Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐาน นศท.เชียงราย ฝึกกู้ชีพ-เฝ้าระวังฮีทสโตรก เพื่อสังคม

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย “นักศึกษาวิชาทหารเชียงราย” ฝึกเข้มปฐมพยาบาล–กู้ชีพ–เฝ้าระวังฮีทสโตรก สอดรับบทบาท “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามเช้าอวลเมฆฝนบนสนามฝึกของ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เสียงนกหวีดกับจังหวะนับก้าวถูกแทนที่ด้วยจังหวะกดหน้าอก “หนึ่ง–สอง–สาม…” จากห้องฝึกเฉพาะกิจที่จัดวางหุ่นจำลองพร้อมเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ในวันฝึกเชิงปฏิบัติการด้านการปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกันของ นักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 1 กว่า 190 นาย กิจกรรมครั้งนี้จัดโดย โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 จังหวัดเชียงราย ภายใต้โจทย์ใหญ่ของยุคสภาพอากาศแปรปรวนที่เสี่ยงต่อ ฮีทสโตรก” (Heat Stroke) และเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์กลางแจ้ง

หัวใจของการฝึกคือ “สร้างนักรบที่ปลอดภัยและเป็นที่พึ่งของสังคม” ไม่ใช่เพียงความแข็งแรงเชิงยุทธวิธี แต่รวมถึง ทักษะช่วยชีวิตและการดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า “ต่างเสี้ยวนาที — ต่างผลลัพธ์” สำหรับชีวิตของเพื่อนร่วมทีมและประชาชน

ทำไม “ฮีทสโตรก” จึงเป็นหัวข้อเร่งด่วนของการฝึกภาคสนาม

ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การฝึกภาคสนามกลางแจ้งต่อเนื่อง การสวมอุปกรณ์ การเคลื่อนที่พร้อมน้ำหนักบรรทุก รวมทั้งความชื้นสัมพัทธ์สูง ล้วนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความเครียดจากความร้อน ความเสี่ยงไม่ได้วัดจากอุณหภูมิอย่างเดียว แต่ต้องมองผ่านดัชนีความร้อน/ค่าความเครียดความร้อนและสภาวะร่างกายรายบุคคล

การฝึกของ มทบ.37 จึงเริ่มต้นด้วย โมดูลความรู้ความเสี่ยงจากความร้อน ครบวงจร ตั้งแต่

  • การแยกแยะ กลุ่มอาการจากความร้อน” (เป็นลมแดด/ตะคริวจากความร้อน/ภาวะเพลียแดด/ฮีทสโตรก)
  • สัญญาณเตือน ที่ต้องจับตา: อ่อนแรง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อนจัด เหงื่อหยุดไหล สับสน พูดไม่รู้เรื่อง ชัก
  • ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล: ขาดน้ำ พักผ่อนไม่พอ ภาวะน้ำตาลต่ำ น้ำหนักเกิน โรคประจำตัว ยาบางชนิด/คาเฟอีน/แอลกอฮอล์
  • หลักป้องกัน 4 ข้อ: (1) ดื่มน้ำสม่ำเสมอ—ก่อน–ระหว่าง–หลังฝึก (2) ปรับตัวค่อยเป็นค่อยไป (acclimatization) (3) สลับงาน–พักตามดัชนีความร้อน (4) ใช้ระบบ buddy check คอยสังเกตกัน
  • แนวทางปฐมพยาบาลฮีทสโตรก: โทรขอความช่วยเหลือ–ย้ายผู้ป่วยเข้าร่ม–คลายอุปกรณ์–เริ่ม ลดอุณหภูมิทันที” (active cooling) เช่น ประคบเย็น จุดเลือดผ่านมาก/พัดลม/พ่นละอองน้ำ/ถ้าอุปกรณ์พร้อมให้แช่น้ำเย็นทั้งตัว (cold-water immersion) จนกว่าจะถึงมือแพทย์

การบูรณาการความรู้ลักษณะนี้ช่วยให้ นศท. รู้เร็ว–ตัดสินใจเร็ว–ลงมือเร็ว ลดโอกาสไหลลื่นจากภาวะเพลียแดดไปสู่ฮีทสโตรกซึ่งเสี่ยงต่อชีวิต โดยเน้นว่า เวลา = อวัยวะ” การลดอุณหภูมิภายในนาทีแรก ๆ คือเส้นแบ่งสำคัญระหว่างการฟื้นตัวและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

การกู้ชีพ “CPR + AED” ให้เป็น—ให้ไว—ให้ถูกต้อง

ในห้องฝึกกู้ชีพ นศท. รอบต่อรอบถูกจัดเข้าสถานี Basic Life Support (BLS) เรียนรู้ตาม “ห่วงโซ่การรอดชีวิต” (Chain of Survival) ตั้งแต่การประเมินความปลอดภัย การเรียกขอความช่วยเหลือ การกดหน้าอกคุณภาพ ไปจนถึงการใช้ AED ที่ตั้งวางตามจุดยุทธศาสตร์ของพื้นที่ฝึก

สิ่งที่เน้นย้ำ

  • คุณภาพการกดหน้าอก: ลึก 5–6 ซม. จังหวะ ~100–120 ครั้ง/นาที ปล่อยหน้าอกคืนตัวเต็มที่ ลดเวลาหยุดกด (no-flow time)
  • การเป่าปาก/ช่วยหายใจ: ปรับตามบริบทการฝึกและความพร้อมอุปกรณ์ (mask/BVM) โดยไม่ให้รบกวนคุณภาพการกดหน้าอก
  • การใช้ AED: เปิดเครื่อง–ติดแผ่นนำไฟฟ้าตามตำแหน่ง–ทำตามเสียงเครื่อง—ช็อกโดยเร็วเมื่อเครื่องแนะนำ และ เริ่มกดต่อทันที หลังช็อก

หลักฐานจากแนวทางสากลชี้ว่า การเริ่ม CPR ภายในไม่กี่นาทีแรก เพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ หลายเท่าตัว และถ้าได้ ช็อกไฟฟ้าภายใน 3–5 นาทีแรก อัตรารอดชีวิตอาจสูงถึง ราว 50–70% ขึ้นกับบริบทและความพร้อมของระบบกู้ชีพ

เพื่อให้ ทำได้จริงในสนามจริง” ทีมครูฝึกจากโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชกำกับ feedback แบบทันที ผ่านหุ่นที่วัดความลึก–จังหวะ–การคืนตัว ช่วยปรับท่วงท่าให้ได้มาตรฐาน ลด “นิสัยเสีย” ตั้งแต่วันแรก และจำลองเหตุการณ์สั้น ๆ เช่น ล้มหมดสติกลางแดด หรือ ช็อกไฟดูดจากอุปกรณ์สนาม เพื่อฝึกการตัดสินใจ–การสั่งงาน–การแบ่งบทบาทของทีม

มากกว่า “วิชาพยาบาลสนาม” สกิลชีวิตสำหรับทหารและพลเมือง

โปรแกรมที่ มทบ.37 ใช้ไม่หยุดอยู่แค่ CPR/AED และฮีทสโตรก แต่ขยายไปถึง การจัดชุดปฐมพยาบาลฉบับสนาม (IFAK) การห้ามเลือดด้วย ผ้าพันห้ามเลือดแรงรัด (tourniquet) การทำแผลเปิด–ปิด การดามกระดูก การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอย่างปลอดภัย ตลอดจน สุขาภิบาล–น้ำ–อาหาร ระหว่างค่ายฝึก เพื่อ ลดเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ภาวะขาดน้ำรุนแรง ติดเชื้อทางเดินอาหาร ผื่น–ราขาหนีบ พร้อมวินัยเรื่อง การนอนหลับ–โภชนาการ–การยืดเหยียด–การฟื้นตัว ซึ่งพิสูจน์ว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการฝึกและการบาดเจ็บซ้ำซ้อน

ภาพรวมสะท้อน สามมิติ ของ “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

  1. ทหารปลอดภัย — ปกป้องกำลังพลด้วยมาตรฐานสาธารณสุขและเวชศาสตร์การกีฬา
  2. ทหารช่วยชีวิตได้ — เป็น first responder ในชุมชนได้จริงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
  3. ทหารสื่อสารความเสี่ยงเป็น — ถ่ายทอดความรู้ให้ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ลดการสูญเสียเชิงป้องกัน

เมื่อสนามฝึกคือห้องเรียนด้านสาธารณสุขเชิงรุก

การลงทุนเวลาและทรัพยากรของ มทบ.37 เพื่อสร้าง สมรรถนะด้านกู้ชีพ–ปฐมพยาบาล–เวชกรรมป้องกัน ให้ นศท. ปี 1 ตั้งแต่วัยเริ่มต้น มีนัยสำคัญอย่างน้อย 4 ประการ ยกระดับความปลอดภัยการฝึก การมี ระบบเฝ้าระวังความร้อน (work–rest cycle, hydration plan) พร้อม ครูฝึกที่รู้เส้นแดง ลดเหตุร้ายแรงได้จริง ขณะเดียวกันการมี AED และคนใช้เป็นในพื้นที่ฝึกเพิ่ม buffer ความปลอดภัย ทันที

การสร้างทุนมนุษย์ด้านกู้ชีพระดับชุมชนนักศึกษาวิชาทหารปีละหลายร้อยคนที่ผ่าน BLS/AED จะกระจายกลับสู่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และชุมชน กลายเป็น เครือข่ายผู้ช่วยชีวิต ในเหตุการณ์จริง—ตั้งแต่อุบัติเหตุจราจรจนถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นในบ้านและสถานที่สาธารณะ เพื่อต่อท่อ “ความเชื่อมั่น” ระหว่างทหาร–ประชาชนเมื่อประชาชนเห็นทหารเข้ามาหนุน ความปลอดภัยเชิงป้องกัน ภาพจำเชิงบวกและความไว้วางใจจะเติบโต โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดนอย่างเชียงรายที่กิจกรรมกลางแจ้งมีมากตลอดปีสอดคล้องมาตรฐานและแนวโน้มสากล หลักสูตรที่เน้น Chain of Survival การใช้ AED อย่างแพร่หลาย และ active cooling ในฮีทสโตรก เป็นแนวโน้มเดียวกับคำแนะนำขององค์กรวิชาชีพทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนว่า “สนามฝึกไทย” เชื่อมโยงกับ มาตรฐานโลก มากขึ้น

เครื่องมือ–กระบวนการที่ทำให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “สมรรถนะจริง”

เพื่อไม่ให้การฝึกจบแค่วันกิจกรรม มทบ.37 และโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชวาง วงจรคุณภาพ (Quality Loop) ดังนี้

  • มาตรฐานอุปกรณ์: ตรวจเช็ก AED รายเดือน แบตเตอรี่–แผ่นนำไฟฟ้า ชุด IFAK ครบและพร้อมใช้
  • พัฒนาครูฝึก: ครูฝึกภาคสนามต้องผ่านอบรม BLS Provider/Instructor ตามเกณฑ์ของสภาวิชาชีพในไทย
  • ซ้อมแผนฉุกเฉิน: ทำ drill สั้น ๆ รายเดือน (collapse in heat, cardiac arrest scenario) ใช้เวลา 10–15 นาที แต่คงไหวพริบ
  • บันทึกและสะท้อนผล: เก็บข้อมูล near-miss/เหตุการณ์จริง มาสรุปบทเรียนทุกไตรมาส
  • สื่อสารกับชุมชน: ร่วม รพ.สต./โรงเรียน จัดคลินิกความรู้ mini-workshop นอกค่าย (เมื่อมีโอกาสและความพร้อม)

ผลลัพธ์ที่คาดหวังไม่ใช่เพียง สถิติลดเหตุฉุกเฉิน ในสนามฝึก แต่รวมถึง ตัวชี้วัดสังคม เช่น จำนวนผู้ผ่านการรับรอง BLS, จำนวนจุดติดตั้ง AED ในพื้นที่สาธารณะรอบค่าย, และกรณีช่วยชีวิตที่รายงานโดยชุมชน

คำถามชวนคิดสำหรับนโยบายระดับจังหวัด

  1. เชียงรายพร้อมแค่ไหนกับ “โครงข่าย AED สาธารณะ” ในสถานที่คนหนาแน่น (สนามกีฬา สถานศึกษา ตลาด จุดท่องเที่ยว)? แผนที่ AED เข้าถึงง่ายหรือยัง?
  2. หลักสูตรกู้ชีพพื้นฐาน ควรขยายไปยัง ครู–ผู้นำชุมชน–อาสาสมัคร อย่างไรให้เกิดความต่อเนื่อง?
  3. ในฤดูร้อนปีหน้า จังหวัดจะมี ระบบเตือนภัยความร้อน (Heat Alert) ที่ผูกกับ แผนงาน–พัก–ดื่มน้ำ ของกิจกรรมกลางแจ้งทุกภาคส่วนหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะชี้ว่าความพยายามของ มทบ.37 จะต่อยอดเป็น สมรรถนะด้านความปลอดภัยของทั้งจังหวัด” ได้มากเพียงใด

จาก “นักศึกษาวิชาทหาร” สู่ “พลเมืองผู้ช่วยชีวิต”

วันฝึกหนึ่งวันอาจดูสั้นเมื่อเทียบกับวินัยทหารทั้งปี แต่ ความจำของกล้ามเนื้อ (muscle memory) และ ทัศนคติ “ลงมือก่อน–ช่วยก่อน” ที่นศท. ได้รับ จะอยู่ยาวนานกว่านั้น ท่ามกลางสภาพอากาศสุดขั้วและความเสี่ยงฉุกเฉินในชีวิตประจำวัน คนที่กล้าเข้าหาเหตุ–รู้วิธีประเมิน–เริ่มกดหน้าอก–หยิบ AED—คือ “ความต่าง” ระหว่าง ข่าวร้าย กับ ข่าวดี ที่ชุมชนอยากได้ยิน

การตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา มทบ.37 ที่ให้ความสำคัญกับภารกิจนี้ สะท้อนวิสัยทัศน์ ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม” อย่างแท้จริง และเป็นแบบอย่างที่ขยายผลได้ในค่ายทหารและสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช / มณฑลทหารบกที่ 37 (เชียงราย): ข้อมูลโครงการฝึกปฐมพยาบาล–กู้ชีพ และการอบรม นศท. ประจำปี (ข่าวประชาสัมพันธ์หน่วย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: แนวทางป้องกันและเฝ้าระวังภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน (Heat-Related Illness) และเอกสารความรู้เรื่อง “ฮีทสโตรก” สำหรับประชาชนและหน่วยงาน
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.): แนวทางการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) และการใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) สำหรับบุคลากรด่านหน้าและประชาชน
  • สมาคมกู้ชีพไทย / Thai Resuscitation Council (TRC): เอกสารอบรม BLS Provider/Instructor และคำแนะนำเชิงปฏิบัติด้านกู้ชีพตามมาตรฐานสากล
  • American Heart Association (AHA): Guidelines for CPR and ECC (ฉบับปรับปรุงล่าสุด) — หลักฐานเชิงระบบเกี่ยวกับประสิทธิผลของ CPR คุณภาพสูงและการช็อกไฟฟ้าเร็วต่ออัตรารอดชีวิต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO): แนวทาง Heat–Health Action Plans และคำแนะนำการจัดการภาวะเจ็บป่วยจากความร้อนในชุมชน
  • กรมอุตุนิยมวิทยา: บริบทสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยและคำเตือนภัยร้อนระดับพื้นที่ (ประกอบการวางแผน work–rest และ hydration plan)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายล้อมวง! หาทางออกวิกฤตแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง จากมลพิษเหมืองรัฐฉาน

เวทีเชียงรายชี้ชะตา “แม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง” หลายภาคส่วนระดมสมองหาทางออกวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองรัฐฉาน: จากสัญญาณเตือนวิทยาศาสตร์สู่แผนปฏิบัติการที่ต้องเดินหน้าเร็วและร่วมกัน

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — “ถ้าแม่น้ำคือเส้นเลือดของเมืองเหนือ แล้ววันนี้เลือดกำลังปนเปื้อนอะไรอยู่บ้าง?” คำถามทิ่มแทงใจนี้ไม่ใช่ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความจริงเชิงประจักษ์ที่กำลังกระเพื่อมจากชายแดนด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง เมื่อสารโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านลำห้วยและแม่น้ำสาขาเข้าสู่ผืนแผ่นดินไทย ส่งผลต่อเนื่องถึง ลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ครอบคลุม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนรายงาน หากคือปัจจัยเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก และนิเวศบริการของทั้งภูมิภาค

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 สิงหาคม 2568อาคารเรือนไม้หอม ไร่แม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย ได้มีการจัด เวทีสนทนาระดับจังหวัด เพื่อหาทางออกจากวิกฤตดังกล่าว โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำ พร้อมด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย สมาชิกรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ชุมชนท้องถิ่น และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง เป้าหมายคือ “ล้อมวงข้อมูล–หาฉันทามติ–กำหนดทิศทาง” ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว

จากสัญญาณวิทยาศาสตร์สู่ภาวะเร่งด่วนสาธารณะตัวเลขที่ต้องอ่านให้ขาด

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่าระดับ สารโลหะหนักอย่าง “ตะกั่ว” และ “แมงกานีส” ในบางจุดตรวจยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้าง ประเด็นน่ากังวลคือสารเหล่านี้ สะสมในห่วงโซ่อาหาร ได้ ทั้งในปลา พืชน้ำ และพืชไร่ริมน้ำ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูฝน ความเสี่ยงการชะล้าง–พัดพา ยิ่งเพิ่ม การประเมินผลกระทบจึงไม่จำกัดเฉพาะ “คุณภาพน้ำดิบเพื่อผลิตประปา” แต่ครอบคลุม เกษตร–ประมง–ท่องเที่ยว–สุขภาพชุมชน ความเสียหายอาจไม่ส่งเสียงดังในวันเดียว แต่ค่อย ๆ กัดเซาะศักยภาพพื้นที่อย่างเงียบเชียบ

เวทีได้ตั้งคำถามชวนคิด 3 ข้อ ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์สำคัญของวันนั้น:

  1. น้ำดื่มน้ำใช้ ของครัวเรือนที่พึ่งพาแม่น้ำและบ่อบาดาลชายฝั่งน้ำ มีความเสี่ยงระดับใด และควร จัดหาน้ำดิบทางเลือก จากแหล่งใดทันที?
  2. ห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผัก–ปลา–ข้าว–ของป่า มีรูปแบบเฝ้าระวัง–เก็บตัวอย่าง–แจ้งเตือนแบบ รู้เร็ว–รู้ถูก–รู้ทัน” แล้วหรือยัง?
  3. ในบริบท ภัยพิบัติ (น้ำป่า–น้ำหลาก) ที่กำลังเข้าสู่จุดพีกของปี เมือง–ชุมชนพร้อมแค่ไหน หาก น้ำหลากปนเปื้อน เข้าท่วมพื้นที่กว้าง?

เสียงจากเวทีชุดข้อเสนอ “เร่งด่วน–กึ่งเร่งด่วน–เชิงโครงสร้าง”

การระดมสมองนำไปสู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการหลายประเด็น โดยสรุปแกนหลักได้ดังนี้

  • จัดหาแหล่งน้ำดิบสำรอง/ทดแทน เพื่อผลิตประปาให้กับระบบประปาชุมชนที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ลดความพึ่งพิงจากจุดน้ำแม่น้ำสายหลักในช่วงเฝ้าระวังเข้มข้น
  • ตั้ง “ศูนย์ตรวจสอบมลพิษโลหะหนัก” ประจำจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็น โหนดกลางข้อมูล เชื่อม คพ.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด–อบจ.–เทศบาล/อบต. เพื่อทดสอบ–วิเคราะห์–สื่อสารผลอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน
  • เฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร โดย สุ่มเก็บตัวอย่าง “ปลา–ผลิตผลเกษตร–น้ำประปาหมู่บ้าน” รายเดือน พร้อมพัฒนา เกณฑ์สื่อสารความเสี่ยง ที่ชุมชนเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
  • ทบทวนแนวนโยบาย “ฝายดักตะกอน” ให้รอบด้านทั้งวิศวกรรม–นิเวศ–การจัดการตะกอนพิษหลังจบภารกิจ ป้องกันการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยไม่จัดการต้นตอ
  • แผนรับมือ “น้ำหลากปนเปื้อน” วาง จุดเฝ้าระวัง–จุดแจ้งเตือน–จุดพักคอยน้ำดิบ–ระบบแจกจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน ให้คล้องจองกับปฏิทินฝน–น้ำหลากของพื้นที่จริง

ในฝั่งสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รายงานว่าได้จัดให้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ. 19 แห่ง ครอบคลุม 7 อำเภอ เป็น จุดรับ–คัดกรองผู้ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ” ตั้งแต่ เมษายน 2568 เป็นต้นมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษา จากเหตุปนเปื้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน อบจ. เชียงรายร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานประมงจังหวัด เดินหน้าการ เก็บตัวอย่างปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ใน 7 อำเภอ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ตั้งแต่ พฤษภาคม 2568 เพื่อคง “หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อเนื่อง” และแจ้งเตือนชุมชนทันเวลา

ข้ามพรมแดนด้วยการทูตหลายชั้น จากโต๊ะฉุกเฉินสู่กรอบพหุภาคี

เวทีได้สรุปไทม์ไลน์ “การขยับเขยื้อน” ของภาครัฐไทยที่ขยายตัวจาก ระดับจังหวัด–หน่วยงานกลาง–การทูตทวิภาคี–สู่กรอบพหุภาคี ดังนี้

  • 30 เม.ย. 2568: ภาคประชาชนจาก 13 ชุมชน ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร้องให้เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–ผลผลิต และเปิดเผยผลอย่างโปร่งใส รัฐบาลจัดประชุมฉุกเฉินระดับสูงในวันเดียวกัน กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการข้อมูล
  • 15 พ.ค. 2568: ประชุมเตรียมความพร้อมทางเทคนิค ระหว่าง คพ. กรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA กพร. เพื่อ บูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อม–ภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สำหรับใช้ประกอบการเจรจากับเมียนมา
  • 30 มิ.ย. 2568: กำหนดการประชุม คณะผู้เชี่ยวชาญไทย–เมียนมา เพื่อวางแผนจัดการมลพิษ (รายละเอียดผลประชุมอยู่ระหว่างสรุป)
  • 2–4 ก.ค. 2568: ยกระดับเรื่องเข้าสู่การประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือทางทหารชายแดน เพื่อสร้าง ความเข้าใจร่วมด้านความมั่นคง–สิ่งแวดล้อม
  • 21 ก.ค. 2568: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) จัดประชุมระดับภูมิภาคที่เชียงราย โดยมี ไทย–ลาว–กัมพูชา–เวียดนาม และ เมียนมา เข้าร่วมในฐานะ ประเทศคู่เจรจา” เพื่อเริ่ม โครงการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกัน
  • ปลาย ส.ค. 2568: เตรียม หารือระดับรัฐมนตรี ไทย–เมียนมา ที่กรุงเนปยีดอ เพื่อยกระดับมาตรการร่วมที่ เป็นรูปธรรม ยิ่งขึ้น

การเดินหน้าตาม หลายสนาม–หลายสถาบัน สะท้อนความเข้าใจว่าโจทย์นี้ ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคโดด ๆ หากแฝงความซับซ้อนด้าน อธิปไตยรัฐ–กลุ่มผู้ถืออาวุธในพื้นที่–แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้ลงทุนข้ามชาติ การใช้ กรอบพหุภาคี MRC จึงช่วย เปิดไฟหน้า” ให้ประเด็นนี้อยู่ในการมองเห็นร่วมของภูมิภาคและสากล เพิ่มแรงหนุนด้าน ข้อมูล–มาตรฐาน–แรงกดดันเชิงบรรทัดฐาน ต่อคู่เจรจา

ฝายดักตะกอน” กับเส้นแบ่งปลายเหตุ–ต้นเหตุทำอย่างไรให้ไม่ทิ้งระเบิดเวลา

หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญคือแนวทางสร้าง ฝายดักตะกอน” เพื่อชะลอ–ดักจับสารปนเปื้อนก่อนเข้าเขตเมือง เวทีย้ำว่า ต้องประเมินผลได้–ผลเสียอย่างรอบด้าน เพราะแม้ฝายจะช่วยลดความเข้มข้นสารบางช่วงเวลา แต่ก็สร้าง โจทย์การจัดการ “ตะกอนพิษ” ที่สะสมด้านหลัง หากไร้ระบบเก็บ–ขน–กำจัดอย่างปลอดภัย อาจ เปลี่ยนความเสี่ยงจากแบบกระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ ที่รอวันหลุดรั่วในอนาคต

ที่สำคัญ การแก้ปลายทาง ไม่อาจแทนที่ การจัดการที่ ต้นเหตุฝั่งต้นน้ำ ซึ่งเกี่ยวพันกับระเบียบวิธีทำเหมือง (เช่น แบบชะละลายในชั้นดิน) มาตรฐานสิ่งแวดล้อม การกำกับผู้ประกอบการ และการเข้าถึงพื้นที่โดยรัฐที่มีข้อจำกัด เวทีจึงเสนอ “2 รางคู่ขนาน” คือ

  1. ผลิต–รักษาน้ำปลอดภัยปลายน้ำ ด้วยมาตรการวิศวกรรม–สื่อสารความเสี่ยง–น้ำทดแทน–ระบบคัดกรองสุขภาพ
  2. ลด–หยุดมลพิษต้นน้ำ ผ่าน กรอบความร่วมมือทวิภาคี/พหุภาคี การตรวจสอบโดยอิสระ และกลไกกดดันผู้ลงทุนให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล

เปิดข้อมูล–เปิดความไว้วางใจ ทำ “แดชบอร์ดคุณภาพน้ำ” ให้เป็นภาษาชาวบ้าน

ความไว้วางใจเกิดจาก ข้อมูลที่เข้าถึงได้และตรวจสอบได้ เวทีมีฉันทามติให้ผลักดัน แพลตฟอร์มข้อมูลคุณภาพน้ำแบบใกล้เคียงเรียลไทม์ ระดับจังหวัด รวมทั้ง รายงานคงที่รายเดือน ที่สื่อสาร สี–เกณฑ์–ข้อแนะนำปฏิบัติ ในภาษาง่าย ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเคมี พร้อมตั้ง หมายเลขประสานฉุกเฉิน ให้ประชาชนแจ้งเหตุผิดปกติ และเตรียม ชุดทดสอบภาคสนาม สำหรับท้องถิ่นที่จำเป็น วิธีคิดนี้จะเปลี่ยนจาก “การบอก” เป็น “การร่วมเฝ้าระวัง” ลดข่าวลือ–ลดความตื่นตระหนก และเปลี่ยนพลังชุมชนเป็น เซ็นเซอร์สังคม ที่ทำงานเคียงคู่ห้องแล็บ

สุขภาพ–เศรษฐกิจ–มนุษยธรรมทำไมประเด็นนี้ใหญ่กว่าสิ่งแวดล้อม

เวทีประเมินเอกสารวิชาการด้านพิษวิทยาชี้ว่า การสัมผัสโลหะหนักเรื้อรัง เช่น ตะกั่ว อาจสัมพันธ์กับ พัฒนาการเด็ก–ระบบประสาท–หัวใจและหลอดเลือด ส่วนแมงกานีสในระดับสูงสัมพันธ์กับ อาการคล้ายพาร์กินสัน–ความผิดปกติระบบประสาทส่วนกลาง ความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่เท่ากันทุกคน กลุ่ม เด็กเล็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงวัย–ผู้มีโรคประจำตัว จะเปราะบางกว่า จึงเข้าข่าย ประเด็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัด น้ำปลอดภัยและข้อมูลปลอดภัย ให้เพียงพอ

ในทางเศรษฐกิจ ประมงพื้นบ้าน–การเกษตรริมน้ำ–ท่องเที่ยวทางน้ำ คือฐานรายได้สำคัญของพื้นที่ชายฝั่งกก–สาย–รวก–โขง ความไม่แน่นอนเรื่องคุณภาพน้ำสร้าง ต้นทุนแฝง ทั้งยอดขายที่หายไป ค่าใช้จ่ายตรวจแล็บ การเปลี่ยนรูปแบบทำมาหากิน และภาพลักษณ์เมือง เวทีจึงเห็นพ้องให้จัด กองทุนหนุนอาชีพ–สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ–ตลาดปลอดภัย เพื่อ พยุงความเป็นอยู่ ระหว่างรอผลเชิงโครงสร้าง

แผน “4 ป.” ที่เชียงรายเสนอขึ้นสู่โต๊ะนโยบาย

  1. ป้องกัน – วางแนวกันชนพื้นที่เสี่ยง ปรับระบบสูบน้ำดิบ ปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำประปาและตรวจคัดกรองสุขภาพเชิงรุก
  2. พิสูจน์ – ตั้งศูนย์วิเคราะห์กลางระดับจังหวัด มาตรฐานเดียวกัน เชื่อมฐานข้อมูลกับ คพ.–สทนช.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ MRC
  3. ประสาน – เดินหน้าการทูตหลายระดับ (ผู้เชี่ยวชาญ–ทหาร–รัฐมนตรี–พหุภาคี) และใช้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ จาก GISTDA เป็นพยานหลักฐาน
  4. เปิดเผย – สร้างแดชบอร์ดคุณภาพน้ำสาธารณะ รายงานสม่ำเสมอ แจ้งเตือนตรงเป้าหมาย และเปิดช่องทางร้องเรียน–ติดตามผล

หน้าต่างเวลาไม่รอ—ต้อง “ทำพร้อมกันหลายอย่าง” และทำให้เร็วพอ

วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน ไม่ได้มีสวิตช์ปิด–เปิด แต่มี “หน้าต่างเวลา” ที่ถ้าทำเร็วและถูกทางจะจำกัดความเสียหายได้ เวทีเชียงรายได้แสดง ความพร้อม–ความตั้งใจ–และแผนการ ที่จับต้องได้ ตั้งแต่การจัดแหล่งน้ำสำรอง การตั้งศูนย์วิเคราะห์กลาง การเฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร การทบทวนมาตรการวิศวกรรม ไปจนถึงการขยายพลังการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านและกรอบภูมิภาค

โจทย์ถัดไปคือ ทำให้ต่อเนื่องและโปร่งใส พร้อมส่งเสียงจากชายแดนให้ดังพอถึงส่วนกลางและโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ ในขณะที่ชุมชนต้องมีเครื่องมือ–ข้อมูล–และทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ปลอดภัยกว่าเดิม ทุกฝ่ายรู้ดีว่า แม่น้ำไหลไม่หยุด และ สารพิษก็เช่นกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “เรือเดียวกัน” ของคนลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง จะแล่นผ่านความปั่นป่วนนี้ไปได้โดยไม่ปล่อยให้ใครตกน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.): รายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำและการปนเปื้อนโลหะหนักในลุ่มน้ำภาคเหนือ (ข้อมูลเชิงเทคนิคและผลตรวจในพื้นที่)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): สรุปผลประชุมและโรดแมปความร่วมมือด้านการติดตามคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC): เอกสารแนวคิดการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกับประเทศสมาชิกและ “ประเทศคู่เจรจา” รวมถึงแนวทางมาตรฐานการเฝ้าระวังภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์): ผลการเก็บ–ตรวจตัวอย่าง ปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ในพื้นที่ 7 อำเภอของเชียงราย (รายเดือน ตั้งแต่ พ.ค. 2568)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย): แผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขชุมชน รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอ และสรุปการประสานงานกับหน่วยงานวิชาการ–เกษตร–ประมง
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.): ข้อมูลพื้นฐานกิจกรรมเหมืองและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (ประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุ)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA): ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สนับสนุนการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้นน้ำ
  • คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC): บันทึกการประชุมความร่วมมือชายแดนไทย–เมียนมา (ประเด็นความมั่นคงชายแดนและสิ่งแวดล้อม)
  • จังหวัดเชียงราย/ศูนย์ดำรงธรรม: เอกสารการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน การประสานงานส่วนกลาง และสรุปผลเวทีสาธารณะ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายมีโจทย์ใหม่! คะแนน ITA ดีแต่ยังรั้งท้ายอันดับ 61 ต้องยกระดับความโปร่งใสให้ถึง 100%

ITA 2568 เปิดหน้าต่างธรรมาภิบาล เชียงรายคะแนนเฉลี่ย 94.03 ผ่านเกณฑ์ 97.24% แต่ยังรั้งอันดับ 45 ประเทศ—โจทย์ใหม่คือยกระดับ “โปร่งใส-เปิดเผย-รับผิดชอบ” ให้ถึง 100% ตามแผนแม่บทชาติ

เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 — ประกาศผล “การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568” ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ออกมาแล้ว ท่ามกลางสายตาสังคมที่จับจ้องว่าคะแนนชุดนี้สะท้อน “สุขภาวะองค์กรภาครัฐ” ได้มากเพียงใด และจะเป็นเชื้อไฟให้การปฏิรูปธรรมาภิบาลเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมเพียงใด

ในภาพรวมประเทศ ปีนี้มีหน่วยงานเข้าร่วมประเมิน 8,317 หน่วยงาน ได้คะแนนเฉลี่ย 93.82 คะแนน (เพิ่มขึ้น +0.77) ขณะที่สัดส่วนหน่วยงานที่ “ผ่านเกณฑ์” (ได้ ≥ 85 คะแนน) อยู่ที่ 94.17% หรือ 7,832 หน่วยงาน และ “ไม่ผ่านเกณฑ์” 5.83% รวม 485 หน่วยงาน สะท้อนทิศทางบวกต่อเนื่อง แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 (ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ) ที่ตั้งไว้ “ให้ผ่าน 100%” ในปี 2568

ขณะที่ จังหวัดเชียงราย ภาพรวม “ผ่านเกณฑ์” 97.24% จากหน่วยงานภาครัฐ 145 แห่ง (ผ่าน 141 แห่ง) แต่เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นทั่วประเทศ (76 จังหวัด) เชียงรายยังอยู่ที่ อันดับที่ 45 และในกลุ่ม 9 จังหวัดภาคเหนือ อยู่อันดับ 7 (เหนือกว่าเพียงลำปางและลำพูน) ด้วยคะแนนเฉลี่ย 94.03 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศเพียงเล็กน้อย แต่ต่างชั้นกับ “จังหวัดที่ผ่านคะแนนดีอย่างจังหวัด” เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ แพร่ พะเยา   —คำถามจึงผุดขึ้นว่า “เชียงรายขาดอะไร?” และ “จะเติมเต็มให้ถึง 100% ตามแผนแม่บทชาติได้อย่างไรในปีถัดไป?”

เส้นเรื่องของ ITA  จากเครื่องมือวัดสู่เข็มทิศปฏิรูป

การประเมิน ITA มิใช่การจัดอันดับเพื่อรางวัล หากแต่ถูกออกแบบให้เป็น “เครื่องมือตรวจสุขภาพองค์กรภาครัฐ” ประจำปี จุดเริ่มต้นย้อนไปตั้งแต่ พ.ศ. 2552 ในช่วงศึกษาวิจัยและออกแบบเครื่องมือ โดยบูรณาการองค์ความรู้ไทยกับประสบการณ์จากสาธารณรัฐเกาหลี (ACRC) ก่อนเริ่มทดสอบนำร่องในปี 2555 จากนั้นขยายสู่การประเมินภาคบังคับตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ม.ค. 2559 ครอบคลุมส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นทั่วประเทศ

ปี 2561 เป็นหมุดหมายสำคัญ เมื่อกรอบการประเมินปรับสู่ 10 ตัวชี้วัด ครอบคลุมมิติ “โปร่งใส–รับผิด–ปลอดทุจริต–วัฒนธรรมคุณธรรม–การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ” พร้อมยกระดับระบบสารสนเทศ ITAS เพื่อทำงานแบบดิจิทัลทั้งประเทศ และตั้งแต่ 2565 เป็นต้นมา สำนักงาน ป.ป.ช. รับบท “ผู้ดำเนินการประเมินเอง” แทนรูปแบบจ้างที่ปรึกษาเดิม ผลด้านประสิทธิภาพงบประมาณจึงชัดเจน: จากระดับ กว่า 270 ล้านบาท/ปี ในช่วงก่อนหน้า ลดลงเหลือราว 35–36 ล้านบาท/ปี ในช่วง 2566–2568 ขณะยังรักษามาตรฐานการประเมินทั้งเชิงวิชาการและความเที่ยงตรง

เครื่องมือ ITA ปัจจุบันใช้ 3 ชุดหลัก ได้แก่

  1. IIT แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (เจ้าหน้าที่)
  2. EIT แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (ประชาชน/ผู้รับบริการ)
  3. OIT แบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะผ่านเว็บไซต์ทางการของหน่วยงาน

ทั้งสามเครื่องมือบังคับให้หน่วยงาน “เปิดเผย–อธิบาย–รับผิดชอบ” ต่อข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่ตอบแบบสอบถาม ทำให้คะแนน ITA กลายเป็นสัญญาณเตือนภัยเชิงระบบ (early warning) ว่าองค์กรใดมี “จุดอ่อนเชิงกระบวนการ” ที่ต้องเร่งแก้ไข

ภาพรวมประเทศ 2568 ดีขึ้นแต่ยังไม่ถึงหลักชัย 100%

  • หน่วยงานเข้าร่วม: 8,317 แห่ง
  • คะแนนเฉลี่ยประเทศ: 93.82 (+0.77)
  • ผ่านเกณฑ์ (≥ 85): 7,832 แห่ง (94.17%)
  • ไม่ผ่านเกณฑ์: 485 แห่ง (5.83%)

เมื่อเทียบเป้าหมายแผนแม่บท (ต้องผ่าน 100% ในปี 2568) ความจริงคือ “เราดีกว่าปีก่อน แต่ยังไม่ถึงเส้นชัย” และนั่นหมายความว่าปีถัดไป แรงกดดันต่อผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารท้องถิ่นจะ “มากขึ้น” ในการปิดช่องโหว่ที่ส่งผลต่อคะแนน OIT/IIT/EIT โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดข้อมูลเชิงรุก การปรับขั้นตอนบริการให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ หรือการยกระดับกลไกรับเรื่องร้องเรียน-ผลักดันวัฒนธรรมไม่ยอมรับสินบนในหน่วยงาน

เจาะลึกผลคะแนนเชียงรายในกระจก ITA ระดับผ่านดี 94.83% แต่ทำไมอยู่อันดับ 45 ประเทศ?

จังหวัดเชียงราย ปีนี้มีหน่วยงานเข้าร่วมประเมิน 145 แห่ง ผ่านเกณฑ์ 141 แห่ง คิดเป็น 97.24% ได้คะแนนเฉลี่ย 94.03% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศเล็กน้อย ผลคือเมื่อจัดอันดับ 76 จังหวัดทั่วประเทศ เชียงรายอยู่ อันดับ 45 แต่ถ้าลองเจาะเข้าไปใน ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ประเภทจังหวัด (ราชการส่วนภูมิภาค) พบว่าจังหวัดเชียงรายคะแนนหน่วยงานภาครัฐ ITA 2568 อยู่ที่ 94.83% และถ้าเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา +3.22 อยู่ในระดับผลการประเมินผ่านี

และเมื่อเทียบกับ 9 จังหวัดภาคเหนือ พบว่าเชียงรายอยู่ อันดับ 7 ด้านสัดส่วนผ่านเกณฑ์ โดยกลุ่มที่ทำอันดับได้ก่อนหน้า ได้แก่

  1. แม่ฮ่องสอน – 99.20%
  2. เชียงใหม่ – 99.10%
  3. แพร่ – 98.93%
  4. อุตรดิตถ์ – 96.78%
  5. พะเยา – 96.34%
  6. น่าน – 95.42%
  7. เชียงราย – 94.83%
  8. ลำปาง – 92.60%
  9. ลำพูน – 90.14%

 

คำถามชวนคิด:

  • เมื่อ “ผ่านเกณฑ์” แล้ว ทำไมอันดับยังอยู่ช่วงท้าย ?
  • เชียงรายยังติดคอขวดที่ “มิติใด” ของ ITA—การเปิดเผยข้อมูล (OIT), ประสบการณ์ผู้รับบริการ (EIT) หรือวัฒนธรรมคุณธรรมภายใน (IIT) ?
  • หน่วยงานใดคือ “ต้นแบบ” ที่ยกระดับได้โดดเด่น และหน่วยงานใด “ถดถอย” จนต้องส่งสัญญาณเตือน ?

คำตอบบางส่วนสะท้อนผ่าน “รายละเอียดระดับสถาบัน/ท้องถิ่น” ที่ช่วยบอกทิศทางการแก้ไขเชิงจุด

มหาวิทยาลัยในภาคเหนือ เชียงรายมี “แชมป์ห้องเรียนโปร่งใส”

กลุ่มอุดมศึกษาในภาคเหนือ ผลคะแนนปีนี้ชี้ให้เห็น “ต้นแบบธรรมาภิบาลในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายแห่ง โดยเฉพาะในเชียงรายเอง

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) 97.37 (+2.06) – ระดับ “ผ่านดี”
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (เชียงราย) 95.16 (+1.39) – “ผ่านดี”
  • อื่นๆ ในภูมิภาค: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 95.54 (+4.38), มหาวิทยาลัยพะเยา 95.40 (+0.36), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 92.61 (+1.07) และมหาวิทยาลัยนเรศวร 91.19 (+1.28) เป็นต้น

ข้อมูลนี้บอกเราว่า “ความโปร่งใสทำได้” หากมีภาวะผู้นำที่ย้ำวัฒนธรรมเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก และการบริการที่ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ตลอดจนระบบติดตามผลที่จริงจัง

เทศบาลในเชียงราย ใครขึ้น ใครลง—สัญญาณที่ผู้บริหารต้องรับไปทำการบ้าน

10 เทศบาลคะแนนสูงสุด (จาก 74 เทศบาลในจังหวัด) สะท้อน “การยกระดับอย่างต่อเนื่อง” หลายแห่งขยับคะแนนขึ้นแรงและแตะระดับ “ดีเยี่ยม” เช่น

  1. เทศบาลตำบลบ้านดู่ เมืองเชียงราย 99.91 (+4.71)ดีเยี่ยม
  2. เทศบาลตำบลเวียงเทิง เทิง 99.54 (+3.88)ดีเยี่ยม
  3. เทศบาลตำบลหงาว เทิง 99.06 (+3.26)ดีเยี่ยม
  4. เทศบาลตำบลป่าแงะ ป่าแดด 98.40 (+4.58)ผ่านดี
  5. เทศบาลตำบลป่างิ้ว เวียงป่าเป้า 98.10 (-0.71)ดีเยี่ยม
  6. เทศบาลตำบลแม่จัน แม่จัน 97.93 (+4.11)ดีเยี่ยม
  7. เทศบาลตำบลแม่สาย แม่สาย 97.83 (+6.05)ผ่านดี
  8. เทศบาลตำบลศรีดอนชัย เชียงของ 97.59 (+3.73)ดีเยี่ยม
  9. เทศบาลตำบลเวียงชัย เวียงชัย 97.31 (+3.49)ผ่านดี
  10. เทศบาลบ้านเหล่า เวียงเชียงรุ้ง 97.27 (+5.18)ผ่านดี

ขณะเดียวกัน 10 เทศบาลที่คะแนน “ลดลงมาก” เมื่อเทียบปีก่อน (ซึ่งควรถูกหยิบเป็น “โจทย์เฉพาะ” ในห้องประชุมบอร์ดธรรมาภิบาล) ได้แก่

  • เทศบาลตำบลแม่สรวย แม่สรวย 65.86 (-19.98)ต้องปรับปรุงโดยด่วน
  • เทศบาลตำบลเมืองพาน พาน 90.05 (-6.03)ผ่าน
  • เทศบาลตำบลหล่ายงาว เวียงแก่น 92.12 (-5.60)ผ่าน
  • เทศบาลตำบลดอนศิลา เวียงชัย 86.11 (-5.06)ผ่าน
  • เทศบาลตำบลบ้านปล้อง เทิง 92.86 (-4.24)ผ่านดี
  • เทศบาลนครเชียงราย เมืองเชียงราย 94.71 (-4.00)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลแม่ขะจาน เวียงป่าเป้า 92.20 (-3.23)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลม่วงยาย เวียงแก่น 92.12 (-2.88)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลพญาเม็งราย พญาเม็งราย 92.03 (-2.60)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลเวียง เชียงของ 93.27 (-2.35)ผ่านดี

ตัวเลข “ติดลบ” ไม่ได้หมายถึงองค์กรทุจริต หากแต่ชี้ตำแหน่ง “ข้อติดขัด” ในระบบ—ตั้งแต่การเปิดข้อมูล (OIT) ที่อาจขาดความครบถ้วน/ทันสมัย ไปจนถึงประสบการณ์ผู้รับบริการ (EIT) ที่สะท้อนความรู้สึกต่อความโปร่งใสและความเป็นธรรมของกระบวนการบริการ

องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เชียงราย ดีเยี่ยมกับเร่งฟื้นฟู—ภาพต่างกันที่เห็นได้ชัด

10 อบต. คะแนนสูงสุด สะท้อนต้นแบบการบริหารโปร่งใสในชนบทอย่างน่าชื่นชม เช่น

  1. อบต.เวียง เวียงป่าเป้า 99.20 (+2.88)ดีเยี่ยม
  2. อบต.ทุ่งก่อ เวียงเชียงรุ้ง 99.59 (+8.01)ดีเยี่ยม
  3. อบต.ศรีเมืองชุม แม่สาย 99.98 (+2.02)ดีเยี่ยม
  4. อบต.วังห้าว พาน 97.96 (+0.61)ดีเยี่ยม
  5. อบต.ป่าหุ่ง พาน 97.52 (+0.24)ดีเยี่ยม
  6. อบต.ธารทอง พาน 98.85 (+7.33)ดีเยี่ยม
  7. อบต.ทานตะวัน พาน 98.85 (+7.33)ดีเยี่ยม
  8. อบต.ป่าตึง แม่จัน 98.80 (+8.44)ผ่านดี
  9. อบต.แม่เจดีย์ใหม่ เวียงป่าเป้า 98.18 (+7.64)ผ่านดี
  10. อบต.แม่เย็น พาน 97.99 (+3.59)ผ่านดี

10 อบต. ที่ต้อง “เร่งฟื้นฟู” จากคะแนนที่ลดลงหรือยังต่ำเมื่อเทียบมาตรฐาน ได้แก่

  • อบต.ปงน้อย ดอยหลวง 81.61 (-9.51)ต้องปรับปรุง
  • อบต.แม่ฟ้าหลวง แม่ฟ้าหลวง 81.32 (-7.32)ต้องปรับปรุง
  • อบต.วาวี แม่สรวย 81.89 (-8.18)ต้องปรับปรุง
  • อบต.ดอยงาม พาน 91.45 (-4.96)ผ่าน
  • อบต.สันสลี เวียงป่าเป้า 92.53 (-3.27)ผ่าน
  • อบต.ห้วยชมภู เมืองเชียงราย 93.02 (-3.71)ผ่าน
  • อบต.แม่เจดีย์ ดอยหลวง 92.00 (-1.92)ผ่านดี
  • อบต.หนองป่าก่อ ดอยหลวง 88.63 (-1.46)ผ่าน
  • อบต.เจริญเมือง พาน 94.45 (-0.92)ผ่านดี
  • อบต.ศรีถ้อย แม่สรวย 92.19 (-0.81)ผ่าน

ข้อค้นพบเชิงสังคมคือ “ถนนสายธรรมาภิบาล” ไม่ได้ตัดผ่านเฉพาะเมืองใหญ่ หลาย อบต.ในชนบททำผลงานโดดเด่น—แปลว่าถ้าจับ “กระบวนการที่ใช้ได้ผล” จาก อบต.แถวหน้าถ่ายทอดสู่ อบต.ที่ต้องเร่งฟื้นฟู โอกาสยกระดับทั้งจังหวัดจะเกิดขึ้นจริง

ตัวเลขที่ชวนคิด งบ ITA ลดฮวบ แต่คุณภาพประเมินไม่ถอย

ข้อมูลงบประมาณประเมิน ITA เปรียบเทียบช่วงเวลาก่อน–หลังย้ายมาดำเนินการโดยสำนักงาน ป.ป.ช.เอง ชี้ผลเชิงประสิทธิภาพชัดเจน

  • ก่อนยุค ITAS/จ้างที่ปรึกษา: วงเงินราว 271 ล้านบาท/ปี
  • ยุค ITAS + ป.ป.ช.ดำเนินการเอง (2565–2568): เหลือ 36 ล้านบาท/ปี (2566: 35.91, 2567–2568: 36.01 ล้านบาท)

เมื่อเครื่องมือประเมินพัฒนาและต้นทุนลดลง คำถามต่อไปคือ “เราจะใช้ ITA ให้เป็นมากกว่า ‘คะแนน’ ได้อย่างไร?” เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและระบบอย่างแท้จริง

โจทย์สำหรับเชียงราย ขยับจาก “ผ่าน” ไปสู่ “นำ”

  1. เปิดข้อมูลเชิงรุก (OIT) ให้ครบ–ลึก–ใช้ได้จริง
    ไม่ใช่แค่โพสต์เอกสาร แต่ต้อง “สืบค้นง่าย–อัปเดตสม่ำเสมอ–เชื่อมโยงภารกิจและงบประมาณ” ตัวชี้วัด OIT จะดีขึ้นทันที และที่สำคัญ “ความไว้วางใจ” จะสะสมในสายตาประชาชน
  2. ยกระดับประสบการณ์ผู้รับบริการ (EIT)
    ทุกจุดบริการของจังหวัด/เทศบาล/อบต. ต้องมี “มาตรฐานเดียวกัน” ตั้งแต่เวลาให้บริการ ช่องทางร้องเรียน ไปจนถึงการสื่อสารสิทธิ–ขั้นตอน–ค่าธรรมเนียม อย่างชัดเจนและ ตรวจสอบได้
  3. ปลูกวัฒนธรรมไม่ยอมรับสินบน (IIT)
    ทำให้การ “ปฏิเสธการให้–รับผลประโยชน์” กลายเป็นเรื่องปกติผ่านการอบรม กติกาภายใน และกลไกป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยเฉพาะงานพัสดุ–งบประมาณ–ใบอนุญาต
  4. นำร่อง “พี่เลี้ยงธรรมาภิบาล”
    ใช้หน่วยงานแถวหน้า (เช่น เทศบาลที่ได้ 97–99 คะแนน, อบต.ที่เกือบเต็มร้อย) เป็นพี่เลี้ยงให้หน่วยงานที่ต้องเร่งฟื้นฟู เพื่อถ่ายทอด “วิธีทำงานจริง” ไม่ใช่แค่เช็กลิสต์เอกสาร
  5. ตั้ง “War Room ITA จังหวัด” 90 วัน
    เจาะรายตัวชี้วัดที่ตก ขจัดอุปสรรคย่อย (เช่น เว็บไซต์ไม่อัปเดต, เอกสารไม่ครบ, ช่องทางร้องเรียนไม่ตอบสนอง) แล้วประกาศ “Roadmap เชียงราย 100%” ให้ชัดเจน

การสื่อสารของ ป.ป.ช. ITA เป็น “เครื่องมือบวก” ไม่ใช่ “ตัดสินประจาน”

จากเนื้อหาประกาศ สำนักงาน ป.ป.ช. ย้ำชัดว่า ITA เป็น “เครื่องมือเชิงบวก” เพื่อให้หน่วยงานรัฐรู้สถานะจริงของตนเอง เห็นช่องโหว่ และนำผลไปปรับปรุงระบบงาน การให้บริการ และการอำนวยความสะดวกประชาชน—เป้าหมายสูงสุดคือ “ธรรมาภิบาลที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่การแข่งขันล่าอันดับ

ดังนั้น การที่เชียงราย “ผ่านเกณฑ์” 94.03%  และมีสถาบันนำร่องจำนวนมาก (เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เทศบาลบ้านดู่ อบต.ศรีเมืองชุม ฯลฯ) คือฐานทุนที่ดี คำถามต่อไปคือ “จะยกระดับทั้งระบบ” ให้ไล่ทันกลุ่มคะแนนดี ของภาคเหนืออย่างแม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ – แพร่ – พะเยาได้อย่างไรในหนึ่งปี?

จากคะแนนสู่ความไว้วางใจสาธารณะ

  • ประเทศ ดีขึ้นอย่างมีนัย—คะแนนเฉลี่ย 93.82, ผ่านเกณฑ์ 94.17%—แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย 100% ของแผนแม่บทชาติ
  • เชียงราย สรุปผลการประเมินรายจังหวัดผลการประเมินเฉลี่ยของหน่วยงานภาครัฐแต่ละจังหวัด และสัดส่วนของหน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (85 คะแนนขึ้นไป) ซึ่งเชียงรายผ่าน 97.24% คะแนนเฉลี่ย 94.03 แต่อันดับประเทศยังอยู่ 61 และอยู่อันดับ 7 ของภาคเหนือ โจทย์คือ “เร่งปิดช่องโหว่ OIT/EIT/IIT” ด้วยงานเชิงระบบ
  • แสงสว่าง มีจริง—จากมหาวิทยาลัยและท้องถิ่นแถวหน้าในจังหวัดที่ทำแต้มเกือบเต็มร้อย หากจับ “วิธีการทำงานจริง” ไปต่อยอดทั้งจังหวัด ความเป็นไปได้ของ “เชียงราย 100%” ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

ท้ายที่สุด ITA จะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อ “คะแนน” แปรเป็น “ความไว้วางใจ” และ “ความไว้วางใจ” แปรเป็น “บริการภาครัฐที่เท่าเทียม โปร่งใส และรับผิดชอบ”—นั่นคือปลายทางของธรรมาภิบาลที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.)ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568 และเอกสารประกอบ
  • ระบบ ITAS (itas.nacc.go.th)ฐานข้อมูลผลการประเมิน ITA รายหน่วยงาน/รายจังหวัด/รายประเภทหน่วยงาน (เปิดให้เข้าถึงตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2568 ตามประกาศ)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติข้อมูลเชิงระเบียบวิธีและการสนับสนุนการสำรวจในองค์ประกอบ EIT/IIT
  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)ข้อมูลกำกับดูแลการประเมิน ITA
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)กรอบธรรมาภิบาลภาครัฐและมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล
  • แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561–2580) ประเด็นที่ 21เป้าหมายร้อยละของหน่วยงานรัฐที่ผ่าน ITA และแนวทางต่อต้านการทุจริต
  • ข้อมูลสรุปผล ITA จังหวัดเชียงราย ปีงบประมาณ 2568สถิติภาพรวมจังหวัด (คะแนนเฉลี่ย 93.48, ผ่านเกณฑ์ 95.53%, อันดับประเทศ 61) รายชื่อลำดับเทศบาล/อบต./สถาบันอุดมศึกษา ตามที่ผู้ให้ข้อมูลระบุ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

อบจ.เชียงราย Kick off Telemedicine นำร่อง 5 อำเภอ ลดภาระเดินทางผู้ป่วย

อบจ.เชียงราย “Kick off Telemedicine” ตามนโยบาย ‘อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus’ เปิดนำร่อง 5 อำเภอ เชื่อมหมอ–ผู้ป่วยระยะไกล ลดภาระเดินทาง ยกระดับความเท่าเทียมด้านสุขภาพ

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — แผนที่จังหวัดเชียงรายดูแคบลงทันทีที่ปุ่ม “เชื่อมต่อ” บนจอแท็บเล็ตถูกแตะ ภาพแพทย์จากโรงพยาบาลแม่ข่ายปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักทายผู้ป่วยที่กำลังนั่งอยู่ใน “โฮงยาใกล้บ้าน” ณ รพ.สต.ปลายทาง การแพทย์ทางไกลหรือ Telemedicine ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้าเปิดโครงการ “Kick off Telemedicine ตามนโยบายอยู่ไหนก็ใกล้หมอ โฮงยาใกล้บ้าน Plus” อย่างเป็นทางการ ย้ำเป้าหมาย “เป็นธรรม–เข้าถึง–ต่อเนื่อง” ผ่านการบูรณาการภาคท้องถิ่นกับสาธารณสุขจังหวัด และเครือข่ายโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดชายแดนเหนือสุดแดนสยาม

ทำไม “เชียงราย” จึงเหมาะเป็นสนามจริงของ Telemedicine

เชียงรายมีภูมิประเทศกว้างและหลากหลาย ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลใหญ่สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยติดบ้าน คือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ทั้งค่าเดินทาง เวลา และรายได้ที่หายไป ขณะเดียวกัน โครงสร้างดิจิทัลของสาธารณสุขจังหวัดเริ่มพร้อมมากขึ้น ทั้ง แพลตฟอร์มติดตามผู้ป่วย NCDs, ระบบอ้างอิงข้ามหน่วย (MOPH Refer) และ Health Station ที่กระจายถึงระดับชุมชน นี่คือเหตุผลเชิงระบบที่ทำให้ Telemedicine ในเชียงราย “มีโอกาสสำเร็จสูง” หากยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล คลินิกอลโควอร์แนนซ์ และการชดเชยค่าบริการตามเกณฑ์ สปสช. สำหรับบริการผู้ป่วยนอกทางไกล (OP telemed)

พิธีเปิดและภาพรวมโครงการ “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ” เริ่มเดินจริง

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ ที่ทำการ อบจ.เชียงราย โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) และโรงพยาบาลเครือข่ายเข้าร่วม ระดับปฏิบัติการทดลองเชื่อมต่อในพื้นที่นำร่อง ครอบคลุม 5 อำเภอแรก ได้แก่ แม่จัน เมืองเชียงราย เทิง แม่ลาว และแม่สาย ซึ่งเป็นโซนที่มีทั้งเขตเมือง–กึ่งเมือง–ภูเขา เพื่อทดสอบการใช้งานในบริบทที่ต่างกัน ก่อนขยายผลสู่พื้นที่ที่เหลือทั้งจังหวัดตามแผนในไตรมาสถัดไป ข้อมูลเชิงนโยบายของ อบจ. ระบุชัดว่า “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” เป็น 1 ใน 7 เรือธงของแผนพัฒนาจังหวัดปี 2568–2569 ที่นายก อบจ.ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี 2568 และมีการสื่อสารสาธารณะต่อเนื่องผ่านช่องทางทางการของ อบจ.

นอกจากฝั่งท้องถิ่น ฝ่ายสาธารณสุขก็เดินเครื่องควบคู่ สสจ.เชียงราย จัดประชุมคณะทำงาน Telehealth/Telemedicine หลายครั้งในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 เพื่อวางระบบ สนับสนุนบุคลากร และเคลียร์ประเด็นมาตรฐานข้อมูล–ความปลอดภัยไซเบอร์ โดยย้ำโจทย์ “ลดเหลื่อมล้ำ–เข้าถึงฉุกเฉิน–ต่อเนื่องการรักษา” ขณะอ้างอิงเกณฑ์และแนวทางของกรมการแพทย์สำหรับบริการแพทย์ทางไกลในคลินิกโรคเรื้อรังเป็นหลักฐานวิชาการรองรับการปฏิบัติ

จาก “แนวคิด” สู่ “ระบบ” ฐานข้อมูลจังหวัดที่พร้อมกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้เชียงราย “พร้อมกว่าที่คิด” คือข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน Digital Health ที่สะท้อน การใช้งาน Telehealth–Telemed สะสมกว่า 9,800 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2568 (ข้อมูล ณ ไตรมาสกลางปี) และมีการใช้ Health Rider เพื่อรับ–ส่งยา/ดูแลต่อเนื่องกว่า 14,800 ครั้ง ขณะเดียวกัน เอกสารติดตามงานของจังหวัดระบุว่า รพ.สต.ในสังกัด อบจ. มีแผนพัฒนาบริการ Telemedicine เชื่อม โรงพยาบาลแม่ข่าย โดยติดตั้ง Health Station แล้ว 77 ชุด ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ ซึ่งเป็น “ฮาร์ดแวร์–ซอฟต์แวร์ชุมชน” สำคัญให้ Telemedicine เดินได้จริงในระดับหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล

นอกจากนี้ ย้อนดูการประกาศสาธารณะช่วงปลายปี 2567 ยังพบว่า อบจ.เชียงรายเคยเปิดบริการแพทย์ทางไกลเชื่อม รพ.สต. 75 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยห่างไกลวินิจฉัยกับแพทย์โดยตรง โครงการปีที่แล้วจึงทำหน้าที่เป็น “รุ่นทดลอง” ที่ช่วยไล่ปัญหาหน้างาน ก่อนยกระดับเป็น “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ในปีนี้ ซึ่งเป็นกลไก “ต่อยอดมากกว่าเริ่มใหม่” อย่างชัดเจน

ณ จุดหมายสำคัญ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง–ติดบ้านคือกลุ่มได้ประโยชน์ทันที

การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเริ่มจาก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ควบคุมไม่ได้ และ ผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง เพราะเป็นกลุ่มที่ “เดินทางยาก–เสี่ยงทรุด–ค่าใช้จ่ายสูง” ในเอกสารกำกับติดตามของเขตสุขภาพ ระบุว่าการให้บริการ Telemedicine สำหรับคลินิก NCDs และคลินิกเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง หรือ สุขภาพจิต ได้เริ่มปฏิบัติแล้วในบางเครือข่าย ขณะที่ โรงพยาบาลแม่สาย รายงานผลการให้บริการ Telemedicine ในคลินิก NCDs ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และยกระดับงานตามเป้าหมายตรวจราชการปี 2568 สะท้อนความต่อเนื่องของระบบจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน

ภาพปลายทางที่คาดหวังคือ ผู้ป่วย NCDs จะรับ การติดตามอาการ–ปรับยา–ให้คำปรึกษา ผ่านจุดบริการใกล้บ้าน ส่งผลให้โรงพยาบาลใหญ่ ลดความแออัด และทีมชุมชน–อสม.ทำงานได้ แม่นยำ ยิ่งขึ้น เพราะแพทย์เห็นผลตรวจพื้นฐานแบบเรียลไทม์ และสั่งการพยาบาล–นักวิชาชีพปลายทางได้ทันที (ตามแนวทาง DMS Telemedicine) นี่คือ “คลินิกเสมือน” ที่ต่อเข้ากับชีวิตจริงของครอบครัวชนบทบนภูเขาและชายแดน

จากห้องประชุมสู่ห้องนั่งเล่น” กรณีใช้งานและเวิร์กโฟลว์

  • ก่อนพบแพทย์: เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ชั่งน้ำหนักวัดความดันเจาะปลายนิ้วตรวจน้ำตาล (ถ้ามีคำสั่ง) อัปเดตข้อมูลเข้าแพลตฟอร์ม
  • ขณะพบแพทย์ทางไกล: จอภาพขึ้นพร้อมกันสามฝ่ายคนไข้, ทีม รพ.สต., และแพทย์โรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อซักประวัติ ปรับยา ให้คำแนะนำ
  • หลังพบแพทย์: ระบบเชื่อมต่อ รับยา–ส่งยา ผ่าน Health Rider/ช่องทางที่กำหนด ลดรอบเดินทางซ้ำของครอบครัว
  • กรณีฉุกเฉิน: มีทางลัดเรียก รถพยาบาล–1669 และส่งต่อเข้าโรงพยาบาล เมื่ออาการไม่ปลอดภัยตามเกณฑ์

เวิร์กโฟลว์นี้ผูกกับ เกณฑ์เบิกจ่ายบริการทางไกลของ สปสช. (OP telemed) เพื่อให้หน่วยบริการชุมชนและโรงพยาบาลสามารถ เคลมค่าบริการได้ถูกต้อง ลดปัญหา “ทำได้แต่เบิกไม่ได้” ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในอดีต การขับเคลื่อนของเชียงรายจึง “ล้มช่องว่างเรื่องงบประมาณ” ไปพร้อมกับ “ล้มช่องว่างระยะทาง”

ช่วงทดลองภาคสนาม: ทำไมต้อง “แม่จัน–แม่สาย–เมือง–เทิง–แม่ลาว”

การเลือก 5 อำเภอ นอกจากจะครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่แล้ว ยังทดสอบ คุณภาพสัญญาณภูมิประเทศการเดินทาง ที่ต่างกัน เช่น พื้นที่ชายแดน–ภูเขาอย่างแม่สาย/แม่จัน กับพื้นที่ราบและเมืองอย่างอำเภอเมืองเชียงราย/แม่ลาว และโซนกึ่งภูเขาอย่างเทิง ทำให้ทีมเทคนิคสามารถ ไล่ปัญหาเชิงระบบ ได้ครบตั้งแต่สัปดาห์แรกของการใช้งานจริง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้จากการดำเนินการของ สสจ.เชียงราย ตลอดปีที่ผ่านมาในการขยายระบบดิจิทัลด้านสุขภาพไปพร้อม Telemedicine (เช่นการเชื่อมระบบติดตาม NCDs และการใช้ Health Platform อื่นของกระทรวง)

เสียงจากผู้บริหารเป้าหมายคือ “เข้าถึง–ยั่งยืน–ตรวจสอบได้”

บนเวทีเปิดตัว นายก อบจ.เชียงราย ย้ำแก่นโครงการว่า Telemedicine ภายใต้นโยบาย “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus” จะเน้น เข้าถึงบริการที่จำเป็น, ลดเหลื่อมล้ำพื้นที่, และ สร้างระบบติดตามผลที่ตรวจสอบได้ ผ่านแดชบอร์ดระดับจังหวัด พร้อมย้ำว่าการทำงานร่วมกับ สสจ.เชียงราย–โรงพยาบาลแม่ข่าย–รพ.สต. จะเดินหน้าอย่างเป็นระบบเพื่อขยายผลตลอดไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ทั้งนี้ แนวทางความร่วมมือระหว่าง อบจ. และ สสจ.ถูกสื่อสารต่อเนื่องในเพจทางการของทั้งสองหน่วย และมีการประชุมคณะทำงานแบบกำกับติดตามเป็นระยะในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568

ตัวเลขที่พูดแทน” หลักฐานว่าระบบกำลังเดิน

  • Telehealth–Telemed ทั้งจังหวัด: ดำเนินการแล้ว 9,898 ครั้ง (สะสมปีงบ 2568 ขณะรายงาน)
  • Health Rider ส่งยา–บริการต่อเนื่อง: 14,877 ครั้ง
  • Health Station: ติดตั้งแล้ว 77 ชุด ครอบคลุม 18 อำเภอ
  • สถานพยาบาลให้บริการ Telemedicine: โรงพยาบาลในสังกัดจังหวัด 17/18 แห่ง ผ่านเกณฑ์ของเขตสุขภาพ (94.44%)

ตัวเลขเหล่านี้ปรากฏในสไลด์ตรวจราชการของจังหวัดและเขตสุขภาพ ซึ่งสะท้อน ความพร้อมเชิงระบบ และการ นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่พิธีเปิดสวยงาม ตัวเลขดังกล่าวยังทำหน้าที่ “ฐานเปรียบเทียบ” ให้โครงการปี 2568–2569 วัดผลได้อย่างโปร่งใส

ความท้าทายและทางแก้ ไม่ใช่แค่วิดีโอคอล แต่คือ “งานระบบ”

  1. สัญญาณ–ไฟฟ้า–อุปกรณ์: บางหมู่บ้านยังเผชิญปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต อบจ.และ สสจ.ต้องจัด แผนสำรอง เช่น อุปกรณ์สื่อสารพกพา/เน็ตสำรอง–ไฟสำรอง เพื่อไม่ให้การรักษาสะดุดในช่วงเวลาสำคัญ (เอกสารตรวจราชการจังหวัดมีแผนด้าน Cyber Security และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรองรับ)
  2. PDPA–ความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพ: จำเป็นต้องแยกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล กำหนดผู้ดูแลระบบ และทดสอบ ความทนทานทางไซเบอร์ อย่างสม่ำเสมอ ตามข้อกำหนดของกระทรวงและแนวทางกรมการแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล
  3. เกณฑ์คลินิกอล–ความต่อเนื่อง: เวชปฏิบัติต้องยืนบน แนวทางคลินิก Telemedicine ชัดเจน เช่น เกณฑ์ NCDs, เงื่อนไขที่ต้องนัดพบแพทย์ตัวจริง, ระบบส่งต่อฉุกเฉิน และ การลงรหัส–เคลม OP telemed ให้ถูกต้องตาม สปสช. เพื่อกำกับคุณภาพและยั่งยืนทางการเงิน
  4. การสื่อสารกับชุมชน: ให้ประชาชนเข้าใจว่า Telemedicine ไม่ใช่การลดคุณภาพบริการ แต่คือการเพิ่มทางเลือก–ลดภาระ ต้องมี สื่อสารอธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน ผ่าน อสม.–ท้องถิ่น และทำ “Mother Class เวอร์ชันสุขภาพผู้ใหญ่” สำหรับดูแลตนเอง–สังเกตอาการก่อนเข้า Telemedicine

ทางไปข้างหน้า: จาก 5 อำเภอ สู่ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ทั้งจังหวัด

เมื่อพิจารณาจากฐานระบบที่ทำไว้ตลอดปี 2567–2568 ตั้งแต่โครงการ Telemedicine ใน รพ.สต. 75 แห่ง ไปจนถึงการติดตั้ง Health Station 77 จุด และตัวเลขการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขยายผลจากนำร่อง 5 อำเภอสู่ทั้งจังหวัด “มีความเป็นไปได้สูง” หากคงจังหวะการประชุมคณะทำงาน–ประเมินผล–แก้จุดอ่อนทุก 2–4 สัปดาห์ พร้อมทำงานเชื่อม รพ.สต. ในความรับผิดชอบของ อบจ. กับ โรงพยาบาลแม่ข่าย ให้แน่นแฟ้น ซึ่งในแผนของจังหวัดก็วางไว้ชัดเจนแล้วว่า รพ.สต. อบจ. จะเชื่อม Telemedicine ตรงกับแม่ข่ายในทุกอำเภอ ตามทรัพยากรที่มี

สาระสำคัญ: โครงการนี้ไม่ใช่แค่ “คอลกับหมอ” แต่คือ “ระบบบริการใหม่” ที่เอื้อให้คนเชียงราย เจอหมอถูกคน ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องแบกภาระระยะทาง และทำให้โรงพยาบาลแม่ข่ายจัดลำดับความสำคัญผู้ป่วยได้ดีขึ้น

โมเดลเชียงรายใช้ได้กับจังหวัดอื่นอย่างไร

  1. เริ่มจากงานเก่า–ต่อเป็นงานใหม่: ใช้ผลลัพธ์ปีที่แล้วเป็นฐาน ตั้ง KPI ชัดเจนจำนวนคอนซัลต์, ระยะรอคอย, สัดส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินถูกส่งต่อทันเวลา
  2. วางสถาปัตยกรรมข้อมูลเดียวกันทั้งจังหวัด: เชื่อม MOPH Refer–Health Rider–Telemed และแดชบอร์ดเดียวกัน ลดข้อมูลซ้ำซ้อน
  3. ทำกรอบงบประมาณ–เคลม สปสช. ตั้งแต่วันแรก: ให้หน่วยบริการ “อยู่รอดขยายได้”
  4. ลงทุนในคน: แพทย์–พยาบาล–เจ้าหน้าที่ รพ.สต.–อสม. ต้องได้ คู่มือปฏิบัติ และ ซ้อมเวิร์กโฟลว์ รายเดือน
  5. ประเมินและสื่อสารสาธารณะ: เปิดเผย ตัวชี้วัดรายอำเภอ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนท้องถิ่น

เชียงรายกำลังพิสูจน์ว่า เมืองชายแดนภูเขาก็ เป็นเมืองสุขภาพดิจิทัล ได้ หากทุกฟันเฟืองหมุนพร้อมกันหน่วยท้องถิ่นใส่ทรัพยากรสาธารณสุขใส่ระบบโรงพยาบาลใส่มาตรฐานชุมชนใส่การมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

รพ.เกษมราษฎร์-โรบินสันเชียงรายจับมือ ยกระดับสุขภาพแม่และเด็ก มอบสิทธิประโยชน์ครบวงจร

โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์–โรบินสันเชียงราย” จับมือยกระดับสุขภาพแม่และเด็ก ลงนาม MOU มอบสิทธิประโยชน์แบบองค์รวม—ชี้เป้าเสริมทักษะ–ลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 —ห้องประชุมนายแพทย์สมชัย ตั้งพร้อมพันธ์ อาคารศูนย์การแพทย์เฉพาะทางศรีบุรินทร์ บันทึกความร่วมมือระหว่าง โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ กับ โรบินสันเชียงราย ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ ความร่วมมือครั้งนี้วางเป้าหมายชัดเจนยกระดับคุณภาพชีวิตแม่และเด็กแบบองค์รวม ผ่านบริการสุขภาพที่ต่อเนื่อง คู่กับสิทธิประโยชน์ด้านสินค้าและบริการจำเป็นสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์หลังคลอด ซึ่งเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสในการสร้างรากฐานสุขภาพของคนรุ่นถัดไป

“เราไม่ได้ทำแค่วันเดียวจบ แต่สร้าง ‘แพลตฟอร์ม’ สนับสนุนแม่ตั้งครรภ์และคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ให้พร้อมจริง ทั้งความรู้ ทักษะ และการเข้าถึงของจำเป็นในราคาที่ ‘จ่ายได้’” — นพ.อิทธิพงษ์ ยอดประสิทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ กล่าวภายหลังพิธีลงนาม

ความร่วมมือครั้งนี้ต่อยอดจากกิจกรรม Sriburin Mother’s Class ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และขยายเวทีไปยังศูนย์การค้าชั้นนำในเมืองเชียงราย เพื่อเปิด “พื้นที่การเรียนรู้สาธารณะ” และบูรณาการบริการสุขภาพกับวิถีชีวิตครอบครัวยุคใหม่ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยโรงพยาบาลยืนยันบทบาทด้านการแพทย์ ขณะที่ห้างพันธมิตรขยาย “ความคุ้มครองทางสังคม” ผ่านสิทธิประโยชน์และสินค้าเด็ก–แม่ที่จำเป็นในช่วงเริ่มต้นชีวิตของลูกน้อย ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนฐานบริการเด็กและกุมารเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการยาวนานในจังหวัดเชียงราย

 “ห้องเรียนแม่มือใหม่” ที่ออกจากประตูโรงพยาบาลไปสู่พื้นที่ชุมชน

ก่อนถึงวันลงนาม โรงพยาบาลได้เคลื่อน “Mother’s Class” ออกไปจัดที่ โรบินสันเชียงราย หลายครั้ง เปิดเวทีสาธารณะให้ครอบครัวทดลองทักษะสำคัญอย่าง อาบน้ำ–อุ้มเรอ–สังเกตไข้–การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ควบคู่กับบริการตรวจสุขภาพราคาพิเศษและบูธความรู้จากทีมสหสาขาวิชาชีพ ภาพกิจกรรมบนสื่อทางการสะท้อนโมเดล “สุขภาพในห้าง” ที่คนเข้าถึงง่าย ไม่เกร็ง สอดรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตจริงของครอบครัว

นอกจากเวทีความรู้ โรงพยาบาลยังคงรักษาบริการ กุมารเวชทารกแรกเกิด Well Baby ไว้อย่างครบวงจรในสถานพยาบาล ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการดูแลต่อเนื่องจากท้องถึงวัยเตาะแตะ ช่วยให้คำแนะนำเรื่องวัคซีน การเจริญเติบโต และโภชนาการก่อน–หลังคลอด โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง

สิทธิประโยชน์ “My Little Club” และการลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน

สาระสำคัญของ MOU คือ บัตรสมาชิก “My Little Club” สำหรับคุณแม่ที่ซื้อแพ็กเกจฝากครรภ์และคลอดกับโรงพยาบาล ซึ่งมาพร้อม สิทธิประโยชน์รวมสูงสุดถึง 50,000 บาท จาก โรบินสันเชียงราย ครอบคลุมคูปองเวาเชอร์ส่วนลดสำหรับสินค้าจำเป็นที่ใช้ต่อเนื่องตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงวัย 2–3 ปี ทั้งผ้าอ้อม นมผง อุปกรณ์อาบน้ำ–นอน–เดินทาง–ความปลอดภัยในรถ และผลิตภัณฑ์เพื่อแม่หลังคลอด ข้อมูลดังกล่าวปรากฏในโพสต์ประชาสัมพันธ์ของเพจท้องถิ่นที่รายงานพิธีลงนาม และสอดคล้องกับกิจกรรมทางการที่โรงพยาบาลและห้างคู่พันธมิตรเผยแพร่ก่อนหน้า.

ควบคู่กัน ห้างได้เปิดดีลเฉพาะกลุ่มแม่และเด็กในช่วงเทศกาลวันแม่และครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อน “ระบบสิทธิประโยชน์ตามฤดูกาล” ที่จะคอยเติมเต็มงบประมาณครัวเรือนให้กับกลุ่มเปราะบางด้านค่าใช้จ่ายช่วงตั้งครรภ์หลังคลอด

“เราไม่ได้เน้นการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่เน้น ‘ทำให้ดู–ให้ทำเป็น’ ผ่านคลาสและเวิร์กช็อป ทักษะเล็ก ๆ อย่างอุ้ม–เรอ หรืออาบน้ำเด็ก หากทำถูกตั้งแต่เริ่ม จะลดความกังวลทั้งบ้าน” — นพ.อิทธิพงษ์ กล่าวย้ำเป้าหมาย “สุขภาพเชิงทักษะ” ที่จะต่อชีวิตจริงหลังพ้นห้องคลอด

ทำไม “สิทธิฯ จากห้าง” จึงเป็นเรื่องสุขภาพ?

สำหรับครอบครัวจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายหลังคลอด เป็น “กำแพง” ที่ทำให้การเข้าถึงของจำเป็นสะดุด การจับมือระหว่างโรงพยาบาล–ศูนย์การค้าจึงทำหน้าที่ แปลงทรัพยากรการตลาดเป็นสวัสดิการสังคม ลดต้นทุนซ้ำซ้อน และทำให้คำแนะนำแพทย์พยาบาลเชื่อมต่อกับสินค้าคุณภาพที่หาได้ง่ายในเมืองเดียวกัน เกิด วงจรบริการต่อเนื่อง ตั้งแต่ฝากครรภ์คลอดเยี่ยมหลังคลอดติดตามพัฒนาการเด็ก ซึ่งโรงพยาบาลระบุไว้ชัดในฐานข้อมูลบริการกุมารเวชของตนเอง

ภาพรวมนี้ยังผสานกับเป้าหมายสาธารณสุขระดับประเทศ เช่น ANC 5 ครั้งตามเกณฑ์, การส่งเสริมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน 6 เดือน, และ การดูแลทารกแรกเกิด โดยหน่วยงานรัฐชี้ชัดว่าตัวชี้วัดเหล่านี้ยังมี “ช่องว่าง” ให้พัฒนา—ปี 2566 ร้อยละหญิงตั้งครรภ์ที่ได้บริการฝากครรภ์ครบ 5 ครั้ง อยู่ที่ 67.73% ขณะที่อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน 6 เดือนของไทยอยู่ที่ ประมาณ 28–29% ยังต่ำกว่าเป้าหมายโลก 50% ซึ่ง UNICEF และกรมอนามัยกำลังขับเคลื่อนนโยบายร่วมกับเครือข่ายหลายภาคส่วนอย่างเข้มข้น

จาก “ห้องเรียนแม่” สู่ “ระบบนิเวศแม่และเด็ก” ในเมืองเดียว

  1. เริ่มจากความรู้ — Mother’s Class ถ่ายทอดความรู้และทักษะปฐมพยาบาล–โภชนาการ–ความปลอดภัยทารก
  2. เชื่อมสู่การเข้าถึง — ห้างพันธมิตรจัดสิทธิประโยชน์–สินค้าแพ็กจำเป็นในงบประมาณที่ลดลง
  3. ต่อยอดการติดตาม — คลินิกกุมารเวชและ Well Baby นัดติดตามพัฒนาการ–วัคซีน–การเติบโต
  4. หนุนสุขภาวะครอบครัว — ครอบครัวพบ “เครือข่ายเพื่อนพ่อแม่” ผ่านกิจกรรมสาธารณะ เกิดการเรียนรู้ร่วมบนฐานชุมชนเมือง

ภาพนี้เกิดขึ้นจริงหลายครั้งแล้วจากกิจกรรมที่โรงพยาบาลนำคลาสออกไปจัดในศูนย์การค้า และจะยิ่งเป็น “ระบบ” มากขึ้นหลังการลงนามอย่างเป็นทางการในวันนี้

สาธารณสุขตัวเลขเตือนใจ และเหตุผลที่ต้องทำ “ให้ต่อเนื่อง”

  • มารดาเสียชีวิต ปี 2567 (ข้อมูลล่าสุดที่เปิดเผย) 88 ราย ทั่วประเทศ—ตัวเลขนี้ย้ำว่าระบบคัดกรอง–ดูแลก่อนคลอด–ฉุกเฉินต้องเท่าทันและเข้าถึงได้เร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่ห่างไกล
  • ANC 5 ครั้ง ยังไม่ถึงเป้าหมาย—ความร่วมมือภาคเอกชนที่ทำให้แม่เข้าถึงข้อมูล–บริการเสริม และความช่วยเหลือยามฉุกเฉิน (เรียกรถพยาบาล–ช่องทางปรึกษา) จึงเป็น สะพาน” ที่สำคัญ
  • เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน ยังต่ำบัตรสิทธิประโยชน์ที่เชื่อมผลิตภัณฑ์สนับสนุนนมแม่ เช่น เครื่องปั๊มแผ่นประคบเสื้อชั้นในให้นมอุปกรณ์เก็บน้ำนม ในราคาที่เข้าถึงได้ ช่วย “ลดความติดขัด” ด้านต้นทุนในชีวิตจริงของแม่ทำงาน
  • อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ลดลงจาก 23 เหลือ 18 ต่อหญิง 1,000 คน อายุ 15–19 ปี (2019 → 2022) แต่อีกหลายปัจจัยยังน่าห่วงเฉพาะกิจกรรมสร้างภูมิความรู้ทักษะการเลี้ยงดูที่ต่อเนื่องและเข้าถึงง่ายเท่านั้นที่จะตอกเสาเข็ม “การเริ่มต้นชีวิต” ให้มั่นคง

เสียงจากเวทีลงนามบทบาทของแต่ละฝ่าย

โรงพยาบาล — ทำหน้าที่เป็น “สมอง–หัวใจ” ของความร่วมมือ ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ จัดทีมสหสาขา และประสานระบบฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เพื่อให้แม่ตั้งครรภ์ครอบครัวเข้าถึงความช่วยเหลือทันท่วงที โรงพยาบาลยืนยันความพร้อมด้านกุมารเวชฉุกเฉินสุขภาพสตรีผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ

ศูนย์การค้า — เป็น “แขนขา” ของระบบนิเวศสุขภาพ ย้ายเวทีความรู้ไปในชีวิตประจำวันผ่านกิจกรรมบูธสุขภาพสินค้าอุปกรณ์จำเป็น พร้อมวงจรสิทธิประโยชน์ตามฤดูกาลที่ลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงวิกฤตเงินเฟ้อครัวเรือน.

ครอบครัว — เป็น “เจ้าของโจทย์” ที่ได้สิทธิ์แบบจับต้องได้ ทั้งการเข้าร่วมคลาสฟรี การฝึกทักษะจริงกับผู้เชี่ยวชาญ และการรับบัตร My Little Club ที่ต่อยอดเป็นสวัสดิการ Non-cash ช่วยดึงค่าใช้จ่ายช่วงตั้งไข่ชีวิตลูกลงมาให้อยู่ในวิสัยที่จัดการได้

จะทำให้ “ต้นแบบเชียงราย” ขยายผลทั่วประเทศได้อย่างไร

  1. ทำให้เป็นข้อมูลเปิด — สร้างแดชบอร์ดสาธารณะรายงานตัวชี้วัด: จำนวนผู้เข้าคลาส, อัตรา ANC ครบ 5 ครั้งในผู้เข้าร่วม, อัตราเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน, การเรียกใช้บริการฉุกเฉินให้คำปรึกษา
  2. ออกแบบแพ็กสิทธิ์ยืดหยุ่น — เจาะตามอายุครรภ์–ภาวะเสี่ยง–รายได้ครัวเรือน เพิ่มตัวเลือกโภชนาการอุปกรณ์สนับสนุนนมแม่ และ สินค้าความปลอดภัยทารก เป็นกลุ่มจำเป็นพื้นฐาน
  3. ยึดหลัก “No sales in class” — คลาสให้ความรู้ต้องปลอดแรงจูงใจทางการขายทั้งหมด เพื่อคงความน่าเชื่อถือ และกันผลประโยชน์ทับซ้อน
  4. เชื่อมกับประกันสุขภาพ — ร่วมมือกองทุนสุขภาพท้องถิ่น/เอกชน เพื่อเติมสิทธิ์ตรวจคัดกรองสำคัญ เช่น คัดกรองซึมเศร้าหลังคลอดปัญหาพัฒนาการโภชนาการ
  5. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล — ตั้งมาตรฐาน PDPA สำหรับการใช้ข้อมูลสมาชิก My Little Club ผู้รับบริการโรงพยาบาล แยกฐานข้อมูลชัดเจน ตรวจสอบได้

ภาพใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนสุขภาพแม่และเด็กเป็น “วาระเมือง”

เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ระบบบริการเอกชน–รัฐ–ภาคธุรกิจเริ่ม “ล็อกแขน” กันมากขึ้น เห็นได้จากการย้าย Mother’s Class ไปยังศูนย์การค้า การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการท้องถิ่น และการประชาสัมพันธ์แบบเปิดเผยต่อสาธารณะ เมื่อเมือง “ถือเอาแม่และเด็กเป็นวาระ” เมืองนั้นย่อมได้ผลตอบแทนเป็น ทุนมนุษย์ ที่ดีขึ้นในระยะยาว

และเมื่อมองไปยังตัวเลขระดับชาติตั้งแต่ ANC 5 ครั้ง ที่ยังไม่ถึงเป้าหมาย ไปจนถึง มารดาเสียชีวิต 88 ราย ในปีล่าสุดคำตอบที่สมเหตุสมผลคือ ทำงานร่วมกัน และ ทำให้ต่อเนื่อง โมเดลเชียงรายจึงไม่ใช่แค่การตลาดเชิงความดี แต่คือ “การแปลงเครื่องมือของเอกชนให้ทำงานเป็นสาธารณะ” บนฐานความรู้ทางคลินิกและการคุ้มครองผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด

“เวลาฉุกเฉิน คุณแม่ต้องเข้าถึงความช่วยเหลือได้ทันที ทั้งคำแนะนำและรถพยาบาล เราวางระบบไว้ครบ เพื่อให้สะพานจากห้างกลับสู่โรงพยาบาล ‘เชื่อมกันจริง’” — นพ.อิทธิพงษ์ ย้ำ Continuum of Care ที่เริ่มจาก Community setting จบที่ Emergency และ Follow-up ในโรงพยาบาล

ก้าวเล็ก ๆ ที่ “สำคัญมาก” ของเมืองหนึ่งและบทเรียนของทั้งประเทศ

บันทึกความร่วมมือวันนี้ทำให้ “บริการทางการแพทย์” กับ “บริการทางสังคม” มาวางอยู่โต๊ะเดียวกัน ครอบครัวได้แพ็กความรู้ทักษะสิทธิประโยชน์เครือข่ายที่เดินไปด้วยกัน โรงพยาบาลได้ต่อยอดภารกิจปฐมภูมิ–ทุติยภูมิให้เข้าถึงชีวิตจริง ส่วนศูนย์การค้าได้บทบาทใหม่ในฐานะ ผู้เสริมความยืดหยุ่นให้สวัสดิการครอบครัว หากติดตามผลอย่างโปร่งใส และคุมจริยธรรม–ข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด โมเดลนี้มีศักยภาพจะขยายผลสู่เมืองอื่น ๆ และช่วย ชิดเป้าหมาย SDG 3 ของประเทศในมิติแม่และเด็กได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เว็บไซต์ทางการ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์: ภาพรวมบริการ, ศูนย์สุขภาพเด็ก, ระบบฉุกเฉิน 24 ชม.
  • หน้าโฮมภาษาอังกฤษของโรงพยาบาล (ประกาศกิจกรรม Mother’s Class ครั้งที่ 5 ปี 2568)
  • เพจทางการโรงพยาบาล/วิดีโอและโพสต์กิจกรรม Sriburin Mother’s Class ณ โรบินสันเชียงราย (ย้ายคลาสออกสู่พื้นที่สาธารณะ)
  • เพจ Robinson Department Store Chiang Rai: แคมเปญสิทธิประโยชน์ลูกค้ากลุ่มแม่–เด็กในช่วงเทศกาล (ประกอบภาพรวมด้านสิทธิประโยชน์ตามฤดูกาล)
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข: แดชบอร์ด ANC 5 ครั้ง (ตัวชี้วัดคุณภาพการฝากครรภ์) และสรุปผลปี 2566–2568
  • UNICEF Thailand / MICS 2022: อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน 6 เดือน ~28–29% และข่าวประชาสัมพันธ์ปี 2023 (ต่ำกว่าเป้าหมายโลก 50%)
  • กรมอนามัย (MOPH) – Maternal Mortality Dashboard 2567: จำนวนมารดาเสียชีวิต 88 ราย (ใช้เพื่อย้ำความสำคัญของระบบดูแลต่อเนื่อง)
  • UNICEF Thailand (News): อัตราการเกิดในวัยรุ่นลดลงจาก 23 → 18 ต่อหญิง 1,000 คน (2019→2022) จากผลสำรวจ MICS (บริบทเชิงประชากรแม่วัยรุ่น)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายส่งสตรีดีเด่นสองท่านรับโล่เกียรติยศเวทีชาติ ตอกย้ำพลังสตรีท้องถิ่น

เชียงรายนำ 2 สตรีดีเด่นรับโล่ระดับประเทศ ตอกย้ำ “พลังสตรีไทย” ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 กระทรวงมหาดไทยจัดพิธีมอบ “รางวัลสตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2568” ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี และมอบรางวัลรวม 152 รายชื่อ พร้อมผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วม

เวทีที่สะท้อนแรงบันดาลใจของผู้หญิงทำงานเพื่อชุมชน

แสงไฟสว่างไสวในฮอลล์อิมแพ็คคลี่ม่านขึ้นพร้อมเสียงปรบมือแน่นขนัด ตัวแทนสตรีจากทุกภูมิภาคก้าวขึ้นสู่เวทีด้วยความภาคภูมิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยืนรอต้อนรับพร้อมมอบโล่เกียรติยศทีละราย ชื่อถูกประกาศสลับกับเสียงชื่นชมจากเพื่อนร่วมเครือข่าย “พลังสตรี” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำ แต่คือสิ่งที่ทุกคนในห้องพิสูจน์ผ่านการลงมือทำจริงในหมู่บ้าน ตำบล และจังหวัดของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ในงานเดียวกัน เครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาสตรี 76 จังหวัดเข้าร่วมประชุมถอดบทเรียนความสำเร็จ รวบรวมกรณีศึกษาจากพื้นที่ นำเสนอแนวทางต่อยอดนโยบายให้เกิดผลจริงระดับครัวเรือนและชุมชน ตัวเลขผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนสะท้อนพลังเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่ใช่งานพิธีการที่จบเพียงวันเดียว

รางวัลนี้คืออะไร และเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างไร

“สตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย” เป็นการเชิดชูสตรีผู้ทำงานขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ยกระดับรายได้ครัวเรือน ส่งเสริมอาชีพ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ไปจนถึงการจัดการสวัสดิการชุมชน รางวัลสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต้องอาศัยคนทำงานหน้างาน โดยเฉพาะเครือข่ายสตรี ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญของนโยบายด้านชุมชนของกระทรวงมหาดไทยและกรมการพัฒนาชุมชน.

ในพิธีมอบรางวัลปีนี้ ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วมครบถ้วน พร้อมย้ำบทบาทสตรีในฐานะ “ภาคีร่วมพัฒนา” ที่เชื่อมรัฐกับชุมชน และเป็นแรงหลักในการนำโครงการลงสู่ครัวเรือนได้จริง ตั้งแต่ OTOP, กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี, ไปจนถึงโครงการพัฒนาศักยภาพอาชีพและเศรษฐกิจฐานราก.

เชียงรายบนเวทีประเทศ 2 รายชื่อ 2 พื้นที่ 1 ความภาคภูมิ

สำหรับจังหวัดเชียงราย นำโดย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงราย เชียงรายส่งตัวแทนสตรีดีเด่นสองท่านขึ้นรับโล่เกียรติยศ ได้แก่

  • นางแว่นแก้ว ภิรมย์พลัด ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • นางนงลักษณ์ เทพทองพันธ์ ตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย

ทั้งสองรายชื่อได้รับการประกาศยืนยันจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 และปรากฏตัวในเวทีระดับประเทศช่วงสัปดาห์งานดังกล่าว นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จของบุคคล แต่เป็นความภูมิใจของชุมชนและทีมคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดที่ร่วมผลักดันโครงการต่อเนื่อง.

กลไกที่ทำให้ “พลังสตรี” ขับเคลื่อนได้จริง

หัวใจของรางวัลนี้อยู่ที่โครงสร้างการมีส่วนร่วมของ คณะกรรมการพัฒนาสตรี (กพส.) ซึ่งตั้งได้ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงจังหวัด ทำงานเชื่อมการรับรู้ปัญหาในพื้นที่กับการออกแบบโครงการและการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่วางไว้ทำให้เครือข่ายสตรีเติบโตอย่างเป็นระบบและมีบทบาทกำกับการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานรัฐ

อีกกลไกสำคัญคือ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนหมุนเวียนและเงินสนับสนุน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของสมาชิก โดยมีเครือข่ายสมาชิกในทุกจังหวัด และมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องผ่านเวทีระดับชาติและระดับจังหวัด ตัวเลขสมาชิกและผู้ได้รับประโยชน์จำนวนมากจากคำแถลงของรัฐบาลสะท้อนขนาดและความครอบคลุมของนโยบายเชิงโครงสร้างนี้

ภาพใหญ่ระดับชาติ สถิติเพศภาวะและแรงงาน

เมื่อนำรางวัลไปวางไว้ในบริบทระดับประเทศ ภาพรวมความก้าวหน้าของไทยด้านความเสมอภาคระหว่างเพศยังต้องเดินหน้าต่อ รายงาน Global Gender Gap 2025 ระบุไทยอยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก และอันดับ 3 ในอาเซียน สะท้อนความก้าวหน้าบางมิติ แต่ยังมี “ช่องว่าง” ให้ขยายบทบาทสตรีทั้งในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

ในตลาดแรงงาน ข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 1/2568 ชี้ให้เห็นแนวโน้มการมีงานทำและกำลังแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนสตรีในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางและสูงของไทยอยู่ราว 34.7% ตามฐานข้อมูล World Bank ตัวเลขดังกล่าวชี้ถึงโอกาสและภารกิจต่อเนื่องในการเพิ่มจำนวนสตรีในบทบาทตัดสินใจ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 5.5

ทำไม “รางวัลเชิดชูสตรี” จึงมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานราก

การยกระดับบทบาทสตรีในชุมชนไม่ได้หยุดที่เวทีรับรางวัล แต่ส่งผลเชื่อมโยงกับรายได้ครัวเรือน โอกาสการจ้างงาน และศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตั้งแต่การยกระดับ OTOP ผ่านมาตรฐานและบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทำงานประสานเพื่อ “ต่อท่อน้ำเลี้ยง” เข้าสู่โครงการจริง และกำกับติดตามผ่านระบบข้อมูลของกรมการพัฒนาชุมชน.

เชียงรายเองมีกรณีศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเวทีคัดเลือกครัวเรือนสัมมาชีพดีเด่น การพัฒนาทักษะดิจิทัลของผู้ประกอบการ และการนำเสนอผลงานต่อผู้กำหนดนโยบายระดับชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้ “เวทีระดับประเทศ” ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นจุดเริ่มของรอบการทำงานใหม่ ๆ ที่ขยายผลสู่คนในพื้นที่.

น้ำเสียงจากผู้กำหนดนโยบาย ข้อความที่ส่งถึงพื้นที่

สารหลักที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยส่งถึงเครือข่ายสตรีคือ “สนับสนุนพลังสตรีให้ขับเคลื่อนสิ่งที่ดีงามเพื่อความยั่งยืนของประเทศ” พร้อมย้ำบทบาทกรมการพัฒนาชุมชนในการเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดโครงการที่มีผลจริงในพื้นที่ ข้อความดังกล่าวสะท้อนแนวทางที่ให้ความสำคัญกับ คนหน้างาน มากกว่างานเชิงเอกสาร และยืนยันการบูรณาการระหว่างนโยบายระดับชาติกับงานระดับตำบล

ในมิติการสื่อสารสาธารณะ พรรคการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และสื่อกระแสหลักหลายสำนักร่วมรายงานข่าวและเผยแพร่สารจากเวทีนี้ ช่วยเพิ่มการรับรู้และแรงจูงใจให้เครือข่ายสตรีในจังหวัดต่าง ๆ กลับไป “ทำงานต่อ” ด้วยพลังที่มากขึ้น.

จากรางวัลสู่การเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง

พิธีมอบรางวัลสตรีดีเด่นปีนี้ไม่ใช่ภาพจำเฉพาะหน้าเวที แต่คือ “จุดนัด” ของคนทำงานชุมชนที่กำลังผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและสวัสดิการสังคมให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน เชียงรายมีชื่อสองสตรีดีเด่นขึ้นเวทีระดับชาติ ท่ามกลางเครือข่าย 76 จังหวัดที่กำลังขยายผลนโยบายจากส่วนกลางสู่ครัวเรือน ความสำเร็จนี้ยืนอยู่บนกลไก กพส. และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสอดคล้องกับสัญญาณเชิงข้อมูลจากรายงานสากลและสถิติแรงงานไทย

เส้นทางข้างหน้าจึงชัดเจนขึ้น: ทำให้ “พลังสตรี” เคลื่อนต่อด้วยเป้าหมายที่วัดผลได้ สนับสนุนทักษะจำเป็นในตลาดจริง เพิ่มบทบาทผู้หญิงในตำแหน่งตัดสินใจ และบริหารทรัพยากรอย่างโปร่งใส หากทำได้ต่อเนื่อง รางวัลในวันนี้จะกลายเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจฐานรากเติบโต และความเสมอภาคทางเพศเดินหน้าไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี: ข่าว “ธีรรัตน์ มอบรางวัลสตรีผู้ขับเคลื่อนงานบำบัดทุกข์ บำรุงสุขดีเด่น” (14 ส.ค. 2568). Thai Government
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลระเบียบ–โครงสร้าง กพส.: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (เอกสารระเบียบคณะกรรมการพัฒนาสตรี). Department of Land Affaires
  • กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี: เว็บไซต์กลางและข่าวรัฐบาลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและการดำเนินงาน. womenfund.in.thThai Government
  • รายงาน Global Gender Gap 2025: เอกสารของ World Economic Forum และบทความสรุปข้อมูลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/Nation. World Economic Forum ReportsChulalongkorn Universitynationthailand
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: สำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 1/2568. National Statistical Office
  • World Bank Gender Data Portal: Female share of employment in senior and middle management (%), Thailand 2023.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงรายจ่อเจ้าภาพ Spartan World Championships 3 ปี เปิดเกมยกระดับเมือง

เชียงรายสู่เวทีโลก เดินหน้าชิงเจ้าภาพ Spartan Super 2026–2028

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 – เชียงรายยกระดับสู่เมืองกีฬา จังหวัดเดินหน้าชิงสิทธิ์เจ้าภาพ Spartan Super World Championships ต่อเนื่องสามปี หน่วยงานรัฐจัดประชุมเตรียมความพร้อมอย่างเป็นทางการเมื่อ 13 สิงหาคม วัตถุประสงค์คือจัดทำข้อเสนอเมืองเจ้าภาพที่ครบถ้วนเอกชนและเครือข่ายท้องถิ่นร่วมกำหนดทิศทางร่วมกัน

ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุดของ Spartan ในไทย

ปี 2568 ไทยจัดซีรีส์ Spartan ระดับประเทศเต็มรูปแบบกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแถลงร่วมกับผู้จัดลิขสิทธิ์ งานดังกล่าวถือเป็นเทศกาลวิ่งวิบากระดับโลกในไทยเป้าหมายคือยกระดับกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม

รัฐบาลประเมินผลเชิงเศรษฐกิจไว้ชัดเจนการจัดซีรีส์ปี 2568 คาดดึงนักกีฬากว่า 60 ประเทศ มูลค่ากระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 1,500 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนศักยภาพของกิจกรรมระดับนานาชาติ

สนามแรกปี 2568 จัดที่หัวหินสำเร็จด้วยดี ผู้จัดลิขสิทธิ์ไทยเข้าร่วมดูแลงานอย่างใกล้ชิด สื่อมวลชนไทยรายงานภาพรวมการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โมเมนตัมจึงเกิดขึ้นทั้งในเชิงกีฬาและการท่องเที่ยว

คำถามใหญ่ เชียงราย “ได้สิทธิ์แล้ว” หรือยัง

วันนี้ยังไม่มีประกาศ “ยืนยัน” จาก Spartan Global เว็บไซต์ชิงแชมป์โลกของ Spartan แสดงกำหนดการถึงปี 2025 รายการ 10K Super World Champs ปี 2025 จัดที่ Mammoth, แคลิฟอร์เนีย ยังไม่ระบุเจ้าภาพ Super ปี 2026–2028 บนเว็บไซต์หลัก spartan.com

เพจ Find a Race ของ Spartan ระบุรายการ 2025 ชัดเจน รวมถึงหน้ารวมกิจกรรมที่อัปเดตเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบหน้าประกาศ Super Worlds ปี 2026 นักอ่านจึงควรติดตามประกาศอย่างเป็นทางการต่อเนื่อง

ด้านการแข่งขันระดับโลกปี 2026 มีข้อมูลสำคัญ Spartan ขึ้นหน้าอีเวนต์ Morzine Ultra World Championship 2026 กำหนดจัด 3–5 กรกฎาคม ที่มอรซีน ฝรั่งเศส ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนกลยุทธ์กระจายปลายทางการแข่งขัน

ขณะเดียวกัน โพสต์โซเชียลของ Spartan ระบุอีกข้อมูลหนึ่ง คลิปอินสตาแกรมสื่อสารว่า Ultra Worlds 2026 ไป Big Bear วันที่ 16–17 พฤษภาคมตามที่โพสต์เผยแพร่ประเด็นนี้ชี้ว่ากำหนดการอาจยังปรับได้ จึงต้องอ้างอิงประกาศสุดท้ายจากเว็บไซต์ทางการ

สรุปสถานะล่าสุดของ “เชียงรายปี 2026–2028” จังหวัดอยู่ในขั้นเดินหน้า “เสนอตัวและเตรียมพร้อม” หลายหน่วยงานประชุมเพื่อทำแผนเจ้าภาพสามปีแต่ยัง “ไม่ใช่” การประกาศสิทธิ์อย่างเป็นทางการจาก Spartan

2022 Spartan World Championship Recap Webster Becomes First Four-Time World Champion, Atkins Dethroned

ทำไม “เชียงราย” จึงมีโอกาสสูง

เชียงรายมีภูมิประเทศหลากหลายและท้าทายภูเขา ป่า แม่น้ำ เอื้อต่อสนาม OCR มาตรฐานโลก นักกีฬาได้เจอทั้งสภาพทางชันและด่านธรรมชาติ เมืองมีสนามบินนานาชาติและที่พักพร้อมรองรับข้อมูลนี้หนุนภาพเมืองกีฬาปลายทางอย่างชัดเจน

ไทยยังมีประสบการณ์จัดสนามหลายพื้นที่หัวหินเปิดซีซันปี 2568 ด้วยความสำเร็จ ขยายต่อที่เขาใหญ่และเชียงใหม่ในแผนงานปีนี้ ระบบจัดการอีเวนต์และอาสาสมัครพัฒนาอย่างต่อเนื่องฐานแฟนและนักกีฬาก็เพิ่มขึ้นทุกฤดูกาล

นอกจากนี้ ไทยมีกรณีศึกษาด้านอีเวนต์กีฬาแล้ว หน่วยงานไมซ์ชี้ตัวอย่างงานระดับนานาชาติหลายรายการ ระบบออดิทผลกระทบทางเศรษฐกิจเริ่มเป็นระบบ ความสามารถเช่นนี้สนับสนุนการยื่นข้อเสนอเชียงราย เมืองจึงพร้อมยกระดับมาตรฐานการจัดงาน

โครงสร้างสิทธิ์ชิงแชมป์โลกของ Spartan

Spartan จัดชิงแชมป์ตามประเภทระยะและรูปแบบ ปี 2025 มีชุดชิงแชมป์ครบทั้ง Ultra, Trifecta, Super รายการ 10K Super World Champs 2025 อยู่ที่ Mammothต่อด้วย 100M World Champs ในสัปดาห์ถัดไปปฏิทินแสดงโครงสร้างเวิลด์ซีรีส์ที่ชัดเจน

เว็บไซต์อีเวนต์ของ Morzine ยังตอกย้ำอีกมุมงานปี 2026 ระบุ Ultra Worlds และ Trifecta Weekend ปลายทางยุโรปรับช่วงจากปี 2025 อย่างต่อเนื่องรูปแบบนี้สะท้อนแนวคิดโรเตชันของปลายทางเมืองเจ้าภาพหมุนเปลี่ยนเพื่อขยายฐานนักกีฬา

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ “จับต้องได้”

ตัวเลขจากรัฐบาลไทยระบุภาพรวมชัดเจนซีรีส์ปี 2568 คาดเม็ดเงิน 1,500 ล้านบาท นักกีฬาต่างชาติเดินทางเข้าร่วมจำนวนมากโรงแรมและบริการท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์ทันทีตัวเลขนี้เป็นฐานอ้างอิงที่มีนัยต่อเชียงราย

เมื่อโยงกับโครงสร้างเมืองเชียงราย รายได้กระจายสู่ที่พัก ร้านอาหาร และชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่นรับโอกาสจากอุปสงค์ใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬาเติบโตต่อเนื่อง เมืองจึงได้ทั้งชื่อเสียงและรายได้ยั่งยืน

จาก “สนามภาคเหนือ” สู่ “เจ้าภาพโลก”

ไทยเริ่มสะสมประสบการณ์จากหลายเมืองหัวหินสร้างความเชื่อมั่นด้านออแกไนซ์ เขาใหญ่เพิ่มมิติสนามภูเขาอย่างเข้มข้น. เชียงใหม่เตรียมจัด Trifecta ปลายปี 2568 ภาคเหนือจึงถูกจับตาในฐานะภูมิภาคศักยภาพ

เชียงรายก้าวตามด้วยแผนเสนอสิทธิ์หลายปีทีมจังหวัดทำการบ้านตามกรอบสากลใช้วิธีประเมินพื้นที่และโครงสร้างรองรับวางผังสนามท้าทายแต่ปลอดภัยตามมาตรฐาน ร่วมมือเอกชนและชุมชนอย่างเป็นระบบ

สตอรี่จึงค่อยๆ พาไปสู่แกนหลักเมืองพร้อมทั้ง “สถานที่จริง” และ “ทีมงานจริง”เป้าคือมาตรฐานระดับโลกที่ตรวจสอบได้เมืองต้องผ่านเงื่อนไขด้านความปลอดภัยเข้มงวดและต้องบริหารประสบการณ์ผู้ชมได้ราบรื่น

ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

กำหนดการชิงแชมป์โลกปี 2026–2028. Spartan มีสิทธิ์ปรับประเภทและปลายทางผู้เกี่ยวข้องต้องอ้างอิงประกาศบนเว็บไซต์หลักสื่อโซเชียลอาจเป็นเพียงการสื่อสารเบื้องต้น การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่ Spartan Globalกระบวนการเสนอสิทธิ์ของเชียงรายจังหวัดเผยภาพรวมการประชุมเตรียมพร้อมแล้ว ต้องจัดทำข้อเสนอด้านความปลอดภัยและโลจิสติกส์. ต้องมีแผนบริหารสิ่งแวดล้อมและมรดกท้องถิ่น และต้องสะท้อนผลประโยชน์สู่ชุมชนตัวชี้วัดผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยมีกรอบประเมินของหน่วยงานไมซ์อยู่แล้วข้อมูลการออดิทช่วยยืนยันความคุ้มค่า เมืองควรตั้ง KPI ด้านรายได้และการจ้างงานรวมถึงความพึงพอใจของนักกีฬาและผู้ชม

ข้อเสนอเชิงนโยบายและปฏิบัติการ

เชื่อมแบรนด์เมืองกับแบรนด์รายการ สร้างธีม “Chiang Rai Sport Destination” ผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นกับดีไซน์สนามสร้างเอกลักษณ์ที่จดจำได้ในทันที.

บริหารฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างชาญฉลาดวางวันแข่งให้สอดรับฤดูกาลกระจายกิจกรรมสู่ชุมชนโดยรอบทำแพ็กเกจท่องเที่ยวที่เชื่อมหลายอำเภอ

ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอัพเดตโปรโตคอลด้านการแพทย์และกู้ภัยซ้อมแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ใช้เทคโนโลยีติดตามนักกีฬาที่โปร่งใส.

สร้างคนและอาสาสมัครท้องถิ่นเปิดคอร์สอบรมตามมาตรฐานผู้จัดระดับโลกพัฒนาเส้นทางอาชีพด้านอีเวนต์กีฬา. ต่อท่อบุคลากรสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว

สื่อสารเชิงข้อมูลแบบเรียลไทม์ตั้งศูนย์ข้อมูลสาธารณะหลายภาษาอัปเดตเส้นทางจราจรและบริการขนส่ง เปิดแดชบอร์ดสถิติผู้ร่วมงานแบบโปร่งใส

บทสรุป

เชียงรายกำลัง “สตาร์ตเครื่อง” สู่เจ้าภาพโลก. เมืองแสดงความพร้อมทั้งภูมิประเทศและระบบรองรับ. การประชุมล่าสุดยืนยันความตั้งใจของจังหวัดแต่การได้สิทธิ์ยังรอประกาศทางการของ Spartan ดังนั้น การสื่อสารต้องเที่ยงตรงและตรวจสอบได้

หากเชียงรายได้สิทธิ์สามปีจริงเมืองจะยกระดับสู่ปลายทางกีฬาในเอเชีย เศรษฐกิจท้องถิ่นจะได้รับผลเชิงบวกชัดเจน. ชุมชนจะได้ส่วนแบ่งโอกาสจากนักท่องเที่ยวคุณภาพ. และประเทศไทยจะเด่นชัดในแผนที่กีฬาโลก.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. ข่าวเปิดตัว Spartan Race Thailand 2025. Royal Thai Government
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อนาคตเชียงราย 472 ความเห็นชี้ทางเทศกาลปลายปี ต้องดุลยภาพระหว่างเมืองและท่องเที่ยว

เทศกาลปลายปีเชียงราย” จะไปต่อแบบไหน? ถอดบทเรียนจากเสียงประชาชน 472 ความเห็นเชื่อมข้อมูลท่องเที่ยวและความปลอดภัย สู่ทางเลือกที่ยั่งยืน

เชียงราย, 13 สิงหาคม 2568 — “ถ้าปลายปีเชียงรายไม่จัด ‘เทศกาลดอกไม้’ ควรเปลี่ยนเป็นเทศกาลอะไรดี?” คำถามปลายเปิดจากเพจ นครเชียงรายนิวส์ โพสต์เมื่อ 10 สิงหาคม กลายเป็นจุดสตาร์ทย่อยๆ ที่ปลุกให้คนเมืองและชาวเชียงรายบางส่วนได้ออกมาแสดงความเห็นแบบหลากหลายทั้งสนับสนุนให้จัดต่อ ปรับรูปแบบ หรือเปลี่ยนใหม่ไปเลย สะท้อนความคาดหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวท้องถิ่นในฤดูไฮซีซันปลายปี

เพียงไม่กี่ชั่วโมง โพสต์ดังกล่าวมียอดแสดงความเห็นรวม 472 คอมเมนต์ พร้อมปฏิกิริยาและการแชร์อีกจำนวนมาก แม้จะเป็น “แบบสำรวจไม่เป็นทางการ” แต่ปริมาณการมีส่วนร่วมที่สูงพอสะท้อนพลังการถกเถียงที่กว้างขวางและสำคัญยิ่งสำหรับหน่วยงานที่กำลังคลิกเครื่องวางแผนงบประมาณ และโปรแกรมกิจกรรมฤดูท่องเที่ยวปลายปีของจังหวัด

จาก 472 ความเห็น 5 เส้นเรื่องใหญ่

เมื่อนำสาระจากคอมเมนต์ทั้งหมดมาคลี่เป็นประเด็น จะพบ “5 เส้นเรื่อง” ที่ประชาชนพูดถึงมากที่สุด เรียงจากมากไปน้อย ดังนี้

  1. โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค — กลุ่มนี้เสนอให้ “หยุด-พัก” งบเทศกาล แล้วหันไปอุด “คอขวดเมือง” แทน ตั้งแต่ถนน หลุมบ่อ ฟุตพาท ระบบระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม ไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดในจุดเสี่ยง โดยมีเสียงย้ำเรื่อง “ปลอดภัย เดินง่าย ใช้ได้จริง” เป็นธงนำ
  2. เทศกาลรูปแบบใหม่ — แนวคิดแตกแขนงหลากหลาย ตั้งแต่งานดนตรีริมโขง คอนเสิร์ต K-pop/T-pop เทศกาลศิลปะร่วมสมัย สตรีทอาร์ต เทศกาลอาหารชากาแฟ จนถึงมหกรรมกีฬา สะท้อนภาพจำ “เมืองศิลปะธรรมชาติกาแฟ” ที่เชียงรายสั่งสมมานาน
  3. จัด “เทศกาลดอกไม้” ต่อ แต่ปรับปรุง — เหตุผลหลักคือ “เป็นแบรนด์ของเมืองแล้ว” ข้อเสนอเชิงรูปธรรม เช่น รวมจัด “ที่เดียว-ให้ยิ่งใหญ่” เพิ่มกิจกรรมวัฒนธรรม จุดพลุ แผนการเดินทางจราจรที่จอดรถ และปรับการสื่อสารการตลาดให้ทันสมัยขึ้น
  4. กระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว — เน้นว่าช่วงปลายปีคือ “โอกาสทอง” ของผู้ประกอบการ ต้องมี “กิจกรรมแม่เหล็ก” ดึงคนเข้าเมือง พร้อมเสียงเรียกร้อง “โควตาพื้นที่ขายให้คนท้องถิ่นก่อน” เพื่อให้รายได้กระจายจริง
  5. อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น — เสนอเทศกาลชาติพันธุ์ล้านนาชนเผ่า ประเพณียี่เป็ง รำวงพื้นบ้าน และการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์เมือง เพื่อ “ยึดโยงอัตลักษณ์” ควบคู่การท่องเที่ยว

คำถามชวนคิด: เมื่อเสียงส่วนหนึ่งเรียกร้องให้โยกงบเทศกาลไปแก้ “พื้นฐานเมือง” และอีกส่วนอยากได้ “งานแม่เหล็ก” เพื่อรายได้ช่วงไฮซีซันเชียงรายจะสร้าง “ดุลยภาพ” ระหว่าง คุณภาพชีวิตคนเมือง กับ ภาพจำปลายปี ได้อย่างไร?

ภูมิทัศน์ท่องเที่ยวตัวเลขบอกอะไรเรา

ระดับประเทศ. ปี 2567 (ค.ศ.2024) ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 35.54 ล้านคน รายได้รวมจากการท่องเที่ยว (ต่างชาติ + ไทยเที่ยวไทย) ประมาณ 2.62 ล้านล้านบาท สัญญาณฟื้นตัวชัดเจนเมื่อเทียบปีก่อน แม้ยังต่ำกว่าเป้าหมายบางหน่วยงาน แต่สะท้อนอุปสงค์กลับมาเด่นชัดและฐานเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยยังแข็งแรงในภาพรวม

ระดับจังหวัด. ฝั่งเชียงรายเอง ข้อมูลอัปเดตจากภาครัฐระบุว่า รายได้จากการท่องเที่ยวปี 2567 ติดท็อป 10 ของประเทศ อยู่ที่ประมาณ 49,420 ล้านบาท (อันดับ 9) แสดงศักยภาพของเมืองที่ไม่ได้พึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียว แต่ยืนบนฐานนักท่องเที่ยวไทยและเส้นทาง-ประสบการณ์หลากหลายที่กระจายทั่วทั้งจังหวัด

สัญญาณอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจเชียงราย. เมืองยังมี “สินทรัพย์วัฒนธรรม-ธรรมชาติ-งานศิลป์” เป็นแม่เหล็ก ทั้ง วัดร่องขุ่น และ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ที่ยืนยันภาพ “เมืองศิลปะร่วมสมัย” ควบคู่กับแลนด์สเคปภูเขา ไร่ชา และวิถีชนเผ่า

ปฏิทินเทศกาลจาก “ดอกไม้ปลายปี” สู่พหุเทศกาล

เพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ควรเห็นภาพ “แพลตฟอร์มเทศกาล” ทั้งปีโดยเฉพาะ ครึ่งหลังของปี ที่เป็นหน้าหนาวและท่องเที่ยวคึกคัก

  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียน เชียงราย: งานดอกไม้เชิงพฤกษศาสตร์ช่วง ธ.ค.–ม.ค. ที่ “สวนไม้งามริมกก” เพิ่มน้ำหนักด้านการเรียนรู้และเครือข่ายอาเซียน มากกว่าเชิงตกแต่งล้วนๆ
  • งานเชียงรายดอกไม้งาม: เทศกาลดอกไม้ “แบรนด์เมือง” ที่คนจดจำ จัดช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงก.พ. เป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่มีมูลค่าทางอารมณ์สูง หากปรับวิธีบริหารจัดการให้ยั่งยืน จะยิ่งทวีคูณผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์

แกนคิดสำคัญ การบริหารพอร์ตอีเวนต์ที่ ไม่ทับซ้อนกัน และ ไม่กินงบกันเอง จึงสำคัญกว่าการถกเถียงแบบ “เอา-ไม่เอา” งานใดงานหนึ่ง

มิติความปลอดภัย เหตุผลที่ “เชียงราย” น่าสนใจในสายตาโลก

ปัจจัยความปลอดภัย โดยเฉพาะ ความปลอดภัยเชิงเพศสภาพ กำลังกลายเป็นตัวชี้ขาดเส้นทางการท่องเที่ยวและการอยู่นานของดิจิทัลโนแมด งานศึกษาของ Holidu (แพลตฟอร์มท่องเที่ยวในยุโรป) จัดทำ ดัชนีเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง จากหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเวลาเดินคนเดียวกลางคืน ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง/ชาวต่างชาติ อัตราส่วนเพศในชุมชนโนแมด และกฎหมายคุ้มครองจากการคุกคามในที่ทำงาน—โดยผลลัพธ์หนึ่งระบุว่า เชียงรายติดอันดับ 2 ของโลก รองจากไทเป ในปีล่าสุดที่มีการเผยแพร่ ซึ่งเป็น “ตราประทับ” ด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการตลาดเมืองในยุคโนแมดกำลังเติบโต

นอกจากภาพลักษณ์ระดับโลก สิ่งที่หน่วยงานท้องถิ่นทำได้ทันที คือการ ย้ำมาตรการความปลอดภัยผ่านบริการที่จับต้องได้ เช่น ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center) และงานตำรวจท่องเที่ยวเชิงรุกในย่านท่องเที่ยว/งานเทศกาล ตลอดจนการสื่อสารหลายภาษาเพื่อแปลง “อันดับ” ให้เป็น “ประสบการณ์จริง” ของผู้มาเยือน

ข้อเสนอทางปฏิบัติ (เชิงความปลอดภัยงานเทศกาล)

  • จัดทำ เส้นทางปลอดภัย (Safe Walk) และจุด SOS ในลานกิจกรรม
  • เพิ่มไฟส่องสว่าง-กล้องวงจรปิดในจุดมืด พร้อมจุดสังเกตง่าย
  • จัดเวรยามอาสาสมัครชุมชนและทีมแพทย์สนาม
  • เปิดข้อมูลเหตุการณ์-การตอบสนองแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนรับรู้ (“Open Safety Dashboard”) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นล่วงหน้า

ทางเลือกเชิงนโยบายเมื่อ “เทศกาล” คือเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย

1) โมเดล “เทศกาลหลัก 1 + ดาวเทียมหลายจุด”
แทนที่จะจัดหลายเทศกาลใหญ่ทับซ้อนในเมืองเดียว เสนอให้ยกระดับ “งานดอกไม้” เป็น Flagship ที่เดียว ยกระดับคุณภาพการจัด-ระบบจราจร-การเข้าถึง-ศิลปกรรมร่วมสมัยและใช้ “งานดาวเทียม” กระจายรอบจังหวัดเชื่อม ชุมชนกาแฟ-ศิลปะ-ชาติพันธุ์ ให้เกิด เส้นทางท่องเที่ยว ที่คนใช้เวลาในจังหวัดได้นานขึ้น และกระจายรายได้ดีขึ้นพร้อมขนส่งสาธารณะเฉพาะกิจช่วงพีกที่เชื่อมตัวเมืองกับจุดกระจาย

2) จัดสรรงบ “เทศกาล 70: เมือง 30”
ตอบโจทย์สองฝ่ายด้วยการกันงบ 30% เพื่อโครงสร้างพื้นฐานด่วน ในย่านท่องเที่ยวที่ชาวบ้านใช้งานจริง ฟุตพาท ทางข้ามคนเดินเท้า ไฟส่องสว่าง กล้องฯ และระบายน้ำ โดยสื่อสารให้สังคมเห็น “ผลงานจับต้องได้” ควบคู่แผนงานเทศกาลจะช่วยลดแรงเสียดทานทางสังคมและสร้างทุนทางความไว้วางใจ

3) เทศกาลเนื้อหา (Content Festival) แทนงานก่อสร้างหนาแน่น
ลดการใช้ดอกไม้สดจำนวนมาก เพื่อความยั่งยืนและต้นทุนหันไปเน้น คอนเทนต์ศิลปะเทคโนโลยีแสงเสียงเรื่องเล่าเมือง และ อีเวนต์เชิงความรู้ เช่น เสวนา “เมืองศิลปะและท่องเที่ยวยั่งยืน” เวิร์กช็อปศิลปะร่วมสมัย เวทีโชว์งานคราฟต์ชาติพันธุ์สิ่งเหล่านี้ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการตกแต่งมวลดอกไม้ แต่ให้ “คุณค่าจดจำ” สูงกว่าและยืดอายุการใช้งานเนื้อหาออนไลน์

4) การตลาดเชิงหัวข้อใหม่ (New Angles)
ต่อยอดความปลอดภัยและภาพลักษณ์ “เมืองทำงานได้เที่ยวง่าย” ด้วยแพ็กเกจ Workation/Remote Year สำหรับกลุ่มดิจิทัลโนแมดหญิงและครอบครัว โรงเรียนระยะสั้น ค่ายเด็ก กิจกรรมธรรมชาติควบคู่การสื่อสาร “Safety First City”—ให้เชียงรายเป็น จุดหมายปลายทางที่รู้สึกปลอดภัย ตั้งแต่วินาทีที่วางแผนจนกลับบ้าน

ประชาชนได้อะไร ถ้าตัดสินใจ “ถูกแกน” ตั้งแต่วันนี้

เมืองเดินได้-อยู่ดีขึ้น งบเทศกาลที่ออกแบบควบคู่การซ่อมเมือง จะทำให้ฟุตพาท ทางข้าม และไฟส่องสว่างดีขึ้นถาวรประชาชนใช้ได้ทุกวัน มิใช่เฉพาะช่วงอีเวนต์ รายได้กระจายไป “รอบนอก” เมื่อเทศกาลหลักโยงเส้นทางนอกเมือง ไร่ชา ดอย ชุมชนกาแฟ ชาติพันธุ์ ร้านเล็กๆ โฮมสเตย์ และบริการขนาดย่อมจะมีลูกค้าเพิ่มเงินกระจายกว้างขึ้น ลดการกระจุกตัว ภาพจำจังหวัดชัดขึ้น เชียงรายไม่เพียง “สวยเพราะดอกไม้” แต่ “สวยเพราะเรื่องเล่าศิลปะวัฒนธรรมปลอดภัย” ซึ่งแปลงเป็นข้อได้เปรียบระยะยาว ดึงคนคุณภาพและกลุ่มครอบครัวกลับมาเยือนซ้ำต้นทุนสิ่งแวดล้อมลดลง การย้ายจาก “มหกรรมดอกไม้สดมวลมาก” ไปสู่ “คอนเทนต์เทคโนโลยีศิลปะร่วมสมัย” ช่วยลดขยะ ลดการใช้น้ำ ลดพลังงาน และทำให้งาน “สเกลได้” โดยไม่ขยายภาระ

มอนิเตอร์ภาพลักษณ์ออนไลน์

โพสต์ถามใจคนเชียงรายเพียงหนึ่งโพสต์จุดกระแสให้เห็น “เส้นเลือดใหญ่ของเมือง” ที่วิ่งควบคู่กันอยู่เสมอ คือ เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-คุณภาพชีวิต ถ้าต้องเลือกระหว่าง “จัดไม่จัด” เทศกาลคำตอบอาจเป็น “จัดให้ตรงแกน” มากกว่าจัดแบบพอเหมาะ พอเพียง สื่อสารเรื่องเล่าของเมืองอย่างมีสไตล์ เชื่อมเส้นทางเที่ยวทั้งจังหวัด เกลี่ยงบไปซ่อมเมืองที่คนใช้จริง และตอกย้ำมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้ “ประสบการณ์จริง” สอดคล้องกับ “ภาพลักษณ์โลก” ที่เชียงรายได้บนเวทีสากล

ท้ายที่สุด เทศกาลคือ เครื่องมือ ไม่ใช่ เป้าหมายเครื่องมือที่ดีต้องทำให้คนอยู่ดีขึ้น เมืองยั่งยืนขึ้น และเศรษฐกิจกระจายกว้างขึ้น หากเชียงรายจัดสมดุลสามขานี้ได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ เมืองก็มีสิทธิ์กลายเป็น ต้นแบบการจัดเทศกาลเชิงคุณภาพ ของภาคเหนือได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการท่องเที่ยวไทย ปี 2567: “ภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยว 2.62 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.54 ล้านคน” โดย ฐานเศรษฐกิจ สรุปจากข้อมูลหน่วยงานด้านท่องเที่ยว (เข้าถึง ส.ค. 2568)
  • ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2024: รายการสถิติ “Tourism in Thailand” (อัปเดตปี 2025) รวมตัวเลขสิ้นปี 2024 เพื่อการอ้างอิงสากล (ใช้ตรวจทานข้ามแหล่ง)
  • รายได้ท่องเที่ยวจังหวัด ปี 2567 (Top 10): ประกาศอ้างอิงข้อมูลกรมการท่องเที่ยว ระบุ “เชียงราย 49,420.04 ล้านบาท” (อันดับ 9) เผยแพร่ มี.ค. 2568
  • Holidu Magazine ว่าด้วย “เมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง” ระบุไทเปอันดับ 1 และเชียงรายอันดับ 2 (อ้างอิงชุดข้อมูลจากแพลตฟอร์มโนแมด)
  • โพสต์จากสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ วันที่ 10 สิงหาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไร่เชิญตะวันหมุดหมายใหม่! ขึ้นสถานะวัดอย่างเป็นทางการ ชูบทบาทศูนย์กลางธรรมะสู่สังคม

วัดไร่เชิญตะวัน” ขึ้นสถานะเป็นวัดอย่างเป็นทางการ หมุดหมายใหม่ของศาสนสถานร่วมสมัย สะท้อนพลังศรัทธา การบริหารจัดการที่โปร่งใส ขับเคลื่อนบทบาทศูนย์กลางธรรมะสู่สาธารณะ

เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568“วิหารดิน” วิปัสสนาคารนานาชาติ อันเป็นหัวใจของ “ไร่เชิญตะวัน” ที่ผู้คนคุ้นในฐานะศูนย์วิปัสสนาสากลก่อตั้งโดยพระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) วันนี้บรรยากาศเคร่งขรึมกว่าทุกคราว เมื่อ “ตราตั้งวัด” ถูกส่งมอบอย่างเป็นทางการต่อหน้าคณะสงฆ์ ข้าราชการฝ่ายบ้านเมือง และพุทธศาสนิกชนที่ร่วมเป็นสักขีพยานจารึกอีกหน้าประวัติศาสตร์ของศาสนสถานร่วมสมัยในภาคเหนือ

ตามข้อมูลจากหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัด ระบุว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานมอบ “ใบตราตั้งวัด” แก่ “วัดไร่เชิญตะวัน” เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 สิงหาคม 2568 การมอบตราตั้งมีความหมายเชิงนิติกรรมทางศาสนาและกฎหมาย เพราะคือขั้นตอนยืนยันว่า “ศูนย์ปฏิบัติธรรม” ที่ทำงานสาธารณะมาเนิ่นนาน ได้รับการรับรองเป็น “วัดในพระพุทธศาสนา” สมบูรณ์พร้อมด้วยสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และคณะสงฆ์ในพื้นที่กำกับติดตามด้านการปกครองคณะสงฆ์ต่อไป

จุดเปลี่ยนจาก “ศูนย์วิปัสสนา” สู่ “วัด”  นัยสำคัญต่อสังคมและการบริหารจัดการ

ทำไม “การเป็นวัดอย่างเป็นทางการ” จึงสำคัญ? ในทางปฏิบัติ การได้รับตราตั้งวัดคือการรับรองสถานะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้ศาสนสถานมีกรอบอำนาจหน้าที่ชัดเจนในการจัดการศาสนสมบัติ การแต่งตั้งภิกษุผู้ปกครองวัด การอนุญาตก่อสร้างซ่อมแซมถาวรวัตถุ ไปจนถึงการจัดระเบียบกิจกรรมทางศาสนาและงานเผยแผ่ธรรมะให้สอดคล้องกับกฎหมายและธรรมวินัย ซึ่งทั้งหมดพ่วงมากับ “ความโปร่งใสตรวจสอบได้” ที่ภาครัฐและสาธารณะคาดหวัง  

 “ไร่เชิญตะวัน” โดดเด่นบนสองเสาหลักงานจิตภาวนาและงานศิลปวัฒนธรรมที่ถูกออกแบบให้เข้าถึงผู้คนยุคใหม่ ผ่านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย การจัดค่ายเยาวชน นิทรรศการศิลปะ และเวทีสาธารณะว่าด้วยพุทธปัญญาสันติภาพ อันเป็นลายเซ็นทางความคิดของพระเมธีวชิโรดมตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งเมื่อกว่าทศวรรษก่อน

จากการจัดสรรที่ดินเขตวัด สู่ความพร้อมด้านกายภาพ

ก่อนมาถึงวันนี้ มี “งานหลังบ้าน” จำนวนมากที่ต้องเดินบนกติกา เช่น การจัดสรรพื้นที่เป็น “เขตสังฆาวาส–เสนาสนะ” และการกำหนดขอบเขตวัดภายใต้การเห็นชอบของหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดและส่วนกลาง โดยในปี 2567 มีข่าวความคืบหน้าสำคัญว่าหน่วยงานเกี่ยวข้องผลักดันการกำหนดเขตวัดและพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมของไร่เชิญตะวัน เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเป็น “วัด” ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามครรลองงานศาสนสถานรัฐสงฆ์ร่วมกำกับ

การมีเขตวัดชัดเจนไม่เพียงช่วยให้การสร้างซ่อมแซมอาคารเสนาสนะเป็นระบบ แต่ยังเอื้อต่อการวางแผนผังพื้นที่รองรับกิจกรรมสาธารณะ การดูแลทรัพย์สินของวัดอย่างถูกต้อง และการเชื่อมต่อบริการสาธารณูปโภคของรัฐในฐานะ “สถานที่ราชการทางศาสนา” ที่ได้รับการรับรอง

มองผ่านมุมประชาชน ได้อะไรเมื่อวัดมี “สถานะครบ”

  1. ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการสาธารณะ  ผู้มาปฏิบัติธรรมร่วมกิจกรรมย่อมมั่นใจในมาตรฐานการจัดการและการกำกับดูแลของวัด ทั้งด้านความปลอดภัย กฎระเบียบ และจริยธรรมของบุคลากรในวัด
  2. ความโปร่งใสทางการเงินและทรัพย์สิน  โครงสร้างบัญชีทรัพย์สินของวัดต้องอยู่ภายใต้กติกาและการตรวจติดตามของหน่วยงานรัฐและคณะสงฆ์ ลดช่องว่างความคลุมเครือ
  3. การพัฒนาพื้นที่และเศรษฐกิจชุมชน  วัดที่เป็นจุดหมายทางศาสนาวัฒนธรรมมีอานิสงส์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสุขภาวะ ส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่น โรงแรมโฮมสเตย์สินค้าโอทอป ฯลฯ
  4. บทบาทด้านการศึกษาเยาวชน การมีสถานะวัดช่วยจัดหลักสูตรกิจกรรมเยาวชนได้เป็นระบบ เช่น ค่ายพุทธบุตร การเรียนรู้ศิลปะพุทธศิลป์ ภายใต้กรอบความร่วมมือกับโรงเรียนและหน่วยงานรัฐในพื้นที่
  5. ความเชื่อมโยงเครือข่ายศาสนาวัฒนธรรม  วัดสามารถทำเอ็มโอยูกับสถาบันการศึกษาวัฒนธรรมในต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น ดึงทุนความรู้ใหม่ ๆ มาช่วยออกแบบกิจกรรมสาธารณะ

สองความคาดหวังใหญ่หลัง “ได้ตราตั้ง”

ยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาลวัด
ปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญโจทย์ “วัดร้างวัดขาดคนดูแล” และการบริหารทรัพย์สินวัดที่ต้องเพิ่มความโปร่งใส ข้อมูลภาครัฐระบุว่ามี “วัดร้าง” หลายพันแห่งทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนความท้าทายด้านทรัพยากรบุคคลของคณะสงฆ์และชุมชนในบางพื้นที่ การที่วัดไร่เชิญตะวันลุกขึ้นมาเป็น “วัดร่วมสมัยที่มีระบบจัดการเข้ม” จะเป็นต้นแบบวัดที่เข้มแข็งและทำงานเชิงรุกกับสังคมได้

ใช้ทุนทางศิลปะสื่อสารสาธารณะขยายความหมายของพุทธปัญญา

ไร่เชิญตะวันก่อรูปแบรนด์ “ธรรมะร่วมสมัย” ผ่านสื่อนิทรรศการกิจกรรมสาธารณะมาโดยตลอด เมื่อขึ้นสถานะเป็นวัด ความร่วมมือด้านวิชาการ ศิลปะ และนวัตกรรมเพื่อสังคมสามารถขยายผลในนาม “วัด” ที่มีภารกิจชัดเจน มีระบบกำกับดูแล และเชื่อมโยงเครือข่ายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

บทเรียนความโปร่งใสเดินบนข้อเท็จจริงและกติกาเดียวกัน

ปีที่ผ่านมา พื้นที่สาธารณะถกเถียงประเด็นวัดร่วมสมัยที่ดินการก่อสร้างอาคารเสนาสนะในหลายกรณี สะท้อนความคาดหวังของสังคมต่อ “วัดแบบใหม่” ที่ต้องยึดความโปร่งใสทั้งในชั้นเอกสาร ระเบียบกฎหมาย และการสื่อสารชี้แจงต่อสาธารณะ การเดินหน้าด้วยข้อมูลและกรอบกฎหมายเดียวกันของรัฐ–สงฆ์–ประชาชนจึงเป็นคำตอบสำคัญ การมีตราตั้งวัดทำให้ “กลไกตรวจสอบกำกับดูแล” ทำงานได้จริงยิ่งขึ้น และลดความคลุมเครือเชิงสถานะ

จาก “ความศรัทธา” สู่ “สาธารณประโยชน์ที่จับต้องได้”

“ตราตั้งวัด” ของวัดไร่เชิญตะวันคือสัญญะของสมการใหม่ “ศรัทธา + ธรรมาภิบาล” การก้าวสู่สถานะวัดอย่างเป็นทางการช่วยยกระดับความโปร่งใสและความเชื่อมั่น ขณะที่ทุนทางความคิดศิลปะการสื่อสารของวัดสามารถขยายผลสาธารณะได้ไกลขึ้น หากหลังจากนี้ วัดสามารถวางระบบข้อมูลเปิด การมีส่วนร่วม และความร่วมมือกับภาครัฐ–ท้องถิ่น–วิชาการอย่างจริงจัง ย่อมทำให้ “วัดร่วมสมัย” แห่งเชียงรายนี้ กลายเป็นกรณีศึกษาเชิงบวกของศาสนสถานไทยในศตวรรษที่ 21ที่ไม่เพียงพึ่งศรัทธา แต่ยืนอยู่บนหลักฐาน กติกา และผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • วัดไร่เชิญตะวัน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหลับใหล เมื่อผลงานประมูล 25.5 ล้านบาท สะท้อนพลังตลาดศิลปะไทย

ถวัลย์ ดัชนี” ศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหลับใหล: เมื่อผลงานประมูล 25.5 ล้านบาท สะท้อนพลังตลาดศิลปะไทยที่สวนกระแสโลก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – “บ้านดำ” พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สร้างโดยถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เติบโตมากับเรื่องราวของศิลปินผู้นี้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมล้านนา แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนรอบๆ สร้างสรรค์งานหัตถกรรมและศิลปะเพื่อขายให้นักท่องเที่ยว  ผลงานของถวัลย์ ดัชนี ถูกประมูลไปในราคา 25.5 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ให้วงการศิลปะไทย ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและตลาดศิลปะสากลหดตัวลงอย่างหนัก ทำไมตลาดศิลปะไทย โดยเฉพาะผลงานจากศิลปินเชียงรายอย่างถวัลย์ ดัชนี ถึงยังคงผงาดขึ้นได้

การประมูลที่สร้างสถิติและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดศิลปะไทย

การประมูลที่สร้างความฮือฮาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ที่ The Art Auction Center ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านประมูลชั้นนำของไทย ผลงานภาพวาด “Vitruvian Man” โดยถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ผู้เกิดและเติบโตในเชียงราย ได้ถูกประมูลไปในราคา 25.531 ล้านบาท (รวมค่าธรรมเนียม) ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดสำหรับการประมูลศิลปะไทยที่ไม่ใช่งานการกุศล ภาพนี้เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดใหญ่ 203 x 247.5 เซนติเมตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2511 ช่วงที่ถวัลย์เพิ่งกลับจากศึกษาต่อที่ Royal Academy of Art ในเนเธอร์แลนด์

ตามรายงานจาก The Art Auction Center ภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Vitruvian Man” ของ Leonardo da Vinci แต่ถวัลย์ได้ผสมผสานสัญลักษณ์ไทยอย่างรูปควายสามตัว ซึ่งตีความได้ว่าเป็นการสะท้อนถึงรากเหง้าของตัวเองและวัฒนธรรมไทย แม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ภาพนี้ถูกเก็บรักษาโดยครอบครัวชาวอเมริกันมานานกว่า 50 ปี ก่อนนำออกประมูล ทำให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ราวกับแคปซูลเวลา การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก โดยราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท และพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดสูงสุด

นอกจากนี้ ผลงานอื่นของถวัลย์ยังสร้างสถิติในเวทีสากล เช่น ภาพ “Scream of Sorrowful” ที่ประมูลได้ 775,644 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27.6 ล้านบาท) ที่ Christie’s Hong Kong ในปีเดียวกัน สถิติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนถึงตลาดศิลปะไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ตลาดโลกจะหดตัว ตามรายงาน The Art Market Report 2025 โดย Art Basel และ UBS Global Wealth Management ตลาดศิลปะโลกในปี 2024 หดตัวลง 12% เหลือมูลค่า 57.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ในเอเชีย โดยเฉพาะไทย ตลาดศิลปะกลับเติบโต ตามข้อมูลจาก Knight Frank Luxury Investment Index (KFLII) ซึ่งระบุว่าดัชนีการลงทุนหรูหราโลกติดลบ 3.3% ในปี 2024 โดยหมวดศิลปะหดตัวมากถึง 16-18% แต่ตลาดไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากราคายังเข้าถึงได้และมีนักสะสมในประเทศหนุนหลัง

ถวัลย์ ดัชนี “Batter of Mara / มารผจญ” (พ.ศ.2537) สีน้ำมันและทองคำเปลวบนผ้าใบ “ถวัลย์ได้พัฒนากระบวนการสร้างสรรค์ผลงานไปสู่การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสัญลักษณ์ของสัตว์และมนุษย์ การตีความเรื่องราวความเชื่อทางศาสนาเป็นโครงสร้างหลัก แล้วสื่อสารโดยใช้กระบวนการทางจิตรกรรมเป็นภาษาภาพ ด้วยรูปทรงสัญลักษณ์และตัวละครในรูปแบบเฉพาะตัวของศิลปิน เป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะประเพณีใหม่ที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ผลงาน “มารผจญ” แสดงให้เห็นถึงแนวทางดังกล่าว ด้วยภาพพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามแบบพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยอันเป็นประธานของภาพ สื่อถึงความนิ่งสงบไม่หวั่นเกรงต่อเหล่าสัตว์ร้ายที่ก่อกวนอยู่รายรอบ”

ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแส

นักวิเคราะห์อย่าง พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center ได้เปิดเผยในบทความของ Forbes Thailand ถึง 7 ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแส ซึ่งผมจะสรุปจากข้อมูลจริงดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักสะสมโลก: ตลาดโลกหดตัวเพราะผลงานราคาสูงเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลง แต่หันมานิยมศิลปะร่วมสมัยราคาย่อมเยา ศิลปะไทยส่วนใหญ่ยังราคาไม่ถึงหลักล้านดอลลาร์ จึงได้รับประโยชน์ ตามรายงาน Artprice ซึ่งชี้ว่าการขายออนไลน์ศิลปะเอเชียเพิ่มขึ้น 20% ในปี 2024
  2. กระแส Quiet Luxury: นักสะสมหันมาสนใจสิ่งที่สะท้อนรสนิยมลึกซึ้ง ไม่ใช่แบรนด์เนมทั่วไป งานศิลปะไทยตอบโจทย์นี้ โดยเฉพาะผลงานที่มีเรื่องราววัฒนธรรมอย่างของถวัลย์
  3. การลงทุนที่ผสมผสาน passion: ชาวไทยมองศิลปะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตัวอย่างเช่น ผลงานถวัลย์เพิ่มมูลค่าเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ตามข้อมูลจาก MutualArt
  4. ราคาที่มีศักยภาพเติบโต: เมื่อเทียบกับเวียดนามหรือสิงคโปร์ ศิลปะไทยยังราคาต่ำกว่า 2-3 เท่า ทำให้มีโอกาสขึ้นราคาได้อีกมาก
  5. นักสะสมรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น: จากเดิมจำกัดกลุ่มนักธุรกิจ ตอนนี้ขยายสู่คนรุ่น millennials และ Gen Z โดย 40% ของนักสะสมใหม่ในไทยอายุต่ำกว่า 40 ปี ตามสำรวจของ Bangkok Art Auction Center
  6. พลังจากภาคเอกชน: แม้รัฐบาลจะสนับสนุนน้อย แต่เอกชนอย่าง The Art Auction Center และ Nova Contemporary Gallery ที่เพิ่งขยายในปี 2025 ได้จัดงานอีเวนต์มากขึ้น สร้างดีมานด์
  7. ชาตินิยมในนักสะสมไทย: นักสะสมไทยกว่า 80% เลือกซื้อผลงานศิลปินไทย และมักชนะประมูลผลงานที่ออกนอกประเทศ สร้าง ecosystem ที่แข็งแกร่ง ตามรายงานจาก ISEAS-Yusof Ishak Institute

ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยในปี 2025 ตลาดศิลปะไทยคาดเติบโต 7-10% ตาม Thailand Art and Sculpture Market Report โดย 6Wresearch ซึ่งคาดการณ์ CAGR 7.3% จนถึงปี 2031

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนและประชาชนในเชียงราย

หากตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแสเช่นนี้ ชาวบ้านที่บ้านดำหรือหมู่บ้านศิลปินใกล้เคียงจะได้รับส่วนแบ่งอย่างไรหรือจะเป็นแค่ประโยชน์ของนักสะสมรวยๆ เท่านั้น การสร้างสถิติของถวัลย์ ดัชนี ซึ่งมีฐานที่มั่นในเชียงรายผ่าน “บ้านดำ” (Baan Dam Museum) อาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศิลปะให้เพิ่มขึ้น ตามสถิติจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ 60,000 ล้านบาท โดย 25% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรมและศิลปะ 

การเยี่ยมชมบ้านดำซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว 500,000 คนต่อปี หากข่าวการประมูลนี้แพร่กระจายในปี 2025 อาจเพิ่มนักท่องเที่ยวอีก 15-20% ตามแบบจำลองของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ซึ่งคาดว่าการท่องเที่ยวศิลปะในเอเชียจะเติบโต 8% ต่อปี 

เมืองท่องเที่ยวกับชนบทในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 15% หลังโควิด

ความเสี่ยงหากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการ อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การจราจรติดขัดในพื้นที่ดอยหรือการบุกรุกชุมชน จากรายงานของ Bank of Thailand ปี 2024 ช่องว่างรายได้ระหว่างเมืองท่องเที่ยวกับชนบทในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 15% หลังโควิด ดังนั้น รัฐบาลท้องถิ่นควรใช้โอกาสนี้ในการกระจายรายได้ เช่น จัด workshop ศิลปะให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่เจ้าของแกลเลอรีใหญ่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคตาม The Art Market Report 2025 ตลาดศิลปะไทยมีส่วนช่วย GDP ราว 0.5-1% ผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยว หากตลาดเติบโตต่อเนื่อง อาจสร้างงานใหม่กว่า 50,000 ตำแหน่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งมีศิลปินท้องถิ่นจำนวนมาก 

สำหรับชาวเชียงราย การวิเคราะห์จาก Forbes Thailand ชี้ว่า การประมูลสูงเช่นนี้จะยกมูลค่างานศิลปะท้องถิ่นให้สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น งานหัตถกรรมจากหมู่บ้านแม่จันอาจขายได้ราคาดีขึ้น 20-30% หากโปรโมทว่าได้รับแรงบันดาลใจจากถวัลย์ นายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2024 ว่า “ศิลปะไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ช่วยยกประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย THACCA ที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

หากเชียงรายใช้ชื่อเสียงของถวัลย์เป็นจุดขาย

การแข่งขันในเวทีโลกผลงานถวัลย์ที่ขายดีใน Christie’s แสดงว่าศิลปะไทยมีศักยภาพสากล แต่ต้องระวังการแข่งขันจากเวียดนามซึ่งตลาดเติบโต 15% ในปี 2024 หากเชียงรายใช้ชื่อเสียงของถวัลย์เป็นจุดขาย เช่น จัดเทศกาลศิลปะประจำปี อาจดึงนักลงทุนต่างชาติ สร้างงานในอุตสาหกรรมเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับศิลปะล้านนา โดยสรุปการวิเคราะห์ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน หากจัดการดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากรายได้เพิ่ม การพัฒนาทักษะ และชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกศิลปะสู่โอกาสชีวิตจริง

เรื่องราวของถวัลย์ ดัชนี เริ่มจากภาพวาดที่สร้างสถิติ และคลี่คลายสู่การเติบโตของตลาดศิลปะไทยที่สวนกระแสโลก สำหรับชาวเชียงราย โอกาสนี้หมายถึงการยกระดับชีวิตผ่านการท่องเที่ยวและธุรกิจสร้างสรรค์ หากทุกฝ่ายร่วมมือ มรดกนี้จะไม่ใช่แค่ของนักสะสม แต่เป็นของชุมชนทั้งหมด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บทความของ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center ใน Forbes Thailand
  • Nation Thailand, บทความเกี่ยวกับการประมูล Vitruvian Man (เครดิต: Nation Thailand)
  • Art Basel & UBS, The Art Market Report 2025 (เครดิต: Art Basel & UBS)
  • Knight Frank, Luxury Investment Index 2024-2025 (เครดิต: Knight Frank)
  • Christie’s, รายงานการประมูล Scream of Sorrowful (เครดิต: Christie’s)
  • 6Wresearch, Thailand Art and Sculpture Market Report (เครดิต: 6Wresearch)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News