Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

65 ปีที่รอคอย รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ คืบ 46% เร็วกว่าแผน เปิดใช้ปี 2571

“65 ปีที่รอคอย” รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงของ คืบ 46% เร็วกว่าแผน หนุนเชียงรายเป็น “ประตูโลจิสติกส์ GMS” เปิดใช้ปี 2571

เชียงราย, 16 พฤศจิกายน 2568 — เสียงเครื่องจักรยังดังสม่ำเสมอเหนือแนวสันเขาและหุบลุ่มแม่น้ำกก ขบวนรถบรรทุกคอนกรีต เหล็กโครงสร้างสลับกันเข้าออกไซต์งาน ในวันที่หลายคนเชื่อว่า “ความฝัน 65 ปี” ของภาคเหนือกำลังจับต้องได้จริง—โครงการรถไฟทางคู่สาย เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ความยาว 323.10 กิโลเมตร งบลงทุน 85,345 ล้านบาท เดินหน้าไปแล้ว 46.112% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2568 เร็วกว่าแผนงานสะสม 0.901 จุดเปอร์เซ็นต์ และ “ล็อกเป้า” เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ใน ปี 2571 เพื่อเชื่อมไทย–ลาว–จีน และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) บนระเบียงเศรษฐกิจเหนือ ใต้ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมกะโปรเจกต์ที่เดินทางยาวนานกว่า 65 ปี

แนวคิดรถไฟไปเชียงรายเริ่มต้นถูกหยิบยกตั้งแต่ พ.ศ. 2503 ผ่านการศึกษาหลายรอบในยุครัฐบาลต่าง ๆ ทว่าติดค้างอยู่บนกระดาษด้วยข้อจำกัดงบประมาณและลำดับความสำคัญโครงสร้างพื้นฐาน จนกระทั่งรัฐเร่งเครื่อง “ลงทุนราง” ภายใต้ยุทธศาสตร์คมนาคมช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โครงการเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของจึงถูก “ปลดล็อก” และเริ่มสัญญาก่อสร้างใน ก.พ. 2565 นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบรางไทยสู่มาตรฐานโลจิสติกส์ภูมิภาค

โครงสร้าง ผังสถานี 4 จังหวัด 26 สถานี แก้จุดตัด 254 จุด ด้วยมาตรฐานสากล

เส้นทางวิ่งจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน ลำปาง–พะเยา สู่ เชียงราย รวม 26 สถานี (สถานีใหญ่ 4, สถานีเล็ก 9, ป้ายหยุดรถ 13) พร้อมงานโครงสร้าง “ผสมผสาน” ทั้งทางยกระดับ ทางลอด อุโมงค์ และสะพาน เพื่อรักษาความเร็ว ความปลอดภัย ‘บนร่อง ใต้ราง ข้ามราง’ ไปพร้อมกัน ที่สำคัญ โครงการนี้ตั้งเป้า แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟ 254 จุด ตลอดแนว ทำให้การเดินรถทำได้ปลอดภัย เร็วขึ้น และลดอุบัติเหตุซ้ำซากในชุมชนชนบท เมืองระหว่างทาง นอกจากนี้ ทุกสถานีออกแบบตามหลัก Universal Design เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ทั้งลิฟต์ ทางลาด พื้นผิวสัมผัส สัญลักษณ์สื่อสารสากลสำหรับผู้สูงอายุ/ผู้ใช้วีลแชร์/ผู้มีข้อจำกัดการมองเห็น การได้ยิน ฯลฯ

เฉพาะ จังหวัดเชียงราย รับระยะทางมากที่สุด ~139.40 กม. พร้อม 11 สถานี ครอบคลุมอำเภอเศรษฐกิจสำคัญ ตั้งแต่ ‘ประตูสู่เมือง’ จนถึง ด่านพรมแดนเชียงของ ที่วางตัวเป็นฮับขนส่งชายแดนสู่ สปป.ลาว–จีน ซึ่งจะเป็นฐานต่อเชื่อมขบวนตู้คอนเทนเนอร์กับลานกองเก็บ บรรทุกตู้ขนาด 150 ไร่ บริเวณ สถานีเชียงของ เพิ่มศักยภาพ “ราง–ถนน–ด่าน” ให้กลายเป็นวงจรโลจิสติกส์ครบห่วงโซ่ในฝั่งเหนือของประเทศ

งานโยธา “วิ่งแซงแผน” และความคืบหน้าอุโมงค์

กราฟความคืบหน้างานโยธาของโครงการในปี 2568 “กระดกขึ้น” ต่อเนื่อง โดยรายงานหลายสำนักระบุภาพรวมถึงสิ้น ต.ค. 2568 แตะ 46.1% เร็วกว่าแผนประมาณ 0.9 จุดเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “หมุดหมาย” ด้านอุโมงค์สำคัญอย่าง อุโมงค์แม่กา ในจังหวัดพะเยา มีรายงานความก้าวหน้าว่า “ทะลุ เดินหน้าเร็วกว่าแผน” ซึ่งหากรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ จะช่วยลดแรงกดดันบนงานประกอบราง–ระบบและสถาปัตยกรรมสถานีช่วงท้ายโครงการได้พอสมควร

เชียงราย  ประตูโลจิสติกส์และโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ของ GMS

เมื่อปลายทาง “จอดที่ชายแดน” ความหมายของรถไฟทางคู่นี้จึงไม่ได้จบแค่การโดยสาร ท่องเที่ยว แต่คือ การวางเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ให้เชียงรายและภาคเหนือ—การบรรทุกตู้สินค้าจากฐานผลิตภาคเหนือ–อีสานตอนบน ข้าม สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–ห้วยทราย) เข้าสู่ สปป.ลาว แล้วเชื่อมต่อ โครงข่ายจีนตอนใต้ และ ระเบียงเศรษฐกิจ GMS ลดต้นทุนโลจิสติกส์–การเสียเวลาด่าน การขนถ่ายซ้ำ โยกน้ำหนักขนส่งจากถนนสู่รางได้อย่างเป็นระบบ และหนุนการลงทุนคลังสินค้า–ดรายพอร์ต–อุตสาหกรรมต่อเนื่องในแนวชายแดนเพิ่มขึ้นในระยะกลาง

ตัวเลขที่ควรรู้

  • จุดรับ–ส่งตู้สินค้า สถานีเชียงของ (150 ไร่)  เพิ่มขีดความสามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ อุปกรณ์ยกขน–ลานพักสินค้า เชื่อม “ราง–ด่าน–ถนน” ได้ต่อเนื่อง
  • เวลาเดินทาง  เมื่อเทียบการเดินทางด้วยรถยนต์ เส้นทางรถไฟใหม่นี้มีการประเมินว่าจะ ประหยัดเวลา ~1–1.5 ชั่วโมง (ขึ้นกับช่วงสถานี–สภาพการจราจร)
  • ความปลอดภัย  การ ยกเลิก/ลดจุดตัด 254 จุด จะลดเหตุข้ามรางผิดกฎหมาย การชนตัดหน้า อุบัติเหตุซ้ำจุดเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
  • Universal Design ครบถ้วน  สนับสนุนเมืองท่องเที่ยว สังคมสูงวัยของเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่สถานีหลักในเมือง–รอบมหาวิทยาลัย–จุดเปลี่ยนถ่ายสำคัญ

รางพานักท่องเที่ยวสู่ภูมิทัศน์เหนือ  ขุนเขา–สะพาน–อุโมงค์

แม้ “โลจิสติกส์” จะเป็นพระเอก แต่ “ท่องเที่ยว” คือผู้เล่นสมทบที่มีพลัง—เส้นทางผ่าน ทิวเขา–สะพาน–อุโมงค์ จำนวนมาก จะสร้างประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่บนรางอำนวยความสะดวกต่อ “นักเดินทางเชิงธรรมชาติ–คาเฟ่–ไร่องุ่น–ไร่ชา–โฮมสเตย์ลุ่มโขง” อันเป็นสินค้าท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเชียงราย–เชียงแสน–เชียงของ ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนแนวเส้นทาง และปั้น “รูทท่องเที่ยวข้ามแดน” ที่ต่อเนื่องกับ หลวงพระบาง–บ่อแก้ว ได้ในอนาคต นี่คือ “รายได้ทางอ้อม” ที่โครงสร้างพื้นฐานมักทิ้งความประทับใจยาวนานกว่าเอกสารเชิงเทคนิคเสมอ (สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ผลักดันท่องเที่ยวคุณภาพ ระยะพำนักยาวขึ้น)

ความท้าทาย  งานระบบ–ทดสอบ–ความพร้อมสถานี และการเชื่อมต่อ “ไมล์สุดท้าย”

แต่เมกะโปรเจกต์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ—ช่วง โค้งสุดท้ายก่อนเปิดใช้ คือบททดสอบจริงของงานระบบ (สัญญาณ อาณัติสัญญาณ ไฟฟ้า สื่อสาร), การทดสอบความปลอดภัยเดินรถ, การซ้อมเดินรถ, และการจัดการ “ไมล์สุดท้าย” ในเมืองใหญ่ เช่น การเชื่อมต่อรถโดยสาร ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสองแถว ระบบขนส่งท้องถิ่น ให้ผู้โดยสาร/แรงงาน/นักท่องเที่ยวถึงปลายทางได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย หากวางผัง ป้าย ลิฟต์  ทางลาด จุดจอดรับ ส่ง ให้ไหลลื่นตั้งแต่วันแรก ความพึงพอใจผู้ใช้จะ “คูณสอง” จากความใหม่ของสถานีและความรวดเร็วของขบวนรถ (แนวปฏิบัติร่วมสมัยของสถานีรถไฟไทยรุ่นใหม่)

เชื่อมเศรษฐกิจ–ชุมชน  รางต้องเติบโตไปพร้อม “เสียงท้องถิ่น”

รถไฟจะคุ้มค่าเมื่อ “ชุมชนใช้จริง” โครงการนี้พาดผ่าน 59 ตำบล 17 อำเภอ ใน 4 จังหวัด—การเยียวยา ชดเชย จัดการผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม (เช่น เสียง ฝุ่น แนวรั้ว ทางข้าม) ที่สอดคล้อง EIA/EIS เป็นเงื่อนไขสำคัญให้ “ความไว้ใจ” อยู่กับโครงการไปจนเปิดใช้ ตัวอย่างการสื่อสารเชิงรุกในบางพื้นที่ เช่น การเผยแพร่สถานะงานอุโมงค์ การประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ—สะท้อนธรรมาภิบาลโครงการที่ดี และช่วยลดข่าวลือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อน (ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคของหลายโครงการในอดีต)

ไทม์ไลน์สู่เป้าหมายปี 2571  สิ่งที่ต้อง “ล็อกให้แน่น”

  1. เร่งปิดงานโครงสร้างหลัก  ทางยกระดับ–ทางลอด–อุโมงค์–สะพาน ให้เสร็จตามกรอบเวลา เพื่อเคลียร์คิวติดตั้งราง–ทางประธาน–รางหลีก–ทางโยก
  2. ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–พลังงาน  วางระบบให้พร้อมสำหรับการทดสอบเดินรถจริง
  3. ทดสอบ–ทวนสอบ–รับรองความปลอดภัย  เชิญหน่วยงานกำกับ/ผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบระบบก่อนเปิดจริง
  4. บริหารความเสี่ยงจุดตัด 254 จุด  ตรวจรับงานกำแพง สะพานลอย ทางลอด รั้วแนวเขตให้ครบ ใช้จริง
  5. ทำแผนบริการผู้โดยสาร–ไมล์สุดท้าย–ค่าโดยสาร–ตารางเดินรถ  สื่อสารล่วงหน้าให้ประชาชน ภาคธุรกิจวางแผนการเดินทาง/ขนส่งได้ตั้งแต่วันแรกเปิดเดินรถ

ประโยคชวนคิด  “1% ที่แซงแผนบนกราฟอาจเป็นเพียงเส้นบาง ๆ แต่สำหรับชุมชนชายแดน มันคือหลายหมื่นชีวิตที่รอรถไฟเทียบท่า—รอให้รางพาพืชผล สินค้า โอกาส ออกสู่โลกกว้างกว่าถนนสองเลน”

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ กำลังเดินหน้า “ตามนาฬิกาโครงการ” และ “เร็วกว่าแผนเล็กน้อย” โดยมีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อ เศรษฐกิจเหนือ–ชายแดน–GMS  ลดเวลาขนส่ง, ลดอุบัติเหตุจุดตัด, ยกระดับการเดินทางมวลชน, ปั้นคลัสเตอร์โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว บริการใหม่ให้เชียงรายและจังหวัดแนวเส้นทาง สิ่งที่ท้าทายคือการ ล็อกคุณภาพงานระบบ ความปลอดภัย ไมล์สุดท้าย ให้พร้อมในปี 2571 ซึ่งหากทำได้ โครงการที่ “รอคอย 65 ปี” จะไม่เพียง เปิดเดินรถ แต่จะ เปิดทางเลือกชีวิต–อาชีพ–โอกาส ให้คนเหนืออย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย เชียงราย เชียงของ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทางลอดใต้ทางรถไฟแบบโค้ง ทางคู่ แห่งแรกของไทย! “เด่นชัย-เชียงของ”

 
เมื่อวันที่12 มีนาคม 2567  รฟท.เปิดภาพทางลอดใต้ทางรถไฟแบบโค้งแห่งแรกของไทย ไซต์ก่อสร้างทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นรูปแบบใหม่นวัตกรรมจากสวิตเซอร์แลนด์ ก่อสร้างง่าย ประหยัด ประชาชนสัญจรสะดวก เผยตลอดเส้นทางมี 37 แห่ง เผยภาพรวมก่อสร้างตามแผน เปิดบริการในปี 71
 
 
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ตามที่ รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งเน้นการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายขีดความสามารถการคมนาคมขนส่งของประเทศให้มีศักยภาพก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางราง การอำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ผู้โดยสารให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟทางสายใหม่ให้เสร็จตามแผนที่กำหนด
 
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟฯ ได้มีการขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างระบบรางให้เดินหน้าเป็นไปตามแผนงาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟสายใหม่ โครงการรถไฟความเร็วสูง พร้อมกับมุ่งนำนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการก่อสร้างให้เกิดความคุ้มค่า รวดเร็ว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
 
 
ในการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 72,835 ล้านบาท ซึ่งการรถไฟฯ ได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาใช้ก่อสร้างทางลอดใต้ทางรถไฟ แบบโค้ง (Railway Arch culvert) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่แห่งแรกในไทยที่มีลักษณะเป็นคอนกรีตหล่อเสริมเหล็กแบบสำเร็จรูปจากโรงงาน สามารถยกไปประกอบติดตั้งได้ง่าย ช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าร้อยละ 20-25 อีกทั้งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ซีเมนต์ และเพิ่มความสูงและความกว้างของทางลอด (Clearance) ซึ่งประชาชนสามารถสัญจรได้สะดวกมากกว่าการทำทางลอดใต้ทางรถไฟแบบเดิมอีกด้วย
 
 
สำหรับทางลอดใต้ทางรถไฟรูปแบบโค้งดังกล่าวได้สร้างขึ้นแห่งแรกในพื้นที่ตำบลปงป่าหวาย อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ซึ่งอยู่ในสัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว มีระยะช่วงสะพาน 16.5 เมตร ความยาว 33.5 เมตร มีความสูง 4.2 เมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างคาดจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการสร้างเสร็จ จากนั้นจะมีการสร้างทางลอดใต้ทางรถไฟแบบเดียวกัน ตลอดเส้นทางโครงการฯ ไม่น้อยกว่า 37 แห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว จำนวน 21 แห่ง สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย จำนวน 8 แห่ง และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ อีก 8 แห่ง ขณะเดียวกัน การรถไฟฯ ยังได้พิจารณานำรูปแบบการสร้างทางลอดดังกล่าวไปปรับใช้กับการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ในเส้นทางอื่นๆ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าทางการลงทุนเป็นอย่างมาก
 
 

ส่วนความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ล่าสุดมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีรายละเอียด ดังนี้

– สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103.7 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 26,560 ล้านบาท มีกิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์ ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้าง ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 6.499 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 3.443

– สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 132.3 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 26,890 ล้านบาท มีกิจการร่วมค้าซีเคเอสที-ดีซี 2 ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บุรีรัมย์พนาสิทธิ์ จำกัด เป็นผู้รับจ้าง ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 7.766 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 0.014

– สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87.1 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 19,385 ล้านบาท มีกิจการร่วมค้าซีเคเอสที-ดีซี 3 ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้รับจ้าง ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 5.548 ช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 2.913

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คาดจะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดใช้บริการได้ในปี 2571 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางให้แก่ผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า สามารถลดระยะเวลาเดินทางเมื่อเทียบกับรถยนต์ได้กว่า 1-1.30 ชม. อีกทั้งยังช่วยเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ กับอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟของ สปป.ลาว ที่มุ่งตรงสู่เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีนได้อีกด้วย ที่สำคัญยังมีทางขนถ่ายสินค้าออกสู่ทะเลทางท่าเรือแหลมฉบัง รองรับนโยบายการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย (SEZ)

 
 

สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย โดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ มุ่งไปทางทิศเหนือผ่านพื้นที่ 59 ตำบล 17 อำเภอ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ ลำปาง พะเยา และสิ้นสุดที่ด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีสถานีและป้ายหยุดรถทั้งสิ้น 26 แห่ง ประกอบด้วย สถานีขนาดใหญ่ 4 แห่ง สถานีขนาดเล็ก 9 แห่ง ป้ายหยุดรถ 13 แห่ง และมีย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า บรรทุกตู้สินค้า 1 แห่ง ที่สถานีเชียงของ บนพื้นที่ 150 ไร่ พร้อมแนวถนนเชื่อมต่อไปยังชายแดนเชียงของ

 

โครงการนี้ได้มีการออกแบบให้มีรั้วกั้นตลอดแนวเส้นทางรถไฟ ไม่มีจุดตัดทางถนนโดยทำสะพานรถยนต์ข้ามและลอดทางรถไฟ (Overpass / Underpass) รวมถึงสะพานลอยสำหรับทางเท้า และทางรถจักรยานยนต์ รวม 254 จุด ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางผ่านเสมอระดับ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งของนายปิยะพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งสามารถรักษาระดับความเร็วของขบวนรถไฟให้คงที่ มีความปลอดภัย และมีอุโมงค์ทางคู่ตามแนวเส้นทางที่พาดผ่านพื้นที่ภูเขาอีก 4 แห่ง

 

ประกอบด้วย 1. อุโมงค์สอง จังหวัดแพร่ ความยาว 1.2 กิโลเมตร 2. อุโมงค์งาว จังหวัดลำปาง ความยาว 6.2 กิโลเมตร 3. อุโมงค์แม่กา จังหวัดพะเยา ความยาว 2.7 กิโลเมตร 4. อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ความยาว 3.4 กิโลเมตร รวมระยะทาง 13.5 กิโลเมตร โดยอุโมงค์งาวเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

 

ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จ รถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จะเป็นเส้นทางรถไฟที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีก่อสร้างอันทันสมัย มีทิวทัศน์รอบข้างสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมของไทยให้สมบูรณ์ นำพาให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคม และโลจิสติกส์ของอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ทุเรียนแชมป์ส่งออกรถไฟเร็วสูงจีน – สปป.ลาว ลดเวลาขนส่งเหลือ 15 ชั่วโมง

 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน – สปป.ลาว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2566 มี มูลค่ารวม 2,848.41 ล้านบาท ขยายตัวกว่าร้อยละ 260 จากปี 2565 โดยผลไม้ไทยได้รับความนิยมในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งการใช้รถไฟจีน-ลาว สามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่ง จากที่เคยใช้เวลาผ่านถนนเส้นทาง R3A ประมาณ 2 วัน เหลือใช้เวลาบนรถไฟไม่เกิน 15 ชั่วโมง ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งของภูมิภาคในอนาคต
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่า 10 อันดับแรกของสินค้าที่ส่งออกทางด่านหนองคายผ่านแดน สปป.ลาว ไปจีนมีมูลค่าการส่งออกและขยายตัวสูงที่สุด ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ได้แก่ 1) ทุเรียนสด อยู่ที่ 2,073.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 364 เมื่อเทียบกับช่วงกันของปี 2565 2) มังคุดสด 378.65 ล้านบาท 3) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 315.21 ล้านบาท 4) ลำไยสด 37.40 ล้านบาท 5) สินค้าแร่ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ 17.89 ล้านบาท 6) สับปะรดแปรรูป 11.43 ล้านบาท 7) ส้มโอสด 2.99 ล้านบาท 8) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 2.72 ล้านบาท 9) มะม่วงสด 1.79 ล้านบาท และ 10) ผลไม้อื่น ๆ 1.52 ล้านบาท ตามลำดับ 
 
ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ – หนองคาย) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค สำหรับระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ – นครราชสีมา) มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพระบบคมนาคมขนส่งทางรางของไทย เชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้าไปตลาดจีนได้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลาการขนส่งน้อยลง และยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี ในการส่งออกสินค้าไปจีนได้อีกด้วย
 
“รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางราง ซึ่งเป็นการขนส่งที่สามารถลดต้นทุน เวลา และค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ส่งออกไทย พร้อมเชื่อมั่นว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างครอบคลุมตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการ จะมีส่วนสำคัญ ส่งต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคได้” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News