Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงรายเปิดศึกฟุตบอล สร้างทีมเวิร์ก-สุขภาพที่ดีให้บุคลากร

เชียงรายเดินหน้าสู่ “เมืองกีฬา” ด้วยพลังบวกจากทุกวัย นายก อบจ. ร่วมหนุนฟุตบอลอาวุโสสู่เวทีประเทศ เปิดลีกภายในสร้างสุขภาวะคนทำงาน—จากสนาม X-Arena สู่ภาพใหญ่ของนโยบายกีฬาเพื่อมวลชน

เชียงราย, 30 สิงหาคม 2568—สายลมปลายฤดูฝนพัดผ่านสนาม X-Arena เชียงราย ท่ามกลางเสียงเชียร์เป็นจังหวะและรองเท้าสตั๊ดที่นับก้าวบนหญ้าอย่างมั่นคง นักฟุตบอลรุ่นใหญ่วัย 50+, 55+ และ 60+ หลายสิบชีวิตกำลังก้าวเข้าสู่รอบคัดตัวแทนจังหวัด เพื่อชิงสิทธิ์ “ฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1” บรรยากาศเข้มข้นแต่เป็นมิตร—ภาพที่สะท้อนว่ากีฬาไม่ใช่แค่เรื่องชัยชนะ หากคือทุนสุขภาพ ทุนสังคม และทุนความหวังของชุมชน

ในวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินเข้าสนามพร้อมคำกล่าวให้กำลังใจสั้น ๆ แต่ชัดเจนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการ “ทำให้สนามกีฬาอยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด” ก่อนเป็นประธานเปิดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน “CR-PAO League CUP 2025” รายการภายในองค์กรที่รวบรวมผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย รวม 7 ทีม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน อาทิ SCG และ Dolphin Toilet Partition เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อกลางสร้างสุขภาพ ความสามัคคี และทีมเวิร์กในที่ทำงาน

ภาพเล่าเรื่องจากสนามวันนั้นจึงไม่ใช่ “ข่าวกิจกรรม” ธรรมดา แต่เป็น “จุดเริ่มของทิศทาง”—ทิศทางที่พัฒนาเมืองด้วยกีฬาในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีผู้สูงวัยและคนทำงานเป็นพระเอกเคียงข้างกัน

จากสนามท้องถิ่นสู่โจทย์ใหญ่ของจังหวัด—ทำไม “กีฬา” ถึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช่ตอนนี้

เชียงรายกำลังยกระดับความเป็น “เมืองที่น่าอยู่” ไปอีกขั้นผ่านนโยบายด้านกีฬาและกิจกรรมทางกายที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย เหตุผลสำคัญมีอย่างน้อยสามประการ

  1. โครงสร้างประชากรเปลี่ยนเร็ว—ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนระบบบริการและสวัสดิการต้อง “ปรับฐานคิด” จากการรักษาเมื่อป่วย ไปสู่การลงทุนกับการป้องกันโดยใช้กีฬาและกิจกรรมทางกายเป็นเครื่องมือหลัก แนวโน้มจากหน่วยงานด้านสถิติและแผนพัฒนาประเทศชี้สัญญาณเดียวกัน: สูงวัยมากขึ้นและยาวนานขึ้น จึงต้องออกแบบนโยบายที่ทำให้ผู้สูงวัย “แข็งแรงและมีส่วนร่วม” ไม่ใช่เพียง “อยู่รอด” เท่านั้น (อ้างอิงข้อมูลชุดสถานการณ์ผู้สูงอายุและแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13)
  2. หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์หนุนชัด—องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่รวมถึงผู้สูงอายุทำกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่การฝึกเสริมกำลังและทรงตัวเพื่อลดความเสี่ยงล้มและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แนวทางเดียวกันนี้ถูกนำไปปรับใช้ในไทยโดยหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น กรมอนามัย ซึ่งสื่อสารข้อแนะนำ 150 นาที/สัปดาห์อย่างต่อเนื่องกับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นที่ทำงานภาคสนาม
  3. นโยบายกีฬามวลชนของไทยเดินหน้า—การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) วางหลักการชัดเจนว่ากีฬามวลชนและกิจกรรมทางกายคือกลไกเพิ่มคุณภาพชีวิตและทุนมนุษย์ พร้อมผลักดันเครื่องมือ งบประมาณ และเครือข่ายระดับจังหวัด—องค์ประกอบที่เอื้อให้ อบจ. เข้ามาเป็น “แม่งาน” ด้านกีฬาเชิงระบบ ร้อยเรียงสนาม คน และปฏิทินกิจกรรมเข้าด้วยกัน

ภายใต้ภาพใหญ่ดังกล่าว เชียงรายจึงเลือก “ขยับ” ด้วยแผนที่จับต้องได้—ตั้งแต่สร้างเวทีให้ผู้สูงวัยแสดงศักยภาพ ไปจนสร้างพื้นที่ (ลีกภายใน) ให้คนทำงานขยับกายเป็นกิจวัตร เพื่อลดค่าป่วย ลดความเครียด และต่อยอดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ฉากจาก X-Arena ฟุตบอลอาวุโส—ทักษะ ประสบการณ์ และน้ำใจ

ช่วงบ่ายที่เมฆเริ่มโปรย นักเตะรุ่น 50+, 55+ และ 60+ ทยอยลงอบอุ่นร่างกาย—ท่าทางระมัดระวังแต่คล่องแคล่ว ผู้เล่นบางคนรัดสน็อปเข่า บางคนพกยาดม แต่ทุกคนมีอย่างเดียวกันคือแววตาที่มุ่งมั่น “ยังอยากลงแข่งให้ลูกหลานได้เห็น” หนึ่งในโค้ชทีมกล่าวระหว่างพักน้ำ

รูปแบบการคัดเลือกเน้น ทักษะพื้นฐาน-ความฟิต-การเล่นเป็นทีม เพื่อเตรียมตัวสู่การแข่งขันระดับประเทศในรายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส ที่มุ่งหมายให้เวทีกีฬาเปิดกว้างสำหรับวัยที่สังคมมักคิดว่า “ถึงเวลาเบรก” ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ การออกกำลังกายที่พอเหมาะช่วยเพิ่มสมรรถภาพหัวใจและปอด ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งช่วยเรื่องความจำและอารมณ์—ประโยชน์ที่สอดคล้องกับแนวทางของ WHO และหน่วยงานสุขภาพไทยซึ่งแนะนำการออกแรงแบบแอโรบิกผสมฝึกกล้ามเนื้อและการทรงตัวสำหรับวัยสูงอายุ  

การสร้างเวทีให้ “รุ่นใหญ่” กลับมาครื้นเครงในสนาม จึงเป็นมากกว่าเรื่องกีฬา หากคือ นโยบายสุขภาพเชิงรุก ที่อาศัย “ความสนุกและความภูมิใจ” เป็นแรงขับ—ต้นทุนทางสังคมที่เงินซื้อไม่ได้

CR-PAO League CUP ฟุตบอล 7 คนที่มากกว่าเกม—แพลตฟอร์มสร้างสุขภาพและทีมเวิร์ก

ครั้นถึงพิธีเปิด “CR-PAO League CUP 2025” นายก อบจ.เชียงราย ประกาศความพร้อมของ 7 ทีมจากบุคลากรในองค์กร โดยตั้งเป้าหมายสองข้อชัดเจน: (1) สร้างสุขภาพกาย-ใจให้คนทำงาน และ (2) สร้างทีมเวิร์กเพื่อกลับไปยกระดับประสิทธิภาพงานบริการประชาชน

การแข่งขันรูปแบบ 7 คนบริหารจัดการง่าย ใช้เวลาสั้น กระตุ้นให้เกิด “กิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ” แทรกในชีวิตประจำวันของข้าราชการและพนักงาน—ปัจจัยที่สอดรับแนวทางองค์การอนามัยโลกเรื่องการเพิ่ม “Active Minutes” รายสัปดาห์ ตลอดจนข้อแนะนำของกรมอนามัยไทยที่สื่อสารอย่างกว้างขวางในช่วงหลัง เพราะการสะสมเวลาออกกำลังกายเป็นชั่วโมงต่อสัปดาห์—even แบบสั้น ๆ หลายครั้ง—ช่วยลดความเสี่ยงเจ็บป่วยระยะยาวได้จริง

ความร่วมมือจาก SCG และ Dolphin Toilet Partition ในฐานะภาคเอกชนท้องถิ่น ชี้ให้เห็นการระดมพลังหลายภาคส่วน (multi-stakeholder) ที่เมืองสมัยใหม่ใช้ขับเคลื่อน—อบจ. สร้างเวทีและมาตรฐานความปลอดภัย เอกชนช่วยอุปกรณ์และโลจิสติกส์ สโมสร/สนามเอกชนอย่าง X-Arena เชียงราย ทำหน้าที่เป็น “ฮับกีฬา” ที่เข้าถึงง่าย สนับสนุนกิจกรรมได้ต่อเนื่องตลอดปี

ตัวเลขที่ชวนคิด—ทำไมกีฬา (จริง ๆ) ช่วยเมืองและช่วยรัฐ

  • สังคมสูงวัย = ต้องลงทุนกับ “สุขภาพป้องกัน”
    รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยอธิบายทิศทางการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อระบบสุขภาพและงบประมาณรัฐ หากไม่เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยับกายของประชาชน โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่ประชาชนเข้าถึงบริการมากที่สุด 
  • เกณฑ์กิจกรรมทางกายสากลชัดเจน
    WHO กำหนดกรอบ 150–300 นาที/สัปดาห์สำหรับผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ พร้อมแนะนำการเสริมกำลังกล้ามเนื้อและการฝึกทรงตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดเป็นสื่อสารสาธารณะของกรมอนามัยไทยต่อเนื่อง—เป็น “ค่ามาตรฐาน” ที่ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่นนำไปออกแบบโปรแกรมได้ทันที เช่น ฟุตบอล 7 คนสัปดาห์ละ 2–3 ครั้งรวมให้ได้ 150 นาที เป็นต้น
  • กีฬามวลชนคือวาระแห่งชาติด้านคุณภาพชีวิต
    เอกสารแนวทาง/งบประมาณของการกีฬาแห่งประเทศไทยย้ำบทบาท “กีฬามวลชน” ในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและศักยภาพมนุษย์—สอดรับกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ของสภาพัฒน์ที่ผลักดันสุขภาวะและทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์แกนหลักของประเทศ

ตัวเลขและกรอบมาตรฐานเหล่านี้ ทำให้การตัดสินใจของ อบจ.เชียงรายในวันนี้ “มีหลักฐานรองรับ” มากกว่าความเชื่อ—และพร้อมถอดบทเรียนไปยังพื้นที่อื่น

นายกฯ นก อทิตาธร เปิดการแข่งขันฟุตบอล "CR-PAO League CUP 2025" ฟาดแข้งกระชับมิตร เสริมความสามัคคีบุคลากร อบจ.เชียงราย

บริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ ความปลอดภัยของนักเตะอาวุโสต้องมาเป็นที่หนึ่ง

เมื่อผลักดันกีฬาในกลุ่มผู้สูงอายุ สิ่งที่ต้องมาคู่กันคือ มาตรการความปลอดภัย ตั้งแต่คัดกรองสุขภาพเบื้องต้น (เช่น แบบประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ/ความดัน) ออกแบบภาระงานตามวัย (intensity/interval) ไปจนถึงการเตรียมทีมแพทย์/กู้ชีพ ณ จุดแข่ง การยืดเหยียดก่อน-หลัง การอบอุ่นและคูลดาวน์อย่างเพียงพอ ตลอดจนการจัดตารางแข่งที่ลดความร้อนและความล้าเกินจำเป็น—แนวทางที่สอดคล้องกับข้อเสนอของ WHO และคู่มือสุขภาพระดับประเทศที่เน้น “ปลอดภัย-สนุก-ต่อเนื่อง” เป็นเงื่อนไขให้เกิดพฤติกรรมซ้ำ

จากเกมลูกหนังสู่ “ทุนสังคม” และ “ทุนเศรษฐกิจท้องถิ่น”

  1. สุขภาพประชาชนดีขึ้น = ภาระโรคลดลง
    คนทำงานในองค์กรที่มีกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ มีแนวโน้มลาป่วยลดลง ประสิทธิภาพงานดีขึ้น ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้น—ผลลัพธ์นุ่ม ๆ ที่สะสมกลายเป็นความก้าวหน้าขององค์กรภาครัฐซึ่งให้บริการประชาชนโดยตรง
  2. สนาม/ลีก = ปฏิทินเศรษฐกิจชุมชน
    ทุกครั้งที่มีนัดแข่ง คือตลาดนัดขนาดย่อมของผู้ค้าอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์กีฬา ผู้ให้บริการขนส่งในชุมชน—เม็ดเงินหมุนเวียนเล็ก ๆ แต่ถี่และจริง ซึ่งหากวางปฏิทินกิจกรรมทั้งปี จะเกิด ฤดูกีฬาท้องถิ่น” ที่ช่วยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานรากโดยไม่ต้องพึ่งฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
  3. สร้างต้นแบบ “เมืองกีฬา” เชื่อมโรงเรียน-ชุมชน-ท้องถิ่น
    เมื่อ อบจ. ทำสำเร็จในองค์กร ย่อมต่อยอดไปสู่เครือข่ายโรงเรียน ชุมชน และ อปท. เพื่อนบ้าน เกิดทัวร์นาเมนต์ย่อยตามช่วงวัย ทั้งเยาวชน วัยทำงาน และอาวุโส—โครงข่ายที่พาเชียงรายไปสู่ภาพของ “เมืองกีฬา” อย่างยั่งยืน โดยมีกลไก กกท. และแผนพัฒนาฯ ระดับชาติเป็นพี่เลี้ยงด้านกรอบนโยบายและงบประมาณ

เสียงจากสนามความภาคภูมิใจที่แบ่งปันได้

ระหว่างพักครึ่งทีมอาวุโสรุ่น 60+ นักเตะคนหนึ่งบอกว่า “ผมดีใจที่ยังได้ลงสนาม เพราะฟุตบอลมันทำให้รู้สึกว่าเรายังมีบทบาท” เสียงสั้น ๆ แต่ตรงใจผู้ชมข้างสนามที่เป็นลูกหลาน—นี่คือ คุณค่าทางสังคม ของกีฬา ที่ทำให้คนต่างวัย “เจอกันตรงกลาง” อย่างงดงาม

ฝ่ายจัดการแข่งขันย้ำว่า รายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส จะให้ความสำคัญกับ มาตรฐานสนาม อุปกรณ์ และทีมเวชกีฬา เพื่อความปลอดภัย พร้อมจัดการความร้อน ความชื้น และเวลาพักตามวัย—เกณฑ์ที่ขยับได้ตามข้อมูลสุขภาพของนักกีฬาแต่ละรุ่น

เชื่อมโยงนโยบาย บทบาท อบจ. กับการทำงานเชิงข้อมูล

ความก้าวหน้าด้านกีฬาในวันนี้ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย อบจ.เชียงรายสื่อสารบทบาทด้านการสนับสนุนกีฬาและกิจกรรมสาธารณะผ่านช่องทางทางการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเว็บไซต์และเพจทางการ เพื่อเชื่อม “ข่าวกิจกรรม” เข้ากับ “การรับรู้ของสาธารณะ” ว่ากีฬาคือวาระเมือง มิใช่เพียงความสนุกเฉพาะกลุ่ม—แนวทางสื่อสารสาธารณะที่สำคัญต่อการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน

สิ่งที่เชียงรายทำวันนี้ “ถูกโจทย์” และ “ทันเวลา”

  1. ถูกโจทย์—เพราะตอบต่อสังคมสูงวัยด้วยเครื่องมือที่มีหลักฐานรองรับ (กีฬา/กิจกรรมทางกาย) และยึดเกณฑ์สากล-เกณฑ์ไทย (150 นาที/สัปดาห์ + เสริมกำลัง + ทรงตัว) เป็นแกนกลางของการออกแบบโปรแกรม
  2. ทันเวลา—เพราะวางระบบตั้งแต่คนทำงานในองค์กร (ลีก 7 คน) จนถึงผู้สูงวัย (อบจ. คัพ) เพื่อสร้างพฤติกรรมซ้ำต่อเนื่อง พร้อมต่อยอดเป็นปฏิทินกิจกรรมทั้งปี และขยายความร่วมมือกับเอกชน-สนามกีฬา-ชุมชนให้เป็น “โครงข่ายเมืองกีฬา”
  3. ต่อเติมได้—ด้วยการเชื่อมกรอบนโยบายของ กกท. และแผนพัฒนาฯ เข้ากับข้อมูลสุขภาพในพื้นที่ เพื่อวัดผลเป็นรูปธรรม: อัตราการมีกิจกรรมทางกายของประชาชน, วันลาป่วยของบุคลากร, และการมีส่วนร่วมของชุมชน—ตัวชี้วัดที่ทำให้ “กีฬามวลชน” กลายเป็น นโยบายสาธารณะที่วัดผลได้

ในท้ายที่สุด ลูกฟุตบอลลูกหนึ่งที่กลิ้งอยู่กลางสนาม X-Arena จึงมิใช่สัญลักษณ์ของการแข่งขันอย่างเดียว แต่คือ สัญลักษณ์ของการลงทุนในคน—การลงทุนที่เริ่มต้นจากเสียงนกหวีด พาไปไกลถึงคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจฐานราก และความภูมิใจร่วมของชุมชนเชียงราย

  • รายการคัดตัวแทนฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ: จัดคัดตัวรุ่น 50+, 55+, 60+ ณ สนาม X-Arena เชียงราย เป้าหมายส่งทีมตัวแทนจังหวัดสู่ “ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1”
  • การแข่งขันภายใน “CR-PAO League CUP 2025”: ฟุตบอล 7 คน 7 ทีม จากผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย โดยมีภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมสนับสนุน
  • เป้าหมายยุทธศาสตร์ ยกระดับสุขภาพคนทำงาน-ผู้สูงวัย, สร้างทีมเวิร์กองค์กร, และต่อยอดสู่ “เมืองกีฬา” โดยอาศัยกรอบกีฬามวลชนของ กกท. และเกณฑ์กิจกรรมทางกายของ WHO/กรมอนามัย
นายก อบจ.เชียงราย ให้กำลังใจทัพนักเตะอาวุโส ลุยศึก "อบจ. คัพ" ครั้งที่ 1

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – ช่องทางข้อมูลกิจกรรม/นโยบายด้านกีฬาและชุมชน (เว็บไซต์และเพจทางการ).
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) – แนวทางกิจกรรมทางกายสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 150–300 นาที/สัปดาห์ และคำแนะนำด้านความปลอดภัย/การเสริมกำลังและการทรงตัว.
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ข้อแนะนำกิจกรรมทางกายสำหรับประชาชนไทย สื่อสารเป้าหมาย 150 นาที/สัปดาห์ และสาระเกี่ยวกับ Active Lifestyle.
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) – เอกสารนโยบาย/งบประมาณด้านการส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและการยกระดับศักยภาพกีฬาในระดับจังหวัด/พื้นที่.
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย (แนวโน้มสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง).
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC) – เอกสารขยายความแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570): มิติสุขภาวะ-ทุนมนุษย์และเมืองน่าอยู่.
  • X-Arena เชียงราย – สนามกีฬาเอกชนในพื้นที่ที่ทำหน้าที่เป็นฮับกิจกรรมชุมชน.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

หยอดปุ๊บปลอดภัยปั๊บ! นายก อบจ.เชียงราย Kick off รณรงค์หยอดโปลิโอ เสริมภูมิคุ้มกันหมู่

เชียงราย “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” — อบจ.เชียงรายเปิดปฏิบัติการวัคซีนโปลิโอเชิงรุก 2 รอบ สกัดความเสี่ยงข้ามพรมแดน ย้ำบทบาทท้องถิ่นเป็นด่านหน้าคุ้มครองเด็กเล็ก

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 — บ่ายวันทำงานกลางฤดูฝนที่ รพ.สต.บ้านดู่ เงียบสงบได้ถูกแทนที่ด้วยเสียงเรียกชื่อเด็ก ๆ ให้ขึ้นรับหยดวัคซีนทีละคน “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือยุทธการป้องกันโรคร้ายที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้า “คิกออฟ” เมื่อ 20 สิงหาคม 2568 เพื่อยกระดับเกราะคุ้มกันโรคโปลิโอในเด็กเล็กอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งหวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ครอบคลุมทั้งเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และเด็กต่างชาติในพื้นที่ชายแดนบางกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ผ่านการรณรงค์ 2 รอบ (20 สิงหาคม และ 20 กันยายน 2568) ตามหลักเวชปฏิบัติที่เน้นการให้วัคซีนห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

พิธีเปิดซึ่งมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารและเครือข่ายสาธารณสุขในพื้นที่ สะท้อนภาพการบูรณาการที่ลงมือทำจริง—ตั้งแต่งานให้ความรู้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลจังหวัด การเตรียมระบบขนส่งและเก็บรักษาวัคซีน (cold chain) ไปจนถึงการระดม อสม. เคาะประตูบ้านติดตามเด็กเป้าหมายให้มารับวัคซีนจนครบถ้วน

 “โปลิโอ” โรคเก่าในโลกใหม่

โปลิโอ ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดความพิการถาวรได้มากที่สุด หากปล่อยให้ไวรัสลุกลามโดยไม่มีภูมิคุ้มกันรองรับ ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 200 รายของผู้ติดเชื้อ จะเกิดอัมพาตถาวร และในบรรดาผู้ที่เป็นอัมพาต ราว 5–10% อาจเสียชีวิต เมื่อกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต—ตัวเลขที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะไม่ให้ความประมาทกลับมามีราคาแพงกับชีวิตเด็ก ๆ ของเราอีกครั้ง

ในเชิงภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการรับรอง “ปลอดโปลิโอ” เมื่อปี 2557 แสดงถึงความสำเร็จด้านสาธารณสุขของประเทศสมาชิก รวมถึงไทย ทว่าการรับรองดังกล่าวไม่ใช่ “ใบเบิกทางให้วางใจได้ตลอดกาล” หากครอบคลุมวัคซีนในเด็กเล็กลดลง หรือเกิดช่องโหว่บริการในพื้นที่เปราะบาง โปลิโอก็ยังสามารถหวนคืนในรูปของการระบาดได้ โดยเฉพาะผ่านกลไกที่เรียกว่า ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ หรือ cVDPV ซึ่งพบได้ในชุมชนที่มีการรับวัคซีนไม่ทั่วถึงและการสุขาภิบาลอ่อนแอ WHO และเครือข่ายกำจัดโปลิโอ (GPEI) จึงเน้นย้ำให้ทุกประเทศ “ยืนระวัง” ด้วยการคงความครอบคลุมวัคซีนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ทำไม “เชียงราย” ต้องขยับก่อนภูมิศาสตร์ชายแดนและความเสี่ยงที่เดินทางเร็วกว่าเรา

เชียงราย คือด่านหน้าทางภูมิศาสตร์ ทั้งเชื่อมเมียนมาที่อำเภอแม่สาย และเชื่อมสปป.ลาวที่อำเภอเวียงแก่น ท่ามกลางการเดินทางข้ามแดนของแรงงาน–การค้า–การท่องเที่ยวที่คึกคัก ความเสี่ยงจากโรคติดต่อจึงเดินทางเร็วและไกลกว่าที่เราคิด ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุถึงการพบ ผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ (cVDPV1) ในเมียนมา แม้จุดตรวจพบจะห่างจากชายแดนไทยราว 270 กิโลเมตร แต่บทเรียนจากโรคติดเชื้ออุบัติใหม่บอกเราว่า “ระยะทางไม่ใช่ระยะเวลา”—หากรอให้พบผู้ป่วยฝั่งไทยก่อนจึงค่อยเริ่มฉีด ย่อมสายเกินไป การตัดสินใจของ อบจ. เชียงราย ที่เปิดปฏิบัติการวัคซีนจึงเป็นการชิงจังหวะ ปิดช่องโหว่ก่อนที่โรคจะเปิดเกมบุก

มุมหนึ่งของเวชปฏิบัติยังสนับสนุนการตัดสินใจเช่นนี้ มาตรการรับมือการระบาดโปลิโอ (outbreak response) ของ WHO/GPEI แนะนำให้ดำเนิน กิจกรรมสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน (SIAs) หลายรอบในช่วงเวลาใกล้กัน เพื่อดันความครอบคลุมให้สูงที่สุดโดยเร็ว—หลักคิดที่ “เวลา” คือวัสดุสิ้นเปลือง และ “ความเร็ว” คืออาวุธสำคัญของสาธารณสุขภาคสนาม

แผนปฏิบัติการ “2 รอบ 2 ระดับ” จากสถานบริการสู่ทุกครัวเรือน

จากคำชี้แจงของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย การรณรงค์ถูกออกแบบให้ทำงาน สองระดับ ควบคู่กัน

  1. ระดับสถานบริการ — รพ.สต.และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติในสังกัด อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ “จุดบริการประจำ” ตามตาราง รอบที่ 1 วันที่ 20 สิงหาคม และ รอบที่ 2 วันที่ 20 กันยายน 2568 เพื่อให้เด็กเป้าหมายมารับ OPV (Oral Polio Vaccine) ครบตามเกณฑ์อย่างสะดวก โดยเชื่อมต่อการให้ความรู้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลจังหวัดสู่การปฏิบัติในระดับปฐมภูมิอย่างไร้รอยต่อ
  2. ระดับชุมชนอสม. ทำแผนเดินดอร์ทูดอร์ เก็บรายชื่อ ตรวจสอบสมุดวัคซีน ติดตามเด็กที่ “ตกหล่น” และจัดจุดบริการเคลื่อนที่ในชุมชนที่เข้าถึงยาก ภายใต้ระบบบันทึกข้อมูลหน้างาน เพื่อ “รู้ภาพจริง” รายวัน–รายสัปดาห์ ลดความเสี่ยงเด็กหลุดเป้า

แนวทาง “สองขยัก” ของเชียงรายสอดรับกับหลักสากลที่เน้น หลายรอบภายในช่วงสั้น ๆ และการเข้าถึงเด็กทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง—แกนกลางคือ “ครอบคลุมให้เร็ว ครบให้ไว” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ WHO ใช้นำการตอบโต้การระบาดในหลายประเทศ และย้ำเสมอว่าการเร่งรอบและปิดช่องว่างคือหัวใจของความสำเร็จ

วัคซีนที่ใช้ และเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์

OPV ที่ใช้ในแคมเปญลักษณะนี้เป็นวัคซีนชนิดหยอด ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งระบบเลือดและเยื่อบุลำไส้ ทำให้ลดการแพร่กระจายของไวรัสในชุมชนได้ดี จึงเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการ “หยุดยั้งการแพร่เชื้อ” อย่างเร่งด่วน ขณะที่ IPV (ชนิดฉีด) ให้ภูมิคุ้มกันเด่นด้านป้องกันโรคในระดับบุคคล แต่มิได้ลดการขับไวรัสในลำไส้เทียบเท่า OPV การเลือกใช้ OPV ในแคมเปญเสริมเชิงรุกจึงสอดคล้องกับแนวทางของหลายประเทศและข้อแนะนำเชิงหลักการของหน่วยงานสาธารณสุขสากล โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงหรือชายแดนที่ต้อง ทำให้ภูมิคุ้มกันของชุมชนสูงขึ้นอย่างฉับไว

เราจะวัดความสำเร็จอย่างไร?

  • ครอบคลุมครบหรือไม่? — แคมเปญ SIAs ทั่วโลกตั้งเป้าครอบคลุม “สูงมาก” ในทุกชุมชน เป้าหมายเชิงปฏิบัติการคือ “เด็กทุกคนในกลุ่มอายุเป้าหมายต้องได้วัคซีน” มากกว่ามองเพียงค่าเฉลี่ยทั้งจังหวัด เพราะไวรัสต้องการ “ช่องว่างเล็ก ๆ” เพียงจุดเดียวก็เพียงพอให้เกิดคลัสเตอร์การแพร่เชื้อได้
  • เร็วพอหรือยัง? — การทำสองรอบห่างกันราว 4 สัปดาห์ ช่วยบูสต์ภูมิคุ้มกันให้แน่นขึ้น และเปิดโอกาส “เก็บตก” เด็กที่พลาดรอบแรกในรอบถัดไป หลักคิดนี้อยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและบทเรียนการควบคุมโรคหลายทศวรรษ
  • สื่อสารถึงทุกครัวเรือนแล้วหรือยัง? — ในพื้นที่ชายแดนที่มีแรงงานเคลื่อนย้ายสูง การสื่อสารหลายภาษาและการใช้เครือข่ายชุมชน (ผู้นำท้องถิ่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ “รู้และมา” มากกว่า “รู้แต่ยังไม่มา”

บทบาทท้องถิ่น เมื่อ “ความปลอดภัยด้านสุขภาพ” เริ่มต้นที่อำเภอ–ตำบล–หมู่บ้าน

การที่ อบจ. เชียงราย ขยับเป็น “แม่งาน” ครั้งนี้ สะท้อนบทเรียนจากโรคระบาดใหญ่ที่ผ่านมาอย่างชัดเจนว่า ระบบสุขภาพที่แกร่งเริ่มต้นจากท้องถิ่น การระดมทรัพยากร ปรับระบบงาน และตัดสินใจแบบทันเวลาในระดับจังหวัด สามารถชิงจังหวะที่สำคัญกว่าการรอคำสั่งจากส่วนกลาง ภาพที่เกิดขึ้นใน รพ.สต.เล็ก ๆ วันคิกออฟจึงไม่ใช่ภาพพิธีการ แต่คือภาพของ ความพร้อมจริง”—บุคลากรชัด คนพร้อม วัคซีนพร้อม ระบบข้อมูลพร้อม

ด้านคลินิกและการสื่อสารความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์—ที่เข้ามาทำหน้าที่วิทยากร—ได้ถ่ายทอดสาระสำคัญที่ครอบครัวควรรู้ อาทิ ความปลอดภัยของวัคซีน OPV, อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้น้อยและมักเป็นเพียงชั่วคราว, วิธีดูแลหลังรับวัคซีน รวมถึงการย้ำว่าความเสี่ยงจากโรค สูงกว่าความเสี่ยงจากวัคซีนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในบริบทสาธารณสุข—กรอบคิดที่ WHO และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญยืนยันอย่างสม่ำเสมอในทุกเวทีวิชาการ

จาก “รายงานสถานการณ์” สู่ “สถาปนาความปกติใหม่” ด้านภูมิคุ้มกัน

สิ่งที่เชียงรายกำลังทำคือการส่งสัญญาณเชิงนโยบายไปพร้อมกันสองทิศทาง

  1. เชิงรับมือเหตุการณ์ (event-driven) — ปิดช่องโหว่ด้วยการฉีดเสริม 2 รอบตามปฏิทินเฉพาะกิจ เพื่อลดความเสี่ยงหากมีเชื้อเล็ดลอดมาจากภายนอก
  2. เชิงสร้างระบบ (system-driven) — ใช้โอกาสนี้ ทบทวนทะเบียนเด็กตกหล่น, ตรวจคุณภาพการบันทึกวัคซีน, อัปเดตช่องทางสื่อสารหลายภาษา, และฝึกซ้อมสายงานปฏิบัติการเคลื่อนที่ (mobile teams) ซึ่งทั้งหมดคือองค์ประกอบของ “ความปกติใหม่” ที่ควรยืนระยะในจังหวัดชายแดน

ในภาพใหญ่กว่านั้น โลกยังเดินหน้าแผน “กำจัดโปลิโอให้หมดไป” ตามยุทธศาสตร์ของ WHO/GPEI ปี 2022–2026 ซึ่งวางน้ำหนักทั้งการป้องกันไม่ให้โรคหวนกลับมา (prevent re-emergence) และการตอบโต้การระบาดอย่างเร็วและครอบคลุม (rapid, high-quality SIAs) ความเคลื่อนไหวในเชียงรายจึงอยู่ในจังหวะเดียวกับแนวโน้มสากล—ยึดหลักวิทยาศาสตร์ ใช้ความเร็ว และขยายความร่วมมือ I

สิ่งที่ครอบครัวควรรู้—และควรทำตอนนี้

  • ตรวจสมุดวัคซีน ของบุตรหลาน หากมีรอบที่ขาดหาย ให้ติดต่อ รพ.สต. หรือสถานบริการใกล้บ้าน
  • มารับวัคซีนตามนัดทั้งสองรอบ แม้เด็กจะเคยได้รับวัคซีนตามปกติมาแล้ว การรับ “วัคซีนเสริม” ในสถานการณ์เสี่ยงช่วยเติมภูมิให้แน่นขึ้นทั้งระดับบุคคลและชุมชน
  • หากมีข้อกังวล เรื่องอาการหลังรับวัคซีน ให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่—ส่วนใหญ่อาการเป็นเพียงชั่วคราว เช่น ไข้ต่ำ ๆ อาเจียนเล็กน้อย และหายเอง
  • ร่วมสื่อสาร–ชวนกันมา โดยเฉพาะครอบครัวแรงงานข้ามแดน ครัวเรือนที่ย้ายถิ่นบ่อย หรือบ้านที่มีภาษาต่างจากไทย

วัคซีนคือความไว้วางใจร่วมกัน

การรณรงค์ครั้งนี้ไม่ได้ตอกย้ำแค่ความพร้อมของเชียงรายในฐานะจังหวัดชายแดน แต่ยังย้ำว่า ความมั่นคงด้านสุขภาพ เป็น “งานร่วม” ของทุกคน—รัฐ ท้องถิ่น บุคลากรแพทย์ อสม. และครอบครัว ความสำเร็จของแคมเปญวัดจากจำนวนแขนเสื้อเด็กเล็กที่พับขึ้น รับหยดวัคซีนตามกำหนดครบถ้วน ยิ่งมาก โปลิโอยิ่งไม่มีที่ยืน

ประวัติศาสตร์เคยบอกเราว่า เราสามารถผลักโปลิโอจนพ้นทวีป ภูมิภาค และประเทศได้จริง—แต่ประวัติศาสตร์บทนั้นจะยืนยงได้ ก็ด้วยการไม่ปล่อยให้ความประมาทกลับมาเป็นรูรั่วบนกำแพงภูมิคุ้มกันของเราเอง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

  • ข้อมูลจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming” จุดประกายเยาวชน ปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย”

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จุดประกายเยาวชนแดนโขง พร้อมปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย” ยกระดับเมืองสร้างสรรค์

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – เช้าวันเสาร์ริมโขงที่อำเภอเชียงของมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ลานกิจกรรมของโรงเรียนอนุบาลเชียงของคึกคักด้วยสีสันและเสียงดนตรี เด็กๆ ซ้อมท่าเต้น ขณะทีมครัวพื้นถิ่นขยับครกตำเครื่องลาบอย่างพร้อมเพรียง “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงงานสนุกสุดสัปดาห์ หากเป็นเวทีทดสอบพลังความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนชายแดน และเป็น “สะพานนโยบาย” ไปสู่การจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบรูปแบบใหม่ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังจ่อคิวเกิดขึ้นจริงในจังหวัดนี้ตามกรอบการขยายเครือข่ายของ CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์) ซึ่งประกาศคัดเลือก 10 จังหวัดตั้งแต่ปี 2567–2568 รวมถึงเชียงรายด้วยโดยตรง

ทำไม “งานเยาวชน 1 วัน” จึงสำคัญต่อภูมิทัศน์สร้างสรรค์ทั้งจังหวัด

หนึ่ง งานนี้ย้าย “เวที” ออกนอกเมืองไปยัง เชียงของ เมืองชายแดนที่ไกลศูนย์กลาง แต่ล้อมด้วยทุนทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ นั่นทำให้เด็กนอกตัวเมืองเข้าถึงพื้นที่ปล่อยของได้จริง สอง กิจกรรมออกแบบให้ “บันเทิง + เรียนรู้” ไปพร้อมกัน เช่น Cover Dance และ ลาบหมูลีลา ที่แทรกศาสตร์พื้นถิ่นกับศิลปะร่วมสมัย เด็กจึงฝึกทำงานเป็นทีม ฝึกนำเสนอ และฝึกสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อผู้ชม สาม งานนี้เชื่อมตรง “เวทีชั่วคราว” กับ “โครงสร้างถาวร” คือ NEW TCDC ที่ CEA ขับเคลื่อนในระดับประเทศ—หากโครงสร้างนี้ตั้งในเชียงรายจริง ชุดประสบการณ์จากงานเยาวชนจะไหลต่อไปเป็นผู้ใช้พื้นที่ประจำในอนาคต ไม่ใช่เพียงความทรงจำหนึ่งวัน

เปิดฉากเชียงของ เวทีกลางแจ้งที่เยาวชนได้เป็น “ตัวจริง”

พิธีเปิด จัดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลเชียงของ โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน กล่าวต้อนรับและให้กำลังใจเยาวชนจากพื้นที่โซนชายแดนโขง พร้อมตัวแทนท้องถิ่นและครูอาจารย์เข้าร่วมอย่างคับคั่ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยพลังบวก เด็กๆ จากหลายอำเภอมารวมตัวกันเพื่อ “ปล่อยของ” บนเวทีเดียวกันและแลกเปลี่ยนกันแบบข้ามโรงเรียน ข้ามชุมชน กิจกรรมไฮไลต์ของงานมีทั้งเวที แข่งขัน Cover Dance ที่จัดระบบประกวดจริงจัง และกิจกรรม ลาบหมูลีลา ที่ผสานการครัวพื้นบ้านกับโชว์สเตจอย่างเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจน บูธเวิร์กช็อป และ นิทรรศการผลงานเยาวชน ที่เล่าความภูมิใจในท้องถิ่นด้วยภาษาของคนรุ่นใหม่ ข้อมูลกำหนดการและคำเชิญชวนถูกสื่อสารโดยเพจศูนย์เยาวชน อบจ. มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม จนถึงถ่ายทอดสดหน้างานในวันจริง

สิ่งที่เห็นชัด คือ การจัดระบบ “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เด็กได้ลอง-พลาด-เรียนรู้บนเวทีจริง มีทีมครู โค้ช และเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลทั้งหลังบ้านและหน้าเวที จุดรับสมัครและเอกสารประจำทีมถูกทำเป็นระบบตั้งแต่ก่อนวันงาน ซึ่งสะท้อนวิธีคิดแบบ “ศูนย์เยาวชนมืออาชีพ” ที่เพจของศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย สื่อสารมาต่อเนื่องในหลายโซนก่อนถึงคิวเชียงของ

จากลานโรงเรียนสู่ “สถาปัตยกรรมความคิด” ทางด่วนเชื่อมสู่ NEW TCDC เชียงราย

เบื้องหลังงานเยาวชนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมโดดๆ หากเชื่อมกับ “ภาพใหญ่” ของนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับประเทศอย่างแนบแน่น CEA ประกาศเดินหน้าโครงการ NEW TCDC เพื่อกระจายศูนย์เรียนรู้-ทดลอง-สร้างเครือข่ายสู่ 10 จังหวัด โดยสื่อกระแสหลักยืนยันรายชื่อที่คัดเลือก รวมเชียงราย หรือ “เมืองศิลปะบนสายน้ำโขง” ไว้ชัดเจน ขณะที่ Bangkok Post และ Nation Thailand รายงานไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่กลางปี 2567 ว่า NEW TCDC จะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่านการอัปสกิล–รีสกิลคนท้องถิ่นและย่านสร้างสรรค์ในภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ทางการของโครงการ NEW TCDC ยังแสดง “การเตรียมตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเชียงราย” โดยระบุชัดถึงหน่วยงานพาร์ตเนอร์ในจังหวัด (อบจ.เชียงราย) ควบคู่กับจังหวัดเพื่อนบ้านในภาคเหนือ ซึ่งสะท้อนสถาปัตยกรรมความร่วมมือแบบ เครือข่ายจังหวัด ไม่ใช่เกาะเดี่ยวของเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียว

ออกแบบเพื่อทุกคน” คอนเซ็ปต์ TCDC เชียงรายตามแบบ CEA

ข้อมูลเชิงแนวคิดจาก CEA เปิดเผยภาพฝันของ “TCDC เชียงราย” ไว้อย่างน่าสนใจ พื้นที่จะตั้งอยู่บริเวณ หน้าศาลากลางหลังเก่า (ใจกลางเมืองที่คนคุ้น) ทีมสถาปนิกเสนอให้ศูนย์เป็น “Creative Space for All” โดยตั้งใจเชื่อมพื้นที่อาคารกับ ลานกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อดึงคนหลากวัยเข้าใช้จริง ไม่ใช่พื้นที่จัดแสดงเฉพาะกิจ คอนเซ็ปต์ดังกล่าวสอดรับวิธีจัดงานเยาวชนที่เชียงของในวันนี้ ซึ่งใช้สนามโล่งเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ให้เด็กได้ทดลองโชว์และสร้างงานร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้นทาง

มหกรรม 1 วัน…ที่วางรางวิ่งให้ “ระบบนิเวศสร้างสรรค์” ทั้งจังหวัด

เชื่อมชุมชน–โรงเรียน–ท้องถิ่น: งานนี้ผลักดันการทำงานเป็นเครือข่าย ทุกฝ่าย “มีบท” ทั้งหน่วยงานท้องถิ่น โรงเรียน กลุ่มผู้ปกครอง และเอกชนในพื้นที่ เด็กเห็นภาพโครงสร้างสนับสนุนครบวงจร ไม่ใช่เวทีที่มาแล้วก็จบ

เชื่อม “ออฟไลน์” เข้ากับ “ออนไลน์” การสื่อสารและรับสมัครผ่านเพจศูนย์เยาวชน ทำให้เด็กต่างอำเภอรับรู้ได้ไว มีการปล่อยคลิปและไลฟ์เพื่อกระตุ้นชุมชนให้เข้ามีส่วนร่วมต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนงานจนถึงวันจริง ซึ่งคือทักษะสื่อสารร่วมสมัยที่เด็กยุคนี้ต้องใช้ในการพัฒนางานสร้างสรรค์ของตนเอง

เชื่อม “กิจกรรม” กับ “โครงสร้างถาวร”: จุดหมายปลายทางคือให้เด็กวันนี้เติบโตเป็น ผู้ใช้พื้นที่ TCDC วันพรุ่งนี้ เมื่อศูนย์ฯ เปิดใช้งาน พวกเขาจะกลับมาในฐานะผู้จัดนิทรรศการ นักออกแบบ นักทำคอนเทนต์ หรือผู้ประกอบการตัวเล็กที่ใช้ศูนย์เป็นห้องทดลองทางธุรกิจ สิ่งนี้ทำให้การลงทุนด้านโครงสร้างมี “เจ้าของร่วม” ตั้งแต่วัยเรียน

ตัวเลข–ไทม์ไลน์ที่ต้องรู้ จากนโยบายส่วนกลางสู่การขับเคลื่อน ณ พรมแดนโขง

  • 10 จังหวัด ที่ CEA คัดเลือกให้เป็น NEW TCDC เพื่อจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ กระจายจุดเรียนรู้และเครือข่ายในภูมิภาค มี เชียงราย อยู่ในรายชื่อร่วมกับนครราชสีมา แพร่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ปัตตานี และภูเก็ต สื่อหลักรายงานสอดคล้องกันในกลางปี 2567
  • สถานะเชียงราย: เว็บไซต์โครงการ NEW TCDC แสดงสถานะ “จังหวัดคู่พัฒนา” และระบุพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ชี้แนวโน้มความคืบหน้าจริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษ
  • ดีไซน์คอนเซ็ปต์เชียงราย: CEA เผยแนวคิดสถาปัตยกรรมที่ยึดหัวใจ “Creative Space for All” บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า เน้นเชื่อมพื้นที่ใน–นอกอาคารให้เป็น ลานสร้างสรรค์ของทุกคน
  • ฐานกิจกรรมเยาวชนในพื้นที่: เพจศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย โพสต์กำหนดการ–เปิดรับสมัคร–ไลฟ์สด และภาพบรรยากาศงาน Homecoming โซน 4 วันที่ 16 ส.ค. 2568 ที่ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพื้นที่กิจกรรมเยาวชนกำลังถูกสร้าง “อย่างสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง

ความท้าทายที่ต้องมองตรง จาก “เวทีเดียว” สู่ “ระบบนิเวศที่ยั่งยืน”

หนึ่ง งบประมาณ–บุคลากร: ศูนย์ถาวรต้องการทีมคิวเรเตอร์ ครูเวิร์กช็อป และผู้จัดการพื้นที่ที่เข้าใจทั้งเด็กและธุรกิจสร้างสรรค์ การปลูกคนควบคู่กับปลูกอาคารจึงจำเป็น เพื่อไม่ให้พื้นที่กลายเป็น “ห้องว่างสวยๆ” ที่เปิดเพียงบางเทศกาล

สอง การเข้าถึงของเด็กชายแดน: เชียงของ–เวียงแก่น–เวียงแก้ว มีต้นทุนระยะทางและรายได้ครัวเรือน การทำให้ศูนย์อยู่ “ใกล้มือ” แม้อยู่ในเมือง ต้องใช้โมเดลบริการนอกศูนย์ เช่น คลินิกออกแบบเคลื่อนที่, ห้องสมุดวัสดุเดินทาง, หรือ บัตรสมาชิกเยาวชน ที่ลดต้นทุนการเข้าร่วมกิจกรรม

สาม เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น: โอกาสของเชียงรายอยู่ที่ “วัฒนธรรมชาติพันธุ์–หัตถกรรม–เกษตรสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวชุมชน” ศูนย์ต้องแปลทุนวัฒนธรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย สอดรับกับแผนการขยาย TCDC ที่มุ่งยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ภูมิภาคอยู่แล้ว

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “เด็ก ได้เวที—ผู้ใหญ่ ได้เห็น”

คำบอกเล่าของครูและผู้ปกครองที่หน้างานสรุปภาพเดียวกันว่า เมื่อมีเวทีที่จับต้องได้ เด็กกล้าแสดงออกมากขึ้น และเรียนรู้การทำงานกับคนต่างโรงเรียนต่างอำเภอ งานแบบนี้ไม่ใช่การแข่งชิงถ้วยเพียงอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่เป็น “ห้องทดลองทักษะชีวิต” ตั้งแต่การซ้อม การบริหารเวลา ไปจนถึงการรับคำวิจารณ์บนเวที ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นของคนทำงานสร้างสรรค์ในโลกจริง—ทักษะที่ TCDC จะต้องรองรับต่อยอดในชั้นเรียนและเวิร์กช็อปที่เป็นระบบในอนาคต (บนฐานแนวคิด “Creative Space for All”)

ทางเดินต่อ ใช้ “เทศกาลเยาวชน” เป็นรางพาเข้าสู่ศูนย์ถาวร

  1. ปักปฏิทินรายปี – จัด Homecoming ให้ครบทุกโซน เชื่อมกับปฏิทินนิทรรศการ–คลาสสั้นในเมือง เพื่อดึงเด็กจากชายแดนเข้าศูนย์ในรอบปี
  2. สร้างพาสปอร์ตทักษะ – ให้ผู้เข้าร่วมเก็บสะสมคลาส–ชั่วโมงอาสา แลกสิทธิใช้สตูดิโอ/วัสดุ/ที่ปรึกษาในศูนย์
  3. แมตช์เมกกิ้งกับภาคธุรกิจ – จับคู่ทีมเยาวชนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้ทำงานจริงขนาดเล็ก ตั้งแต่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ร้านชุมชนถึงคอนเทนต์โปรโมตเส้นทางท่องเที่ยว
  4. เผยแพร่โอเพ่นดาต้า – เก็บและเปิดข้อมูลผลลัพธ์งานเยาวชนและเวิร์กช็อป เช่น จำนวนผู้เข้าร่วม ผลงานต่อยอด เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายประเมินความคุ้มค่าการลงทุนได้โปร่งใส

จาก “พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” สู่ “บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์”

ภาพของเด็กๆ เต้นด้วยความมั่นใจข้างครกเครื่องลาบ คือสัญลักษณ์ของเชียงรายที่ก้าวไปพร้อมกัน ทั้งความเป็นพื้นถิ่นและความร่วมสมัย “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จึงไม่ได้ปิดฉากที่การประกาศผลรางวัล แต่เปิดฉากให้เห็น ทางเดินจริง จากลานโรงเรียนสู่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ทุกคน เมื่อเวทีชั่วคราวกับโครงสร้างถาวรเชื่อมกันครบวงจร เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีทุนมนุษย์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียง “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว” แต่เป็น บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์ บนลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย: โพสต์เปิดรับสมัคร–กำหนดการ–ถ่ายทอดสดงาน “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” วันเสาร์ที่ 16 ส.ค. 2568 ณ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมแต่ละโซนก่อนถึงวันงาน
  • อบจ.เชียงราย: โพสต์ภาพและคำบรรยายระบุวัน เวลา สถานที่ และบทบาทประธานพิธีเปิดโดยนายก อบจ.เชียงราย ในงานโซน 4 ที่เชียงของ
  • เว็บไซต์ทางการ NEW TCDC (CEA): หน้ารวมจังหวัดและพาร์ตเนอร์ ระบุ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เชียงราย โดย อบจ.เชียงราย พร้อมคู่จังหวัดภาคเหนืออื่นในเครือข่าย
  • บทความ CEA: “เปิดแนวคิด 10 ทีมนักออกแบบ NEW TCDC” ระบุคอนเซ็ปต์ TCDC เชียงราย “Creative Space for All” และตำแหน่งที่ตั้งบริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า
  • เพจ TCDC Chiang Rai (ข้อมูลสื่อสารสาธารณะของเครือข่าย TCDC จังหวัด): บทบาทและความร่วมมือกับ อบจ.เชียงราย ในการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสู้ภัย! อบจ.ผนึกกำลังท้องถิ่นซ่อมสะพานขาด 3 วัน หวังคืนเส้นทางประชาชน

เชียงรายเผชิญมรสุมหลายระลอก อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่นรับศึกน้ำท่วมซ้ำซาก เร่งขุดลอก–อุดช่องน้ำกัดเซาะ–ซ่อมคอสะพาน ฟื้นเส้นทางหลักอำเภอเทิง

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568—กระแสลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อนที่ปะทะซ้ำภาคเหนือตอนบนตลอดเดือนกรกฎาคมถึงกลางสิงหาคม ดันน้ำฝนลงลุ่มน้ำหงาวอย่างรุนแรง หลายหมู่บ้านในอำเภอเทิงเผชิญน้ำป่ากัดเซาะคอสะพานและตลิ่งพังซ้ำ ทว่าในความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับฉายภาพการทำงานแบบ “ลุก–ลุย–เร็ว” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ที่ระดมเครื่องจักรหนัก เปิดปฏิบัติการเสริมบิ๊กแบ็กกันตลิ่ง ทำทางเบี่ยงฉุกเฉิน และซ่อมคอสะพานเพื่อคืนการสัญจรให้ประชาชนกับรถบรรทุกผลผลิตการเกษตรโดยเร็วที่สุด โดยมีหน่วยงานอำเภอ เทศบาล–อบต. และเครือข่ายด้านทางหลวง–ปภ. ร่วมประสานกำลังตลอดห่วงโซ่การช่วยเหลือ

เสียงเตือนจากฟ้า เมื่อ “วิภา” ดันฝนถล่ม เหนือบนต้องตั้งการ์ดสูง

กลางเดือนกรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนพายุ “วิภา” ว่าจะทำให้ภาคเหนือตอนบนรวมถึงเชียงรายมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุเคลื่อนปกคลุมแนวร่องมรสุมในช่วงวันที่ 21–26 ก.ค. 2568 ข้อความเตือนชี้ชัดให้จับตาความเสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มในหลายจังหวัด รวมทั้งเชียงรายด้วย

สอดรับกับสัญญาณจากส่วนกลาง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานประชาสัมพันธ์รัฐเร่งสื่อสารแบบ “ทั้งจังหวัดต้องพร้อม” ตั้งแต่ 12–24 ก.ค. 2568 โดยเน้นย้ำให้เฝ้าระวังเขตเขาสูง–พื้นที่ชัน สายด่วน 1784 และช่องทางแจ้งเหตุออนไลน์ถูกผลักดันเป็นเครื่องมือหลัก พร้อมย้ำการส่งข้อความเตือนภัยแบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงของอำเภอเทิง ทั้งตำบลตับเต่าและตำบลหงาว

ระดับพื้นที่ อำเภอเทิงออกประกาศรายงานน้ำฝน–น้ำท่าอย่างต่อเนื่อง และตั้งศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังน้ำลาว–หงาวตามลำดับ เพื่อปรับแผนปฏิบัติการเก็บกู้และชะลอน้ำกัดเซาะแบบเรียลไทม์.

จุดเปราะบางแตกก่อนสะพานบ้านปางค่า–คอสะพานขาด เส้นเลือดคมนาคมถูกตัด

เช้าตรู่ 16 ก.ค. 2568 สายน้ำหงาวพุ่งสูงกะทันหัน กระแทกโครงสร้างสะพานบ้านปางค่าบนสาย 1155 จนเสาค้ำยันเคลื่อน หลายหน่วยสั่งปิดเส้นทางชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย โรงเรียนใกล้เคียงต้องหยุดเรียนทันที การขนส่งผลผลิตเกษตรกับการเดินทางฉุกเฉินหยุดชะงักทั้งแนว สะท้อนจุดเปราะบางของโครงข่ายถนนชนบทเมื่อเจอฝนเกินค่าเฉลี่ยในเวลาอันสั้น

คำถามที่ชาวบ้านถามตรง ๆ คือ “จะกลับบ้าน–ไปโรงพยาบาล–ส่งของได้เมื่อไร?” คำตอบในทางปฏิบัติขึ้นกับการ “เปิดทางทดแทน” และ “ตรึงแนวตลิ่ง” อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ฝนรอบใหม่ซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิม

ล็อกเป้าซ่อมเฉพาะหน้าเสริมบิ๊กแบ็ก–เปิดทางเบี่ยง–อุดช่องน้ำกัดเซาะ

19 ก.ค. 2568 อบจ.เชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ลงพื้นที่ “ปางค่า–ตับเต่า–หงาว” เร่งวางบิ๊กแบ็กทรายเรียงแนวตลิ่งลำน้ำหงาวเพื่อหยุดการพังทลาย พร้อมไล่เพอร์ตเครื่องจักรทำทางเบี่ยงให้รถสัญจรชั่วคราว ลดแรงกดดันของชุมชนที่ถูกตัดขาด ขณะที่ทีมช่างประเมินสภาพคอสะพานที่ถูกน้ำเซาะ เพื่อจัดลำดับงานซ่อมด่วน

ปลายเดือนกรกฎาคม เมื่อปริมาณฝนเริ่มแผ่วลงเป็นช่วง ๆ องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่าลงมือซ่อมคอสะพานหมู่ 13 อุดรอยขาดและปรับผิวทางใหม่ เพื่อเปิดเส้นทางท้องถิ่นให้รถเล็กเดินได้ก่อน พร้อมประสาน อบจ.–อำเภอ ทำความสะอาดโคลน–เศษซากที่ไหลทับถมบ้านเรือน

บทเรียนเชิงโครงสร้าง ที่ทีมช่างท้องถิ่นเห็นตรงกัน คือ “คอสะพาน–ไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำ” คือจุดให้คะแนนทนทานต่อฝนสุดขีด หากคอสะพานสั้นเกินไปหรือไม่มีปีกกำแพงป้องกัน น้ำเชี่ยวจะชอนไชฐานรากได้เร็ว การเสริมบิ๊กแบ็กและอัดหินใหญ่ตามแนวลุ่มต่ำจึงเป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่ต้องทำทันที ขณะที่แผนถาวรจำเป็นต้องรอหน้าฝนผ่อนคลาย

เร่งคืนการสัญจรซ่อมคอสะพาน–เปิดทางหลัก—สัญจรได้อีกครั้ง

ก้าวเข้าสู่ครึ่งเดือนสิงหาคม ทีมสำนักช่างของ อบจ.เชียงรายรวบกำลังเครื่องจักรและแรงงานลงเสริมคอสะพานหมู่ 1 ต.ตับเต่า ที่ถูกน้ำป่ากัดเซาะก่อนหน้า ตรวจเช็กโครงสร้างและอัดวัสดุรองรับใหม่จน “สัญจรได้แล้ว” ในบ่ายวันที่ 15 ส.ค. 2568 ภาพถ่ายหน้างานชี้ชัด รถยนต์และรถบรรทุกเริ่มกลับมาใช้เส้นทางได้ ภารกิจเก็บรายละเอียดจึงขยับไปที่การเสริมไหล่ทาง ปรับผิวถนน และป้ายเตือนความปลอดภัยชั่วคราว

ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารระดับอำเภอและ อบจ.จัดประชุมหน้างานเพื่อวางแผนซ่อมทางเบี่ยงบ้านปางค่าที่เสียหายหนัก โดยเชิญหน่วยงานเชื่อมโยงทั้ง ศูนย์ ปภ. เขต 15 เชียงราย และเครือข่ายด้านทางหลวง เช่น ศูนย์สร้างทางลำปาง มาร่วมวางกรอบฟื้นฟู–เสริมความแข็งแรงในระยะกลางถึงยาว แม้บางงานอยู่คนละเขตรับผิดชอบ แต่บทบาทสนับสนุนเครื่องจักรและเทคนิคการอัดผิว–ป้องกันตลิ่งยังจำเป็นต่อความต่อเนื่องของระบบทาง

สถิติ–สัญญาณเตือน ทำไม “เทิง–ตับเต่า–หงาว” เสี่ยงซ้ำ

ข้อมูลเตือนภัยตั้งแต่ 11–21 ก.ค. ระบุชัดว่าเชียงรายอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีโอกาสเกิดฝนหนักหลายระลอก สภาพภูมิประเทศของอำเภอเทิงที่รับน้ำจากสันเขาไปสู่ลุ่มน้ำหงาว ทำให้เมื่อฝน “เกินค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง” เพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำจะไหลหลากฉับพลันสู่จุดคอขวด เช่น ช่องลำห้วย–ท่อระบายน้ำ–คอสะพาน จึงเกิดเหตุลักษณะ “กัดเซาะเฉียบพลัน” ซ้ำ ๆ หากฐานรากเดิมไม่แข็งแรงพอ

รายงานจากสื่อท้องถิ่นและส่วนกลางในช่วงเวลานั้นชี้ให้เห็นความรุนแรงของเหตุการณ์ ตั้งแต่ระดับน้ำเอ่อท่วม 60–80 เซนติเมตรบางจุด ไปจนถึงการปิดถนนสาย 1155 ชั่วคราวเพื่อรอการประเมินและซ่อมแซม ซึ่งตอกย้ำโจทย์ใหญ่เรื่อง “แผนเสริมความทนทานโครงสร้าง” ในพื้นที่ลาดเชิงเขา

คำอธิบายเชิงระบบ จาก “ดับไฟหน้าเหตุ” สู่ “โครงสร้างทนฝน”

หนึ่ง การจัดทีม “ดับไฟหน้าเหตุ” ต้องไวและครอบคลุม อบจ.–อำเภอ–อบต.ในเทิงใช้โมเดลเครื่องจักรประจำจุดเสี่ยง พร้อมถุงบิ๊กแบ็กสำรองเพื่ออุดช่องน้ำเซาะ และเจ้าหน้าที่สื่อสารชุมชนเพื่อปิด–เปิดเส้นทางทันเวลา โมเดลนี้ลดชั่วโมงวิกฤตได้จริงในเหตุเดือนนี้

สอง โครงสร้างสาธารณูปโภคต้อง “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด” มากกว่าค่าเฉลี่ยเดิม สะพานชนบทที่รับน้ำลำห้วยเชิงเขาควรเพิ่มความยาวคอสะพาน–กำแพงปีก และยกระดับไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำให้มีศักยภาพระบายน้ำหลากปีละหนึ่งครั้งอย่างน้อย การยกระดับมาตรฐานนี้ต้องพึ่งพางบถาวรและความร่วมมือระหว่าง อบจ.–กรมทางหลวง–กรมทางหลวงชนบท–ปภ. โดยมีศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเป็น “คลังเครื่องจักร–ความรู้” สำคัญ

สาม ระบบเตือนภัยเชิงรุกต้อง “พูดภาษาเดียวกัน” ตั้งแต่เตือนพายุในระดับชาติ สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และการส่งสัญญาณเตือนตรงสู่ประชาชนผ่านเครือข่ายมือถือ–หอกระจายข่าว เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่า “เส้นไหนควรเลี่ยง เส้นไหนยังพอวิ่งได้” ในชั่วโมงวิกฤต โมเดลการส่ง Cell Broadcast ที่ปภ.ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายในพื้นที่เทิงถือเป็นก้าวที่ถูกทาง

เสียงจากพื้นที่ “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้”

แม้หน้างานเต็มไปด้วยโคลนและเศษซาก การที่เส้นทางหลัก–ทางเบี่ยงกลับมาเปิดได้ ทำให้รถส่งนมสด ข้าวโพด และลำไยที่กำลังออกสู่ตลาดยังคงเดินต่อ รถพยาบาลฉุกเฉินสามารถรับ–ส่งผู้ป่วยได้ทันเวลา โรงเรียนทยอยกลับมาเปิดเรียนเร็วกว่าที่คาด ชาวบ้านจึงสะท้อนร่วมกันว่า “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้” นี่คือผลลัพธ์รูปธรรมจากการตัดสินใจแบบทันทีของท้องถิ่น

ในอีกมุม ข้าราชการฝ่ายโยธาย้ำว่า “วิธีจบเกมน้ำกัดครั้งต่อไป” คือการเร่งสำรวจจุดเสี่ยงคอสะพานทั้งตำบลตับเต่า–หงาว จัดลำดับงบซ่อมเชิงป้องกันก่อนฝนใหญ่รอบใหม่ และกำหนดมาตรการควบคุมบรรทุกหนักผ่านทางเบี่ยงชั่วคราวอย่างเข้ม ทั้งหมดนี้ต้องเดินคู่กับการสื่อสารสาธารณะเพื่อให้คนทั้งอำเภอ “รู้ทันฝน”

เชื่อมภาพใหญ่จังหวัด แผนรับมือฝนทั้งเชียงราย

ตลอดช่วง 11–25 ก.ค. 2568 จังหวัดเชียงรายเผชิญฝนต่อเนื่องแทบครบ 15 อำเภอ สำนักงานปภ.จังหวัดรายงานสถานการณ์และจัดทีมเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง หน่วยกู้ภัย–อปพร.–อส. ถูกจัดวางในจุดเสี่ยงซ้ำซากตามสายน้ำแม่อิง–แม่ลาว–แม่หงาว เพื่อพร้อมอพยพและยกของขึ้นที่สูงเมื่อจำเป็น กลไกนี้ทำให้ภาพรวมความเสียหายในรอบนี้จำกัดวงได้ในระดับหนึ่ง แม้หลายจุดยังต้องซ่อมเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง

แผนหลังน้ำลด ฟื้นฟู–ป้องกัน–ลงทุน

ฟื้นฟูเร่งด่วน: เก็บเศษวัสดุ–โคลนออกจากคอสะพาน ปรับผิวถนน แก้ไหล่ทางหาย และติดตั้งป้ายเตือนถาวรชั่วคราวในช่วงฝน

ป้องกันรอบใหม่: เสริมบิ๊กแบ็ก–หินใหญ่ตามแนวที่น้ำกัดซ้ำ ซ่อมท่อระบายน้ำอุดตัน ตรวจสอบฐานรากสะพานที่ถูกน้ำเซาะ และเพิ่มช่องทางระบายน้ำให้พ้นคอสะพาน

ลงทุนระยะกลาง–ยาว: ประสานกรมทางหลวงและศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเร่งศึกษามาตรฐานคอสะพาน–กำแพงปีกในพื้นที่ลาดเชิงเขา และจัดสรรงบยกระดับคอสะพานเสี่ยง รวมถึงปรับแบบท่อเหลี่ยม–รางระบายน้ำให้รองรับฝนสุดขีดตามภูมิอากาศใหม่

สูตร “ลุก–ลุย–เร็ว” ผสาน “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด”

เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำ 3 บทเรียนสำคัญสำหรับท้องถิ่นภูเขา

  1. ความเร็วที่วัดเป็นชั่วโมง ช่วยรักษา “ทุนชีวิต–ทุนเศรษฐกิจ” ของชุมชนชนบท การวางเครื่องจักร–บิ๊กแบ็ก–เชือกสื่อสารในตำบลเสี่ยง ทำให้การเปิดเส้นทางชั่วคราวเกิดขึ้นได้ไวหลังน้ำลดไม่กี่ชั่วโมง. Facebook
  2. ระบบเตือนภัยหลายชั้น ต้องเชื่อมต่อกัน ตั้งแต่พายุ–ร่องมรสุมระดับภูมิภาค สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และ Cell Broadcast ในเครื่องชาวบ้าน เพื่อให้การอพยพ–ปิดถนน–ตั้งแนวป้องกันทำได้ก่อนที่น้ำจะกัดคอสะพาน
  3. โครงสร้างต้องเปลี่ยนเพื่ออากาศที่เปลี่ยน หากฝนสุดขีดกลายเป็น “ความปกติใหม่” การลงทุนเพิ่มความยาวคอสะพาน–ช่องระบายน้ำ และยกระดับผิวทางในจุดต่ำ คือคำตอบระยะยาวที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ข้อมูลภัยจากรอบนี้เป็นฐานคำนวณแบบใหม่

เมื่อน้ำลด เห็นรอยทางของ “ความร่วมมือ”

จากเช้าวิกฤต 16 ก.ค. ที่สะพานปางค่าถูกตัดขาด สู่บ่าย 15 ส.ค. ที่เส้นทางหลักหมู่ 1 ต.ตับเต่ากลับมาสัญจรได้ ภารกิจเชื่อมถนน–เชื่อมชีวิตของอำเภอเทิงคือผลรวมของหลายมือ ตั้งแต่ อบจ.เชียงรายที่ลุยหน้างาน อำเภอ–อบต.ที่เสริมทัพ ปภ.จังหวัดที่เทน้ำหนักด้านเตือนภัย และหน่วยงานด้านทางที่ส่งเครื่องจักรมาสนับสนุนเมื่อร้องขอ เหตุทั้งหมดนี้ไม่เพียงฟื้นถนน แต่ฟื้น “ความมั่นใจ” ว่าหากฝนใหญ่กลับมา เมืองนี้จะยืนด้วยระบบที่พร้อมกว่าเดิม

โจทย์ต่อไป คือการเปลี่ยน “ซ่อมเฉพาะหน้า” เป็น “ลงทุนเชิงป้องกัน” ให้ทันฤดูฝนหน้า ด้วยแบบสะพาน–คอสะพาน–รางระบายน้ำที่รองรับฝนสุดขีด และงบประมาณที่เดินได้จริง พร้อมทั้งยืนระยะของระบบเตือนภัยและการสื่อสารชุมชนให้ไวและแม่นยำมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ที่ทำการปกครองอำเภอเทิง
  • องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า
  • ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย
  • ศูนย์สร้างทางลำปาง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

อบจ.เชียงราย Kick off Telemedicine นำร่อง 5 อำเภอ ลดภาระเดินทางผู้ป่วย

อบจ.เชียงราย “Kick off Telemedicine” ตามนโยบาย ‘อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus’ เปิดนำร่อง 5 อำเภอ เชื่อมหมอ–ผู้ป่วยระยะไกล ลดภาระเดินทาง ยกระดับความเท่าเทียมด้านสุขภาพ

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — แผนที่จังหวัดเชียงรายดูแคบลงทันทีที่ปุ่ม “เชื่อมต่อ” บนจอแท็บเล็ตถูกแตะ ภาพแพทย์จากโรงพยาบาลแม่ข่ายปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักทายผู้ป่วยที่กำลังนั่งอยู่ใน “โฮงยาใกล้บ้าน” ณ รพ.สต.ปลายทาง การแพทย์ทางไกลหรือ Telemedicine ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้าเปิดโครงการ “Kick off Telemedicine ตามนโยบายอยู่ไหนก็ใกล้หมอ โฮงยาใกล้บ้าน Plus” อย่างเป็นทางการ ย้ำเป้าหมาย “เป็นธรรม–เข้าถึง–ต่อเนื่อง” ผ่านการบูรณาการภาคท้องถิ่นกับสาธารณสุขจังหวัด และเครือข่ายโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดชายแดนเหนือสุดแดนสยาม

ทำไม “เชียงราย” จึงเหมาะเป็นสนามจริงของ Telemedicine

เชียงรายมีภูมิประเทศกว้างและหลากหลาย ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลใหญ่สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยติดบ้าน คือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ทั้งค่าเดินทาง เวลา และรายได้ที่หายไป ขณะเดียวกัน โครงสร้างดิจิทัลของสาธารณสุขจังหวัดเริ่มพร้อมมากขึ้น ทั้ง แพลตฟอร์มติดตามผู้ป่วย NCDs, ระบบอ้างอิงข้ามหน่วย (MOPH Refer) และ Health Station ที่กระจายถึงระดับชุมชน นี่คือเหตุผลเชิงระบบที่ทำให้ Telemedicine ในเชียงราย “มีโอกาสสำเร็จสูง” หากยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล คลินิกอลโควอร์แนนซ์ และการชดเชยค่าบริการตามเกณฑ์ สปสช. สำหรับบริการผู้ป่วยนอกทางไกล (OP telemed)

พิธีเปิดและภาพรวมโครงการ “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ” เริ่มเดินจริง

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ ที่ทำการ อบจ.เชียงราย โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) และโรงพยาบาลเครือข่ายเข้าร่วม ระดับปฏิบัติการทดลองเชื่อมต่อในพื้นที่นำร่อง ครอบคลุม 5 อำเภอแรก ได้แก่ แม่จัน เมืองเชียงราย เทิง แม่ลาว และแม่สาย ซึ่งเป็นโซนที่มีทั้งเขตเมือง–กึ่งเมือง–ภูเขา เพื่อทดสอบการใช้งานในบริบทที่ต่างกัน ก่อนขยายผลสู่พื้นที่ที่เหลือทั้งจังหวัดตามแผนในไตรมาสถัดไป ข้อมูลเชิงนโยบายของ อบจ. ระบุชัดว่า “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” เป็น 1 ใน 7 เรือธงของแผนพัฒนาจังหวัดปี 2568–2569 ที่นายก อบจ.ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี 2568 และมีการสื่อสารสาธารณะต่อเนื่องผ่านช่องทางทางการของ อบจ.

นอกจากฝั่งท้องถิ่น ฝ่ายสาธารณสุขก็เดินเครื่องควบคู่ สสจ.เชียงราย จัดประชุมคณะทำงาน Telehealth/Telemedicine หลายครั้งในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 เพื่อวางระบบ สนับสนุนบุคลากร และเคลียร์ประเด็นมาตรฐานข้อมูล–ความปลอดภัยไซเบอร์ โดยย้ำโจทย์ “ลดเหลื่อมล้ำ–เข้าถึงฉุกเฉิน–ต่อเนื่องการรักษา” ขณะอ้างอิงเกณฑ์และแนวทางของกรมการแพทย์สำหรับบริการแพทย์ทางไกลในคลินิกโรคเรื้อรังเป็นหลักฐานวิชาการรองรับการปฏิบัติ

จาก “แนวคิด” สู่ “ระบบ” ฐานข้อมูลจังหวัดที่พร้อมกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้เชียงราย “พร้อมกว่าที่คิด” คือข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน Digital Health ที่สะท้อน การใช้งาน Telehealth–Telemed สะสมกว่า 9,800 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2568 (ข้อมูล ณ ไตรมาสกลางปี) และมีการใช้ Health Rider เพื่อรับ–ส่งยา/ดูแลต่อเนื่องกว่า 14,800 ครั้ง ขณะเดียวกัน เอกสารติดตามงานของจังหวัดระบุว่า รพ.สต.ในสังกัด อบจ. มีแผนพัฒนาบริการ Telemedicine เชื่อม โรงพยาบาลแม่ข่าย โดยติดตั้ง Health Station แล้ว 77 ชุด ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ ซึ่งเป็น “ฮาร์ดแวร์–ซอฟต์แวร์ชุมชน” สำคัญให้ Telemedicine เดินได้จริงในระดับหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล

นอกจากนี้ ย้อนดูการประกาศสาธารณะช่วงปลายปี 2567 ยังพบว่า อบจ.เชียงรายเคยเปิดบริการแพทย์ทางไกลเชื่อม รพ.สต. 75 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยห่างไกลวินิจฉัยกับแพทย์โดยตรง โครงการปีที่แล้วจึงทำหน้าที่เป็น “รุ่นทดลอง” ที่ช่วยไล่ปัญหาหน้างาน ก่อนยกระดับเป็น “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ในปีนี้ ซึ่งเป็นกลไก “ต่อยอดมากกว่าเริ่มใหม่” อย่างชัดเจน

ณ จุดหมายสำคัญ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง–ติดบ้านคือกลุ่มได้ประโยชน์ทันที

การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเริ่มจาก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ควบคุมไม่ได้ และ ผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง เพราะเป็นกลุ่มที่ “เดินทางยาก–เสี่ยงทรุด–ค่าใช้จ่ายสูง” ในเอกสารกำกับติดตามของเขตสุขภาพ ระบุว่าการให้บริการ Telemedicine สำหรับคลินิก NCDs และคลินิกเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง หรือ สุขภาพจิต ได้เริ่มปฏิบัติแล้วในบางเครือข่าย ขณะที่ โรงพยาบาลแม่สาย รายงานผลการให้บริการ Telemedicine ในคลินิก NCDs ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และยกระดับงานตามเป้าหมายตรวจราชการปี 2568 สะท้อนความต่อเนื่องของระบบจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน

ภาพปลายทางที่คาดหวังคือ ผู้ป่วย NCDs จะรับ การติดตามอาการ–ปรับยา–ให้คำปรึกษา ผ่านจุดบริการใกล้บ้าน ส่งผลให้โรงพยาบาลใหญ่ ลดความแออัด และทีมชุมชน–อสม.ทำงานได้ แม่นยำ ยิ่งขึ้น เพราะแพทย์เห็นผลตรวจพื้นฐานแบบเรียลไทม์ และสั่งการพยาบาล–นักวิชาชีพปลายทางได้ทันที (ตามแนวทาง DMS Telemedicine) นี่คือ “คลินิกเสมือน” ที่ต่อเข้ากับชีวิตจริงของครอบครัวชนบทบนภูเขาและชายแดน

จากห้องประชุมสู่ห้องนั่งเล่น” กรณีใช้งานและเวิร์กโฟลว์

  • ก่อนพบแพทย์: เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ชั่งน้ำหนักวัดความดันเจาะปลายนิ้วตรวจน้ำตาล (ถ้ามีคำสั่ง) อัปเดตข้อมูลเข้าแพลตฟอร์ม
  • ขณะพบแพทย์ทางไกล: จอภาพขึ้นพร้อมกันสามฝ่ายคนไข้, ทีม รพ.สต., และแพทย์โรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อซักประวัติ ปรับยา ให้คำแนะนำ
  • หลังพบแพทย์: ระบบเชื่อมต่อ รับยา–ส่งยา ผ่าน Health Rider/ช่องทางที่กำหนด ลดรอบเดินทางซ้ำของครอบครัว
  • กรณีฉุกเฉิน: มีทางลัดเรียก รถพยาบาล–1669 และส่งต่อเข้าโรงพยาบาล เมื่ออาการไม่ปลอดภัยตามเกณฑ์

เวิร์กโฟลว์นี้ผูกกับ เกณฑ์เบิกจ่ายบริการทางไกลของ สปสช. (OP telemed) เพื่อให้หน่วยบริการชุมชนและโรงพยาบาลสามารถ เคลมค่าบริการได้ถูกต้อง ลดปัญหา “ทำได้แต่เบิกไม่ได้” ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในอดีต การขับเคลื่อนของเชียงรายจึง “ล้มช่องว่างเรื่องงบประมาณ” ไปพร้อมกับ “ล้มช่องว่างระยะทาง”

ช่วงทดลองภาคสนาม: ทำไมต้อง “แม่จัน–แม่สาย–เมือง–เทิง–แม่ลาว”

การเลือก 5 อำเภอ นอกจากจะครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่แล้ว ยังทดสอบ คุณภาพสัญญาณภูมิประเทศการเดินทาง ที่ต่างกัน เช่น พื้นที่ชายแดน–ภูเขาอย่างแม่สาย/แม่จัน กับพื้นที่ราบและเมืองอย่างอำเภอเมืองเชียงราย/แม่ลาว และโซนกึ่งภูเขาอย่างเทิง ทำให้ทีมเทคนิคสามารถ ไล่ปัญหาเชิงระบบ ได้ครบตั้งแต่สัปดาห์แรกของการใช้งานจริง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้จากการดำเนินการของ สสจ.เชียงราย ตลอดปีที่ผ่านมาในการขยายระบบดิจิทัลด้านสุขภาพไปพร้อม Telemedicine (เช่นการเชื่อมระบบติดตาม NCDs และการใช้ Health Platform อื่นของกระทรวง)

เสียงจากผู้บริหารเป้าหมายคือ “เข้าถึง–ยั่งยืน–ตรวจสอบได้”

บนเวทีเปิดตัว นายก อบจ.เชียงราย ย้ำแก่นโครงการว่า Telemedicine ภายใต้นโยบาย “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus” จะเน้น เข้าถึงบริการที่จำเป็น, ลดเหลื่อมล้ำพื้นที่, และ สร้างระบบติดตามผลที่ตรวจสอบได้ ผ่านแดชบอร์ดระดับจังหวัด พร้อมย้ำว่าการทำงานร่วมกับ สสจ.เชียงราย–โรงพยาบาลแม่ข่าย–รพ.สต. จะเดินหน้าอย่างเป็นระบบเพื่อขยายผลตลอดไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ทั้งนี้ แนวทางความร่วมมือระหว่าง อบจ. และ สสจ.ถูกสื่อสารต่อเนื่องในเพจทางการของทั้งสองหน่วย และมีการประชุมคณะทำงานแบบกำกับติดตามเป็นระยะในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568

ตัวเลขที่พูดแทน” หลักฐานว่าระบบกำลังเดิน

  • Telehealth–Telemed ทั้งจังหวัด: ดำเนินการแล้ว 9,898 ครั้ง (สะสมปีงบ 2568 ขณะรายงาน)
  • Health Rider ส่งยา–บริการต่อเนื่อง: 14,877 ครั้ง
  • Health Station: ติดตั้งแล้ว 77 ชุด ครอบคลุม 18 อำเภอ
  • สถานพยาบาลให้บริการ Telemedicine: โรงพยาบาลในสังกัดจังหวัด 17/18 แห่ง ผ่านเกณฑ์ของเขตสุขภาพ (94.44%)

ตัวเลขเหล่านี้ปรากฏในสไลด์ตรวจราชการของจังหวัดและเขตสุขภาพ ซึ่งสะท้อน ความพร้อมเชิงระบบ และการ นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่พิธีเปิดสวยงาม ตัวเลขดังกล่าวยังทำหน้าที่ “ฐานเปรียบเทียบ” ให้โครงการปี 2568–2569 วัดผลได้อย่างโปร่งใส

ความท้าทายและทางแก้ ไม่ใช่แค่วิดีโอคอล แต่คือ “งานระบบ”

  1. สัญญาณ–ไฟฟ้า–อุปกรณ์: บางหมู่บ้านยังเผชิญปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต อบจ.และ สสจ.ต้องจัด แผนสำรอง เช่น อุปกรณ์สื่อสารพกพา/เน็ตสำรอง–ไฟสำรอง เพื่อไม่ให้การรักษาสะดุดในช่วงเวลาสำคัญ (เอกสารตรวจราชการจังหวัดมีแผนด้าน Cyber Security และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรองรับ)
  2. PDPA–ความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพ: จำเป็นต้องแยกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล กำหนดผู้ดูแลระบบ และทดสอบ ความทนทานทางไซเบอร์ อย่างสม่ำเสมอ ตามข้อกำหนดของกระทรวงและแนวทางกรมการแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล
  3. เกณฑ์คลินิกอล–ความต่อเนื่อง: เวชปฏิบัติต้องยืนบน แนวทางคลินิก Telemedicine ชัดเจน เช่น เกณฑ์ NCDs, เงื่อนไขที่ต้องนัดพบแพทย์ตัวจริง, ระบบส่งต่อฉุกเฉิน และ การลงรหัส–เคลม OP telemed ให้ถูกต้องตาม สปสช. เพื่อกำกับคุณภาพและยั่งยืนทางการเงิน
  4. การสื่อสารกับชุมชน: ให้ประชาชนเข้าใจว่า Telemedicine ไม่ใช่การลดคุณภาพบริการ แต่คือการเพิ่มทางเลือก–ลดภาระ ต้องมี สื่อสารอธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน ผ่าน อสม.–ท้องถิ่น และทำ “Mother Class เวอร์ชันสุขภาพผู้ใหญ่” สำหรับดูแลตนเอง–สังเกตอาการก่อนเข้า Telemedicine

ทางไปข้างหน้า: จาก 5 อำเภอ สู่ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ทั้งจังหวัด

เมื่อพิจารณาจากฐานระบบที่ทำไว้ตลอดปี 2567–2568 ตั้งแต่โครงการ Telemedicine ใน รพ.สต. 75 แห่ง ไปจนถึงการติดตั้ง Health Station 77 จุด และตัวเลขการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขยายผลจากนำร่อง 5 อำเภอสู่ทั้งจังหวัด “มีความเป็นไปได้สูง” หากคงจังหวะการประชุมคณะทำงาน–ประเมินผล–แก้จุดอ่อนทุก 2–4 สัปดาห์ พร้อมทำงานเชื่อม รพ.สต. ในความรับผิดชอบของ อบจ. กับ โรงพยาบาลแม่ข่าย ให้แน่นแฟ้น ซึ่งในแผนของจังหวัดก็วางไว้ชัดเจนแล้วว่า รพ.สต. อบจ. จะเชื่อม Telemedicine ตรงกับแม่ข่ายในทุกอำเภอ ตามทรัพยากรที่มี

สาระสำคัญ: โครงการนี้ไม่ใช่แค่ “คอลกับหมอ” แต่คือ “ระบบบริการใหม่” ที่เอื้อให้คนเชียงราย เจอหมอถูกคน ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องแบกภาระระยะทาง และทำให้โรงพยาบาลแม่ข่ายจัดลำดับความสำคัญผู้ป่วยได้ดีขึ้น

โมเดลเชียงรายใช้ได้กับจังหวัดอื่นอย่างไร

  1. เริ่มจากงานเก่า–ต่อเป็นงานใหม่: ใช้ผลลัพธ์ปีที่แล้วเป็นฐาน ตั้ง KPI ชัดเจนจำนวนคอนซัลต์, ระยะรอคอย, สัดส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินถูกส่งต่อทันเวลา
  2. วางสถาปัตยกรรมข้อมูลเดียวกันทั้งจังหวัด: เชื่อม MOPH Refer–Health Rider–Telemed และแดชบอร์ดเดียวกัน ลดข้อมูลซ้ำซ้อน
  3. ทำกรอบงบประมาณ–เคลม สปสช. ตั้งแต่วันแรก: ให้หน่วยบริการ “อยู่รอดขยายได้”
  4. ลงทุนในคน: แพทย์–พยาบาล–เจ้าหน้าที่ รพ.สต.–อสม. ต้องได้ คู่มือปฏิบัติ และ ซ้อมเวิร์กโฟลว์ รายเดือน
  5. ประเมินและสื่อสารสาธารณะ: เปิดเผย ตัวชี้วัดรายอำเภอ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนท้องถิ่น

เชียงรายกำลังพิสูจน์ว่า เมืองชายแดนภูเขาก็ เป็นเมืองสุขภาพดิจิทัล ได้ หากทุกฟันเฟืองหมุนพร้อมกันหน่วยท้องถิ่นใส่ทรัพยากรสาธารณสุขใส่ระบบโรงพยาบาลใส่มาตรฐานชุมชนใส่การมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

ก้าวใหม่เชียงราย โครงการ Creative Space ปลุกพลังเยาวชน สืบสานวัฒนธรรมและชาติพันธุ์

อบจ.เชียงราย สร้างสรรค์พื้นที่ให้เยาวชน” รองนายกฯ ปิดโครงการสุดปัง! มอบรางวัลเดินแบบชุดชาติพันธุ์ พร้อมชูพลัง Soft Power ท้องถิ่น

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคมเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะร่าเริงของเยาวชนจำนวนมาก พวกเขาสวมใส่ชุดประจำชาติพันธุ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าถุงลายขิดของชาวไทลื้อ เสื้อแขนกระบอกของชาวอาข่า หรือผ้าคลุมศีรษะประดับลูกปัดของชาวลาหู่ แต่ละชุดไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความงดงามทางวัฒนธรรม แต่ยังเล่าเรื่องราวของรากเหง้าที่ถูกถักทอมาจากบรรพบุรุษ คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเยาวชนรุ่นใหม่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเชียงราย ถึงได้มีโอกาสแสดงออกถึงอัตลักษณ์เหล่านี้อย่างภาคภูมิใจ

 คำตอบอยู่ที่โครงการพัฒนาทักษะชีวิตเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย หมวดที่ 6 “Creative Space for Youth Development” ซึ่งปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบในวันนี้ ด้วยมหกรรมโซน 3 “มหกรรมร่วมสืบสาน เล่าตำนาน วัฒนธรรมและชาติพันธุ์สุดถิ่นไทย” ที่ไม่เพียงเป็นเวทีแห่งการแสดงศักยภาพ แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของชุมชนท้องถิ่น

เปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2568

ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน โครงการนี้เริ่มต้นจากนโยบายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ที่มุ่งมั่นสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชน โดยเฉพาะในพื้นที่โซน 3 ซึ่งครอบคลุมอำเภอแม่จัน แม่สาย และพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงสุดในจังหวัด เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์มากถึง 145 กลุ่ม คิดเป็นประชากรกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 211,752 คน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน เยาวชนในพื้นที่เหล่านี้ก็เผชิญกับความท้าทาย เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา การเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าและสิ่งเสพติด รวมถึงปัญหาการรวมกลุ่มเด็กแว้นที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์เหล่านั้น โดยเปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2568 และปิดรับสมัครการแข่งขันเดินแบบชุดชาติพันธุ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 500 คน จากชุมชนต่างๆ ในโซน 3

งานมหกรรมในวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 08.00 น. ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายฐิติวัชร ไลศิริพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยทีมงานจากศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย บรรยากาศคึกคักด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น เช่น การรำวงพื้นเมืองและการบรรเลงดนตรีชาติพันธุ์ แต่ไฮไลต์สำคัญคือการประกวดเดินแบบชุดชาติพันธุ์ ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนได้นำเสนอเรื่องราวของชุดที่สวมใส่ ไม่ใช่แค่การเดินโชว์ แต่เป็นการเล่าตำนานและอัตลักษณ์ของแต่ละเผ่า เช่น เยาวชนคนหนึ่งจากชุมชนชาวลาหู่เล่าว่า ชุดของเขาสะท้อนถึงวิถีชีวิตบนภูเขาที่ต้องต่อสู้กับธรรมชาติอันโหดร้าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความเข้มแข็งและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร การแข่งขันนี้ไม่เพียงสร้างความตื่นเต้น แต่ยังทำให้ผู้ชม โดยเฉพาะพ่อแม่และชาวบ้านในพื้นที่ ได้เห็นถึงศักยภาพของลูกหลานที่ถูกปลุกขึ้นมาผ่านกิจกรรมเช่นนี้

โครงการนี้คือการลงทุนในอนาคตของเชียงราย

เมื่อเข้าสู่ช่วงบ่าย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปิดโครงการและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ นายสุธีระพงษ์กล่าวในพิธีว่า “โครงการนี้คือการลงทุนในอนาคตของเชียงราย เราต้องการให้เยาวชนเติบโตอย่างมั่นคง ภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง และนำทักษะที่ได้ไปประกอบอาชีพได้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม” คำกล่าวนี้สะท้อนถึงนโยบายหลักของอบจ.เชียงราย ภายใต้แนวคิด “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ซึ่งเน้นการเข้าถึงการศึกษาและทักษะชีวิตแม้ในพื้นที่ห่างไกล ผู้ชนะเลิศในประเภทต่างๆ ได้รับรางวัลเป็นทุนการศึกษาและอุปกรณ์ส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น ชุดเครื่องแต่งกายใหม่หรือเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถสืบสานกิจกรรมเหล่านี้ต่อไปในชุมชน

นอกจากประเด็นหลักอย่างการสืบสานวัฒนธรรม ประเด็นรองที่โดดเด่นในงานนี้คือการส่งเสริม Soft Power ท้องถิ่น เชียงรายมีชื่อเสียงในด้านนี้อยู่แล้ว เช่น เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงที่ได้รับ OTOP ระดับ 5 ดาว ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ โครงการนี้จึงเชื่อมโยงกับการพัฒนาเยาวชนให้เป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power โดยผ่านกิจกรรมที่ผสมผสานศิลปวัฒนธรรมกับทักษะสมัยใหม่ เช่น การใช้โซเชียลมีเดียโปรโมทชุดชาติพันธุ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าพื้นเมือง ผู้เข้าร่วมหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า “กิจกรรมนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าวัฒนธรรมของเราไม่ใช่แค่เรื่องเก่าๆ แต่สามารถนำไปขายหรือโปรโมทให้คนอื่นรู้จักได้” ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเยาวชน

กิจกรรมในมหกรรมโซน 3 นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์

โครงการ “Creative Space for Youth Development” เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566-2570 ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนอายุ 15-24 ปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของประชากรจังหวัด (จากข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2564) กิจกรรมในมหกรรมโซน 3 นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากชุมชนต่างๆ กว่า 500 คน และมีผู้ชมรวมกว่า 1,000 คน รวมถึงแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานท้องถิ่น เช่น สภาเยาวชนเชียงราย ซึ่งขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเยาวชนกว่า 100 โครงการในปี 2568 การแข่งขันเดินแบบมีผู้สมัครกว่า 200 คน จากการเชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์และกลุ่มชุมชน ผลจากการจัดงานครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยลดปัญหาสังคมในเยาวชน เช่น การเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าที่พบในเยาวชนเชียงรายสูงถึง 10% (จากรายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชน พ.ศ. 2564) โดยแทนที่ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์

โครงการส่งเสริม Soft Power ในเชียงราย

เยาวชนในชุมชนของคุณเติบโตขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม พวกเขาจะนำสิ่งนั้นไปสร้างรายได้อย่างไร? จากข้อมูลของโครงการส่งเสริม Soft Power ในเชียงราย การนำวัฒนธรรมมาพัฒนา โครงการนี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มักถูกมองข้าม ล่าสุด รัฐสภาเพิ่งผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนกลุ่มนี้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานมากขึ้น เช่น การศึกษาและสวัสดิการ ส่งผลให้ชุมชนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในแง่เศรษฐกิจ Soft Power จากโครงการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 54,106 ล้านบาท โดยการโปรโมทวัฒนธรรมผ่านเยาวชนจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น สร้างงานให้ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น การขายสินค้าพื้นเมืองหรือบริการโฮมสเตย์

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทาย เช่น การขาดงบประมาณต่อเนื่องหรือการเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล แต่หากอบจ.เชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ที่มีโครงการพัฒนาชุมชน Soft Power สามารถเชื่อมโยงกันได้ โครงการนี้จะยั่งยืนยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้ว ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคือชุมชนที่เข้มแข็ง ลูกหลานที่มีทักษะพร้อมเผชิญโลก และวัฒนธรรมที่ถูกสืบสานไปสู่รุ่นต่อไป ซึ่งจะช่วยให้เชียงรายกลายเป็นแบบอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กิจกรรมจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และสภาเยาวชนจังหวัดเชียงราย
  • สถิติประชากรและกลุ่มชาติพันธุ์จากรายงานสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2564 และ SDG Profile Chiang Rai โดย UNDP
  • ข้อมูล Soft Power และผลกระทบจาก ETDA และรายงานโครงการส่งเสริม Soft Power เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมาคม อบจ. ส่งถุงยังชีพ 3 แสนบาท ช่วยชาวแม่ต๋ำใต้ พญาเม็งราย หลังน้ำท่วม

สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ส่งมอบน้ำใจสู่เชียงราย 300,000 บาท – ถุงยังชีพ บรรเทาวิกฤตอุทกภัย สะท้อนพลังท้องถิ่นเพื่อประชาชน

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – จากอุทกภัยสู่โอกาสในการรวมพลัง สร้างความเข้มแข็งระดับฐานราก จากเหตุการณ์อุทกภัยที่ถาโถมหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้ชุมชนหลายแห่งต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลแม่ต๋ำ อำเภอพญาเม็งราย ที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านสาธารณูปโภคและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ภายใต้สถานการณ์วิกฤตดังกล่าว สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย หรือ สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ได้แสดงบทบาทขององค์กรท้องถิ่นระดับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเข้าถึง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา

โดยมีการมอบถุงยังชีพและเงินสนับสนุนจำนวน 300,000 บาท ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย โดยมี นายชาตรี ศรีสันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคมฯ พร้อมผู้บริหารสมาคมฯ ลงพื้นที่ด้วยตนเอง ณ หมู่ 9 ตำบลแม่ต๋ำ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความซาบซึ้งใจและความหวังที่กลับคืนสู่ชุมชน

ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” คำมั่นของเครือข่ายท้องถิ่นเพื่อคนไทยทุกคน

การให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า “น้ำใจของคนไทยไม่เคยเหือดแห้ง” และเมื่อภัยมา ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นจากทั่วประเทศก็จะเคลื่อนไหวในทันที

นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารจากสมาคมฯ ด้วยความอบอุ่น พร้อมพาชมสภาพความเสียหายและจุดแจกจ่ายสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนในพื้นที่

ประชาชนที่เข้ารับถุงยังชีพบางรายกล่าวทั้งน้ำตาว่า “แค่มีคนมาเห็นว่าพวกเราลำบาก ก็รู้สึกมีกำลังใจแล้ว” ขณะที่คำกล่าวจากผู้แทนสมาคมฯ ก็สะท้อนชัดเจนถึงเจตนารมณ์ “เราจะอยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ว่าอยู่ห่างไกลเพียงใด”

เจาะโครงสร้างการช่วยเหลือ ตรงจุด ยืดหยุ่น และยั่งยืน

  1. ถุงยังชีพถึงมือในเวลาอันรวดเร็ว

ถุงยังชีพประกอบด้วยของจำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ชุดสุขอนามัย และอุปกรณ์เบื้องต้นที่สามารถช่วยประคับประคองชีวิตในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความหิวโหย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความห่วงใยจากพี่น้องท้องถิ่นทั่วประเทศ

  1. เงินสนับสนุน 300,000 บาท ใช้ได้จริงในพื้นที่

เงินบริจาคจำนวน 300,000 บาท ไม่ได้ถูกโอนเข้ากลางหรือผ่านขั้นตอนราชการหลายชั้น แต่ส่งตรงถึง อบจ.เชียงราย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนและเข้าใจสภาพปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง ทำให้สามารถจัดสรรไปยังจุดที่เดือดร้อนที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้านเรือน เสริมกำลังอาสาสมัคร หรือจัดหาอุปกรณ์ฟื้นฟูในพื้นที่ที่ถุงยังชีพไม่ครอบคลุม

พลังของการรวมตัวในระดับท้องถิ่น

กรณีนี้ถือเป็นแบบอย่างของความเข้มแข็งของเครือข่ายท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะใน 3 มิติสำคัญ:

  1. ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ

หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเข้าถึงประชาชนได้รวดเร็ว รู้จักภูมิประเทศ และเข้าใจปัญหาเชิงลึก ซึ่งต่างจากการช่วยเหลือจากส่วนกลางที่อาจต้องใช้เวลานาน

  1. การบูรณาการความร่วมมือข้ามจังหวัด

การที่สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ส่งความช่วยเหลือถึงพื้นที่โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากภาครัฐกลาง เป็นภาพสะท้อนของความพร้อมในการจัดการภายใต้ระบบท้องถิ่นแบบมีประสิทธิภาพ

  1. เสริมความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ในยามที่ผู้คนต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง คือพลังใจที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศก็มั่นคง

โครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศที่ผ่านมา มักถูกวิจารณ์ว่าเน้นส่วนกลางมากเกินไป ขาดความยืดหยุ่นและไม่เข้าใจสภาพท้องถิ่นอย่างแท้จริง แต่เหตุการณ์ที่ตำบลแม่ต๋ำครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าให้พลังกับท้องถิ่น พวกเขาสามารถจัดการวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แพ้หน่วยงานระดับชาติ

 “น้ำใจ” คือพลังฟื้นฟูที่ดีที่สุด

ในสถานการณ์ที่การฟื้นตัวจากภัยพิบัติต้องใช้เวลานาน การเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการได้รับการเยียวยาจากใจคนไทยด้วยกันเอง และครั้งนี้ สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นว่า “องค์กรท้องถิ่น” คือกลไกที่ทรงพลังในการสนับสนุนชีวิตของประชาชน

การลงพื้นที่ของคณะผู้บริหาร อบจ.จากทั่วประเทศ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูชีวิตชาวแม่ต๋ำ แต่ยังช่วยฟื้นศรัทธาในระบบท้องถิ่น สร้างภาพลักษณ์ใหม่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า “พวกเขาไม่ใช่แค่หน่วยงาน…แต่คือเพื่อนร่วมชะตากรรมของประชาชนในทุกเหตุการณ์”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตำบลแม่ต๋ำ อ.พญาเม็งราย
  • บันทึกคำกล่าวผู้แทนประชาชนและผู้นำท้องถิ่น
  • ข้อมูลสนับสนุนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายจัดซ้อมใหญ่! เสริมแกร่งชุมชนแม่ฟ้าหลวง รับมืออัคคีภัย-แผ่นดินไหว

อบจ.เชียงราย เสริมแกร่งชุมชนแม่ฟ้าหลวง จัดฝึกซ้อมรับมือภัยพิบัติ สู่เป้าหมาย ‘PDOSS’ ปลอดภัยยั่งยืน

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – แม่ฟ้าหลวงต้นแบบความพร้อมรับมือภัยพิบัติ สู่การพึ่งพาตนเองอย่างเป็นระบบ ท่ามกลางภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งแผ่นดินไหว ไฟป่า และอัคคีภัย การเตรียมความพร้อมของชุมชนจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป หากแต่เป็นภารกิจจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ล่าสุด องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้เดินหน้ายกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ด้วยการจัดโครงการฝึกซ้อมระงับอัคคีภัยและอพยพหนีแผ่นดินไหว ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชายแดน และเป็นแหล่งชุมชนบนพื้นที่ภูเขาที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ

โดยโครงการครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างทักษะการเอาตัวรอดแก่ประชาชน สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย PDOSS หรือ “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ” ของ อบจ.เชียงราย สู่การปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่

ฝึกจริง เข้าใจจริง รับมือได้จริงภารกิจที่เริ่มจากคนในชุมชน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ หอประชุมบ้านเทอดไทย หมู่ 1 ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.จากเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง และผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครภาคประชาชน รวมถึงตัวแทนจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป

การฝึกซ้อมครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะทฤษฎี แต่เน้นการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริง ตั้งแต่การฝึกใช้เครื่องดับเพลิงชนิดต่าง ๆ การจำลองสถานการณ์แผ่นดินไหว การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ และการประสานงานข้ามหน่วยงาน ทั้งหมดล้วนสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในการตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

PDOSS แนวคิดแห่งอนาคตที่เริ่มต้นแล้ววันนี้

PDOSS (Public Disasters One Stop Service) เป็นนโยบายที่ อบจ.เชียงราย ริเริ่มขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัย การตอบสนองทันทีเมื่อเกิดเหตุ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายให้ทุกตำบลมี “ศูนย์ปฏิบัติการท้องถิ่น” ที่สามารถตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันเวลาและมีประสิทธิภาพ

การนำ PDOSS ลงพื้นที่แม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมฝึกอบรม แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ภูมิคุ้มกันภายใน” ให้กับชุมชน เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองก่อนที่ความช่วยเหลือจากภายนอกจะเดินทางมาถึง

ความร่วมมือคือหัวใจของความสำเร็จ

ความโดดเด่นของกิจกรรมครั้งนี้คือการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานด้านสาธารณสุข และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่

ความร่วมมือเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความแข็งแกร่งในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน และเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการสาธารณะในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ

ทำไมแม่ฟ้าหลวงถึงเป็นพื้นที่เป้าหมาย

อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากทั้งอัคคีภัยในชุมชนบ้านไม้ และดินถล่ม/แผ่นดินไหวเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน และบ้านเรือนจำนวนมากอยู่ใกล้แนวป่าหรือแนวลาดชัน

การวางระบบ PDOSS จึงเป็นการสร้างเครือข่ายการแจ้งเตือนและรับมือภัยพิบัติที่สอดคล้องกับลักษณะของพื้นที่ ช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือได้ทันเวลา ลดโอกาสการบาดเจ็บ สูญเสียทรัพย์สิน และแม้กระทั่งชีวิต

ผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน สร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน

จากการลงพื้นที่ติดตามของผู้สื่อข่าว พบว่าผู้เข้าร่วมอบรมมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือดับเพลิงเพิ่มขึ้นกว่า 80% และสามารถดำเนินการอพยพจำลองได้อย่างมีระเบียบภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีการจัดทำคู่มือ “เอาตัวรอดเมื่อเกิดแผ่นดินไหวและอัคคีภัย” แจกจ่ายให้กับทุกครัวเรือนในพื้นที่

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากโครงการนี้ ได้แก่:

  • เสริมทักษะชีวิตในภาวะฉุกเฉิน
  • เพิ่มความมั่นใจและลดความตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง
  • สร้างวัฒนธรรมการเตรียมพร้อมและการเอื้อเฟื้อกันในชุมชน
  • เสริมศักยภาพหน่วยงานท้องถิ่นให้สามารถรับมือภัยพิบัติได้เอง

เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นวาระแห่งท้องถิ่น

การดำเนินโครงการฝึกซ้อมอัคคีภัยและแผ่นดินไหวของ อบจ.เชียงราย ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างของการพัฒนาท้องถิ่นที่เข้าใจบริบทอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงการทำตามระเบียบ แต่เป็นการ “สร้างความปลอดภัยเชิงรุก” เพื่อให้คนในพื้นที่มีเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงเมื่อเกิดภัย

วิสัยทัศน์ของ PDOSS จึงไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงนโยบาย แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ เมื่อทุกคนในพื้นที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง

ในยุคที่ภัยพิบัติไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า หนทางเดียวที่เราจะสามารถลดความสูญเสีย คือการ “เตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุ” อย่างมีแบบแผน ยั่งยืน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการฝึกซ้อมโครงการ PDOSS ประจำปี 2568
  • สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมอบรม และเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
  • กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกท้องถิ่น เปิด “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่น ดัน “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ “นายกนก” ชี้ชัดพร้อมหนุนเต็มที่ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในช่วงเวลาวิกฤตที่ราคาผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนืออย่าง “ลำไย” และ “กระท้อน” ตกต่ำจนสร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของ “นายกนก” นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ไม่รอช้า เร่งเดินหน้าผนึกกำลังกับองค์กรปกครองท้องถิ่น จัดเวทีตลาดผลไม้เพื่อเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณการจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ประจำปี 2568 ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

การรวมพลังจากฐานรากเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เทศบาลตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย คึกคักเป็นพิเศษจากการจัดพิธีเปิดงานวันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก โดยมี นายกนก – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายพิเศษ อาษา นายกเทศมนตรีตำบลห้วยสัก คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. เจ้าหน้าที่ และประชาชนกว่า 500 คนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดนัดผลไม้ แต่คือ “เวทีเชื่อมตรง” ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรถูกกดราคา และรายได้ไม่เป็นธรรม นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีสินค้าแปรรูปจากลำไย กระท้อน ขนมพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ OTOP จากกลุ่มอาชีพในชุมชน มาร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรท้องถิ่น

พร้อมสู้ทุกปัญหาเพื่อชาวไร่

ในพิธีเปิดงาน นายกนกเน้นย้ำว่า “อบจ.เชียงราย ยืนยันจะอยู่เคียงข้างเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณและประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อเปิดตลาดตรง ให้เกษตรกรได้ขายสินค้าในราคายุติธรรม สร้างรายได้มั่นคงให้กับครอบครัว สร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแกร่ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน”

นอกจากนั้น อบจ. ยังวางแผนต่อยอดตลาดผลไม้ในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพิ่มกิจกรรมสร้างสีสัน เช่น ประกวดผลไม้สวยงาม สาธิตการแปรรูป การประกวดอาหารท้องถิ่น สร้างเสน่ห์และคุณค่าที่แตกต่าง

วิกฤตราคาสินค้าเกษตรจุดเปลี่ยนสู่การสร้างความยั่งยืน

ในแต่ละปี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวลำไยและกระท้อน ผลผลิตมักล้นตลาด เกษตรกรถูกกดราคา บางปีราคาต่ำกว่าทุน แต่การจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การบรรเทาเฉพาะหน้า แต่เป็นการ “ปักหมุด” ให้เกิดรูปแบบการตลาดใหม่ที่เน้นการขายตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือ “Direct to Consumer” โดยแท้จริง

โครงการนี้เป็นโมเดลการตลาดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. และเทศบาล ต่อยอดแนวคิดพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ช่วยให้เกษตรกรกำหนดราคาขายได้เอง ส่งเสริมการตั้งกลุ่มอาชีพ/วิสาหกิจชุมชน ร่วมคิด ร่วมพัฒนา และสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเลือกซื้อผลผลิตในชุมชนเป็นอันดับแรก เกิดการกระจายรายได้ เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตด้วยการแปรรูปเป็นของฝากหรือขนมขบเคี้ยว สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

บูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-วัฒนธรรม

งาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเกษตรกรรม หากแต่บูรณาการสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการสินค้าชุมชน Workshop การทำขนมพื้นบ้าน การท่องเที่ยวสวนผลไม้เชิงเกษตร เพื่อสร้างความหลากหลายดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสต่อยอดเป็นเทศกาลประจำปีที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับพื้นที่ในระยะยาว

จุดแข็งที่สำคัญคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผน จัดเตรียมงาน ขายสินค้า ไปจนถึงกิจกรรมบนเวทีหลัก ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างความผูกพันและภาคภูมิใจในชุมชนของตน

 “เชียงรายโมเดล” – อบจ.นำร่องตลาดตรง สู้ปัญหาเกษตรกรยุคใหม่

จากวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำสู่โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ไม่เพียงแต่อาศัยงบประมาณภาครัฐช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังกล้า “ลงมือปฏิบัติจริง” ดึงคนในชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท ผลักดันให้เกิดโมเดลการตลาดที่เป็นธรรม เชื่อมตรงเกษตรกร-ผู้บริโภค เสริมสร้างการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจระดับรากฐาน

โมเดลนี้ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากท้องถิ่น ช่วยลดช่องว่างทางรายได้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว

 “นายกนก” นำทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความยั่งยืนให้เชียงราย

การจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ปี 2568 คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีงานทำ เศรษฐกิจชุมชนขยายตัว และเกิดต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถต่อยอดในอนาคต

นี่คือบทพิสูจน์ถึงผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เพียงแค่ “บริหารงบ” แต่ “เข้าใจหัวใจเกษตรกร” และกล้าขับเคลื่อนชุมชนให้ก้าวข้ามวิกฤตสู่โอกาสใหม่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลห้วยสัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย “นายกนก” ศึกษาจัดการน้ำ กทม. เร่งสร้าง PDOSS รับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงราย เร่งเครื่องแก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน ‘นายกนก’ นำทีมศึกษาระบบระบายน้ำ กทม. เตรียมปั้นโมเดล PDOSS รับมือภัยพิบัติอนาคต

กรุงเทพฯ, 1 สิงหาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ยังคงเป็นบททดสอบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติของท้องถิ่น หลังฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและสร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายอำเภอ ประชาชนเดือดร้อน ขาดแคลนทรัพย์สิน และระบบสาธารณูปโภคได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะระดมกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากยังคงเป็นจุดอ่อนของเชียงรายที่ต้องหาทางออกอย่างยั่งยืน

นายกนก’ ลงพื้นที่จริง ศึกษาระบบ กทม. จุดประกายแนวคิดจัดการน้ำใหม่

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “นายกนก” ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. รวมถึงฝ่ายช่างและกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เดินทางไปยังสำนักการระบายน้ำ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพื่อศึกษาดูงานระบบบริหารจัดการน้ำในเมืองหลวงของประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ กทม. ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ นอกจากการเรียนรู้รูปแบบการเฝ้าระวังสถานการณ์ การวางแผนและป้องกันปัญหาน้ำท่วมของ กทม. ซึ่งมีเครือข่ายและเครื่องมือทันสมัยแล้ว ยังเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือและนำองค์ความรู้ใหม่มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของเชียงราย ที่ต้องเผชิญทั้งปัญหาน้ำท่วมฉับพลันจากน้ำป่าและน้ำท่วมขังในเมือง

โมเดล PDOSS ศูนย์สาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ปักธงเปลี่ยนโฉมเชียงราย

นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการถอดบทเรียนจาก กทม. เพื่อเดินหน้าผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Public Disasters One Stop Service: PDOSS) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในเชียงราย โดยตั้งเป้าหมายยกระดับการป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพใน 5 มิติหลัก ได้แก่

  • ระบบเตือนภัยล้ำสมัย: สร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยที่รวดเร็วและแม่นยำ ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำ พร้อมเชื่อมโยงกับระบบการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันและสื่อโซเชียลให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารทันสถานการณ์
  • บริหารเครือข่ายระบายน้ำ: ปรับปรุงโครงข่ายระบายน้ำทั้งในเมืองและชนบท เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำผ่านคลอง สะพาน และสถานีสูบน้ำ ลดจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก
  • ฐานข้อมูลภัยพิบัติเปิดสาธารณะ: จัดทำฐานข้อมูลและแผนที่ภัยพิบัติที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้สะดวก เพื่อใช้วางแผนรับมือและติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานรัฐ
  • ศูนย์เยียวยาแบบจุดเดียว: จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนผู้ประสบภัยในจุดเดียว ลดขั้นตอนการช่วยเหลือให้รวดเร็วและทั่วถึง
  • ระบบรายงานเหตุการณ์ Real Time: พัฒนาระบบรับแจ้งเหตุและติดตามการช่วยเหลือผ่านช่องทางดิจิทัล ตอบสนองต่อภัยพิบัติและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

เชียงรายกับโจทย์ท้าทาย ‘น้ำท่วมซ้ำซาก’ และโมเดลการเปลี่ยนแปลง

อุทกภัยในเชียงรายที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นสัญญาณเตือนว่าการรับมือกับภัยธรรมชาติเชิงรับและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การลงทุนในเทคโนโลยีเฝ้าระวังน้ำท่วม พัฒนาโครงข่ายระบายน้ำอย่างเป็นระบบ และใช้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นทางรอดใหม่ที่ต้องเร่งผลักดัน

แนวคิด PDOSS ที่ อบจ.เชียงราย กำลังขับเคลื่อนคือการก้าวข้ามวิธีคิดเดิม เปลี่ยนจากระบบรับมือแบบแยกส่วน มาสู่การบูรณาการทรัพยากร หน่วยงาน และข้อมูลอย่างไร้รอยต่อ พร้อมขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี ตั้งแต่การแจ้งเตือนภัย ไปจนถึงการเยียวยาผู้ประสบภัย นับเป็นตัวอย่างสำคัญของท้องถิ่นที่กล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว

มุ่งมั่นสร้างเมืองน่าอยู่ ‘เชียงราย’ แบบยั่งยืน

บทเรียนจากกรุงเทพมหานคร คือแบบอย่างการบริหารจัดการน้ำที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงภายใต้ข้อจำกัดและบริบทท้องถิ่น การเดินหน้าพัฒนา PDOSS สะท้อนความตั้งใจของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารจัดการภัยพิบัติและป้องกันน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขในบ้านเกิด

นี่คือก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองน่าอยู่และปลอดภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News