Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ภูมิธรรม ควง อนุทิน ลุยน้ำท่วมเชียงราย ไม่เจอตัวผู้ว่าฯ ไม่แน่ใจว่าติดภารกิจ

 

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อ.เทิง จ.เชียงราย ทั้งนี้ นายภูมิธรรมและนายอนุทินพร้อมคณะได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง จากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง เนื่องจากนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไม่อยู่ในพื้นที่ จากนั้นคณะรองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยที่สถานีขนส่งอำเภอเทิง

นายภูมิธรรมกล่าวว่า การลงพื้นครั้งนี้ เนื่องจากทางรัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพราะน้ำมาเร็วและแรง ซึ่งรับทราบว่าในพื้นที่มีประชาชนเสียชีวิตแล้ว 1 คน โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เองก็มีความห่วงใยประชาชน แต่ด้วยข้อกฎหมายที่ยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ก็ได้สั่งการให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนให้ช่วยดูแลพี่น้องประชาชนที่ลำบากอยู่ให้เร็วที่สุด ซึ่งก็น่าดีใจที่ตอนนี้น้ำหลากลดลง ด้วยปกติเชียงรายน้ำจะไหลลงแม่น้ำโขง แต่ขณะนี้ระดับแม่น้ำโขงสูงจึงมีน้ำรอระบาย จึงให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันดูแลประชาชน กระทรวงคมนาคมดูแลในส่วนว่ามีจุดใดกีดขวางทางน้ำหรือไม่ แต่ในภาพรวมแล้วสถานการณ์เบาบางลง เพียงแต่การระบายต้องใช้เวลา ฝากกับทางรองผู้ว่าฯไปด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ควรสรุปเป็นบทเรียน จะได้เตรียมการรองรับต่อไปเนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในช่วงมรสุม

“ตอนนี้ทางจังหวัดต้องเตรียมการทำงาน คุยกับรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านก็ได้สั่งการให้ทุกส่วนจัดตั้งศูนย์ดูแลเหตุการณ์อย่างเต็มที่ แต่ก็น่าเสียใจที่วันนี้มาแล้วไม่เจอตัวผู้ว่าฯ ไม่แน่ใจว่าติดภารกิจอะไร ภาวะแบบนี้ควรต้องลงมาดู มาอยู่กับประชาชนเพื่อจะได้เข้าใจปัญหา หาทางบรรเทาให้พี่น้องประชาชน แต่ถึงแม้ผู้ว่าฯไม่อยู่ ก็ขอให้หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ลงพื้นที่ดูแล ส่วนของเครื่องไม้เครื่องมือรัฐมนตรีมหาดไทยท่านก็สั่งการแล้ว ส่วนของอาหารก็มาจากหลายทาง มีโรงครัวพระราชทานเข้ามาหลายคัน เข้ามาดูแลเรื่องอาหารการกิน เอกชนก็เข้ามา หน่วยจิตอาสาเข้ามาช่วยกันแพคของ เป็นเวลาที่ได้พึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านทรงช่วยราษฎร ทางกระทรวงพาณิชย์เองวันนี้ปลัดมาลงพื้นที่ด้วย จะได้ดูและประสานสิ่งที่ยังขาดเข้ามาช่วยเหลือต่อไป” นายภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ในวันที่ 25 สิงหาคม จะเข้ามาติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อีก โดยได้สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรีเตรียมถุงยังชีพไว้แล้วอย่างน้อยน่าจะได้เข้ามา 5,000 ชุด และจะได้หารือการช่วยเหลือกับเพิ่มเติมกับทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป แต่ขอฝากพี่น้องประชาชนว่ารัฐบาลมีความห่วงเป็นใย และเรากังวลที่เห็นพี่น้องลำบากและพยายามทำงานเต็มที่เพื่อบรรเทาปัญหาของพี่น้องให้เร็วที่สุด

ด้านนายอนุทินกล่าวว่า การช่วยเหลือทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยได้สนับสนุนเครื่องจักรสาธารณภัย เช่นรถแบ๊กโฮ ขุดตัก เกลี่ยดินที่ถล่มลงมาในพื้นถนน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถสัญจรได้ และขอฝากให้ผู้ว่าฯรีบกลับมาเชียงรายด้วย คนเชียงรายรออยู่

ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจใน จ.เชียงราย คณะของนายภูมิธรรมและนายอนุทิน ได้เดินทางไปจังหวัดน่านเพื่อลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยใน อ.เมืองน่าน และ อ.ภูเพียง 

ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นอกจากการลงพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือแล้ว นายอนุทินยังได้มอบหมายให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่เพื่อติดตามเหตุการณ์อุทกภัยและดินสไลด์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยนายชาดา พร้อมคณะได้ลงพื้นที่สำรวจจุดเกิดเหตุ ที่หมู่ 2 ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต รับฟังรายงานสถานการณ์ในภาพรวม พร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จากนั้นร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ จิตอาสา ภาคประชาชนประมาณ 100 คน ดำเนินกิจกรรม Big Cleaning Day ปัดกวาด เคลียร์พื้นที่เกิดเหตุด้วย

“นายอนุทินให้ความสำคัญกับการติดตามเหตุการณ์ดินสไลด์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต มีการกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ดูแลความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ วันนี้จึงได้มอบหมายให้นายชาดาลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์ล่าสุด พร้อมให้การสนับสนุนเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย” น.ส.ไตรศุลีกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
TOP STORIES

ผู้เสียหาย “สินมั่นคงประกันภัย” แจ้งกองทุนประกันวินาศภัย ใน 60 วัน

 

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เซ็นลงนามคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1364/2567 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ “บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)” โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป 

 

ซึ่งถือว่าเป็นการปิดฉากบริษัทประกันวินาศภัยของประเทศไทยรายที่ 5 ที่ปิดกิจการจากผลกระทบจากการขายประกันภัยโควิด โดย 4 บริษัทก่อนหน้านี้ที่ปิดตัวไป ประกอบด้วย

1.บริษัทเอเชียประกันภัย

2.บริษัทเดอะวันประกันภัย

3.บริษัทไทยประกันภัย

4.บริษัทอาคเนย์ประกันภัย

 

 

โดยคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คณะกรรมการ คปภ.) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 19/2567 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 แต่งตั้งกองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดจนการเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

 

เนื่องจากปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ดังปรากฏข้อเท็จจริง ตามที่นายทะเบียนได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) “บริษัท” แก้ไขฐานะและการดำเนินการตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยกำหนดให้บริษัทเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันและให้มีอัตราส่วนของเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 1 ปี 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ดำเนินการเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าว แต่กลับอาศัยกระบวนการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทุกฝ่ายทราบผลคำสั่งตามกฎหมายแล้ว อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สิน จึงกลับไปเป็นของผู้บริหารของบริษัท และผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้บริษัทสามารถเคลื่อนย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทได้ ประกอบกับบริษัทมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

 

บริษัทจึงมีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน คณะกรรมการ คปภ. จึงเห็นชอบให้นายทะเบียนใช้อำนาจตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 สั่งให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 48/2566 เรื่อง ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566

นอกจากนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 ไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และจัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพันตามมาตรา 27/4 ไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด มีสินทรัพย์สภาพคล่องไม่เพียงพอสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีฐานะการเงินไม่มั่นคงและไม่เพียงพอต่อภาระผูกพัน

 

รวมถึงบริษัทไม่มีแนวทางในการแก้ไขฐานะการเงิน มีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันทำให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายประการ บริษัทไม่มีความสามารถและความพร้อมที่จะรับประกันภัยและประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยได้ต่อไป 

 

ทั้งนี้ หากให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

 

เนื่องจาก การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นปัญหาฐานะการเงินและการจัดการภายในของบริษัทจึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินหรือสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัยอื่น หรือธุรกิจประกันภัยในภาพรวมแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับมิให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบแล้ว

 

ทั้งนี้ ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยของบริษัท และเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยให้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ภายใน 60 วันนับแต่วันที่กองทุนประกันวินาศภัยประกาศกำหนด โดยการยื่นจะดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ทั้งนี้ กองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชี จะประกาศแจ้งให้ทราบถึงกำหนดวัน เวลา และวิธีการยื่นคำทวงหนี้อีกครั้ง เพื่อให้บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำทวงหนี้ต่อผู้ชำระบัญชีตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 61/3 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

 

ดังนั้น จึงขอให้บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัทโปรดติดตามประกาศของกองทุนประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิด ได้ที่เว็บไซต์กองทุนประกันวินาศภัย www.gif.or.th  และ Facebook Fanpage “กองทุนประกันวินาศภัย” โดยการจัดตั้งกองทุนประกันวินาศภัยขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัย ในกรณีที่บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย โดยเจ้าหนี้ฯ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากสัญญาประกันภัยจากกองทุนประกันวินาศภัย ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่ได้รับการเฉลี่ยจากหลักทรัพย์ประกันและเงินสำรองที่วางไว้กับนายทะเบียนแล้ว ไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ เจรจา ‘จีน’ สร้างเส้นทางรถไฟ“เมืองโม่หาน” ขนส่งสินค้าเชื่อม อ.เชียงของ

 

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้เข้าพบนายหลี่ เสี่ยวเผง รมว.คมนาคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้หารือถึงภาพรวมด้านการคมนาคม ประกอบด้วย การขนส่งทางอากาศ ทางราง ทางน้ำ และทางบก พร้อมกล่าวถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เพื่อพัฒนาระบบให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยการขนส่งทางอากาศนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ระหว่างไทย และจีน เพื่อความสะดวกต่อประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ จึงได้ขอให้รัฐบาลจีนพิจารณาถึงแนวทางการเพิ่มเวลาการบิน (slots) ระหว่างไทย-จีน ให้กับสายการบินของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้เกิดความสะดวก และมีราคาที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนผู้รับเหมาที่มีศักยภาพ และคุณภาพจากประเทศจีน เข้าร่วมประมูลงานจากแผนการขยายท่าอากาศยาน ทั้งที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อร่วมพัฒนาโครงการในประเทศไทย พร้อมกันนี้ได้หารือถึงการพัฒนารถไฟทางคู่สายใหม่ จากอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ขึ้นไปเชื่อมกับสถานีขนถ่ายสินค้าที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ริมชายแดนระหว่างไทย กับ สปป.ลาว โดยเส้นทางดังกล่าวปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยรถไฟสายนี้ จะเป็นประโยชน์กับการขนส่งสินค้าจากจีนตอนใต้ออกสู่มหาสมุทรอินเดียได้ หากประเทศจีนพิจารณาก่อสร้างเส้นทางรถไฟจากชายแดนของจีนที่เมืองโม่หาน เชื่อมต่อมาที่เชียงของ ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร (กม.) ก็จะทำให้การขนส่งสินค้าสามารถขนส่งจากจีนตอนใต้ มาที่ท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดระนองได้

 

นายสุริยะ กล่าวต่ออีกว่า ประเทศไทยมีความชื่นชมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจีน โดยเฉพาะการก่อสร้างถนนและทางด่วนของจีน ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมาก และมีมาตรฐานที่ดี โดยเฉพาะเทคนิคในการขุดเจาะอุโมงค์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาก่อสร้างอุโมงค์ทางด่วนที่จังหวัดภูเก็ต จึงต้องการให้บริษัทจีนที่มีความเชี่ยวชาญในงานอุโมงค์เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว และขอให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีระหว่างกันในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายจีนยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทย ทั้งการจัดตั้งคณะทำงาน และการประชาสัมพันธ์โครงการก่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าว

 

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า ในโอกาสนี้นายหลี่ เสี่ยวเผง ได้เชิญตน และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงาน Global Sustainable Transport Forum 2024 ที่กระทรวงคมนาคมของจีนเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นในช่วงเดือน ก.ย. 67 ด้วย ซึ่งการประชุมดังกล่าว จะมีการหารือ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องความยั่งยืนด้านการขนส่ง ประเด็นการขนส่งสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฝ่ายจีนจะมีหนังสือเชิญเข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการต่อไป.

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

‘อนุทิน’ ยินดี ‘อสม.’ นักรบชุดเทาได้ค่าป่วยการ 2 พันบาทต่อเดือน

 
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหาร ได้เดินทางมาปฏิบัติราชการ และได้มีโอกาสพบปะกับอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. ที่มาต้อนรับ โดยนายอนุทิน ได้กล่าวทักทาย ใจความตอนหนึ่งว่า 
 
 
ผมขอแสดงความยินดีที่ทุกท่านได้ค่าป่วยการเพิ่มเป็น 2 พันบาทต่อเดือน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จ อยู่ที่นั่น แน่นอนว่า ทุกท่านทำงานไม่ได้หวังเรื่องเงินเรื่องทอง แต่ท่าน พยายามอย่างยิ่งในการดูแลคนไทย ในช่วงโควิด 19 ระบาด ถ้าไมได้พวกท่าน กระทรวงสาธารณสุขไฟไหม้ไปแล้ว ท่านช่วยประคองระบบสาธารณสุขของไทย กระนั้น ถึงท่านจะทำด้วยใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่เรามองว่า เราต้องตอบแทนท่านบ้าง เป็นที่มาของค่าป่วยการที่เพิ่มขึ้น เลยมีการผลักดันมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน จนมาสำเร็จในรัฐบาลนี้ วันนี้ ไม่มีโควิด 19 แต่งานของพวกท่าน ไม่ได้ลดไปเลย ท่านเป็นหมอคนแรก ท่านเป็นมดงาน ในระบบสุขภาพ ตอนนี้ ถ้าเทียบอัตราส่วน อสม.หนึ่งคนต้องดูแลคนไทย หลายสิบคน ค่าป่วยการ 2 พันบาท ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”
 

โดยเงินค่าป่วยการรายเดือนให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. จากเดือนละ 1,000 บาท เป็นเดือนละ 2,000 บาท ว่า นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้อนุมัติตั้งงบประมาณประจำปี 2567 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข สำหรับจ่ายเป็นค่าป่วยการให้กับ อสม. 1.07 ล้านคน ทั่วประเทศ ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราค่าป่วยการที่เพิ่มจากเดิมเดือนละ 1,000 บาท เป็นเดือนละ 2,000 บาท มีผลตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2567 คือ เดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในเดือนพฤษภาคมนี้พี่น้อง อสม.จะได้รับเงินค่าป่วยการในอัตราใหม่ 2,000 บาท และตกเบิกย้อนหลังตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – เมษายน 2567 อีก 7,000 บาท รวม 9,000 บาท จากนั้นจะได้รับค่าป่วยการเดือนละ 2,000 บาททุกเดือน

 

สำหรับค่าป่วยการ อสม. มีการปรับขึ้น 4 ครั้งในรอบ 15 ปี ตั้งแต่ปี 2552 ที่เริ่มมีการให้ค่าป่วยการ อสม. ครั้งแรก จากเดิมที่เป็นการทำงานในลักษณะของจิตอาสา เพราะเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยรัฐบาลเวลานั้นเห็นชอบให้มีการจ่ายค่าป่วยการอสม. เดือนละ 600 บาท ปี 2562 เพิ่มค่าป่วยการอสม.เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่เป็น เดือนละ 1,000 บาท ปี 2565 มีการระบาดของโรคโควิด 19 มีการเพิ่มค่าป่วยการ อสม. เป็นกรณีพิเศษระยะเวลา 30 เดือน เดือนละ 500 บาท ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 – กันยายน 2565 รวม 1,500 บาทต่อคนต่อเดือน และล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 เพิ่มค่าป่วยการ อสม. เป็นเดือนละ 2,000 บาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

“วิษณุ” ชี้กรณีศาลตีตก พ.ร.ก.อุ้มหาย ครม.ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะยุบสภาแล้ว

“วิษณุ” ชี้กรณีศาลตีตก พ.ร.ก.อุ้มหาย ครม.ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะยุบสภาแล้ว

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญตีตกร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย (พ.ร.บ.อุ้มหาย) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ว่าหากสภาและรัฐบาลยังอยู่ รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยวิธีลาออก หรือยุบสภา แต่เมื่อตอนนี้ยุบสภาไปแล้ว รัฐบาลสิ้นสุดแล้ว และรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลอยู่รักษาการก็ต้องอยู่ รัฐมนตรีแต่ละคนอาจจะลาออกได้ แต่คณะรัฐมนตรีพ้นไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีรัฐมนตรีที่จะทำงาน เพราะจะตั้งรัฐมนตรีใหม่ก็ตั้งไม่ได้ ฉะนั้น ความรับผิดชอบตรงนี้จบไปพร้อมกับการยุบสภา

ผู้สื่อข่าวถามว่าให้รัฐมนตรีรักษาการลาออกเพื่อให้ปลัดกระทรวงต่างๆ มาทำหน้าที่แทน นายวิษณุกล่าวว่า ทำไม่ได้ ปลัดกระทรวงขึ้นมาใช้อำนาจรัฐมนตรีไม่ได้ เว้นแต่กรณีเดียวที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ซึ่งไม่ใช่เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม 3 เดือนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมการหาอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก่อนที่ศาลจะตัดสิน แม้จะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม และวันนี้ก็มีการเสนอเข้าที่ประชุม ครม.แต่งตั้งคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มา 6-7 คน

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE