Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเคลื่อนที่ มอบสุขถึงบ้าน แก้ปัญหาชุมชน

อบจ.เชียงราย ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้ม” ส่งความสุข-บริการถึงบ้าน สร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้ชุมชน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้านโยบาย “รัฐบริการเชิงรุก” ด้วยการนำหน่วยงานภาครัฐออกให้บริการถึงพื้นที่ห่างไกล ผ่านโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม พร้อมรับฟังปัญหาเพื่อหาทางออกอย่างมีส่วนร่วม

ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ บ้านป่าลัน หมู่ 5 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ณ วัดป่าอรัญญวิเวก พร้อมด้วย นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายสุทัศน์ ลิ้มวณิชย์กุล นายอำเภอดอยหลวง และ นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เข้าร่วม พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำท้องถิ่น และอาสาสมัคร พอ.สว.

จาก “หน่วยรัฐประจำจังหวัด” สู่ “รัฐบริการเชิงรุกถึงบ้าน”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมาย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. พร้อมด้วยบุคลากรกองสาธารณสุข ร่วมลงพื้นที่กับโครงการในครั้งนี้ เพื่อรับฟังปัญหาอย่างใกล้ชิด และตรวจเยี่ยมผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในพื้นที่จำนวน 5 ราย ตอกย้ำภารกิจหลักของ อบจ. ในฐานะองค์กรท้องถิ่นที่ใส่ใจสุขภาวะของประชาชน

โครงการนี้ถือเป็นรูปธรรมของการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตในถิ่นทุรกันดาร โดยนำบริการรัฐหลากหลายด้านมาไว้ในพื้นที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการทางการแพทย์ การตรวจสุขภาพ การให้คำปรึกษาด้านสวัสดิการ การเกษตร การศึกษา รวมถึงการเปิดช่องทางร้องเรียน-ร้องทุกข์ต่อหน่วยงานภาครัฐได้โดยตรง

ลดภาระ เพิ่มโอกาส สร้างสุขใกล้บ้าน

หัวใจสำคัญของโครงการ คือการทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลเพื่อเข้ารับบริการที่จำเป็น ซึ่งจากการสัมภาษณ์ประชาชนในพื้นที่ต่างสะท้อนเสียงตรงกันว่า “สะดวก รวดเร็ว ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง” ขณะที่ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนได้รับการเยี่ยมเยียนและตรวจสุขภาพถึงบ้าน ถือเป็นการฟื้นฟูสุขภาพกายใจในเวลาเดียวกัน

อีกทั้งหน่วยงานที่เข้าร่วมในครั้งนี้ยังได้มอบ ถุงยังชีพ 100 ชุด, ข้าวสาร 50 ถุง, ผ้าห่มกันหนาว 100 ชุด, และ พันธุ์ปลา 20 ถุง ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในครัวเรือน

Clinic Center ช่องทางเชื่อมรัฐ-ชุมชนอย่างใกล้ชิด

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้เปิด “Clinic Center” เป็นหน่วยงานประสานงานกลางที่เปิดรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และคำแนะนำจากประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

Clinic Center ยังมีบทบาทในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยประชาชนสามารถเสนอแนวคิดการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และเป็นเจ้าของโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น สอดคล้องกับหลักการ “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา”

บูรณาการหน่วยงาน รัฐ-เอกชน-อาสาสมัคร ผนึกกำลังเพื่อท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง พลังของความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานราชการระดับจังหวัด อำเภอ อบจ. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เหล่ากาชาด และภาคประชาชน อาสาสมัคร พอ.สว. ที่ร่วมกันสนับสนุนทั้งทรัพยากร กำลังคน และความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการแบบครบวงจร

การมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอดอยหลวง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามข้อมูลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด

วิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้สะดวกและทั่วถึง
  • ผู้ป่วยติดเตียงได้รับการดูแลต่อเนื่อง ไม่ถูกทอดทิ้ง
  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณะ
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบราชการและการบริหารงานของ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่น

ข้อสังเกตเชิงลบ/ความท้าทาย

  • บางพื้นที่ยังขาดอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรเฉพาะทาง
  • ความต่อเนื่องของโครงการขึ้นอยู่กับงบประมาณและการประสานงาน
  • ความต้องการของประชาชนในบางประเด็นอาจยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างครอบคลุม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2567) พบว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 28% เคยไม่ได้รับบริการสาธารณสุขเพราะไม่มีรถรับส่งหรือค่าเดินทาง
  • โครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ปี 2567 จัดขึ้นรวม 18 ครั้งใน 18 อำเภอ ครอบคลุมประชาชนกว่า 35,000 ราย
  • รายงานผลการเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงในจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า กว่า 3,700 ราย อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขาดการดูแลหากไม่มีโครงการเยี่ยมบ้านแบบเคลื่อนที่
  • กรมการปกครอง ระบุว่า โครงการจังหวัดเคลื่อนที่สามารถลดภาระการเดินทางของประชาชนได้เฉลี่ย กว่า 850 บาท/ครัวเรือน/ครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • รายงานโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ 2567-2568
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำท่วมหนัก ประปาเริ่มจ่ายน้ำช่วยเหลือประชาชน

แม่สายฟื้นตัวจากอุทกภัย: การประปาฯ และหน่วยงานท้องถิ่นระดมช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย ที่เริ่มทยอยจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมความหวังที่ชุมชนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การระดมกำลังจากกรมทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และหน่วยงานในพื้นที่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาความเดือดร้อนและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในยามวิกฤต

ฝนกระหน่ำและสายน้ำที่โหมกระพือ

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนาที่ยังคงเทน้ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านปิยะพร และชุมชนใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มสังเกตเห็นระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำ รวมถึงในฝั่งเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายรับน้ำปริมาณมหาศาลจนเกินกว่าพนังกั้นน้ำจะรับไหว ไม่นาน น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมถนน พื้นที่ลุ่มต่ำ และบ้านเรือนของประชาชนอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อน้ำท่วมขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตลาดสายลมจอย และบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและตะกอนโคลนที่ไหลเข้าปิดกั้นระบบ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายต้องหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว เนื่องจากน้ำดิบมีความขุ่นสูงเกินกว่าที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้ ความหวังของประชาชนในพื้นที่เริ่มริบหรี่ ขณะที่หลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากแม่น้ำสาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักและน้ำจากลุ่มน้ำในเมียนมาไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเร่งหาทางแก้ไขเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน

การระดมกำลังช่วยเหลือและฟื้นฟู

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มรุนแรง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายและระดับชาติไม่รอช้าที่จะลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือทันที กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้การนำของนายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จัดเตรียมเครื่องจักรและกำลังพลเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สาย โดยนายนิทัศน์ สุดดีพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 มอบหมายให้นายศิริศักดิ์ เกษารัตน์ ผู้อำนวยการส่วนการจัดสรรน้ำที่ 1 ลำปาง นำทีมเจ้าหน้าที่ 15 คน พร้อมเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 2 ชุด เครื่องสูบน้ำขนาด 3 นิ้ว 3 ชุด และรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดวิกฤต เช่น ตลาดสายลมจอย ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่

ในขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ระดมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมทีมงาน นำกระสอบทราย 9,000 ใบ รถบรรทุกน้ำ 4 คัน รวมถึงรถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำได้ 12,000 ลิตร และเครื่องสูบน้ำ 4 ชุด เข้าสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ อบจ.เชียงรายยังส่งรถไถ 1 คัน เพื่อช่วยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางในพื้นที่น้ำท่วม

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชน ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูระบบน้ำประปา หลังจากน้ำดิบในแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงจนไม่สามารถผลิตน้ำได้ในช่วงแรก เมื่อสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายและค่าความขุ่นลดลง ทีมงานของ กปภ.สาขาแม่สายสามารถเริ่มผลิตน้ำได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 และทยอยจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบท่อตั้งแต่เวลา 18.40 น. โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน กปภ.สาขาแม่สายออกแถลงการณ์ขออภัยในความไม่สะดวกและยืนยันความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูการให้บริการโดยเร็วที่สุด

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ร่วมกับนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ และทีมงาน พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินพนังกั้นน้ำ ส่งผลให้น้ำล้นผ่านกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กที่กั้นไว้ใต้สะพาน ไหลเข้าท่วมชุมชนริมน้ำอย่างรวดเร็ว ผู้ว่าฯ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารและแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว เทศบาลตำบลแม่สายได้รับการสนับสนุนกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจาก อบจ.เชียงราย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชน ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำเตรียมประสานงานกับหน่วยงานข้ามพรมแดนในเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสายและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

ความหวังและการฟื้นตัวของชุมชน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในอำเภอแม่สายเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลง หลังจากฝนหยุดตกและเครื่องสูบน้ำทำงานอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น บ้านปิยะพร และพื้นที่ใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มเห็นน้ำลดลงจากถนนและบ้านเรือน การกลับมาของระบบน้ำประปาจาก กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟื้นตัว

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย เช่น รถบรรทุกน้ำและกระสอบทราย ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “เราจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ภัยพิบัติ และจะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อให้แม่สายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะยาว หน่วยงานต่างๆ มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น การเสริมพนังกั้นน้ำและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ นอกจากนี้ ชุมชนในแม่สายจะได้รับการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอย เพื่อให้สามารถกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การระดมเครื่องจักร กำลังพล และทรัพยากรจากกรมทรัพยากรน้ำ อบจ.เชียงราย และ กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยลดผลกระทบและเร่งการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชน สร้างความเข้มแข็งในการรับมือภัยพิบัติ
  3. การฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค การกลับมาของน้ำประปาภายใน 24 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแสดงถึงความพร้อมของ กปภ.สาขาแม่สายในการจัดการวิกฤต
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลและสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ไม่เพียงพอ พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กไม่สามารถต้านทานน้ำปริมาณมากได้ แสดงถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
  2. การพึ่งพาน้ำจากลุ่มน้ำข้ามพรมแดนnน้ำท่วมส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกหนักในเมียนมา ซึ่งต้องมีการประสานงานข้ามชาติเพื่อบริหารจัดการน้ำ
  3. ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำสายยังคงเสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องมีการยกระดับที่อยู่อาศัยและวางแผนผังเมืองใหม่
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะสั้น

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • ลงทุนในโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม สร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำที่ทนทาน และขุดลอกลำน้ำเพื่อเพิ่มความจุน้ำ
  • พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแจ้งเตือนน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวได้ทันท่วงที
  • ประสานงานข้ามพรมแดน สร้างความร่วมมือกับเมียนมาในการบริหารจัดการลุ่มน้ำสาย เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการและให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในแม่สาย
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในอำเภอแม่สายส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอยและชุมชนริมน้ำ
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าไทย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย.
  3. การสนับสนุนจากหน่วยงาน
    • ในปี 2567 หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลใช้เครื่องสูบน้ำกว่า 50 ชุดและกระสอบทรายกว่า 100,000 ใบในการจัดการน้ำท่วมทั่วภาคเหนือ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

 คุณแม่ลูก 3 คว้า “มงกุฎเชียงราย” Mrs. Thailand World 2025

เชียงรายส่งตัวแทนสาวงามคว้ามง Mrs. Thailand World 2025 สู่เวทีระดับชาติ สะท้อนพลังสตรีร่วมพัฒนาสังคม

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพสตรีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเวทีการประกวด Mrs. Thailand World 2025 ตัวแทนจากอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย คว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศอย่างสง่างาม พร้อมเตรียมตัวก้าวเข้าสู่เวทีระดับประเทศในนามตัวแทนภาคเหนือ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับบทบาทสตรีไทยในเวทีนานาชาติ

พิธีมอบมงกุฎท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและภาคภูมิใจของชาวเชียงราย

เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีมอบมงกุฎ Mrs. Thailand World 2025 เชียงราย โดยได้รับเกียรติจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบมงกุฎอันทรงเกียรติแก่ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง อายุ 40 ปี ชาวอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Doctor P Clinic (รามอินทรา 109) และเป็นคุณแม่ลูก 3 ที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น ผนวกกับความสามารถที่น่าประทับใจ

ภายในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางเสียงเชียร์จากครอบครัว เพื่อนฝูง และประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง นับเป็นอีกก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการสนับสนุนสตรีให้มีพื้นที่ในการแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริง

Mrs. Thailand World เวทีที่เปิดกว้างให้สตรีแสดงบทบาทอย่างทรงคุณค่า

การประกวด Mrs. Thailand World แตกต่างจากเวทีนางงามทั่วไป ตรงที่เปิดโอกาสให้สตรีที่ผ่านการสมรสแล้วได้เข้าร่วมแสดงความสามารถในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านสังคม ปัญญา บุคลิกภาพ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โดยเวทีนี้ไม่เพียงเน้นที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง การเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทั่วประเทศ และการเป็นตัวแทนสะท้อนบทบาทของสตรีไทยในศตวรรษที่ 21

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวแสดงความยินดีว่า “วันนี้ไม่เพียงเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของตัวแทนสตรีเชียงราย แต่ยังเป็นวันแห่งการส่งต่อพลังและแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปล่งประกายบนเวทีชีวิตของตนเอง”

แรงสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ สู่การยกระดับสตรีไทยสู่เวทีโลก

งานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สมาคมสตรีเชียงราย สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย และสื่อมวลชนท้องถิ่น ร่วมกันผลักดันให้เวทีการประกวดมีมาตรฐานและสะท้อนความสามารถของผู้เข้าประกวดอย่างรอบด้าน

นางอทิตาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เวทีนี้คือพื้นที่ของสตรีที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ ทั้งในฐานะผู้หญิง ภรรยา มารดา และนักพัฒนา เป็นสัญลักษณ์ของพลังสตรีในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาททั้งในบ้านและในเวทีสาธารณะ”

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง แบบอย่างของสตรีร่วมสมัยที่ทรงพลัง

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง ไม่เพียงโดดเด่นด้วยบุคลิกภาพและวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ แต่ยังมีบทบาทเชิงสังคมในฐานะผู้บริหารคลินิกความงามที่ส่งเสริมสุขภาพจิตใจและความมั่นใจของผู้หญิงไทย อีกทั้งยังมีบทบาทในกิจกรรมการกุศลร่วมกับมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนเด็กกำพร้าและผู้ป่วยยากไร้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเชียงราย

ในการประกวด เธอสามารถตอบคำถามในรอบสัมภาษณ์ได้อย่างชาญฉลาด แสดงวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในครอบครัวและสังคม ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากคณะกรรมการและผู้ชมในงาน

เป้าหมายต่อไป สู่เวที Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ

หลังจากนี้ นางชญาดาจะเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าร่วมประกวด Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ โดยทีมงาน อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายได้เริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งการฝึกซ้อม การพัฒนาบุคลิกภาพ และการสร้างแคมเปญเพื่อสื่อสารบทบาทสตรีเชียงรายในเวทีระดับชาติ

นายก อบจ. ได้กล่าวปิดท้ายว่า “ชาวเชียงรายทุกคนคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวแทนเรา และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้เธอสามารถเปล่งประกายอย่างมีศักดิ์ศรี”

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจากสมาคม Mrs. Thailand World ระบุว่า ในปี 2567 มีผู้สมัครจากทั่วประเทศจำนวน 1,238 คน โดยตัวแทนจากภาคเหนือผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย 4 คน
  • ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสตรีและครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า ร้อยละ 68 ของสตรีในวัยทำงานมีบทบาททั้งในภาคธุรกิจและการพัฒนาสังคม
  • ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เชียงราย รายงานว่าการมีส่วนร่วมของสตรีในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ นายก อบจ. นำสืบสานประเพณี

นายก อบจ.เชียงราย เปิดงานสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ ยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีวันวิสาขบูชา

เชียงรายร่วมใจสืบทอดประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา

เชียงราย, 11 พฤษภาคม 2568 –  ณ วัดพระธาตุจอมจ้อ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเปิดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ ภายใต้ชื่องาน “ป๋าเวณีวิสาขมาส ร่วมอาบน้ำพระธาตุเจ้าจอมจ้อ” ซึ่งเป็นประเพณีที่มีความสำคัญและได้รับความศรัทธาอย่างมากจากประชาชนชาวอำเภอเทิงและพื้นที่ใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน

ในการจัดงานครั้งนี้ พระครูสิริคันธวงศ์ เจ้าคณะอำเภอเทิง รับหน้าที่เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมีนายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง กล่าวต้อนรับ และนายมานพ อุบลศิลป์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเทิง เป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

พระธาตุจอมจ้อ โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ของเชียงราย

พระธาตุจอมจ้อ ตั้งอยู่ที่หมู่ 20 ตำบลเวียง อำเภอเทิง เป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่ชาวเชียงราย โดยเฉพาะชาวอำเภอเทิง เคารพศรัทธาและให้ความสำคัญอย่างสูงมายาวนาน ถือเป็นหนึ่งในพระธาตุสำคัญ “พระธาตุเก้าจอม” ของจังหวัดเชียงราย โดยทุกปีในวันวิสาขบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวบ้านจะร่วมกันจัดพิธีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุจอมจ้ออย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นการสืบทอดประเพณีที่ได้รับการปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ

การสรงน้ำพระธาตุในวันวิสาขบูชานั้น มีความเชื่อว่า เปรียบเสมือนการได้สรงน้ำพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาและการสืบทอดศาสนาพุทธให้คงอยู่กับชาวเชียงรายตลอดไป

อบจ.เชียงราย สนับสนุนกิจกรรมสืบสานประเพณี

การจัดงานครั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นให้คงอยู่กับชุมชนต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคม

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า “การที่เราได้มาร่วมกันจัดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อในวันนี้ นับเป็นการส่งเสริมให้คนในพื้นที่เห็นความสำคัญของพระธาตุจอมจ้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าจอมของเชียงราย และสร้างความสามัคคีในชุมชนให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

กิจกรรมภายในงานหลากหลายส่งเสริมการมีส่วนร่วม

ภายในงานนอกจากพิธีกรรมทางศาสนา ยังมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การแสดงทางศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการประวัติศาสตร์พระธาตุจอมจ้อ การประกวดการจัดดอกไม้ถวายพระธาตุ รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารพื้นเมืองจากชุมชนในพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง กล่าวเสริมว่า “การจัดงานครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในอำเภอเทิง ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาวัฒนธรรม และประชาชนทั่วไป ซึ่งทุกฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดประเพณีที่งดงามนี้ให้คงอยู่กับอำเภอเทิงต่อไป”

วิเคราะห์และแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

จากการจัดงานที่มีความพร้อมและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอำเภอเทิง ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดเชียงรายในอนาคต โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจประเพณีพื้นบ้านล้านนา ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชนและจังหวัดได้เป็นอย่างดี

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนประชาสัมพันธ์เชิงรุก ทั้งในสื่อออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อขยายการรับรู้ไปสู่นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการร่วมกิจกรรม เพื่อให้การอนุรักษ์และสืบสานประเพณีดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานทางวัฒนธรรมในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567) พบว่า แต่ละปีมีงานประเพณีท้องถิ่นสำคัญของจังหวัดเชียงรายมากกว่า 100 งาน สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้กว่า 1 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดกว่า 500 ล้านบาทต่อปี (ที่มา: รายงานประจำปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานประจำปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ดันวิทยาลัยไทย-เอเชีย จับมือเซ็นทรัลรีเทล มีงาน มีเงิน มีวุฒิ

เชียงรายหนุน “โครงการ 3 ม.” วิทยาลัยไทย-เอเชีย จับมือเซ็นทรัลรีเทล สร้างแรงงานฝีมือคุณภาพ เสริมโอกาสศึกษา-ทำงานให้เยาวชนด้อยโอกาส

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ประกาศสนับสนุน โครงการ 3 ม.” (มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม) ของ วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย ซึ่งจับมือกับ เซ็นทรัลรีเทล เพื่อยกระดับโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ พร้อมปูทางสู่การสร้างแรงงานฝีมือรองรับตลาดธุรกิจสมัยใหม่ในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

ไต่ระดับปัญหา เยาวชนเชียงรายหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น

ดร.สำรวย มหาพราหมณ์ ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ออกจากระบบการศึกษาโดยยังไม่จบชั้นมัธยมปลาย หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช./ปวส.) โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือภาระทางเศรษฐกิจในครัวเรือน ทำให้ต้องเร่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นการตัดโอกาสในการพัฒนาอนาคตของตนเองและประเทศโดยรวม

“เด็กบางคนมีศักยภาพ แต่ขาดโอกาสเพราะไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ไม่มีคนสนับสนุน โครงการ 3 ม. จึงเป็นคำตอบที่มุ่งเน้นการสร้าง ‘โอกาสที่จับต้องได้’ ให้กับเด็กเหล่านี้” ดร.สำรวย กล่าว

รูปแบบโครงการ 3 ม. บูรณาการเรียนรู้-ทำงาน-สร้างรายได้

โครงการ 3 ม. มีชื่อเต็มว่า มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ได้แก่

  • สถาบันการศึกษา (เช่น วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย)
  • กลุ่มธุรกิจภาคเอกชน (โดยเฉพาะเซ็นทรัลรีเทล)
  • หน่วยงานภาครัฐ (เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย)

หลักการของโครงการคือการเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้เรียนหนังสือควบคู่กับการทำงานจริงในสถานประกอบการในเครือเซ็นทรัล เช่น ห้าง Tops, Power Buy, Robinson, Central, GO! เป็นต้น

ระหว่างเรียน นักศึกษาจะได้รับสิทธิพิเศษ ดังนี้

  • เงินค่าตอบแทนรายเดือน
  • สวัสดิการค่าที่พัก
  • ประกันอุบัติเหตุ
  • ชุดยูนิฟอร์ม
  • โอกาสได้งานทันทีเมื่อจบหลักสูตร

โครงการนี้ไม่เพียงลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว แต่ยังเป็นการพัฒนาทักษะสายอาชีพควบคู่กับการศึกษาที่เป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการสร้าง แรงงานฝีมือพร้อมใช้” ที่สามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทันที

นายก อบจ.เชียงรายหนุนเต็มที่ ชี้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำ

ด้าน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในที่ประชุมว่า โครงการนี้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของจังหวัดคือ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและขยายโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

“ถ้ารัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาชนร่วมมือกันจริงจัง จะเปลี่ยนชีวิตเด็กจำนวนมากจากความเสี่ยง สู่ความมั่นคง” นายก อบจ. ระบุ

การเชื่อมโยงสู่ระบบเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายและประเทศ

ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการลงทุนใหม่ ๆ ในเชียงราย ทั้งในภาคค้าปลีก ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการบริการ ซึ่งต้องการแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพและสามารถปรับตัวเข้ากับโลกของงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เชียงราย ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายในการพัฒนาแรงงานคุณภาพ เนื่องจากเป็นประตูเศรษฐกิจเหนือของประเทศ เชื่อมโยงสู่ ลาว เมียนมา และจีนตอนใต้

วิเคราะห์ประสิทธิผลและแนวโน้มในอนาคต

การเปิดทางเลือกให้นักเรียนที่ขาดโอกาสได้ศึกษาและทำงานควบคู่กัน เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะข้อ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) และข้อ 8 (การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ)

หากโครงการ 3 ม. ได้รับการขยายผลในวงกว้าง มีการสนับสนุนต่อเนื่อง และมีการติดตามผลลัพธ์อย่างเป็นระบบ จะสามารถลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา และสร้างกลุ่มแรงงานที่ตอบโจทย์โลกอนาคตอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องและข้อมูลอ้างอิง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายประมาณ 38,000 คน โดยในแต่ละปีมีนักเรียนกว่า 4,500 คน (11.8%) ที่ไม่ได้ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา
  • ข้อมูลจาก กระทรวงแรงงาน (2567) พบว่า กลุ่มแรงงานอายุ 15-24 ปี ในเชียงรายมีอัตราการว่างงานสูงสุดในกลุ่มวัยแรงงาน อยู่ที่ 8.3%
  • การศึกษาเชิงเปรียบเทียบโดย สถาบันพัฒนาแรงงานและอาชีพ (2566) ระบุว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระบบควบคู่กับฝึกงาน (Work-integrated Learning) มีแนวโน้มได้งานภายใน 6 เดือนสูงถึง 92%
  • รายงานของกลุ่มเซ็นทรัล ระบุว่า เครือข่ายของบริษัทมีความต้องการแรงงานใหม่ต่อปีมากกว่า 10,000 ตำแหน่ง ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: www.nso.go.th
  • กระทรวงแรงงาน: www.mol.go.th
  • วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย
  • กลุ่มเซ็นทรัลรีเทล: www.centralretail.com
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสน. หนุน อบจ.เชียงราย! วางแผนรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งแบบมืออาชีพ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าหารือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำแบบรอบด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดภัยพิบัติ

การหารือระดับจังหวัดสู่การวางรากฐานระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องรับรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมหารือสำคัญระหว่างผู้แทนจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ

การประชุมครั้งนี้มี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานให้การต้อนรับพร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกฯ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติ เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้โดยละเอียดกับคณะจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและระบบภูมิสารสนเทศที่แม่นยำสำหรับการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่

PDOSS กลไกสำคัญสู่การบริหารภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรได้กล่าวถึงนโยบายหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการใช้ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster One Stop Service: PDOSS) ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้ในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

PDOSS ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภัยพิบัติและสาธารณภัยทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
  • การจัดการเครือข่ายน้ำและการระบายน้ำ
  • การบริหารไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
  • การแจ้งเหตุและรับเรื่องร้องเรียนภัยพิบัติแบบจุดเดียว
  • ระบบเยียวยาผู้ประสบภัยแบบเบ็ดเสร็จ

ระบบดังกล่าวช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย

แผนบริหารจัดการน้ำกลยุทธ์ตั้งรับภัยพิบัติยุคใหม่

หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกในการหารือครั้งนี้ คือการบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม หรือภัยแล้ง

การวางแผนล่วงหน้าครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์แหล่งน้ำต้นทุน
  • การก่อสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
  • การจัดการเส้นทางระบายน้ำในเขตเมืองและชนบท
  • การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการใช้ระบบ แบบจำลองน้ำหลาก (Flood Simulation) ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถเตือนภัยล่วงหน้าและจัดการพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 3 – 7 วัน

การสร้างความร่วมมือระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ

ตัวแทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ ฐานข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น โดยเน้นการส่งเสริมการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความสำคัญของการเตรียมพร้อมในทุกระดับ

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่เพียงเป็นภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการจัดทำ แผนรับมือภัยพิบัติรายตำบลและรายหมู่บ้าน กำลังถูกขยายผลอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเองเบื้องต้น ก่อนการเข้าช่วยเหลือจากหน่วยงานหลัก

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ผลักดันโครงการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ (Real-time water level sensors) ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแบบทันสถานการณ์ และการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางอนาคต

จากข้อมูลด้านการบริหารน้ำและภัยพิบัติของจังหวัดเชียงราย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดเชียงรายเผชิญกับภัยธรรมชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝนและฤดูแล้งที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแนวโน้มของ ความถี่ของน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น 12% และ อัตราฝนเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่า 20% จากค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี

ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบจัดการน้ำให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับตัวเชิงโครงสร้างและการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่นและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายประสบเหตุอุทกภัย รวม 9 ครั้ง กระจายทุกอำเภอหลัก
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติในปีเดียวสูงถึง 3,200 ล้านบาท
  • พื้นที่ที่อยู่ในโซนเสี่ยงน้ำท่วมตามแผนที่ GIS ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 147 หมู่บ้าน
  • อัตราฝนเฉลี่ยในฤดูฝนปี 2567 อยู่ที่ 1,698 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 17%
    (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน), สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

สรุป

การหารือระหว่างสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ไม่เพียงเสริมสร้างการป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตประชาชนในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ฝุ่น! อบจ. ผนึกกำลังแก้วิกฤต PM 2.5

อบจ.เชียงรายระดมสมองแก้วิกฤติไฟป่า-หมอกควัน ผุดแผนจัดการวัสดุเกษตรยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดประชุมครั้งใหญ่ หารือแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster Operation and Support System: PDOSS) มุ่งบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดอย่างจริงจัง

เชียงรายเผชิญวิกฤตหมอกควันต่อเนื่องยาวนาน

ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายเป็นวิกฤตสำคัญที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าและการเผาวัสดุทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เชียงรายต้องเผชิญกับวิกฤตหมอกควันทุกปี กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน

เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว อบจ.เชียงราย นำโดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ ได้เปิดเวทีประชุมหารืออย่างเป็นทางการขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานสำคัญทั้งจากภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม

บูรณาการหน่วยงานรัฐ เน้นการจัดการวัสดุเกษตรอย่างยั่งยืน

ประเด็นสำคัญที่ถูกยกมาหารือในที่ประชุมครั้งนี้คือ การบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ โดยจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประชากรส่วนใหญ่ ทำให้ในแต่ละปีเกิดการเผาวัสดุการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด เศษใบอ้อย ตอซังข้าว และวัสดุเหลือใช้อื่นๆ เป็นจำนวนมาก หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง วัสดุเหล่านี้จะถูกเผาและกลายเป็นแหล่งกำเนิดควันพิษที่กระทบสุขภาพของประชาชนโดยตรง

ในการประชุมมีหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย โดยมีการเสนอแนวทางบริหารจัดการวัสดุการเกษตรอย่างครบวงจรและยั่งยืน เพื่อลดปัญหาการเผาและส่งเสริมการนำวัสดุเกษตรเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่น เช่น การทำปุ๋ยหมัก หรือเชื้อเพลิงชีวมวล

ผลักดันศูนย์ PDOSS บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงราย ยังได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการทุกภาคส่วนในการจัดการภัยพิบัติทั้งด้านการป้องกัน เตรียมพร้อม และรับมือกับภัยต่างๆ รวมถึงการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 โดยศูนย์นี้จะเน้นการบริหารข้อมูลแบบครบวงจร มีระบบแจ้งเตือนภัยและจัดการเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

จากการหารือครั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว ดังนี้

  1. การส่งเสริมความรู้และการสร้างจิตสำนึก โดยรณรงค์ให้เกษตรกรเลิกเผาวัสดุเกษตรและหันมานำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ
  2. การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการแปรรูปวัสดุเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
  3. การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานทุกระดับ เพื่อให้การจัดการปัญหาเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
  4. การผลักดันเชิงนโยบายอย่างเข้มข้น เช่น การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อให้เกิดการลงทุนและดำเนินงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องสะท้อนความรุนแรงของปัญหา

จากรายงานของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย ปี 2567 พบว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายสูงเกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มากถึง 65 วันต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงของ ซึ่งมีจำนวนวันที่ค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 35 ของทั้งปี นอกจากนี้กรมควบคุมมลพิษยังรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) จากการเผาป่าและวัสดุการเกษตรรวมสูงถึง 3,678 จุด สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ, 2567)

จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายสามารถกลับมาเป็นพื้นที่ที่มีอากาศสะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน และยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย (2567)
  • รายงานกรมควบคุมมลพิษ (2567)
  •  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่ยาว-แม่สลองนอก อบจ. เร่งแก้ภัยแล้ง น้ำมีใช้

อบจ.เชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการป้องกันและแก้ไขภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่จังหวัด

เปิดโครงการสร้างฝายชะลอน้ำพื้นที่แม่ยาว เสริมแกร่งระบบจัดการน้ำชุมชน

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว ตามนโยบาย 7 เรือธงของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพร้อมหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้อยู่ภายใต้การดำเนินการของกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองฯ เป็นผู้ควบคุมดูแลและดำเนินการร่วมกับจิตอาสาผู้ก้าวพลาดจากเรือนจำกลางเชียงรายตามโครงการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคสังคมอย่างแท้จริง

วัตถุประสงค์ของโครงการ: ป้องกันภัยแล้ง – ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ

โครงการฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว มีจุดประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ ส่งเสริมระบบนิเวศน้ำ และช่วยลดความรุนแรงของภัยแล้งในพื้นที่เสี่ยง โดยฝายที่สร้างขึ้นนี้เป็นฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ใช้วัสดุจากธรรมชาติร่วมกับวัสดุพื้นบ้านซึ่งสามารถก่อสร้างได้รวดเร็วในงบประมาณจำกัด ทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นระบบฝายถาวรได้ในอนาคต

ในระยะยาว ฝายชะลอน้ำจะทำหน้าที่เพิ่มระดับน้ำใต้ดิน ส่งผลดีต่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของชุมชน ทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบลุ่มน้ำแม่ยาวอีกด้วย

สำรวจแหล่งน้ำใต้ดินเสริมระบบการจัดการน้ำในพื้นที่สูง

ต่อมาเวลา 12.00 น. นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. ลงพื้นที่ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบสภาพแหล่งน้ำและความเหมาะสมในการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่สูงที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง

จากการสำรวจเบื้องต้น พบแหล่งน้ำใต้ดินที่มีศักยภาพในการขุดเจาะจำนวน 2 จุด ซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในแผนการดำเนินการตามโครงการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาภัยแล้งระยะที่ 2 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ 2568

บูรณาการความร่วมมือภาครัฐและประชาชนเพื่อความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย อบจ. เชียงรายมีเป้าหมายที่จะสร้างฝายชะลอน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำใน 18 อำเภอ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มเติมกว่า 60 จุดภายในปี 2568

สถิติและแหล่งข้อมูลสนับสนุน

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับรุนแรงจำนวน 34 ตำบล ครอบคลุมประชากรประมาณ 126,000 คน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สรวย และเวียงป่าเป้า

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) รายงานว่า การจัดการน้ำในพื้นที่สูงผ่านระบบฝายชะลอน้ำสามารถเพิ่มระดับน้ำใต้ดินเฉลี่ย 30-50 เซนติเมตรต่อปี และช่วยฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำระดับตำบลได้ภายใน 1-2 ปี

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ภัยแล้งในจังหวัดเชียงรายทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงเฉลี่ยปีละ 7-10% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และผลไม้ในพื้นที่สูง

โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินการของศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) จึงนับเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางน้ำ ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการรับมือกับวิกฤติภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

  •  

    สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO)

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย มอบนโยบาย พร้อมรดน้ำดำหัวปี๋ใหม่

นายก อบจ.เชียงราย มอบนโยบายราชการ พร้อมรดน้ำดำหัวผู้บริหาร สืบสานประเพณีสงกรานต์ล้านนา

เชียงรายจัดประชุมบุคลากร อบจ. พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ

เชียงราย, 21 เมษายน 2568 – ที่อาคารคชสาร สนามกีฬากลาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมบุคลากรประจำเดือนมีนาคมและเมษายน 2568 เพื่อมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่บุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากรขององค์กร เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ภายในที่ประชุม นางอทิตาธร ได้กล่าวเน้นย้ำถึงแนวทางการบริหารราชการที่ยึดหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต และเน้นการให้บริการประชาชนอย่างเต็มความสามารถ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ของ อบจ.เชียงราย ในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณะและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้มีการมอบโล่เชิดชูเกียรติและเกียรติบัตรแก่บุคลากรที่มีคุณธรรม จริยธรรม และมีผลงานดีเด่นประจำปี 2568 โดยคัดเลือกจากการเสนอชื่อของแต่ละหน่วยงานภายในองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อเป็นแบบอย่างแก่บุคลากรอื่นและส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดีภายในองค์กร

พิธีรดน้ำดำหัว คณะผู้บริหารและผู้อาวุโส สืบสานประเพณีปี๋ใหม่เมือง

หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ได้มีการจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาฯ และผู้อาวุโส ประจำปี 2568 โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำหัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม

พิธีรดน้ำดำหัวจัดขึ้นตามประเพณีล้านนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปี๋ใหม่เมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความเคารพนบน้อมต่อผู้มีพระคุณ แสดงความกตัญญูกตเวที และขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง การจัดพิธีครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น แสดงถึงความรักความสามัคคีในองค์กร และเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพันของบุคลากรทุกระดับ

การบริหารที่ยึดหลักคุณธรรมและการสืบสานวัฒนธรรมในองค์กรท้องถิ่น

กิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ในการยกระดับคุณภาพการบริหารงานในทุกมิติ โดยเน้นให้บุคลากรทุกระดับตระหนักในบทบาทหน้าที่และร่วมกันผลักดันนโยบายสาธารณะให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในพื้นที่

การมอบรางวัลแก่บุคลากรที่มีคุณธรรมและจริยธรรมดีเด่นยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรในองค์กรเกิดความภาคภูมิใจในบทบาทของตน ส่วนกิจกรรมรดน้ำดำหัวนั้น ถือเป็นการเชื่อมโยงมิติทางวัฒนธรรมเข้ากับภารกิจราชการได้อย่างเหมาะสม สร้างสมดุลระหว่างความเป็นไทยกับการบริหารงานภาครัฐยุคใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในปี 2567 พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินงานด้านคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมองค์กร มีแนวโน้มสร้างความพึงพอใจของประชาชนในระดับสูงขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจาก 76.5% เป็น 81.2% ภายในระยะเวลา 1 ปี (ที่มา: สำนักงาน ก.พ.ร., 2567)

ดังนั้น การจัดประชุมและกิจกรรมในครั้งนี้ จึงถือเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรภาครัฐให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและคุณธรรมควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เวียงชัยอิ่มบุญ อบจ.เชียงราย ร่วมสืบชะตา บรรจุพระธาตุ

อบจ.เชียงราย ร่วมพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เสริมสร้างสิริมงคลแก่ชุมชนท้องถิ่น

จุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาของชุมชนเวียงชัย

เชียงราย, 18 เมษายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนางสาวธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขต 1 อำเภอเวียงชัย ร่วมพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพิธีเจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวงเสริมสิริมงคล ประจำปี 2568 ณ วัดพนาลัยเกษม ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย โดยมีผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

ความสำคัญของพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุถือเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากพระบรมสารีริกธาตุเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ที่ผ่านการบำเพ็ญบุญบารมีมาอย่างยิ่งใหญ่ ชาวบ้านจึงมีความเชื่อมั่นว่าการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจะนำความสุข สงบ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชุมชน อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมศรัทธาและจิตใจของชาวบ้าน ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย

พิธีเจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวง เสริมบุญบารมี

ภายในพิธีนอกจากจะมีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ยังมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวง โดยคณะสงฆ์ในพื้นที่ได้ร่วมกันสวดมนต์เจริญพระพุทธมนต์ เพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดี และเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมพิธี โดยพิธีสืบชะตาหลวงนี้ถือเป็นประเพณีสำคัญที่ชุมชนภาคเหนือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ทรงคุณค่าให้ดำรงอยู่สืบไป

บทบาทของอบจ.เชียงรายในการสนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกอบจ.เชียงราย กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่นมาโดยตลอด เพื่อเสริมสร้างความรักสามัคคีและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งยังส่งเสริมให้ชุมชนมีการศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคมให้มีความสงบสุขและมั่นคง

การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

การจัดพิธีในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดเชียงราย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น สร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศาสนาที่หลากหลาย โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาสัมผัสกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมที่มีคุณค่าของจังหวัดเชียงราย

การวิเคราะห์และแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน

พิธีกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นในการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี ซึ่งการดำเนินงานเช่นนี้ควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างจริงจังและยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชียงราย

จากรายงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2567 พบว่า จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนในกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่า 18% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท (ที่มา: รายงานสถิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2567) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News