- สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
- Nakorn Chiang Rai News
สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์–กองทุนสื่อฯ เปิดห้องเรียน “Fact Checking & Verification”
ยกระดับวิชาชีพสื่อไทย สู้กระแสข่าวปลอม–ข้อมูลบิดเบือนยุค AI
เชียงราย/กรุงเทพฯ, 14 ธันวาคม 2568 –
ท่ามกลางกระแสข่าวลวง ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่แพร่กระจายรวดเร็วบนโลกออนไลน์ในทุกวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยพิบัติ หรือความตึงเครียดทางการเมือง ภารกิจของสื่อมวลชนไทยไม่ได้มีเพียง “รายงานให้เร็ว” อีกต่อไป แต่ต้อง “ตรวจสอบให้ลึก และอธิบายให้ชัด” ควบคู่กันไป
ในบริบทดังกล่าว สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) โดยการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงจัดอบรม One Day Training ประจำปี 2568 ครั้งที่ 2 หัวข้อ “Fact Checking & Verification – เรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวปลอม ภายใต้กรอบจริยธรรมสื่อมวลชน” ขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายให้สื่อมวลชนและผู้ปฏิบัติงานด้านข่าวออนไลน์ มีเครื่องมือและกรอบคิดเพียงพอในการรับมือกับข่าวลวงที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
โครงการอบรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการความร่วมมือองค์กรสื่อขับเคลื่อนพัฒนาวิชาชีพและส่งเสริมจริยธรรมสื่อ เพื่อสร้างระบบนิเวศสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ซึ่ง SONP ร่วมดำเนินการกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้ผู้เข้าร่วมไม่เพียงรับฟังบรรยายเชิงทฤษฎี แต่ยังได้ฝึกปฏิบัติจริง ตั้งแต่การตรวจสอบต้นทางข่าว ไปจนถึงการกลั่นกรองเนื้อหาเพื่อสื่อสารเตือนภัยต่อสาธารณะ
เวทีเสวนา “ความท้าทายของสื่อมวลชนไทย ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวลวง”
หัวใจของงานอบรมครั้งนี้อยู่ที่เวทีเสวนาในหัวข้อ “ความท้าทายของสื่อมวลชนไทย ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวลวง” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วน ร่วมถอดบทเรียนจากประสบการณ์ตรง และชี้แนะแนวทางทำงานข่าวในยุคที่เฟคนิวส์กลายเป็น “คู่แข่ง” คนสำคัญของความจริง
ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย
- ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
- คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ.อสมท
- คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
ดำเนินรายการโดย คุณจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง อุปนายกด้านมาตรฐานวิชาชีพ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
การสนทนาบนเวทีสะท้อนภาพเดียวกันว่า ข่าวปลอมในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียง “ข้อความแชร์ต่อ” แบบเรียบง่ายอีกต่อไป แต่ผสานทั้งเทคโนโลยี ปฏิบัติการทางข้อมูล (information operation) และจิตวิทยาสังคมอย่างแนบเนียน จนหลายครั้งสื่อวิชาชีพเองก็อาจตกเป็นเหยื่อ หากขาดทักษะและเครื่องมือในการตรวจสอบ
ดร.ชำนาญ ข่าวจริงคือสิทธิขั้นพื้นฐานในสังคมประชาธิปไตย
ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม เปิดมุมมองต่อวิวัฒนาการของข่าวปลอมว่า ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้สร้างและบิดเบือนข้อมูลอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยธรรมชาติ หรือความขัดแย้งทางการเมือง
เขาเน้นว่า “พัฒนาการข่าวปลอมในปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินและวิกฤตจะมีข่าวเหล่านี้ออกมาเสมอ แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนในการตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวจริง”
ดร.ชำนาญชี้ให้เห็นว่า การที่ประชาชนได้รับข่าวจริง ไม่ใช่เพียงเรื่อง “คุณภาพของข้อมูล” แต่คือสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย เพราะประชาชนต้องใช้ข้อมูลข่าวสารในการตัดสินใจต่อประเด็นสาธารณะ ทั้งเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย การเมือง และเศรษฐกิจ หากสังคมปล่อยให้ข่าวปลอมครอบงำ การตัดสินใจของประชาชนก็จะตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ผิดพลาด นำไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความไว้วางใจต่อสถาบันต่าง ๆ
“การตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวจริง เป็นสิ่งที่กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์พยายามส่งเสริม หากสื่อไทยสามารถทำได้ ก็จะช่วยลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และทำให้สังคมไทยได้รับข่าวสารที่ถูกต้องได้ ทางกองทุนฯ พร้อมที่จะสนับสนุนสื่อมวลชนในการทำงานเรื่องนี้” ดร.ชำนาญกล่าวย้ำ
ถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนบทบาทใหม่ของกองทุนสื่อฯ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงสนับสนุนโครงการผลิตเนื้อหาสร้างสรรค์ แต่ยังต้องลงทุนกับ “โครงสร้างพื้นฐานด้านความจริง” ผ่านการพัฒนาทักษะตรวจสอบข้อมูลให้กับสื่อและภาคประชาชนอย่างเป็นระบบ
นันทสิทธิ์ ต้องย้อนถาม “เฟคนิวส์คืออะไร – ใครได้อะไร”
ด้าน คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ชวนผู้เข้าร่วมเวทีตั้งคำถามกลับไปยังต้นตอของปัญหา เขาเสนอว่า ทุกครั้งที่สื่อพบข่าวหรือข้อมูลที่น่าสงสัย ควรถามให้ชัดว่า
- เฟคนิวส์คืออะไรในบริบทนั้น – เป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด บิดเบือนบางส่วน หรือใช้ข้อเท็จจริงไปในทางที่ทำให้เข้าใจผิด
- จุดประสงค์ของการปล่อยข่าวนั้นคืออะไร – เพื่อผลการเมือง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อสร้างกระแสในโลกออนไลน์
“หน้าที่ของสื่อมวลชนคือการนำเสนอข่าว ในยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดได้ โพสต์ได้ ใช้เทคโนโลยีขยายเสียงตัวเองได้ แต่แกนหลักของวิชาชีพสื่อมวลชนต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น คือการตรวจสอบความถูกต้อง” เขากล่าว
คุณนันทสิทธิ์ย้ำว่า เทคโนโลยีไม่ใช่อุปสรรค หากถูกใช้ให้ถูกทางก็กลายเป็น “ตัวช่วย” ให้การตรวจสอบรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้สื่อเผชิญแรงกดดันคือสภาพการแข่งขันที่เน้น “ความเร็ว” เป็นตัวชี้วัดหลัก ส่งผลให้หลายสำนักเสี่ยงต่อการตกหลุมพรางข่าวปลอมโดยไม่รู้ตัว
เขายกตัวอย่างว่า ในช่วงข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา เคยมีการแพร่ระบาดของข่าวลวงจำนวนมาก ทั้งภาพเก่า ภาพตัดต่อ และบทวิเคราะห์ที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน หากสื่อไม่ตั้งหลักและไม่จัดทีมตรวจสอบอย่างจริงจัง ความสับสนในสังคมจะถูกซ้ำเติมด้วยการรายงานที่ขาดการกลั่นกรอง
“การตรวจสอบข่าวปลอมต้องใช้เวลา ซึ่งสวนทางกับแนวทางทำงานของสื่อยุคปัจจุบันที่เน้นความเร็วเป็นสำคัญ นี่คือความท้าทายที่เราต้องออกแบบกลยุทธ์ให้เหมาะสม” นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์กล่าว
พีรพล เมื่อข่าวปลอมเริ่มต้นจาก “ต้นทางเทียม” และเสิร์ชเอนจินก็ถูกหลอกได้
คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ.อสมท ซึ่งทำงานด้านการตรวจสอบข้อมูลออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง เตือนว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีเพียงข่าวปลอมที่ถูกตัดต่อจากข้อความหรือภาพเดิม แต่มีการสร้าง “โครงสร้างเทียม” ตั้งแต่ระดับเว็บไซต์ งานวิจัย เอกสารวิชาการ ไปจนถึงบุคคลหรือองค์กรต้นทางปลอม
“ตอนนี้มีคนสร้างข้อมูลปลอมตั้งแต่ต้นตอ ทำเว็บไซต์ขึ้นมา ทำเอกสารวิชาการปลอม ทำอินโฟกราฟิก และแม้กระทั่งสร้างเสิร์ชเอนจินปลอม เพื่อหลอกให้เวลาเราค้นหา เราไปเจอแต่ข้อมูลที่เขาอยากให้เห็น นี่คือเทคนิคที่ทำให้สื่อโดนหลอกง่ายที่สุด” เขาอธิบาย
การสร้าง “จักรวาลข้อมูลเทียม” เช่นนี้ ทำให้การตรวจสอบยากขึ้นหลายเท่า เพราะแม้สื่อจะพยายามใช้เครื่องมือค้นหาออนไลน์เพื่อยืนยันข้อมูล แต่สิ่งที่พบอาจเป็นชุดข้อมูลปลอมที่ถูกออกแบบมาล่วงหน้า
คุณพีรพลเสนอว่า การสร้าง “ฐานข้อมูลกลาง” ที่รวบรวมทั้งข่าวลวงที่ตรวจสอบแล้ว วิธีการตรวจสอบ และแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้สื่อมีจุดอ้างอิงร่วมกัน ลดโอกาสตกเป็นเหยื่อของปฏิบัติการข่าวลวง พร้อมกันนั้น สื่อควรอธิบายกระบวนการตรวจสอบของตนเองต่อสาธารณะให้ชัดเจน เพื่อสร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ให้กับผู้รับข่าวไปพร้อมกัน
“หากเรามีฐานข้อมูลกลางในการทำงาน ส่วนสื่อทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมอธิบายให้เห็นถึงแหล่งที่มาของข้อมูลและเครื่องมือในการตรวจสอบ จะช่วยสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน และเมื่อมีการตรวจสอบมากขึ้น จะนำไปสู่การสร้างพฤติกรรมการตรวจสอบข่าวปลอมเพื่อค้นหาความจริงได้” เขาย้ำ
ห้องเรียนเชิงปฏิบัติการ จาก Reverse Image Search ถึง Fact & Policy Checking
นอกจากเวทีเสวนาเชิงนโยบายแล้ว การอบรม One Day Training ครั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับ “ทักษะภาคสนาม” ผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสองช่วงหลัก ได้แก่
- เครื่องมือตรวจสอบข่าวลวง
- Fact & Policy Checking – เรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวปลอมตั้งแต่ต้นทาง
ในช่วงการอบรมเรื่องเครื่องมือ คุณณัฐกร ปลอดดี Southeast Asia Digital Verification Editor แห่งสำนักข่าว AFP อธิบายว่า ความสามารถในการตั้งคำถามและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากขาดเครื่องมือดิจิทัลที่เหมาะสม การตรวจสอบก็อาจติดขัดหรือใช้เวลานานเกินไป
เขายกตัวอย่างเครื่องมือหลักที่ผู้สื่อข่าวยุคใหม่ควรรู้จักและใช้เป็นประจำ ได้แก่
- Reverse Image Search หรือการค้นหาภาพย้อนหลัง เพื่อตรวจสอบว่าภาพที่ถูกแชร์นั้นเคยปรากฏที่ใดมาก่อน ถูกใช้ในเหตุการณ์ใด และมีการดัดแปลงหรือไม่
- เครื่องมือ Geolocation เพื่อระบุว่าภาพหรือวิดีโอถูกถ่ายที่ใด เมื่อใด โดยเปรียบเทียบภูมิประเทศ ป้ายถนน อาคาร หรือจุดสังเกตต่าง ๆ
- การใช้ Google Map และแผนที่ออนไลน์อื่น ๆ เพื่อเทียบเคียงมุมภาพ ระยะทาง และตำแหน่งจริง
“เมื่อเรามีทักษะในการตรวจสอบข่าวลวงแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการใช้เครื่องมือในการตรวจสอบข่าวลวง ไม่ว่าจะเป็น Reverse Image Search การใช้ Geolocation หรือการใช้ Google Map ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง” คุณณัฐกรกล่าว
เขายังชี้ด้วยว่า แม้ AI จะถูกใช้สร้างภาพ เสียง และวิดีโอปลอมจำนวนมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้พัฒนาเทคโนโลยีก็กำลังสร้างเครื่องมือเพื่อตรวจสอบและติดตามร่องรอยของข้อมูลเท็จเหล่านี้ควบคู่กันไป ดังนั้น สื่อมวลชนจำเป็นต้องอัปเดตความรู้ด้านเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถใช้ “AI สู้ AI” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Thai PBS Verity บทเรียนจากโควิด-19 สู่องค์ความรู้เรื่อง Mis–Mal–Disinformation
ในช่วงท้ายของการอบรม คุณกนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จากการจัดตั้งทีม Thai PBS Verity ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนบนโลกออนไลน์
เธอเล่าย้อนว่า แนวคิดดังกล่าวเริ่มก่อตัวจริงจังในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อสังคมไทยเผชิญ “ข้อมูลท่วม” ทั้งข่าวจริงและข่าวลวงในเวลาเดียวกัน ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรควรเชื่อถือ อะไรควรระมัดระวัง
คุณกนกพรอธิบายว่า การทำงานของทีมตรวจสอบข่าวปลอมจำเป็นต้องเข้าใจ “ประเภทของข้อมูล” อย่างชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- Misinformation – ข้อมูลผิดหรือปลอมที่เผยแพร่โดยไม่มีเจตนาร้าย
- Malinformation – ข้อมูลจริงบางส่วนที่ถูกนำมาใช้ในบริบทที่มีเจตนามุ่งร้าย เช่น การนำข้อมูลส่วนตัวมาเผยแพร่เพื่อทำลายชื่อเสียง
- Disinformation – ข้อมูลบิดเบือนที่ถูกออกแบบอย่างจงใจ เพื่อชักจูงหรือบิดเบือนความเข้าใจของสาธารณะ
การตรวจสอบข้อมูลทั้งสามประเภทต้องใช้ทั้งการสืบสวนหาต้นตอ การเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และการอธิบายอย่างเข้าใจง่ายว่า “ส่วนไหนจริง–ส่วนไหนปลอม–ส่วนไหนถูกตัดต่อ” เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ไปพร้อมกับการเสพข่าว
เธอยังชี้ถึงปัจจัยที่ทำให้ข่าวปลอมแพร่กระจายรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของโซเชียลมีเดียและการปรับอัลกอริทึมที่เน้นข้อมูลกระตุ้นอารมณ์, การใช้ AI ดัดแปลงเนื้อหา, ช่องโหว่ของแพลตฟอร์มที่ยังไม่มีกลไกตรวจสอบเพียงพอ, รวมถึงจิตวิทยาของผู้คนในช่วงวิกฤตที่มักแชร์ข้อมูลเพราะ “กลัวตกข่าว” มากกว่าตรวจสอบก่อนแชร์
“การทำหน้าที่สื่อในปัจจุบัน ต้องไม่คำนึงถึงความเร็วเพียงอย่างเดียว เพราะการนำเสนอข้อมูลด้วยความเร็ว อาจไม่ได้มีความหมายเท่ากับการนำเสนอความจริง” คุณกนกพรกล่าวทิ้งท้าย พร้อมย้ำว่าสื่อทุกสำนักจำเป็นต้องมีอย่างน้อยหนึ่งทีม หรือหนึ่งกลไกภายในองค์กร ที่รับผิดชอบงานตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ
จากห้องอบรมสู่ห้องข่าว ความหวังต่อระบบนิเวศสื่อปลอดภัย
แม้การอบรม One Day Training จะมีเพียงหนึ่งวัน แต่เนื้อหาที่ผู้เข้าร่วมได้รับสะท้อนชัดว่า “การตรวจสอบข่าวปลอม” ไม่ใช่งานเฉพาะกิจที่ทำเป็นครั้งคราว หากแต่ต้องถูกฝังอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานของสื่อมวลชนทุกระดับ ตั้งแต่ผู้สื่อข่าวภาคสนาม บรรณาธิการ ไปจนถึงผู้บริหารองค์กรสื่อ
การสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การประสานความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น AFP และสื่อสาธารณะอย่างไทยพีบีเอส แสดงให้เห็นว่าการรับมือข่าวปลอมจำเป็นต้องใช้ “พันธมิตรเชิงระบบ” ไม่อาจพึ่งพาเพียงสำนักข่าวใดสำนักข่าวหนึ่งได้
ในระยะยาว หากองค์ความรู้และเครื่องมือจากการอบรมครั้งนี้ถูกส่งต่อไปยังห้องข่าวทั่วประเทศ และถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ย่อมมีโอกาสที่ประชาชนไทยจะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องรัดกุมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคข่าวก็ต้องเรียนรู้ที่จะตั้งคำถาม ตรวจสอบ และใช้สิทธิร้องเรียนเมื่อพบข้อมูลที่ส่อไปในทางบิดเบือน
ความท้าทายของสื่อไทยในยุคข่าวลวงจึงไม่ได้อยู่แค่ “จะสู้กับเฟคนิวส์อย่างไร” แต่คือ “จะสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของความจริงร่วมกันได้อย่างไร” และการอบรม Fact Checking & Verification ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวที่แสดงให้เห็นว่า ภาคสื่อไทยกำลังพยายามเดินไปในทิศทางนั้นอย่างเป็นรูปธรรม
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
- กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
- ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ.อสมท
- สำนักข่าว AFP
- สำนักสื่อดิจิทัลและทีม Thai PBS Verity สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส















































