Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” เชียงราย พู่กันและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจ

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เชียงราย เมื่อพู่กันสีและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจให้ผู้พิทักษ์อธิปไตย

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – บ่ายวันเสาร์ที่แสงเหนือดอยสะท้อนกระจกใสของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พื้นที่ชั้นโถงกลางถูกเปลี่ยนเป็นแกลเลอรีชั่วคราว ผู้คนหลากวัยทยอยยืนล้อมกรอบภาพที่สะท้อน “ชีวิตทหาร” ในมุมที่ไม่ค่อยถูกเล่า—สีสันของเหงื่อ, ความอ่อนโยนของการโอบเด็กชายแดน, ประกายตาของคนเฝ้าดินแดนยามค่ำคืน งานที่มีชื่อว่า ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เป็นประธานเปิดงาน ขนานไปกับเสียงปรบมือยาวของชาวเชียงราย นักท่องเที่ยว และคณะศิลปินที่มารวมตัวกันแน่นขนัด

ภาพในพิธีเปิดชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อบุคคลสำคัญจากแวดวงศิลปะเชียงรายก้าวขึ้นเวที—อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้ริเริ่มแนวคิดและพลังใจให้เกิดกิจกรรม, อาจารย์นคร พงษ์น้อย, อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการระดมเครือข่ายศิลปินทั่วประเทศ พร้อมตัวแทนหน่วยงานรัฐ–เอกชน โดยเฉพาะ นายสายัญห์ นักบุญ ผู้อำนวยการเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงให้ศิลปะ “ออกมาหาผู้คน” มากกว่าจะรอให้ผู้คน “เดินเข้าหาศิลปะ” นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าที่เชื่อม พลังนุ่ม” ของศิลปะ เข้ากับ ภารกิจเข้ม” ของการพิทักษ์ชายแดน อย่างงดงาม

ศิลปะในฐานะ “พลังใจสาธารณะ” เหตุผลและเป้าหมายของงาน

บนเวทีเปิดงาน พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ สะท้อนเจตนารมณ์ของผู้จัดอย่างตรงไปตรงมา “กิจกรรมศิลปะเพื่อแผ่นดินจัดขึ้นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ” พร้อมย้ำความสำคัญของการยกย่องบทบาทศิลปินเชียงราย ซึ่งมีชื่อเสียงระดับประเทศในฐานะผู้ร่วมขับเคลื่อน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ด้วยภาษาแห่งความงาม

หัวใจของงาน จึงไม่ได้มีเพียงการจัดแสดงผลงาน แต่คือการ ส่งต่อกำลังใจ จากพลเมืองสู่ทหารกล้าที่ยืนอยู่ด่านหน้า สื่อสารด้วยภาพที่มีทั้งแววตา ความหวัง และความอ่อนโยน—ภาพทหารในชุดสนามที่ห่มแสงเย็นของป่าชายแดน ภาพมือที่ยื่นขนมให้เด็กน้อยโรงเรียนตะเข็บแดน ภาพธงชาติที่พริ้วไหวคู่ภูมิประเทศขรุขระ เพื่อนิยาม “อธิปไตย” ให้จับต้องได้และเดินทางสู่ใจผู้ชม

งานครั้งนี้ยังสะท้อน “โมเดลการมีส่วนร่วมแบบเชียงราย” จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีชุมชนศิลปินเข้มแข็ง—จากวัดร่องขุนสู่ขัวศิลปะ จนถึงสตูดิโอเล็กๆ ในชุมชน ซึ่งต่างหลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ให้เป็น Soft Power ที่มีรากในท้องถิ่น และนำมาสนับสนุนภารกิจของรัฐด้านความมั่นคงในภาคประชาชนได้อย่างพอดี

เชียงราย เมืองศิลปิน” พบ “เมืองชายแดน” เมื่อสองภูมิทัศน์มาเจอกัน

เชียงราย มีเอกลักษณ์ของเมืองศิลปะและเมืองชายแดนอยู่ในตัว—เมืองศิลปะ ด้วยคลื่นผลงานร่วมสมัยที่สร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และ เมืองชายแดน ด้วยภูมิศาสตร์เชื่อมลุ่มน้ำโขง–สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งการดูแลความสงบเรียบร้อยคือพันธกิจประจำวันของทหารและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ความงดงามของงานครั้งนี้อยู่ที่ การทำให้สองภูมิทัศน์มา “พยุงกัน” ไม่ใช่เดินคนละทาง

บนผนังแกลเลอรีชั่วคราว ภาพชุด “ทหาร–ประชาชน–ชุมชน” กำลังเล่าเรื่องว่า ความมั่นคงไม่ใช่เพียงรั้วลวดหนามหรือป้อมยาม แต่คือ ความไว้วางใจ ที่หล่อเลี้ยงกันได้ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์และการสื่อสารที่ทำให้คนตัวเล็กๆ รู้สึกว่า “บ้านมีคนดูแล” ขณะเดียวกันศิลปินเองก็ได้ย้ำว่า “ศิลปะไม่ได้มีไว้เพียงประดับเมือง แต่มีไว้ ประคองใจเมือง” ประโยคนี้กลายเป็นคำอธิบายสั้นๆ ของความหมายทั้งงาน

เสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนร่วมประเด็นเด่นและประเด็นรอง

  • พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ระบุว่า งานนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน และหวังให้กำลังพลรับรู้ว่าคนเมืองยืนอยู่ข้างเขา “กองทัพบกธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของแผ่นดินไทย และเราต้องการให้ทุกคนเห็นภารกิจนั้นผ่านสายตาศิลปิน”
  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เน้นว่า ศิลปินเชียงรายมีหน้าที่ต่อสังคมไม่แพ้หน้าที่ต่อศิลปะ “ศิลปะต้องออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน จุดประกายความภาคภูมิใจในผืนแผ่นดิน และช่วยเยียวยาความแตกต่างให้กลับมาปรองดอง”
  • อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ในนามสมาคมขัวศิลปะ อธิบายบทบาทเครือข่าย “เราระดมผลงานจากศิลปินหลายรุ่น–หลายแนวทาง เพื่อให้เห็นว่าความต่างอยู่ร่วมกันได้บนเป้าหมายเดียวคือ กำลังใจให้ชายแดน
  • นายสายัญห์ นักบุญ ผู้แทนภาคเอกชน ระบุเหตุผลของการเปิดพื้นที่สาธารณะกลางศูนย์การค้า “เพราะอยากให้คนทั่วไป—โดยเฉพาะเด็กและนักท่องเที่ยว—เข้าถึงศิลปะได้ง่าย พร้อมรับรู้งานของทหารที่พวกเขาอาจไม่เคยเห็นใกล้ๆ”

ประเด็นเด่น คือการใช้พื้นที่สาธารณะให้ศิลปะเข้าถึงมวลชน ก่อให้เกิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับจุลภาค” ทันที: ผู้ชมเดินทางมาเพิ่มขึ้น ร้านค้า–คาเฟ่ท้องถิ่นได้ลูกค้าเพิ่ม และเมล็ดพันธุ์แห่งความภูมิใจในท้องถิ่นถูกหว่านในใจเยาวชน ส่วน ประเด็นรอง ที่ผู้ร่วมงานสนทนากันคือความต่อเนื่อง—ทำอย่างไรให้แรงกระเพื่อมไม่หยุดที่พิธีเปิด แต่ต่อยอดเป็นกิจกรรมหมุนเวียนตลอดปี และขยายผลไปยังโรงเรียน–ชุมชนชายแดนที่ต้องการ “พื้นที่ศิลปะ” เท่าๆ กับ “สนามกีฬา”

โครงสร้างงาน จากภาพบนผนังสู่บทสนทนากลางเมือง

แม้ผู้จัดจะไม่ได้ตั้งกรอบตายตัว แต่เมื่อเดินชมโดยรอบจะเห็นแนวคิด 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ในผลงานและการจัดแสดง

  1. ชั้นของหน้าที่ – ภาพทหารในชุดสนาม, ภาพลาดตระเวน, ภาพช่วยเหลือชุมชน ภาพเหล่านี้ลดช่องว่างระหว่าง “เครื่องแบบ” กับ “ประชาชน” ให้เหลือเพียงความเป็นมนุษย์
  2. ชั้นของความทรงจำ – สีสันที่ร้อน–เย็นสลับกันเหมือนภูมิอากาศชายแดน ถ่ายทอดความรู้สึกของ “คืนที่ยาวนาน” และ “เช้าที่ทุกคนรอ” ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้ชมพกกลับบ้านได้
  3. ชั้นของการเชื่อมโยง – การจัดแสดงใจกลางเมืองและการเปิดกว้างให้ถ่ายภาพ–แบ่งปันบนสื่อสังคม สร้างบทสนทนาใหม่ในวงกว้างว่า “กำลังใจต่อชายแดน” ไม่ใช่หน้าที่ของทหารหรือรัฐเท่านั้น แต่คือ หน้าที่พลเมืองร่วมกัน

น้ำหนักเชิงนโยบายท้องถิ่น ทำไมงานนี้ “สำคัญกว่าโชว์”

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ “ศิลปินมากที่สุด” ตามคำที่คนในวงการศิลปะมักพูดถึงกัน บวกกับสถานะจังหวัดชายแดน การผสานสองคุณลักษณะนี้จึงเป็น นโยบายเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้—ศิลปะไม่เพียงเพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ช่วยยกระดับ ความรู้สึกเป็นเจ้าของเมือง (Sense of Belonging) ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับความสงบเรียบร้อยของสังคม

หากมองในเชิง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานลักษณะนี้ยังเป็น “แพลตฟอร์มฝึกงาน” สำหรับศิลปินรุ่นใหม่ ให้ได้สัมผัสกระบวนการทำงานจริง ตั้งแต่การคัดเลือกผลงาน การสื่อสารกับผู้ชมที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ–เอกชน ทั้งหมดนี้ช่วยต่อสายใยอาชีพ และเพิ่มโอกาสเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนศิลปินต่อเนื่อง

บทเรียนจากวันเปิดงานสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้คนดู “อยู่ต่อ” และ “บอกต่อ”

ในยุคที่ผู้ชมตัดสินใจภายในไม่กี่วินาที งานที่ตั้งใจ “ให้กำลังใจชายแดน” จึงต้องใส่ใจรายละเอียดระดับไมโครเพื่อให้ ประสบการณ์โดยรวม สมบูรณ์—ป้ายสองภาษา, เสียงประกอบที่ไม่รบกวน, มุมให้เด็กนั่งระบายสี, QR สำหรับอ่านเรื่องราวเบื้องหลังผลงาน, ช่องทางร่วมเขียน “จดหมายถึงทหาร” แล้วส่งถึงหน่วยชายแดน สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ชม ใช้เวลาเพิ่มขึ้น (อยู่ต่อ) และ อยากแชร์ (บอกต่อ) ซึ่งคือ “ตัวคูณกำลังใจ” ให้เดินทางจากกลางห้างสรรพสินค้าไปสู่แนวชายแดนได้จริง

ขยายความหมายของ “กำลังใจ” ให้กว้างกว่าพื้นที่จัดงาน

แม้งานครั้งนี้จะสร้างแรงสะเทือนได้ชัดเจน แต่คำถามต่อไปคือ ความยั่งยืน ผู้มีส่วนร่วมหลายฝ่ายจับมือกันหยิบยกแนวคิดที่ทำได้ทันที เช่น

  • นิทรรศการสัญจร นำบางส่วนของผลงานไปจัดที่โรงเรียนแนวชายแดน–สถานีรถไฟเชียงราย–สนามบิน เพื่อให้ “พลเมือง–นักเดินทาง” ได้เห็นเรื่องราวเดียวกัน
  • เวิร์กช็อปศิลปะกับเยาวชนชายแดน ให้ศิลปินสลับผลัดไปสอนศิลปะขั้นพื้นฐาน และเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ถ่ายทอดภาพบ้านเกิดในมุมของตนเอง
  • คลังภาพสาธารณะ (Open Gallery Online) สแกนผลงานเป็นดิจิทัลพร้อมคำบอกเล่าจากศิลปิน ให้สื่อ–ครู–นักเรียนเข้าถึงได้โดยไม่ติดผนังห้าง
  • จดหมายถึงชายแดน ต่อเนื่องเป็นกิจกรรมประจำเดือน รวบรวมคำให้กำลังใจไปถึงหน่วยปฏิบัติการจริง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภารกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็น พันธกิจร่วม” ที่ทำให้คำว่า “เพื่อแผ่นดิน” จากชื่อกิจกรรมลงหลักปักฐานในชีวิตประจำวันของผู้คน

เมื่อสีพู่กันแต้มบนผืนแผ่นดินเดียวกัน

ภาพสุดท้ายก่อนปิดงานวันแรก คือวงกลมเล็กๆ ของนักท่องเที่ยวที่หยุดยืนหน้าภาพทหารกางเสื้อคลุมให้เด็กชายที่ตัวสั่นเพราะสายลมหนาว ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ก่อนมีใครสักคนกระซิบว่า “สวย…และอบอุ่น” นี่แหละคือ ภาษากลาง ของศิลปะ—ไม่ดัง ไม่ดุ แต่กระทบใจลึก

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จึงไม่ได้เป็นเพียงนิทรรศการ หากเป็น เครื่องเตือนใจร่วมกัน ว่า ในดินแดนที่ชื่อว่าไทย ยังมีผู้คนสวมเครื่องแบบยืนเฝ้าแนวชายแดน และยังมีพลเมือง—ศิลปิน–นักธุรกิจ–ประชาชน—คอยส่งกำลังใจไปให้ พู่กันหนึ่งด้ามอาจหยุดกระสุนไม่ได้ แต่สามารถ เยียวยาหัวใจ ที่ต้องยืนรับแรงสั่นสะเทือนของหน้าที่ได้อย่างงดงาม และเมื่อหัวใจเข้มแข็ง เมืองก็เข้มแข็ง—นี่คือความหมายที่เชียงรายส่งออกไปสู่ประเทศทั้งประเทศในวันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) 
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศิลปะต้านฝุ่นเชียงราย สร้างหุ่นไล่กา สื่อผลกระทบเผาป่า

เชียงรายเปิดตัว “ศิลป์ ล่องกอง” รวมศิลปิน 18 อำเภอ ร่วมสร้างงานประติมากรรมร่วมสมัย สะท้อนปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย กลุ่มศิลปินจากทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมมือกันจัดแสดงผลงานภายใต้ชื่อ “ศิลป์ ล่องกอง” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและผลกระทบของปัญหาไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ ผ่านประติมากรรมร่วมสมัย “หุ่นไล่กายักษ์” (Giant Puppet) อันทรงพลังทางศิลปะและความหมาย

กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม โดยโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” ได้รับรางวัลดีเด่นจากการประกวดข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาเมืองแห่งศิลปะ ปี 2568 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนสู่การเป็นเมืองแห่งศิลปะประจำปี พ.ศ. 2568

หุ่นไล่กายักษ์ สื่อสร้างสรรค์จากรากวัฒนธรรมสู่สังคมร่วมสมัย

ผลงานหุ่นไล่กายักษ์ทั้ง 18 ชิ้น ถูกออกแบบและสร้างสรรค์โดยศิลปินในแต่ละอำเภอ โดยนำองค์ความรู้และศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นผสมผสานกับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชุมชน พร้อมกับส่งสารสังคมในประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาหมอกควัน PM2.5 และไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

การจัดแสดงเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเมษายน 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตของการเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และพื้นที่โดยรอบของภาคเหนือ

ศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อม ก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองศิลปะระดับประเทศ

ภายในงาน ยังมีการจัดกิจกรรม Art Workshop ภายใต้ชื่อ “หน้ากากแห่งสายลม” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมเรียนรู้และสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตนเอง พร้อมทั้งกิจกรรมเสวนา “วงคุย มุมคิด ฟังเสียงไฟ คุยเรื่องฝุ่น” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและศิลปินท้องถิ่นมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ

นางเกษร กำเนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารสังคมอย่างสร้างสรรค์ โดยอาศัยพลังจากศิลปินท้องถิ่นเพื่อสะท้อนปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน

การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น จุดประกายจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ผลงานทั้งหมดได้รับความร่วมมือจากชุมชนในแต่ละอำเภอ ซึ่งได้ให้ข้อมูล วัสดุท้องถิ่น และร่วมแสดงความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผลงานศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สื่อสารในเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

นายกสมาคมขัวศิลปะ ในฐานะผู้สนับสนุนพื้นที่จัดงาน ระบุว่า การใช้หุ่นไล่กา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องพืชผลจากศัตรูพืชในอดีต มาแปลงเป็น “หุ่นไล่กายักษ์” สื่อถึงการเฝ้าระวังและต่อต้าน “ยักษ์ใหญ่” ที่เป็นปัญหาในยุคใหม่อย่างหมอกควัน PM2.5 และการลักลอบเผาป่า ถือเป็นการตีความใหม่ของสัญลักษณ์แบบมีพลัง

ถนนหอศิลป์ กลายเป็นแกลเลอรีกลางแจ้งของศิลปะเพื่อสังคม

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” คือการนำผลงานหุ่นไล่กายักษ์จำนวน 18 ชิ้น จัดแสดงในพื้นที่สาธารณะตลอดแนวถนนหอศิลป์ ซึ่งไม่เพียงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมงานศิลปะ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และตั้งคำถามถึงบทบาทของศิลปะในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

มุมมองที่แตกต่าง: ศิลปะกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ฝ่ายสนับสนุน มองว่าการจัดงาน “ศิลป์ ล่องกอง” เป็นการใช้พลังของศิลปะท้องถิ่นในการสร้างจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรังอย่างหมอกควันและการเผาป่า ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรณรงค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อสื่อสารกับประชาชนในระดับรากหญ้า

อีกมุมหนึ่ง มีความเห็นว่าศิลปะเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับกลไกเศรษฐกิจและความยากจนที่ผลักดันให้ชาวบ้านบางส่วนต้องพึ่งพาการเผาป่าเพื่อเกษตรกรรม การลงทุนในงานศิลปะจึงอาจไม่คุ้มค่าหากขาดนโยบายที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • พื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากการเผาในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ปี 2566 รวมกว่า 15,000 ไร่ (สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • ค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอำเภอแม่จัน ช่วงต้นเดือนเมษายน ปี 2567 พุ่งสูงกว่า 165 µg/m³ (กรมควบคุมมลพิษ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีศิลปินที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมขัวศิลปะมากกว่า 300 คน จากทั้ง 18 อำเภอ (สมาคมขัวศิลปะ, 2567)
  • โครงการพัฒนาเมืองศิลปะภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการสนับสนุนกว่า 120 ล้านบาท ทั่วประเทศ (สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย, 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สมาคมขัวศิลปะเตรียมพร้อมย้าย ไปหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567สมาคมขัวศิลปะ โดยอาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคม, อาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง อาจารย์ชาตะ ใหม่วงค์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์, อาจารย์สมพงษ์ สารทรัพย์ ผู้แทนบอร์ดบริหารหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย และคณะกรรมการบริหารสมาคมขัวศิลปะ จัดประชุมประจำเดือนพฤษภาคม 2567 และวาระพิเศษฯ

 

โดยการประชุมได้ปรึกษาและหารือแนวทางการจัดการหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CIAM) และมีข้อหารือประกอบด้วย การเตรียมความพร้อม ขนย้าย และส่งคืนพื้นที่ขัวศิลปะปัจจุบัน และประเมินทรัพย์สินเพื่อทำการย้ายไปยังหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย การหาแนวทางเรื่องการบริหารจัดการหอศิลป์ฯ แห่งใหม่เพื่อเร่งเปิดพื้นที่แก่ประชาชน ศิลปิน นักท่องเที่ยว และยังคงมีมติของการรักษาการของคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ไปจนกว่าจะได้บอร์ดบริหารใหม่รวมถึงการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ และการหารือกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายหลังได้ย้ายไปที่แห่งใหม่เรียบร้อยแล้วนั้น
 
 
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ร่างกรอบแนวทางการจัดการพื้นที่ และกิจกรรม รวมถึงรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการจัดงานไทยแลนด์เบียนนาเล่, เชียงราย 2023 ที่ผ่านมา โดยจะนำบทสรุปดังกล่าวเสนอต่อบอร์ดบริหารชุดใหม่ รวมถึงกำหนดกรอปหน้าที่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมที่จะจัดงานศิลปะ เทศกาล หรือกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ขัวศิลปะ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อ.เฉลิมชัย ประกาศยุติบทบาท แต่ศิลปินต้องไปต่อ.. รวมเป็น “หนึ่งเดียวกัน ”

 

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 ณ วัดร่องขุ่น อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สมาคมขัวศิลปะ จัดประชุมใหญ่ประจำปี 2567 โดยมี ศาตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมขัวศิลปะ เป็นประธานในการประชุมฯ โดยมีศิลปินสมาชิกจากสมาคมครัวศิลปะจำนวน 300 คน ซึ่งประกอบด้วยศิลปินอาวุโส คณะกรรมการบริหารสมาคมนำโดย อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ

 

โดยการประชุมครั้งนี้อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ได้กล่าว ต้อนรับและให้โอวาทต่างๆแก่สมาชิกสมาคมขัวศิลปะในครั้งนี้อาจารย์ได้กล่าวว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อาจารย์จะเข้าร่วมประชุมของสมาคมภายหลังได้ประกาศยุติบทบาทในการร่วมกิจกรรมสังคมต่างๆ แต่ทั้งนี้ อาจารย์ได้ให้แนวทางในการบริหารสมาคมต่อไปซึ่งภายหลังจากการจบไทยแลนด์เบียนนาเล่, เชียงราย 2023 สมาคมขัวศิลปะจะได้ทำการย้ายไปยังหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงรายอย่างถาวร และในการนี้ได้ชี้แจงแนวทางการบริหารจัดการภายหลังต่อจากนี้ โดยในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบและปฏิบัติตามแนวทางที่อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้ให้แนวทางไว้ โดยนายสุวิทย์ ใจป้อม เป็นนายกสมาคมขัวศิลปะ พร้อมชุดคณะกรรมการบริหาร และเบื้องต้นจะจัดให้มีการจัดตั้งบอร์ดบริหารที่คอยกำกับกิจการผลประกอบการและกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตภายใต้ สมาคมขัวศิลปะเดิมแต่จะมีการบริหารงานที่ รัดกุมโปร่งใส
 
 
ในที่นี้ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ยังได้เสนอแนวทางให้คณะกรรมการบริหารสมาคมขัวศิลปะ ชุดปัจจุบันทำหน้าที่ไปพรางก่อน และจะให้สมาชิกได้หารือเพื่อทำการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมาคมชุดใหม่ภายในปีหน้า ซึ่งอาจารย์อยากให้การจัดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติไทยแลนด์เบนาเล่ย์เชียงราย 2023 ในครั้งนี้เสร็จสิ้นไปก่อน โดยในที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางปฏิบัติดังกล่าว
 
 
ในช่วงท้ายยังได้มีการให้ศิลปินทั้งศิลปินอาวุโส นายกสมาคมศิลปะ ได้กล่าวถึง และเสนอแนะแนวทางการบริหารสมาคมสืบไปและเหนือสิ่งอื่นใด อาจารย์ยังทิ้งท้ายอยากจะให้ศิลปินทั้งศิลปินอาวุโสศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังจะเติบโตช่วยกันและสามัคคี ร่วมกันรักษา และต่อยอดขัวศิลปะ ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมศิลปะ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชิญชวนนักวิ่งเปิดประสบการณ์ “Art Night Run Chiangrai Biennale 2023”

 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วธ. เปิดเผยว่า งาน Art Night Run Chiangrai Biennale 2023 ที่จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 9 – 11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย นับเป็นครั้งแรกของการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน ของจังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสมาคมขัวศิลปะ จัดงานวิ่งในรูปแบบ Night Run หนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้นักวิ่งและผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพได้สัมผัสประสบการณ์เปิดโลก ศิลปะ ดนตรี กีฬา ไปพร้อม ๆ กันด้วยกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพ และการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในงานมหกรรมศิลปะระดับโลก Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ท่ามกลางบรรยากาศถนนศิลปะและวัฒนธรรม ลิ้มรสอาหารท้องถิ่น จากร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองเชียงรายกว่า 40 ร้าน พร้อมด้วยฟรีคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังมากมาย ณ หอศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CIAM)

 


โดยจะมีพิธีเปิด ณ บริเวณจุดปล่อยตัว ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CIAM) ในวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 19.00 น. แบ่งการวิ่งออกเป็น 3 ระยะทางได้แก่ 12 km, 6 km, และ 3 km ซึ่งนอกจากโล่รางวัลอันงดงามทรงคุณค่าสำหรับผู้ชนะเลิศในประเภท 12 km (Overall) แล้ว นักวิ่งจะได้รับเหรียญรางวัลและเสื้อที่ระลึกในงาน  “Art Night Run Chiangrai Biennale 2023” ซึ่งออกแบบเป็นพิเศษ โดยท่านศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และ อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกขัวศิลปะเชียงราย เป็นผู้ร่วมออกแบบ ความพิเศษอย่างมีอัตลักษณ์หนึ่งเดียวในประเทศไทยของเหรียญรางวัล ซึ่งทำจากโลหะมีขนาดประมาณ 8 เซนติเมตร ห้อยด้วยสายหนัง บริเวณด้านล่างของเหรียญซึ่งเป็นลายเส้นรูปศิลปินแห่งชาติทั้งสองท่าน ออกแบบให้สามารถหมุนปรับได้ โดยทั้งสองด้านแตกต่างกันด้วยโทนสีขาวและสีดำ ด้านสีขาวเป็นตัวแทนของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ส่วนด้านสีดำเป็นตัวแทนของ อาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ผู้มีคุณูปการต่อวงการศิลปะร่วมสมัย และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับโลก

 

นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ โฆษกกระทรวงวัฒนธรรม (ฝ่ายการเมือง) เผยว่า นอกจากทิวทัศน์อันสวยงามของจังหวัดเชียงรายแล้ว นักวิ่งและผู้ร่วมโครงการ Art Night Run จะได้ชมบรรยากาศแสง สี ความงดงามตระการตาของผลงานศิลปะระดับโลก ในช่วงเวลายามค่ำคืนอย่างอิ่มเอมใจ พร้อมด้วยกิจกรรมศิลปะ Body paint และกิจกรรมสร้างสรรค์งานประติมากรรมชิ้นประวัติศาสตร์ ที่ศิลปิน นักวิ่งและนักท่องเที่ยวจะได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นในบริเวณหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย โดยผู้จัดงานได้เนรมิตพื้นที่โดยรอบหอศิลป์ให้เป็นถนนศิลปะวัฒนธรรม มีร้านค้าศิลปะ งาน D.I.Y และร้านอาหารชื่อดังในจังหวัดเชียงรายมาให้บริการมากกว่า 40 ร้าน พร้อมด้วยฟรีคอนเสิร์ต วงดนตรีชั้นนำระดับตำนาน เช่น ModernDog, Bom the voice, Tamsaxo และ SL music ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการนำ ศิลปะ ดนตรี และกีฬา มาผสมผสานให้เกิดการขับเคลื่อนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจใน พื้นที่จังหวัดเชียงรายและภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ตามแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของรัฐบาลด้วย

 


ทั้งนี้รายได้จากงาน  “Art Night Run Chiangrai Biennale 2023” (หลังหักค่าใช้จ่าย) จะนำไปมอบให้กับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กองทุนสนับสนุนการป้องกันเเก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันจังหวัดเชียงราย และมูลนิธิเพื่อการพัฒนาการกีฬาจังหวัดเชียงรายต่อไป

 

สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ นักท่องเที่ยว และประชาชนผู้สนใจ 

สมัครได้ที่: https://www.runlah.com/events/anrcb2024  หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Official Facebook: https://www.facebook.com/ArtNightRunChiangraiBiennale

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News