อยู่นอกเขตเมือง หรือมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ รวมถึงอุปสรรคในการนำผลงานวิจัยไปใช้เชิงพาณิชย์ที่ยังต้องได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายและตลาด

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษา 156 แห่งทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวง อว., 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีมหาวิทยาลัย 4 แห่งหลัก และวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาอีกกว่า 20 แห่ง (ที่มา: อว. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย)
  • โครงการภายใต้ อววน. ในพื้นที่เชียงราย ได้รับงบประมาณสนับสนุนรวมกว่า 120 ล้านบาท ในช่วงปี 2566–2568 (ที่มา: สกสว.)
  • ประเทศไทยมีนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านคน โดยกว่า 55% อยู่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘น้ำประปาเชียงราย’ ปลอดภัยจริง มีการตรวจก่อนส่งให้ประชาชนใช้

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายชี้แจงกระบวนการผลิตน้ำประปา ยืนยันปลอดภัยจากมลพิษแม่น้ำกก

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ที่สถานีผลิตน้ำวังคำ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย นายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย ได้นำคณะสื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและชี้แจงถึงกระบวนการผลิตน้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หลังจากเกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ อันเนื่องมาจากรายงานการปนเปื้อนของสารโลหะหนักและมลพิษในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในเขตอำเภอเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

การเยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำประปา

การเยี่ยมชมเริ่มต้นที่โรงคลองน้ำขนาด 1,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานีผลิตน้ำวังคำประมาณ 300 เมตร โดยจุดนี้เป็นสถานที่สูบน้ำดิบจากแม่น้ำกกในเขตพื้นที่ค่ายทหาร นายทวีศักดิ์อธิบายว่า น้ำดิบที่ถูกสูบเข้ามาจะถูกนำเข้าสู่ถังน้ำเพื่อผ่านกระบวนการเติมสารเคมีสำหรับจัดการตะกอน โดยในอดีต การประปาใช้สารเคมีในรูปแบบผงที่ต้องมีการเตรียมก่อนใช้งาน ซึ่งใช้เวลานานและอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ปัจจุบันได้ปรับปรุงมาใช้สารเคมีในรูปแบบน้ำ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการจัดการคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดน้ำท่วมหรือน้ำขุ่นสูงจากอุทกภัย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มสารเคมีอีกประเภทหนึ่งเพื่อยกระดับการกำจัดตะกอนให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้น น้ำดิบที่ผ่านการเติมสารเคมีจะถูกส่งต่อไปยังถังตกตะกอน ซึ่งใช้เวลาในกระบวนการนี้ประมาณ 30 นาที สารเคมีที่เติมเข้าไปจะช่วยให้ตะกอนทั้งจากธรรมชาติและตะกอนหนัก เช่น สารอินทรีย์หรือโลหะหนัก จับตัวกันเป็นก้อนที่มีน้ำหนักมากขึ้น และตกลงสู่ก้นถัง เหลือเพียงน้ำใสที่ไหลต่อไปยังขั้นตอนถัดไป นายทวีศักดิ์ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของน้ำในถังตกตะกอน โดยเมื่อน้ำเคลื่อนจากด้านหนึ่งของถังไปยังอีกด้านหนึ่ง ความขุ่นจะลดลงอย่างชัดเจน จนถึงปลายถังที่น้ำแทบไม่มีตะกอนหลงเหลืออยู่เลย

น้ำใสจากถังตกตะกอนจะไหลลงสู่ระบบกรองทรายที่มีชั้นกรอง 5 ชั้น ตั้งแต่ชั้นทรายหยาบที่ด้านล่างไปจนถึงชั้นทรายละเอียดที่ด้านบน เพื่อกำจัดสิ่งปนเปื้อนขนาดเล็กที่อาจหลงเหลืออยู่ นายทวีศักดิ์ระบุว่า หลังจากผ่านระบบกรองนี้ น้ำจะถูกส่งไปยังถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อเติมคลอรีนในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับฆ่าเชื้อโรค ก่อนจ่ายไปยังครัวเรือนในเขตบริการ เขาย้ำว่า การประปามีการตรวจวัดคุณภาพน้ำทุกวัน โดยค่าความขุ่นของน้ำที่ออกจากสถานีอยู่ที่ต่ำกว่า 1 หน่วย NTU (Nephelometric Turbidity Unit) ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 4 หน่วย NTU ตามเกณฑ์ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

การรับประกันความปลอดภัยของน้ำประปา

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสื่อมวลชนและประชาชน นายทวีศักดิ์ได้สาธิตการทดสอบคุณภาพน้ำ โดยการวัดค่า pH ซึ่งผลลัพธ์อยู่ที่ 7.12 อยู่ในช่วงมาตรฐาน 6.5-8.5 ที่กำหนดโดยกรมอนามัย นอกจากนี้ เขายังได้ล้างหน้าด้วยน้ำประปาตรงหน้ากล้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าน้ำมีความปลอดภัยต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน “น้ำประปาของเราผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมอนามัย และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงน้ำท่วมหรือสถานการณ์ปกติ ระบบของเราสามารถรองรับได้” นายทวีศักดิ์กล่าว

การเยี่ยมชมยังรวมถึงการพูดคุยกับนายนิพนธ์ แสงพงษ์ วิศวกรประจำศูนย์ควบคุมการผลิต ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบและบันทึกข้อมูลคุณภาพน้ำได้แบบเรียลไทม์ ผ่านกราฟและตัวชี้วัดต่างๆ ศูนย์นี้ยังทำหน้าที่เฝ้าระวังระบบจ่ายน้ำในเขตบริการรอบเมืองเชียงราย หากเกิดปัญหาการขาดน้ำหรือระบบขัดข้อง เจ้าหน้าที่จะทราบทันทีและสามารถส่งทีมช่างออกไปแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นายนิพนธ์ระบุว่า ระบบนี้ช่วยให้การประปาสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำในพื้นที่

ห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพน้ำ

นายณรงค์ศักดิ์ สารใจ นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพน้ำ ซึ่งรับผิดชอบการตรวจสอบน้ำประปาใน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา และน่าน อธิบายว่า ห้องปฏิบัติการนี้แบ่งการทดสอบออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. คุณลักษณะทางกายภาพ: เช่น ค่าความขุ่นและ pH
  2. คุณลักษณะทางเคมี: เช่น ค่าความกระด้างและฟลูออไรด์
  3. คุณลักษณะทางชีววิทยา: เช่น การตรวจหาเชื้อโรค เช่น อีโคไลและโคลิฟอร์มแบคทีเรีย

การตรวจเชื้อโรคพื้นฐานจะดำเนินการทุกเดือน ส่วนเชื้อก่อโรคอื่นๆ เช่น ซัลโมเนลลา จะมีการตรวจทุก 6 เดือน สำหรับการตรวจสารโลหะหนัก นายพิทักษ์ มูลวิไชย นักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่ง ระบุว่า การประปาสาขาเชียงรายจะส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการของการประปาส่วนภูมิภาคเขตที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสารพิษที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น สารหนูและตะกั่ว จะถูกส่งไปตรวจที่สำนักงานใหญ่ของการประปาส่วนภูมิภาคที่กรุงเทพมหานคร โดยมีการตรวจสอบเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เช่น กรมอนามัย และหน่วยงานอิสระ เพื่อยืนยันคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง

ความกังวลจากสถานการณ์แม่น้ำกก

การชี้แจงครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีรายงานเมื่อต้นเดือนเมษายน 2568 ว่า แม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักของการประปาสาขาเชียงราย มีการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว ในระดับที่เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน ส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนถึงความปลอดภัยของน้ำประปา โดยเฉพาะเมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสหรือบริโภคน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายทวีศักดิ์ยืนยันว่า แม้แม่น้ำกกจะมีรายงานการปนเปื้อน แต่กระบวนการผลิตน้ำประปาของการประปาสามารถกำจัดสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เราไม่ปล่อยให้น้ำดิบที่มีปัญหาคุณภาพไหลเข้าสู่ระบบโดยไม่ผ่านการบำบัด ทุกขั้นตอนถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้” เขากล่าว พร้อมระบุว่า การประปาได้เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบจากแม่น้ำกกตั้งแต่ทราบผลการตรวจเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น

การสื่อสารกับประชาชน

นายทวีศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในน้ำประปาของเรา กระบวนการผลิตและการตรวจสอบของเรามีมาตรฐานชัดเจน หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เพจ Facebook ‘การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย’ หรือโทรศัพท์สายตรงของเราได้ตลอดเวลา” เขายังระบุว่า ข้อมูลผลการตรวจคุณภาพน้ำจะมีการอัปเดตผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประชาชนรับทราบความเคลื่อนไหวและคลายความกังวล

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

จากสถานการณ์ดังกล่าว มีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ประชาชนและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำประปาในจังหวัดเชียงราย

ฝ่ายที่ 1: มั่นใจในน้ำประปา
การประปาส่วนภูมิภาคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า น้ำประปาที่ผ่านกระบวนการผลิตมีมาตรฐานสูงและปลอดภัยต่อการใช้งาน ด้วยระบบบำบัดที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารโลหะหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องและการรับรองจากกรมอนามัยเป็นหลักฐานที่สนับสนุนว่า ประชาชนสามารถใช้งานน้ำประปาได้โดยไม่ต้องกังวล

ฝ่ายที่ 2: ยังคงกังวลถึงความเสี่ยง
ในทางกลับกัน บางส่วนของประชาชนและกลุ่มที่ติดตามสถานการณ์แม่น้ำกกมีความกังวลว่า แม้ระบบบำบัดจะมีประสิทธิภาพ แต่การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแหล่งน้ำดิบอาจส่งผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะหากระบบเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่สามารถรับมือกับปริมาณสารพิษที่สูงเกินคาดได้ การที่แหล่งน้ำต้นทางอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ

ทัศนคติเป็นกลาง: ทั้งสองฝ่ายมีมุมมองที่สมเหตุสมผล การประปาสาขาเชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของระบบและการตรวจสอบที่เข้มงวด ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการรับประกันความปลอดภัยในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนก็ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากแหล่งน้ำดิบที่มีปัญหาคุณภาพอาจเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังในอนาคต การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การปนเปื้อนจากเหมืองทองคำในเมียนมา ร่วมกับการสื่อสารที่โปร่งใสและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแนวทางที่สมดุลในการคลายความกังวลและรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตน้ำประปา: การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายผลิตน้ำประปาประมาณ 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อให้บริการในเขตอำเภอเมืองเชียงรายและเวียงชัย (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, การประปาส่วนภูมิภาค)
  2. คุณภาพน้ำแม่น้ำกก: กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ในปี 2567 แม่น้ำกกมีค่า BOD เฉลี่ย 3-5 mg/L เกินมาตรฐานน้ำผิวดินที่ 2 mg/L (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  3. การปนเปื้อนสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การสัมผัสสารหนูเกิน 0.01 mg/L ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)
  4. การใช้น้ำในเชียงราย: แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลักสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตอำเภอเมืองเชียงราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณน้ำที่ใช้ทั้งหมด (ที่มา: รายงานทรัพยากรน้ำ, สทนช., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงราย ขานรับ ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน เร่งตรวจน้ำประปา ไทยเตรียมประสานเมียนมา

เชียงรายเร่งแก้ปัญหาคุณภาพแม่น้ำกก หลังพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ประสานเมียนมาเดินหน้าความร่วมมือ

สถานการณ์ล่าสุด: เจ้าหน้าที่รัฐลงพื้นที่สำรวจคุณภาพน้ำกกอย่างเร่งด่วน

จังหวัดเชียงราย – วันที่ 7 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะทำงาน ได้แก่ นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข, นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ., นายสมยศ กิจดวงดี รองประธานสภา อบต.ริมกก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, อสม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำกกบริเวณบ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อประเมินสถานการณ์คุณภาพน้ำและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าแม่น้ำกกยังคงอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” และยังมีสภาพน้ำขุ่นแดงในหลายจุด ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายก อบจ. เน้นย้ำมาตรการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชน

นางอทิตาธรฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ขอความร่วมมือให้งดสัมผัสแม่น้ำกกโดยตรง เพราะอาจเกิดอาการระคายเคือง หรืออาการทางผิวหนังต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนหรือไม่ โดยผลการตรวจจะนำมาแจ้งให้ทราบโดยเร็ว”

นายก อบจ. ยังย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือของภาคประชาชน ร้านค้า และสถานประกอบการต่าง ๆ ในการไม่ปล่อยน้ำเสียสู่แหล่งน้ำโดยไม่ได้ผ่านการบำบัด พร้อมแจ้งเตือนประชาชนที่มีอาการผิดปกติหลังสัมผัสน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที

เรียกประชุมด่วนร่วมมหาวิทยาลัยฯ และหน่วยงานรัฐ

ในเวลา 10.00 น. ของวันเดียวกัน นางอทิตาธรฯ ได้เรียกประชุมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขคุณภาพน้ำแม่น้ำกก ซึ่งผลการประชุมสรุปว่า คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเข้มข้นร่วมกับทุกภาคส่วน

แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย, เวียงชัย, เวียงเชียงรุ้ง, ดอยหลวง, แม่จัน และสิ้นสุดที่แม่น้ำโขงในอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากทั้งในเรื่องการใช้น้ำเพื่อบริโภคและทำการเกษตร

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งตรวจสอบตลอดเส้นน้ำต้นทางจนถึงชายแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบกิจกรรมตลอดเส้นทางน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำในจังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงปลายน้ำในเชียงราย เพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้สารหนูปนเปื้อนเพิ่มขึ้น

“กิจกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือแหล่งผลิตน้ำประปาในระดับชุมชน ที่ไม่ใช่การประปาภูมิภาค ซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง เราจะให้ อบจ.เชียงราย และสำนักงานสาธารณสุข เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.ราชภัฏเชียงราย อย่างเร่งด่วน” นายชรินทร์กล่าว

รัฐเมียนมาร่วมมือ ประสานปิดเหมืองทองคำต้นเหตุสารพิษ

การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองคำในเมืองสาด และเมืองยอน ประเทศเมียนมา กระทรวงมหาดไทยไทยจึงได้เร่งประสานความร่วมมือกับทางการเมียนมา

โดยนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. มอบหมายให้นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผอ. กปภ.เขต 9 เข้าหารือกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่เมียนมา ณ สำนักงานกงสุลใหญ่ เชียงใหม่ เพื่อขอความร่วมมือในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ที่อาจเป็นต้นเหตุของสารปนเปื้อน

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า “ปัจจุบันคุณภาพน้ำประปายังคงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย การประปาส่วนภูมิภาคได้เฝ้าระวังและปรับกระบวนการผลิตน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำประปาไม่เป็นอันตรายต่อประชาชน”

ชาวบ้านขอความชัดเจนและการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน

ด้านชุมชนริมแม่น้ำกกในหลายพื้นที่ ต่างแสดงความกังวลใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับแม่น้ำ เช่น ประมง พืชสวน และท่องเที่ยว ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบโดยตรง

ชาวบ้านตำบลริมกก ให้สัมภาษณ์ว่า “เราหวังให้ภาครัฐหาทางแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เพราะนอกจากสุขภาพแล้ว รายได้ของคนในชุมชนก็ลดลงทุกวัน”

สถิติและข้อมูลทางวิชาการ

อ้างอิงจากรายงานการตรวจคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษ (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568):

  • สารหนู (As) ตรวจพบ 0.012 – 0.026 มิลลิกรัม/ลิตร (เกินมาตรฐานที่ 0.01)
  • ตะกั่ว (Pb) ตรวจพบสูงสุด 0.076 มิลลิกรัม/ลิตร (เกินมาตรฐานที่ 0.05)
  • ค่าความขุ่น (NTU) สูงสุดที่ 988 NTU (มาตรฐานไม่เกิน 100)
  • แบคทีเรียโคลิฟอร์มรวม พบเกินค่ามาตรฐานใน 3 จุดหลัก
  • คุณภาพน้ำตาม BOD (Biochemical Oxygen Demand) อยู่ในระดับเสื่อมโทรม

ทัศนคติเป็นกลางของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายประชาชน: เรียกร้องให้รัฐเร่งแก้ไขอย่างยั่งยืนและโปร่งใส เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ รายได้ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน

ฝ่ายภาครัฐ: ยืนยันดำเนินการเร่งด่วนตามมาตรการที่มีอย่างเต็มกำลัง ทั้งในประเทศและประสานความร่วมมือต่างประเทศ โดยเน้นย้ำคุณภาพน้ำประปายังอยู่ในมาตรฐาน และเดินหน้าตรวจสอบตลอดลำน้ำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกเริ่มวิกฤต สัตว์น้ำตาย ชาวบ้านคาดสารพิษเกินมาตรฐาน

สารหนูในแม่น้ำกก เกินค่ามาตรฐาน สัตว์น้ำตายปริศนา คนเชียงรายผวา

พบสารพิษในแม่น้ำกก ชาวบ้านไม่กล้าใช้น้ำ

เชียงราย,เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 – สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) หรือ สคพ.1 ได้เผยผลตรวจวิเคราะห์น้ำและตะกอนดินจากแม่น้ำกกในพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย พบปริมาณ “สารหนู” เกินมาตรฐานทั้ง 3 จุด

หนึ่งในพื้นที่ตรวจวัดคือบริเวณเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง บ้านน้ำลัด อ.เมือง จ.เชียงราย พบค่าปนเปื้อน 0.012 มิลลิกรัมต่อลิตร ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร สังเกตเห็นว่าน้ำในแม่น้ำยังคงมีสีขุ่นแดง และไม่มีชาวบ้านลงเล่นน้ำหรือหาปลาเช่นเคย

เริ่มพบสัตว์น้ำลอยตายริมฝั่ง

ชาวบ้านรายงานว่าพบลูกเต่าน้ำจืดและปลาจำนวนหนึ่งลอยตายเกยฝั่ง ยังไม่มีคำยืนยันถึงสาเหตุที่ชัดเจน แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อนดังกล่าว

นายอภิชิต ปันวิชัย อายุ 51 ปี ชาวบ้านชุมชนน้ำลัด ระบุว่า “ปกติพวกเราจะใช้น้ำจากแม่น้ำกกทั้งกิน ทั้งใช้ และทำมาหากินมาตลอด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครกล้าแตะน้ำอีกเลย แม้กระทั่งการประมงพื้นบ้านก็ต้องหยุดหมด”

เรียกร้องรัฐไทย-เมียนมา ร่วมมือแก้ปัญหา

ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้รัฐบาลไทยประสานกับรัฐบาลเมียนมาอย่างเร่งด่วน เพื่อควบคุมและตรวจสอบการทำเหมืองหรือกิจกรรมอื่นๆ ทางตอนเหนือของแม่น้ำ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของมลพิษที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก

ภาครัฐในพื้นที่ได้รับคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ให้เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำตลอดแนวแม่น้ำกก ตั้งแต่รอยต่อกับ จ.เชียงใหม่ ไปจนถึงปลายน้ำที่ อ.เชียงแสน ก่อนแม่น้ำกกจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง

สั่งตรวจสอบระบบประปาและแหล่งใช้น้ำทุกประเภท

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังมีคำสั่งให้สำนักงานสาธารณสุข การประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมสำรวจแหล่งใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ ทั้งอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยให้สรุปภายในวันที่ 9 เมษายน 2568

สคพ.1 แนะนำให้มีการตรวจคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เดือนละ 1-2 ครั้ง และหากมีอาการผิดปกติหลังสัมผัสน้ำ เช่น ผื่น อาเจียน ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

กรมควบคุมมลพิษเผยคุณภาพน้ำ “เสื่อมโทรม”

ผลการตรวจวิเคราะห์ของ สคพ.1 ร่วมกับหลายหน่วยงาน พบว่าคุณภาพน้ำแม่น้ำกก ณ จุดตรวจ 3 จุดใน อ.แม่อาย มีค่าคุณภาพน้ำอยู่ในระดับ “เสื่อมโทรม” ได้แก่

  • BOD (สารอินทรีย์ในน้ำเสีย) เกินมาตรฐานทั้ง 3 จุด
  • แบคทีเรียโคลิฟอร์มและฟีคอลโคลิฟอร์ม สูงเกินค่ากำหนด บ่งชี้ถึงน้ำเสียจากชุมชน
  • แอมโมเนีย สูงจากการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
  • ค่าความขุ่น สูงถึง 988 NTU ที่ชายแดนไทย-พม่า (มาตรฐานไม่เกิน 100 NTU)

พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน

  • ตะกั่ว (Pb) พบเกินมาตรฐานในจุดที่ติดชายแดน มีค่า 0.076 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.05)
  • สารหนู (As) พบเกินทุกจุด ตรวจพบสูงสุด 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.01)

การได้รับสารหนูและตะกั่วอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท ระบบขับถ่าย และเสี่ยงเป็นมะเร็งในระยะยาว

คำเตือนต่อประชาชน

กรมควบคุมมลพิษแจ้งเตือนประชาชนให้ หลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประเมินความเสี่ยง และปรับระบบการบำบัดน้ำประปาให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด

ความเห็นจากสองฝ่ายแบบเป็นกลาง

ฝ่ายชาวบ้าน: ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หวั่นผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสุขภาพของลูกหลานในอนาคต

ฝ่ายรัฐ: ยืนยันเร่งแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ พร้อมประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน

สถิติและแหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • ค่า BOD แม่น้ำกก เฉลี่ย 5.2 มก./ลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 4)
  • ปริมาณสารหนูเฉลี่ย 0.012-0.026 มก./ลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.01)
  • รายงานคุณภาพน้ำปี 2567 จากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่าแม่น้ำกกอยู่ในลำดับที่ 8 จาก 10 แหล่งน้ำที่เสื่อมโทรมที่สุดในภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เรือนจำเชียงราย เปิดศูนย์ “หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง”

เรือนจำกลางเชียงรายเปิด “ศูนย์แคร์” และ “หับเผยคาร์แคร์ 2” ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสู่การคืนคนดีสู่สังคม

ส่งเสริมโอกาสแห่งชีวิตใหม่แก่ผู้ต้องขังผ่านการฝึกอาชีพและมีงานทำ

เชียงราย – วันที่ 6 เมษายน 2568 ณ เรือนจำกลางเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดป้ายอาคารอเนกประสงค์ “ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ” (CARE) และพิธีเปิด “หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง” โดยมีผู้บริหารหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้แทนองค์กรชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พิธีเปิดดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเรือนจำกลางเชียงรายในการยกระดับมาตรการฟื้นฟูผู้ต้องขังผ่านการพัฒนาศักยภาพในด้านอาชีพ และเตรียมความพร้อมก่อนการปล่อยตัวกลับคืนสู่สังคม

เสริมศักยภาพด้วยอาชีพ เพิ่มความหวังในการเริ่มต้นใหม่

นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย กล่าวว่า เรือนจำมีบทบาทในการควบคุมผู้ต้องขังควบคู่กับการ “แก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัย” โดยเฉพาะการฝึกวิชาชีพที่สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้จริงภายหลังพ้นโทษ ซึ่งตอบสนองต่อนโยบายของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566–2570

ภายใต้แนวทางดังกล่าว เรือนจำกลางเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์ “CARE” เพื่อทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงและให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพแก่ผู้พ้นโทษ เช่น การจัดหางาน การให้ทุนประกอบอาชีพ การแนะแนว และการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน

หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง” พื้นที่จริงเพื่อฝึกอาชีพในโลกจริง

หนึ่งในกิจกรรมที่โดดเด่นคือการเปิด “หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง” ซึ่งเป็นสถานที่ให้บริการล้างรถโดยทีมผู้ต้องขังที่ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับการรับรองมาตรฐานด้านการให้บริการ การดูแลลูกค้า และการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง

คาร์แคร์ดังกล่าวเปิดให้บริการแก่บุคคลภายนอก และเป็นสถานที่ฝึกจริงเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังให้สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพภายนอกได้ทันทีภายหลังการปล่อยตัว นับเป็นโมเดลการฝึกอาชีพที่ยึด “หลักเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง” (Learning by Doing) อย่างแท้จริง

ศูนย์แคร์ เชื่อมต่อ “ชีวิตหลังกรง” กับโอกาสใหม่ในสังคม

“ศูนย์แคร์” ไม่เพียงทำหน้าที่ฝึกอาชีพ แต่ยังเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลการเปลี่ยนผ่านของผู้ต้องขังจากการอยู่ในระบบควบคุมสู่การใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางประสานกับหน่วยงานจัดหางาน สำนักงานพัฒนาสังคมฯ และองค์กรเอกชนในการสร้างโอกาสการมีงานทำอย่างต่อเนื่อง

ผู้พ้นโทษที่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถติดต่อเพื่อขอรับทุนประกอบอาชีพเบื้องต้น หรือเข้าร่วมกิจกรรมเสริมพัฒนาทักษะผ่านการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องได้

บทสะท้อนสองมุมมองต่อโครงการพัฒนาชีวิตผู้พ้นโทษ

ฝ่ายสนับสนุน เห็นว่า การฝึกอาชีพและให้โอกาสแก่ผู้พ้นโทษเป็นแนวทางที่ถูกต้องและมีมนุษยธรรม ช่วยลดโอกาสในการหวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ และยังเป็นการคืนคนดีสู่สังคมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศไทยยังมีอัตราการกระทำผิดซ้ำสูง การดำเนินการเชิงรุกเช่นนี้นับว่าเป็นความหวังใหม่ของระบบยุติธรรมไทย

ขณะที่ฝ่ายกังวล มองว่า แม้โครงการจะมีเจตนาดี แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องการยอมรับจากสังคมภายนอก โดยเฉพาะผู้ประกอบการบางรายที่ยังลังเลในการจ้างผู้พ้นโทษ นอกจากนี้ยังขาดระบบติดตามผลในระยะยาวว่าผู้ที่ได้รับการฝึกฝนสามารถตั้งตัวได้จริงหรือไม่ และโอกาสเข้าถึงทุนสำหรับประกอบอาชีพก็ยังไม่ทั่วถึง

แนวทางต่อไป: การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนคือหัวใจ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเสนอว่า การขับเคลื่อนงานคืนคนดีสู่สังคม ต้องอาศัย “ภาคประชาชน” และ “ภาคเอกชน” ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งในด้านการรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน การสนับสนุนทุน หรือแม้แต่การเปิดพื้นที่ให้ผู้พ้นโทษได้แสดงศักยภาพ โดยไม่ตีตราหรือปิดกั้นโอกาสตั้งแต่ต้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับผู้พ้นโทษและการกลับเข้าสู่สังคม

  • ประเทศไทยมีผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งหมดประมาณ 278,000 คน (ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์, ก.พ. 2567)
  • ผู้พ้นโทษกลับกระทำผิดซ้ำ (Recidivism rate) อยู่ที่ประมาณ 18% ภายใน 3 ปี (ที่มา: สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2566)
  • มีผู้พ้นโทษที่ต้องการมีอาชีพอย่างเป็นระบบมากกว่า 70% แต่เข้าถึงทุนเพียง 38% (ข้อมูลจากโครงการเรือนจำแห่งการเรียนรู้)
  • กรมราชทัณฑ์มีแผนพัฒนาทักษะวิชาชีพในเรือนจำ 131 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมกว่า 40 สาขาอาชีพ เช่น ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ทำอาหาร เสริมสวย ฯลฯ (ที่มา: กรมราชทัณฑ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมราชทัณฑ์
  • กระทรวงยุติธรรม
  • สำนักงานกิจการยุติธรรม
  • แผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566–2570
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย
  • สถิติเรือนจำทั่วประเทศ, สำนักวิจัยระบบยุติธรรม
  • โครงการเรือนจำแห่งการเรียนรู้, มูลนิธิพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

เชียงรายดังไกล “MY DANCE” คว้าชัย เวทีเต้นเอเชียตีตั๋วไประดับโลก

เด็กเชียงรายเก่งระดับโลก ความสำเร็จจาก MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025

ชลบุรี, 6 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมนักเต้นเยาวชนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลงานอันน่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมตัวแทนนักเต้นสตรีทแดนซ์จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อชิงชัยความเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และคัดเลือกทีมที่โดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ไม่เพียงแต่คว้ารางวัลสำคัญถึง 4 รางวัลเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนจากภาคเหนือของประเทศไทยที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยในเวทีระดับโลก

การแข่งขันครั้งนี้จัดโดย United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำด้านการเต้นสตรีทแดนซ์ระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนผ่านการเต้น อีกทั้งยังมุ่งหวังให้เยาวชนไทยรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม สร้างวินัยในตนเอง และส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของบุตรหลานในมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่จำกัดเพียงแค่ด้านวิชาการเท่านั้น

ความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ MY DANCE ACADEMY

ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ซึ่งประกอบด้วยนักเต้นเยาวชนและผู้ใหญ่จากจังหวัดเชียงราย ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้ โดยสามารถคว้ารางวัลใหญ่ถึง 4 รางวัล และมีอีก 2 ทีมที่สร้างสีสันบนเวที

รายชื่อสมาชิกทีมและผลงาน

ทีม MY DANCE ACADEMY ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลายวัย ซึ่งแต่ละคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลงานอันน่าประทับใจ ดังนี้

Myda Crew Junior ( rank 10 ) รุ่น Under 12

  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี
  2. วิปครีม เด็กหญิงชนัญชิดา กองสุวรรณ์ อายุ 10 ขวบ ชั้นป.4 โรงเรียน ต้นดีศึกษา
  3. น้องใบทาย เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี โรงเรียนอนุบาลเชียงราย ชั้นประถมศึกษาปีที่2/9
  4. น้องส้ม เด็กหญิง อริสา ฮาร์มเซ่น อายุ 10 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ป.4
  5. น้องลำพูน สิบสองปันนา พนมการณ์ 9 ปี Chiangrai International School ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
  6. น้องไดมอนด์ เด็กหญิง ปวันรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 10 ปี Chaingrai International School ชั้น ป4

MY DANGER GALZ (rank 6) รุ่น Under 18

  1. ทรีทรี วัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 12 ปี โรงเรียนพระกุมารเยซูเชียงของ ป.6
  2. พิมพ์ ณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  3. มีน อารยา สัทธานนท์ อายุ 17 ปี  โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  4. ขวัญ นีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  5. นาน่า ณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  6. โมโม่ โมนะ วังวิญญู อายุ 16 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.4

Myda Supercrew รุ่น Supercrew (18 คนขึ้นไป) สมาชิกทั้งหมด ทุกทีม และเพิ่มสมาชิก อีก 4 คนคือ

  1. ทอฝัน กัญพัชย์ วงค์ฮู้ อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2
  2. หยก หทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงยงราย ชั้น ม.2
  3. น้องเจม เด็กชาย ปพนรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 9 ปี  Chiangrai International School ชั้น ป3
  4. บุ้งกี๋ เด็กหญิง ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 13 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.1

La MYDA Nostra (อันดับ 4, รุ่น Ultimate Advance)

  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY
  2. น้องเปีย นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  3. น้องเบลล์ นางสาวธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 20 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  4. ครูตระกร้อ นายศุภพิชญ์ กันยะธง อายุ 34 ปี MY DANCE ACADEMY
  5. ครูส้ม นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY
Solo U10 อันดับ 3
  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี 
Solo O18 อันดับ 3
  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY

การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ของเยาวชนเชียงราย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักและการใช้เวลาว่างของเด็กๆ และเยาวชนอย่างมีคุณค่า เด็กๆ เหล่านี้เลือกที่จะทุ่มเทให้กับการเต้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านการทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ และวินัยในตนเอง ครูยุ้ย ผู้อำนวยการของ MY DANCE ACADEMY กล่าวว่า “เรามุ่งหวังให้เด็กๆ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะปล่อยให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การเต้นเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ ได้แสดงออก และพัฒนาตัวเองในหลายด้าน”

น้องโฟกัส วัย 8 ปี ผู้คว้ารางวัล Solo U10 เล่าว่า “หนูชอบเต้นมากค่ะ หลังเลิกเรียนหนูจะมาซ้อมกับเพื่อนๆ และครูทุกวัน การเต้นทำให้หนูสนุกและมีเพื่อนเยอะขึ้น” เช่นเดียวกับน้องทอฝัน วัย 13 ปี จากทีม MYDA SUPER CREW ที่กล่าวว่า “การเต้นทำให้หนูรู้จักจัดการเวลา และมีวินัยมากขึ้น หนูภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สร้างชื่อเสียงให้เชียงรายค่ะ”

การสร้างชื่อเสียงให้จังหวัดเชียงราย

ผลงานของ MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ การที่ทีมจากจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยสามารถคว้ารางวัลในเวทีใหญ่ระดับเอเชียได้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ที่หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ก็สามารถก้าวไปสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างาม

ครูสายเมฆ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม กล่าวว่า “เราภูมิใจมากที่เด็กๆ จากเชียงรายได้แสดงให้โลกเห็นว่าเราก็มีดีไม่แพ้ใคร การแข่งขันครั้งนี้เป็นโอกาสที่ทำให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง และนำชื่อเสียงมาสู่จังหวัดของเรา จะเห็นได้ว่าเด็กที่ได้หรือไม่ได้รางวัลมีความสุขกับการเต้น เราเองก็ดีใจ และภูมิใจที่เชียงรายมีทีมเก่งๆ แบบนี้”

แรงบันดาลใจและการสนับสนุนจากทุกฝ่าย

ความสำเร็จของ MY DANCE ACADEMY จะไม่เกิดขึ้นได้หากขาดการสนับสนุนจากทีมผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และผู้จัดงาน โดยทีมครูผู้ฝึกสอน ประกอบด้วย ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูกร้อ, ครูหมีพู, ครูส้ม, ครูเปีย และทีมครูตึกขาว ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการฝึกซ้อมเด็กๆ ให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ผู้ปกครองและครอบครัวของนักเต้นทุกคนก็มีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจและสนับสนุนทั้งด้านการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆ

นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณเวที UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ทีมงานผู้จัด และผู้สนับสนุนทุกท่าน ที่มอบโอกาสและพื้นที่ให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเต้นรุ่นใหม่ต่อไป การแข่งขันครั้งนี้ยังปิดท้ายด้วยความสนุกสนานจากมินิคอนเสิร์ตของศิลปิน B KING OF THE MIC และ CHUN WEN CHONBURIFLOW ซึ่งเพิ่มสีสันให้กับงานได้เป็นอย่างดี

สู่เวทีโลกความหวังของเด็กเชียงราย

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในครั้งนี้ ทีม MY DANCE ACADEMY มีโอกาสได้ไปต่อในเวที UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของเยาวชนไทยในระดับโลก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของทีมและจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยทั่วประเทศเห็นว่า การทุ่มเทและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สามารถนำพาความฝันไปสู่ความจริงได้

จากเด็กตัวเล็กๆ ในเมืองเชียงราย สู่การเป็นนักเต้นที่เก่งกาจในระดับนานาชาติ MY DANCE ACADEMY ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากมีความมุ่งมั่นและการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมจากทุกฝ่าย และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของเด็กเชียงรายบนเส้นทางสตรีทแดนซ์ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY DANCE ACADEMY

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News