Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ยกระดับ! จุลกฐินไทลื้อ “ผ้าทันใจ” มหากุศลรวมใจชุมชน สู่ยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชียงราย

จุลกฐินโบราณคืนชีพ อบจ.เชียงราย-ชุมชนผนึกกำลัง เปลี่ยนประเพณีเป็นทุน สร้างรายได้ยั่งยืน

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — แสงไฟยามค่ำเริ่มทอดเงาบนลำน้ำโขง เงาคนงาน ผู้เฒ่า แม่เครือทอผ้า และเยาวชนในชุดไทลื้อสีครามเข้มกำลังขยับมือ ทำงานแข่งกับเวลา ในศาลาวัดบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่มีใครพูดถึงคำว่า “การจัดงาน” ทุกคนพูดถึงคำเดียวคือ “บุญ”

นี่คือบรรยากาศของ “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” ประเพณีบุญที่กำลังได้รับการฟื้นคืนให้มีชีวิตอย่างจริงจังจากการร่วมมือของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และองค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง) พร้อมการสนับสนุนของอำเภอเชียงของ ในช่วงวันที่ 25–26 ตุลาคม 2568

พิธีเปิดจัดขึ้น ณ วัดบ้านหาดบ้าย โดยมีนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ขณะที่ อบจ.เชียงรายซึ่งนำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา รองประธานสภา อบจ.เชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในนามตัวแทนของจังหวัด เพื่อยืนยันว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงงานประเพณี หากแต่เป็นวาระเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย

จุลกฐิน” มหากุศลแห่งการรวมใจ

แก่นกลางของงานนี้ คือ “จุลกฐิน” หรือที่ชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายเรียกว่า “ผ้าทันใจ” ซึ่งเป็นพิธีบุญโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานในชุมชนไทลื้อทางล้านนา จุลกฐินถือเป็นงานบุญพิเศษที่ไม่ใช่การทอดกฐินแบบทั่วไป หากแต่เป็นการ “ทอผ้า เพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุภายในเวลาจำกัด” คือ ต้องเก็บฝ้าย ฟั่นเส้น กรอ ปั่น ทอ เย็บ ตัด จนกลายเป็นผ้าไตรจีวร ถวายพระเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวาระบุญต่อเนื่อง โดยปกติทำกันภายในช่วงเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง

ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึง “ทั้งหมู่บ้านต้องตื่นพร้อมกัน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานจุลกฐินไม่ใช่เพียงพิธีทางศาสนาหรือการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็น “มหากุศลที่หาชมได้ยากยิ่ง” และยิ่งไปกว่านั้น ความหมายแท้จริงของงาน ไม่ได้อยู่แค่ผืนผ้าที่จะถวายพระ แต่อยู่ที่ “พลังรวมใจของคนทั้งชุมชน”

“ประเพณีนี้ ไม่สามารถสำเร็จลงได้ด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการรวมแรงของทั้งชุมชน ทำทุกขั้นตอนให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด” นายอุดมกล่าวระหว่างเปิดงาน พร้อมย้ำว่า ความพร้อมเพรียงของคนในพื้นที่บ้านหาดบ้ายและบ้านหาดทรายทอง ต.ริมโขง ไม่เพียงเป็นสิ่งน่าประทับใจในมิติของศรัทธา แต่กำลังขยายบทบาทไปสู่ “การบูรณาการและต่อยอดมรดกอันล้ำค่านี้ ให้กลายเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม”

การทอผ้าจุลกฐินตามคติความเชื่อดั้งเดิมของไทลื้อ ไม่ใช่แค่การทำผ้า แต่เป็นการ “ร่วมทำบุญใหญ่” ที่มีคุณค่าทางศาสนาใกล้เคียงกับการบวชของชายหนุ่ม ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาและกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ เนื่องจากสตรีไม่มีโอกาสบวชในเชิงพุทธศาสนาอย่างผู้ชาย การทอผ้ากฐินภายในกำหนดเวลาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นพื้นที่บุญสำคัญของผู้หญิงในชุมชน

ดังนั้น ในคืนก่อนวันถวายผ้า “ผู้หญิงไทลื้อจำนวนมากในชุมชนจะชำระร่างกาย ทำความสะอาดทุกส่วน รักษาศีล ตั้งจิตให้สงบ” ก่อนเริ่มภารกิจที่กินเวลาข้ามคืนตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึงค่ำของวันเดียวกัน — ไม่ใช่เพื่อความสวยงามของผืนผ้าเท่านั้น แต่เพื่อความบริสุทธิ์ของการทำบุญ

นี่คืออัตลักษณ์วัฒนธรรมที่ยืนยันเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงในชุมชน ไม่ได้อยู่ในบทบาท “สนับสนุน” หากแต่เป็น “หัวใจของพิธีกรรม”

ประเพณีเก่าที่ไม่ยอมเก่า ความทรงจำของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย

บ้านหาดบ้าย เป็นชุมชนไทลื้อที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในด่านสำคัญของวัฒนธรรมไทลื้อที่โยกย้ายตั้งถิ่นฐานลงมาจากตอนบนของลุ่มน้ำโขงในอดีต พร้อมขนเอาวิถีชีวิต ภาษา การแต่งกาย การกิน และภูมิปัญญาการทอผ้าลงมาด้วย

ปราชญ์ท้องถิ่นของชุมชนเล่าว่า “จุลกฐิน” หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่บ้านว่า “ทอผ้าทันใจ” มีมาตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าในอดีตจะไม่ได้จัดทุกปีเสมอไป บางช่วงเว้นห่างทุก 3 ปี และในระยะก่อนหน้า พิธีมักจัดกันในลักษณะชุมชนเล็ก ๆ บนพื้นที่กลางหมู่บ้าน โดยมีครอบครัวและกลุ่มแม่หญิงในแต่ละกลุ่มมารวมตัวกัน ทำงานเงียบ ๆ แต่ตั้งใจมาก

รูปแบบในอดีตนั้นเรียบง่าย ไม่มีเวที ไม่มีไฟส่อง ไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์ การทำบุญเป็นกิจกรรมภายในหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่สอนคนรุ่นลูก คนรุ่นลูกสอนคนรุ่นหลาน ต่อเนื่องกันไป นี่จึงเป็นทั้ง “พิธีกรรมทางศาสนา” “กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้” และ “กิจกรรมสร้างความสมัครสมาน” ในคราวเดียวกัน

แตกต่างจากหลายพื้นที่ในล้านนาที่ประเพณีจุลกฐินเริ่มเลือนหายไป บ้านหาดบ้ายกลับรักษาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และในรอบ 3 ปีหลัง ประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบายท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น ผ่านการผลักดันของ อบต.ริมโขง และ อบจ.เชียงราย จนเปลี่ยนจากงานบุญท้องถิ่น ไปเป็น “เวทีวัฒนธรรมสาธารณะ” ในความหมายที่ยังเคารพรากเดิม

กล่าวได้ว่า บ้านหาดบ้ายไม่ได้เพียงรักษาประเพณีเก่าเอาไว้ แต่กำลัง “ใช้ประเพณีเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรม

วัฒนธรรมไม่ใช่ของโชว์ แต่คือเครื่องมือพัฒนาชุมชน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อบจ.ลงพื้นที่ร่วมเปิดงาน พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมในปีนี้อย่างต่อเนื่อง โดย อบจ.เชียงรายอธิบายกรอบการขับเคลื่อนงานไว้ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบยุทธศาสตร์ที่ตั้งใจจะกระจายการท่องเที่ยวจากจุดหลักที่คนทั่วไปคุ้นเคย (ตัวเมืองเชียงราย, ดอยแม่สลอง, วัดร่องขุ่น) ไปสู่ชุมชนชายแดนและชุมชนวัฒนธรรมชาติพันธุ์

เป้าหมายไม่ใช่เพียงการเพิ่มนักท่องเที่ยว แต่เป็นการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” กลายเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมจริง ไม่ใช่การนำวัฒนธรรมไปจัดแสดงแบบแยกออกจากเจ้าของวัฒนธรรม

ในรายละเอียด การสนับสนุนโครงการ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการที่ อบจ.เชียงรายและ อบต.ริมโขงระบุชัด ได้แก่

  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตพื้นบ้าน
    ไม่ใช่การสร้างแหล่งท่องเที่ยวจำลอง แต่ชวนให้ผู้มาเยือนได้เห็น “วิถีจริง” ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นถิ่น การแต่งกายไทลื้อ การทอผ้า การล่องเรือชมโขง หรือการใช้ชีวิตริมชายแดนไทย-ลาว
  2. สร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องที่
    งานจุลกฐินนำโอกาสทางเศรษฐกิจมาสู่คนในหมู่บ้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการจำหน่ายผ้าทอไทลื้อของชุมชนหาดบ้าย การจำหน่ายอาหารพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น และงานหัตถกรรมของกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเยาวชน
    เป้าหมายชัดเจน ให้การท่องเที่ยวเป็น “รายได้จริง” ไม่ใช่ “ภาพจำ” ว่าจังหวัดสวย
  3. สร้างความภาคภูมิใจและความร่วมมือในชุมชน
    การทำบุญร่วมกัน การทำงานร่วมกันแบบข้ามช่วงวัย การได้เห็นว่าทักษะฝีมือ (เช่นการทอผ้า) ถูกยอมรับในฐานะทุนของหมู่บ้าน ล้วนเป็นกลไกสร้างขวัญกำลังใจให้คนในพื้นที่เชื่อมั่นว่า “คุณค่าของเรา มีคนเห็น และมีคนพร้อมสนับสนุน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานครั้งนี้เป็นภาพสะท้อน “พลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ” ที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยย้ำว่า “พลังแห่งศรัทธาและความสามัคคี ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในขอบเขตของประเพณี แต่กำลังถูกต่อยอดเป็นรูปธรรมไปสู่การสร้างรายได้ให้ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”

เชียงของ ไม่ใช่แค่เมืองชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

อำเภอเชียงของตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ติดชายแดน สปป.ลาว เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลเข้าสู่ประเทศไทยตอนเหนือ พร้อมบทบาทด้านเศรษฐกิจเชื่อมการค้าไทย–ลาว–จีน และเส้นทางสัญจรของผู้เดินทางระหว่างอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงของเคยถูกมองว่าเป็น “เมืองทางผ่าน” สำหรับนักเดินทางไป–กลับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปัจจุบันกำลังถูกออกแบบใหม่ให้เป็นจุดหมายในตัวเอง ผ่านการยกระดับสินค้าการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น

  • การท่องเที่ยวแม่น้ำโขงทั้งทางเรือและทางจุดชมวิว
  • การท่องเที่ยววิถีชาติพันธุ์
  • การเดินถนนคนเดินชุมชน
  • การท่องเที่ยวสืบสานงานบุญและประเพณีท้องถิ่น

พื้นที่ตำบลริมโขงมีชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทลื้อ ไทยลาว ม้ง อาข่า ขมุ และคนพื้นเมืองล้านนา แต่ละกลุ่มมีทั้งภาษา อาหาร การแต่งกาย และขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน งานจุลกฐินจึงไม่ใช่แค่พิธีทางพุทธศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เวทีแสดงตัวตน” ของคนในพื้นที่ชายแดน โดยเปิดให้คนนอกได้เข้ามาเรียนรู้ด้วยความเคารพ

ในมิติพื้นที่ การจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในชุมชนหาดบ้าย–หาดทรายทองยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2566–2570) และยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่ง “สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์โดยดำรงฐานวัฒนธรรมล้านนา” รวมถึงแนวนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชาติที่เน้นให้ชุมชนท้องถิ่นบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืนได้ด้วยกำลังของชุมชน

กล่าวในเชิงกฎหมายและนโยบายท้องถิ่น การดำเนินโครงการดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2552 ตลอดจนกรอบอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ที่มอบหมายให้ท้องถิ่น “พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่” รวมถึง “คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” และ “บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร”

กล่าวอีกแบบ นี่ไม่ใช่งานเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางกฎหมายและอำนาจของท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างตรงเป้า

จุลกฐิน ไม่ใช่แค่การสืบสาน แต่คือการต่อยอดอนาคต

ในเวทีเปิดงาน นายอุดม ปกป้องบวรกุล กล่าวถึงความหมายของโครงการครั้งนี้ว่า “ขอเชิญทุกท่านอิ่มบุญไปกับมหากุศลจุลกฐิน และอิ่มใจไปกับไมตรีจิตและวิถีวัฒนธรรมอันงดงามของชาวเชียงของ” พร้อมกล่าวขอบคุณหัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมมือกันสนับสนุนการจัดงาน โดยย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือพลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ ที่ไม่เพียงอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่กำลังสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง”

สาระสำคัญนี้สะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของงาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” นั่นคือ

  • สร้างพื้นที่บุญของชุมชน ผ่านการทอผ้าจุลกฐินหรือ “ผ้าทันใจ” ซึ่งตามคติของชุมชนถือเป็นบุญใหญ่ และเป็นพื้นที่แสดงบทบาทนำของสตรีไทลื้อ
  • สร้างความสามัคคีในหมู่คนทุกเพศ ทุกวัย ในชุมชนหาดบ้ายและหาดทรายทอง ผ่านกระบวนการลงแรงร่วมกัน
  • ยืนยันอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มไทลื้อ และทำให้คนภายนอกเข้าใจวัฒนธรรมด้วยสายตาที่ “เห็นคุณค่า” ไม่ใช่ “มองเป็นของแปลกตา”
  • ปูรากฐานชุมชนให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เสริมศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของพื้นที่

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทใหม่ของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังมุ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า ไม่ใช่เพียงเชิงปริมาณ และกำลังส่งเสริมบทบาทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนฐานทุนทางวัฒนธรรม เพื่อพยุงรายได้ของประชาชนในยุคที่สภาพเศรษฐกิจฐานรากเผชิญความผันผวน

บุญที่ไม่ใช่แค่ศรัทธา แต่คือการพัฒนาที่ยืนบนเท้าของคนในพื้นที่

สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ในค่ำคืนวันที่ 25 ตุลาคม 2568 จึงไม่ใช่แค่การฟื้นฟูประเพณีโบราณ แต่คือแบบจำลองของการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมที่มีเจ้าของคือชุมชนเอง

ในภาพกว้าง นี่คือการเชื่อมต่อ “ศรัทธา–อัตลักษณ์–เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีกลไกรองรับในเชิงนโยบาย ตั้งแต่ อบต.ริมโขง ที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนถึง อบจ.เชียงราย ที่มองภาพรวมทั้งจังหวัดผ่านยุทธศาสตร์ “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” และฝ่ายปกครองอำเภอเชียงของที่ยืนยันบทบาทความร่วมมือของหน่วยงานรัฐท้องถิ่นและประชาชน

ท่ามกลางโลกที่การพัฒนามักถูกวัดด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” เสนอเกณฑ์วัดอีกแบบหนึ่ง — นั่นคือ ความสามารถของชุมชนในการยืนยันคุณค่าของตนเอง และเปลี่ยนคุณค่านั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งรากเหง้า

หรือพูดให้ชัดในภาษาของคนท้องถิ่น บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แค่บุญของวัด แต่เป็นบุญของทั้งหมู่บ้าน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อบจ.เชียงราย
  • ภาพ กีรติ ชุติชัย
  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

3 ทางคู่ขนานสู่ทางรอด! อบจ.เชียงรายเร่งสำรวจ-อนุญาต-ขุดลอก ลำน้ำจันก่อนฤดูฝนหน้า

นายก อบจ.เชียงราย สั่งเร่งเครื่อง “ปลดล็อกลำน้ำจัน” แม่จัน—ป่าตึง แก้น้ำท่วมซ้ำซากด้วย 3 ทางคู่ขนาน สำรวจ-อนุญาต-ขุดลอกตามกฎหมาย

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568สัญญาณจากลุ่มน้ำที่ไม่เคยเงียบ ลำน้ำจันในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เพียงเส้นน้ำที่ไหลผ่านทุ่งนาและชุมชน หากแต่เป็น “เส้นเลือด” ของเศรษฐกิจฐานราก—ตั้งแต่ข้าวไร่ ข้าวนา ไปจนถึงเส้นทางสัญจรและโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น ทุกครั้งที่ฝนหลงฤดูกาลหรือลมมรสุมทวีแรง ระดับน้ำในลำน้ำจันขยับขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพน้ำเอ่อสองฝั่งและข่าวสะพานขาดจึงปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็น “เรื่องเล่าประจำฤดู” ของแม่จันและตำบลป่าตึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ท่วมฉับพลันหลายครั้งในช่วงปี 2566–2568 ที่ย้ำเตือนให้หน่วยงานรัฐต้องลงมือแก้ที่ “ต้นเหตุ” มากกว่าไล่ปิดจุดเสี่ยงทีละจุดในนาทีสุดท้ายของวิกฤต และยิ่งเมื่อลำน้ำแม่จัน—เครือข่ายเดียวกับลำน้ำจัน—เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสำคัญของเชียงราย ความชัดเจนด้าน “แผนงาน–อำนาจ–กฎหมาย” จึงต้องมาก่อนเครื่องจักรกลหนักเสมอ

อบจ.เชียงรายประกาศวาระเร่งด่วน “ลำน้ำจัน”

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. พร้อมนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ. นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบลำน้ำจัน ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน รับฟังข้อเท็จจริงจากผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และประชาชน โดยสรุปสาเหตุหลักของปัญหาว่า “ทางน้ำตื้นเขินจากตะกอนดินทับถมและวัชพืชหนาแน่น” ขณะที่การเข้าเครื่องจักรขุดลอกติดข้อจำกัดเชิงกฎหมาย เพราะแนวลำน้ำบางตอนทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นทางน้ำที่อยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า (สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย) จึงต้องดำเนินการ “ขออนุญาตตามขั้นตอน” ก่อนทุกครั้ง. (ถ้อยแถลง/สรุปสาระจากการลงพื้นที่)

ประเด็นนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่ทุกหน่วยในสนามต้องยึดถือการปรับปรุงลำน้ำ–ขุดลอกในทางน้ำสาธารณะอยู่ภายใต้ระเบียบกรมเจ้าท่า และเมื่อแนวลำน้ำพาดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ งานดังกล่าวต้องสอดคล้องกับกฎหมายป่าสงวนฯ และหลักเกณฑ์อนุญาตใช้ประโยชน์ในเขตป่าโดยเคร่งครัด

ภูมิทัศน์ภัยเสี่ยงลำน้ำตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น–ฝนหลากเร็ว

ชุมชนริมลำน้ำจันและลุ่มน้ำแม่จันรู้ซึ้งดีว่า “ความเสี่ยงเกิดไว” แค่ฝนต่อเนื่องไม่กี่ชั่วโมง น้ำป่าไหลหลากก็ทวีแรง เกิดน้ำเอ่อสองฝั่ง กระทบพื้นที่อยู่อาศัย–ถนน–สะพาน และพื้นที่เกษตร ข้อมูลข่าวและคลิปเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนรูปแบบภัยซ้ำระดับน้ำขึ้นรวดเร็วในเวลากลางคืน ก่อนลดลงในชั่วโมงถัดมา ทิ้งโคลนตมและความเสียหายไว้เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน สะพานและจุดข้ามที่เป็น “คอขวด” กลับยิ่งเปราะบางเมื่อทางน้ำตื้นเขิน เพราะแรงดันน้ำกระแทกโครงสร้างโดยตรงในช่วงพีก

นอกจากนี้ จุดวัดระดับน้ำใกล้สะพานบ้านป่าตึงในแม่จัน ซึ่งเผยแพร่ค่าระดับเตือนภัย–วิกฤตอย่างสม่ำเสมอ ยังชี้ให้เห็น “กระพือคลื่นระดับน้ำ” ในบางเหตุการณ์ ที่ระดับน้ำไต่เส้นเตือนภัยอย่างฉับพลัน ขีดเส้นใต้ข้อเท็จจริงว่า การรู้เท่าทันสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และการเพิ่ม “ความสามารถระบายน้ำ” ในทางน้ำหลัก คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการลดความเสียหายซ้ำรอบ

โครงสร้างกฎหมายทำไม “มีรถ–มีแบ็กโฮ” แต่ยังลงมือไม่ได้

1) ทางน้ำสาธารณะในกำกับกรมเจ้าท่า
ระเบียบและหลักเกณฑ์ของกรมเจ้าท่ากำหนดชัดว่า งานขุดลอกเพื่อดูแลรักษาสภาพลำน้ำ–ลำคลอง–แม่น้ำ ต้อง “ขออนุญาตเป็นหนังสือ” แนบแบบคำขอ รายละเอียดแนวขุดลอก ปริมาณวัสดุ วิธีขนย้าย–ทิ้งกอง และหนังสือยินยอมของเจ้าของที่ดินกรณีนำวัสดุขึ้นฝั่ง รวมถึงเอกสารสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการไหล–การเดินเรือ–ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมลำน้ำ

2) เขตป่าสงวนแห่งชาติในกำกับกรมป่าไม้
เมื่อแนวลำน้ำบางช่วงทับซ้อนเขตป่าสงวนฯ การเข้าดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนกำหนด อนุญาตเป็นรายกรณี–ตามวัตถุประสงค์–ตามช่วงเวลา และเงื่อนไขลดผลกระทบต่อทรัพยากร ก่อนจะเดินหน้าเครื่องจักรได้จริง

3) หลักคิด “กฎหมายก่อนเครื่องจักร”
สำหรับท้องถิ่น หลักคิดนี้หมายความว่า แม้องค์กรจะพร้อมด้วยเครื่องจักรและคน แต่หากยังไม่ “เคลียร์อำนาจและอนุญาต” ทุกฟันเฟืองก็ขยับไม่ได้ เพราะการขุดลอกโดยมิชอบอาจก่อผลกระทบข้ามเขต ทั้งตลิ่งพัง–ตะกอนไหล–รุกล้ำตลิ่งสาธารณะ และอาจเป็นความผิดตามหลายกฎหมายพร้อมกัน

เสียงจากสนามคำย้ำชัดของรองนายก อบจ.เชียงราย

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลหลังลงพื้นที่ว่า “เครื่องจักร อบจ. พร้อมเข้าทำงาน แต่ ณ ตอนนี้ยังเข้าเครื่องจักรไม่ได้ เพราะต้องรอการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และกรมป่าไม้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องตามระเบียบ” พร้อมมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่งในแนวลำน้ำที่ได้รับผลกระทบร่วมกัน “เร่งจัดทำคำขอ–แผนที่สังเขป–แนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน และเอกสารแนบ” เพื่อยื่นขออนุญาตให้ทัน “ช่วงฤดูแล้ง” ซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานในลำน้ำ

สาระสำคัญของถ้อยแถลงนี้ชี้เป้าไปที่ “การจัดการเชิงระบบ” มากกว่าการแก้จุดเฉพาะหน้า เพราะถ้าเอกสารไม่ครบหรือเสนอไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ งานจะสะดุดตั้งแต่ชั้นพิจารณา และฤดูฝนรอบใหม่อาจมาถึงก่อนที่เครื่องจักรจะได้แตะตลิ่ง

จากข้อมูลสู่แผน3 ทางคู่ขนาน “สำรวจ–อนุญาต–ขุดลอก”

ทางที่ 1: สำรวจ–ออกแบบเชิงชลศาสตร์
เริ่มจากสำรวจความกว้าง–ลึก–ความลาดเอียงของท้องน้ำ ระบุ “คอขวดไฮดรอลิก” ที่เกิดจากตะกอน–ผักตบ–ไม้ล้ม–สิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำ กำหนดระยะขุดลอกและแนวตัดแต่งพืชน้ำแบบมี “บัฟเฟอร์โซน” รักษาตลิ่ง ลดการพังทลาย พร้อมกำหนดจุดพักตะกอน–จุดทิ้งกอง และเส้นทางขนย้ายที่ไม่ผ่านพื้นที่อ่อนไหว

ทางที่ 2: อนุญาต–เคลียร์กฎหมาย
ยื่นคำขอขุดลอกตามแบบของกรมเจ้าท่า (แบบ ข.1) แนบเอกสารให้ครบถ้วน รวมถึงหนังสือยินยอมพื้นที่ทิ้งกอง วางแผนเวลา–วิธีการทำงานในเขตป่าสงวนฯ ตามกรอบของกรมป่าไม้ ทำ TOR และมาตรการป้องกันผลกระทบ (เช่น ควบคุมขุ่น–ป้องกันตลิ่งพัง–จัดการตะกอน) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ฝ่ายอนุญาตพิจารณาได้เร็วและเชื่อมั่นได้

ทางที่ 3: ขุดลอก–บำรุงรักษาต่อเนื่อง
เมื่อได้รับใบอนุญาต ให้เข้าดำเนินการในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงน้ำหลาก ระบุ “ช่วงยกระดับมาตรฐาน” เช่น ตัดวัชพืชซ้ำทุก 3–6 เดือน ในจุดที่เป็นคอขวด ติดตามระดับความลึกหลังขุดลอก พร้อมระบบรายงานผล–โปร่งใส เปิดเผยแก่สาธารณะ

ทำไม “ฤดูแล้ง” คือหน้าต่างเวลา

งานในลำน้ำระหว่างฤดูแล้งช่วยลดผลกระทบ 3 ประการ หนึ่ง ลดความเสี่ยงน้ำขุ่นและตะกอนเคลื่อนย้ายลงท้ายน้ำ สอง เครื่องจักรทำงานได้ปลอดภัยและแม่นจุดมากขึ้น สาม เปิดพื้นที่ท้องน้ำให้พร้อมรับปริมาณน้ำช่วงต้นฤดูฝน ทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางของกรมเจ้าท่าที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสภาพลำน้ำเพื่อการเดินเรือ–ป้องกันอุทกภัย–และความปลอดภัยสาธารณะ

มิติสังคม–เศรษฐกิจ เม็ดเงินซ่อมสะพาน vs งบป้องกัน

เมื่อสะพานหรือถนนได้รับผลกระทบจากน้ำหลาก งบซ่อมบำรุงมักสูงและใช้เวลานาน ขณะที่การ “เพิ่มความสามารถระบายน้ำ” ตั้งแต่ต้นทางผ่านการขุดลอกตามหลักวิศวกรรม และการจัดระเบียบสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามกฎหมาย อาจใช้งบน้อยกว่าและสร้างผลคุ้มค่าในระยะกลาง–ยาว ที่สำคัญคือคืน “ความมั่นใจ” ให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพราะการคาดการณ์เส้นระดับน้ำในเหตุการณ์ฝนหนักจะดีขึ้น เมื่อช่องทางน้ำไม่ถูกหรี่ด้วยตะกอนและวัชพืช

รู้จักเครือข่ายลำน้ำ  “น้ำแม่จัน–น้ำจันน้อย–ลำน้ำจัน”

ฐานภูมิศาสตร์บอกเราว่า น้ำแม่จันมีสาขาสำคัญหลายเส้น รวมทั้งน้ำจันน้อย และไหลผ่านตำบลป่าตึงก่อนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำในเชียงแสน ความยาวลำน้ำราว 86 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำราว 236 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็น “แหล่งปลูกข้าวสำคัญ” ของเชียงราย โจทย์น้ำท่วมในแม่จัน–ป่าตึง จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะหมู่บ้าน แต่กระทบเครือข่ายเศรษฐกิจทั้งลุ่มน้ำ หากบริหารจัดการได้ดี ผลลัพธ์จะสะท้อนกลับเป็น “เสถียรภาพรายได้” ของครัวเรือนเกษตรจำนวนมาก

หลักฐานภาคสนาม ร่องรอยเหตุการณ์ซ้ำ–ข้อมูลเตือนภัย

ข่าวและรายงานภาคสนามต่อเนื่องในช่วงพายุฝน ปี 2566–2567–2568 ยืนยันภาพ “น้ำหลากฉับพลัน” ในแม่จันและป่าตึง แม้ทรัพย์สินเสียหายไม่รุนแรงในบางครั้ง แต่จุดวิกฤตอย่างสะพานเหล็กข้ามลำน้ำจันเคยถูกน้ำพัดขาด ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำในป่าตึงมีเกณฑ์เตือนภัย–วิกฤตชัดเจนให้ติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนควรใช้เป็น “เรดาร์ร่วม” เพื่อกำหนดขั้นปฏิบัติการอพยพ–ปิดจุดเสี่ยง–และเปิดทางน้ำทดแทนในระยะสั้น.

แนวทางปฏิบัติ (เช็กลิสต์) สำหรับท้องถิ่น 5 องค์กรในแนวลำน้ำ

  1. ตั้ง “คณะทำงานเอกสารอนุญาต” ร่วมกับ อบจ.–สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค–หน่วยป่าไม้ ระบุแนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน–บัฟเฟอร์โซนตลิ่งให้ชัด
  2. ใช้ “ข้อมูลระดับน้ำ” จากสถานีป่าตึงและจุดใกล้เคียง เป็นฐานออกแบบทางชลศาสตร์และกำหนดช่วงเวลาทำงาน
  3. จัดทำ “แผนที่สิ่งล่วงล้ำลำน้ำ” แบบเปิดเผย—ท่าเทียบเรือ ท่อ–คู–คลองเชื่อม เสา–สะพาน พร้อมแผนรื้อเฉพาะที่จำเป็นตามกฎหมาย
  4. กำหนด “มาตรการสิ่งแวดล้อม” เฉพาะจุด เช่น ผ้ากรอง–บ่อดักตะกอน–เสริมตลิ่งแบบนุ่ม ลดการพังทลายหลังขุด
  5. ออกแบบ “ปฏิทินบำรุงรักษา” ตัดวัชพืชซ้ำ–กำจัดตะกอนคอขวดทุก 3–6 เดือน โดยรายงานต่อสาธารณะ

เสียงประชาชนต้องมากับ “ข้อมูลที่จับต้องได้”

ความเชื่อมั่นของชุมชนไม่ได้เกิดจากรถแบ็กโฮที่ลงทำงานเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ข้อมูล–กติกา–ความโปร่งใส” เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์หน้าพื้นที่ทำงาน แสดงแผนที่แนวขุด–ปริมาณตะกอน–ช่วงเวลา–ผู้รับผิดชอบ–เลขที่ใบอนุญาตกรมเจ้าท่า–เลขที่อนุญาตเขตป่าสงวนฯ และช่องทางร้องเรียน เมื่อประชาชนเห็นกระบวนการครบถ้วน จะพร้อมเป็น “ผู้ร่วมเฝ้าระวัง” มากกว่าเป็นเพียง “ผู้ถูกกระทบ”

 “ฤดูแล้งนี้” คือความท้าทาย

ถ้าทุกเอกสารสามารถยื่นและพิจารณาได้ทันฤดูแล้งปีนี้ โอกาสแก้คอขวดไฮดรอลิกในช่วงสำคัญของลำน้ำจันจะสูงขึ้นมาก ระดับน้ำพีกในฤดูฝนถัดไปมีแนวโน้มลดลง และความเสียหายต่อสะพาน–ถนน–พื้นที่เกษตรจะลดความถี่ลง แต่หากเอกสารสะดุดหรือติดเงื่อนไขพื้นที่ซับซ้อน งานขุดลอกอาจต้องเลื่อนไป ซึ่งหมายถึง “ต้นทุนเวลา” ที่ชุมชนต้องแบกรับ

กฎหมาย–เครื่องจักร–ชุมชน ต้องเดินพร้อมกัน

กรณีลำน้ำจัน ป่าตึง–แม่จัน คือบทพิสูจน์ของการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ อบจ.เป็นแม่งานประสาน เชื่อม 5 ท้องถิ่นให้ยื่นอนุญาตเร็ว กรมเจ้าท่ากำกับตามหลักวิชาชีพและความปลอดภัยทางน้ำ กรมป่าไม้สร้างสมดุลการใช้ประโยชน์–การอนุรักษ์ ขณะที่ชุมชนช่วยเฝ้าระวัง–แจ้งเตือนและร่วมดูแลตลิ่ง หาก “เอกสาร–วิศวกรรม–การมีส่วนร่วม” เดินทันฤดูแล้ง เครื่องจักรจะได้ลงทำงานอย่างถูกต้อง และฤดูฝนหน้าจะไม่เป็น “ฤดูซ้ำรอย” อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” ลุยนโยบาย ขยาย “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” กู้ชีพหนองหลวงรับฤดูกาลท่องเที่ยว

นายกนก” ลุยนโยบายท่องเที่ยวทั้งจังหวัด อบจ.เชียงรายจับมือเวียงชัย จัด “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” ควบคู่ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” เร่งเคลียร์ผักตบ 40% ภายใน 28 วัน รับฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อเสียงลมหนาวกระทบยอดดอยและแม่น้ำกกเริ่มนิ่งสงบ เมืองเชียงรายก็กำลังเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลปลายปีด้วย “สองภารกิจใหญ่” ที่เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างมีทิศทาง—ภารกิจแรกคือการ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย ออกจากตัวเมืองสู่ระดับ “โซนอำเภอ” โดยเลือก อำเภอเวียงชัย เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อแผ่รัศมีเศรษฐกิจสร้างสรรค์และท่องเที่ยวไปให้ถึงชุมชนฐานราก; ภารกิจที่สองคือ ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” แหล่งน้ำสำคัญของเวียงชัยที่ถูกวัชพืชน้ำรุกคืบยาวนาน—วันนี้เริ่มเห็นทางออกด้วยตัวเลขก้าวกระโดด กำจัดผักตบชวาแล้วกว่า 40% ภายใน 28 วัน

การขับเคลื่อนครั้งนี้นำโดย อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากเรียกว่า “นายกนก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งย้ำทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ว่าต้องไปไกลกว่า “อีเวนต์สวยงาม” และต้องลงถึง “พื้นที่จริง” เพื่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้

มหกรรมไม้ดอก “โซนอำเภอ” จุดติดเศรษฐกิจฐานราก

ภาพจำของงานไม้ดอกเชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมามักผูกอยู่กับพื้นที่ใจกลางเมือง—สวนไม้งามริมน้ำกก—ซึ่งจะยังคงเป็น “เวทีหลัก” ของเทศกาลปลายปีนี้ ระหว่าง 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 แต่ปีนี้ อบจ.เชียงรายเพิ่มเดิมพันด้วยการ “แตกจุดจัด” ไปยัง อำเภอเวียงชัย เปิดโซนใหม่ภายใต้ชื่อ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย โซนอำเภอ เวียงชัย” ในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อกระจาย “นักท่องเที่ยว–รายได้–โอกาส” ออกจากตัวเมืองสู่ชุมชน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ของการย้ายบางกิจกรรมไปโซนอำเภอมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  1. กระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น—ตั้งแต่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ไปจนถึงสินค้าชุมชน
  2. เพิ่มจุดหมาย สำหรับนักท่องเที่ยวให้เดินทาง “วนรอบจังหวัด” แทนการเที่ยวเพียงย่านเดียว ลดการแออัดของเมือง
  3. ต่อยอดทรัพยากรพื้นที่ โดยเฉพาะ “หนองหลวง” ให้กลับมาเป็นเวทีท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมพื้นที่กิจกรรมริมน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเวียงชัย

การตัดสินใจเชิงนโยบายนี้ถูกแปรรูปเป็นงานปฏิบัติเมื่อ 20 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา—นายกนก พร้อม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย (ส.อบจ.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงนั่งโต๊ะประชุมกับผู้นำ ท้องที่–ท้องถิ่น อ.เวียงชัย ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 อบจ.เชียงราย เพื่อ ล็อกแผนภูมิทัศน์–พื้นที่กิจกรรม–ผลประโยชน์ชุมชน ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

“งานใหญ่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อชาวบ้านมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จริง—เราจะทำให้ ทุกอำเภอมี ‘เรื่องเล่า’ ของตัวเอง และนำเสนอเชียงรายในแบบที่หลากหลายตลอดทั้งปี” – แนวคิดที่ทีมงานอ้างถึง นายกนก ในที่ประชุม

 “หนองหลวง” แหล่งน้ำใหญ่กำลังขอความช่วยเหลือ

เบื้องหลังการขยับขยายงานไม้ดอกไปเวียงชัย มี “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ทีมงานต้องเร่งแก้ไขให้ได้ก่อน—คือการฟื้นฟู หนองหลวง” แหล่งน้ำขนาดใหญ่ของอำเภอที่ ผักตบชวาและวัชพืชน้ำ บุกรุกหนาแน่นมานาน ส่งผลให้ทิวทัศน์เสื่อมโทรม ระบบนิเวศอ่อนแอ และประโยชน์ใช้สอยของชุมชนลดลง

Storytelling ของหนองหลวง—ในความทรงจำของคนเวียงชัย หนองหลวงเคยเป็นพื้นที่ทอดสายลมเย็น มีแพประมงและเส้นทางจักรยานเลียบฝั่งน้ำ เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำช่วงปิดเทอม ผู้เฒ่าผู้แก่พายเรือวางอีจู้ดักปลา เมื่อเวลาผ่านไป วัชพืชก็มากับน้ำดีและตะกอน ทับถมจนผิวหนองแน่นขึ้นทุกปี ความงามค่อย ๆ ถูกบัง—และเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึง กลายเป็น “แรงผลัก” ให้การฟื้นฟูครั้งใหญ่ต้องเริ่มต้นอย่างจริงจัง

หน่วยปฏิบัติการ ของ อบจ.เชียงราย จึงถูกส่งเข้าแนวหน้า—นำโดย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเปิดเผยความคืบหน้าว่า ตลอด 28 วันของการทำงานต่อเนื่อง สามารถเคลียร์พื้นที่วัชพืชแล้วกว่า 40% ของเป้าหมาย ตัวเลขนี้ไม่เพียงหมายถึงทิวทัศน์ที่โปร่งตา หากยังส่งผลเชิงโครงสร้าง 3 ประการ ได้แก่

  • ด้านท่องเที่ยว เปิดฉากให้กิจกรรมริมน้ำและเส้นทางเดิน–ปั่นจักรยานกลับมาเป็นไฮไลต์ของเวียงชัย
  • ด้านป้องกันภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดจุดอุดตัน ลดความเสี่ยงน้ำท่วมเฉียบพลัน
  • ด้านคุณภาพชีวิต คืนความสะอาดให้แหล่งน้ำชุมชน สร้างโอกาสต่อยอด เกษตร–ประมงพื้นบ้าน อย่างปลอดภัย

ทีมงานเดินแผน เร่ง–รัด–ละเอียด” ควบคู่กัน—ใช้งานเครื่องจักรหนักกำจัดผักตบชวาเป็นตอตั้ง จากนั้นเก็บเศษซากขึ้นฝั่งเพื่อขนย้ายไปกำจัดอย่างถูกวิธี ปิดท้ายด้วยการปรับสโลป–เกลี่ยตลิ่งให้เป็นแนวทางเดินเล่น–ปั่นจักรยานที่เชื่อมพื้นที่กิจกรรมหลักของงานไม้ดอก

 “สวนไม้งามริมน้ำกก” กับ “โซนเวียงชัย” – สองเวที หนึ่งประสบการณ์

งานมหกรรมไม้ดอกปลายปีนี้ถูกวางตำแหน่งเป็น “ของขวัญส่งท้ายปี” ให้คนเชียงรายและนักท่องเที่ยว ทั้งในเชิง ภาพลักษณ์เมืองงาม และ แรงส่งเศรษฐกิจท่องเที่ยว โดย อบจ.เชียงรายกำหนดให้ สวนไม้งามริมน้ำกก ทำหน้าที่เป็น “เวทีหลัก” ที่ผู้คนคุ้นเคย—เนรมิตทุ่งดอกไม้หลากสีพร้อมโครงสร้างศิลป์ร่วมสมัย ขณะเดียวกัน โซนเวียงชัย จะเป็น “เวทีย่อย” ที่โดดเด่นด้วย เรื่องเล่าท้องถิ่น และ กิจกรรมริมน้ำ เช่น ตลาดชุมชน โซนชิม–ช็อป–เช็กอิน และพื้นที่เดิน–ปั่นชมวิวหนองหลวงที่เพิ่งรีเฟรช

การจัด สองเวทีคู่ขนานในช่วงเวลาเดียวกัน มีเป้าหมายให้ผู้มาเยือนใช้เวลาในจังหวัดนานขึ้น—จาก “ทริปเช้าเย็นกลับ” กลายเป็น ค้างคืน 2–3 คืน กระจายการจับจ่ายในวงกว้างขึ้น โดยผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ตรง ได้แก่ ที่พักขนาดเล็ก โฮมสเตย์ ร้านอาหารชุมชน ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมือง และผู้ให้บริการนำเที่ยวท้องถิ่น

โครงสร้างการทำงาน ผนึกกำลัง “ท้องที่–ท้องถิ่น–ท้องถิ่นใหญ่”

เพื่อให้ระบบเดินหน้าอย่างไร้รอยต่อ อบจ.เชียงรายขับเคลื่อนผ่าน สามวงแหวนความร่วมมือ

  1. วงใน – ทีมปฏิบัติการ อบจ. ฝ่ายปกครอง, สำนักช่าง, ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทำหน้าที่วางแบบ–เร่งงาน–กำกับมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
  2. วงกลาง – อำเภอเวียงชัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล/อบต. ร่วมกำหนดพื้นที่ เวลาจัดกิจกรรม ระบบจราจร–ที่จอดรถ และเงื่อนไขการใช้พื้นที่ของชุมชนเพื่อให้ “คนในพื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด”
  3. วงนอก – ภาคีเครือข่ายเศรษฐกิจและสังคม ภาคธุรกิจท่องเที่ยว, โรงแรม, กลุ่มอาชีพ, ภาคประชาสังคม ทำบทบาท “สื่อสาร–ต้อนรับ–ดูแลนักท่องเที่ยว” ให้ประสบการณ์โดยรวมของผู้มาเยือนราบรื่น

ในเชิงธรรมาภิบาล ทีมงานย้ำหลัก โปร่งใส–ตรวจสอบได้–มีส่วนร่วม” เช่น การชี้แจงข้อมูลการปรับภูมิทัศน์และการใช้พื้นที่สาธารณะต่อชุมชนรอบหนองหลวง การเปิดช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะก่อนปิดแบบพื้นที่กิจกรรม และการตั้งคณะทำงานร่วมติดตามความคืบหน้ารายสัปดาห์จนถึงวันเปิดงาน

ตัวเลขเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่ของเมือง

  • 28 วัน – 40%: คือความคืบหน้ากำจัดวัชพืชน้ำในหนองหลวงภายใต้การนำของฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย—ตัวเลขที่ไม่เพียงสะท้อน “ความเร็ว” แต่หมายถึง “ความตั้งใจ” ที่ถูกแปลงเป็นผลลัพธ์จริงบนพื้นที่
  • 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569: เป็น “ช่วงโกลเดนไทม์” ของการท่องเที่ยวปลายปี—การเลือกจัดงานไม้ดอกในช่วงนี้คือการกดปุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยจังหวะเวลา
  • เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”: สโลแกนที่กำลังถูกพิสูจน์ผ่านการลงมือในเวียงชัย—หากโมเดลโซนอำเภอสำเร็จ สามารถขยายไปสู่อำเภออื่น ๆ ได้ทันที ทั้งแม่จัน แม่สาย พาน เชียงของ ฯลฯ โดยปรับ “เรื่องเล่า–สินค้า–กิจกรรม” ให้เหมาะกับบริบทพื้นที่

ทำอย่างไรให้ “โซนอำเภอ” เป็นมากกว่าพื้นที่เสริม

เพื่อให้การจัดมหกรรมไม้ดอกในระดับอำเภอไม่ใช่เพียง “สีสันตามเทศกาล” แต่เป็น โครงสร้างการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ยืนระยะได้ ข่าวชิ้นนี้สรุป ข้อเสนอเชิงระบบ 5 ประการจากการแลกเปลี่ยนในที่ประชุมและภาคสนาม ดังนี้

  1. วางผังประสบการณ์ (Experience Mapping) – กำหนดจุดเริ่ม–จบ เส้นทางเดิน–ปั่น จุดถ่ายรูป จุดชิม–ช็อป และจุดพัก เพื่อควบคุมโฟลว์นักท่องเที่ยวและลดคอขวด
  2. โควตาพื้นที่ขายสำหรับชุมชน – กันสัดส่วนพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้วิสาหกิจชุมชน–OTOP–เกษตรแปรรูปในเวียงชัย เพื่อให้รายได้ตกสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง
  3. กฎสิ่งแวดล้อมเข้ม–สื่อสารเป็นสากล – กำหนดมาตรฐานขยะ แยกถัง จุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ พร้อมสื่อสาร 2 ภาษา (ไทย–อังกฤษ) อย่างชัดเจน
  4. ความปลอดภัยน่านฟ้า–ภาคพื้น – ประสานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ตำรวจ–ท้องถิ่น ย้ำมาตรการ งดโคม–ควบคุมโดรน ในช่วงกิจกรรมเพื่อความปลอดภัยของการบินและผู้ร่วมงาน
  5. ระบบติดตามหลังงาน (After Action Review) – เก็บข้อมูลผู้เข้าร่วม ยอดใช้จ่าย ปัญหา–ข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงโมเดลโซนอำเภอในปีถัดไป

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ งานใหญ่ที่ชาวบ้านต้องเป็น “เจ้าของร่วม”

แม้ข่าวนี้จะเป็นการรายงานจากฝั่งนโยบายและการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย แต่หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ การมีส่วนร่วมของชุมชน—ทั้งในบทบาทผู้จัด ผู้ต้อนรับ และผู้เก็บรักษาพื้นที่หลังงานเลิก “งานของเมือง” จะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “เป็นงานของชุมชน” ด้วย

เวทีหารือกับผู้นำท้องที่–ท้องถิ่นเวียงชัยจึงเน้นคำถามพื้นฐานที่สำคัญ เช่น จะทำอย่างไรให้ตลาดชุมชนต่อยอดได้หลังเทศกาล? จะเก็บรักษาหนองหลวงให้สะอาดต่อเนื่องอย่างไร? และ จะใช้เรื่องเล่าท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวได้อย่างไร?—คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการ “คำตอบสวยงามในห้องประชุม” แต่ต้องการ “การลงมือจริง” ร่วมกันของทุกฝ่าย

จากเมืองสวย…สู่เมืองน่าอยู่ ความหมายของ “ทุ่งดอกไม้” ที่มากกว่าความงาม

เมื่อย้อนมองภาพรวม “มหกรรมไม้ดอก” อาจเริ่มต้นจากความงามทางสายตา แต่ปลายทางที่ อบจ.เชียงราย พยายามมุ่งให้ถึงคือ คุณภาพชีวิต—ท้องถิ่นที่สะอาด สวยงาม ปลอดภัย มีรายได้หมุนเวียน และมีพื้นที่สาธารณะที่ชุมชนใช้ได้จริงตลอดปี ไม่ใช่เพียงช่วงเทศกาล

หนองหลวง ที่กำลังกลับมาหายใจได้ จึงไม่ใช่เพียงฉากหลังของงานอีเวนต์ แต่คือ สัญลักษณ์ของการฟื้นฟูร่วมกัน ระหว่างรัฐท้องถิ่นและชุมชน—วันนี้ตัดผักตบชวา วันหน้าอาจปลูกต้นไม้ริมน้ำ สร้างเส้นทางจักรยาน และจัดกิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เรียนรู้ธรรมชาติที่ลูกหลานเวียงชัยภูมิใจ

Roadmap ต่อจากนี้ นับถอยหลัง 60 วัน ก่อนดอกไม้บาน

หลังประชุม 20 ตุลาคม 2568 ทีมงานตั้งกรอบเวลาทำงาน รายสัปดาห์ จนถึงวันเปิดงาน (18 ธ.ค.) โดยมีหมุดหมายสำคัญ ได้แก่

  • สัปดาห์ที่ 1–2: เก็บกวาดวัชพืชคงค้าง, ปรับสโลปตลิ่ง, วางแบบพื้นที่เดิน–ปั่น
  • สัปดาห์ที่ 3–4: ติดตั้งโครงสร้างชั่วคราว (ลานกิจกรรม/ตลาดชุมชน), จัดระบบไฟ–น้ำ–สุขา
  • สัปดาห์ที่ 5–6: ซ้อมเสมือนจริง (Dry Run) ระบบจราจร–ที่จอดรถ–จุดคัดแยกขยะ, อบรมอาสาสมัครต้อนรับ
  • ก่อนงาน 7 วัน: ตรวจความพร้อมขั้นสุดท้ายร่วมกับอำเภอ–ท้องถิ่น–ตำรวจ–หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

ระหว่างทาง อบจ.เชียงรายจะออกเอกสารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนรับรู้ความคืบหน้า พร้อมเปิดช่องทางสื่อสารสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้าและบริการในพื้นที่งาน

 “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จากคำขวัญสู่การลงมือ

เชียงรายกำลังทดลอง “แบบฝึกหัดสำคัญ” ของเมืองท่องเที่ยวยุคใหม่—ไม่ปล่อยให้ความงามกระจุกอยู่เพียงในเมือง ไม่ปล่อยให้เทศกาลเป็นเพียงภาพถ่าย แต่แปลง “งานวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “เครื่องมือพัฒนาเชิงพื้นที่” ที่สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน

การ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกไปเวียงชัย และ เร่งกู้ชีพหนองหลวง คือภาพสะท้อนการเดินหมากเชิงยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ให้สัมผัสได้จริง—ถ้างานนี้สำเร็จ “โซนอำเภอ” ถัดไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชียงรายจะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย “เมืองท่องเที่ยวที่งดงามและยั่งยืน”

สารที่อยากชวนจำ ตัวเลข 40% ใน 28 วัน ไม่ใช่เพียงสถิติของการกำจัดผักตบ แต่คือ “ความเชื่อ” ว่าเมื่อ รัฐท้องถิ่น–ชุมชน–ภาคธุรกิจ ร่วมมือกัน เมืองทั้งเมืองก็ขยับได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เร่งคลายปม “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” พบ 3 จุดต่ำกว่ามาตรฐาน อบจ.ชี้ระบบไม่ผ่านเกณฑ์

เร่งคลายปม “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” ปนเปื้อนโลหะหนัก ทส.ระดมหน่วยงานลงพื้นที่ 45 แห่ง—พบ 3 จุดต่ำกว่ามาตรฐาน อบจ.ชี้ระบบไม่ผ่านเกณฑ์–ชาวบ้านไม่ชอบคลอรีน ขณะที่ คพ.เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้าน พร้อมหาแหล่งน้ำทดแทน

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — กระแสกังวลเรื่อง น้ำประปาหมู่บ้านริมแม่น้ำกก เสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนัก จุดประกาย “ปฏิบัติการเร่งด่วน” ของภาครัฐ เมื่อ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) สั่งการให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบเชิงรุกตลอดแนวลำน้ำในรัศมี 1 กิโลเมตร ทั้งเพื่อคัดกรองระดับความเสี่ยง อุปโภค–บริโภค–เกษตร และเพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงด้วยข้อมูลที่ตรวจสอบได้

ในทางปฏิบัติ สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 ได้สำรวจ “ระบบประปาหมู่บ้าน” รอบลำน้ำกก รวม 45 แห่ง พบว่า ประปาบาดาล 29 แห่ง และ ประปาภูเขา 6 แห่ง “ไม่พบผลกระทบ” จากคุณภาพน้ำ ขณะที่ ประปาที่ใช้น้ำผิวดินจากแม่น้ำกก 10 แห่ง ตรวจพบว่า 3 จุดคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งกลายเป็น จุดเร่งด่วน สำหรับการออกแบบแหล่งน้ำทดแทนและมาตรการแก้ไขชั่วคราว–ถาวร

ด้าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ชี้ “ปัญหาแกนกลาง” คือ ระบบประปาหมู่บ้านจำนวนมากยังไม่ผ่านมาตรฐาน ทั้งในขั้นตอนทำให้น้ำใส (ตกตะกอน) และขั้นตอนฆ่าเชื้อ (คลอรีเนชัน) โดยสะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่ว่า “ชาวบ้านไม่ชอบกลิ่นคลอรีน” ทำให้หลายแห่ง ใส่สารส้ม–คลอรีนต่ำกว่าที่ควร เพิ่มความเสี่ยงด้านความขุ่นและการปนเปื้อน

ขณะเดียวกัน คพ. นำทีมลงตรวจพื้นที่รายตำบลตามรายงานจุดเสี่ยง 18 แห่ง โดยเริ่มที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ตรวจภาคสนาม ไม่พบสารหนูเบื้องต้น พร้อมเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักชนิดอื่น ๆ ต่อไป พร้อมตั้งเป้าตรวจให้ครบ ทุกจุดที่ถูกรายงาน ภายในสัปดาห์หน้า และ ขยายวงตรวจ ไปยังชุมชนใกล้เคียงเพื่อลดความวิตกกังวล

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบน “ฉากใหญ่” ของลุ่มน้ำกกที่เป็นแหล่งชีวิตของเชียงราย—ตั้งแต่ครัวเรือน เกษตร แหล่งท่องเที่ยว ไปจนถึงสุขภาวะของคนริมฝั่งน้ำ โจทย์จึงไม่ได้มีแค่ “ค่าตรวจหนึ่งครั้ง” หากคือ “ความเชื่อมั่นระยะยาว” ที่ต้องสร้างด้วยระบบมาตรฐาน ข้อมูลเปิดเผย และการร่วมกำกับของชุมชน

ไทม์ไลน์ “เร่งแก้” ตามสั่งการ สำรวจ 45   เร่งแก้ 3   เดินหน้าตรวจครบ 18 จุดเสี่ยง

1) สำรวจ 45 แห่งรอบลำน้ำกก
นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ระบุผลสำรวจว่า ในรัศมี 1 กิโลเมตรจากแม่น้ำกก มีระบบประปาหมู่บ้านรวม 45 แห่ง แบ่งเป็น บาดาล 29, ประปาภูเขา 6 (ทั้งสองกลุ่ม “ไม่พบผลกระทบ”) และ ใช้แหล่งน้ำผิวดินจากกก 10 แห่ง ซึ่งใน 10 แห่งนี้ ตรวจพบ 3 จุดคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน จำเป็นต้อง เปลี่ยนแหล่งน้ำ/เสริมการปรับปรุงระบบ อย่างเร่งด่วน

2) แหล่งน้ำทดแทน ระบบกระจายน้ำ
โครงการ ก่อสร้างระบบกระจายน้ำหนองไคร้คราง เพื่อสนับสนุนประปา บ้านสันไทรงาม อ.เวียงเชียงรุ้ง เดินหน้าในฐานะ ทางออกเฉพาะหน้า ด้วยท่อส่งน้ำยาวกว่า 7 กิโลเมตร เพื่อ เพิ่มปริมาณ “น้ำดิบ” สะอาด สำหรับการผลิตประปาชุมชน คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะ ช่วยประชาชนกว่า 265 ครัวเรือน ส่วนอีก 2 จุดที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (บ้านริมกก และบ้านเมืองงิม อ.เมืองเชียงราย) อยู่ระหว่าง สำรวจ ออกแบบ เพื่อเสริมความมั่นคงน้ำ

3) คพ.เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่าได้สั่งการ ตรวจคุณภาพน้ำแบบปูพรม ครอบคลุม 18 แห่ง ที่ถูกรายงาน พบว่า 2 ตัวอย่างแรกที่ ต.แม่ยาว (ระบบประปาภูเขาหมู่ 2 “กะเหรี่ยงรวมมิตร” และระบบประปาบาดาลหมู่ 3 “ห้วยทรายขาว”) ไม่พบสารหนูเบื้องต้นจากชุดตรวจ และได้เก็บตัวอย่างส่งห้องแล็บ ตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ๆ ต่อ พร้อม แผนขยายการตรวจ ไปยัง ต.ดอยฮาง ต.รอบเวียง ต.ริมกก ต.เวียงเหนือ ต.ดงมหาวัน ต.หนองป่าก่อ ต.ท่าข้าวเปลือก และ ต.บ้านแซว ภายในสัปดาห์ถัดไป

ภาพจริงในพื้นที่” จาก อบจ.เชียงราย ระบบไม่มาตรฐาน คลอรีน “ใส่น้อย” เพราะชาวบ้านไม่ชอบกลิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลที่สะท้อน “โครงสร้างปัญหา” ว่า หลายหมู่บ้าน ระบบผลิตประปายังไม่เป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะ ขั้นตอนตกตะกอน กรอง ฆ่าเชื้อ ทั้งที่การปนเปื้อนโลหะหนักที่ชาวบ้านกังวล มักเดินมาพร้อมความขุ่นของน้ำ ซึ่งต้องอาศัย สารส้ม และ คลอรีน ตามหลักสุขาภิบาลน้ำ แต่ “ในความจริง” หลายหมู่บ้านใส่น้อยกว่าที่เหมาะสม เนื่องจาก ไม่ชอบกลิ่นคลอรีน ส่งผลให้น้ำ ขุ่น เสี่ยงปนเปื้อน มากขึ้น

“ส่วนของระบบการผลิตน้ำประปา เราตรวจร่วมกับ อว. พบว่าน้ำมีค่าสนิมสูงและมีสารปนเปื้อนบ้าง หลายแห่ง ‘ใส่สารส้ม คลอรีนน้อย’ เพราะชาวบ้านไม่ชอบกลิ่น ทำให้องค์ประกอบเสี่ยงมาพร้อมความขุ่นของน้ำ” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

อบจ.เตรียมเดินหน้า ต้นแบบระบบประปาหมู่บ้านมาตรฐาน” 2–3 แห่ง ร่วมกับ กระทรวง อว. เพื่อเป็น โมเดลปรับปรุงอย่างประหยัด ให้ท้องถิ่นอื่นนำไปปรับใช้ พร้อม รณรงค์ลดการใช้สารเคมีการเกษตร ที่รั่วไหลลงดิน แหล่งน้ำ และ แจกเครื่องทดสอบความขุ่น ให้หมู่บ้านเฝ้าระวังเบื้องต้นด้วยตนเอง

ในมิติ ต้นน้ำ ระหว่างประเทศ นายก อบจ.สะท้อนข้อกังวลเรื่อง “กิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา” ในลำน้ำกกตอนบน และเสนอให้รัฐบาลไทย เจรจาหารือระบบจัดการของเสีย ร่วมกับฝ่ายเมียนมา เพื่อแก้ปัญหา “เหตุ–ปัจจัย” ต้นทางควบคู่ไปกับ มาตรการปลายน้ำ ภายในประเทศ

คุณภาพน้ำ “โดยรวมพอใช้” แต่เชิงปฏิบัติยังต้องเข้ม MRC-WQMN และการเฝ้าระวังระยะยาว

นอกเหนือจากการตรวจเฉพาะจุดเสี่ยง กรมทรัพยากรน้ำยังใช้ เครือข่ายติดตามคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง (MRC – Water Quality Monitoring Network: WQMN) ควบคู่ไปกับการเก็บตัวอย่างที่ สะพานแม่น้ำกก ซึ่งล่าสุดผลวิเคราะห์จาก กองวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา ระบุว่า คุณภาพน้ำโดยรวม “อยู่ในเกณฑ์พอใช้” แต่การเฝ้าระวังต้อง ต่อเนื่อง เข้มข้น โดยเฉพาะใน จุดที่มีฝายรับน้ำ จุดผลิตน้ำประปา และ พื้นที่เกษตร ที่อ่อนไหวต่อการปนเปื้อน

แก่นสำคัญ คือ ต้องทำให้ ข้อมูลคุณภาพน้ำ “เข้าถึงได้” และ “เข้าใจง่าย” ทั้งค่าความขุ่น โลหะหนัก และตัวชี้วัดสุขาภิบาล เพื่อให้ชุมชน สังเกตสัญญาณเสี่ยง และ ร่วมกำกับมาตรฐาน กับหน่วยงานรัฐอย่างมีพลัง

ทำไม “น้ำประปาหมู่บ้าน” สะดุด และควรแก้อย่างไร

วิศวกรรมสุขาภิบาลชี้ว่า ระบบประปาหมู่บ้าน ที่ยั่งยืนต้องครบ 4 วงจร ตั้งแต่ คัดเลือกแหล่งน้ำ ปรับปรุงคุณภาพ ฆ่าเชื้อ คงเหลือคลอรีนในระบบ ประกอบกับ การบำรุงรักษา (O&M) และ การสื่อสารกับผู้ใช้น้ำ อย่างต่อเนื่อง

  1. แหล่งน้ำ หากแหล่งน้ำผิวดิน “มีความขุ่นสูง/ไหลผ่านพื้นที่กิจกรรมเสี่ยง” ต้องมี กระบวนการตกตะกอน กรอง ที่เพียงพอ และ จุดจ่ายคลอรีน ที่ควบคุมได้ ส่วน บาดาล ประปาภูเขา แม้เสถียรกว่า แต่ยังต้องเฝ้าระวัง โลหะหนัก จุลชีพ ตามรอบ
  2. การปรับปรุงคุณภาพ สารส้ม ช่วยจับตะกอน ลดความขุ่น และ คลอรีน ฆ่าเชื้อ แต่ ปริมาณ จุดใส่ ระยะเวลาสัมผัส ต้องพอเหมาะ การ “ใส่น้อยเพราะกลิ่น” ทำให้ฆ่าเชื้อไม่ครบและลด “ความมั่นใจ” ของระบบทั้งสาย
  3. คลอรีนคงเหลือปลายท่อ หลักสุขาภิบาลเน้นให้ มีคลอรีนคงเหลือ ปลายระบบเพื่อความปลอดภัยในท่อจ่าย—ตรงนี้ต้อง สื่อสารกับชุมชน ว่ากลิ่นคลอรีน “เล็กน้อย” คือ เกราะป้องกัน ที่ทำให้น้ำ ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
  4. เครื่องมือ คน งบ ประปาหมู่บ้านจำนวนมาก “ทำได้” หากได้รับ งบย่อยเพื่อปรับปรุงไม่น้อย (เช่น ระบบตกตะกอน/กรองพื้นฐาน, ปั๊ม ท่อ, ตู้ควบคุมคลอรีน) ควบคู่กับ การอบรมผู้ดูแลระบบ และ คู่มือ O&M แบบง่าย

การ “วางต้นแบบ” 2–3 แห่งที่ อบจ. จะทำร่วมกับ อว. จึงเป็น ทางเดินที่เหมาะ เพื่อ พิสูจน์แนวทาง งบประมาณ ขีดความสามารถชุมชน ก่อนขยายผลสู่เครือข่ายหมู่บ้านอื่น ๆ

โรดแมป “เชิงบูรณาการ” ทำทันที ทำระยะกลาง ทำยั่งยืน

ทำทันที (1–4 สัปดาห์)

  • เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง (คพ. + สธ. + ท้องถิ่น) พร้อม เผยแพร่ผลเป็นรายจุด บนแพลตฟอร์มสาธารณะ
  • ตั้งจุดแจกน้ำสะอาดชั่วคราว/น้ำบรรจุภาชนะ ในพื้นที่ที่ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” หรือยังอยู่ระหว่างปรับปรุง
  • ใส่คลอรีน ควบคุมความขุ่น ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ พร้อม สื่อสารเรื่อง “กลิ่นคลอรีน” ให้เข้าใจร่วมกัน
  • ตั้งฮอตไลน์ จุดร้องเรียน และ คณะทำงานร่วมชุมชน เพื่อติดตามการแก้ไขแบบ day-by-day

ทำระยะกลาง (1–6 เดือน)

  • ต้นแบบประปามาตรฐาน 2–3 แห่ง ร่วม อว. พร้อม คู่มือ O&M และ โปรแกรมอบรมผู้ดูแลระบบ
  • โครงข่ายเซ็นเซอร์ชุมชน (ชุดตรวจความขุ่น/ชุดทดสอบภาคสนาม) รายงานผล ผ่านบอร์ดชุมชน + ออนไลน์ เพื่อสร้าง “การเฝ้าระวังร่วม”
  • เดินหน้าโครงข่ายท่อหนองไคร้คราง   สันไทรงาม และออกแบบระบบทดแทน บ้านริมกก บ้านเมืองงิม
  • สำรวจแหล่งน้ำสำรอง (บาดาล/อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก/ฝาย) ในรัศมีใช้งานได้จริง เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทำยั่งยืน (6–24 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐานประปาหมู่บ้านทั้งจังหวัด (จัดงบย่อย “กองทุนยกระดับระบบน้ำอุปโภค–บริโภค”)
  • เปิดข้อมูลคุณภาพน้ำแบบถาวร (แดชบอร์ดสาธารณะ) จาก ทน.–คพ.–สธ.–อบจ.–ท้องถิ่น
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน จัดทำ กรอบหารือด้านสิ่งแวดล้อมลำน้ำกก ร่วมหน่วยงานเมียนมา (ประเด็นเหมือง ของเสีย มาตรการกันตะกอน)
  • รณรงค์เกษตรปลอดการปนเปื้อน (ลดใช้สารเคมี/แนวกันชนริมน้ำ) เพื่อ ตัดต้นตอ “สารลงน้ำ” เชิงระบบ

คำถามปลายข่าวที่สังคมควรถามร่วมกัน

  1. ข้อมูล–ความโปร่งใส ผลตรวจทั้ง 18 หมู่บ้าน จะเผยแพร่ เมื่อใด–รูปแบบใด ให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง
  2. มาตรการชั่วคราว พื้นที่ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” จะได้รับ น้ำสะอาดทดแทน อย่างไร และใครรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  3. มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ต้นแบบ 2–3 แห่ง จะ ขยายผลทั่วจังหวัด ด้วย งบ–คน–ระยะเวลา อย่างไร
  4. ต้นน้ำระหว่างประเทศ ไทยจะเดินหน้า หารือเมียนมา เรื่องแหล่งกำเนิดมลพิษในลำน้ำกก เมื่อใด–อย่างไร–และใครเป็นเจ้าภาพ

คำถามเหล่านี้คือ “ตัวชี้วัด” ว่าการแก้ปัญหาจะไม่หยุดอยู่ที่ข่าว แต่ เดินต่อ ไปสู่ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เสียงจากพื้นที่–เสียงจากรัฐ จุดร่วมคือ “ความปลอดภัยของคนเชียงราย”

  • ชุมชน ต้องการน้ำที่ ดื่ม กิน ใช้ ได้อย่าง ไร้กังวล และต้องการทราบ ความเสี่ยงจริง แผนสำรอง ช่องทางช่วยเหลือ ที่ชัดเจน
  • ท้องถิ่น (อบจ.–อปท.) ต้องการ งบย่อย–องค์ความรู้–เครื่องมือ เพื่อปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน ในต้นทุนที่ประชาชนรับได้
  • หน่วยงานรัฐส่วนกลาง (ทน.–คพ.–สธ.) เร่ง ตรวจ–วิเคราะห์–ประสานแหล่งน้ำทดแทน และพัฒนา ระบบข้อมูลเปิด ให้ตรวจสอบได้
  • มิติต้นน้ำ–ข้ามแดน ต้องการ กรอบความร่วมมือ ที่ต่อเนื่อง เพื่อให้ “เหตุ–ปัจจัย” ไม่ย้อนกลับมาเป็นปมซ้ำ

จุดร่วม ของทุกฝ่ายคือ ความปลอดภัยของคนเชียงราย และ ศักดิ์ศรีของลุ่มน้ำกก ที่ต้องคงความอุดมสมบูรณ์—นี่คือเดิมพันที่สูงกว่า “ตัวเลขในใบรายงาน” และต้องชนะด้วย มาตรฐาน–สื่อสาร–และการลงมือทำอย่างโปร่งใส

ยกระดับด้วยมาตรฐาน–ยั่งยืนด้วยความร่วมมือ

กรณี “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” ทำให้เราเห็นภาพ กลไกฉุกเฉิน ของภาครัฐที่ “ติดเครื่องไว” ทั้งการสำรวจ 45 แห่ง การแก้ไขจุดต่ำมาตรฐาน 3 แห่ง การส่งทีม คพ. ตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง และการหาแหล่งน้ำทดแทน วางระบบกระจายน้ำใหม่ ขณะเดียวกัน “เสียงจริงจากพื้นที่” ช่วยเปิดโปง คอขวดเชิงระบบ ของประปาหมู่บ้าน—ตั้งแต่วิธีคิดเรื่องคลอรีนที่ “ไม่เป็นมิตรต่อจมูก” จนกลายเป็น “ไม่เป็นมิตรต่อสุขอนามัย”—ไปจนถึงโจทย์ต้นน้ำต่างแดน

คำตอบของจังหวัดจึงไม่ใช่ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง” แต่คือ ทำทั้งหมด” ในจังหวะที่เหมาะสม ตรวจให้เร็ว ช่วยให้ทัน ปรับระบบให้ผ่านมาตรฐาน เปิดข้อมูลให้ตรวจสอบ และเชื่อมมือกับเพื่อนบ้านให้เหตุ ปัจจัยถูกแก้ที่ต้นทาง หากทำได้ครบ “ความเชื่อมั่น” จะกลับมา ท่ามกลางฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีที่เชียงรายหวังให้ เมืองสุขภาพ–เมืองแห่งสายน้ำ” กลับมาสมชื่อ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) / สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จังหวัดเชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ทส.)
  • Mekong River Commission (MRC) – Water Quality Monitoring Network (WQMN)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

อบจ.เชียงราย เดินหน้า “มอเตอร์สปอร์ตฮับ” ผสานความเร็ว-ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน

เชียงรายกับสมการความเร็ว” อบจ.เชียงรายปักหมุด MOTOR SPORT FESTIVAL 2025 ผลักดันเมืองสู่ “ศูนย์กลางมอเตอร์สปอร์ต” ระดับเอเชีย

เชียงราย, 17 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าในลุ่มน้ำโขงที่ค่อย ๆ เผยสีทองของแสงอาทิตย์เหนือทุ่งชาและสายน้ำ ทุกสายตาของคนในพื้นที่กำลังหันมองไปทางเดียวกัน—เชียงแสน เมืองท่าประวัติศาสตร์กำลังจะแปรสภาพเป็น “สนามแข่งขันกลางแจ้ง” ที่ผสานความเร็ว เทคโนโลยี และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ประกาศเดินหน้าจัด MOTOR SPORT FESTIVAL 2025 วันที่ 13–14 ธันวาคม 2568ลานกิจกรรมสวนสาธารณะหนองบัว เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน พร้อมตั้งเป้าสู่เวทีนานาชาติอย่างจริงจัง

เบื้องหลังข่าวดีครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการจัดงานแข่งรถอีกหนึ่งรายการ หากคือ “เนื้อหาเชิงยุทธศาสตร์” ที่สอดรับกับนโยบายเมืองกีฬา–เมืองท่องเที่ยว ผ่านกรอบ “Chiang Rai Motorsport Hub” ซึ่งเป็นคณะทำงานที่ อบจ.เชียงราย ร่วมมือกับภาคีระดับจังหวัด สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และสมาคมกีฬา วางแผนผลักดันเชียงรายให้เป็น Sport Tourism Destination ที่เดินเครื่องได้ตลอดทั้งปี

จาก “เมืองชายแดน” สู่ “Motorsport Destination”

เชียงรายมีจุดแข็งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม หนึ่งเท้าเหยียบ “สามเหลี่ยมทองคำ” อีกเท้าก้าวสู่ ล้านนาร่วมสมัย จุดเด่นนี้เองทำให้กิจกรรมกีฬาที่มีภาพลักษณ์ “เร้าใจ–ร่วมสมัย–เข้าถึงง่าย” อย่างมอเตอร์สปอร์ต กลายเป็นเครื่องมือเชื่อม “เศรษฐกิจสร้างสรรค์–การท่องเที่ยว–ฮาร์ดแวร์โลจิสติกส์” ได้อย่างลงตัว การจัดงานใน เชียงแสน ที่อยู่ติดแม่น้ำโขงและเป็นประตูเชื่อม ลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้ จึงไม่ใช่แค่การเลือก “สถานที่สวย” แต่คือการเลือก “จุดยุทธศาสตร์” ที่รองรับการเดินทาง การขนส่ง และรายได้ชุมชนในรัศมีรอบเมือง

ภายใต้นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ของ อบจ.เชียงราย คือ เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” แผนงานมอเตอร์สปอร์ตทำหน้าที่เป็น “เครื่องเร่ง” ที่เพิ่มเหตุผลให้ผู้มาเยือนเดินทางนอกฤดูกาลหลัก และกระจายการใช้จ่ายไปยัง เชียงแสน–แม่สาย–แม่จัน–เมืองเชียงราย ตลอดแนวเหนือ–ใต้ของจังหวัด สอดรับกับแนวคิด “Chiang Rai Sport City” และแคมเปญระดับชาติ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year 2025” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ต้องการให้กีฬาเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานบริการ

 “MOTOR SPORT FESTIVAL 2025” – เวทีแข่งขันและอีเวนต์สร้างสรรค์

กำหนดการ–สถานที่–ผู้จัด

  • วันที่จัด: 13–14 ธันวาคม 2568
  • สถานที่: ลานกิจกรรมสวนสาธารณะหนองบัว เทศบาลตำบลเวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
  • เจ้าภาพ/ผู้ดำเนินงาน: สมาคมกีฬามอเตอร์สปอร์ตจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ อบจ.เชียงราย และภาคีภาครัฐ–เอกชนในจังหวัด
  • กรอบงาน: การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตหลากประเภท/กิจกรรมเสริมทักษะความปลอดภัย/โซนแสดงผลงานยานยนต์–นวัตกรรม–สื่อสร้างสรรค์/ตลาดชุมชนและคอนเสิร์ตปลอดภัย

สาระสำคัญ ของงานไม่ได้อยู่แค่ “เสียงเครื่องยนต์” หากคือ “ระบบนิเวศ” ที่ดึงผู้เกี่ยวข้องเข้ามาขับเคลื่อนพร้อมกัน ตั้งแต่ผู้ผลิต–นำเข้าอะไหล่ ทีมแข่ง ช่างเทคนิค ผู้ประกอบการโรงแรม–ร้านอาหาร ผู้จำหน่ายสินค้าท้องถิ่น ไปจนถึงสถาบันการศึกษาและเยาวชนที่สนใจสายอาชีพด้านยานยนต์

สัญญาณจากเวทีประชุม “Motorsport Hub” ขยับแล้ว

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ห้องยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค) มีการประชุมคณะทำงาน “Chiang Rai Motorsport Hub” โดยมี นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมกำกับทิศทางและติดตามความพร้อมของทุกฝ่าย การประชุมครั้งนี้ชี้ชัดว่าจังหวัดไม่ได้จัดงานแบบ “ปีต่อปี” อีกต่อไป แต่กำลัง วางรากฐานระยะยาว เพื่อก่อรูป “ฮับมอเตอร์สปอร์ต” ที่เชื่อมกับระบบเศรษฐกิจจังหวัดอย่างเป็นระบบ

สาระจากผู้บริหาร (ถอดความใจความ) อบจ.เชียงรายยืนยันบทบาท “พี่เลี้ยงและแกนกลาง” ในการผนึกพลังกรม–กอง–องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ให้ขับเคลื่อนกิจกรรมกีฬาและท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจ สร้างเวทีระดับนานาชาติที่เชียงราย “จัดได้–จอดได้–จ่ายได้” ทั้งในเชิงมาตรฐานการแข่งขัน ความปลอดภัย และรายได้กระจายสู่ชุมชน

สู่เวทีเอเชีย รายการนานาชาติ–ทีมแข่งกว่า 10 ประเทศ

งานปีนี้ถือเป็น ปีที่ 3 ของการจัดต่อเนื่อง และยกระดับสู่ เวทีนานาชาติเต็มรูปแบบ มีทีมแข่งและนักกีฬาจาก กว่า 10 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและโอเชียเนียประกาศเข้าร่วม อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี สปป.ลาว ออสเตรเลีย รวมถึงทีมไทยผู้เป็นเจ้าบ้าน การเข้าร่วมของนานาชาตินอกจากสะท้อน “ความเชื่อมั่นเชิงมาตรฐาน” ของผู้จัดและพื้นที่แล้ว ยังช่วยสื่อสาร “แบรนด์เชียงราย” สู่สายตาแฟนความเร็วในต่างประเทศผ่านสื่อดิจิทัลของทีมและสำนักข่าวกีฬา

ผลที่คาดหวังในเชิงพื้นที่ คือการเติมสภาพคล่องให้ โรงแรม–โฮมสเตย์–ร้านอาหาร–คาเฟ่–บริการท่องเที่ยว ตั้งแต่เชียงแสนจนถึงตัวเมือง โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะทาง (niche) ที่มี “ตะกร้าใช้จ่ายสูง” ทั้งค่าเดินทาง ค่าบริการโลจิสติกส์ ทีมเซอร์วิส และกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น ทริปชุมชน–ศิลปะร่วมสมัย–แลนด์มาร์กธรรมชาติของเชียงราย

มาตรฐาน–ความปลอดภัย–ความยั่งยืน 3 เสาหลักที่ผู้จัดชูเป็นธง

เพื่อให้ “ความเร็ว” ไปคู่กับ “ความปลอดภัย” และ “ความยั่งยืน” คณะทำงานเตรียมมาตรการสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้

  1. มาตรฐานการแข่งขันและสนามชั่วคราว
    • ออกแบบพื้นที่แข่งขันแบบ “ปิดลูป” กำหนดจุดเข้า–ออกชัดเจน
    • วางแนวรั้ว–แนวกั้นดูดซับแรงกระแทก/โซนนิ่งผู้ชม–ทีมงาน–สื่อมวลชน
    • ซักซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับตำรวจ–กู้ชีพ–โรงพยาบาลเครือข่ายในจังหวัด
    • กำหนดมาตรการตรวจสภาพรถ–อุปกรณ์ตามคู่มือกีฬามอเตอร์สปอร์ตของสมาคมฯ
  2. ความปลอดภัยสาธารณะ–การจราจร
    • จัดทำ Traffic Plan เชื่อมถนนสายหลัก–สายรอง พร้อม Park & Ride สำหรับผู้ชม
    • เพิ่มไฟส่องสว่าง–กล้องวงจรปิด–จุดบริการข้อมูล–จุด Lost & Found
    • มาตรการ “ดื่มไม่ขับ–ไม่ซิ่งนอกสนาม” ด้วยการรณรงค์ร่วมกับผู้ประกอบการ
  3. ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
    • บริหารจัดการ ขยะ–เสียง–ควัน ด้วยมาตรการคัดแยก/ลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง
    • ส่งเสริมการใช้บริการชุมชนและสินค้าโลคัลในโซนตลาดงาน สร้างรายได้หมุนเวียน
    • ถ่ายทอดองค์ความรู้ “Motorsport for Good” แก่เยาวชน—จากความปลอดภัยสู่ทักษะอาชีพ

มาตรการทั้งสามเสา ไม่เพียงช่วยหล่อเลี้ยง “ความเชื่อมั่น” ของผู้เข้าร่วมและชุมชน แต่ยังเป็นเครื่องมือยกระดับมาตรฐานการจัดอีเวนต์ของจังหวัด เพื่อรองรับกิจกรรมกีฬาและเทศกาลรูปแบบอื่นในอนาคต

มอเตอร์สปอร์ตกับ “ระบบนิเวศอาชีพใหม่” ของเยาวชนเชียงราย

นอกสนามแข่ง ยังมี “สนามอาชีพ” ที่กำลังเปิดกว้าง ตั้งแต่ เมคคาทรอนิกส์–ไฟฟ้ายานยนต์–ดิจิทัลครีเอทีฟ–สื่อถ่ายทอดสด–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว ไปจนถึง Sports Marketing การที่มหาวิทยาลัยและสถาบันอาชีวศึกษาในพื้นที่เข้าร่วมคณะทำงาน ทำให้สามารถออกแบบ คลินิกทักษะ และ โครงการสหกิจศึกษา เชื่อมกับทีมแข่งและผู้ประกอบการจริงในงาน ซึ่งเป็น “บทเรียนภาคสนาม” ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน

ในทางกลับกัน ภาคเอกชนได้แรงหนุนด้านคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะตรงจุด ลดเวลาปรับตัว และสร้างเครือข่ายบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์–อีเวนต์–ท่องเที่ยว ที่ต้องการ “มืออาชีพหน้าใหม่” อย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจท้องถิ่นจะได้อะไร เมื่อ “ความเร็ว” แปลงเป็น “รายได้”

แม้ผู้จัดยังไม่ประกาศตัวเลขเป้าหมายผู้เข้าชม–รายได้โดยตรง แต่ประสบการณ์จัดงานต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมาสะท้อน “พฤติกรรมการใช้จ่ายสูงกว่าปกติ” ของแฟนมอเตอร์สปอร์ต—ตั้งแต่ที่พักมาตรฐานกลาง–บน อาหาร เครื่องดื่ม ไปจนถึงสินค้าที่ระลึกร่วมคอลเลกชัน ในระดับนโยบาย จึงเชื่อมโยงกิจกรรมนี้เข้ากับเครื่องมือกระตุ้นการใช้จ่ายของจังหวัด เช่น แคมเปญท่องเที่ยวปลายปี เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน และเทศกาลศิลปะ–วัฒนธรรม เพื่อให้ผู้มาเยือน “อยู่นานขึ้น–ใช้จ่ายกว้างขึ้น–กลับมาอีกครั้ง”

นอกจากนี้ เมืองชายแดนอย่าง เชียงแสน ยังมี “แต้มต่อ” เรื่องการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวข้ามแดน เมื่อเชื่อมต่อการเดินทางจาก บ่อแก้ว–หลวงน้ำทา–ท่าขี้เหล็ก เข้าสู่เชียงรายได้สะดวก—ทั้งทางถนนและทางน้ำ—ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุน ธุรกิจทัวร์–รถเช่า–ล่องเรือแม่น้ำโขง ให้คึกคักยิ่งขึ้นในช่วงจัดงาน

เมืองทั้งเมืองคือเวที” แผนเชื่อมอีเวนต์–แลนด์มาร์ก–วัฒนธรรมร่วมสมัย

ความโดดเด่นอีกประการของงานปีนี้ คือแนวคิด “Citywide Festival” ที่ไม่ได้จำกัดอรรถรสไว้แค่สนามแข่งขัน แต่แตกแขนงกิจกรรมไปยังจุดท่องเที่ยวและแลนด์มาร์กทั่วจังหวัด เช่น

  • ย่านศิลปะร่วมสมัย ในเมืองเชียงราย–ตลาดศิลปิน–พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
  • แลนด์สเคปธรรมชาติและชุมชน แถบดอยช้าง–ดอยแม่สลอง–แม่ยาว–ผาตั้ง–ภูชี้ฟ้า
  • วัฒนธรรมชาติพันธุ์ และ คาเฟ่–คราฟต์ ที่เป็นตัวตนของเมือง
  • กิจกรรมครอบครัว และ วิถีชุมชนริมโขง ในเชียงแสน

เมื่อผู้ชมงานมี “เหตุผลที่สอง–สาม” เพื่อท่องเที่ยวต่อหลังจบการแข่งขัน เม็ดเงินจะกระจายกว้างและยั่งยืนมากขึ้น

ตัวชี้วัดความสำเร็จ 5 KPI ที่จังหวัดตั้งใจวัดผล (เชิงแนวทาง)

เพื่อให้การจัดงานไม่หยุดอยู่ที่ “ความรู้สึกคึกคัก” แต่แปรเป็นข้อมูลเชิงนโยบายที่ใช้ต่อยอดได้ คณะทำงานเตรียมติดตาม ตัวชี้วัด (KPI) สำคัญ ได้แก่

  1. อัตราการเข้าพักโรงแรม และ รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ในรัศมี 50 กม. รอบเชียงแสน
  2. สัดส่วนรายได้ที่เข้าชุมชน ผ่านโซนตลาดชุมชน–ทัวร์ชุมชน–โฮมสเตย์
  3. การจ้างงานชั่วคราวและอาสาสมัคร รวมถึงชั่วโมงฝึกปฏิบัติของนักศึกษา
  4. ความพึงพอใจด้านความปลอดภัย–การเดินทาง–การสื่อสาร ของผู้เข้าชม
  5. การรับรู้แบรนด์เชียงราย บนสื่อออนไลน์/สื่อกีฬาในต่างประเทศ (เชิงคุณภาพ)

แม้ KPI บางตัวต้องอาศัยการเก็บข้อมูลร่วมกับภาคเอกชน แต่การมี “กรอบวัดผล” ที่ชัดเจน จะทำให้จังหวัดพูดคุยกับผู้สนับสนุน–นักลงทุน–ผู้จัดแข่งระดับทวีปในอนาคตได้อย่างมีน้ำหนัก

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ–ชุมชน “ความเร็วที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเชียงแสนสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันว่า งานมอเตอร์สปอร์ตช่วยเติมลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ “วางแผนล่วงหน้า–จองยาว–จ่ายหนัก” ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับ ความสะอาด–ระเบียบ–ผลประโยชน์ร่วม ซึ่งผู้จัดยืนยันว่า ตลาดชุมชน–บูธโลคัล–โซนกิจกรรมวิถีพื้นถิ่น จะเป็นองค์ประกอบหลักของงาน เพื่อให้ “คนในพื้นที่” คือหุ้นส่วนการเติบโตอย่างแท้จริง

ความท้าทายที่ต้องจับตา โลจิสติกส์–การจราจร–ความปลอดภัย–สภาพอากาศ

ทุกอีเวนต์กลางแจ้งมีความเสี่ยง จังหวัดจึงเตรียม แผนสำรอง และ การสื่อสารแบบเรียลไทม์ โดยร่วมมือกับตำรวจภูธร–ฝ่ายปกครอง–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายอาสาสมัคร เพื่อจัดการ การจราจรหนาแน่น–การจอดรถ–เส้นทางฉุกเฉิน พร้อมทั้งกำหนด มาตรการฝนตก/ลมแรง และ มาตรการดูแลสุขภาพผู้ชม ในช่วงอากาศเย็นของปลายปี

ความท้าทายอีกด้านคือการประสาน ด่านชายแดน–ศุลกากร–ตรวจคนเข้าเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกทีมแข่งต่างชาติให้ราบรื่น ซึ่งคณะทำงานระบุว่าจะตั้ง “One-Stop Coordination” สำหรับผู้ถือครองรถแข่ง–อุปกรณ์เฉพาะทาง–วีซ่าทีมงาน เพื่อให้การเดินทางเข้า–ออกประเทศไทยและจังหวัดเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน

 “จุดสตาร์ทร่วม” ของเมืองกีฬา–เมืองท่องเที่ยว

MOTOR SPORT FESTIVAL 2025 ไม่ใช่แค่ “งานแข่งรถ” หากคือ จุดสตาร์ทร่วม ของหลายมิติ—เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยว กีฬาเยาวชน อาชีพใหม่ และความภาคภูมิใจของพื้นที่—ที่เชียงรายกำลังนำมาประกอบร่างเป็น “Chiang Rai Motorsport Hub” ให้เดินเครื่องต่อเนื่องทุกปี

หากงานสามารถแสดงสมดุลระหว่าง มาตรฐาน–ความปลอดภัย–การมีส่วนร่วมของชุมชน ได้จริง เชียงรายย่อมมีโอกาสก้าวสู่ “หมุดหมายมอเตอร์สปอร์ตของเอเชีย” ที่ต่างชาติอยากกลับมาแข่งขันและท่องเที่ยวซ้ำ—ขณะเดียวกันชาวเชียงรายเองก็จะเห็นว่า ความเร็ว” สามารถวิ่งคู่กับ คุณภาพชีวิต” ได้อย่างแท้จริง

ถ้อยคำสรุปเชิงนโยบาย (จับใจความ) อบจ.เชียงรายพร้อมทำหน้าที่ “คนกลาง” ให้ทุกฟันเฟืองหมุนไปด้วยกัน—นักกีฬา ผู้จัด ภาคธุรกิจ ชุมชน และสถาบันการศึกษา—เพื่อให้มอเตอร์สปอร์ตเป็นมากกว่าความมันบนถนน แต่เป็น “เมกะอีเวนต์” ที่ทิ้งมรดกเศรษฐกิจ–สังคมที่ยั่งยืนไว้ให้จังหวัด

ข้อมูลกิจกรรม (สรุปย้ำ)

  • งาน: MOTOR SPORT FESTIVAL 2025
  • วัน–เวลา: 13–14 ธันวาคม 2568
  • สถานที่: ลานกิจกรรมสวนสาธารณะหนองบัว เทศบาลตำบลเวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
  • ผู้จัด–ภาคี: สมาคมกีฬามอเตอร์สปอร์ตจังหวัดเชียงราย, อบจ.เชียงราย, หน่วยงานรัฐ–เอกชนในพื้นที่
  • กรอบนโยบาย: Chiang Rai Sport City / นโยบายเรือธงข้อที่ 5 อบจ.เชียงราย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” / แคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year 2025 (ททท.)
  • ระดับการแข่งขัน: นานาชาติ—คาดมีทีมแข่งจาก กว่า 10 ประเทศ ในเอเชียแปซิฟิกและโอเชียเนียเข้าร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สมาคมกีฬามอเตอร์สปอร์ตจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
  • เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ซ่อมคันอ่างเก็บน้ำห้วยสักทันที เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน”

อบจ.เชียงรายเร่งซ่อม “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” หลังเสียหาย เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน” บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร–ชาวบ้าน ต่อยอดสู่แผนฟื้นฟูเชิงระบบก่อนฤดูแล้ง

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอังคารที่ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย จุดรวมสายตาคือ “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” ที่ เกิดการขาดและชำรุดบางส่วน จนถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เร่งซ่อมทันที หลังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รับรายงานสถานการณ์และสั่งการลงพื้นที่ สำรวจ–ประเมิน–แก้ไข แบบ “บูรณาการหน่วยงาน” ตามนโยบาย “7 เรือธง” โดยย้ำหัวใจข้อที่ 1 คือ กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด

ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพียงร่องดินแตกร้าวของคันอ่าง หากคือเงาสะท้อนของ “ระบบน้ำ” ที่หล่อเลี้ยง นาข้าว แปลงพืชผักสวนครัว และน้ำอุปโภคบริโภค ของครัวเรือนใกล้เคียง ซึ่งถ้าการชำรุดลุกลามหรือซ่อมล่าช้า อาจกลายเป็น ความเสี่ยงซ้อน ต่อความมั่นคงน้ำในช่วง ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูแล้ง ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 “คันอ่างขาด–ชำรุด” และแรงกระทบเชิงพื้นที่

ข้อเท็จจริงจากภาคสนาม ระบุว่า คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักเกิดการขาดและชำรุดบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการกักเก็บและส่งน้ำสำหรับ พื้นที่การเกษตร รอบอ่าง รวมถึง น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ของชุมชนใกล้เคียง เหตุการณ์นี้ถูกประเมินให้เป็น ภารกิจเร่งด่วน ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ

  1. ลดความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ถ้ารอยขาด–ชำรุดขยายตัว อาจกระทบเสถียรภาพคันอ่างเป็นวงกว้างขึ้น
  2. ป้องกันการสูญเสียน้ำ ฐานสำคัญต่อฤดูกาลเพาะปลูกถัดไป แม้การรั่วซึมเพียงบางส่วนก็ทำให้เกิดการสูญเสียเชิงปริมาณในระยะยาว
  3. คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านน้ำ น้ำสะอาดสำหรับครัวเรือนคือบริการสาธารณะ ที่รัฐท้องถิ่นต้องประกันความต่อเนื่อง

ความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานโครงสร้างธรรมดา” แต่คือ “งานคุ้มครองความเป็นอยู่” ของประชาชนแบบเป็นรูปธรรม

สั่งการฉับไว ปฏิบัติการ “กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ลงพื้นที่จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย นำคณะปฏิบัติการลงพื้นที่ร่วมกับ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย), ผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าสุด, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และ ตัวแทนประชาชน เพื่อสำรวจจุดชำรุด กำหนดแนวทางแก้ไข และ นำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ทันที ยืนยันเจตนารมณ์ อยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์” โดยเน้น 4 ยุทธวิธีภาคสนามที่ทำคู่ขนานกันอย่างเป็นระบบ

  1. ปักหมุดจุดวิกฤต (Critical Points) ระบุแนวคันอ่างที่เสียหาย จุดเริ่ม–จุดสิ้นสุด ระดับความลึก–ความกว้างของรอยขาด และความเสี่ยงต่อโครงสร้างข้างเคียง
  2. เสริมเสถียรภาพชั่วคราว (Temporary Stabilization) วาง บิ๊กแบ็ก–ดินถมคัดขนาด–หินคลุก ลดแรงน้ำและยึดขอบคันไม่ให้ขยายวง
  3. เชื่อมต่อการใช้งาน (Functional Reconnection) เมื่อคันอ่างกลับมามีเสถียรภาพเบื้องต้น เร่งจัดการ จุดส่งน้ำหลัก ให้สามารถทำงานต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกร
  4. วางแผนซ่อมถาวร (Permanent Repair Plan) เก็บข้อมูลธรณี–อุทกวิทยาหน้างาน เพื่อนำไปออกแบบ คันอ่างเสริม–ระบบระบายน้ำดาดคอนกรีต–ชั้นกรอง ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับ นโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” ที่มุ่งให้ทีมเครื่องจักร–ช่างเทคนิคของ อบจ. เข้าถึงจุดวิกฤตเร็ว–แก้ปัญหาได้ตรงจุด–และลดเวลาหยุดชะงักของบริการสาธารณะ ในพื้นที่จริง

เหตุใด “ความเร็ว” จึงสำคัญในงานซ่อมคันอ่าง

หนึ่งวันที่ล่าช้า อาจเท่ากับ ปริมาณน้ำที่สูญเสีย หลายหมื่น–แสนลูกบาศก์เมตร ขึ้นกับขนาดรอยรั่วและสภาพภูมิประเทศ ยิ่งในช่วงรอยต่อฤดูกาล ปลายฝน–ต้นแล้ง น้ำทุกลูกบาศก์เมตรมีค่าต่อการเพาะปลูกและการใช้น้ำในครัวเรือน การยื้อเวลาให้ระบบกลับมาทำงาน เร็วที่สุดเท่าที่ปลอดภัย จึงเป็นตัวชี้วัด “ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย” อย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ความเร็ว ยังมีนัยต่อ ความเชื่อมั่นของประชาชน ยิ่งเมื่อชาวบ้าน “เห็น–ได้ยิน–สัมผัสได้” ว่ามีเครื่องจักรและคนของรัฐท้องถิ่นเข้ามาอยู่หน้างานอย่างจริงจัง ความกังวลย่อมลดลง และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–สนับสนุนการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

แจกบท–จับมือ–ทำงานคนละส่วน ลดซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เครื่องจักรและช่างเทคนิคของ อบจ. หากยังมี สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ที่ช่วยประสานข้อจำกัดด้านพื้นที่ป่าและแนวเขต, เทศบาลตำบลท่าสุด ที่สนับสนุนด้านการสื่อสารกับชุมชนและการจัดระเบียบพื้นที่ปฏิบัติการ, ขณะที่ ผู้นำท้องที่–ตัวแทนประชาชน เติมข้อมูลประวัติระดับน้ำ–ทิศทางไหล–พฤติการณ์น้ำหลากในอดีต ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์หน้างาน แม่นยำกว่าอ่านแผนที่ และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจโดยอิงแบบจำลองอย่างเดียว

รูปแบบการทำงานเช่นนี้สะท้อน ธรรมาภิบาลเชิงปฏิบัติ ทุกหน่วย มีบท–มีข้อมูล–มีอำนาจตัดสินใจเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การแก้ปัญหาเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดกับขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน

จากฉุกเฉินสู่ยั่งยืน แผนซ่อมถาวรและยกระดับ “ความแกร่ง” ของคันอ่าง

แม้การเสริมชั่วคราวจะคืนฟังก์ชันอ่างเก็บน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ ซ่อมถาวร คือเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าโดยเร็ว แกนหลักของงานระยะกลาง–ยาว มีอย่างน้อย 5 ประเด็น

  1. ตรวจโครงสร้างอย่างละเอียด (Detailed Inspection)
    สำรวจชั้นดิน–ชั้นกรวด–ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน (Permeability) และพฤติกรรมฐานรากของคันอ่าง เพื่อออกแบบการซ่อมให้เหมาะสม ไม่ “ซ่อมเฉพาะหน้า” จนปัญหากลับมา
  2. ออกแบบระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief)
    ติดตั้งท่อระบายน้ำ (Toe Drain)–ชั้นกรอง (Filter)–หินเรียง (Riprap) เพื่อป้องกัน Piping และการพังทลายจากแรงน้ำและฝนหนักในอนาคต
  3. เสริมคันอ่าง–ผิวดาด (Slope Protection)
    เลือกวัสดุและมุมลาดที่เหมาะกับสภาพฝน–ดินของพื้นที่ บางช่วงอาจใช้ ดาดคอนกรีต/หินเรียง ลดการกัดเซาะ โดยไม่ขัดกับระบอบนิเวศท้องถิ่น
  4. อุปกรณ์ตรวจ–เตือน (Monitoring & Early Warning)
    ติดตั้ง Staff Gauge (ไม้เกาะระดับน้ำ)–จุดสังเกตรอยร้าว–กล้องวงจร–เซนเซอร์น้ำฝนในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้ ตาชาวบ้าน” กับ ตาเทคโนโลยี” ทำงานร่วมกัน
  5. คู่มือบำรุงรักษา (O&M Manual)
    ทำตารางตรวจรอบเดือน/ไตรมาส/ก่อน–หลังฤดูฝน พร้อมแบบฟอร์มรายงานที่ลดภาระเอกสาร แต่ส่งสัญญาณไปถึงผู้เกี่ยวข้อง เร็ว–ครบ–ตรวจสอบย้อนกลับได้

แนวทางดังกล่าวจะเปลี่ยน “งานซ่อมครั้งนี้” ให้เป็น “มาตรฐานใหม่” ของการดูแลอ่างเก็บน้ำระดับชุมชนในจังหวัดเชียงราย

มุมเกษตรกร–ชุมชน ทำไม “น้ำ” คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับเกษตรกรในตำบลท่าสุดและพื้นที่ใกล้เคียง อ่างเก็บน้ำห้วยสักไม่เพียงช่วยให้ ฤดูกาลเพาะปลูกเดินต่อได้ หากยังเป็นหลักประกันต่อ รายได้สม่ำเสมอ ของครัวเรือน ทั้งข้าวและพืชผักสวนครัว รวมถึงปศุสัตว์บางส่วนที่ต้องการน้ำประปากลางจากแหล่งต้นทางที่มั่นคง

เมื่อคันอ่างชำรุด การชะลอส่งน้ำแม้เพียง 1–2 สัปดาห์ อาจแปลเป็น ค่าเสียโอกาส ที่เพิ่มสูงในช่วงรอยต่อฤดู ยิ่งหากเกิด คลื่นความร้อน–ฝนทิ้งช่วง ในปีหน้า การมีน้ำสำรองที่เพียงพอจะลดความเสี่ยงของ ผลผลิตเสียหาย ที่มักเกิดแบบรวดเร็วและยากต่อการเยียวยาทีหลัง

ความเคลื่อนไหวของ อบจ.เชียงราย ที่ ลงมือทันที” จึงไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ของรัฐท้องถิ่นที่คล่องตัว แต่เป็น กันชนทางเศรษฐกิจ ให้ครัวเรือนฐานรากในทางปฏิบัติ

เปิดข้อมูล–เปิดหน้างาน–เปิดการมีส่วนร่วม

วิกฤตโครงสร้างสาธารณะบอกเราว่า ข้อมูลที่ดี” สร้าง พลังร่วม” ได้มากแค่ไหน อบจ.เชียงรายสามารถต่อยอดการลงพื้นที่ครั้งนี้ ด้วยการสื่อสารเชิงรุก 3 ระดับ

  • หน้างาน ป้ายข้อมูลสั้น ๆ ณ จุดซ่อม ระบุ “อะไร–ทำไม–ทำอย่างไร–เสร็จเมื่อใด” เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจภาพรวม
  • ออนไลน์ อัปเดตความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ ผ่านช่องทางทางการของ อบจ., เทศบาลตำบลท่าสุด และเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียติดตามความคืบหน้าได้
  • เวทีชุมชน เมื่อเข้าสู่ระยะออกแบบซ่อมถาวร จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทาง–ผลกระทบ–มาตรการป้องกันฝุ่น–เสียง–เวลาเข้าพื้นที่ของเครื่องจักร เพื่อให้ชาวบ้านร่วมกำหนดเงื่อนไขการทำงาน

การ “เปิดข้อมูล” จะช่วยลดข่าวลือ–ข้อกังวล และเปลี่ยนชาวบ้านจาก “ผู้รับผล” เป็น “หุ้นส่วน” ของงานซ่อม

สิ่งที่ประชาชนทำได้ทันที เฝ้าระวัง–แจ้งเหตุ–ร่วมดูแล

  1. แจ้งเหตุผิดปกติ เช่น น้ำขุ่นจัด–ตลิ่งกัดเซาะ–เสียงน้ำไหลผิดธรรมชาติ ผ่านช่องทางของ อบจ. หรือเทศบาลตำบลท่าสุด
  2. เว้นระยะปลอดภัย ขณะเครื่องจักรทำงาน ไม่ลงเล่นน้ำ–ไม่จอดรถกีดขวางแนวขนส่งวัสดุ
  3. รณรงค์ขยะต้นทาง หลีกเลี่ยงทิ้งขยะลงลำห้วย–คูน้ำ เพราะจะอุดตันท่อระบาย–รางน้ำ และซ้ำเติมรอยชำรุด

เครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็ง คือ ด่านหน้า” ของการดูแลโครงสร้างพื้นฐานน้ำให้คงประสิทธิภาพหลังการซ่อม

เชื่อมโยงนโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” ในมิติความมั่นคงน้ำชุมชน

แม้ในรายละเอียด “7 เรือธง” ครอบคลุมหลายด้านของการพัฒนาจังหวัด แต่กรณี อ่างเก็บน้ำห้วยสัก ทำให้เห็นภาพชัดเจนของเรือธงที่ 1 ว่า กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ไม่ใช่สโลแกน หากเป็น ความสามารถเชิงปฏิบัติการ ที่ย่นระยะจาก “รับเรื่อง” ไปสู่ “ลงมือ” ให้สั้นที่สุด

เมื่อนโยบายระดับองค์รวม แตะพื้นดิน กลายเป็นรถแบ็กโฮ–รถบรรทุก–ทีมสำรวจ–ทีมสื่อสาร และ คู่มือความปลอดภัยหน้างาน ความคาดหวังของสังคมก็จะเปลี่ยนจากคำถามว่า “จะทำไหม” ไปเป็น “ทำอย่างไรให้เร็ว–ปลอดภัย–ยั่งยืน” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ท้องถิ่นยุคใหม่ต้องไปให้ถึง

จาก “จุดซ่อม” สู่ “แผนจัดการเขตอ่าง” (Basin-Level Thinking)

การซ่อมคันอ่างครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น จุดเริ่มต้น ของการมองพื้นที่น้ำแบบ ทั้งระบบ” ได้แก่

  • แผนที่เสี่ยง (Risk Map) ระบุแนวคัน–จุดอ่อน–ทางน้ำล้น–แหล่งตะกอน เพื่อกำหนดลำดับการลงทุนซ่อมบำรุงในอนาคต
  • ดัชนีเตือนภัย (Early Indicators) กำหนดเกณฑ์สีเขียว–เหลือง–แดง สำหรับระดับน้ำ–อัตราการซึม–รอยร้าว เพื่อให้ทีมงานและชุมชน พูดภาษาเดียวกัน
  • ปฏิทินงาน (Seasonal Calendar) ผูกตารางตรวจ–ซ่อม–ลอกตะกอน เข้ากับฤดูกาลฝน–แล้ง และรอบเพาะปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบซ้ำซ้อน
  • งบประมาณร่วม วางแบบจำลองค่าใช้จ่าย O&M รายปี พร้อม กองทุนชุมชน สมทบเพื่อการดูแลระยะยาว

เมื่อวาง “ภาษา–เครื่องมือ–งบประมาณ” ครบชุด การบำรุงรักษาอ่างเก็บน้ำจะไม่เป็นงานปะทุเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่เป็น ระบบประจำปี ที่เดินได้ด้วยตัวเอง

วิกฤตคือ “แบบฝึกหัด” ของรัฐท้องถิ่นที่ขยัน–คล่องตัว

คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักชำรุด ทำให้เห็น ความจำเป็น ของความเร็ว–ความแม่น–ความร่วมมือ ในการจัดการโครงสร้างสาธารณะระดับฐานราก อบจ.เชียงราย ตอบสนองด้วยการ กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากรสู่ชุมชน” ตามเรือธงข้อที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อม บูรณาการหน่วยงาน และวางทางไปสู่การ ซ่อมถาวร–ยกระดับมาตรฐานดูแลน้ำ ในระยะยาว

วิกฤตครั้งนี้จะยุติลงอย่างมั่นคง เมื่อเราเปลี่ยนจากคำถามว่า “ซ่อมเสร็จหรือยัง” เป็น “หลังซ่อมแล้วจะ ดูแลอย่างไร ให้ไม่เกิดซ้ำ—และให้ระบบน้ำแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม” คำตอบมีอยู่แล้วในหน้างานวันนี้ ความร่วมมือ คือคำใบ้แรก และ การจัดการเชิงระบบ คือคำตอบสุดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ไหลเรือไฟ 12 ราศี” สว่างไสวริมโขง อบจ.เชียงรายอัดงบ 3.5 แสนหนุนงานวัฒนธรรม

ไหลเรือไฟ 12 ราศี” สว่างไสวริมโขง อบจ.เชียงรายอัดงบหนุน 3.5 แสน สืบสานมรดกวัฒนธรรมเชียงแสน–เชื่อมสองฝั่งลาว–ไทย ขับเคลื่อนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทั้งปี

เชียงราย, 8 ตุลาคม 2568 — ยามค่ำหลังออกพรรษา 1 วัน ลมแม่น้ำโขงพัดเอื่อยพาแสงไฟระยิบจากชุมชนบ้านสบคำ อำเภอเชียงแสน สะท้อนผิวน้ำเป็นริ้ว ยาวไปจนสุดสายตา “ไหลเรือไฟ 12 ราศี” ครั้งที่ 27 เปิดฉากขึ้นท่ามกลางเสียงสวดเบา ๆ ของคณะสงฆ์ เสียงซุ่มซ่ามของช่างไม้ที่เพิ่งยกโครงเรือไฟขึ้นค้ำยัน และเสียงผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานความหลังให้เด็ก ๆ ฟัง นี่ไม่ใช่เพียงเทศกาล แต่คือการประกาศว่า วัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงยังเต้นเป็นชีพจรของเชียงแสน และปีนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ใส่คันเร่งเพิ่ม—อัดงบสนับสนุน 350,000 บาท ขยายงานให้เข้มแข็งขึ้น ตอกย้ำแนวทาง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอ”

พิธีเปิดจัด ณ ลานกิจกรรมริมฝั่งโขง บ้านสบคำ ตำบลเวียง โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย (นายกนก) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และ พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย–เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมงานคับคั่ง ภาพของโคมไฟที่ขึงเรียงเป็นแนวเหนือระเบียงโขง รูปทรงเรือไฟที่ถักสานด้วยไม้ไผ่และกระดาษสา กับลวดลาย “12 ราศี” อันเป็นเอกลักษณ์ ล้วนสื่อความหมายถึงการ บูชาพระพุทธเจ้า พระแม่คงคา และ ขอบคุณธรรมชาติ ผู้หล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งมาตลอดชั่วอายุคน

เรื่องเล่าจากสายน้ำ ไฟ แสง และความทรงจำของเชียงแสน

หากจะเล่าประวัติศาสตร์เชียงแสนโดยไม่มีแม่น้ำโขงก็เหมือนเล่านิทานโดยละทิ้งตัวละครเอก เมืองท่าการค้ามาช้านานแห่งนี้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากล้านนาและฝั่งลาวอย่างลึกซึ้ง ไหลเรือไฟ” จึงไม่ใช่กิจกรรมตามฤดูกาล หากเป็นพิธีกรรมที่ชุมชนทำร่วมกัน เพื่อรับ–ส่งความหมายของชีวิต จากพรรษาสู่กาลใหม่ เมื่อไฟวิ่งตามกระแสน้ำ ชาวบ้านถือเป็นนิมิตหมายของความสว่างไสวที่จะเกิดขึ้นในปีถัดไป

ที่ บ้านสบคำ จุดบรรจบของความทรงจำจากเวียงจันทน์กับเชียงแสน พิธีนี้เข้มข้นเป็นพิเศษ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมีเชื้อสายมาจากฝั่งลาว—ลวดลายเรือไฟ จึงถูกออกแบบโดยผสานลายพิสดารแบบลาวกับเส้นเรียบง่ายแบบล้านนา ตั้งแต่ ราศีเมษ–ราศีมีน ถูกเล่าผ่านโครงไม้ไผ่ โปรยกระดาษสา ติดไฟตามจังหวะราศี และประดับเครื่องหมายมงคล เช่น นellik หรือลายเครือวัลย์ ที่เชื่อว่าเรียกความอุดมสมบูรณ์ เมื่อไฟติด—แต่ละราศีเหมือนถูกปลุกให้ “ลอยเล่าเรื่อง” ต่อผู้ชม ขณะเสียงฆ้องกลองท้องถิ่นค่อย ๆ ประคองขบวนแสงลงสู่สายน้ำ

งบ 3.5 แสนบาท กับโจทย์ใหญ่ “งานวัฒนธรรมที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง”

อบจ.เชียงราย วางงบสนับสนุน 350,000 บาท สำหรับปีนี้ โดยเปิดเผยเป้าประสงค์ไว้ชัดเจน 3 ข้อ

  1. ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพื้นบ้าน — ดัน “ไหลเรือไฟ 12 ราศี” ให้เป็นเหตุผลของการเดินทางช่วงหลังออกพรรษา ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพให้มาสัมผัสบรรยากาศริมโขงและใช้เวลาในพื้นที่มากขึ้น
  2. สร้างงาน–สร้างอาชีพ–กระจายรายได้ — ให้ช่างฝีมือท้องถิ่น ร้านค้าเล็ก ๆ แม่ค้าอาหารพื้นบ้าน กลุ่มเยาวชนอาสา และโฮมสเตย์/เกสต์เฮาส์ ได้งาน–ได้รายได้ อย่างเป็นธรรม
  3. อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม — ให้ชุมชนเป็นเจ้าของพิธีกรรมอย่างแท้จริง ถ่ายทอดทักษะทำเรือไฟ การสานไม้ไผ่ การทำโคม และบทเพลงท้องถิ่นไปยังรุ่นใหม่

เงินสนับสนุนก้อนนี้แม้ไม่ใหญ่เท่าโครงการยักษ์ แต่หาก บริหารแบบ “งานเล็ก–ผลลัพธ์ยาว” จะกลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้เทศกาลเดินต่อได้อย่างเข้มแข็ง องค์ประกอบสำคัญคือ การจัดระเบียบพื้นที่ (ตลาดชุมชน–จุดจอดรถ–จุดชม) ความปลอดภัย (เรือ–ริมตลิ่ง–การจราจร) และ การสื่อสารข้อมูล (ตารางพิธี–เส้นทางเข้าถึง–ข้อปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม) ให้ “ทดลอง–เรียนรู้–อัปเกรด” ทุกปี

 

สองฝั่งแม่น้ำ โครงการเดียวกัน เชื่อมลาว–ไทยผ่านไฟและศรัทธา

เชียงแสนกับฝั่งลาวตรงข้ามมีประเพณีคล้ายคลึงกันมานาน ปีนี้ผู้จัดยังย้ำ มิติความร่วมมือสองฝั่งโขง ทั้งการเชิญคณะศิลปวัฒนธรรมจาก สปป.ลาว มาร่วมแสดง การสวดเจริญพระพุทธมนต์ร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การทำเรือไฟแบบ “หาบ–ขึง–ลอย” ให้ปลอดภัยและงามตามครรลอง เมื่อเรือไฟที่ประดับ สัญลักษณ์ 12 ราศี ล่องไปพร้อมกันในคืนเดียว ภาพที่เกิดขึ้นไม่เพียงสวยงาม แต่เป็น คำประกาศความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ว่าพรมแดนธรรมชาติไม่อาจขวางกั้นความศรัทธาและวัฒนธรรมร่วม

จากงานบุญสู่โมเดลเศรษฐกิจชุมชน เงินใหม่ไหลเข้า—ไม่ใช่แค่ไหลผ่าน

คำถามเชิงนโยบาย คือ เทศกาลนี้ช่วยเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน? คำตอบอยู่ที่ โครงสร้างการใช้จ่ายของผู้มาเยือน” หากเทศกาลออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว 1–2 วันควบคู่—เช่น แวะ วัดพระธาตุผาเงา จุดชมโค้งน้ำโขง, ตลาดชุมชนบ้านสบคำ, พิพิธภัณฑ์เขตโบราณสถานเชียงแสน—จะเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่อหัว ทั้งที่พัก อาหาร ของที่ระลึก และการเดินทางในพื้นที่

แนวทางที่ผู้จัดพยายามผลักดัน (ตามนโยบาย “เที่ยวเชียงรายทั้งปีมีดีทุกอำเภอ”) ได้แก่

  • เปิด ซุ้มของดีชุมชน ผ้าทอ–จักสาน–กาแฟท้องถิ่น–อาหารพื้นบ้าน ให้เป็น พื้นที่ค้าขายของชาวบ้าน ไม่ใช่แค่พื้นที่ผู้รับเหมาภายนอก
  • จัด เวทีย่อย “เล่าไฟ–เล่าราศี” สาธิตงานหัตถกรรม ทำโคม–สานไม้ไผ่–จุดไฟอย่างปลอดภัย สร้างมูลค่าเพิ่มจาก เรียนรู้–ลงมือทำ–ซื้อกลับบ้าน”
  • สื่อสาร หลักกิน–เที่ยวอย่างรับผิดชอบ ใช้แก้วน้ำ/ภาชนะใช้ซ้ำ จุดคัดแยกขยะ ปลูกจิตสำนึก “คืนแม่น้ำให้สะอาดกว่าเดิม”
  • จัดการ จราจร–จอดรถ–รถรับ–ส่ง เพื่อลดแรงเสียดทานกับชุมชน ไม่ให้การท่องเที่ยวกลายเป็นภาระ

หากทำได้สม่ำเสมอ เทศกาลจะ ผลิตเงินใหม่” ให้ชุมชน มากกว่าจะเป็นเพียง “เงินผ่าน” ที่ไหลไปกับขบวนพ่อค้าเร่

ศิลป์พิธีกรรมในรายละเอียด ช่าง–เยาวชน–พระสงฆ์ และบทบาทที่เกาะเกี่ยวกัน

เบื้องหลังเรือไฟหนึ่งลำจะมี ช่างหลัก 4–6 คน ควบคุมงานโครงไม้ไผ่ ขึงลวด เดินไฟ และปรับสมดุลให้ลอยน้ำได้ดี กลุ่ม เยาวชนอาสา รับหน้าที่ตัดกระดาษ ติดลาย–ลงสี จัดทำป้ายราศี และประดับโคม ส่วน พระสงฆ์ เป็นผู้วางพิธีกรรม เจริญพระพุทธมนต์ อธิษฐานเปิดงาน และ “ส่งเรือไฟ” ลงสู่แม่น้ำโดยสงบและเป็นมงคล

การมีส่วนร่วมของ โรงเรียน–วัด–หน่วยงานท้องถิ่น ยังช่วยให้พิธี—ซึ่งเคยอยู่บนบ่าคนรุ่นพ่อแม่—ถูกส่งต่อสู่รุ่นลูกหลานอย่างเป็นระบบ เยาวชน เรียนรู้ทักษะฝีมือ จริง จับต้องไม้ไผ่จริง—ไม่ใช่ผ่านหน้าจอ—และเห็นคุณค่า งานบุญที่ทำด้วยมือ” มากกว่าเป็นเพียง “งานโชว์เพื่อการท่องเที่ยว”

ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม งานริมโขงยุคใหม่ต้อง “งาม–สะอาด–ปลอดภัย”

ผู้จัดย้ำเกณฑ์ความปลอดภัย 3 ชั้น

  1. ชั้นชุมชน/พื้นที่ — กั้นแนวชม ปรับลาดตลิ่ง จุดอพยพฉุกเฉิน มีไฟส่องสว่างทางเดิน จัดเวรยามชุมชน
  2. ชั้นกิจกรรมเรือไฟ — ตรวจความมั่นคงโครงสร้างทุ่น, ใช้วัสดุไม่ติดไฟลุกลามง่าย, มีเรือช่วยเหลือพร้อม, ซ้อมแผนกรณีไฟติดผิดปกติ
  3. ชั้นสาธารณสุข — จุดปฐมพยาบาล, รถพยาบาลสแตนด์บาย, จุดน้ำสะอาด, ประชาสัมพันธ์ข้อปฏิบัติสำหรับผู้สูงอายุ–เด็กเล็ก

ด้านสิ่งแวดล้อม มี แผนเก็บกวาดหลังงาน พร้อมการคัดแยกขยะและ การเก็บชิ้นส่วนเรือไฟ คืนจากแม่น้ำ โดยประสานเรือชาวบ้านและอาสาสมัคร เพื่อให้โขง สว่างเพียงชั่วคืน—สะอาดไปอีกนาน”

นัยเชิงวัฒนธรรม Soft Power ที่ชี้นำด้วยความอ่อนโยน

ในโลกที่เมืองท่องเที่ยววิ่งแข่งกันด้วยคอนเสิร์ตหมื่นคนและไฟงานอลังการ เชียงแสนเลือกยืนอยู่ในเลนของ “ความอ่อนโยน”—งานวัฒนธรรมที่ เล็ก–ละเอียด–ลึก” และมีเรื่องเล่าของตัวเอง 12 ราศี ไม่ได้เป็นเพียงลวดลายสวยงาม แต่สื่อถึง วงจรชีวิต–เวลา–ฟ้า–ดิน ที่ผู้คนลุ่มน้ำโขงอยู่กับมันมานับร้อยปี การสนับสนุนของ อบจ. ในปีนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มสีสันชั่วครู่ แต่คือ การค้ำยันเสาหลักทางจิตวิญญาณของพื้นที่ ให้สูงพอจะมองเห็นจากไกล และมั่นคงพอให้ลูกหลานปีนขึ้นไปยืนได้

ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้งานปีที่ 27 เป็น “บันได” ไม่ใช่ “เพดาน”

เพื่อให้งานเติบโตอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญการจัดการเทศกาลวัฒนธรรมมักเสนอ 4 กลไก

  • ฐานข้อมูลผู้มาเยือน — เก็บข้อมูลอย่างยินยอม จังหวัด–ช่วงอายุ–พฤติกรรมเที่ยว–ค่าใช้จ่าย–ความพึงพอใจ เพื่อวางแผนปีถัดไป
  • เครือข่ายช่าง–ครูผู้รู้ — ทำคลังองค์ความรู้ชุมชน (how-to โครงเรือไฟ, ลายราศี, ตำรับโคม) ให้เยาวชนเข้าถึงได้จริง
  • ปฏิทิน “เที่ยวทั้งปี” — เชื่อมไหลเรือไฟกับกิจกรรมอื่น เช่น งานผ้าทอ, ลอยกระทงเชียงแสน, ปีใหม่ชนเผ่า ให้เกิด Route เชียงรายตลอดปี
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน — ทำ MOU ระหว่างชุมชนลาว–ไทย เพื่อแลกเปลี่ยนช่างฝีมือ เวทีการแสดง และริเริ่ม “คืนเรือไฟสองฝั่ง” ในรูปแบบร่วมสมัย

หากทำได้ งานปีที่ 27 จะเป็นเพียง ขั้นบันได” สู่เวทีใหญ่ที่ยังคงหัวใจชุมชน และเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจ–วัฒนธรรมไปพร้อมกัน

เสียงจากชุมชนและผู้จัด แม้ไม่ใช่คำปราศรัยยาว แต่ชัดในเจตนา

แม้ในพิธีเปิด ผู้บริหารและชุมชนไม่ได้ให้คำปราศรัยยืดยาวต่อสื่อ แต่การจัดสรรงบ การยืนเคียงของ นายก อบจ.เชียงราย–เจ้าคณะจังหวัด–ผู้นำท้องถิ่น และการเข้าร่วมของประชาชน คือ “ถ้อยคำในภาคปฏิบัติ” ที่ดังพอแล้วว่า—เชียงแสนตั้งใจจะรักษาและยกระดับมรดกริมโขง ให้เป็นเสาหลักของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่เรียนรู้ของคนรุ่นหลัง

คู่มือสั้น ๆ ก่อนถึงริมน้ำ

  • ช่วงเวลา คืนแรม 1 ค่ำหลังออกพรรษา 1 วัน (ปีนี้ตรงกับ 8 ต.ค. 2568)
  • สถานที่ ลานกิจกรรมริมโขง บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
  • การเดินทาง–จอดรถ ติดตามประกาศจุดจอดและรถรับ–ส่งจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรหนาแน่นริมตลิ่ง
  • สิ่งแวดล้อม พกแก้ว/ขวดใช้ซ้ำ ทิ้งขยะให้ถูกประเภท งดปล่อยโคมลอย/พลุในพื้นที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย
  • ความปลอดภัย ระวังขอบตลิ่ง พาเด็กและผู้สูงอายุอยู่ในเขตปลอดภัยเสมอ

ไฟที่สว่างบนสายน้ำ—เพื่อเห็นทางเดินของทั้งเมือง

“ไหลเรือไฟ 12 ราศี” อาจกินเวลาแค่คืนเดียว แต่ผลสะเทือนของมันยาวนานกว่านั้น แสงไฟที่ล่องไปตามน้ำทำให้เราเห็นหลายอย่าง—เห็นเศรษฐกิจชุมชนที่ขยับได้ด้วยงานเล็ก, เห็นเยาวชนที่ได้เรียนรู้งานมือและพิธีกรรม, เห็นความร่วมมือสองฝั่งโขง, และ เห็นความตั้งใจของจังหวัด ที่ใช้วัฒนธรรมเป็นหัวเรือของการท่องเที่ยวตลอดปี งบ 350,000 บาท จึงไม่ใช่เพียงเลขเชิงบัญชี หากคือ การลงทุนในความทรงจำร่วม ซึ่งคืนผลตอบแทนเป็นศักดิ์ศรีและรายได้ให้ชุมชน

เมื่อไฟดวงสุดท้ายดับลงในสายน้ำ ภาพที่ค้างตาอาจเป็นลายราศีที่ยังอุ่น แต่สิ่งที่ค้างใจคือ ความรู้สึกว่าเมืองนี้ยังสว่าง—ด้วยคนของเมืองนี้เอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ที่ว่าการอำเภอเชียงแสน / เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน
  • วัดพระธาตุผาเงา / คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เตรียมรับมหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025

หนองหลวงต้องกลับมาหายใจ” อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เดินเกมยุทธศาสตร์น้ำ–ท่องเที่ยว เตรียมพื้นที่รองรับ “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 — หนองหลวง อำเภอเวียงชัย หมอกบางๆ ลอยเหนือผิวน้ำที่เคยสงบเงียบ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพจำผืนน้ำกว้างกว่า 9,800 ไร่ กลับค่อยๆ ถูกกลืนด้วยผักตบชวาและวัชพืชน้ำที่แพร่กระจายรวดเร็ว จนรุกล้ำทางน้ำและทับซ้อนพื้นที่ทำกินของชุมชน ความตื้นเขินและปัญหาการจัดการน้ำยืดเยื้อทำให้หลายครอบครัวรอบหนองหลวงต้องประคองชีวิตไปตามฤดูกาลน้ำที่ไม่แน่นอน

สัปดาห์นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เปิดปฏิบัติการกู้ชีพหนองหลวงอย่างจริงจัง ส่งเครื่องจักรกลหนักลงพื้นที่ พร้อมบุคลากรและน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเดินหน้า “รื้อ–แยก–ขน” ผักตบชวาออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ภารกิจภาคสนามดังกล่าวมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่กำกับงานตามมอบหมายของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย โดยมี พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองป้องกัน อบจ.เชียงราย รายงานสถานการณ์เชิงปฏิบัติการและความคืบหน้าหน้างานอย่างใกล้ชิด

แม้จะเป็นภาพ “งานหนัก” ของเครื่องจักร–คนงาน–เรือท้องแบนที่วิ่งรับส่งวัชพืชไม่หยุด แต่ในระดับยุทธศาสตร์ นี่คือการขับเคลื่อนที่โยงถึงทั้ง ความมั่นคงทางน้ำของชุมชน 3 ตำบล 2 อำเภอ, ความปลอดภัยจากอุทกภัย–ภัยแล้ง, และ การเตรียมความพร้อมพื้นที่จัดงานระดับภูมิภาค อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 (โซนอำเภอ) ซึ่งจะดึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นช่วงปลายปีและต้นปีถัดไป

ปมปัญหาที่สะสม จากวัชพืชสู่ภาวะน้ำตื้นเขิน และวงจรเศรษฐกิจท้องถิ่นที่สะดุด

หนองหลวงไม่ใช่เพียงผืนน้ำธรรมชาติ หากคือ “หัวใจน้ำ” ที่หล่อเลี้ยงไร่นา—ประมงพื้นบ้าน—ระบบนิเวศท้องถิ่น และเป็นพื้นที่นันทนาการของชุมชนมายาวนาน ปัญหาเกิดจากหลายปัจจัยซ้ำเติมกัน ได้แก่

  • การแพร่ระบาดของผักตบชวา ซึ่งขยายตัวรวดเร็วในช่วงน้ำอุ่นและน้ำหลาก ลอยอัดแน่นเป็นแพขวางทางน้ำ กระทบทั้งระบบนิเวศและการสัญจรทางเรือ
  • ตะกอนดินสะสม–การตื้นเขิน จากการชะล้างหน้าดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบหนองหลวง ทำให้ความสามารถกักเก็บน้ำลดลง
  • รูปแบบการจัดการน้ำที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ยามฝนมาก น้ำระบายไม่ทัน—เสี่ยงท่วม ยามแล้ง น้ำน้อยกว่าความต้องการ—เสี่ยงขาดแคลน

การตัดสินใจของ อบจ.เชียงราย ที่ “ลงมือเอง” ด้วยเครื่องจักรกลและกำลังคน จึงไม่ใช่เพียงการเคลียร์ผิวน้ำให้โล่งตา แต่หมายถึงการ คืนความจุน้ำ ให้แหล่งน้ำหลัก, การลดภัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อหมู่บ้านรอบหนองหลวง และการสร้าง “เวลาชนะ” ให้ทีมวิศวกรท้องถิ่นเพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบต่อไป

จุดเชื่อมยุทธศาสตร์ น้ำ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก

โครงการนี้ชี้ให้เห็น “แนวคิดบูรณาการ” ที่จับต้องได้

  1. น้ำคือโครงสร้างพื้นฐานชีวิต — เมื่อกำจัดวัชพืชและเปิดทางน้ำ ความสามารถกักเก็บ–ผัน–ระบายของหนองหลวงจะกลับมาใกล้เคียงศักยภาพ ช่วยลดต้นทุนชาวนา–ชาวสวน ลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความมั่นใจในฤดูกาลเพาะปลูก
  2. ท่องเที่ยวเชิงนิเวศคือโอกาส — หนองหลวงมีภูมิทัศน์น้ำกว้าง เหมาะกับกิจกรรมดูนก พายเรือ ปั่นจักรยาน และท่องเที่ยวชุมชน เมื่อผิวน้ำสะอาด–แนวทัศน์เปิด–ระบบนิเวศฟื้น การจัดโซนกิจกรรมรองรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะทำให้หนองหลวงเป็น “หน้าต่างแรก” ที่นักท่องเที่ยวสัมผัส และกระจายรายได้สู่โฮมสเตย์–คาเฟ่–งานหัตถกรรมพื้นถิ่น
  3. ตอบนโยบายเร่งด่วนระดับชาติ — เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการเร่งกำจัดวัชพืชกีดขวางทางน้ำทั่วประเทศภายใน 1 เดือน พร้อมมาตรการความรับผิดชอบของหน่วยงานในพื้นที่ การลงมือของ อบจ.เชียงรายจึงเป็นทั้ง “คำตอบในพื้นที่” และ “ตัวอย่างความคล่องตัว” ที่สอดรับนโยบายกลางอย่างทันที

ภาพจากพื้นที่ เครื่องจักร–คน–เวลา ทำงานเป็นทีมเดียว

รถสะเทินน้ำสะเทินบก เป็นพระเอกของการปฏิบัติการรอบนี้ เพราะทำงานได้ทั้งบนบกและในน้ำ สามารถลาก–รวบรวม “แพผักตบ” มาขึ้นจุดคัดแยก ก่อนลำเลียงขึ้นรถบรรทุกไปกำจัดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม บางส่วนอาจถูก “อัดก้อน–หมัก” เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับชุมชนเกษตรรอบหนองหลวง ลดภาระค่าขนทิ้งและ “ปิดวงจรของเสีย” ให้เป็นทรัพยากรใหม่

กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เป็นแกนกลางภาคสนาม จัดคิวเครื่องจักร, คุมความปลอดภัย, ประสานผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสาสมัครท้องถิ่นร่วมปิดกั้นพื้นที่เสี่ยง เวลาเครื่องจักรขึ้นลงตลิ่ง และกำหนด “ทางน้ำชั่วคราว” ให้เรือชาวบ้านและเรือประมงสัญจรได้ระหว่างทำงาน เพื่อลดผลกระทบต่ออาชีพเดิมให้มากที่สุด

ทำไมต้องทำ “ตอนนี้” หน้าฝน–หน้าท่องเที่ยว–หน้าต่างเศรษฐกิจ

ช่วงปลายฤดูฝนต่อเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวปลายปี เป็น จังหวะดีที่สุด สำหรับการถอนทัพวัชพืชครั้งใหญ่ เหตุผลสำคัญคือ

  • แรงกระแสน้ำชะช่วยระบาย ระหว่างเคลื่อนย้าย ทำให้แพผักตบแตกออกง่าย ลดต้นทุนแรงงาน
  • ก่อนเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว การเคลียร์พื้นที่ล่วงหน้าจะเปิดทัศนียภาพและความปลอดภัยทางน้ำรับนักท่องเที่ยว
  • ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ผักตบขวาง “ท่อ–สะพาน–คันกั้น” ซึ่งเคยทำให้หมู่บ้านรอบหนองหลวงเจอน้ำเอ่อ

ในมุมของการตลาดท่องเที่ยว ภาพ “ผืนน้ำโล่ง–ฟ้ากว้าง–แนวต้นไม้สีเขียว” คือสื่อทรงพลังสำหรับแคมเปญ เชียงราย–เวียงชัย เมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่สามารถเชื่อมทริปเข้ากับเส้นทางวัฒนธรรม–อาหารเหนือ–โฮมสเตย์–สินค้า OTOP และ “ความงามของไม้ดอก” ในงานอาเซียนปี 2025 ได้อย่างลงตัว

ปฏิบัติการนี้คือ “สะพาน” สู่การบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม

การกำจัดผักตบเป็น เพียงจุดเริ่ม ของการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน ภาพใหญ่ที่ควรเดินต่อไปมีอย่างน้อย 4 มิติ

  1. ผังน้ำชุมชน (Community Water Map) — บันทึกจุดสะสมผักตบ–คอขวด–ทิศทางลม–ทางน้ำหลาก เพื่อกำหนด จุดดัก–ลาก–คัดแยก” ถาวร ลดการกลับมาของผักตบและแรงงานซ้ำซ้อน
  2. เขื่อนดิน–แก้มลิงขนาดเล็ก — เสริมความสามารถกักเก็บช่วงน้ำมากให้ชุมชนใช้ยามแล้ง โดยไม่รบกวนสมดุลนิเวศของหนองหลวง
  3. การจัดการเศษวัชพืชครบวงจร — ผลักดันกลไกชุมชน–เอกชนจิ๋วทำ “ปุ๋ยอินทรีย์–อาหารสัตว์–งานหัตถกรรม” จากวัชพืช ช่วยสร้างรายได้เสริมและลดค่าใช้จ่ายกำจัดทิ้ง
  4. ระบบเตือนภัยน้ำ–ข้อมูลเปิด — สร้างแดชบอร์ดออนไลน์ระดับอำเภอ แสดงข้อมูลระดับน้ำ–จุดเสี่ยง–สถานะงานกำจัดผักตบแบบรายสัปดาห์ เปิดให้เกษตรกร–ผู้ประกอบการเข้าถึง เพื่อวางแผนเพาะปลูกและกิจกรรมท่องเที่ยวได้แม่นยำ

หาก 4 มิตินี้ถูกต่อเข้ากับ งบลงทุนท้องถิ่น–ภาคีเครือข่ายรัฐ–มหาวิทยาลัย–เอกชน หนองหลวงจะไม่ใช่ “งานประจำฤดูกาล” แต่เป็น ห้องเรียนธรรมชาติ–ทรัพย์สินสาธารณะ” ที่ดูแลร่วมกันอย่างมีข้อมูลและมีส่วนร่วม

ความเกี่ยวโยงระดับประเทศ นโยบายเร่งกำจัดวัชพืชของรัฐบาลคือ “หลังพิง” ของท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่ตรวจการบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท พร้อมสั่งการชัดเจนให้หน่วยงานชลประทานทั่วประเทศ เร่งกำจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำภายใน 1 เดือน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์หน้างานและมาตรการความรับผิดชอบผู้ดูแลพื้นที่โดยตรง นโยบายนี้เป็น หลังพิง” สำคัญให้ อบจ.–เทศบาล–อบต. ใช้อำนาจและทรัพยากรแก้ปัญหาแบบทันการณ์ ลดขั้นตอนที่เคยทำให้งานสนามล่าช้า

สำหรับเชียงราย นโยบายดังกล่าวช่วย ปลดล็อกกำลังคน–เครื่องจักร–งบเชื้อเพลิง ให้ลงไปที่หนองหลวงได้เร็วขึ้น อีกด้านยังทำให้การประสาน กรมชลประทาน–สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ–กรมเจ้าท่า เดินบนฐานอำนาจร่วมที่ชัดเจน ทั้งหมดนี้เพิ่มโอกาสให้ “งานน้ำ” ของจังหวัดเดินต่อได้โดยไม่สะดุด

 “ทำให้เห็น” คือคำอธิบายที่ดีที่สุด

แม้ข่าวนี้ไม่ได้มีถ้อยคำให้สัมภาษณ์ยาวจากผู้บริหาร แต่ “ข้อเท็จจริงภาคสนาม” สะท้อนเจตนารมณ์ชัดเจน—การมอบหมายของนายก อบจ.เชียงรายให้รองนายกลงตรวจงาน, รายงานความคืบหน้าโดยกองป้องกันฯ, และการจัดสรรเครื่องจักร–เชื้อเพลิง–บุคลากร ล้วนคือการ “ทำให้เห็น” มากกว่า “พูดให้ฟัง” และเป็นธรรมดาที่งานใหญ่แบบนี้จะต้องสื่อสารต่อเนื่อง ทั้งความก้าวหน้า–แผนการรื้อผักตบในจุดถัดไป–มาตรการความปลอดภัย–ช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะจากชุมชน

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ตัวชี้วัดสั้น–กลาง–ยาว

ระยะสั้น (0–3 เดือน)

  • พื้นที่ผิวน้ำหลักของหนองหลวงโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เส้นทางเรือประมงพื้นบ้านปลอดภัย
  • จุดคอขวดระบายน้ำรอบหมู่บ้านลดความเสี่ยงน้ำเอ่อ
  • พื้นที่นำร่องจัดกิจกรรมของ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 พร้อมปรับภูมิทัศน์

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ความสามารถกักเก็บน้ำของหนองหลวงเพิ่มขึ้น เกษตรกรรอบหนองหลวงมีน้ำใช้ช่วงฤดูแล้ง
  • เริ่มมีผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัชพืช (ปุ๋ยอินทรีย์/งานจักสาน)
  • ดัชนีความพึงพอใจของชุมชนต่อสภาพแวดล้อมน้ำดีขึ้น

ระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป)

  • ผังน้ำชุมชน–จุดดักวัชพืชถาวร–ระบบข้อมูลระดับน้ำทำงานเป็นวาระปกติ
  • หนองหลวงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวเชียงรายฝั่งตะวันออก
  • ต้นทุนสาธารณะในการกำจัดวัชพืชลดลง เพราะระบบป้องกัน–คัดแยกเชิงรุกเริ่มเห็นผล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย–ปฏิบัติการ (สำหรับหน่วยงานและชุมชน)

  1. ตั้งคณะทำงาน “หนองหลวงคลีนแอนด์กรีน” ระดับอำเภอ ร่วม อบจ.–อำเภอ–เทศบาล/อบต.–ผู้นำชุมชน–สถาบันการศึกษา เพื่อคุมแผนรายไตรมาส กำหนดตัวชี้วัดร่วม และรายงานความคืบหน้าสาธารณะ
  2. ออกแบบ “จุดดักวัชพืช” และลานคัดแยกเชิงวิศวกรรม ลดต้นทุนการลากยาวและเสี่ยงอุบัติเหตุ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยแรงงาน
  3. พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนจากผักตบ จัดอบรมแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์–ของใช้จักสาน สร้างรายรับเสริมให้กลุ่มสตรี/เยาวชน และทำสัญญาซื้อคืนขั้นต่ำกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้วงจรธุรกิจเล็ก “ตั้งลำ” ได้จริง
  4. สื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง แสดงแผนที่จุดทำงาน, ปริมาณวัชพืชที่กำจัดได้, ภาพเปรียบเทียบก่อน–หลัง, และขั้นต่อไป เพื่อให้ประชาชนเห็นความคืบหน้าและร่วมเป็นหูเป็นตา
  5. เชื่อมแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศกับงานไม้ดอกอาเซียน จัดเส้นทางทดลองพายเรือ/ดูนก/ค่ายสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงเรียน วางมาตรฐานการใช้พื้นที่ (carrying capacity) เพื่อปกป้องระบบนิเวศควบคู่การท่องเที่ยว

จาก “ภารกิจเชิงรุก” สู่ “สัญญาใจต่อแหล่งน้ำของเรา”

หนองหลวงคือทรัพย์สินสาธารณะที่สะท้อนความรุ่งเรืองของเมืองน้ำ–เมืองเกษตร–เมืองท่องเที่ยว การกำจัดผักตบชวาครั้งนี้เป็น “สัญญาใจ” ระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับประชาชนว่า เชียงรายจะไม่ปล่อยให้แหล่งน้ำใหญ่ของตนหายใจติดขัดอีก และจะใช้โอกาสจากงานระดับอาเซียนในปี 2025 เป็นเวทีประกาศว่า “เราดูแลบ้านของเราได้” ด้วยมาตรฐานงานภาคสนามที่แน่น, แผนข้อมูลที่โปร่งใส, และการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

หากทำได้ตามแผน หนองหลวงจะกลับมาเป็น อ่างเก็บน้ำธรรมชาติ–ห้องเรียนกลางแจ้ง–ลานวัฒนธรรมของชุมชน” ในคราวเดียวกัน และเมื่อฟ้าเปิด น้ำโล่ง นักท่องเที่ยวเห็นทัศนียภาพสะท้อนท้องฟ้าเหนือเชียงราย ภาพความพยายามนับพันชั่วโมงของคนทำงานภาคสนามจะเปลี่ยนเป็น รายได้–รอยยิ้ม–ความภูมิใจ ของทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ/กรมชลประทาน
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งเครื่อง “เมืองฟ้ามืด” หวังคว้า Dark Sky Province แห่งแรกของไทย

เชียงราย เมืองฟ้ามืด” เมื่อราตรีคือทรัพยากรใหม่ ดันแผน Astro Tourism เชื่อม “Wellness City” และเศรษฐกิจชุมชน

เชียงราย, 2 ตุลาคม 2568 — ยามพลบค่ำบนสันเขาเชียงราย แถบดาวฤกษ์เริ่มค่อย ๆ โผล่พ้นม่านฟ้า หากชำเลืองให้ดี คุณจะเห็นกลุ่มดาวแมงป่องลากหางไปตามขอบฟ้าเหนือไร่ชา… ภาพธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้ คือ “สินทรัพย์” ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) กำลังตั้งใจเปลี่ยนให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจชุดใหม่ของจังหวัด ภายใต้นโยบาย เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ด้วยการผลักดันแนวคิด Chiang Rai Dark Sky หรือ “เมืองท้องฟ้ามืด” การอนุรักษ์ท้องฟ้ายามค่ำคืนจากมลภาวะทางแสง (Light Pollution) เพื่อยกระดับเป็นจุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ (Astro Tourism) อย่างเป็นระบบ

เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้หารือเชิงยุทธศาสตร์กับ ผศ.ดร.ธนายุทธ ช่างเรือนงาม และทีมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อวางกรอบปฏิบัติการผลักดัน “เชียงราย เมืองฟ้ามืด” สู่การขึ้นทะเบียนระดับพื้นที่จุดเริ่มต้นของการวางตำแหน่งจังหวัดให้โดดเด่นในตลาดท่องเที่ยวคุณภาพสูงของภูมิภาค

แสงที่มากเกินไปทำให้ “มองไม่เห็นมูลค่า”

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเผชิญโจทย์คล้ายกัน ไฟสวย กลายเป็น ไฟเสีย เมื่อการส่องสว่างขาดทิศทางและเข้มเกินจำเป็น นอกจากทำให้ชุมชนมองดาวไม่เห็นแล้ว ยังรบกวนระบบนิเวศ เสียพลังงานโดยใช่เหตุ และบั่นทอนสุขภาวะการนอนของผู้คน งานวิจัยนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อมเมืองชี้สอดคล้องกันว่า แสงสีขาวอุณหภูมิสูง (โทนฟ้า) รบกวนการหลั่ง เมลาโทนิน ฮอร์โมนควบคุมวงจรการนอนหลับ ขณะที่แสงโทนอุ่นและการใช้โคมไฟแบบบังคับทิศทาง (fully shielded) ช่วยลดผลกระทบได้อย่างมีนัยสำคัญ

เชียงราย ดินแดนของธรรมชาติบนพื้นที่สูงและชุมชนชาติพันธุ์ จึงเลือกเดินเกมกลับด้าน ลดไฟที่ไม่จำเป็น เพื่อ “จุดแสง” ให้เศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับพื้นที่ให้เป็น “ฟ้ามืด” ที่ได้มาตรฐานสากล ดึงดูดนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกระจายรายได้สู่รอบนอกในช่วง “นอกฤดูท่องเที่ยว” ที่ยาวนานกว่า 6 เดือนของปี

จุดตั้งต้นที่จับต้องได้ เชียงรายมี “ของจริง” แล้ว

จุดแข็งสำคัญคือ เชียงรายมีพื้นที่ต้นแบบที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่เอกชนแล้ว ได้แก่ ดอยตุง (สวนแม่ฟ้าหลวง) และพื้นที่ ฮ่อมลมจาย ซึ่งผ่านทั้งมาตรฐานการจัดการแสงสว่างและการเข้าถึงของสาธารณะในระดับที่ได้รับรองจากโครงการ “Amazing Dark Sky in Thailand” ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) นี่คือ หลักฐาน (proof of concept) ว่าเชียงรายไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่มีฐานทางวิชาการ มาตรฐาน และเครือข่ายพร้อมต่อยอด

แม้ปัจจุบันการจัดอันดับศักยภาพท้องฟ้ามืดโดยรวม เชียงรายยังอยู่ราว อันดับ 12 ของประเทศ (มีเชียงใหม่ นครราชสีมา ฯลฯ นำหน้า) แต่ช่องว่างนี้กลับเป็น “ช่องทาง” ยิ่งเดินหน้าเร็วกว่าจังหวัดอื่น เชียงรายยิ่งมีสิทธิ์คว้าตำแหน่ง จังหวัดท้องฟ้ามืด” (Dark Sky Province) แห่งแรก ๆ ของไทย และกลายเป็น Hub Astro Tourism ของล้านนาบนได้ไม่ยาก

จาก “Dark Sky” สู่ “Wellness City”

การขับเคลื่อน “เชียงราย เมืองฟ้ามืด” ไม่ได้มุ่งหวังเฉพาะนักดูดาว หากแต่ เกี่ยวโยงตรงกับยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ด้วย

  • สุขภาพและการนอน เมืองที่ใช้แสงเหมาะสม ช่วยให้ร่างกายปรับวงจรการหลับ–ตื่นได้ดีขึ้น เพิ่มคุณภาพการพักผ่อนและลดความเครียด ประสบการณ์นอนโรงแรมที่ “มองเห็นทางช้างเผือก” จึงเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ ขายได้จริง และแยกตัวจากตลาดแมสได้ชัด
  • เศรษฐกิจนอกฤดู  กิจกรรมดูดาวมักเกิดในฤดูฟ้าเปิด–ค่ำยาว ช่วงที่นักท่องเที่ยวทั่วไปลดลง ทำให้โรงแรม โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และไกด์ท้องถิ่น มีรายได้ตลอดปี ลดฤดูกาลและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
  • การเรียนรู้และจิตวิญญาณพื้นที่ ท้องฟ้ามืดเปิดพื้นที่ให้ชุมชนชาติพันธุ์เล่าเรื่องฟ้า–ผืนดิน–ป่าเขา ผ่านความเชื่อและภูมิปัญญาดั้งเดิม ผสานกิจกรรมเดินป่าค่ำคืน ส่องหิ่งห้อย ดูนกกลางคืน สร้างผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว low impact–high value ที่จังหวัดเหนืออื่นยากจะลอกเลียน

กรอบปฏิบัติการ  “LMP” คือกุญแจ (ทำจริง–วัดผลได้)

หัวใจที่จะทำให้ “ฟ้ามืด” ไม่ใช่แค่สโลแกน คือ แผนบริหารจัดการแสงสว่าง (Light Management Plan LMP) ตามหลักสากลของ DarkSky International (ชื่อเดิม IDA) และแนวทาง NARIT ซึ่งสรุปเป็นภาษาปฏิบัติได้ 4 ข้อใหญ่ ๆ

  1. บังคับทิศทางแสง – โคมไฟภายนอกต้องเป็น fully shielded ส่องลง ไม่ปล่อยแสงเหนือแนวนอน เพื่อตัดแสงเรืองบนท้องฟ้าและแสงรบกวน
  2. โทนแสงอบอุ่น–CCT ≤ 3,000K – ลดแสงสีน้ำเงินที่รบกวนเมลาโทนินและสัตว์กลางคืน
  3. ระดับแสงเท่าที่จำเป็น + กลไกควบคุม – ติดตั้งตัวตั้งเวลา/เซ็นเซอร์ เปิดเมื่อจำเป็น ปิดเมื่อไม่ใช้
  4. ป้าย–แลนด์มาร์กต้องมีเพดานความสว่าง – กำหนดมาตรฐาน nits/cd·m⁻² หลังพระอาทิตย์ตก พร้อมช่วงเวลาดับไฟ

เมื่อแปลหลักการสู่ข้อบัญญัติท้องถิ่น (เทศบาล–อบต.) และเชื่อมกับโครงการเปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นมาตรฐานเดียวทั้งจังหวัด ผลลัพธ์จะเกิดสองชั้นพร้อมกัน ประหยัดพลังงาน ทันที และ ยกระดับคุณภาพท้องฟ้า สู่มาตรฐานรับรอง

โครงเรื่องเศรษฐกิจ ตลาดเฉพาะ–กำลังซื้อสูง–คูณค่าค้างคืน

Astro Tourism ไม่ใช่การท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ นักท่องเที่ยวต้อง “รอเวลา” กับท้องฟ้าจึง ค้างคืน และใช้จ่ายกับที่พัก อาหารท้องถิ่น มัคคุเทศก์ อุปกรณ์ และกิจกรรมต่อเนื่อง โดยจากกรณีศึกษาต่างประเทศ (ซึ่ง NARIT และเครือข่าย DarkSky นำมาเผยแพร่) พบว่า นักท่องเที่ยวที่พักค้างคืนมี ค่าใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวไป–กลับหลายเท่าตัว นี่คือกลไกเศรษฐกิจที่แปลง “ความมืด” ให้เป็น “มูลค่า” ได้จริง

เชียงรายมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ เส้นทางท่องเที่ยวเหนือบน เชื่อมเชียงของ–แม่สาย–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–แม่สรวย ทำให้สามารถจัด เส้นทางดูดาว” แบบ multi-spot (เช่น ดอยตุง – ดอยแม่สลอง – ดอยผาหม่น – ดอยผาหมี) สร้างแพ็กเกจ 2–3 คืนที่พานักท่องเที่ยวไล่กอดทางช้างเผือกตามระดับความสูง–สภาพฟ้า พร้อมกิจกรรมกลางวันอย่างไร่ชา–ไร่กาแฟ–เส้นทางชุมชน รายได้กระจายทั้งหุบเขา

เสียงจากการประชุม แผนที่ต้องเดินทันที

แม้การประชุมวันนี้จะเป็นการหารือเชิงยุทธศาสตร์เบื้องต้น แต่กรอบงานเร่งด่วนเริ่มชัด ได้แก่

  • จัด “แผนที่ฟ้ามืดเชียงราย” ระบุพื้นที่เป้าหมาย (Public/Private) พร้อมระดับคุณภาพท้องฟ้าและเงื่อนไขทางกายภาพ เพื่อคัดเลือก “Quick Win Sites” ขึ้นทะเบียนนำร่อง
  • ยกร่างข้อบัญญัติ LMP ให้เทศบาล/อบต. นำไปใช้จริง เริ่มจากโคมไฟถนน สถานที่ราชการ สถานศึกษา และธุรกิจท่องเที่ยว
  • พัฒนา “คอร์สไกด์ดาราศาสตร์” ร่วมมหาวิทยาลัย–NARIT สร้างบุคลากรท้องถิ่นและทีมวิทยากรดูดาวมืออาชีพ
  • ออกแบบแพ็กเกจ Dark Sky x Wellness (นอนดี–ฟ้าดี–อากาศดี) เจาะตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในประเทศ/ต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มครอบครัวและ Active Senior

ความเสี่ยงที่ต้องจัดการ  “ฟ้ามืด” จะมืดถ้าไม่มีส่วนร่วม

โครงการลักษณะนี้ ต้องใช้ฉันทามติของชุมชน เพราะแสงจำนวนมากอยู่ใน “ภาคเอกชน–บ้านเรือน” หากไม่มีการสื่อสารและแรงจูงใจที่เหมาะสม การบังคับใช้เพียงอย่างเดียวจะก่อแรงต้าน อบจ.จึงต้องทำสองเรื่องคู่ขนาน

  1. ทำความเข้าใจ–เชิญชวน อธิบายผลเสียของมลภาวะทางแสงต่อสุขภาพ สัตว์ป่า พลังงาน และเศรษฐกิจท่องเที่ยว ให้เห็นภาพง่าย ปิดไฟหนึ่งดวง ได้ดาวหนึ่งดวงกลับคืน
  2. ตั้งแรงจูงใจ–ลดต้นทุน สนับสนุนเปลี่ยนโคมไฟมาตรฐาน LMP ให้ครัวเรือน/ธุรกิจ โดยใช้กองทุนพลังงานท้องถิ่นหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี (ร่วมมือภาคเอกชน/สถาบันการเงิน)

แผน 12 เดือนแรก Roadmap สู่ “Dark Sky Province”

ไตรมาส 1 – วัดคุณภาพท้องฟ้าและสำรวจแหล่งกำเนิดแสง (Light Audit) ใน 5 อำเภอเป้าหมาย, ตั้งคณะทำงาน LMP ระดับจังหวัด
ไตรมาส 2 – ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นนำร่อง, เปลี่ยนโคมไฟถนน/สถานที่ราชการ, จัดทำหลักสูตร “ไกด์ดูดาวเชียงราย” รุ่นที่ 1
ไตรมาส 3 – ยื่นขอขึ้นทะเบียนแหล่งท้องฟ้ามืดเพิ่มอย่างน้อย 3 พื้นที่, เปิด “เส้นทาง Dark Sky” ชุดแรก, ทำแคมเปญการตลาดร่วม ททท.–NARIT
ไตรมาส 4 – ประเมินตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยวค้างคืน, อัตราการใช้พลังงานแสงสว่าง, ความพึงพอใจชุมชน) และขยายไปอำเภออื่น

ตัวเลขที่จับต้องได้–คุณภาพชีวิตที่สัมผัสได้

  • เศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวค้างคืนเพิ่มขึ้นในช่วงนอกฤดู โรงแรม–โฮมสเตย์มีอัตราเข้าพักสม่ำเสมอขึ้น ผู้ประกอบการรายย่อยในเส้นทางชุมชนมีรายได้ต่อเนื่อง
  • พลังงาน ค่ากระแสไฟสาธารณะลดลงตามมาตรการ LMP (การใช้แสงเท่าที่จำเป็น + โคม fully shielded + CCT ต่ำ)
  • สิ่งแวดล้อม/สุขภาพ ฟื้นคืนระบบนิเวศกลางคืน เพิ่มคุณภาพการนอนและสุขภาวะของประชาชน เมืองมืดลงอย่างถูกวิธี แต่ ปลอดภัย–เป็นมิตร มากขึ้น
  • แบรนด์จังหวัด เชียงรายมีเอกลักษณ์ “เมืองฟ้ามืด x สุขภาพดี” ต่อจากความโดดเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ขยายภาพจำจังหวัดสู่ ปลายทางคุณภาพระดับโลก

มองไกลกว่าขอบฟ้า เชียงราย–ล้านนาบน–ประเทศไทย

ในระดับภูมิภาคเหนือ เชียงรายสามารถเป็น หัวรถจักรของเครือข่าย Dark Sky ล้านนา เชื่อมเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน สร้าง “Northern Dark Sky Route” เป็นเส้นทางท่องเที่ยวคุณภาพที่ต่างประเทศค้นหาได้ชัด ในระดับประเทศ แนวทางนี้ยังสอดรับ นโยบายท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน ช่วยกระจายรายได้ ลดการแออัด และยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเมือง ยิ่งมืดอย่างมีระเบียบ ยิ่งสว่างทางเศรษฐกิจ

จากดาวบนฟ้า สู่รายได้บนดิน

เรื่องเล่าเชียงรายวันนี้เริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า “เราจะเอาความมืดมาเลี้ยงเศรษฐกิจอย่างไร” คำตอบที่เป็นรูปธรรมคือ ทำให้ความมืดมีคุณภาพ ผ่านมาตรฐาน LMP และการขึ้นทะเบียน Dark Sky สร้างผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่ ช้า–ลึก–ยั่งยืน เชื่อมสุขภาพกายใจของผู้มาเยือนกับคุณค่าธรรมชาติของผู้คนบนดอย

และในคืนที่ดาวเต็มฟ้า หากคุณเงยหน้าแล้วเห็นทางช้างเผือกพาดผ่านเหนือไร่ชานั่นไม่ใช่เพียงท้องฟ้าที่สวยกว่าเดิม แต่คือ นโยบายสาธารณะ ที่แปลง “สิทธิ์ในการเห็นดาว” ให้เป็น สิทธิ์ในการมีรายได้ ของชุมชนเชียงรายอย่างเป็นธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) – NARIT
  • DarkSky International (เดิม International Dark-Sky Association, IDA)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News