Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มุมไบ–เชียงราย บินตรงใกล้จริง! IndiGo เล็งเปิดเส้นทาง หนุนอินเดียเที่ยวไทยพุ่ง

IndiGo เล็งเปิดบินตรง “มุมไบ–เชียงราย” ปักธงเมืองรองไทย หนุนนักท่องเที่ยวอินเดียแตะหลักหลายล้าน–ดัน CEI สู่ “ประตูภาคเหนือ”

เชียงราย, 28 กันยายน 2568 — กระแสข่าวจากเพจ Hflight ซึ่งเชี่ยวชาญข่าวด้านท่องเที่ยวและการบิน รวมรีวิวสายการบิน โรงแรม ร้านอาหารและท่องเที่ยว และทั้งฝั่งหน่วยงานกำกับดูแลการบินของไทยและรายงานสื่อกระแสหลัก สะท้อนภาพเดียวกันว่า IndiGo (รหัส 6E) สายการบินขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย กำลังพิจารณาเปิด “เส้นทางตรง มุมไบ (BOM)–เชียงราย (CEI)” ภายใต้ยุทธศาสตร์บุก Secondary Cities ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการเดินทางให้ชาวอินเดียที่กำลังซื้อสูงและเพิ่มศักยภาพรายได้ท่องเที่ยวให้ไทย โดยมี “เชียงราย” เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ถูกหยิบขึ้นหารือกับ CAAT อย่างเป็นทางการ และถูกระบุชื่อร่วมกับ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ ในแผนสำรวจเส้นทางใหม่ของสายการบินจากอินเดียรายนี้วันนี้ด้วย

จากห้องประชุมกำกับดูแล สู่หน้าต่างโอกาสของเมืองเหนือ

ต้นสัปดาห์นี้ ผู้บริหาร IndiGo ได้เข้าพบ พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เพื่อหารือความเป็นไปได้ของเส้นทางตรงสู่เมืองรองไทยหลายแห่ง โดยโพสต์ของ CAAT ระบุชัดถึง “ความประสงค์ขยายเส้นทางบินมายังประเทศไทย” พร้อมยกตัวอย่างเมืองเป้าหมายเชิงระบบที่ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ–ภูเก็ต แต่เป็นสนามบินภูมิภาคที่ไทยต้องการกระจายรายได้ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ซึ่งในลิสต์นั้น เชียงราย ถูก “ปักหมุด” เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญ

ในเชิงนโยบาย สัญญาณดังกล่าวสอดรับกับความพยายามของรัฐบาลไทยในการ “ดึงตลาดอินเดีย” ให้ขยายตัวต่อเนื่อง หลังปี 2024 ททท. ประกาศความสำเร็จ “ต้อนรับนักท่องเที่ยวอินเดียคนที่ 2,000,000” ที่สุวรรณภูมิ และปี 2025 แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของไทยจะอ่อนตัวลงบ้าง แต่บทบาทของตลาดอินเดียยังถูกประเมินว่าเป็น “แรงขับเคลื่อนหลัก” ที่สามารถชดเชยได้ในหลายช่วงฤดูกาล

ทำไม “BOM–CEI” มีเหตุผล ลดเวลาบินมากกว่า 50% ชนะทั้งเวลา–ความสะดวก

ปัจจุบัน การเดินทางจาก มุมไบ–เชียงราย ต้อง “ต่อเครื่องอย่างน้อย 1 ครั้ง” ส่วนใหญ่ผ่าน กรุงเทพฯ (BKK/DMK) ใช้เวลารวม อย่างต่ำราว 9 ชั่วโมง ขณะที่กรณี “บินตรง” ตามระยะทางจริงของเส้นทางนี้ ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที–4 ชั่วโมง เท่านั้น หมายถึง “ผู้โดยสารประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง” ความแตกต่างเรื่องเวลาเช่นนี้เป็นตัวแปรหลักที่กระตุ้นการตัดสินใจในตลาด Point-to-Point โดยเฉพาะนักเดินทางพักผ่อน กลุ่ม MICE และงานแต่งงานปลายทาง ที่ให้ความสำคัญกับความแน่นอนของตารางและการบริหารงบประมาณต่อหัว

ในเชิงฝูงบิน IndiGo ใช้ตระกูล Airbus A320neo/A321neo เป็นแกนหลักของโมเดลต้นทุนต่ำ (LCC) การนำเครื่องลำตัวแคบที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาบินช่วงระยะกลาง (ประมาณ 2,800–2,900 กิโลเมตร) ทำให้โครงสร้างต้นทุนต่อหน่วย (CASM) ต่ำเพียงพอที่จะตั้ง “ราคาเปิดตลาด” แข่งขันได้ ขณะเดียวกันยังสามารถรักษามาตรฐานเวลาหมุนกลับเครื่อง (turnaround) ที่รวดเร็วตามสูตรสำเร็จของ LCC ได้ด้วย

บทพิสูจน์ “Go-Beyond” เปิดกระบี่แล้วถึงคิวเมืองรองถัดไป

ไทม์ไลน์ปี 2025 แสดงให้เห็นว่า IndiGo ไม่ได้พูดถึงเมืองรองไทยไว้ลอย ๆ แต่ “ทำจริง” มาแล้วกับการเปิดเส้นทางตรงจาก มุมไบ/บังกาลอร์–กระบี่ เมื่อเดือนมีนาคม–เมษายน 2025 ตามข่าวและเอกสารเผยแพร่ของสายการบินเอง ความสำเร็จนี้ทำให้โมเดล “เมืองรองไทย” ของ IndiGo มีเคสอ้างอิง และเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเชียงรายสามารถเดินตามรอยได้ หากตัวแปรฝั่งโครงสร้างพื้นฐานสนามบินและอุปสงค์ตลาดขาเข้ารองรับเพียงพอ

เชียงรายพร้อมแค่ไหน AOT อนุมัติลงทุน 5.7 พันล้าน–ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพระยะยาว

ด้าน ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ผู้บริหาร AOT อนุมัติ “โครงการอาคารผู้โดยสารใหม่” วงเงิน 5.7 พันล้านบาท และวางพิมพ์เขียวให้พื้นที่ MRO ราว 50 ไร่ เพื่อเสริมขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศและกิจกรรมการบินที่ซับซ้อนกว่าเดิมในอนาคตอันใกล้ การเดินเครื่องลงทุนดังกล่าว แม้ต้องใช้เวลาพอสมควร คือ “สัญญาณบวก” ต่อสายการบินที่กำลังชั่งน้ำหนักเส้นทางใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เศรษฐศาสตร์ของเส้นทาง ความต้องการที่ถูกกักอยู่ และสิทธิประโยชน์ผู้บุกเบิก

ฐานตลาดอินเดีย ไปไทย “มีของจริง” รองรับอย่างชัดเจนปี 2024 แตะ 2 ล้านคน ส่วนปี 2025 แม้ภาพรวมต่างชาติของไทยลดลงตามฤดูกาลและภาวะเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขกลางปีสะท้อนว่าตลาดอินเดียยังขยายได้ดี และยังเป็นเป้าหมายในเชิง “คุณภาพรายได้ต่อหัว” สำหรับจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ของไทย หากเปิดบินตรงที่สะดวกกว่า

นอกจากนั้น เส้นทาง BOM–CEI ยังให้อานุภาพ First-Mover Advantage แก่ IndiGo เพราะ ยังไม่มีคู่แข่งบินตรง ในตลาดนี้ สายการบินจึงสามารถ “ออกแบบผลิตภัณฑ์และราคา” ได้ยืดหยุ่นกว่าการชนบนเส้นทางหลักที่มีผู้เล่นหนาแน่น เช่น มุมไบ–กรุงเทพฯ ทั้งฝั่ง FSC และ LCC การเริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ ปรับตามฤดูกาลท่องเที่ยวเหนือ (พฤศจิกายน–มีนาคม) จะช่วยจัดการ Load Factor และ Yield ในปีแรกได้อย่างระมัดระวัง

ผลประโยชน์ชุมชน จาก “เมืองผ่าน” สู่ “จุดหมาย” ของอินเดีย

เมื่อเส้นทางตรงเปิดใช้งาน เชียงราย จะเปลี่ยนสถานะจาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” เป็น “จุดหมายปลายทาง” ของนักเดินทางอินเดียอย่างเต็มตัว เครือโรงแรม รีสอร์ต ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และ MICE ในภาคเหนือจะได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งงานประชุม–ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–งานแต่งปลายทาง ขณะที่ห่วงโซ่ท่องเที่ยวตั้งแต่ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชน ไปจนถึงผู้ให้บริการขนส่งท้องถิ่น จะมีโอกาสเชื่อมโยงกับ “ตลาดอินเดีย” ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปค่อนข้างสูงเมื่อเทียบตลาดมวลชนอื่น

ความท้าทายที่ต้องจัดการ ภาคพื้น CEI–การสื่อสารตาราง–ฤดูกาลท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเส้นทางใหม่ขึ้นกับ “สามเงื่อนไข” สำคัญ

  1. ความพร้อมภาคพื้นสนามบิน แม้ AOT จะลงทุนขยาย CEI แล้ว แต่ในระยะเริ่มต้นจำเป็นต้องจัดการช่องตรวจคนเข้าเมือง/ศุลกากร/บริการโหลดกระเป๋าให้ไหลลื่นตามมาตรฐาน LCC เพื่อให้เวลาหมุนกลับเครื่องสั้นที่สุด (ตรงนี้ต้องออกแบบร่วมกันระหว่างสายการบิน–ผู้ให้บริการภาคพื้น–AOT)
  2. การสื่อสารตารางบินและโปรฯ เปิดตลาด กลยุทธ์ราคาช่วงเปิดเส้นทางต้อง “ชัดและต่อเนื่อง” เพื่อย้ายพฤติกรรมจากการต่อเครื่องผ่านกรุงเทพฯ สู่การใช้ไฟลต์ตรง รวมถึงความร่วมมือการตลาดกับ ททท. และพันธมิตร MICE ในอินเดีย
  3. ฤดูกาลท่องเที่ยภาคเหนือพีคช่วงปลายปี–ไตรมาสแรก การบริหารความถี่/ขนาดเครื่องบินช่วงนอกฤดู (พ.ค.–ก.ย.) ต้องใช้ Yield Management และรายได้เสริมบนเที่ยวบิน (Ancillary) มาช่วยพยุงผลประกอบการ

ตัวเลขที่ “บอกเรื่อง” บริบทการท่องเที่ยวปี 2025 และโอกาสของเส้นทาง

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ไทยช่วงมกราคม–กันยายน 2025 ลดลงราว 7.44% YoY อยู่ที่ 23.45 ล้านคน รัฐบาลหั่นคาดการณ์ทั้งปีเหลือ 33 ล้านคน แปลว่า “พื้นที่ว่าง” ในการกระตุ้นตลาดใหม่ยังมีอยู่มาก และตลาดอินเดียถูกวางบทบาทให้ช่วยอุดช่องว่างนี้ในเชิงนโยบาย 
  • อินเดีย–ไทย ปี 2024 แตะ 2 ล้านคน (เหตุการณ์ฉลอง 16 ธ.ค. 2024) คือฐานอุปสงค์ที่พิสูจน์แล้ว หากเพิ่มจุดหมายปลายทางที่บินตรงอย่าง เชียงราย ศักยภาพจะขยายได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพรายได้

คำกล่าวอ้างอิงเชิงนโยบาย (พิเศษ)

รายงานของสื่อไทยวันนี้ระบุท่าทีของ CAAT หลังการหารือว่า IndiGo “มองเมืองรองไทย” เพื่อช่วยผลักดันยอดนักท่องเที่ยวอินเดียเกิน 2 ล้านคน/ปี อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันโพสต์ทางการของ CAAT ยืนยันการเข้าพบของผู้บริหาร IndiGo และทิศทางการหารือเชิงบวกต่อ Udon Thani, Surat Thani, Hat Yai, Chiang Rai ซึ่งสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ “กระจายรายได้ท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค” ของไทยในระยะต่อไป

“CEI ยังเล็กไปหรือไม่” และ “AOT จะทันหรือเปล่า”

คำถามยอดฮิตคือ CEI จะรองรับไฟลต์ระหว่างประเทศประจำเพิ่มขึ้นได้แค่ไหน คำตอบเชิงโครงสร้างคือ “AOT อนุมัติแผนขยาย 5.7 พันล้าน” แล้ว และได้วางแนวทางพัฒนา MRO เสริมความมั่นคงด้านเทคนิคการบินในระยะยาว แม้ก่อสร้างจริงต้องใช้เวลา แต่สำหรับเฟสเปิดเส้นทางแรก ๆ การบริหารจัดการฝั่ง ภาคพื้น–ตรวจคนเข้าเมือง–ศุลกากร ให้สอดรับเวลาหมุนเครื่องของ LCC จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่า CEI พร้อม “รับแขกจากมุมไบ” แค่ไหนและนี่คือจุดที่หน่วยงานในพื้นที่กับสายการบินต้อง “ล็อกแผนร่วมกัน” ให้เร็วที่สุด

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (สำหรับทุกฝ่าย)

  • IndiGo เริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ กำหนดเวลาออกจาก BOM เช้ามืด–ถึง CEI ช่วงสาย เพื่อให้ผู้โดยสาร “เที่ยวได้เต็มวัน” และจัดโปรแกรม Joint Marketing กับ ททท./TCEB เจาะกลุ่ม Leisure + MICE + Destination Wedding
  • AOT/ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จัด Dedicated Lanes ตม./ศุลกากร และข้อกำหนดภาคพื้นสำหรับ LCC (SLA เวลาออก–เข้า–โหลดสัมภาระ) ช่วงเปิดเส้นทาง พร้อมสื่อสาร Passenger Journey ให้ชัดบนทุกช่องทางสนามบิน
  • CAAT พิจารณา “มาตรการจูงใจค่าธรรมเนียม” ระยะ 12–24 เดือนแรกสำหรับเส้นทางเมืองรอง และคงความต่อเนื่องมาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า/ดิจิทัลอไรวัล เพื่อคงแรงส่งตลาดอินเดีย

“มุมไบ–เชียงราย” ไม่ใช่เพียงเส้นตรงบนแผนที่ แต่คือ “สะพานเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม” ระหว่าง ภาคเหนือของไทย กับ มหานครการเงินของอินเดีย ถ้าทุกตัวแปรเครื่องบินที่เหมาะสม ราคาที่เข้าถึงได้ ภาคพื้นสนามบินที่พร้อม และนโยบายสนับสนุนถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกเวลา เส้นทางนี้จะเปลี่ยน เชียงราย จาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” สู่ “จุดหมายปลายทาง” ของชาวอินเดียอย่างแท้จริง และช่วยขับเคลื่อนตัวเลขท่องเที่ยวไทยในปีที่ความผันผวนสูงให้กลับมามีทิศทางที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • CAAT
  • IndiGo
  • Hflight
  • Thai/International Aviation News
  • TAT Newsroom & สื่ออินเดีย
  • Reuters
  • Flight-time reference
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตตะวันออกกลางเปิดช่อง! ผลไม้อบแห้งไทย-เชียงราย ผงาดตลาดโลก

โอกาสทองของผลไม้อบแห้งเชียงราย หลังภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนเกมตลาดโลก อินเดีย-ตะวันออกกลางสะเทือน เปิดช่องการค้าไทยในเวทีเอเชียใต้

เชียงราย, 23 มิถุนายน 2568 –ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของตลาดผลไม้อบแห้งทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าและบริโภคผลไม้อบแห้งอันดับต้นของโลก ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทั้งสองด้าน ได้แก่ สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทำให้เส้นทางโลจิสติกส์ในภูมิภาคตะวันออกกลางสะดุด และการปิดเส้นทางการค้าทางบกระหว่างปากีสถาน-อินเดีย ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายผลไม้อบแห้งจากอัฟกานิสถานและอิหร่านเข้าสู่อินเดียเกิดความล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าหลายรายการพุ่งสูงขึ้นถึง 100% ในเวลาไม่กี่เดือน

จากวิกฤตสู่โอกาสใหม่ – อินเดียปรับกลยุทธ์นำเข้า ผลักดันไทยขึ้นแท่นผู้เล่นสำคัญ

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ปัจจุบันอินเดียต้องรับมือกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่สั่นคลอน ไม่เพียงแต่เรื่องการขนส่งล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของโครงสร้างภาษีนำเข้า และการขาดความชัดเจนเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้า โดยเฉพาะกรณีสินค้าจากอัฟกานิสถานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางผ่านอิหร่าน ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนใหม่และความเสี่ยงในตลาดเพิ่มขึ้น

สถานการณ์นี้เองได้เปิดช่องว่างและโอกาสทางการค้าให้กับผู้ส่งออกจากนอกพื้นที่ความขัดแย้งโดยตรง เช่น ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกผลไม้อบแห้งสูงที่สุดในโลก โดยมีการขนส่งมากถึง 2,908 shipments ในปีที่ผ่านมา แม้อัตราการเติบโตจะหดตัวลงชั่วคราว แต่ด้วยภาวะขาดแคลนในตลาดอินเดียขณะนี้ การส่งออกจากไทยกลับขยายตัวสูงถึง 40% ในเดือนตุลาคม 2567

ช่องทางการเกษตรเชียงราย – ต้นน้ำโอกาสสู่ตลาดโลก

สำหรับจังหวัดเชียงรายเอง ถือเป็นแหล่งผลิตผลไม้เมืองร้อนและผลไม้อบแห้งสำคัญของไทย ทั้งมะม่วง กล้วย มะพร้าว ลิ้นจี่ ทุเรียนและผลไม้ท้องถิ่นอื่นๆ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการในพื้นที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย พร้อมรองรับตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ในมุมของโอกาสเชิงกลยุทธ์ ข้อมูลล่าสุดจากการนำเข้าของอินเดียปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) ภายใต้รหัส HS 0813 (ผลไม้อบแห้งและถั่วผสม) พบว่าไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 881 เหรียญสหรัฐ เทียบกับอัฟกานิสถาน (3.16 ล้านเหรียญ) และอิหร่าน แม้จะน้อยมากแต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะจากเชียงรายที่มีศักยภาพในด้านการแปรรูปและต้นทุนขนส่ง สามารถเร่งรุกตลาดอินเดียได้อย่างชัดเจน

วิเคราะห์ช่องทางและแนวโน้มโอกาสเกษตรเชียงราย

  1. เจาะตลาดอินเดียแบบพรีเมียม
    ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าอินเดียขณะนี้ เปิดโอกาสให้ผลไม้อบแห้งไทยเข้าสู่ตลาดพรีเมียม โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานสากล ชูจุดเด่นเรื่องสุขภาพ ความสะอาด และความเป็นออร์แกนิก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคอินเดียให้ความสนใจมากขึ้น
    ข้อแนะนำ: เกษตรกรเชียงรายควรรวมกลุ่มผลิต (Cluster) เน้นผลไม้หลัก เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและต่อรองกับผู้ซื้อได้ดีขึ้น
  2. พัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์
    การส่งออกผลไม้อบแห้งควรเน้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุสินค้า เพิ่มมูลค่าและสร้างความโดดเด่นในตลาด เช่น ถุงซิปล็อก บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หรือดีไซน์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมล้านนา เพื่อให้เกิดความแตกต่างและสร้าง Storytelling เชิงพื้นที่
  3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและ FTA
    ในขณะที่อินเดียกำลังพิจารณานโยบายภาษีนำเข้า ไทยควรใช้โอกาสนี้เจรจาขอสิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดีย หรือ MOU ทวิภาคี เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่ง และลดข้อจำกัดด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  4. ขยายฐานตลาดใหม่ในภูมิภาค
    วิกฤตที่อินเดียกำลังเผชิญยังเปิดโอกาสให้ไทยขยายตลาดไปยังบังกลาเทศ เนปาล ปากีสถาน (หากเปิดพรมแดน) และตะวันออกกลาง โดยเน้นสินค้าที่มีศักยภาพสูง เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง และทุเรียนอบกรอบ

เกษตรกรเชียงรายบนเวทีโลก

ในวิกฤตย่อมมีโอกาส การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกและความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ เปิดโอกาสให้ “ผลไม้อบแห้งเชียงราย” เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่ขาดแคลนสินค้าและต้องการสินค้าทางเลือกคุณภาพสูง หากเกษตรกรและผู้ประกอบการในเชียงรายเร่งปรับตัว พัฒนานวัตกรรม และใช้ประโยชน์จากสิทธิทางการค้า เชื่อว่าเชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นโอกาสทองของเกษตรกรไทยในศตวรรษนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ฐานข้อมูล Volza (มูลค่านำเข้า/ส่งออกผลไม้อบแห้ง)
  • รายงานการนำเข้าของอินเดีย HS 0813 (ม.ค.–มี.ค. 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

นิวเดลีสั่งปิดโรงเรียนประถมสู้ฝุ่นพิษ PM2.5 กระทบการเดินทาง

กรุงนิวเดลีเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 สั่งปิดโรงเรียนประถมและห้ามก่อสร้างเพื่อลดมลพิษ

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงขึ้น ทางการสั่งให้โรงเรียนระดับประถมทุกแห่งยุติการเรียนการสอนแบบพบหน้าและหันไปใช้การเรียนออนไลน์ทันทีจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังประกาศห้ามการก่อสร้างที่ไม่จำเป็นในเมืองหลวง พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ถ่านหินในการให้ความร้อน เพื่อช่วยลดมลพิษที่กำลังทวีความรุนแรง

การประกาศของหัวหน้ารัฐบาลนิวเดลีเพื่อต่อสู้กับมลพิษ

Atishi หัวหน้าคณะรัฐมนตรีกรุงนิวเดลี ซึ่งใช้ชื่อเดียว เปิดเผยบนแพลตฟอร์มโซเชียล X (เดิมคือ Twitter) ว่า “เนื่องจากระดับมลพิษที่เพิ่มสูงขึ้น โรงเรียนประถมทุกแห่งในกรุงนิวเดลีจะเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์ จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม” พร้อมกับมาตรการอื่น ๆ ที่จะเริ่มมีผลในเช้าวันศุกร์ เช่น การฉีดพ่นน้ำเพื่อลดฝุ่นบนท้องถนน และการใช้รถกวาดฝุ่นแบบเครื่องกล

สถานการณ์อากาศที่เลวร้ายลงในภาคเหนือของอินเดีย

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พื้นที่ตอนเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะกรุงนิวเดลี ประสบกับปัญหามลพิษที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝุ่นพิษและหมอกควันหนาทำให้มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ส่งผลให้อนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงอย่างทัชมาฮาลซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงนิวเดลีไปประมาณ 220 กิโลเมตร ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน เช่นเดียวกับศาสนสถานสำคัญของศาสนาซิกข์อย่าง Golden Temple ในเมืองอัมริตสาร์

ปัญหาการจราจรและเที่ยวบินล่าช้า

ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เที่ยวบินในกรุงนิวเดลีประสบปัญหาล่าช้าอย่างมาก โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามการบิน Flightradar24 ระบุว่า 88% ของเที่ยวบินขาออกและ 54% ของเที่ยวบินขาเข้าล่าช้า เนื่องจากทัศนวิสัยที่ลดลงอย่างมาก บางเที่ยวบินถึงขั้นต้องเบี่ยงเบนเส้นทางเพราะหมอกควันปกคลุมสนามบิน จนไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะทางเกินกว่า 300 เมตร

ฝุ่น PM2.5 ระดับอันตราย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

จากการวัดระดับมลพิษในวันพุธ พบว่าค่าฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านปอดนั้น อยู่ในระดับที่เกินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึง 50 เท่า ทำให้มีเด็กจำนวนมากเข้าโรงพยาบาลในกรุงนิวเดลีด้วยอาการหอบหืดและโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ แพทย์ Sahab Ram จากภูมิภาค Fazilka ในรัฐปัญจาบกล่าวว่า “มีเด็กที่มาพบแพทย์ด้วยอาการภูมิแพ้ ไอ และหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการหอบหืดเฉียบพลัน”

อากาศที่หนาวเย็นและลมสงบยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

ทางเจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาเปิดเผยว่า อุณหภูมิต่ำสุดของกรุงนิวเดลีในวันพฤหัสบดีลดลงเหลือ 16.1 องศาเซลเซียส จาก 17 องศาเซลเซียสในวันก่อนหน้า ความชื้นสูงและลมที่เบาลงเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝุ่นพิษสะสมอยู่ในอากาศและทำให้มลพิษอยู่ในระดับ “รุนแรง” ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ในช่วงวันศุกร์ ก่อนจะค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระดับ “แย่มาก” โดยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ระหว่าง 300-400

ศาลสูงอินเดียสั่งให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหามลพิษ

เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลสูงสุดของอินเดียได้มีคำสั่งว่าการมีอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยสั่งให้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษอย่างจริงจัง

สถานการณ์มลพิษในละฮอร์ ประเทศปากีสถาน

ขณะเดียวกัน กรุงละฮอร์ เมืองหลวงของจังหวัดปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ก็ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของ IQAir เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางการปากีสถานยังพยายามหาวิธีในการสร้างฝนเทียมเพื่อลดมลพิษในเมืองนี้ โดยทางการได้จัดตั้ง “ศูนย์ควบคุมหมอกควัน” ขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหานี้โดยเฉพาะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมกรุงนิวเดลีต้องปิดโรงเรียนประถม?
    เนื่องจากระดับฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นจนอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก ๆ จึงต้องเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์เพื่อความปลอดภัย

  2. PM2.5 คืออะไรและทำไมถึงอันตราย?
    PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจและมะเร็ง

  3. มาตรการอื่น ๆ ของนิวเดลีในการลดมลพิษคืออะไร?
    มาตรการรวมถึงการห้ามก่อสร้างที่ไม่จำเป็น ฉีดพ่นน้ำลดฝุ่น และการใช้เครื่องกวาดถนน

  4. สถานการณ์มลพิษในละฮอร์เป็นอย่างไร?
    ละฮอร์ก็ประสบปัญหามลพิษอย่างหนัก ทำให้ทางการต้องเร่งหาวิธีแก้ไข รวมถึงการพิจารณาฝนเทียม

  5. อินเดียมีมาตรการใดบ้างในการแก้ปัญหามลพิษระยะยาว?
    ศาลสูงอินเดียกำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการรักษาสิทธิของประชาชนในการมีอากาศบริสุทธิ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : aljazeera

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

‘นักท่องเที่ยวจีน’ พลิกกลับอันดับ 1 เที่ยวไทย ด้วยจำนวน 1.7 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุ สถิติ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 3 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2567 พบว่ามีจำนวนสะสม 9,370,297 คน เพิ่มขึ้น 44% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 454,653 ล้านบาท

 

จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

1. จีน 1,756,337 คน

2. มาเลเซีย 1,168,574 คน

3. รัสเซีย 622,813 คน

4. เกาหลีใต้ 558,873 คน

5. อินเดีย 472,952 คน

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-31 มี.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 644,328 คน ลดลง 1.07% จากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,990 คน หรือคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 92,047 คน

 

ขณะที่ 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 127,713 คน ลดลง 5.80% มาเลเซีย 62,419 คน เพิ่มขึ้น 5.03% รัสเซีย 40,276 คน ลดลง 8.10% อินเดีย 33,597 คน ลดลง 15.13% และสหราชอาณาจักร 33,089 คน เพิ่มขึ้น 44.08%

 

“นักท่องเที่ยวยุโรปและโอเชียเนียบางประเทศ โดยเฉพาะชาวสหราชอาณาจักรเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จากวันหยุดในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวสหราชอาณาจักรขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาเป็นอันดับ 5”

 

สัปดาห์ถัดไป (1-7 เม.ย.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว แต่ยังคงมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน ที่มีผลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และกระตุ้นให้สายการบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน รวมทั้งการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางหรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุอินเดีย ประดิษฐาน จ.เชียงใหม่

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567 (อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจาก สาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย)   

 

 

จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดียมาประดิษฐาน โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดีย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ อธิบดีกรมการศาสนา หัวหน้าส่วนราชทุกภาคส่วน ข้าราชการ ประชาชน เข้าร่วมกิจกรรม ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอง 28 กรกฎาคม 2567

 

 

ในการนี้จังหวัดเชียงราย โดยนายพุฒิพงศ์  ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายพิสันต์  จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

พิพัฒน์ สุ่มมาตย์, ยุทธนา สุทธสม : รายงาน

พร้อมพงษ์ ทาสิทธิ์ : ภาพ

อภิชาต กันธิยะเขียว : บรรณาธิการข่าว 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS WORLD PULSE

รถไฟอินเดียชนกัน ตายทะลุ 120

ไฟฟ้าแรงสูงช๊อต คุณป้าวัย 54 ปี โดนเต็มๆ อาการสาหัส

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 เกิดเหตุรถไฟชนกันในรัฐโอริสสา ทางตะวันออกของอินเดีย ซึ่งมีรถไฟเข้ามาเกี่ยวข้องถึง 3 ขบวน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 120 คน ขณะเดียวกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 850 คน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรถไฟโดยสารขบวนหนึ่งตกราง โดยมีตู้โดยสารหลายตู้เสียหลักไปอยู่บนรางรถไฟอีกรางหนึ่งข้างๆ ก่อนที่รถไฟอีกขบวนซึ่งวิ่งมาบนรางดังกล่าวจะพุ่งเข้าชน ขณะที่เจ้าหน้าที่อินเดีย ระบุว่า ในที่เกิดเหตุมีรถไฟขนส่งสินค้าอีกขบวนหนึ่งจอดอยู่ด้วย

ทางการท้องถิ่นระดมกำลังเจ้าหน้าที่และรถฉุกเฉินมากกว่า 200 คัน เข้าไปยังที่เกิดเหตุเพื่อเร่งช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก

โดยทางสำนักข่าวระดับโลกอย่าง CNN ได้สัมภาษณ์ Manto Kumar ว่ากำลังเดินทางด้วยรถไฟด่วน Coromandel Express กับเพื่อนอีก 6 คน เมื่อตู้รถไฟของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินไหว

“ทันใดนั้นก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาหาเรา โค้ชบางคนกลิ้งไปอีกด้าน” พนักงานร้านอาหารวัย 32 ปีบอกกับซีเอ็นเอ็นจากโรงพยาบาลในรัฐโอริสสาทางตะวันออกของอินเดีย

“ฉันลุกขึ้นเอาเสื้อมาพันหัวที่มีเลือดออก จากนั้นฉันก็เริ่มมองหาเพื่อนของฉัน ทุกคนตะโกนว่า ‘ช่วยเรา… ช่วยเราด้วย’”

เพื่อนคนหนึ่งของ Kumar สูญเสียขาทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุและถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เขาไม่รอดจากอาการบาดเจ็บ

เรื่องราวของพวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในร้อยเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เมื่ออินเดียต้องรับมือกับหนึ่งในเหตุการณ์รถไฟชนกันที่เลวร้ายที่สุดที่เคยมีมา

มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 275 คนและบาดเจ็บอีกกว่า 1,000 คนหลังจากรถไฟด่วนโคโรแมนเดลพุ่งชนรถไฟบรรทุกสินค้าที่จอดอยู่ ทำให้รถยนต์โดยสารที่พลิกคว่ำกระจัดกระจาย จากนั้นถูกรถไฟด่วนฮาวราห์พุ่งสวนทางด้วยความเร็วสูง

สามวันต่อมา หลายครอบครัวยังคงพยายามค้นหาบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา กองศพที่รอการระบุตัวตน และโรงพยาบาลกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : thaipbs / CNN / 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News