Categories
HEALTH

คนไทย 1 ใน 10 เป็นเบาหวาน วิมุตฯ เตือนภัย NCDs วัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลอง 40 ปี มุ่งป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

กรุงเทพฯ, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งความสำเร็จในการดูแลสุขภาพของคนทุกวัย พร้อมประกาศเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวานและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามประชากรวัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เทพ หิมะทองคำ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้ประชาชนทุกวัย โดยแนวคิดนี้เกิดจากประสบการณ์ศึกษาดูงานต่างประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าการดูแลโรค NCDs โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ต้องเน้นการป้องกันและให้ความรู้ควบคู่กับการรักษา เพราะผู้ป่วยมักเผชิญกับปัญหาซ้ำซากเมื่อพึ่งพาการรักษาเพียงอย่างเดียว”

คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย

องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2021 โรค NCDs คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกอย่างน้อย 43 ล้านคน โดยมีประชากร 18 ล้านคนที่เสียชีวิตจากกลุ่มโรคดังกล่าวก่อนอายุ 70 ปี สำหรับประเทศไทย งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ WHO บ่งชี้ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็ง และโรคปอดเรื้อรัง

มีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า

นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสุขภาพด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันท้าทายเช่นนี้ หลังจากที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และจะมีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้ สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การขยายตัวของเมือง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน

นายแพทย์เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์ กล่าวว่า “จากรายงานสถิติสาธารณสุขไทยพบว่า มีผู้เป็นเบาหวานรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 300,000 คนต่อปี และปัจจุบันมีคนไทยถึง 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน สิ่งที่น่ากังวลคือ เรากำลังพบผู้ป่วยในกลุ่มคนทำงานที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาระงานหนักและมีความเครียดสูง ซึ่งมักพึ่งพาอาหารหวาน มัน และของทอด เพื่อบรรเทาความเครียด”

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้นำระบบการดูแลผู้ป่วยแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งถูกพัฒนาและเป็นต้นแบบการดูแลรักษาของประเทศไทยมานาน 40 ปี พร้อมต่อยอดสร้างประโยชน์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพนี้ไม่เพียงมุ่งการรักษาอาการของโรคเท่านั้น แต่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายผลการดูแลสุขภาพไปสู่สมาชิกในครอบครัวและสังคม เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับคนทุกวัย

ป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ยังมุ่งเน้นการป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมการออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ได้มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อพัฒนาสุขภาพของผู้คนในสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการสร้างต้นแบบการทำงานแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ การพัฒนาวิชาชีพใหม่ เช่น ผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน นักกำหนดอาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้า และการทำงานส่งเสริมแนวคิดการป้องกันโรคในชุมชน ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการลดภาระของโรค NCDs และสร้างสังคมไทยที่มีสุขภาพดีในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘อทิตาธร’ ชี้แจงภาพกับ ‘อนุทิน’ ยันไปแจกการ์ดเชิญแต่งงานให้ลูกสาว

อทิตาธร วันไชยธนวงค์ ปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเลือกตั้ง อบจ. เชียงราย พร้อมชี้แจงภาพร่วมเฟรมกับอนุทิน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18.00 น. ณ วัดห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ทำการติดตามกิจวัตรประจำวันส่วนตัวของ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ ซึ่งทราบมาว่าจะเข้ามาสวดสวดมนต์และทำสมาธิที่วัดห้วยปลากั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวจึงขอสัมภาษณ์หลังมีประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้คือ ภาพถ่ายที่ปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของนายอนุทิน พร้อมข้อความว่า
ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีเบื้องต้นกับทีมงานผู้ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ที่แวะมาสวัสดีปีใหม่และตรุษจีนที่กระทรวงมหาดไทย”

ภาพดังกล่าวนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ หลังเสร็จศึกเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางหารได้รับการเลือกตั้ง 261,301 คะแนน ในการชิงแบบพรรคอิสระ ทให้เกิดคำถามจากประชาชนในชาวเชียงราย

อทิตาธร เปิดใจถึงภาพถ่ายกับอนุทิน และเหตุผลของการเดินทางไปกระทรวงมหาดไทย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สัมภาษณ์อทิตาธรถึงประเด็นดังกล่าว โดยเธอชี้แจงว่า การเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพาลูกสาว (น้องป่าน)ไปแจกการ์ดงานแต่งงาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2568

ที่จริงตามมารยาทต้องเชิญผู้ใหญ่อย่างน้อยสองเดือนล่วงหน้า แต่เพราะติดช่วงเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำหน้าที่แม่เลย หลังเลือกตั้งเสร็จ จึงรีบไปเชิญผู้ใหญ่ที่กระทรวง”

นอกจากนี้ อทิตาธรยังเปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือกับนายอนุทินเกี่ยวกับปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมและถนนการเกษตร ซึ่งได้รับคำมั่นจากรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการช่วยเหลือ

หารือปัญหาเยียวยาน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน

ในโอกาสเดียวกัน อทิตาธรได้ใช้โอกาสนี้ นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ยังมีประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท จากทางรัฐบาล

“พี่ได้แจ้งกับท่านรัฐมนตรีถึงปัญหาที่ค้างคาอยู่ เช่น ถนนบ้านฟาร์มเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และสะพานที่พังในอำเภอเวียงแก่นและอำเภอเทิงซึ่งส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าเกษตร”

อทิตาธรเปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านเมตตาจะเดินทางมา ตรวจ ราชการ รับฟังข้อมูลที่เชียงราย ใน อาทิตย์หน้า และจะหาแนวทางช่วยเหลือ ชาวเชียงราย และจะหาแนวทางแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แผนงานหลังเลือกตั้ง เตรียมพบกระทรวงอื่นๆ

อทิตาธรระบุว่า หลังจากเข้าพบกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็มีวางแผนที่จะ เดินทางไปพบกระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับเชียงราย เช่น

  • กระทรวงเกษตรฯ: หารือเรื่องการแก้ปัญหาวัชพืชและการเผาไหม้
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ: พูดคุยเรื่องไฟป่าและ PM 2.5
  • กรมโยธาธิการฯ: วางแผนแก้ไขโครงสร้างพื้นฐานและระบบน้ำ

“พี่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเชียงราย ก็จะเดินหน้าทำงานต่อทันที”

เหตุผลที่เลือกไปกระทรวงมหาดไทยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงเลือกเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยในวันถัดจากการเลือกตั้ง อทิตาธรตอบว่า เป็นเรื่องของเวลาที่จำกัด เพราะต้องเตรียมงานแต่งของลูกสาว และลูกสาวเองก็สอบถามตลอดว่าจะเชิญผู้ใหญ่ตอนไหน

ลูกสาวยังพูดติดตลกเลยว่า รอหลังเลือกตั้งแล้วผลออกก่อนก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าแพ้เลือกตั้งจะได้ไม่ต้องพิมพ์การ์ดเยอะ”

ยืนยันจุดยืน “อิสระ” ไม่สังกัดพรรคการเมือง

สำหรับคำถามที่ว่าการปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทินจะสะท้อนถึงการสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ อทิตาธรได้ย้ำชัดว่า

ยังเป็นอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด นอกจากฟังเสียงของประชาชน และมีอิสระทางความคิด”

ทางด้านอทิตาธรยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การเป็นอิสระทำให้สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ง่ายขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเชียงราย

รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม มีรัฐมนตรีจากหลายพรรค ถ้าจำกัดตัวเองอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง จะทำให้การประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนยากขึ้น”

อทิตาธรได้ฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า

“พี่นกอยากให้ทุกคนมั่นใจว่า เราจะทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายต่อไป และไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกแยกทางการเมือง เราทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตของจังหวัด” ย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้งจบแล้ว และสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ การพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวไปข้างหน้า

สร้างความเข้าใจกับประชาชนเชียงราย

อทิตาธรฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า ความตั้งใจในการพัฒนาจังหวัดยังเหมือนเดิม และขอให้ทุกคนมั่นใจว่าจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของเชียงรายอย่างเต็มที่

พี่นกไปทุกกระทรวงและพูดคุยกับทุกพรรค ที่สามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เชียงรายได้ ขอให้ทุกคนมั่นใจในตัวพี่ค่ะ”

สรุปข่าว

  • อทิตาธร วันไชยธนวงค์ เริ่มปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย
  • ชี้แจงว่า ภาพถ่ายกับอนุทิน เป็นเพียงการเข้าพบเพื่อเชิญร่วมงานแต่งของลูกสาว และหารือปัญหาน้ำท่วม
  • ยืนยันว่า ยังคงเป็นนักการเมืองอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด
  • เตรียมเข้าพบ กระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ลุ้น “พญ.อัจฉรา” ผอ.โฮงยาไทย 3 รายชื่อเข้าชิงเลขา สปสช. คนใหม่

คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศ 3 รายชื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 3 คนสุดท้ายจากผู้สมัครทั้งหมด 9 คน เพื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งกำลังจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

“พญ.อัจฉรา” ผ่านเข้ารอบสุดท้าย พร้อมอีก 2 รายชื่อ

จากการประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้สมัคร พร้อมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และแผนการบริหารงานของแต่ละคน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนสุดท้าย โดยรายชื่อที่ผ่านการพิจารณามีดังนี้

  1. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี – เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน
  2. นพ.ดิเรก สุดแดน
  3. พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช

รายชื่อดังกล่าวจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ต่อไป

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 9 คน ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ในวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพิจารณาด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถในการบริหารงาน

หลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือก 3 รายชื่อสุดท้าย โดยใช้เกณฑ์พิจารณาความสามารถในการบริหารงาน ระบบสุขภาพ และความเข้าใจในภารกิจของ สปสช. ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

ขั้นตอนต่อไป: การพิจารณาของบอร์ด สปสช.

คณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งผลการคัดเลือกไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในการประชุมวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเลขาธิการคนใหม่จะต้องเข้ามารับผิดชอบด้านการบริหารงบประมาณด้านสุขภาพ ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผลักดันนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ โดยผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงบประมาณ ดูแลการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่า การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ครั้งนี้เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและการให้บริการที่ต้องพัฒนาให้ทันต่อสถานการณ์

“บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณขนาดใหญ่ และต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืน” นักวิชาการด้านสุขภาพให้ความเห็น

สรุป

การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย โดย 3 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี, นพ.ดิเรก สุดแดน และ พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ทั้งสามรายชื่อจะเข้าสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมตัดสินในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะเข้ารับตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ที่จะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องมีการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่?
    ตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อครบกำหนดต้องมีการคัดเลือกบุคคลใหม่เพื่อสานต่อภารกิจด้านหลักประกันสุขภาพ
  2. ใครเป็นตัวเต็งในการได้รับตำแหน่งครั้งนี้?
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งเป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน ถือเป็นตัวเต็ง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับงานใน สปสช.
  3. ขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกเป็นอย่างไร?
    รายชื่อ 3 คนสุดท้ายจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะพิจารณาและแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
  4. บทบาทของเลขาธิการ สปสช. มีอะไรบ้าง?
    บริหารงบประมาณหลักประกันสุขภาพ ดูแลการให้บริการสาธารณสุข และพัฒนานโยบายด้านสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  5. การแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่จะมีผลเมื่อใด?
    หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ฝึกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศในภาวะไฟป่าและฝุ่น PM 2.5

กองทัพอากาศฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศในภาวะไฟป่าและฝุ่น PM 2.5

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 กองทัพอากาศได้จัดการฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกบินควบคุมไฟป่าและหมอกควันประจำปี 2568 โดยมีการจัดฝึกในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะไฟป่าและฝุ่นควัน PM 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

การฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ

ในการฝึกครั้งนี้ กองทัพอากาศได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลเชียงรายราม โดยมีการฝึกการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศด้วยอากาศยานจริง ทั้งเฮลิคอปเตอร์แบบ EC-725 ของกองทัพอากาศและเฮลิคอปเตอร์แบบ H130 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเครื่องบินที่สามารถใช้ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การฝึกครั้งนี้ใช้สถานการณ์สมมติในการฝึกการแก้ไขปัญหาภาวะฉุกเฉิน ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ไฟป่าหรือหมอกควัน PM 2.5 ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย การฝึกนี้จึงมุ่งเน้นให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

การร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ

การฝึกในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศและโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งหวังให้สามารถใช้ทักษะที่ได้ฝึกมาในครั้งนี้ในการจัดการปัญหาภัยพิบัติในอนาคต โดยเฉพาะในเรื่องของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) ในภาคเหนือและพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบปัญหาภัยพิบัติ

ฝูงบิน 416 มุ่งมั่นพัฒนา

การฝึกปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการฝึกทักษะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาหน่วยงานและทักษะของข้าราชการในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาภัยพิบัติ ฝูงบิน 416 ของกองทัพอากาศจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและเสริมสร้างความสามารถในการช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในช่วงที่ไฟป่าและหมอกควันมีความรุนแรง การฝึกในครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือและทั่วประเทศมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการฝึกในครั้งนี้

ฝึกการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศในครั้งนี้มีความสำคัญต่อการสร้างมาตรฐานในการบรรเทาภัยพิบัติและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะในกรณีของไฟป่าและมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน กองทัพอากาศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันในการพัฒนาระบบการช่วยเหลือให้เกิดความมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

สรุป

การฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมเพื่อจัดการกับภัยพิบัติในภาคเหนือ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดไฟป่าและปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน การฝึกนี้ช่วยเสริมสร้างทักษะของบุคลากรทางการแพทย์และกองทัพอากาศ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ตำรวจแม่จันจับกุมผู้เผาใบไม้ สร้างควันกระทบจราจรและฝุ่น PM2.5

ตำรวจแม่จันจับกุมผู้เผาเศษใบไม้และหญ้าแห้ง ฝ่าฝืนกฎหมายกระทบปัญหาฝุ่น PM2.5

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตรประสาร ผู้กำกับการ สภ.แม่จัน ได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเผาในที่โล่งซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและการจราจร

จับกุมรายแรก: พบเผาเศษใบไม้ริมทาง

เมื่อเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจราจร สภ.แม่จัน ออกตรวจตราพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ เขตเทศบาลตำบลสันทราย และพบว่ามีชาวบ้านกำลังก่อไฟเผาเศษใบไม้ข้างทาง ส่งผลให้เกิดควันฟุ้งกระจายและอาจส่งผลต่อการสัญจรของรถยนต์บนถนน เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวบุคคลที่กระทำผิด ทราบชื่อภายหลังคือ นายอุดร อายุ 65 ปี ชาวตำบลสันทราย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

หลังจากเจ้าหน้าที่ช่วยดับไฟที่กำลังลุกไหม้และทำให้ควันสงบลง จึงได้นำตัว นายอุดร ไปยัง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จับกุมรายที่สอง: เผาหญ้าแห้งริมถนนสาธารณะ

ในช่วงบ่ายเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.นิติการณ์ แก้วรากมุก สารวัตรป้องกันและปราบปราม สภ.แม่จัน พร้อมด้วย ร.ต.ท.สมศักดิ์ ทรายหมอ และเจ้าหน้าที่สายตรวจ ได้ออกตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อไปถึงบริเวณ ริมถนนสายแม่จัน-แม่อาย หมู่ 8 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย พบกลุ่มควันจากการเผาหญ้าแห้งลอยขึ้นจากข้างทาง เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบและพบ นายวิชัย อายุ 63 ปี อยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ

เมื่อตรวจสอบและสอบถาม นายวิชัย ได้ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือเผาหญ้าแห้งเอง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวไปยัง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ข้อกล่าวหาและมาตรการทางกฎหมาย

ผู้ต้องหาทั้งสองรายถูกตั้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ฐาน เผาหรือกระทำการใดๆ ภายในระยะ 500 เมตรจากทางเดินรถ ซึ่งก่อให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการจราจร” โดยเป็นไปตามมาตรการบริหารจัดการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ของ ตำรวจภูธรภาค 5

จากนั้นพนักงานสอบสวน สภ.แม่จัน ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.พินัย พ.ศ.2565 โดยมีบทลงโทษเป็นการชำระค่าปรับ

ตำรวจเชียงรายเน้นย้ำเข้มงวด ห้ามเผาเด็ดขาด

ด้าน พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้ตำรวจในสังกัดเข้มงวดตรวจตราและป้องกันการเผาในที่โล่งทุกพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละสถานีตำรวจ เนื่องจากปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ประชาชนในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงจึงควร หลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่ง และหันมาใช้วิธีการกำจัดขยะหรือเศษพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน เช่น การหมักปุ๋ยหรือการกำจัดผ่านกระบวนการอื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออากาศ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการห้ามเผาในที่โล่ง

  1. การเผาเศษพืชในที่โล่งมีความผิดหรือไม่?
    ใช่ การเผาในที่โล่งโดยไม่มีมาตรการควบคุมอาจผิดกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
  2. โทษของการเผาขยะหรือใบไม้ข้างทางคืออะไร?
    ผู้กระทำผิดอาจถูกปรับตามกฎหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และข้อบังคับของแต่ละจังหวัด
  3. มีวิธีใดที่สามารถกำจัดเศษพืชโดยไม่ต้องเผา?
    สามารถใช้วิธีหมักเป็นปุ๋ย ทำปุ๋ยอินทรีย์ หรือใช้เครื่องกำจัดขยะชีวภาพเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  4. การเผาหญ้าแห้งหรือขยะกระทบต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างไร?
    การเผาทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง
  5. หากพบเห็นการเผาในที่โล่ง ควรแจ้งหน่วยงานใด?
    สามารถแจ้งตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วนสำนักงานสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘พญ.อัจฉรา’ ผ.อ. โฮงยาไทย สมัครชิง เลขาธิการ สปสช. คนใหม่

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดรับสมัครเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ปี 2568

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อจ้างและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ โดยคณะกรรมการสรรหาได้ดำเนินการรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตั้งแต่วันที่ 6-20 มกราคม 2568 เพื่อเข้ามาทำหน้าที่สำคัญในการบริหารและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

รายละเอียดการสรรหาและกระบวนการคัดเลือก

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานสำคัญที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยเลขาธิการ สปสช. ทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการนโยบายหลักประกันสุขภาพให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยคณะกรรมการสรรหาได้กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัคร เช่น

  1. อายุไม่เกิน 60 ปี
  2. ไม่เป็นกรรมการหรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง
  3. มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ด้านการบริหาร

สำหรับประวัติของทั้ง 9 ผู้สมัคร มีดังนี้ 

1.นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี

อายุ 58 ปี 6 เดือน 15 วัน

ประวัติการศึกษา

1) ปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2) ปี 2538 ได้รับอนุมัติเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสาธารณสุขศาสตร์ แพทยสภา
3) ปี 2541 บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4) ปี 2541 วุฒิบัตรเวชศาสตร์ทั่วไป แพทยสภา 
5) ปี 2552 ปริญญาเอก ด้านนโยบายสาธารณสุข มหาวิทยาลัยลอนดอน

ประวัติการทำงาน

1) ปี 2533 แพทย์เวชปฏิบัติ รพ. ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี 
2) ปี 2534 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
3) ปี 2538 ผู้อำนวยการ รพ.บางกรวย จ.นนทบุรี
4) ปี 2546 เข้าทำงานที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารทั่วไป ในการร่วมบริหารและขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 
5) ปี 2547 รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สปสช.
6) ปี 2552 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สปสช.
7) ปี 2557 ประธานกลุ่มภารกิจนโยบายและยุทธศาสตร์ สปสช.
8) ปี 2559 ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สปสช.
9) 1 กุมภาพันธ์ 2564 – ปัจจุบัน เลขาธิการ สปสช.

ผลงานเด่น

1. ยกระดับบัตรทอง 4 บริการเพิ่มความสะดวก ลดยุ่งยากใช้สิทธิ เข้าถึงบริการเพิ่ม
• ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำาครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิในระบบบัตรทองที่ไหนก็ได้ ตามนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่”
• ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว
• โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม
• ย้ายหน่วยบริการได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน
2. เพิ่มประสิทธิภาพระบบบัตรทอง ภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่
3. เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ เพื่อดูแลประชาชนมากขึ้น
4. สนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ
5. เพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสุขภาพ

2. นายแพทย์ภาคี ทรัพย์พิพัฒน์

อายุ 50 ปี 8 เดือน 25 วัน

ประวัติการศึกษา

1) ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2) วุฒิบัตรแสดงความรู้ชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2548 ผู้อำนวยการ รพ.สหัสหัสขันธ์ สสจ.กาฬสินธุ์
2) พ.ศ. 2553 ผู้อำนวยการ รพ.หนองกุงศรี สสจ.กาฬสินธุ์
3) พ.ศ. 2557 นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สสจ.กาฬสินธุ์
4) พ.ศ. 2559 นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สสจ.ขอนแก่น
5) พ.ศ. 2560 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สสจ.ยะลา
6) พ.ศ. 2560นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สสจ.มหาสารคาม
7) พ.ศ. 2564 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สสจ.ขอนแก่น
8) พ.ศ.2566 สาธารณสุขนิเทศก์(นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สป.สธ.

3. นายแพทย์มาโนช อู่วุฒิพงษ์

อายุ 59 ปี

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2532 ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
2) พ.ศ. 2538 วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 
3) พ.ศ. 2556 ประกาศนียบัตร หลักสูตรพัฒนารองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลในสังกัดกรมต่าง ๆของกระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ ๗ วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข
4) พ.ศ. 2560 ประกาศนียบัตร หลักสูตรนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง รุ่นที่ ๓๓วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข
5) พ.ศ. 2563 ประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหาร โรงพยาบาลรุ่นที่ ๔๙ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2532 นายแพทย์ 4 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
2) พ.ศ. 2534 นายแพทย์ 5 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
3) พ.ศ. 2539 นายแพทย์ 6 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
4) พ.ศ. 2541 นายแพทย์ 7 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
5) พ.ศ. 2548 นายแพทย์ 8 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
6) พ.ศ. 2551 นายแพทย์ 9 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
7) พ.ศ. 2551 นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
8) พ.ศ. 2561 ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
9) พ.ศ. 2563 ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
10) พ.ศ.2567- ปัจจุบัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธชินราช สสจ.พิษณุโลก

ผลงานเด่น

ผลงานวิจัย 
1. เรื่อง “ประสิทธิผลของยาต้านไวรัสสูตรผสมจีพีโอเวียร์ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ในโรงพยาบาลสุโขทัย
2. How to improve medical.students’ interest in rural area: Lessons from TAK. Poster presentation in The Association for Medical Education in Europe Conference 2019.Austria.
3. การศึกษาประสิทธิผลงโปรแกรมการสร้างความรู้แก่ผู้ป่วยนอกโรคเบาหวานคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสุโขทัย

4. นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์

อายุ 54 ปี 20 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2536 ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล
2) พ.ศ. 2545 หนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญ ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา
3) พ.ศ. 2545 หนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญ ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสาธารณสุขศาสตร์ แพทยสภา
4) พ.ศ. 2548 ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (การพัฒนาสุขภาพชุมชน)มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2544 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 7) รพ. สหัสขันธ์สสจ. กาฬสินธุ์
2) พ.ศ. 2545 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 8) รพ.คำม่วงสสจ. กาฬสินธุ์
3) พ.ศ. 2547 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 8) รพ. สมเด็จสสจ. กาฬสินธุ์
4) พ.ศ. 2550 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 8) รพ. เขาวงสสจ. กาฬสินธุ์
5) พ.ศ. 2551 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 9) รพ. เขาวงสสจ. กาฬสินธุ์
6) พ.ศ. 2553 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์เชี่ยวชาญ) รพ. บรบือ สสจ. กาฬสินธุ์
7) พ.ศ. 2558 นายแพทย์เชี่ยวชาญ(ด้านเวชกรรมป้องกัน) สสจ.มหาสารคาม
8) พ.ศ. 2561 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) ประเภทอำนวยการ ระดับสูง สสจ.กระบี่
9) พ.ศ. 2562 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) ประเภทอำนวยการ ระดับสูง สสจ.กาฬสินธุ์
10) พ.ศ. 2566 ถึง ปัจจุบัน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) ประเภทอำนวยการ ระดับสูง สสจ.ขอนแก่น

ผลงานเด่น

1. สร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดและลดอัตราตายมารดางทรกเขตสุขภาพที่ ๓/ (Health Literacy in High Risk Pregnancy) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
2. การบริหารการเงินการคลัง
3. ประสานความร่วมมือองค์การบริหารส่วนจังหวัดจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับประชาชน

5. แพทย์หญิงอัจฉรา ละอองนวลพานิช

อายุ 59 ปี 4 เดือน 4 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2515 – 2521 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม
2) พ.ศ. 2521 – 2524 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์
3) พ.ศ. 2524 – 2527 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม
4) พ.ศ. 2521 – 2533 ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5) พ.ศ. 2536 – 2539 วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
6) พ.ศ. 2536 – 2539 วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
7) พ.ศ.2562 อนุมัติบัตรสาขาเวชศาสตร์ป้องกันแขนงคลินิกจิตเวชชุมชน

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ.2551 – 2556 หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
2) พ.ศ.2556 -2560 รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
3) พ.ศ.2558 – 2560 รองผู้อำนวยการสำนักเขตสุขภาพที่ 1 เขตสุขภาพที่ 1
4) พ.ศ.2559 – 2560 รองผู้อำนวยการกองบริหารสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
5) พ.ศ. 2561 – 2562 ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
6) พ.ศ. 2563 – 2565 ผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน จ.น่าน
7) พ.ศ. 2565 – ปัจจุบัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย

ผลงานเด่น

1) รางวัลเหรียญทอง จากการอบรมหลักสูตร”นักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง” รุ่นที่ ๓๑
2) รางวัลคนดีศรีโฮงยาไทยโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ประจำปี 2558
3) ข้าราชการพลเรือนดีเด่น “ครุตทองคำ” ประจำพุทธศักรศักราช 2564 จังหวัดน่าน
4) รางวัลคนดีศรีปฐมภูมิ แห่งประเทศไทย ปี 2567 ของสมาคมเวชกรรมสังคมแห่งประเทศไทศไทย
5) รางวัลแพทย์สตรีดีเด่น ปี 2567 ด้านบริการการแพทย์และสาธารณสุข ของสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

6. นายแพทย์ดิเรก สุดแดน

อายุ 55 ปี 11 เดือน 15 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2537 วิทยาศาสตร์สุขภาพ สาขาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 
2) พ.ศ. 2544 แพทยศาสตรบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
3) พ.ศ. 2549 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน (สาขาระบาดวิทยา) สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
4) พ.ศ. 2550 อนุมัติบัตรแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (แขนงระบาดวิทยา)สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
5) พ.ศ.2552 สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล
6) พ.ศ.2555 อนุมัติบัตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2545 แพทย์ประจำ รพ.น่าน จ.น่าน
2) พ.ศ. 2545 – 2547 ผู้อำนวยการรพ.ท่าวังผา จ.น่าน
3) พ.ศ. 2547 -2549 ผู้อำนวยการรพ.สองแคว จ.น่าน
4) พ.ศ. 2549 – 2551 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกันสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
5) พ.ศ. 2552 – 2559 ผู้อำนวยการรพ. ท่าวังผา จ.น่าน
6) พ.ศ. 2559 – 2565 นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกันสสจ.น่าน
7) ต.ค. 2562 – พ.ค. 2563 รักษาราชการแทนนายแพทย์สาธารณสุข จ.น่าน
8) พ.ศ. 2563 – 2565 รองผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
9) พ.ศ. 2565 – 2567 ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
10)พ.ศ. 2567 – ปัจจุบัน ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ผลงานเด่น

1) ริเริ่มการใช้ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยี จัดทำระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data Hub : FDH) กระทรวงสาธารณสุข และได้รับรางวัลในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2) ริเริ่มทำโปรแกรม HINT ในการดูแลกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย สามารถทำให้มีการเบิกจ่ายและลงทะเบียนโดยใช้ระบบ Bio Metric ในกลุ่มดังกล่าวได้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นระบบมีการดำเนินการทั่วประเทศ ทำให้กลุ่มเปราะบางดังกล่าวได้รับการบริการทีเข้าถึงและดีขึ้น 
3) เสนอและบริหารจัดการงบประมาณภาพรวมกระทรวงสาธารณสุข การเข้าสภาเพื่อเสนองบประมาณ ทั้งเงินงบประมาณ และเงินกู้โควิด-19
4) การวางแผนเพื่อตอบกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
5) วิเคราะห์ และจัดทำคำของบประมาณและจัดสรรงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงและกระทรวงสาธารณสุข
6) เป็นผู้ทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวง เสนอให้กับผู้บริหารระดับสูงเพื่อใช้เป็นนโยบายระดับประเทศ ทั้งด้านการเงินการคลังและด้านระบบการบริหารงานด้านสาธารณสุขทั้งประเทศ
7) บริหารจัดการระบบสาธารณสุข ในสถานการณ์โควิค-19 ขณะปฏิบัติหน้าที่นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สสจ.น่าน

7. นางสาวรุ่งศิริวรรณ เพิ่มพูน

อายุ 27 ปี 8 เดือน 4 วัน

ประวัติการศึกษา

1. พ.ศ. 2557 ปวช. สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก 
2. พ.ศ. 2559 ปวส. สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก 
3. พ.ศ. 2562 ปริญญาตรี สาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2557 เจ้าหน้าที่ธุรการทั่วไป อบต.บ้านพร้าว นครนายก
2) พ.ศ. 2559 เจ้าหน้าที่บุคคล ฝึกงาน บริษัท บิวคอน จำกัด
3) พ.ศ. 2563 เจ้าหน้าที่ธุรการ การเงิน บริษัท บีเยส จำกัด
4) พ.ศ. 2566 – เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โพรเกรส เอช อาร์ จำกัด

8. นายกิตติศักดิ์ บุญพิทักษ์วุฒิ

อายุ 48 ปี

ประวัติการศึกษา

พ.ศ. 2547 ปริญญาตรี การบริหารธุรกิจ (การตลาด) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

9. อาจารย์ดร .สุนันท์ ตระกูลโชคเสถียร

อายุ 55 ปี 5 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2532 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รร. ชัยนาทพิทยาคม 
2) พ.ศ. 2534 ประกาศนียบัตรพยาบาลผดุงครรภ์ วพ.ชัยนาท 
3) พ.ศ. 2537 ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต ราชภัฏลพบุรี 
4) ปริญญาโทการจัดการบริหาร มหาวิทยาลัยรามคำแหง
5) ปริญญาเอกการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยนอร์ท รังสิต
6) ปริญญาเอก สาขาการบริหารการศึกษา (กำลังศึกษา)
7) มหาวิทยาลัยนอร์ท รังสิต
8) พ.ศ. 2558 Fellowship (2 ปี) Anti-Aging มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ.2553 – 2559 อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยพยาบาลชัยนาท
2) พ.ศ.2559 – 2567 อาจาจารย์ศูนย์ฝึกคณะการแพย์บูรณาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
3) อาจารย์พิเศษด้านการแพทย์บูรณาการ คณะวิทยาศาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลองหก
4) ผู้บริหารปั๊มน้ำมันมาลีบริการ 9สาขา
5) ผู้บริหารกิจการออแกไนซ์ Miss Beauty Regent
6) ผู้บริหารเจ้าของเวทีและกรรมการ Miss International Thalland 2018
7) ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เวทีนางาม Mrs. Universe Thailand
8) ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เวทีนางงาม Mrs. Tourism Thalland
9) กรรมการเวทีนางงาม Mrs. Thailand Wold (2565 – 2567)
10) กรรมการเวทีนางงาม Mrs. Tourism

ขั้นตอนการสัมภาษณ์และแผนการประเมิน

ผู้สมัครจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหาในวันที่ 31 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 สำนักงาน สปสช. อาคาร B ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยจะมีการประเมินความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง คะแนนรวม 100 คะแนน แบ่งเป็น

  • การสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ 70 คะแนน
  • ใบสมัครและเอกสารประกอบ 30 คะแนน

ผลการพิจารณาจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับการสรรหาไม่เกิน 3 คนในวันเดียวกัน และนำเสนอรายชื่อดังกล่าวให้คณะกรรมการ สปสช. พิจารณาแต่งตั้งต่อไป

พันธกิจสำคัญของเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. มีบทบาทสำคัญในการกำกับและดำเนินงานตามกฎหมายและนโยบายของสำนักงาน เช่น การส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เท่าเทียม การควบคุมคุณภาพบริการ และการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ความคาดหวังจากการแต่งตั้งเลขาธิการใหม่

สปสช. หวังว่าบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคนใหม่จะสามารถผลักดันนโยบายที่สำคัญ เช่น การเพิ่มความครอบคลุมของสิทธิประโยชน์ การพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ และการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพ

ข้อมูลเพิ่มเติมและลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (www.nhso.go.th) หรือสอบถามรายละเอียดผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 06 2201 2846

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารใหม่เชียงราย อบรม CPR พร้อมใช้ AED ช่วยชีวิต

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดอบรมช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ ให้ทหารใหม่เพิ่มความพร้อมรับภารกิจ

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 มณฑลทหารบกที่ 37 โดย โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ได้จัดกิจกรรมอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) แก่ ทหารใหม่ผลัดที่ 2/67 จากหน่วยฝึกทหารใหม่ มณฑลทหารบกที่ 37 และกองพันทหารราบที่ 17 กรมทหารราบที่ 3 (ร.17 พัน.3) เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะในการช่วยเหลือชีวิตขั้นพื้นฐานให้กับทหารใหม่ โดยมีกำลังพลเข้ารับการอบรมรวมทั้งสิ้น 286 นาย

อบรมทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานเพื่อความปลอดภัย

การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นโดยทีมเวชกรรมป้องกันของโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ซึ่งได้มุ่งเน้นให้ความรู้เรื่อง การป้องกันการเจ็บป่วยจากความร้อน การป้องกันการเกิดโรคระบาด สุขภาวะทางจิต และสุขาภิบาลในหน่วยฝึกทหารใหม่ นอกจากนี้ยังเน้นไปที่การฝึกทักษะ การทำ CPR และการใช้เครื่อง AED ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้ทหารใหม่สามารถช่วยชีวิตผู้ที่เกิดอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้อย่างทันท่วงที

สร้างความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจและดูแลสุขภาพทหารใหม่

พันเอกประเสริฐ แก้วมาตย์ ผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 37 กล่าวว่า การฝึกอบรมครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของกองทัพบก ที่มุ่งเน้นให้ทหารใหม่ได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการดูแลตนเอง รวมถึงการรักษาสุขลักษณะที่ดี เพื่อให้ทหารทุกนายมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ควบคู่ไปกับการฝึกฝนทักษะทางทหาร ซึ่งจะช่วยให้ทหารสามารถปฏิบัติภารกิจในการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะ CPR และการใช้เครื่อง AED สำคัญอย่างไร?

การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า (AED) ถือเป็นทักษะที่สำคัญมากในการช่วยชีวิตผู้ที่ประสบอุบัติเหตุหรือมีอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยเครื่อง AED เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยกระตุกหัวใจให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอบรมทักษะเหล่านี้แก่ทหารใหม่ จะทำให้พวกเขาสามารถนำไปใช้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมหน่วยหรือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉินได้

การดูแลสุขภาพจิตและสุขาภิบาลในหน่วยฝึกทหารใหม่

นอกเหนือจากการอบรมทักษะช่วยชีวิตแล้ว ทีมงานยังได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ สุขภาวะทางจิตและสุขาภิบาล เพื่อให้ทหารใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตใจและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ทหารมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในอนาคต

เสริมสร้างศักยภาพทหารใหม่เพื่อพัฒนาชุมชน

พันเอกประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาทักษะต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ทำให้ทหารใหม่มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมให้พวกเขาสามารถ มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและช่วยเหลือประชาชน ในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ ทหารใหม่ที่ผ่านการฝึกอบรมจะมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การอบรม CPR และการใช้เครื่อง AED มีความสำคัญอย่างไร?
    ทักษะเหล่านี้ช่วยให้สามารถช่วยชีวิตผู้ที่เกิดอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ทันที ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต

  2. การอบรมนี้จัดขึ้นที่ไหน?
    จัดขึ้นที่โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช มณฑลทหารบกที่ 37 จังหวัดเชียงราย

  3. ทหารใหม่ที่เข้ารับการอบรมมีกี่นาย?
    มีทหารใหม่เข้ารับการอบรมจำนวน 286 นาย

  4. การฝึกอบรมนี้ครอบคลุมเนื้อหาอะไรบ้าง?
    ประกอบด้วยการทำ CPR การใช้เครื่อง AED การป้องกันโรคระบาด สุขาภิบาล และสุขภาวะทางจิต

  5. ทหารใหม่สามารถนำทักษะที่ได้รับไปใช้ในสถานการณ์ใดได้บ้าง?
    สามารถใช้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยเหลือเพื่อนร่วมหน่วย และการช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ผลักดันแพทย์แผนไทย เสริมพลังชุมชนด้วยสมุนไพร

นายก อบจ.เชียงราย ร่วมบรรยายสัมมนาปาฐกถาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้งที่ 8 ส่งเสริมแพทย์แผนไทยเพื่อพัฒนาท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ณ วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการจัดกิจกรรมสัมมนาปาฐกถาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้งที่ 8 เนื่องในวันสถาปนาวิทยาลัยครบรอบ 22 ปี โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) และ ศาสตราจารย์คลินิก ดร.นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “บทบาทของแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล”

ส่งเสริมการบูรณาการแพทย์แผนไทยและการศึกษา

ในงานสัมมนาครั้งนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการระหว่าง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ได้โอนย้ายมาอยู่ภายใต้การดูแลของ อบจ.เชียงราย โดยปัจจุบันยังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะ แพทย์แผนไทย ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพของชุมชน

นางอทิตาธร กล่าวว่า หากมีการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการผลิตบุคลากรด้านการแพทย์พื้นบ้าน และสนับสนุนให้นักศึกษาที่จบการศึกษาได้กลับมาทำงานในบ้านเกิด จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกรักถิ่นฐานและพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรเพื่อการแพทย์

นอกจากการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์แล้ว นายก อบจ.เชียงราย ยังมีแนวคิดในการ ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน โดยมีการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

เปิดรับสมัครแพทย์แผนไทยระดับปฏิบัติการ

เพื่อตอบสนองต่อความต้องการบุคลากรทางการแพทย์ อบจ.เชียงราย ได้เปิดรับสมัครคัดเลือกตำแหน่ง แพทย์แผนไทยระดับปฏิบัติการ โดยไม่จำเป็นต้องสอบแข่งขัน ผู้ที่สนใจสามารถยื่นใบสมัครได้ด้วยตนเองตั้งแต่วันที่ 13 – 19 พฤศจิกายน 2567 ที่กองการเจ้าหน้าที่ ชั้น 3 อบจ.เชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 053-175-352 ในวันและเวลาราชการ

ความร่วมมือในการส่งเสริมการแพทย์และเศรษฐกิจชุมชน

การสัมมนาครั้งนี้ยังได้พูดถึงการสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้าชุมชน โดยการปลูกพืชสมุนไพรจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ แต่ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับจังหวัด ทำให้สินค้าท้องถิ่นของเชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างเต็มศักยภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสอะไร?
    จัดขึ้นเนื่องในวันสถาปนาวิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ครบรอบ 22 ปี

  2. เป้าหมายของการบูรณาการแพทย์แผนไทยกับการศึกษาในเชียงรายคืออะไร?
    เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสนับสนุนให้นักศึกษาที่จบการศึกษากลับมาทำงานในบ้านเกิด

  3. อบจ.เชียงรายมีแนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างไร?
    ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรทางการแพทย์และตรวจสอบคุณภาพเพื่อให้สินค้าสามารถเข้าสู่ตลาดโลก

  4. เปิดรับสมัครตำแหน่งแพทย์แผนไทยเมื่อไหร่?
    ตั้งแต่วันที่ 13 – 19 พฤศจิกายน 2567 ที่กองการเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย

  5. ใครเป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาครั้งนี้?
    นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และ ศาสตราจารย์คลินิก ดร.นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รพ.ค่ายเม็งรายมหาราช รณรงค์วันเบาหวานโลก

รพ.ค่ายเม็งรายมหาราช จัดกิจกรรมรณรงค์วันเบาหวานโลก

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเอง

วันเบาหวานโลก: ความสำคัญและที่มา

วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันเบาหวานโลก เพื่อเป็นการระลึกถึงการค้นพบอินซูลิน ซึ่งเป็นการรักษาโรคเบาหวานที่สำคัญ และเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของโรคเบาหวานและวิธีการป้องกัน

กิจกรรมรณรงค์ที่โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช

โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานแก่กำลังพลและประชาชนทั่วไป โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

โรคเบาหวาน: ภัยเงียบที่คุกคาม

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ไต ตา ประสาท และหัวใจ โดยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด และมักเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมและการขาดการออกกำลังกาย

อาการของโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • หิวบ่อย กระหายน้ำ
  • ปัสสาวะบ่อย
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว
  • แผลหายช้า
  • มองไม่ชัด

การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน

การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืช ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนัก

ความสำคัญของการตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการค้นหาโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น เพราะหากตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ จะสามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

ข้อความจากผู้เชี่ยวชาญ

พ.ต. พาทิศ ธนาบริบูรณ์ อายุรแพทย์ รพ.ค่ายเม็งรายมหาราช กล่าวว่า “โรคเบาหวานเป็นโรคที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ หากเราใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย จะช่วยให้เราสามารถมีสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้”

บทสรุป

การจัดกิจกรรมรณรงค์วันเบาหวานโลกของโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของสังคมไทย การสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจสุขภาพและการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

‘หมอธีระวัฒน์’ เผยงานวิจัยแพทย์อเมริกัน “ดื่มแอลกอฮอล์บ้าง” ลดอาการสมองเสื่อม

 
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เปิดเผยงานวิจัยถึงเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ โดยระบุว่า “แอลกอฮอล์บ้างกลับลดสมองเสื่อม ผลของการศึกษานี้ รายงานในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA network open) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2023
 

กลุ่มที่คงระดับของการดื่มอยู่ที่ดื่มบ้าง ถึงดื่มปานกลางนั้น ลดความเสี่ยงของสมองเสื่อมลง และการลดปริมาณจากดื่มหนักเป็นดื่มปานกลาง จะลดความเสี่ยงของสมองเสื่อมเช่นกัน และในขณะเดียวกัน จากที่ไม่ดื่มเลย เป็นเริ่มดื่มบ้างในปริมาณน้อย จะลดความเสี่ยงของสมองเสื่อมด้วย

ทั้งนี้ เป็นการติดตามศึกษาในคนเกาหลีเป็นจำนวน 4 ล้านคน (3,933,382 คน) โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2009 การติดตามเฉลี่ย 6.3 ปี

ในจำนวนนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น 54.8% ไม่ดื่มเลย 26.7% ดื่มบ้าง 11.0% เป็นพวกดื่มปานกลาง และ 7.5% เป็นดื่มหนัก

หนึ่งดื่ม = 14 กรัมของแอลกอฮอล์ ดื่มบ้าง หรือ mild drinker จะอยู่ที่น้อยกว่า 15 กรัมต่อวัน หรือประมาณ = หนึ่งดื่ม ดื่มปานกลาง จะอยู่ที่ 15 ถึง 29.9 กรัมต่อวัน หรือประมาณเท่ากับหนึ่งถึงสองดื่ม และดื่มหนักจะอยู่ที่มากกว่า หรือเท่ากับ 30 กรัมต่อวัน นั่นก็คือมากกว่า หรือเท่ากับสามดื่ม

ข้อมูลที่ไม่คาดคิดมาก่อนในการศึกษานี้ก็คือ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่มเลยตลอดระยะเวลาที่เริ่มการศึกษา กลับพบว่ากลุ่มที่ดื่มบ้างและดื่มปานกลางกลับมีความเสี่ยงของสมองเสื่อมลดลง 21% แต่ในกลุ่มที่ดื่มหนักนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 8%

ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณกับความเสี่ยงของสมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นแบบเดียวกัน ทั้งโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ และสมองเสื่อมจากเส้นเลือดตันการลดระดับปริมาณของแอลกอฮอล์จากดื่มหนักเป็นดื่มปานกลาง ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดสมองเสื่อมได้ทั้งสองแบบ และเช่นเดียวกัน เมื่อเพิ่มปริมาณขึ้นจากระดับปานกลางไปเป็นหนักก็จะเพิ่มความเสี่ยงของสมองเสื่อมทั้งสองแบบ

 

แต่ข้อมูลที่ดูประหลาดแต่เป็นไปแล้วนั้น ก็คือในกลุ่มที่ไม่ดื่มเลยและเริ่มต้นดื่มบ้างในระยะต่อมา พบว่าความเสี่ยงที่จะเกิดสมองเสื่อมทั้งหมดลดลง 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ดื่มบ้างอยู่แล้วตั้งแต่ต้น หมายความว่า เมื่อเริ่มดื่มบ้างแล้วจากไม่เคยดื่มเลยกลับทำให้ความเสี่ยงของสมองเสื่อมนั้นลดลง

ซึ่งข้อมูลจากไม่ดื่มเลยเป็นดื่มบ้าง กลับได้ประโยชน์ ไม่เคยมีรายงานการศึกษาที่ใดมาก่อน และหัวหน้าคณะวิจัยได้กล่าวย้ำว่า ผลการศึกษานี้ไม่ได้เป็นการชักชวนให้คนที่ไม่ดื่มเลยเริ่มต้นดื่ม ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นไม่ได้มีการแยกแยะรายละเอียดในการศึกษานี้ ว่าเป็น เหล้า เบียร์ ไวน์ หรือเป็นเครื่องดื่มประเภทอื่น”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News