เปลี่ยนเศษวัสดุเป็นรายได้ “เวียงแก่นโมเดล” เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพด ทางรอดใหม่ลดเผา–ลดหมอกควันข้ามแดน
เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – ทุกฤดูแล้งของภาคเหนือ ภาพควันไฟที่ลอยคลุ้งเหนือภูเขาและไร่นาในหลายจังหวัดมักหวนกลับมาเป็นวาระแห่งชาติอยู่เสมอ การเผาฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว แม้จะเป็นวิธีจัดการเศษวัสดุที่คุ้นชินของเกษตรกร แต่กลับกลายเป็นต้นทางสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควันข้ามแดนที่กระทบต่อทั้งสุขภาพประชาชนและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ที่ยืดเยื้อมานาน อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและชายแดนที่ต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันอย่างต่อเนื่อง กำลังทดลอง “คำตอบใหม่” ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากห้องประชุม แต่เริ่มต้นจาก “กองซังข้าวโพด” ที่เคยถูกเผาทิ้ง
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ภายใต้โครงการ “พัฒนาความร่วมมือเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ร่วมกับทีมพัฒนาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเวียงแก่น จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองจากเปลือกข้าวโพดและซังข้าวโพด เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ชุมชนลดการเผา”
เป้าหมายไม่ใช่เพียงให้เกษตรกร “เรียนรู้วิธีเพาะเห็ด” แต่คือการสร้างโมเดลจัดการวัสดุเหลือใช้ที่เป็นรูปธรรม เห็นรายได้จริง จนกลายเป็นแรงจูงใจให้ชุมชน “เลิกเผาอย่างสมัครใจ”
จากเวียงแก่นสู่บ้านป่าจั่น เรียนรู้จากชุมชนต้นแบบที่เปลี่ยนซังข้าวโพดเป็นเห็ดเศรษฐกิจ
การอบรมครั้งนี้นำผู้นำชุมชน เกษตรกร เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอำเภอเวียงแก่น จำนวน 30 คน เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ บ้านป่าจั่น หมู่ 7 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ชุมชนต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่า “เปลือกและซังข้าวโพด” สามารถกลายเป็นฐานรายได้ใหม่ได้จริง
กิจกรรมจัดขึ้นในรูปแบบ “เรียนรู้จากของจริง” โดยมี
- คุณวิลาวรรณ น้อยภา หัวหน้าโครงการฯ มอบหมายให้
- คุณศุภาพิชญ์ สงคำ ผู้ประสานงานโครงการ พร้อมด้วยคณะวิจัย ร่วมออกแบบกระบวนการเรียนรู้
และได้รับเกียรติจาก - คุณวรากร วังฐาน รองนายกเทศบาลตำบลเวียงกาหลง ให้การต้อนรับ
- คุณสันต์ณรงค์ วีระชาติ ผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น เป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองจากเปลือกและซังข้าวโพดที่ปฏิบัติจริงในชุมชน
บ้านป่าจั่นเคยเผชิญโจทย์ไม่ต่างจากเวียงแก่น คือมีเศษวัสดุทางการเกษตรจำนวนมาก โดยเฉพาะฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพดที่ถูกเผาทิ้งเป็นประจำทุกปี การเปลี่ยนวิธีคิดจาก “ของเหลือทิ้ง” ให้เป็น “วัตถุดิบเพาะเห็ด” จึงไม่ใช่เพียงการทดลองเชิงเทคนิค แต่เป็นการทดลอง “เปลี่ยนวิถี” ของทั้งชุมชน
จากการถ่ายทอดของผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น เกษตรกรในพื้นที่ใช้เปลือกและซังข้าวโพดมาผ่านกระบวนการหมักและปรับสภาพให้เป็นวัสดุเพาะเห็ด ทั้งเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญอง เมื่อเก็บผลผลิตแล้ว วัสดุที่เหลือหรือ “กากเห็ด” ยังสามารถนำไปเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินในแปลงเกษตร ช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมีและปิดวงจรการใช้ทรัพยากรอย่างครบถ้วน
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือ เกษตรกรมีรายได้เสริมหมุนเวียนจากการขายเห็ด ขณะเดียวกัน พื้นที่เผาในที่โล่งก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ “รูปธรรม” ที่เวียงแก่นตั้งใจจะนำกลับไปขยายผลในพื้นที่ของตนเอง
ฟางข้าว–ซังข้าวโพด จากต้นเหตุหมอกควัน สู่วัตถุดิบสร้างมูลค่า
ข้อมูลจากการดำเนินโครงการระบุว่า ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพด เป็นเศษวัสดุที่มีปริมาณมหาศาลในอำเภอเวียงแก่น และ “ขาดรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม” มายาวนาน เกษตรกรจำนวนมากจึงเลือกใช้วิธีเผาทิ้งในช่วงเตรียมแปลงเพาะปลูก สร้างทั้งจุดความร้อน (Hotspot) และฝุ่น PM 2.5 ที่ลอยสะสมในบรรยากาศ
โครงการของ TEI เลือกมองวัสดุเหล่านี้ผ่านมุมมองใหม่ โดยเน้นแนวคิด 3 มิติหลัก
- หมุนวนทรัพยากร (Circular Resource Use)
แทนที่จะปล่อยให้ฟางและซังข้าวโพดกลายเป็นภาระของสิ่งแวดล้อม โครงการชี้ให้เห็นว่าทุกกองซังข้าวโพดสามารถแปลงร่างเป็นโรงเรือนเพาะเห็ดได้ หากมีการจัดการที่เหมาะสม เกษตรกรจะได้วัตถุดิบเพาะเห็ดที่หาได้ในพื้นที่ตนเองโดยไม่ต้องซื้อจากภายนอก - สร้างรายได้เสริมอย่างเป็นรูปธรรม
เห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองเป็นสินค้าที่ตลาดต้องการสม่ำเสมอ ราคาจำหน่ายต่อกิโลกรัมสูงกว่าเมล็ดข้าวโพดหรือฟางแห้งหลายเท่า และมีรอบการเก็บเกี่ยวสั้น เมื่อเกษตรกรเห็นตัวเลขกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากการเพาะเห็ด ก็มีแรงจูงใจชัดเจนที่จะหันหลังให้การเผา - คืนอินทรียวัตถุสู่ผืนดิน
หลังเก็บเห็ดแล้ว กากเห็ดที่เหลือไม่ได้ถูกทิ้งเป็นขยะ หากแต่นำกลับไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินในไร่นา ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินและลดต้นทุนปุ๋ยเคมีในระยะยาว
คุณศุภาพิชญ์ สงคำ ผู้ประสานงานโครงการ ระบุในเวทีอบรมว่า การสร้างรูปธรรมที่ “เห็นกำไรจริง” เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมการเผา หากเกษตรกรสามารถเปลี่ยนกองซังข้าวโพดให้กลายเป็นรายได้ในครัวเรือน เขาย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่จะหยุดจุดไฟด้วยตัวเอง
เมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เชื่อมโมเดลเวียงแก่นสู่การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน
กิจกรรมในเวียงแก่นไม่ใช่โครงการเดี่ยว หากเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความร่วมมือ “เมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา” ที่มุ่งหวังลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นระบบ ภายใต้การสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณจาก สวก. และ วช.
โจทย์สำคัญของกรอบความร่วมมือนี้คือ การหาวิธีจัดการเชื้อเพลิงทางการเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีทั้งไร่ข้าวโพดขนาดใหญ่ พื้นที่สูง และชุมชนชาติพันธุ์หลากหลาย การออกแบบโมเดลที่ใช้วัสดุในชุมชน สร้างรายได้จริง และสามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ซับซ้อน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ หากต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านนำไปปรับใช้ร่วมกันในระยะยาว
เวียงแก่นซึ่งมีพรมแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ทดลองเชิงยุทธศาสตร์” เพราะหากโมเดลเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดประสบความสำเร็จและขยายครอบคลุมทั้งอำเภอภายในปี 2569 ตามเป้าหมายที่ผู้นำชุมชนตั้งไว้ ก็จะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนฝั่งลาวและเมียนมาที่เผชิญปัญหาคล้ายกันได้โดยตรง
ประโยชน์รอบด้านของ “เห็ดเวียงแก่นโมเดล”
จากการสังเคราะห์ข้อมูลของโครงการ สามารถสรุปประโยชน์ของโมเดลเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดใน 4 มิติหลัก ดังนี้
- มิติสิ่งแวดล้อม
การนำฟางข้าวและซังข้าวโพดมาใช้เพาะเห็ดแทนการเผา ช่วยลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่น PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาหมอกควันในลุ่มน้ำโขงตอนบน แม้จะยังไม่มีตัวเลขเชิงสถิติหลังดำเนินการเต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มการลดพื้นที่เผาจะชัดเจนขึ้นเมื่อชุมชนหันมาใช้วัสดุเหล่านี้ในโรงเรือนเพาะเห็ดอย่างแพร่หลาย - มิติเศรษฐกิจครัวเรือน
การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้เสริมที่หมุนเวียนรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรเพียงชนิดเดียว ขณะเดียวกัน ครัวเรือนยังลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร เพราะสามารถบริโภคเห็ดที่เพาะเองได้โดยไม่ต้องซื้อจากตลาด - มิติการเกษตรและคุณภาพดิน
กากเห็ดหลังการเพาะถือเป็นอินทรียวัตถุคุณภาพดี เมื่อนำกลับไปปรับปรุงดินในแปลงเกษตร จะช่วยเพิ่มธาตุอาหารและโครงสร้างดินให้ร่วนซุยขึ้น เกษตรกรสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารปรับปรุงดินจากภายนอก ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีโดยตรง - มิติสังคมและการพัฒนาศักยภาพผู้นำ
การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เน้นการสร้าง “ผู้นำชุมชนที่มีความรู้” หรือ Smart Leader ให้มีทักษะทั้งด้านเทคนิคการเพาะเห็ดและความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม ผู้นำเหล่านี้จะกลับไปเป็นฟันเฟืองสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนของตนเอง ผ่านกิจกรรมฝึกอบรมย่อยหรือโครงการนำร่องในแต่ละหมู่บ้าน
ก้าวต่อไปของเวียงแก่น เป้าหมาย “เกษตรปลอดการเผา” ภายในปี 2569
หลังการศึกษาดูงานที่บ้านป่าจั่น ผู้นำชุมชน ตัวแทนท้องถิ่น และผู้บริหารโครงการมีความเห็นร่วมกันว่า เวียงแก่นจำเป็นต้อง “ยกระดับ” การเรียนรู้ครั้งนี้ให้เข้าสู่กระบวนการวางแผนพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ
ทิศทางต่อไปของเวียงแก่นจึงประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก
- บรรจุโมเดลเพาะเห็ดลงในแผนงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลในพื้นที่จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโรงเรือนต้นแบบ อุปกรณ์เพาะเห็ด และการอบรมต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนสนใจสามารถเข้าร่วมได้จริง ไม่เป็นเพียง “ความรู้บนกระดาษ” - ขยายผลให้ครอบคลุมทุกตำบลในอำเภอเวียงแก่น
จากกลุ่มนำร่อง 30 คนในครั้งแรก แผนงานระยะกลางมุ่งหวังให้มีครัวเรือนเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนครอบคลุมทุกตำบลภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เวียงแก่นเข้าใกล้เป้าหมาย “อำเภอเกษตรปลอดการเผา” อย่างเป็นรูปธรรม - เชื่อมโยงเครือข่ายกับชุมชนรอบนอกและประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อเวียงแก่นมีตัวอย่างความสำเร็จมากพอ โครงการเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา สามารถใช้เวียงแก่นเป็น “ฐานเรียนรู้” ให้ชุมชนจากฝั่งลาวและเมียนมาเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อลดการเผาในระดับลุ่มน้ำและภูมิภาคต่อไป
เห็ดฟางหนึ่งดอก… จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ
กรณีศึกษา “เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพดที่เวียงแก่น” ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่หยั่งรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน ไม่อาจแก้ได้ด้วยคำขอร้องหรือมาตรการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว
เมื่อเกษตรกรถูกขอให้ “หยุดเผา” แต่ยังไม่มีทางเลือกอื่นในการจัดการเศษวัสดุและสร้างรายได้ การเผาย่อมกลับมาในทุกฤดู แต่เมื่อการเผาถูกแทนที่ด้วยกิจกรรมที่สร้างรายได้จริง เพิ่มคุณภาพดิน และลดต้นทุนในระยะยาว เช่น การเพาะเห็ดจากซังข้าวโพด พฤติกรรมการเผาก็เริ่มมี “คู่แข่งที่น่าสนใจกว่า” ขึ้นมาทันที
โมเดลเวียงแก่นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ทิศทางที่เห็นชัดคือ การแก้ปัญหาหมอกควันต้องเดินคู่กันทั้ง มิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ครัวเรือน และการเสริมพลังผู้นำชุมชน หากทุกภาคส่วนยังคงจับมือกันแน่นเช่นที่เกิดขึ้นในเวทีวันที่ 23 ธันวาคม 2568 วันหนึ่งในอนาคต “กองซังข้าวโพดที่ลุกเป็นไฟ” อาจถูกจดจำในฐานะภาพอดีต ขณะที่ “โรงเรือนเห็ดฟางในเวียงแก่น” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรปลอดการเผาที่จับต้องได้จริง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
- สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
- โครงการพัฒนาความร่วมมือเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน
- สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) – สวก.
- สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
- เทศบาลตำบลเวียงกาหลง และชุมชนบ้านป่าจั่น ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
- ทีมพัฒนาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย














