Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชิดชูอาหารถิ่น “แกงแคไก่เมือง” ดาวเด่นจากเชียงราย สะท้อนคุณค่าทางเศรษฐกิจ

มรดกกินได้จากแดนเหนือ “แกงแคไก่เมือง” เชียงราย สู่เวที “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 สะท้อนคุณค่าภูมิปัญา มหาศาลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 – ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการหลั่งไหลของข้อมูลและเทคโนโลยีอันไร้ขีดจำกัด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหลายรายการกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ที่อาจนำไปสู่การลบเลือนหรือสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของผู้คน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ยังมีจุดประกายความหวังที่เปล่งประกายออกมาจากความพยายามในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และต่อยอดคุณค่าอันล้ำเลิศนี้ให้คงอยู่และเจริญงอกงามต่อไป โดยมี “อาหาร” เป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการฟื้นฟูมรดกที่ “หายไป” อย่างน่าประทับใจ คือ เทศกาลอาหารถิ่น “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน 2568 ณ รอยัลพาร์ค พลาซ่า ชั้น 1 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ งานนี้จัดขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิดหลัก “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเผยแพร่องค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของชาติอย่างแท้จริง

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ชี้ อาหารถิ่นเป็นรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยระบุว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ ที่สะท้อนตัวตน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสมานฉันท์ และก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่สร้างรายได้ให้กับผู้คน”

ท่านยังได้กล่าวเสริมว่า กระทรวงวัฒนธรรมตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาและป้องกันไม่ให้มรดกเหล่านี้ลบเลือนหรือสูญหายไปจากปัจจัยภายนอกและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จึงได้กำหนดมาตรการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู อาทิ การจัดทำบัญชีในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ การประกาศขึ้นบัญชี การยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ทักษะสู่คนรุ่นใหม่ นี่คือวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่มองเห็น “อาหาร” เป็นมากกว่าแค่การบริโภค แต่คือการลงทุนในอนาคตของชาติ

แกงแคไก่เมือง” เชียงราย ดาวเด่นแห่งภูมิปัญญาที่กลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง

ภายในงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมของอาหารถิ่นจากทั่วประเทศ บูธของจังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นจุดรวมความสนใจของประชาชนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา “ชม-ชิม-ช้อป” และซื้อกลับบ้านอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมี “แกงแคไก่เมือง” เป็นเมนูชูโรงที่สร้างความประทับใจและปลุกเร้ารสชาติที่เหมือนจะ “หายไป” ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมนูนี้ได้รับการคัดเลือกจาก 5 เมนูสุดยอดของจังหวัด จนกลายเป็น “สุดยอดอาหารเมือง” และ “อาหารชูถิ่น” ของเชียงราย ที่กลับมาเป็น “ดาวเด่นในเวทีระดับประเทศ”

อะไรคือความพิเศษที่ทำให้ “แกงแคไก่เมือง” ครองใจผู้คนได้ถึงเพียงนี้ คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในความพิถีพิถันของวัตถุดิบและภูมิปัญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมนูนี้มิใช่เพียงอาหารจานหนึ่ง แต่คือ “เมนูสุขภาพ” และ “เมนูอายุยืน” ของภาคเหนือ ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสุขภาพ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สิ่งที่ทำให้แกงแคไก่เมืองแตกต่างและโดดเด่น คือการเป็นเมนูที่ “ปลอดโรค ปลอดสาร” อย่างแท้จริง ด้วยการใช้ผักสมุนไพรพื้นบ้านทั้งหมด

ความลับที่ซ่อนอยู่ในหม้อแห่งภูมิปัญญา

มิติแห่งผักพื้นบ้าน แกงแคไก่เมืองอุดมไปด้วยผักพื้นบ้านมากกว่า 10 ชนิด ผักเหล่านี้มาจากธรรมชาติแท้ ๆ ทั้งที่ปลูกในสวนและที่ได้จากป่า ซึ่งนอกจากความสดใหม่ตามฤดูกาลแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอันน่าทึ่ง อาทิ ผักเผ็ด ที่มีรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ผักขี้หูด ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และ หางหวาย วัตถุดิบหาทานยากที่มีรสขมอมหวาน ช่วยแก้ร้อนในได้อย่างดีเยี่ยม ความหลากหลายของผักยังมาจาก “โครงการผักส่วนครัว รั้วกินได้” ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและสนับสนุนผลผลิตจากชุมชน

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ขอมอบเกียรติบัตรฉบับนี้ ให้ไว้เพื่อแสดงว่า คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้บริหาร สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้เข้าร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ ๑ จังหวัด ๑ เมนู เชิดชูอาหารถิ่น "รสชาติ...ที่หายไป The Lost Taste" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ขอขอบคุณที่ได้ร่วมส่งเสริม สนับสนุนและยกระดับภาพลักษณ์ของอาหารถิ่นสู่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง

ไก่บ้านจากชุมชนท้องถิ่น ตัวเอกที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่บ้าน” โดยเฉพาะ “ไก่เมืองจากเวียงชัย” ที่ได้รับการคัดสรรเป็นพิเศษ โดยใช้ไก่ที่ไม่แก่หรือหนุ่มจนเกินไป คือช่วงอายุประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เนื้อกำลังหวานและมี texture ที่เหมาะสม ไม่เหนียวหรือยุ่ยจนเกินไป ไก่เหล่านี้มาจากกลุ่มชุมชน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

พริกแกงสูตรลับเฉพาะตระกูล เคล็ดลับความอร่อยของแกงแคเริ่มต้นจากการเจียว “พริกแกงที่โขลกเองกับมือ” ซึ่งเป็น “สูตรลับเฉพาะของแต่ละตระกูล” การโขลกเครื่องแกงอย่างพิถีพิถันนี้เองที่ทำให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรสดถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ เป็นเอกลักษณ์ที่หาทานได้ยากในยุคสมัยใหม่

ความใส่ใจในการปรุง หลังจากนั้นคือการ “ผัดไก่ด้วยไฟอ่อนๆ” เพื่อดึงรสชาติของสมุนไพรพื้นบ้านออกมาให้ได้มากที่สุด และความลับที่สำคัญที่สุดคือ “การเรียงลำดับการใส่ผัก” โดยจะใส่ผักที่สุกยากลงไปก่อน แล้วค่อยๆ ตามด้วยผักที่สุกง่าย เหมือน “ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของผืนป่าให้ลงไปอยู่ในหม้อ”

ตามคำกล่าวของเชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารล้านนา “เหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้ มันคือความรัก ความใส่ใจ และภูมิปัญญาที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแกงแคไก่เมืองไม่ใช่เพียงเมนูอาหาร แต่คือ “ส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เป็นมรดกที่กินได้ที่เชื่อมโยงเรากับธรรมชาติและรากเหง้าของชาวเชียงราย”

บทบาททางเศรษฐกิจและสังคม มรดกกินได้ที่สร้างรายได้และคุณค่า

การกลับมาของ “แกงแคไก่เมือง” ในฐานะดาวเด่นบนเวทีระดับประเทศ ไม่เพียงแต่เป็นการเชิดชูอาหารพื้นถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ การใช้ไก่บ้านจากกลุ่มชุมชนและผักจากโครงการ “ผักส่วนครัว รั้วกินได้” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่เชื่อมโยงผู้ผลิตท้องถิ่นเข้ากับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในชุมชน และส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ การนำเสนออาหารถิ่นเหล่านี้ยังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้สนใจ ให้เดินทางมาสัมผัส “รสชาติที่แท้จริงของเชียงราย” และเรื่องราวเบื้องหลังอาหารที่มากกว่าแค่การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

กิจกรรมหลากหลาย ต่อยอดภูมิปัญญา สร้างการมีส่วนร่วม

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การชิมอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การลองลิ้มชิมรสชาติอาหารที่หาทานได้ยาก จากทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ผ่านกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

การเรียนรู้ “อร่อยตามรอยภูมิปัญญา” ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 เส้นทาง อาทิ อาหารสายอันซีน, พหุวัฒนธรรมล้ำรส, งดงามภูมิปัญญาล้ำค่าทรัพยากร, จากหยดน้ำแรกแห่งธารา ถึงคลื่นครามแห่งอ่าวไทย, ตามเส้นทางพี่สตังค์หรอยแรงชิมขนมและแกงถิ่นปักษ์ใต้, และ Isan discovery

“ครัวฟุ้ง ปรุงไทย” Cooking Show โดย Chef Celebrity Thailand อาทิ เชฟพฤกษ์ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย และ กัณฑิมา สารีบท เชฟท้องถิ่นวิสาหกิจชุมชนเจ้าอุ้งลูกจีน จังหวัดกาญจนบุรี ที่มาสาธิตการทำอาหารในสไตล์ฟิวชั่น โดยยังคงผสมผสานสมุนไพรไทยลงในอาหาร เพื่อยกระดับอาหารถิ่นสู่สากล

การแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแสดงพื้นบ้าน ตลอดจนการแสดงประกอบเพลง “รสชาติที่หายไป” โดย แซ็ค ชุมแพ และ อาบูม แชมป์มิราเคิลมิวสิค เพื่อสร้างความสุขและความเพลิดเพลิน นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย คุณบริพันธ์ ชัยภูมิ กล่าวถึงความสำคัญของเพลงลูกทุ่งในฐานะวัฒนธรรมไทยที่จะมาสร้างความสุขในงาน และพิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ให้กับผู้เครือข่ายทางวัฒนธรรมจาก 77 จังหวัด และการมอบรางวัลอินฟลูเอนเซอร์ที่สนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานวัฒนธรรม โดยอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา

ทีมเมนู “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ได้รับเกียรติบัตรสำหรับเมนู แกงแคไก่เมือง” โดยมี นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ นายอนุสร เทพปินตา จากร้านสบันงาขันโตก เป็นตัวแทนเข้ารับมอบ ในการนี้ นายกำพล จาววัฒนาสกุล นักวิชาการวัฒนธรรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม รักษาราชการแทน วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วย คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง นครเชียงรายนิวส์ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) นายอนุสร เทพปินตา นางสาวศิวพร จอมสว่าง ตัวแทนผู้ประกอบการร้านสบันงาขันโตก (สาธิต) และนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

มรดกที่ต้องส่งต่อเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

เทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงอาหาร แต่เป็นภาพสะท้อนอันทรงพลังของความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการรักษาและต่อยอดคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม จากกลิ่นหอมของแกงแคไก่เมือง ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสัมผัส ไปจนถึงคำเชิญชวนของศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง แซ็ค ชุมแพ ที่กล่าวว่า “อยากเชิญชวนมิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย…มางานนี้ถือว่าครบจบ ทั้งความสนุกและอาหารอร่อย” นี่คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รสชาติที่หายไป” เหล่านี้ มีศักยภาพที่จะสร้างแรงบันดาลใจ ความสุข และคุณค่าที่จับต้องได้ให้กับทุกคน

การลงทุนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่องค์ความรู้เหล่านี้ มิได้เป็นการมองย้อนอดีตอย่างเดียวดาย แต่เป็นการวางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับอนาคตที่วัฒนธรรมไทยจะยังคงเป็นเสาหลักในการสร้างอัตลักษณ์ ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในหมู่คนไทยทุกคน ผู้ที่สนใจและผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจหรือประกอบการทำงาน จึงไม่ควรพลาดโอกาสในการมา “ชม-ชิม-ช้อป อิ่มท้อง-อิ่มใจ-ได้ความรู้” ในงานเทศกาลนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยยังคงดำรงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป

ตัวเลขที่น่าสนใจ

จากข้อมูลเบื้องต้นของงานเทศกาลในปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 50,000 คนต่อปี และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นกว่า 10 ล้านบาทจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารถิ่น ขณะที่การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ผลิตชุมชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีแรกของการจัดงาน

การสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมงานในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 85 ของผู้เข้าร่วมงานมีความประทับใจในรสชาติอาหารถิ่นที่ “เคยลืม” และร้อยละ 78 แสดงความสนใจที่จะเดินทางไปยังจังหวัดต้นทางของอาหารเหล่านั้นเพื่อสัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

เมื่ออาหารกลายเป็นเครื่องมือการพัฒนา

เทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในการเปลี่ยนมุมมองต่อ “อาหารถิ่น” จากสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น “อาหารชาวบ้าน” ไปสู่การเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า” นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งหลายคนเริ่มหันกลับมาเรียนรู้วิธีการทำอาหารพื้นบ้านจากผู้ใหญ่ในชุมชน

การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการสนับสนุนงานครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), และบริษัท ดอนเมืองพัฒนา จำกัด (ตลาดสี่มุมเมือง) แสดงให้เห็นถึงการรับรู้และการให้ความสำคัญของภาคธุรกิจต่อคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความยั่งยืนของโครงการในระยะยาว

คำมั่นสัญญาสู่อนาคต

นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักของงาน ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “งาน ไทยฟุ้ง ปรุงไทย ไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานเทศกาลประจำปี แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการอนุรักษ์และพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เราได้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมแล้วว่า เมื่อชุมชนมีความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมี พวกเขาจะมีแรงจูงใจในการรักษาและต่อยอดให้ดีขึ้น”

การจัดงานในครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติหลายท่าน ได้แก่ คุณสมพล ตรีภพนารถ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), คุณจรูญรัตน์ สาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด, คุณพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร, และ คุณจิตสุภา วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ รวมทั้งศิลปินและบุคคลสำคัญอีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของสังคม

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 จึงไม่เพียงแต่เป็นการจัดเทศกาลอาหาร แต่เป็นการปูทางสู่อนาคตที่วัฒนธรรมไทยจะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ความเข้มแข็งของชุมชน และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชาติไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงวัฒนธรรม, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • เอกสารงานเทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2025)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ไทยคอนเวนชั่นแอนด์เอ็กซิบิชั่นบูโร)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น ประจำปี 2568
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายชู Soft Power อาหาร! ดัน ‘แกงแค-ข้าวแรมฟืน’ สู่เวทีโลก

เชียงรายเดินหน้าคัดเลือกเมนูอาหารถิ่น สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เวที “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ต่อยอดสู่มรดกทางวัฒนธรรมไทย

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและค่านิยมการบริโภคอาหารมีแนวโน้มถูกกลืนไปกับกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ จังหวัดเชียงรายจึงได้เดินหน้านโยบายสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมอาหารถิ่นดั้งเดิม ด้วยการจัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นประจำจังหวัด ณ ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดเมนูแห่งเอกลักษณ์เข้าสู่เวทีประกวด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2568

เวทีแห่งความร่วมมือขับเคลื่อนวัฒนธรรม

การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายชุมชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความตื่นตัวในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารท้องถิ่นให้อยู่คู่สังคมไทย

โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ภายใต้แนวคิด Thailand Best Local Food มุ่งเน้นการอนุรักษ์ ยกระดับ และสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของอาหารถิ่น พร้อมนำเสนอวิถีการกินแบบดั้งเดิมที่มีรากฐานจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่น

5 เมนูชูอัตลักษณ์ ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ที่ประชุมมีมติร่วมกันคัดเลือก 5 เมนูเด่นของเชียงราย แบ่งเป็นอาหารคาว อาหารว่าง และอาหารหวาน โดยทุกเมนูผ่านเกณฑ์ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกำหนดและสะท้อนเอกลักษณ์ของชาวเชียงราย ได้แก่

  • อาหารคาว: “แกงแคไก่เมือง” อาหารพื้นบ้านทรงคุณค่าทางสมุนไพร, “น้ำพริกถั่วเน่า” เมนูเด็ดแห่งแดนเหนือ และ “ผัดรากชูหมู” อาหารพื้นถิ่นที่หากินยาก
  • อาหารว่าง: “ข้าวแรมฟืน” เมนูสุดสร้างสรรค์จากถั่วลันเตา
  • อาหารหวาน: “ขนมปาด” ขนมโบราณที่กำลังจะเลือนหาย

การคัดเลือกเมนูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์สูตรอาหารดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ส่งเสริมสมุนไพรในชุมชน และสนับสนุนการพัฒนาสินค้าชุมชนในรูปแบบอาหารสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

“The Lost Taste” เวทีพลิกฟื้นมรดกอาหารถิ่นสู่สากล

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ปี 2568 นี้ ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นจากแต่ละจังหวัด เหลือเพียง 3 เมนูเด่นระดับชาติ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมโหวตเมนูที่โดดเด่นที่สุดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสตระหนักรู้และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย

การสืบสานที่มีชีวิต – จากรุ่นสู่รุ่น

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่เพียงเน้นการประกวด หากยังเป็นการสืบทอดค่านิยมการบริโภคอาหารไทยที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของรากเหง้าท้องถิ่น โดยเฉพาะในยุคที่อิทธิพลจากต่างชาติเข้ามามีบทบาท การผลักดันให้เมนูอาหารถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จัก ถือเป็นทั้งภารกิจเชิงวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

ก้าวต่อไปสู่เวทีระดับประเทศ

สำหรับ 5 เมนูของเชียงรายที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้ จะถูกนำเสนอให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อคัดเลือกในระดับประเทศต่อไป ให้เหลือเพียง 3 เมนูเท่านั้น ซึ่งการโหวตจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมลงคะแนนเลือกเมนูที่ชื่นชอบผ่านระบบออนไลน์ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์อาหารถิ่นอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • ข่าวสารราชการ กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนยูเนสโก มรดกวัฒนธรรมโลกปี 2567

ยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ของ ยูเนสโก ณ นครอซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” อาหารชื่อดังของไทย ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจาก โขน, นวดไทย, โนรา, และสงกรานต์

ภูมิปัญญาไทยที่สะท้อนวิถีชีวิต

รมว.วธ. ระบุว่า “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล โดยต้มยำกุ้งสะท้อนถึงวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวไทยในชุมชนเกษตรกรรม โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น กุ้ง, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, มะนาว, และพริก มาปรุงรสแบบจัดจ้าน

Soft Power ไทยบนเวทีโลก

ปัจจุบัน ต้มยำกุ้งได้รับความนิยมทั่วโลก และเป็นตัวอย่างของ Soft Power ด้านอาหารที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุน โดยจะมีการส่งเสริมเมนูต้มยำกุ้งให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว เมนูสำคัญในงานประชุมระดับนานาชาติ และเป็นเมนูที่ต้องลองเมื่อมาเยือนประเทศไทย

รมว.วธ. ยังกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม โดยใช้ต้มยำกุ้งเป็นตัวเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ละคร, เกม และรายการโทรทัศน์ รวมถึงร่วมมือกับธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และภัตตาคาร เพื่อจัดแคมเปญส่งเสริมยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง

กิจกรรมฉลองความสำเร็จ

เนื่องในโอกาสที่ “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียน กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน “ฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ภายในงานจะมี:

  • พิธีเปิดงานโดย รมว.วธ.
  • การสาธิตทำต้มยำกุ้งโดยเชฟชื่อดัง เช่น เชฟไอซ์ ศุภักษร และ เชฟตุ๊กตา
  • แฟชั่นโชว์ชุด “เคบายา” และนิทรรศการอาหารเปอรานากัน
  • การแสดงทางวัฒนธรรม และการชิมต้มยำกุ้งฟรี

เคบายา: มรดกอีกหนึ่งรายการที่รอรับรอง

นอกจากนี้ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 19.30 – 22.30 น. ตามเวลาไทย ชาวไทยยังมีโอกาสลุ้นอีกหนึ่งรายการมรดกวัฒนธรรมคือ “เคบายา” ที่เสนอขอขึ้นทะเบียนร่วม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย

การผลักดันต่อยอด

การได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกฯ ของ “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากฐานวัฒนธรรมในทุกมิติ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งผลักดันให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของเมนูต้มยำกุ้ง และใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

นายกฯ หนุนอาหารให้ไทยเป็น Soft Power เปิดโอกาส Start up

 

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2566 เวลา 11.30 น. ที่ผ่านมา ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับฟังการนำเสนอ Thailand Soft Power Halal & Future Food จากนายบุญเลิศ อ่องไพบูลย์ รองประธานคณะกรรมการธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต (PFC) สภาหอการค้าไทย 

นายบุญเลิศ กล่าวว่า อุตสาหกรรมฮาลาล ครอบคลุมสินค้าและบริการ ได้แก่ การเงิน อาหาร แฟชั่น สื่อและสันทนาการ ยาและการแพทย์ ท่องเที่ยว เครื่องสำอาง ฯ มีอัตราการเติบโต 7.5% (2021-2025) มีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (2025) ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาล และอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยอาหารฮาลาล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของการส่งออกอาหารทั้งหมดของประเทศไทย และร้อยละ 60 ของการส่งออกอาหารฮาลาลไปยังประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564/2565 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมองเห็นโอกาสในสินค้า Halal ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้บริโภคจำนวนมาก มีศักยภาพในการจับจ่ายสูง และในกลุ่ม Future food ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราอยากใช้อุตสาหกรรมอาหารมาเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ และอยากผลักดัน Gastronomy Diplomacy โดยไทยเป็นประเทศแรกที่ผลักดันการทูตเชิงอาหาร (Gastronomy diplomacy) แต่ประเทศเกาหลีใต้ผลักดันได้ไกลกว่าประเทศไทย โดยรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญทั้งเงินทุน การตลาด การทำหลักสูตร การทำ Certificate การส่งออกอาหาร จะช่วยทำให้สินค้าการเกษตรมีราคาที่ดีขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าในประเทศทำให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง สร้างองค์ความรู้ด้านอาหารให้ประเทศไทยเป็น Soft Power โดยอาหารไทยรูปแบบใหม่ ๆ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้ Start up ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร สามารถเกิดขึ้นได้

นายกรัฐมนตรีฝากให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนภาคเอกชน โดยให้บูรณาการการทำงาน กำหนดแผน กำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านอาหาร เป็นแหล่งผลิตอาหารฮาลาลที่หลายประเทศมีความต้องการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News