
รัฐบาลอังกฤษถูกกดดันให้เร่งกำหนดวันแบน “แผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติก” หลังพบสร้างเกาะขยะ-กระทบระบบนิเวศในแม่น้ำเทมส์
เริ่มต้นที่ปัญหาเล็กน้อย กลายเป็นผลกระทบระดับระบบนิเวศ
ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์มลภาวะทางน้ำในประเทศอังกฤษกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อองค์กรการกุศลด้านสิ่งแวดล้อม Thames21 ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษเร่งกำหนดวันชัดเจนในการแบนแผ่นเช็ดทำความสะอาด (wet wipes) ที่มีส่วนประกอบของพลาสติก หลังพบว่าขยะประเภทนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่มลพิษในแม่น้ำ แต่กำลังเปลี่ยนรูปร่างของแม่น้ำเทมส์ และส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตน้ำและคุณภาพของแหล่งน้ำ
แม้รัฐบาลก่อนหน้านี้จะเคยประกาศแผนการแบนแผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติกเมื่อปีที่แล้ว แต่กระบวนการดำเนินการกลับหยุดชะงักภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป ทำให้ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
แผ่นเช็ดเปียก ขยะที่ดูไร้พิษภัย แต่ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาล
แผ่นเช็ดเปียกหรือ “wet wipes” ที่มีส่วนผสมของพลาสติกไมโครไฟเบอร์ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก ทำความสะอาดผิว และฆ่าเชื้อโรค แต่หลายคนยังคงทิ้งแผ่นเช็ดเหล่านี้ลงชักโครกโดยเข้าใจผิดว่า “ย่อยสลายได้” จากคำว่า “flushable” บนฉลาก
ลิซ กีเยกเย (Liz Gyekye) ตัวแทนจาก Thames21 ระบุว่า แผ่นเช็ดเปียกที่ถูกชักโครกลงในระบบท่อน้ำ จะเข้าไปรวมกับน้ำเสีย เมื่อเกิดฝนตกหนักและระบบระบายน้ำล้น สิ่งปฏิกูลเหล่านี้จะถูกระบายลงสู่แม่น้ำโดยตรง ทำให้แผ่นเช็ดเปียกเหล่านี้ตกตะกอนรวมกันจนเกิดเป็น “เกาะขยะเทียม” ซึ่งไม่เพียงแต่บดบังลำน้ำ แต่ยังถูกสัตว์น้ำกินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เป็นการนำไมโครพลาสติกเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
แผ่นเช็ดเปียกกำลังเปลี่ยนรูปร่างของแม่น้ำเทมส์
ข้อมูลจาก Thames21 ระบุว่า แผ่นเช็ดเปียกไม่ได้เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำหรือคุณภาพน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะสมในปริมาณมากจนส่งผลต่อภูมิประเทศของแม่น้ำเทมส์ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านกรุงลอนดอน
“มันเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจอย่างยิ่ง” – ยานิส บรูซ-แบรนด์ (Janice Bruce-Brande) อาสาสมัครที่ทำงานสำรวจแม่น้ำเทมส์กล่าว พร้อมระบุว่า “แม้การสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ใหม่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ แต่ปัญหาจะไม่มีวันหมดไปหากยังมีการผลิตและใช้งานแผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติก”
ข้อเรียกร้องเร่งด่วนจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
Thames21 จึงเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ของอังกฤษดำเนินการทันทีต่อแผนการแบนพลาสติกในแผ่นเช็ดเปียก โดยกำหนด “วันที่แน่นอน” สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย โดยระบุว่า “ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน”
ทางด้านกรมสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบทของสหราชอาณาจักร (Defra) ได้ออกแถลงการณ์ตอบกลับว่า “แผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติกอุดตันท่อระบายน้ำ ทำลายระบบทางน้ำ และส่งผลต่อสัตว์ป่าอันมีค่าของเรา นั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลจะทำการแบนผลิตภัณฑ์นี้”
กฎหมายสิ่งแวดล้อมใหม่ของอังกฤษ การเปลี่ยนแปลงที่อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของโลก
ในช่วงปีที่ผ่านมา อังกฤษได้ผ่านร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ที่มีบทลงโทษรุนแรงขึ้น เช่น การจำคุก 2 ปีสำหรับผู้บริหารองค์กรที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ และการยกเลิกโบนัสผู้บริหารของบริษัทที่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่เป็นธรรม
ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ยังได้รวมแผนเร่งรัดในการทำความสะอาดแม่น้ำและลำน้ำทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงมาตรการห้ามการใช้พลาสติกในผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น และการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการของเสียที่ยั่งยืน
ข้อเสนอเชิงนโยบาย แก้ไขปัญหาที่รากฐาน
- ห้ามใช้คำว่า “flushable” บนผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถย่อยสลายในน้ำทะเลได้จริง
- ส่งเสริมการผลิตแผ่นเช็ดเปียกจากเส้นใยธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ 100%
- รณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคในการทิ้งขยะอย่างถูกต้อง โดยยึดหลัก “3Ps”: pee, poo, paper
- ตั้งระบบมาตรฐานกลาง (certification) สำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปลอดพลาสติก
เกรซ รอนส์ลีย์ (Grace Rawnsley) ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืนของการท่าเรือลอนดอน (Port of London Authority) ระบุว่า “การห้ามใช้พลาสติกในแผ่นเช็ดเปียกเป็นกุญแจสำคัญสู่แม่น้ำที่สะอาด”
ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง
- จากรายงานของ Thames21 ปี 2567 ระบุว่า พบแผ่นเช็ดเปียกมากกว่า 30,000 ชิ้น บนพื้นที่ชายฝั่งแม่น้ำเทมส์เพียงในช่วงครึ่งปีแรก
- องค์การอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งอังกฤษระบุว่า แผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติกเป็นส่วนผสม สร้างขยะในระบบระบายน้ำมากกว่า 93 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ ในสหราชอาณาจักร
- รัฐบาลอังกฤษประเมินว่าค่าใช้จ่ายในการล้างระบบท่อระบายน้ำจากแผ่นเช็ดเปียกและขยะที่เกี่ยวข้องสูงถึง 100 ล้านปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท
- กรมสิ่งแวดล้อมและชนบทอังกฤษเผยว่า การห้ามผลิตและขายแผ่นเช็ดเปียกพลาสติกจะช่วยลดขยะในแม่น้ำลงได้มากกว่า 75% ภายใน 3 ปี
บทสรุปเชิงวิเคราะห์
แม้แผ่นเช็ดเปียกจะดูเป็นผลิตภัณฑ์พื้นฐานในครัวเรือน แต่กลับส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมหากไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม การผลักดันกฎหมายให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดจึงถือเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
ตัวอย่างของอังกฤษอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย เริ่มทบทวนมาตรการจัดการผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของพลาสติกในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้ “สิ่งเล็กน้อย” กลายเป็น “วิกฤตใหญ่ระดับแม่น้ำ”
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- Thames21, Defra
- Port of London Authority
- UK Parliament Environmental Audit Committee
- BBC