Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ย้อนรอยเชียงราย “สร้างบ้านแปงเวียง” เทิดพญามังราย

เชียงรายจัดงานวัฒนธรรม ‘สร้างบ้านแปงเวียง พญามังรายหลวง’ เทิดพระเกียรติปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา

เชียงราย, 3 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดงานวัฒนธรรม “สร้างบ้านแปงเวียง พญามังรายหลวง” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพญามังรายหลวง ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา และเพื่อส่งเสริมการพัฒนาแหล่งเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม 2568 ณ ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย หรือศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก

พิธีเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 18.00 น. ณ ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, หัวหน้าส่วนราชการ, หน่วยงานภาครัฐและเอกชน, เครือข่ายทางวัฒนธรรม และประชาชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่าการจัดงานครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพญามังรายหลวง เนื่องในวาระครบรอบ 763 ปีแห่งการก่อตั้งเมืองเชียงราย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคเหนือของไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว

กิจกรรมภายในงาน

งานวัฒนธรรม “สร้างบ้านแปงเวียง พญามังรายหลวง” มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมความรู้และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ประกอบด้วย:

  • นิทรรศการเทิดพระเกียรติพญามังรายหลวง
  • เสวนาทางประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับการสร้างบ้านแปงเวียงพญามังรายหลวง
  • การเรียนรู้และสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น งานหัตถกรรม การแกะสลักไม้ และงานเครื่องเงิน
  • การจำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
  • การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา อาทิ การฟ้อนพื้นเมือง ดนตรีพื้นบ้าน และการแสดงโขน

วัตถุประสงค์ของการจัดงาน

การจัดงานวัฒนธรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  1. เทิดพระเกียรติพญามังรายหลวง ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  2. เผยแพร่ความรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป
  3. พัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม
  4. ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ผ่านการนำเสนอเอกลักษณ์ท้องถิ่น
  5. สนับสนุนผู้ประกอบการด้านศิลปวัฒนธรรม และผู้ผลิตสินค้าพื้นเมือง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวเชียงราย ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 3.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มี 3.2 ล้านคน
  • รายได้จากการท่องเที่ยวในเชียงราย ปี 2567 อยู่ที่ 15,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.5% จากปี 2566
  • เชียงรายมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกว่า 50 แห่ง รวมถึงวัดร่องขุ่น วัดพระแก้ว และอนุสาวรีย์พญามังรายหลวง

งานวัฒนธรรม “สร้างบ้านแปงเวียง พญามังรายหลวง” จึงถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สศร. คัดเลือก ‘เชียงราย’ 1 ใน 13 หอศิลป์ พัฒนาสู่ภูมิภาค

สศร. ประกาศผลคัดเลือกหอศิลป์ภูมิภาค 13 แห่ง พัฒนาเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

เสริมสร้างพื้นที่ศิลปะในภูมิภาค กระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาเครือข่ายศิลปะร่วมสมัยระดับชาติ

เชียงราย, 3 มีนาคม 2568 – นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) เปิดเผยว่า สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้ประกาศผลการคัดเลือก หอศิลป์และแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม หรือพื้นที่ทางศิลปะ (Art Space) ในส่วนภูมิภาค ภายใต้โครงการพัฒนาหอศิลป์ร่วมสมัยสู่ภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (รอบที่ 1) โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 13 แห่ง ที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่:

รายชื่อหอศิลป์และพื้นที่ทางศิลปะที่ได้รับการคัดเลือก

  1. Grow Home-Stay and Space จ.เชียงราย
  2. พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย จ.เชียงราย
  3. AHIFH: Artist Home International จ.เชียงราย
  4. Gallery Seescape จ.เชียงใหม่
  5. บ้านศิลปะจุมพล อภิสุข จ.น่าน
  6. หออัตลักษณ์นครน่าน วิทยาลัยชุมชนน่าน จ.น่าน
  7. Khontemporary จ.ขอนแก่น
  8. ALIEN Artspace (เอเลี่ยน อาร์ตสเปซ) จ.ขอนแก่น
  9. หอศิลป์คลังจัตุรัส จ.ชัยภูมิ
  10. นัวโรว์ อาร์ตสเปซ (NOIR ROW ART SPACE) จ.อุดรธานี
  11. หอสินกางธ่งมหาสารคาม (หอสิน กธม) จ.มหาสารคาม
  12. หอศิลป์นครสวรรค์ จ.นครสวรรค์
  13. หอศิลป์สงขลา จ.สงขลา

พัฒนาเครือข่ายศิลปวัฒนธรรม เชื่อมโยงสู่ระดับนานาชาติ

นางเกษร กล่าวเพิ่มเติมว่า หอศิลป์และแหล่งเรียนรู้ที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 13 แห่ง จะได้เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และร่วมจัดแสดงนิทรรศการ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหอศิลป์ในภูมิภาค โดย สศร. จะทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหอศิลป์เหล่านี้เป็นระยะเวลา 2 ปี

ภายใต้ข้อตกลงนี้ หอศิลป์ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับ งบประมาณสนับสนุน สำหรับการจัดนิทรรศการและกิจกรรมศิลปะร่วมสมัย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็ก เยาวชน และประชาชนในพื้นที่ได้เข้าถึงศิลปะร่วมสมัยได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อ ยกระดับมาตรฐานของหอศิลป์ไทยและผลักดันให้เกิดความร่วมมือระดับนานาชาติ

บทบาทของหอศิลป์ต่อการพัฒนาสังคม

การพัฒนาหอศิลป์ร่วมสมัยในภูมิภาคเป็นกลยุทธ์สำคัญในการ ส่งเสริมการเรียนรู้ทางศิลปะ และกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยพื้นที่เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางการสร้างสรรค์งานศิลปะ สนับสนุนศิลปินท้องถิ่น และเป็นเวทีให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงผลงาน นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในภูมิภาค ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นได้อีกด้วย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) และกระทรวงวัฒนธรรม พบว่า:

  • ปัจจุบันประเทศไทยมีหอศิลป์และพื้นที่ศิลปะร่วมสมัยมากกว่า 80 แห่งทั่วประเทศ
  • ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการสนับสนุนหอศิลป์ระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้นกว่า 50%
  • กว่า 60% ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยให้ความสนใจกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม
  • การลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 8-10%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) / กระทรวงวัฒนธรรม / ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจสร้างสรรค์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เวียงกาหลง GI ดัง! ผู้ว่าฯ เชิญชวนชม สืบสานภูมิปัญญา

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยม “คุณพ่อทัน” ผู้อนุรักษ์เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง

รากฐานอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปีที่ควรค่าแก่การสืบสาน

เชียงราย, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าเยี่ยมเยียน คุณพ่อทัน ผู้อนุรักษ์และสืบสานมรดกเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า ซึ่งเป็นศิลปะเครื่องปั้นดินเผาที่มีประวัติยาวนานนับพันปี และเป็นรากฐานอารยธรรมของชุมชนดั้งเดิมตั้งแต่ก่อนยุคพ่อขุนรามคำแหง

ปัจจุบัน เครื่องเคลือบเวียงกาหลง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดเชียงราย และเป็นที่รู้จักในหมู่นักสะสมเครื่องปั้นดินเผาทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณภาพสูง น้ำหนักเบา และมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม ภายในจังหวัดเชียงรายเอง กลับยังมีการรับรู้และใช้เครื่องเคลือบเวียงกาหลงในวงจำกัด

ร่วมอนุรักษ์และสืบสานเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง

เพื่อส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่านี้ ผู้ว่าฯ เชียงรายได้เชิญชวนประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ให้ร่วมกันสนับสนุนเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงผ่านแนวทางดังต่อไปนี้:

  1. เยี่ยมชมและศึกษา ประวัติความเป็นมาของเครื่องดินเผาเวียงกาหลงได้ที่บ้านคุณพ่อทัน หรือแหล่งผลิตอื่น ๆ ในอำเภอเวียงป่าเป้า
  2. สนับสนุนสินค้าท้องถิ่น โดยเลือกซื้อเครื่องเคลือบเวียงกาหลงเป็นของใช้ในบ้าน หรือของฝากในโอกาสต่าง ๆ ปัจจุบันจังหวัดเชียงรายใช้เครื่องเคลือบเวียงกาหลงเป็นของฝากแก่เอกอัครราชทูตและกงสุลที่มาเยือน
  3. ใช้เป็นของรางวัลและเกียรติบัตร เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้พิจารณานำเครื่องเคลือบเวียงกาหลงมาใช้เป็นโล่รางวัลหรือประกาศเกียรติคุณในงานสำคัญต่าง ๆ

สถิติและผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

จากข้อมูลของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย พบว่าในปี 2567 มูลค่าการส่งออกเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงเพิ่มขึ้นกว่า 30% โดยมีตลาดหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและยุโรป นอกจากนี้ ยังมีความต้องการภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมให้ใช้เป็นของขวัญและของที่ระลึกอย่างเป็นทางการ

ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย, กลุ่มผู้ผลิตเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

แฟชั่นผ้าไทยเชียงราย ดีไซน์ใหม่ สร้างสรรค์สู่สากล

เชียงรายจัดประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ประจำปี 2568

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดงาน การประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2568” เพื่อส่งเสริมการใช้ผ้าไทยและพัฒนาตลาดสินค้าแฟชั่นเชิงสร้างสรรค์ โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย

ส่งเสริมผ้าไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญา

การจัดงานในครั้งนี้อยู่ภายใต้ โครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อ

  • สนับสนุนการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเป็น มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
  • ส่งเสริมและสืบสาน มรดกภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ให้คงอยู่ต่อไป
  • กระตุ้นให้ภาครัฐ เอกชน เยาวชน และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจในการอนุรักษ์ผ้าไทย

นักออกแบบและช่างฝีมือร่วมส่งผลงานเข้าประกวด 15 ผลงาน

การประกวดครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก ดีไซน์เนอร์ นักออกแบบ ช่างทอผ้า ช่างเย็บผ้า และผู้ประกอบการในท้องถิ่น ที่ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้น 15 ผลงาน โดยผลงานที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปจัดแสดงใน งานแสดงแบบแฟชั่นและกิจกรรมสาธิตภูมิปัญญาผ้าทอ ระหว่างวันที่ 19 – 21 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

เชียงรายเมืองแฟชั่นผ้า” การยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมือง

จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มี ความโดดเด่นด้านสิ่งทอพื้นเมือง โดยเฉพาะ ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าทอมือที่เป็นเอกลักษณ์ ของชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • ผ้าทอลื้อ จากอำเภอเชียงของ
  • ผ้าทอไทใหญ่ จากอำเภอแม่สาย
  • ผ้าปักลาหู่ และผ้าม้ง จากชุมชนชาติพันธุ์บนดอย

การจัดประกวดแฟชั่นผ้าไทยในครั้งนี้เป็น โอกาสสำคัญที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมผ้าทอในเชียงราย ให้ก้าวไกลสู่ตลาดที่กว้างขึ้น รวมถึง การเชื่อมโยงภูมิปัญญากับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมืองในประเทศไทย

  • อุตสาหกรรมสิ่งทอในไทยมีมูลค่าตลาด กว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)
  • ตลาดแฟชั่นผ้าทอพื้นเมืองมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี โดยเฉพาะตลาดสินค้า Eco Fashion และ Sustainable Fashion (ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ)
  • การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยในปี 2567 มีมูลค่า ประมาณ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีตลาดหลักคือ จีน สหรัฐฯ และยุโรป (ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์)
  • ปัจจุบัน กว่า 80% ของผู้บริโภคไทยสนใจเสื้อผ้าที่มีอัตลักษณ์พื้นเมืองและผ้าทอมือ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสนับสนุนสินค้าที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลจาก TCDC – ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ)

แหล่งอ้างอิง

  • กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
  • สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • กระทรวงพาณิชย์
  • ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC)

การจัดงานประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทยครั้งนี้ ถือเป็น ก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายให้กลายเป็น “เมืองแฟชั่นผ้าพื้นเมือง” ที่สามารถเชื่อมโยง วัฒนธรรม งานฝีมือ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ให้เติบโตไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

รู้จัก “ป้านิ” ผู้เชิดชูภูมิปัญญา ผ้าปักมือ สตรีดีเด่นปี 68

นิธี สุธรรมรักษ์: สตรีผู้รักษาภูมิปัญญาผ้าปักมือบ้านสันกอง จากสาวโรงงานสู่ผู้นำกลุ่มผ้าปัก อนุรักษ์ศิลปะพื้นถิ่นให้มีชีวิต

แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เกิดกลุ่มผ้าปักบ้านสันกอง

นิธี สุธรรมรักษ์ ประธานกลุ่มอาชีพผ้าปักด้วยมือบ้านสันกอง จ.เชียงราย ได้รับเลือกให้เป็น สตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 เธอเป็นบุคคลสำคัญที่นำภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับมาสร้างคุณค่า สร้างอาชีพ และส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้

“ตอนแรกเราแค่ลองเอาผ้าปักของผู้สูงอายุในชุมชนไปขายที่ตลาดไนท์บาซาร์เชียงราย ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจมากขนาดนี้” นิธีกล่าว

ผลงานของกลุ่มได้รับความนิยมจากทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ จุดประกายให้เธอตั้งกลุ่มผ้าปักบ้านสันกองขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุที่เคยว่างงานให้กลับมามีรายได้อีกครั้ง

การรวมกลุ่มผู้สูงวัย: งานฝีมือที่มากกว่ารายได้

นิธีรวบรวมผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเฉย ๆ มาฝึกปักผ้า โดยใช้ระยะเวลาเรียนรู้ตั้งแต่ 10 วันถึง 3 เดือน ขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคน

“คนที่ไม่เคยปักผ้ามาก่อนก็มี เราสอนทุกขั้นตอนจนเขาทำได้”

หลังจากฝึกจนสามารถปักผ้าได้แล้ว กลุ่มจะจ่ายค่าตอบแทนตามขนาดของชิ้นงาน ผู้สูงอายุสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,000-2,500 บาท ทำให้พวกเขามีความภูมิใจและลดภาระของลูกหลาน

“บางคนบอกว่าพอได้เงินจากงานปักผ้า เขาเอาไปซื้อของใช้ส่วนตัวเอง ไม่ต้องขอเงินลูกหลาน”

เอกลักษณ์ของผ้าปักบ้านสันกอง

จุดเด่นของผลงานคือ ความละเอียด ประณีต และลวดลายที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชุมชน ลวดลายที่นิยม ได้แก่

  • ลายเมล็ดข้าวสาร สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์
  • ลายใบไม้และดอกไม้ ถ่ายทอดความงามของธรรมชาติ
  • ลายสายน้ำและก้นหอย เป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องและความสงบ

“ผลงานแต่ละชิ้นไม่มีแบบซ้ำกันเลย เพราะมันเกิดจากจินตนาการของคนปัก”

กลุ่มสามารถผลิตผลงานได้กว่า 300-400 ชิ้นต่อเดือน ชิ้นเล็กใช้เวลาปัก 2-3 วัน ส่วนชิ้นใหญ่ใช้เวลาถึง 2-3 เดือน

สตรีดีเด่นแห่งเชียงราย: นางนิธี สุธรรมรักษ์ ผู้สืบสานผ้าปักมือ สู่รางวัลระดับประเทศ

การได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถและความทุ่มเทของนางนิธี ในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะการปักผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นบ้านสันกอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ผลงานของนางนิธี ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีในท้องถิ่น ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

การพัฒนาและการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น

นิธีวางแผนพัฒนาให้สินค้าของกลุ่มสอดคล้องกับ แนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยนำเศษวัสดุกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“เศษด้าย เศษผ้า ไม่เคยถูกทิ้ง ทุกอย่างถูกนำมาใช้ใหม่หมด”

นอกจากนี้เธอยังต้องการให้ กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด

การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ต้องขัง

นิธีไม่ได้สอนแค่ในชุมชน แต่ยังนำความรู้ด้านผ้าปักเข้าไปถ่ายทอดให้กับผู้ต้องขังชายในเรือนจำกลางเชียงราย

“ช่วงแรกไม่มีใครเชื่อว่าผู้ต้องขังชายจะปักผ้าได้ แต่พอเริ่มฝึก ฝีมือก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ”

จากเดิมที่มีผู้สนใจเข้าเรียน 80 คน เพิ่มขึ้นเป็น 200 คน ตอนนี้ เรือนจำกลางเชียงรายตั้งกองงาน “ผ้าปัก” อย่างเป็นทางการ และเป็นแหล่งผลิตชิ้นงานให้กับกลุ่ม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับงานผ้าปักบ้านสันกอง

  • กลุ่มผ้าปักบ้านสันกองมีสมาชิกกว่า 100 คน อายุตั้งแต่ 55-88 ปี
  • สามารถผลิตได้ 300-400 ชิ้นต่อเดือน
  • เป็นสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาวของเชียงราย และได้รับมาตรฐาน มผช.249/2557
  • โครงการสอนผ้าปักในเรือนจำกลางเชียงรายมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน

สรุป: นิธี สุธรรมรักษ์ ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง

นิธี สุธรรมรักษ์ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำกลุ่มอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นผู้ที่ผลักดันให้ผ้าปักไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล เธอเป็นตัวอย่างของสตรีที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นอาชีพที่ยั่งยืน และยังคงสานต่อภารกิจนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

คุณสมบัติสตรีดีเด่น: นางนิธี สุธรรมรักษ์

การคัดเลือกสตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินงานวันสตรีสากล กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มงวด เพื่อให้ได้สตรีที่ทรงคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม ซึ่งนางนิธี สุธรรมรักษ์ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้

  1. ความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญ: นางนิธีมีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปักผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
  2. คุณธรรมและจริยธรรม: นางนิธีเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปและสังคม
  3. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม: นางนิธีได้รับการยอมรับและมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมในสังคม มีการริเริ่มแผนงาน/โครงการ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง
  4. ความสามารถในการถ่ายทอดและผลักดัน: นางนิธีมีความสามารถในการถ่ายทอด ผลักดัน และเชื่อมโยงประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์ในชุมชนและสังคม
  5. บทบาทในการส่งเสริมความเสมอภาค: นางนิธีมีบทบาทในการส่งเสริม เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ การคุ้มครองสิทธิสตรี หรือการพัฒนาศักยภาพของสตรี
  6. ไม่เคยได้รับรางวัลในรอบ 5 ปี: นางนิธีไม่เคยได้รับรางวัลเนื่องในวันสตรีสากลของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พม. ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

จากภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่รางวัลระดับประเทศ

นางนิธี สุธรรมรักษ์ เป็นแบบอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น ด้วยความมุ่งมั่นและความทุ่มเท นางนิธีได้พัฒนาฝีมือการปักผ้าด้วยมือ จนเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และได้รับรางวัลสตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ประจำปี 2568

รางวัลที่นางนิธีได้รับในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติประวัติส่วนตัว แต่ยังเป็นเกียรติประวัติของชุมชนบ้านสันกอง และจังหวัดเชียงราย ที่มีสตรีผู้ทรงคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม

นางนิธี สุธรรมรักษ์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีไทย ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่น สตรีไทยสามารถสร้างชื่อเสียงและสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / ผ้าปัก by นิธี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

“รสชาติ…ที่หายไป” เปิดตัวปี 2568 ตามหาอาหารไทยถิ่น มรดกวัฒนธรรม

เชียงรายผลักดันอาหารถิ่นสู่มรดกวัฒนธรรม ผ่านโครงการ ‘Thailand Best Local Food’

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัด การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้แนวคิด รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ

งานนี้มี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวรายงาน มีผู้เข้าร่วมงานจาก หน่วยงานรัฐ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และวัฒนธรรมจังหวัดจาก 76 จังหวัด

โครงการนี้มุ่งเน้น การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย ให้กลับมามีบทบาทในสังคม พร้อมส่งเสริมให้เป็น Soft Power ของไทย โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยของจังหวัดเชียงรายนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกล่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง นครเชียงรายนิวส์ ในฐานะการขับเคลื่อนในรูปแบบอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คุณอนุสร เทพปินตา รองนายกเทศมนตรีตำบลแม่สรวย เครือข่ายผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้

ภายใต้แนวคิด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ “Thailand Best Local Food” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้แนวคิด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ณ โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดจาก 76 จังหวัด ข้าราชการ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และอินฟลูเอนเซอร์เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ภายในงานมีกิจกรรมหลัก 8 รายการ ได้แก่

  1. เสวนาในหัวข้อ “การยกระดับอาหารไทยถิ่น ผ่านการออกแบบประสบการณ์ของชุมชน (Designing for a Local Experience)” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เช่น คุณสมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Local Alike, คุณสันติ อาภากาศ ผู้ร่วมก่อตั้ง TASTEBUD LAB และ BIO BUDDY, เชฟคำนาง ณัฏฐภรณ์ คมจิต ผู้ก่อตั้งเฮือนคำนางแบรนด์, และคุณลภัตอร กาญจนชัยภูมิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
  2. บรรยายในหัวข้อ “การส่งเสริมและพัฒนาอาหารไทยถิ่น เชื่อมโยงไปสู่การสืบสานภูมิปัญญา” โดย ดร.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและโภชนาการ
  3. บรรยายในหัวข้อ “การสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนโครงการฯ” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น คุณจรงค์ศักดิ์ รองเดช, เชฟไพศาล ชีวินศิริวัฒน์, พท.ป.อุบลรัตน์ มโนศิลป์, และคุณธนพัชร ทิ้งโคตร

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” มุ่งเน้นการรวบรวมและฟื้นฟูเมนูอาหารถิ่นที่กำลังจะเลือนหาย เพื่อสืบสานและพัฒนาให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ใน 11 ด้าน เช่น อาหาร ท่องเที่ยว เทศกาล/ประเพณี ภาพยนตร์ ศิลปะ และดนตรี

หลังพิธีเปิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากเครือข่ายชุมชนต่างๆ ที่มาร่วมแสดงผลงานภายในงาน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม www.culture.go.th และเพจเฟซบุ๊ก “กรมส่งเสริมวัฒนธรรม” รวมถึงเพจเฟซบุ๊ก “อาหารไทยถิ่น THAILAND BEST LOCAL FOOD”

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากการสำรวจของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พบว่าในปี 2567 มีเมนูอาหารถิ่นที่เสี่ยงต่อการสูญหายกว่า 150 เมนู
  • โครงการ “Thailand Best Local Food” ได้ส่งเสริมและฟื้นฟูเมนูอาหารถิ่นกว่า 80 เมนูในปีที่ผ่านมา
  • การยกระดับอาหารถิ่นมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปี

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการ “Thailand Best Local Food” มีเป้าหมายหลักคืออะไร?
    เน้นการฟื้นฟูและพัฒนาอาหารถิ่นให้เป็นที่รู้จัก พร้อมยกระดับให้เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล
  2. เมนูอาหารถิ่นที่ฟื้นฟูมีอะไรบ้าง?
    ประกอบด้วยอาหารไทยดั้งเดิมจากทุกภูมิภาค เช่น แกงหอยจุ๊บแจง ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ไก่กะลาภาคเหนือ และข้าวยำบูดูภาคใต้
  3. อาหารถิ่นมีผลต่อเศรษฐกิจชุมชนอย่างไร?
    ช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
  4. ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างไร?
    สามารถร่วมเสนอเมนูอาหารถิ่นที่ควรฟื้นฟูผ่านกรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการนี้
  5. โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ Soft Power ไทยอย่างไร?
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Soft Power ไทย เพื่อผลักดันอาหารถิ่นสู่ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

2007 ปีสืบมา เชียงรายจัดงานสรงน้ำพระธาตุดอยตุงยิ่งใหญ่

เชียงรายเตรียมจัดงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ครบรอบ 2007 ปี

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจัดประชุมคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง “2007 ปี สืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ประจำปี 2568 โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานและวางแนวทางจัดกิจกรรม เพื่อดำเนินงานให้เป็นไปอย่างราบรื่น

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยพระครูสุนทรปภากร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และคณะทำงานฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมประชุม โดยมีการมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเตรียมงานให้พร้อมก่อนถึงวันจัดงาน

กำหนดการจัดงาน งานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2568วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีพิธีสำคัญ ได้แก่:

  • พิธีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง
  • พิธีบวงสรวง และสืบชะตาหลวงแบบล้านนา
  • กิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญ
  • การอบรมสมโภชน้ำสรงพระราชทานฯ
  • กิจกรรมทำบุญตักบาตร

ทั้งนี้ ประเพณีดังกล่าวจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือนสี่ หรือเดือนหกเหนือของทุกปี เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ได้ร่วมสักการะพระธาตุดอยตุง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวล้านนา

กิจกรรมพิเศษ: วิ่ง-ปั่น สู่ลานพระธาตุดอยตุง นอกจากพิธีทางศาสนาแล้ว ในวันที่ 9 มีนาคม 2568 จะมีการจัดกิจกรรม “วิ่ง ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ซึ่งขณะนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมวิ่งจำนวน 625 คน และ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

บอลลูนนานาชาติเชียงราย สุดอลังการรับวาเลนไทน์

บอลลูนนานาชาติสุดอลังการ! สิงห์ปาร์ค เชียงราย จัดกิจกรรมบอกรักบนฟ้ารับวาเลนไทน์

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – สิงห์ปาร์ค เชียงราย ต้อนรับเทศกาลแห่งความรักด้วยกิจกรรมสุดโรแมนติกในงาน เทศกาลบอลลูนนานาชาติ International Balloon Fiesta 2025″ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดยวันนี้ (14 กุมภาพันธ์) นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและร่วมเป็นสักขีพยานในกิจกรรมพิเศษ “Balloon Love 2025” ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเทศกาลนี้

กิจกรรมสุดพิเศษ “Balloon Love 2025”

ปีนี้ สิงห์ปาร์ค เชียงราย เปิดโอกาสให้ 14 คู่รักผู้โชคดีจากการคัดเลือกกว่า 150 คู่ ได้สัมผัสประสบการณ์ลอยฟ้าเหนือเชียงรายในช่วงเช้ากับบอลลูนหลากสีสันกว่า 30 ลูก จาก 11 ประเทศทั่วโลก ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกของวันวาเลนไทน์ พร้อมชมทิวทัศน์เชียงรายแบบ 360 องศา สร้างความประทับใจให้กับคู่รักที่เข้าร่วมงานอย่างเต็มเปี่ยม

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารบริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด รวมถึงประชาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในกิจกรรมอันน่าประทับใจนี้

การแข่งขันบอลลูนระดับนานาชาติและกิจกรรมที่น่าสนใจ

นอกจากกิจกรรม “Balloon Love 2025” แล้ว เทศกาลบอลลูนนานาชาติปีนี้ยังมีกิจกรรมที่หลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจ ได้แก่:

  • การแข่งขันบอลลูนระดับนานาชาติ มีบอลลูนเข้าร่วมแข่งขันกว่า 30 ลูก จาก 13 ประเทศ โดยการแข่งขันจะจัดขึ้นทุกวันระหว่างเวลา 16.30 – 18.00 น. พร้อมเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท
  • การแสดงบอลลูนแสง สี เสียง จัดขึ้นทุกคืนบริเวณทะเลสาบภายในสิงห์ปาร์ค เชียงราย สร้างบรรยากาศสุดอลังการให้กับผู้เข้าร่วมงาน
  • คอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ที่จะมาร่วมสร้างสีสันและความบันเทิงตลอดทั้ง 5 วันของเทศกาล

โขนกลางแปลง “สัจจะ เดชา พญามาร” เสริมวัฒนธรรมไทย

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของปีนี้คือการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย โขนกลางแปลงชุดใหญ่” ตอนพิเศษ สัจจะ เดชา พญามาร” โดยคณะศิลปินวังหน้าและเยาวชนจากจังหวัดเชียงรายกว่า 160 ชีวิต ซึ่งจะจัดแสดงบริเวณริมทะเลสาบในวันที่ 14 – 15 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อส่งเสริมศิลปะการแสดงไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

บทสรุป

เทศกาลบอลลูนนานาชาติ International Balloon Fiesta 2025 ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นงานที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เข้าร่วม ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษที่เต็มไปด้วยความรักและความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น “Balloon Love 2025” การแข่งขันบอลลูนระดับนานาชาติ และการแสดงทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความงดงามของศิลปะไทย ทำให้งานนี้เป็นอีกหนึ่งอีเวนต์ที่ไม่ควรพลาดในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยปลดล็อกเซ็นเซอร์เทศกาลหนังฉายได้เสรี

ปลดล็อกกฎหมายภาพยนตร์ เทศกาลหนังนานาชาติฉายได้โดยไม่ต้องเซ็นเซอร์

กรุงเทพฯม,12 กุมภาพันธ์ 2568  –การปฏิรูปกฎหมายภาพยนตร์ไทยก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศให้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศสามารถฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ ถือเป็นการเปิดเสรีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ครั้งสำคัญของประเทศ

การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์

สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA) ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย จนนำไปสู่การออกประกาศปลดล็อกภายใต้ ประกาศคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เรื่อง เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศตามมาตรา 27(4) พ.ศ. 2568” ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

ตามประกาศฉบับนี้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศในไทยที่ได้รับการรับรอง สามารถฉายภาพยนตร์ได้โดย ไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติอีกต่อไป ซึ่งช่วยลดภาระให้กับผู้จัดงานและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปลี่ยนแปลงกระบวนการขออนุมัติเทศกาลภาพยนตร์

ตามกฎใหม่ ผู้จัดงานที่ต้องการให้เทศกาลของตนได้รับการรับรองเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศ สามารถ ยื่นคำขอต่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างน้อย 15 วันก่อนจัดงาน แทนที่จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วันล่วงหน้าตามระเบียบเดิม

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้การจัดเทศกาลมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสามารถรองรับการเข้าร่วมของเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่ต้องการนำเสนอภาพยนตร์ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ความพยายามในการปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 มกราคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2566 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย ให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ถูกพิจารณาว่าควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันประชาชนสามารถรับชมภาพยนตร์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ อีกทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ผลงาน

การขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม

การปลดล็อกเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสะท้อนถึงการขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็น ศูนย์กลางด้านภาพยนตร์” ที่สำคัญของโลก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตาม แนวทางของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก

การลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียม

คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังได้อนุมัติให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) พิจารณาปรับลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • ลดค่าธรรมเนียมตรวจพิจารณาสื่อโฆษณา
  • ลดค่าออกใบแทนใบอนุญาต
  • ลดการเรียกสำเนาบัตรประชาชนและเอกสารประกอบ
  • ยกเลิกข้อกำหนดการแจ้งเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจลงนาม
  • เพิ่มช่องทางการยื่นขออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์

การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเพิ่มจาก 6 คณะเป็น 10 คณะ แบ่งเป็น

  • คณะพิจารณาภาพยนตร์ 8 คณะ
  • คณะพิจารณาวีดิทัศน์ 2 คณะ

นอกจากนี้ยังมีการปรับสัดส่วนคณะกรรมการให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้น โดยเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชน 3 คน และภาครัฐ 2 คน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจพิจารณา และให้เอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการกำหนดแนวทางของอุตสาหกรรม

มาตรการสนับสนุนผู้กำกับและโรงภาพยนตร์

ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอของ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ซึ่งต้องการให้มีการกำหนดรอบฉายที่เป็นธรรมสำหรับภาพยนตร์ไทย คณะกรรมการฯ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมไปหารือกับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม และนำเสนอต่อที่ประชุมในครั้งถัดไป

อนาคตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

การปลดล็อกครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้เทศกาลภาพยนตร์สามารถจัดฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านการตรวจสอบจากภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์และเสรีภาพทางศิลปะ ที่มีมาตรฐานระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THACCA-Thailand Creative Culture Agency

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายร่วมพัฒนาวัฒนธรรมชุมชน หนุนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงรายร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายวัฒนธรรม สืบสานศาสตร์พระราชา

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568 – เครือข่ายวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเข้าร่วม โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายทางวัฒนธรรมและผู้นำชุมชนคุณธรรมฯ เพื่อ สืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา ประจำปีงบประมาณ 2568 ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2568พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

กระทรวงวัฒนธรรมจัดโครงการนี้เพื่อ ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม สร้างชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยมี นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ เป็นผู้กล่าวรายงาน และ นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงผู้แทนจาก 26 ชุมชน เข้าร่วมงาน

เสริมพลังชุมชน ผ่านการพัฒนาศักยภาพผู้นำ

กิจกรรมภายในโครงการประกอบด้วย การบรรยายและฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม ได้แก่:

  • แนวทางการพัฒนา “ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” โดย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และวิทยากรจากกองตรวจราชการ
  • การบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดย ผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  • กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและการตลาด โดย วิทยากรจากองค์กรด้านการพัฒนาท่องเที่ยว
  • เทคนิคการประชาสัมพันธ์และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มโอกาสการดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่ชุมชน

นอกจากนี้ คณะวิทยากรจาก พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ยังได้ให้ความรู้เรื่อง การถ่ายทอดเรื่องราวและการเล่าเรื่อง (Storytelling) ให้เกิดแรงจูงใจในการท่องเที่ยว

เชียงรายส่งตัวแทนเข้าร่วม เสริมแกร่งเครือข่ายวัฒนธรรม

นาย พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายจิรัฏฐ์ ยุทธ์ธนประวิช นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นำทีมผู้แทนชุมชน 3 คน ได้แก่ นางอิ่ม คำแสง, นางอ่อน ปัญญา และนายทิพย์ เมืองยอด เข้าร่วมกิจกรรมนี้เพื่อ เสริมสร้างศักยภาพและนำองค์ความรู้มาพัฒนาชุมชนเชียงราย

ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านวัฒนธรรม

โครงการนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ชุมชน และเป็นแนวทางขับเคลื่อนให้เกิด ชุมชนท่องเที่ยวที่ยั่งยืน สอดรับกับนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News