Categories
NEWS UPDATE

วิกฤตนโยบาย ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเพิ่ม 11 เท่า! รัฐถูกกดดันให้ “ควบคุม” แทน “แบนอย่างเดียว”

แบนไม่ช่วยลด? ปะทะคารม “บุหรี่ไฟฟ้า” กลางนโยบายสาธารณะไทย ผู้ใช้พุ่ง 11 เท่า–ตลาดมืดเฟื่อง รัฐถูกจี้ทบทวนทางเลือกควบคุมรูปแบบใหม่

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568—ท่ามกลางการยืนยันของรัฐไทยต่อหลักการ “ห้ามนำเข้า–ห้ามขาย–ห้ามครอบครอง” บุหรี่ไฟฟ้ามากว่าทศวรรษ เสียงวิจารณ์จากเครือข่ายผู้ใช้และผู้สนับสนุนแนวทาง “ลดอันตรายจากยาสูบ” (tobacco harm reduction) ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อข้อมูลด้านสถิติชี้ว่าจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไม่ได้ลดลงตามเจตนารมณ์การแบน ตรงกันข้าม กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด พร้อมผลข้างเคียงอย่าง “ตลาดมืด” การทุจริต และการเข้าถึงของเยาวชนผ่านออนไลน์ โดยแกนนำกลุ่ม “ลาขาดควันยาสูบ” (ECST) เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่นโยบายใหม่ที่ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” แทนการแบนแบบเบ็ดเสร็จ

 “นโยบายถูก–ผลลัพธ์ผิด?”

ค่ำคืนหนึ่งในชุมชนเมืองภาคเหนือ ผู้ปกครองจับได้ว่าเด็กมัธยมซ่อน พอตใช้แล้วทิ้ง ไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียน ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว “ผิดกฎหมาย” ตามระเบียบไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปี เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และสะท้อนความจริงเชิงนโยบายว่า การแบน เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการหยุดยั้งการใช้ได้ในโลกที่การซื้อขายเคลื่อนไปบนแพลตฟอร์มข้ามพรมแดน

ในทางข้อเท็จจริง รัฐไทยยังยืนบนฐานกฎหมายเดิม—การนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ขณะที่หน่วยงานรัฐทบทวน–ย้ำเตือนต่อเนื่อง เช่น กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต รวมถึงฝ่ายความมั่นคงและท้องถิ่นที่บังคับใช้ร่วมกัน เพื่อ “ปกป้องสุขภาพสาธารณะและเยาวชน” อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงเชิงสังคมชี้ให้เห็นช่องโหว่สำคัญของ อีโคซิสเต็มตลาดมืด ที่เติบโตเร็วกว่าเครื่องมือกำกับดูแลของรัฐหลายก้าว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มโลกว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “มีจำนวนมากและกระจุกตัวในบางภูมิภาค/ช่วงวัย” ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ประเมินผู้ใช้ทั่วโลกระดับ กว่า 100 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศรายได้สูง และมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินชนิดใหม่นี้ด้วยเหตุผลด้านรสชาติ การตลาด และการรับรู้ว่า “อันตรายน้อยกว่า” บุหรี่เผาไหม้ดั้งเดิม (cigarette) ซึ่ง WHO ย้ำว่าความเสี่ยงด้านสุขภาพของเยาวชนยังเป็นปัญหาหลักที่ทุกประเทศต้องกังวลและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง

ภาพรวมสถานการณ์ไทย “ผู้ใช้เพิ่ม 11.44 เท่า”—สัญญาณเตือนจากตัวเลข

ข้อมูลเชิงสถิติที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในปี 2567 ระบุว่า จำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 11 เท่า ภายในไม่กี่ปี จากราว 78,742 คน (ปี 2564) เป็น ประมาณ 900,459 คน (ปี 2567) ตัวเลขดังกล่าวถูกนำมาขยายผลในพื้นที่สาธารณะโดยเครือข่ายผู้ใช้และสื่อหลายสำนัก เพื่อชี้ถึง “ความล้มเหลว” ของแนวทาง “แบนอย่างเดียว” ในมิติผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม (พฤติกรรมการใช้จริงไม่ได้ลดลง) และเชิงตลาด (สินค้าไหลเข้าสู่ ตลาดมืด)

ในเชิงกฎหมาย ไทยยังคงห้ามนำเข้า–จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้ระเบียบและมาตรการที่หน่วยงานรัฐ เช่น กรมประชาสัมพันธ์ ได้สื่อสารย้ำต่อสาธารณะ โดยระบุชัดว่าการขายบุหรี่ไฟฟ้าในไทยนั้นผิดกฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง (เช่น กฎหมายศุลกากร/สรรพสามิต/ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ) ซึ่งเป็นฐานอำนาจหลักในการบังคับใช้ร่วมกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ภาพรวมดังกล่าวสร้างคำถาม 3 ประการต่อสังคมและผู้กำหนดนโยบายไทย

  1. เมื่อ “แบน” แล้วเหตุใดผู้ใช้ยังเพิ่ม?
  2. จะลดการเข้าถึงของเยาวชนอย่างไรในโลกดิจิทัลที่ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง?
  3. ประเทศไทยควรเดินหน้าด้วย “แบนต่อ” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” แบบมีเครื่องมือกำกับ (อายุ–ฉลาก–ภาษี–มาตรฐาน–การตลาด) เหมือนหลายประเทศ?

เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนผู้ใช้ “แบน = ทางตัน” ผลักคนเข้าสู่ตลาดมืด

นายอาสา ศาลิคุปต แกนนำกลุ่ม ลาขาดควันยาสูบ (ECST) ระบุว่า “แม้ไทยจะแบนบุหรี่ไฟฟ้ามากว่า 10 ปี แต่จำนวนผู้ใช้กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด” พร้อมชี้ว่า การแบนทำให้เกิดตลาดมืด การคอร์รัปชัน และการเข้าถึงของเยาวชนที่รัฐควบคุมคุณภาพไม่ได้ ตลอดจนการผสมสารเสพติดแอบแฝงในบางกรณี ย้ำข้อเสนอให้ ทบทวนแนวทางนโยบาย จาก “แบน” ไปสู่ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” โดยอ้างอิงว่าทั่วโลกมี หลายสิบประเทศ ที่ออกกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์นิโคตินชนิดใหม่เหล่านี้แล้ว และใช้มาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันเยาวชนและลดความเสี่ยงสาธารณสุข

ข้อเสนอของ ECST ตั้งอยู่บนตรรกะ “ทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่า” สำหรับผู้สูบที่ “ยังเลิกไม่ได้/ไม่อยากเลิก” ซึ่งควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและช่องทางเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย (เช่น มาตรฐานสารเคมี/ปริมาณนิโคติน/การติดฉลากคำเตือน/ระบบติดตามย้อนกลับสินค้า) ภายใต้กรอบควบคุมของรัฐอย่างเข้มงวด เทียบเคียงกับกฎเกณฑ์ด้านการตลาด การโฆษณา และการจัดเก็บภาษีแบบบุหรี่เผาไหม้

มุมมองสาธารณสุขและกรอบ WHO FCTC “เยาวชนมาก่อน” และหลักระวังไว้ก่อน

ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนนักวิชาการการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้กำหนดนโยบายไทยจำนวนมากยังยึดแนวคิด “ระวังไว้ก่อน” (precautionary principle) บนฐานวิชาการที่ระบุถึง อันตรายของนิโคตินต่อสมองวัยรุ่น และความเสี่ยงต่อปอด–หัวใจจากไอระเหยเคมีของบุหรี่ไฟฟ้าบางชนิด โดยเฉพาะความหลากหลายของผลิตภัณฑ์/สารแต่งกลิ่น/ความเข้มข้นนิโคติน และพฤติกรรมการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่ง WHO ก็เตือนอย่างต่อเนื่องให้ “ควบคุมอย่างเข้มงวด” และ “กำจัดการเข้าถึงของเยาวชน” เป็นอันดับแรก

สาระสำคัญของ WHO FCTC ที่ประเทศไทยเป็นภาคี (กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ) คือการลดความชุกของการใช้ยาสูบทุกรูปแบบและป้องกันเยาวชนเริ่มใช้ โดยทิศทางการประชุมระดับโลกในช่วงหลังตอกย้ำมาตรการควบคุมการตลาด กลิ่น–รส–บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดเยาวชน รวมทั้งการกำกับการขายออนไลน์ข้ามแดน ซึ่งประเทศต่างๆ นำไปปรับใช้แตกต่างกัน—บางประเทศ อนุญาตแบบควบคุมเข้ม (อายุขั้นต่ำ ภาษีสูง มาตรฐานผลิตภัณฑ์ โควตา/ใบอนุญาต) ขณะที่บางประเทศ แบน ทั้งระบบ

โลกภายนอก ผู้ใช้กว่า “100 ล้านคน”—โจทย์นโยบายที่ไม่มีสูตรสำเร็จเดียว

ภาพใหญ่ระดับโลกที่ WHO และสื่อเศรษฐกิจนานาชาติสรุปไว้ คือจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มากกว่า 100 ล้านคน และกระจุกตัวสูงในประเทศรายได้สูง (ผู้ใหญ่กว่า 86 ล้านคน) ขณะเดียวกันกลุ่มเยาวชนวัย 13–15 ปีก็ยังอยู่ในเรดาร์ความเสี่ยง ทั้งการเริ่มทดลองใช้และการใช้ประจำในบางประเทศ—บริบทนี้ทำให้แต่ละรัฐต้อง “ออกแบบนโยบายตามโจทย์จริงของตัวเอง” โดยชั่งน้ำหนักระหว่าง การคุ้มครองเยาวชน และ เครื่องมือกำกับพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ยอมเลิกง่าย ๆ

ไทยในทางแพ่งและอาญา กฎหมายยัง “ห้าม” แต่การบังคับใช้ต้องปรับให้ทันยุค

แม้กฎหมายไทยยังคง “แบน” แต่ ความท้าทายของการบังคับใช้ คือธรรมชาติสินค้าที่เล็ก พกพาง่าย ซ่อนง่าย ซื้อผ่านออนไลน์–ข้ามแดนได้ และมีช่องทางลำเลียงที่สลับซับซ้อน ทำให้ “อุปสงค์” ที่ยังมีอยู่ผลักดันให้ อุปทาน จากต่างประเทศเล็ดลอดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนจากการจับกุม–ยึดของกลางเป็นระยะ และการรณรงค์เตือนภัยจากหน่วยงานรัฐซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในเชิงออกแบบนโยบาย หลายฝ่ายชี้ว่าหากไทยยังคงแนวทาง “แบน” จำเป็นต้องเร่งสร้าง กลไกปิดประตูตลาดมืด ให้แน่นหนากว่าเดิม ได้แก่

  • ความร่วมมือ ปิดช่องทางออนไลน์ กับแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ/โซเชียล,
  • การติดตาม เส้นทางการเงิน และผู้ค้ารายใหญ่,
  • การบังคับใช้กับ ตัวกลางโลจิสติกส์ และจุดผ่านแดน,
  • การเสริม ทักษะสืบสวนดิจิทัล ของตำรวจและพนักงานสอบสวน,
  • การสื่อสารสาธารณะกับผู้ปกครอง–สถานศึกษาในการสังเกตและป้องกันการใช้ในเยาวชน

 “แบนต่อ–คุมเข้ม” หรือ “ปลดล็อกบางส่วน–คุมเข้มกว่าเดิม”

ฉากทัศน์นโยบาย ที่เป็นไปได้สำหรับไทยมีอย่างน้อย 2 แนว

1) แบนต่อไป แต่ยกระดับการบังคับใช้แบบ “ทั้งระบบ”

  • พัฒนา ระบบสืบสวนการค้าออนไลน์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม
  • ไล่ปิดเครือข่าย เส้นทางเงิน–โกดัง–ขนส่ง ด้วยกฎหมายฟอกเงิน/ศุลกากร
  • เพิ่ม โทษปรับสูง–ริบทรัพย์ สำหรับผู้ค้ารายใหญ่
  • ทำ แคมเปญเลิกบุหรี่เชิงพฤติกรรม เจาะกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ
  • เฝ้าระวัง โรงเรียน/สถานบันเทิง/ชุมชนเมือง ด้วยทีมพหุหน่วยงาน

2) ปลดล็อกบางส่วนภายใต้ “ระเบียบเข้มกว่าบุหรี่ปกติ” (ตัวอย่างจากหลายประเทศ)

  • จำกัด อายุขั้นต่ำ และ KYC ทุกจุดขาย (ออฟไลน์–ออนไลน์)
  • บังคับมาตรฐาน ปริมาณนิโคติน–ส่วนผสม–ฉลากเตือน–บรรจุภัณฑ์เรียบ
  • เกณฑ์ ใบอนุญาตร้านค้า (โควตา) และ ระบบติดตามย้อนกลับสินค้า
  • เก็บ ภาษีสรรพสามิตแบบขั้นบันได และปิดช่องว่างราคากับบุหรี่เผาไหม้
  • ห้ามรส–กลิ่น ที่ดึงดูดเยาวชน/ห้ามโฆษณา/จำกัดการจัดวาง
  • สร้าง ฐานข้อมูลไม่ระบุตัวตน เพื่อติดตามพฤติกรรมและผลกระทบจริง

แนวทางที่สองเป็น “การยอมรับความจริงเชิงพฤติกรรม” ว่ามีผู้ใหญ่จำนวนมากที่ยังไม่เลิก และหากต้องอยู่กับปัญหาในโลกจริง การควบคุมคุณภาพ–เส้นทางจำหน่าย–การตลาด อาจช่วยลดอันตรายโดยรวมได้ ขณะเดียวกันต้อง “ปิดประตูเยาวชน” ให้แน่นกว่าเดิมอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นข้อเสนอใจกลางของกลุ่มผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสาธารณสุขย้ำว่าความเสี่ยงระยะยาวของสารบางชนิดในบุหรี่ไฟฟ้ายังต้องการหลักฐานเพิ่ม การตัดสินใจจึงควรอยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ดีและการติดตามผลหลังนโยบายอย่างใกล้ชิด

มิติ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ทำไมต้องฟัง “ทุกฝ่าย”

การกำหนดนโยบายที่ แตะทั้งสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สิทธิเสรีภาพ–กฎหมาย ต้องฟังและชั่งน้ำหนักหลายเสียง

  • ฝ่ายสาธารณสุข/การแพทย์ เน้น “เยาวชนมาก่อน” ลดการเริ่มใช้ใหม่ และ หลักระวังไว้ก่อน ต่อความเสี่ยงระยะยาว
  • ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย ต้องการเครื่องมือ ปิดตลาดมืด และปราบ “รายใหญ่–ข้ามชาติ”
  • ผู้ใช้/ผู้ไม่เลิก ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและ ทางเลือกที่เสี่ยงน้อยลง
  • สถานศึกษา/ผู้ปกครอง ห่วงการเข้าถึงของเยาวชน กลิ่น–รส–บรรจุภัณฑ์ที่ “เป็นมิตรกับเด็ก”
  • ผู้กำหนดนโยบายการคลัง พิจารณา ภาษี–รายได้รัฐ–ต้นทุนสาธารณสุข
  • ประชาชนทั่วไป ต้องการ ความชัดเจน ไม่สับสนระหว่าง “ผิดกฎหมาย” กับ “เห็นขายทั่วไป”

การเปิดเวที “พูดคุยบนฐานข้อมูล” ระหว่างทุกฝ่ายคือเงื่อนไขสำคัญ—ไม่ว่าทางเลือกสุดท้ายจะเป็น “แบนต่อ” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย”

ประเด็นย่อยที่สังคมควรถาม–รัฐควรตอบ

  1. เยาวชนอยู่ตรงไหนของสมการ?
    ต้องกำหนดเป้าหมาย–มาตรการ–ตัวชี้วัดเฉพาะเยาวชน (ห้ามรส–กลิ่น, geo-fencing การขายออนไลน์, ตรวจอายุ KYC 100%, ปรับหนักร้านที่ฝ่าฝืน)
  2. จะปิดตลาดมืดอย่างไร?
    แม้จะแบนหรือจะควบคุม ก็ต้องปิด ห่วงโซ่อุปทานผิดกฎหมาย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยเครื่องมือทางการเงิน–ศุลกากร–ดิจิทัลฟอเรนสิก
  3. ถ้าจะ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” ต้องเข้มกว่าบุหรี่ปกติ
    เพราะผลิตภัณฑ์นี้ “มาไว–ไปไว–แปลงรูปแบบได้เร็ว” จำเป็นต้องมี มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และ ระบบติดตามย้อนกลับ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้
  4. ระบบข้อมูลประเทศ (national registry) อยู่ที่ไหน?
    ไม่ว่าทางไหน ไทยต้องมี ฐานข้อมูลพฤติกรรมการใช้จริง ที่ไม่ระบุตัวตน เพื่อประเมินผลกระทบหลังนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ยึดติดเพียงภาพรวม/ข่าวเชิงกระแส

คำกล่าว–มุมเสียง

นายอาสา ศาลิคุปต (ECST) “แบนมากว่า 10 ปี แต่ผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แสดงว่านโยบายแบนไม่ได้ลดการใช้ กลับผลักให้เกิดตลาดมืด และทำให้เด็กเข้าถึงผ่านออนไลน์ง่ายขึ้น รัฐควรเปิดทางเลือกใหม่ที่ควบคุมได้จริง”

นักระบาดวิทยาโรคไม่ติดต่อ (มุมสาธารณสุข—สรุปสาระจาก WHO) “ประเด็นเยาวชนต้องมาก่อน นิโคตินกระทบการพัฒนาสมองวัยรุ่น แม้ผู้ใหญ่บางส่วนอาจมองว่าเสี่ยงน้อยกว่า แต่สำหรับเด็กและวัยรุ่น เราต้องปิดประตูให้แน่นที่สุด”

ทางแยกของนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าไทย

ข้อถกเถียง “แบน” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” สะท้อน ความจริงเชิงพฤติกรรม และ แรงเสียดทานเชิงนโยบาย ที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวเลขผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปี (มากกว่า 11 เท่า) ชี้ว่าการแบนเพียงอย่างเดียวอาจไม่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านสุขภาพเยาวชน และ ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การ “ปลดล็อก” โดยไม่มีระบบคุมเข้มยิ่งเสี่ยง

ดังนั้น ทางที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่ “เลือกขาวหรือดำ” หากแต่อยู่ที่ “ออกแบบระบบ” ให้ตอบโจทย์ การคุ้มครองเยาวชนเต็มรูปแบบ, การปิดตลาดมืดเชิงโครงสร้าง, และ การจัดการพฤติกรรมผู้ใหญ่ที่ยังไม่เลิก ด้วยเครื่องมือรัฐสมัยใหม่ ทั้งภาษี มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบังคับใช้ดิจิทัล—พร้อมฐานข้อมูลชาติที่ติดตามผลหลังนโยบายอย่างโปร่งใส

โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่ “จะเอา/ไม่เอา บุหรี่ไฟฟ้า” แต่คือ “จะออกแบบนโยบายที่ปกป้องเด็ก–ลดอันตราย–และหยุดตลาดมืดได้จริง” ในโลกที่สินค้า–การตลาด–พฤติกรรม เคลื่อนที่เร็วกว่ากฎหมายเสมอ

สถิติสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทย: ประมาณ 900,459 คน (ปี 2567) เพิ่มขึ้น 11.44 เท่า จากปี 2564 (อ้างอิงสื่อเศรษฐกิจไทยที่อ้างข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ)
  • ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลก: มากกว่า 100 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศรายได้สูง และมีเยาวชนจำนวนมากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงตามรายงาน–บทวิเคราะห์ของ WHO/สื่อเศรษฐกิจนานาชาติ
  • สถานะกฎหมายไทย: ห้ามนำเข้า–จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า มีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานรัฐย้ำเตือนต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Bangkok Biz News
  • สยามรัฐ (Siamrath)
  • Public Relations Department (กรมประชาสัมพันธ์)
  • Financial Times
  • Reuters
  • Matichon
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สัญญาณล้ำข้ามแดน ตร.-กสทช. สั่งปรับทิศทางเสาแม่สอด-เชียงแสน ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ตร.-กสทช.” ลุยแม่สอด–เชียงราย กดสวิตช์ “ดิจิทัลบอร์เดอร์” สกัดสแกมเมอร์—ขณะวิกฤต 1,598 คนจาก KK Park ท้าทายระบบ NRM

เชียงราย/ตาก, 5 พฤศจิกายน 2568 — ลมหายใจของชายแดนไทยในสัปดาห์นี้เต็มไปด้วยสัญญาณ—ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทางฝั่งเหนือและตะวันตก เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตหลายต้นถูกตรวจวัดความสูง–ความแรง–ทิศยิงคลื่นอย่างละเอียด ด้วยโดรนและอุปกรณ์วัดสนามคลื่น ขณะที่อีกด้าน หน่วยงานไทยยังเดินหน้าคัดกรองชาวต่างชาติ 1,598 คน ที่หลบหนีความรุนแรง–การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมใน KK Park จังหวัดเมียวดี เข้าสู่ฝั่งไทย

ในเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย นำโดย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ นายศุภลักษณ์ รูปศรี ผอ.สำนักงาน กสทช. เขต 34 ลงพื้นที่ อ.เชียงแสน–อ.แม่สาย ตรวจสายสื่อสารข้ามแดนและเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ โดยเฉพาะบริเวณตรงข้าม คิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และแนวสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1–2 อ.แม่สาย ที่เชื่อมต่อกับท่าขี้เหล็ก เมียนมา

พบเสาส่งสัญญาณบางจุดสูงเกินเกณฑ์อย่างชัดเจน” แหล่งข่าวในชุดตรวจระบุถึงผลตรวจเบื้องต้น อ.เชียงแสน วัดสูง 33 เมตร ขณะที่ อ.แม่สาย บ้านสันทราย พบเสาเครือข่ายมือถือ 2 ค่าย สูง 37 เมตร และ 40 เมตร ตามลำดับ—ทั้งหมดสูงเกิน ลิมิต 15 เมตร ตามมติบอร์ด กสทช. ปี 2568 พร้อมมีคำสั่ง ปรับทิศส่ง–ลดองศา–หันสัญญาณเข้าสู่ประเทศ เพื่อจำกัดการล้ำข้ามแดน และ แจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตลดความสูงตามกฎหมาย โดยกำชับให้ สภ.เชียงแสน/สภ.แม่สาย รายงานผลการแก้ไข–ทดสอบครอบคลุมสัญญาณทั้งฝั่งไทยและฝั่งตรงข้าม

ฝั่ง โครงข่ายอินเทอร์เน็ต จุดชุมสายในแนว สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ปัจจุบันเหลือ 6 บริษัท 9 สาย จากเดิม 6 บริษัท 12 สาย (เหตุอุทกภัย) ส่วน สะพานฯ แห่งที่ 2 เดิมมีเอกชน 2 บริษัท 3 สาย ปัจจุบัน ปิดใช้งานทุกสาย สะท้อนแนวโน้ม “กระชับช่องทางข้ามแดน” ที่อาจถูกใช้หนุนโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์

หนึ่งวันถัดมา (4 พ.ย.) แนวรบเลื่อนไป แม่สอด จ.ตาก ตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การกำกับของ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ มอบหมาย พล.ต.ต.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รอง ผบช.ภ.6 และ พล.ต.ต.ไพศาล นันตา ผบก.ภ.จว.ตาก ลงพื้นที่ตรวจจุดเสี่ยง ด่านบ้านวังตะเคียน (ตรงข้าม เมียวดีคอมเพล็กซ์) และแนวตรงข้าม ชเวก๊กโก โดยใช้โดรน “บินสำรวจ–วัดความแรง” เจาะจงจุดที่เคยมีปัญหา โรมมิ่ง ไปใช้เครือข่ายเพื่อนบ้าน และสัญญาณไทย “ล้ำข้ามแดน” อันอาจกลายเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์–สแกมเมอร์ใช้งาน

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกิจ หากอยู่ภายใต้กรอบนโยบายกำกับของ สำนักงาน กสทช. ที่ออกประกาศ มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” 8 ข้อ (มีผล 30 ส.ค. 2568) และแนวทาง ระงับบริการบริเวณชายแดนเสี่ยง” ซึ่งให้อำนาจกำกับตรวจสอบ–บังคับแก้ไขต่อผู้รับใบอนุญาตที่ฝ่าฝืน ทั้งในเชิงวิศวกรรมโครงข่ายและการคุ้มครองผู้บริโภคในพื้นที่ชายแดน

เมื่อ “เสา–คลื่น–ทิศยิง” กลายเป็นแนวป้องกันหน้าด่าน

ในสมรภูมิอาชญากรรมออนไลน์ “สัญญาณ” คืออาวุธและเส้นเลือดใหญ่ การยกมาตรฐานทางเทคนิคชายแดนจึงเป็นการ เสริมรั้วที่มองไม่เห็น” ให้กับไทย การพบเสาที่ สูง 33–40 เมตร เทียบ ลิมิต 15 เมตร สะท้อนความจำเป็นของ การกำกับแบบจุดต่อจุด (site-by-site) ไม่ใช่คำสั่งกว้าง ๆ ระดับประเทศเท่านั้น

ผลคาดหวัง จากการหันทิศ–ลดองศา–ลดความสูงเสา คือ

  1. ลดโอกาส “สัญญาณไทย” ล้ำไปเลี้ยงอุปกรณ์ของขบวนการในฝั่งนอก, 2) ลดโอกาส โรมมิ่ง ของผู้ใช้ไทยไปใช้เครือข่ายเพื่อนบ้านโดยไม่ตั้งใจ (ซึ่งเปิดช่องเสี่ยงด้านค่าบริการ–ความปลอดภัยข้อมูล), 3) ทำให้การ วัด–ติดตาม ความผิดปกติของทราฟฟิกในแนวแดนทำได้แม่นขึ้น

แนวสะพานมิตรภาพฯ ซึ่งเป็น “จุดบรรจบ” ของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ลากข้ามพรมแดน กำลังถูก “ทำให้เรียวลง” (จาก 12 เหลือ 9 สายในสะพานที่ 1 และ 0 สายในสะพานที่ 2 ณ ขณะตรวจ) เพื่อลดจุดเสี่ยง—พร้อมคำสั่งทดสอบครอบคลุมสัญญาณถึงฝั่ง คิงส์โรมัน และ ท่าขี้เหล็ก ภายหลังการปรับปรุง

อีกฟากของชายแดน “1,598 ชีวิต” ที่บอกเราว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เทคนิค

ในเวลาใกล้เคียงกัน กัณวีร์ สืบแสง อดีต ส.ส. แสดงความห่วงกังวลผ่านสื่อสังคม ตั้งคำถามถึง การบริหารจัดการของรัฐบาลไทย ต่อชาวต่างชาติ 1,598 คน จาก 28 ประเทศ ที่หลบหนีจากเหตุปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติใน KK Park เมียวดี เข้าสู่ไทยตั้งแต่ปลายต.ค. โดยให้ข้อมูลว่า 12 วัน ผ่านไป คัดกรอง ~700 คน ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง >700 คน, เข้าสู่กลไก NRM เพียง 18 คน, และเข้าสถานคุ้มครองในฐานะ เหยื่อการค้ามนุษย์ 5 คน (เวียดนาม 1, จีน 4)

คำถามหลักมีสองชั้น—ชั้นแรก คือรัฐไทยจะ “รีดข้อมูลโครงข่าย” จากกลุ่มนี้อย่างไรให้ได้มากที่สุดก่อนส่งกลับ เพื่อสาวไปถึง ขบวนการนำพา–ตัวการใหญ่–การฟอกเงิน ที่ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการกระจาย “แรงงานสแกมเมอร์” ไปยังพม่า–กัมพูชา–ลาว ชั้นถัดมา คือสมดุลระหว่าง ภาระมนุษยธรรม กับ ความมั่นคง–กฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อหลายประเทศต้นทางยังไม่เร่งรับกลับ ขณะที่บางชาติอย่าง อินเดีย (465 คน) มีแผนรับกลับ 6 พ.ย.

เสียงเตือนของกัณวีร์โยงไปสู่บทเรียนอดีต—คดีโรฮิงญา ที่การปราบปรามครั้งใหญ่ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง–นักการเมืองถูกดำเนินคดีจำนวนมาก แต่ขบวนการยังไม่หมดไป “อย่าปล่อยให้เป็นงานชั่วคราว—ต้องเป็นระบบ” เขาระบุทิ้งท้าย พร้อมเสนอให้ “ไล่ย้อนจาก เส้นทางเงิน–บริษัทพัวพัน” บวกมาตรการ อายัด–ทลายเครือข่าย ควบคู่ไปกับการเร่ง NRM ให้ทำงานเต็มฟังก์ชัน

ภาพใหญ่เดียวกัน ดิจิทัลบอร์เดอร์ + NRM + ดี-ริสก์การเงินเครือข่าย

ปฏิบัติการตรวจเสา–จำกัดสัญญาณล้ำแดนคือ แนวป้องกันชั้นนอก ที่มุ่งตัด “แบนด์วิธ” ของอาชญากร แต่เพื่อให้เกิดผลต่อเนื่อง ต้องมี สองฟันเฟืองเสริม
หนึ่ง—NRM และเครื่องมือกฎหมายพิเศษในการ คัดแยกเหยื่อ–ผู้เกี่ยวข้อง–ผู้กระทำผิด ให้ชัด (เพื่อคุ้มครองเหยื่อและใช้เป็นพยานเชิงเครือข่าย)
สองดี-ริสก์เส้นทางการเงิน อายัดทรัพย์–เครือข่ายฟอกเงิน–บริษัทหน้าฉาก และ เอกชน/ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสาร ที่เอื้อให้โครงข่ายตั้งฐานได้

ตัวเลข 33–40 เมตร ของความสูงเสาเมื่อเทียบเกณฑ์ 15 เมตร ดูเป็นเรื่องวิศวกรรม แต่ความจริงคือ ปุ่มเปิด–ปิด” ความเสี่ยงทางอาชญากรรมที่อาจไหลข้ามแดนโดยไร้พรมแดนทางกายภาพ ขณะเดียวกัน ตัวเลข 1,598–700–18–5 เป็น คอขวดมนุษยธรรม–การข่าว–กฎหมาย” ที่กำลังทดสอบความสามารถของรัฐไทยในการทำงานเชิงระบบ

Roadmap เชิงข้อเสนอ (บนฐานข้อมูลที่เปิดเผย)

  1. ทำแผนที่สัญญาณชายแดน (Border RF Heatmap) รายสัปดาห์ในจุดเสี่ยง—ผูกกับ SLA การแก้ไข ของผู้รับใบอนุญาตและรายงานผลสาธารณะ
  2. คณะทำงานร่วม “สัญญาณ–การเงิน” (กสทช.–ตำรวจ–AMLO) ไล่จับ จุดตัด ระหว่าง “ความผิดปกติของคลื่น/ทราฟฟิก” กับ “การเงินเครือข่าย” เพื่อเชื่อมคดี
  3. เร่งขยายศักยภาพ NRM ให้ “จำแนก–เก็บคำให้การ–เก็บดิจิทัลอีแวิดนซ์” ได้ไวขึ้น โดยคัดบางส่วนเป็น พยานความร่วมมือ (cooperating witnesses) เพื่อสาวเชิงลึกไปถึงตัวการ
  4. ความร่วมมือระหว่างประเทศ แบบเชิงรุก—ไม่รอเฉพาะการประสานของสถานทูต แต่ใช้กรอบทวิ/พหุภาคีด้าน ค้ามนุษย์–อาชญากรรมข้ามชาติ–ไซเบอร์ เร่งผลักดัน

ปิดคลื่น–เปิดข้อมูล

เมื่อชายแดนไม่ได้มีเพียงรั้วและแม่น้ำ แต่มี “คลื่นสัญญาณ” เป็นพรมแดนชั้นใหม่ การบังคับใช้กติกาเรื่อง ความสูง–ทิศ–องศา ของเสาส่งสัญญาณจึงเป็น มาตรการเชิงหลักการ ที่จับต้องได้และวัดผลได้เร็ว การที่ตำรวจภูธรภาค 5–6 และ กสทช. ลงมือ “จูนชายแดนดิจิทัล” อย่างจริงจังในเชียงราย–ตากสะท้อนความเข้าใจร่วมว่าต้อง ตัดทางโลจิสติกส์ของคลื่น” ควบคู่กับการ ตัดทางโลจิสติกส์ของมนุษย์–เงิน” ในเครือข่ายสแกมเมอร์

อย่างไรก็ดี ตัวเลข 1,598 คน จาก 28 ประเทศ ที่ไหลเข้ามาในช่วงเวลาอันสั้นคือคำเตือนว่า ปิดคลื่นอย่างเดียวไม่พอ ถ้าไม่เปิดข้อมูล”—กล่าวคือ รัฐต้อง รีดข้อมูล–สร้างแฟ้มเครือข่าย–อายัดเส้นทางเงิน–ปลดซัพพลายเชน ไปพร้อมกัน เพื่อไม่ให้วิกฤตวันนี้กลายเป็นวงจรซ้ำพรุ่งนี้

ชายแดนที่ปลอดภัยในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ใช่แค่ รั้วสูง–น้ำเชี่ยว” แต่คือ สัญญาณเป็นระเบียบ–ข้อมูลเป็นระบบ–ความร่วมมือเป็นเครือข่าย” และนี่คือบททดสอบสำคัญที่ไทยกำลังก้าวผ่าน—ด้วยการลงมือแก้ทั้ง “เสา” และ “คน” ไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6
  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
  • ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • ตำรวจภูธรจังหวัดตาก/แม่สอด
  • กัณวีร์ สืบแสง (Kannavee Suebsang)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“ระเบิดสะพานโจร”ตำรวจผนึก 32 หน่วยงาน ใช้ไม้แข็งชายแดน

เชียงรายเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉก.88 จับมือ 32 หน่วยงาน ใช้มาตรการ “ระเบิดสะพานโจร” หวังเห็นผลใน 3 เดือน

แถลงข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กรุงเทพฯ, 21 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) เป็นประธานการประชุมสำคัญร่วมกับผู้บัญชาการระดับสูงและตัวแทนจาก 32 หน่วยงาน เพื่อกำหนดทิศทางปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบใหม่

ตั้งคณะทำงานตามนโยบายนายกรัฐมนตรี

การประชุมในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากคำสั่งของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 83/2568 ที่ให้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยเน้นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อควบคุมอาชญากรรมชายแดนที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบเข้า-ออกประเทศ และการใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

รายงานสถานการณ์ปัจจุบันของอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์

ในการประชุมมีการรายงานสถานการณ์ล่าสุดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ โดยอาศัยช่องว่างชายแดนไทย-เมียนมา และไทย-กัมพูชา เป็นทางผ่าน ผู้ต้องหาส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี แต่จากการตรวจสอบเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีพฤติกรรมร่วมกระทำความผิดอย่างมีนัยสำคัญ

สถิติการจับกุมล่าสุด

ในการปฏิบัติการฝั่งประเทศกัมพูชา มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องชาวไทยจำนวน 175 คน ซึ่งไม่พบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์แต่อย่างใด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในประเทศไทยใน 4 ข้อหาหลัก ได้แก่

  1. สมคบคิดฉ้อโกงประชาชน
  2. ฟอกเงิน
  3. กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
  4. มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

นโยบาย “ระเบิดสะพานโจร” สกัดวงจรอาชญากรรม

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ได้รับการกล่าวถึงในที่ประชุมคือ “ระเบิดสะพานโจร” ซึ่งเน้นการตัดวงจรเชื่อมโยงของอาชญากรรมทุกมิติ ประกอบด้วย:

  1. ปราบปรามเทคโนโลยีสนับสนุนอาชญากรรม
  • ดำเนินการตัดสายเคเบิลเถื่อน
  • ทำลายเสาสัญญาณเถื่อน
  • ปิดกั้นซิมผี
  • วิเคราะห์ข้อมูลจาก IP address เพื่อระบุแหล่งต้นตอของแก๊ง
  1. ควบคุมเส้นทางการเงินทั้งระบบธนาคารและคริปโต
  • ตรวจสอบการเปิดบัญชีม้า
  • ติดตามการถอนเงินบริเวณแนวชายแดน
  • ปิดช่องโหว่การขนเงินสดข้ามแดน
  • วิเคราะห์เครือข่ายบัญชีคริปโตเพื่อหาจุดเชื่อมโยงถึงหัวหน้าเครือข่าย
  1. ควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด
  • ตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • ปิดช่องทางธรรมชาติที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • สกัดไม่ให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของแรงงานผิดกฎหมายและกลุ่มแก๊ง

การวิเคราะห์เชิงนโยบาย

พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในยุคปัจจุบันถือเป็นภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่หรือ “สงครามไซเบอร์” (Cyber War) ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการของทุกหน่วยงานอย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่การใช้กำลังหรือกฎหมาย แต่ต้องควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อมูล ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของเจ้าหน้าที่รัฐ

ความหวังในระยะ 3 เดือน

เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนในการประชุมครั้งนี้คือ การทำให้มาตรการปราบปรามเห็นผลสัมฤทธิ์ภายใน 3 เดือน โดยมีการวางตัวชี้วัด (KPI) ครอบคลุมทั้งด้านการจับกุม ด้านการปราบเทคโนโลยีสนับสนุนอาชญากรรม และด้านการป้องกันล่วงหน้า

บทสรุปและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องอาศัยทั้งยุทธศาสตร์ระยะสั้นและระยะยาว โดยต้องเน้นการสร้างฐานข้อมูลกลาง การสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจไม่ร่วมสนับสนุนการกระทำผิด การขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ และการใช้เครื่องมือทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปฏิรูปกระบวนการรับข้อมูลข่าวสารในพื้นที่แนวชายแดนให้รวดเร็วและเท่าทันสถานการณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ปี 2567 มีการแจ้งความเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศมากกว่า 13,200 คดี
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของไทยเผยว่า ปี 2566 มีประชาชนถูกหลอกโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 1.6 แสนราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 38,000 ล้านบาท
  • รายงานของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ระบุว่า เฉพาะไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจับกุมซิมผีและบัญชีม้าแล้วกว่า 6,000 รายการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
  • กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

บก.ปอศ.บุก 46 จุด ขยายผลเครือข่ายฟอกเงิน 442 บริษัท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงิน 46 จุดทั่วประเทศ คุม 442 บริษัท เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 46 จุดทั่วประเทศ ดำเนินคดีกับนิติบุคคล 442 บริษัท และผู้ต้องหากว่า 1,000 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นชาวจีนกว่า 250 ราย ซึ่งร่วมกันจดทะเบียนบริษัทเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจและฟอกเงิน รวมถึงรับโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์

พฤติการณ์การกระทำความผิด

จากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดใน 2 ลักษณะ คือ

  1. การจดทะเบียนบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee): ชาวต่างชาติว่าจ้างบริษัทบัญชีให้จดทะเบียนนิติบุคคล โดยมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการตามข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร โดยมีทุนจดทะเบียนรวมกว่า 891 ล้านบาท
  2. การจดทะเบียนบริษัทม้า: จดทะเบียนบริษัทเพื่อเปิดบัญชีธนาคารสำหรับรับโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยบัญชีเหล่านี้สามารถทำธุรกรรมได้ไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC)

พื้นที่เป้าหมายการตรวจค้น

  1. สำนักงานบัญชีและนอมินี: ตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบบริษัท 244 แห่ง และเอกสารการถือครองอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 254 ล้านบาท
  2. ร้านค้าและโกดังสินค้า: ตรวจค้นในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พบสินค้าหลายแสนรายการจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าผิดกฎหมาย
  3. บริษัทแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ดิจิทัล: ตรวจพบธุรกิจที่ใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของ แต่ดำเนินการโดยชาวจีนและลักลอบเปิดกิจการอย่างผิดกฎหมาย

มูลค่าความเสียหายและพฤติกรรมที่พบ

จากการตรวจค้นครั้งนี้ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท รวมถึงบัญชีธนาคาร 314 บัญชี ซึ่งมีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเข้าข่ายการกระทำความผิดจำนวนมาก

บทลงโทษและมาตรการต่อเนื่อง

บก.ปอศ. ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้สนับสนุน เช่น เจ้าหน้าที่บัญชีและทนายความที่รับรองเอกสารเท็จ และได้แจ้งให้สภาทนายความและสภาวิชาชีพบัญชีพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ การตรวจค้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและฟอกเงินอย่างเป็นระบบ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE