Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ภาษา-อักษรตั๋วเมืองสิ้นลม

เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ล้านนาและครูภาษา-อักษรตั๋วเมือง สิ้นลมหายใจวัย 84 ปี—ทิ้งมรดกความรู้ที่กลั่นจากใบลานสู่ฟอนต์ดิจิทัล

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่กลางฤดูฝน เมืองเชียงรายเงียบขรึมเป็นพิเศษ ข่าวการจากไปของ “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ทางภาษา วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ยวน-ล้านนา แพร่ไปตามสายลมและโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนจำภาพชายสูงวัยผู้มีแววตาอ่อนโยนที่นั่งสอน “อักษรธรรมล้านนา” หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากว่า “ตั๋วเมือง” อยู่ริมเสาศาลาการเปรียญได้เสมอ วันนี้สรีรสังขารของท่านถูกตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 20–21 สิงหาคม 2568 และกำหนดฌาปนกิจในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม โดยมีลูกศิษย์ ญาติมิตร และคนรักภาษา-วัฒนธรรมทะยอยมาร่วมแสดงความอาลัยไม่ขาดสาย (สำเนียงและสถานที่วัดตรงกับฐานข้อมูลวัดในพื้นที่เชียงราย)

จากเด็กชายริมกกสู่ครูผู้ “อ่านออก-เขียนได้” ในภาษาแห่งแผ่นดินเหนือ

พ่อครูชรินทร์เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ที่บ้านสันต้นเปา ตำบลรอบเวียง เมืองเชียงราย เป็นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้องหกคน เติบใหญ่ในสังคมที่ “คำเมือง” เป็นภาษาชีวิต จากประถมที่เชียงรายวิทยาคมถึงมัธยมที่สามัคคีวิทยาคม เขาหลงใหลตัวหนังสือ บันทึก และเรื่องเล่าของบ้านเมือง ทศวรรษ 2490 ปลาย ๆ คือจุดพลิกผัน เมื่อท่านเริ่ม “เรียนตั๋วเมือง” อย่างเป็นระบบกับพระเถระนักปราชญ์—กรอบความรู้ที่ตามมาคือการปริวรรต (อ่าน-ถอด) จารึกใบลาน พับสา ตำนาน และธรรมคัมภีร์ เพื่อให้วิชาความรู้ในวัดออกมาหายใจนอกกำแพงวัด

ความรักในการ “แปลงลายมือโบราณเป็นภาษาอ่านได้” พาเขาเดินยาวกว่าครึ่งศตวรรษ—จากห้องสมุดวัด ไปถึงโรงพิมพ์ท้องถิ่น และโต๊ะเรียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานเบื้องหลังที่สังคมไม่ค่อยเห็น แต่ผลงานกลับฝังอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเมืองเหนือ: หนังสือ ใบประกาศ วารสาร และฟอนต์ตัวอักษรที่ทำให้ “ตั๋วเมือง” ปรากฏบนจอคอมพ์และป้ายวัดอย่างสง่างาม (หลักฐานชี้ว่า พ่อครูร่วมบรรณาธิการนิตยสาร ไชยนารายณ์” และมีส่วนในการออกแบบฟอนต์ล้านนาที่ใช้แพร่หลายในเชียงรายและภาคเหนือ)

ตัวเลขที่ชวนคิด: ในคลังคัมภีร์ล้านนาที่กระจัดกระจายตามวัด ชุมชน และครอบครัว มี ใบลาน-พับสา นับไม่ถ้วนที่บันทึกยา อาชีพ พิธีกรรม ตลอดจนพงศาวดารพื้นถิ่น งาน “อ่าน-ถอด–เรียบเรียง” คือสะพานเชื่อมภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่—และพ่อครูคือหนึ่งใน “ช่างต่อสะพาน” คนสำคัญ

ภาษามีชีวิตถ้ามีคนอ่าน” — ครูอาสาผู้คืนลมหายใจให้ตั๋วเมือง

ภาพจำของผู้พบพ่อครูครั้งแรก คือท่านนั่งล้อมวงกับเยาวชนและคนทำงาน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เปิดตำรา “ตั๋วเมือง” เรียนรู้พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และหลักการสะกดแบบล้านนา พร้อมเล่าที่มาของอักษรธรรมว่ามีสายสัมพันธ์กับมอญ-ขอม และวัฒนธรรมพุทธในลุ่มน้ำโขง หลายปีที่ผ่านมา วัดสำคัญในเชียงใหม่-เชียงราย อาทิ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร และเครือข่ายคณะครูภูมิปัญญา ได้เปิดพื้นท่ีเรียน-สาธิตอักษรล้านนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงขับเคลื่อนภาคสังคมที่ “เอาจริง” กับภาษาท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้เหลือเพียงของตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ (มีแหล่งอ้างอิงโครงการและการขับเคลื่อนด้านภาษาล้านนาผ่านสื่อท้องถิ่นและหน่วยงานการศึกษาในเชียงใหม่)

เบื้องหลังแรงบันดาลใจนั้น มี “วิทยานิพนธ์ของชีวิต” ที่พ่อครูกล่าวซ้ำบ่อย ๆ ในห้องเรียน: การอ่านอักษรธรรมคือการเข้าใจภูมิปัญญาบรรพชน—เพราะทุกพับสาไม่ได้เก็บแค่ตัวอักษร แต่เก็บ “วิธีอยู่ร่วมกัน” ของชุมชน เมื่อเปิดอ่านจึงไม่เพียงได้คำศัพท์ใหม่ หากยังได้ “คุณค่า” ที่ต้องการคนรุ่นใหม่สานต่อ

จากใบลานสู่จอ เมื่อภูมิปัญญาเก่าพบเทคโนโลยีใหม่

อักษรธรรมล้านนา (หรือ Lān Nā Tham) มีฐานรากภูมิความรู้จากสุโขทัย-ล้านนาและเครือข่ายพุทธศาสนาลุ่มน้ำโขง การสืบค้นของนักวิชาการไทยชี้ชัดว่า อักษรธรรมล้านนาเป็น “ตระกูลอักษรพี่น้อง” กับมอญ-ขอมซึ่งรับอิทธิพลสันสกฤต-บาลี และถูกใช้กว้างขวางในคัมภีร์ธรรม ใบลาน พิธีกรรม และเอกสารราชการหัวเมืองเหนือในอดีต ก่อนจะค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงเมื่อเข้าสู่สมัยใหม่ แต่ยังคงบทบาทในวัดและชุมชนจนถึงปัจจุบัน

ในศตวรรษที่ 21 “การยกระดับจากดินสอ-พู่กันสู่ฟอนต์” กลายเป็นโจทย์ใหม่ของคนทำงานภาษาถิ่น พ่อครูชรินทร์เป็นหนึ่งในผู้จุดประกายให้ตั๋วเมือง “ขึ้นจอ” เขามีบทบาททั้ง บรรณาธิการ และ นักออกแบบฟอนต์ ที่ทำให้อักษรล้านนาวิ่งได้ในโรงพิมพ์—เป็นงานเงียบแต่ทรงพลัง ซึ่งมีการบันทึกอ้างอิงโดยนักวิชาการภาษาและจารึกวัฒนธรรมในเชียงใหม่-เชียงรายมาต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่เชียงราย ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นกำลัง “หายใจ” ทั่วประเทศ

เรื่องของพ่อครูชรินทร์พาเรามองกว้างกว่าเชียงราย ภูมิทัศน์ภาษาไทยเต็มไปด้วย “ภาษาแม่” นับสิบ—เหนือ อีสาน ใต้ มลายู ฯลฯ ชุมชนหลากหลายกำลังขยับ “คืนชีวิต” ให้ภาษาตนเอง เช่น ชุมชน บ้านปลาค้าว เมืองอำนาจเจริญ ที่ยกระดับหมอลำของชาวภูไทเป็นทุนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมถ่ายทอดทักษะให้เยาวชนเป็น “หมอลำน้อย” สืบสานเสียงแคน–เสียงขับร้องให้คงอยู่ในตลาดร่วมสมัย

ขณะเดียวกัน ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ หนังตะลุง” กลับมามีผู้ติดตามรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะผลงานของ “น้องเดียว บัญญัติ สุวรรณแว่นทอง” นายหนังผู้พิการทางสายตาที่ใช้ภาษาถิ่นใต้ได้อย่างแพรวพราว จัดวาทศิลป์ให้ร่วมสมัยจนเข้าถึงคนทั้งประเทศ—และไม่ใช่เพียงกระแสโซเชียล งานของเขาถูกมองว่าเป็นการอนุรักษ์ภาษา-การแสดงให้ “อยู่ได้จริง” ในเศรษฐกิจปัจจุบัน รัฐบาลยังยกย่องในระดับชาติผ่านโครงการ ค่าของแผ่นดิน” ซึ่ง พ่อครูชรินทร์ และ น้องเดียว เคยได้รับเกียรติยศร่วมกันด้วย (ตามประกาศ/เอกสารโครงการจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

คำถามชวนคิด: เมื่อคนทำงานภาษาถิ่นได้รับการยกย่องระดับชาติแล้ว เราจะต่อยอด “เกียรติยศ” ให้กลายเป็น “ระบบนิเวศ” ที่คนทำงานอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยไม่ทิ้งรากเหง้า ความถูกต้องตามหลักภาษา และศักดิ์ศรีของชุมชน?

ข่าวดีท่ามกลางความเศร้ามรดกที่จับต้องได้และทางเลือกเชิงนโยบาย

แม้การจากไปของพ่อครูจะเป็นความสูญเสีย แต่สังคมยังมีทรัพยากรจับต้องได้ที่เขาทิ้งไว้—ต้นฉบับที่ปริวรรตแล้ว, วารสารท้องถิ่น, ฟอนต์ล้านนา, เครือข่ายลูกศิษย์—ซึ่งล้วนเป็นฐานต่อยอดเชิงนโยบายและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ในทันที ทำให้เข้าถึงได้จริง มหาวิทยาลัยและหน่วยงานท้องถิ่นควรร่วมกันจัดทำฐานข้อมูล “พับสา-ใบลานปริวรรต” แบบเปิด (open access) พร้อมคู่มืออ่าน-เขียนตั๋วเมืองสำหรับครูและนักเรียน โดยยึดหลักวิชาการของสถาบันชั้นนำที่ศึกษาประวัติและโครงสร้างอักษรธรรมล้านนาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อคงความถูกต้องทางภาษาไปพร้อมการขยายฐานผู้ใช้  ลงทุนใน “การผลิตครูรุ่นใหม่” สร้างทุนฝึกอบรมครูอาสาและผู้ปริวรรตหน้าใหม่ ร่วมมือกับวัด-ชุมชนในเครือข่าย (เช่น วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ และวัดสำคัญในเชียงราย) เพื่อให้เกิด “ชั้นเรียนเล็ก ๆ” หลายจุด ไม่กระจุกอยู่แห่งเดียว ลดอุปสรรคด้านการเดินทางและค่าใช้จ่าย (มีข้อมูลสนับสนุนบทบาทหน่วยงานท้องถิ่นและสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาแล้ว) เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฟอนต์-ลวดลายอักษรล้านนาสามารถกลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ทั้งในงานพิมพ์ ป้าย สื่อท่องเที่ยว ของที่ระลึก และสื่อดิจิทัล—ในกรอบที่คุ้มครองสิทธิ์ชุมชนและเคารพที่มา เทศบาล-อปท. สามารถตั้ง “กองทุนนวัตกรรมภาษา-วัฒนธรรม” เล็ก ๆ หนุนคนทำงานทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่

สื่อสารให้คนทั้งประเทศเห็นคุณค่า ใช้กรณีบ้านปลาค้าวและหนังตะลุงเป็นตัวอย่างว่า ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้ขัดกับความร่วมสมัย หาก “ออกแบบประสบการณ์” และ “เล่าเรื่อง” เป็น ก็อยู่รอดในตลาดได้—สิ่งที่ต้องทำคือขยายโอกาส แทนที่จะจำกัดให้เป็นเพียง “กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์”

ภาษา-อักษรคือความทรงจำร่วม” — บทไว้อาลัยในเชิงประวัติศาสตร์

ในมุมมองเชิงอารยธรรม นักโบราณคดีมักย้อนไปหา “จุดกำเนิดการเขียน” เพื่อทำความเข้าใจว่ามนุษย์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อย่างไร หลักฐานสำคัญชุดหนึ่งคือ สัญลักษณ์เจี่ยหู (Jiahu symbols) จากจีน ที่มีอายุราว 6,600–6,200 ปีก่อนคริสตกาล (มากกว่า 8,000 ปีมาแล้ว) แม้ยังถกเถียงกันว่าจัดเป็น “ตัวอักษร” เต็มรูปแบบหรือเป็น “ก่อนอักษร (proto-writing)” แต่ข้อค้นพบเหล่านี้เตือนใจเราว่า การบันทึกคือแกนกลางของความทรงจำร่วมของสังคม—และทุกชุมชนย่อมมี “ตัวหนังสือของตนเอง” ให้กลับไปหาและโอบอุ้มไว้

ล้านนาเองก็เช่นนั้น—ตั๋วเมือง คือเครื่องมือเก็บรักษาความทรงจำจากวัดสู่ชุมชน จากคัมภีร์สู่ครัวเรือน จากตำรายา สู่ตำนานสร้างบ้านแปงเมือง ความทรงจำเหล่านี้จะยังคงอยู่ก็ต่อเมื่อมีคนอ่าน มีคนเขียน มีคนพิมพ์ และมีคนสอน—บทบาทที่พ่อครูชรินทร์ทำมาตลอดชีวิตโดยไม่ดังเอิกเกริก และเป็นบทบาทที่สังคมต้องช่วยกันสืบทอดต่อไป

เสียงสะท้อนจากคนทำงานวัฒนธรรม“จะสานต่ออย่างไรให้ยั่งยืน?”

ผู้ประสานงานเครือข่ายภาษาท้องถิ่นในเชียงรายคนหนึ่งสะท้อนว่า สิ่งท้าทายที่สุดไม่ใช่การหาผู้เรียน แต่คือการทำให้ “คนสอนอยู่ได้” และสร้างเข็มทิศเดียวกันเรื่องมาตรฐานการปริวรรต—โจทย์นี้ต้องพึ่ง ความร่วมมือพหุภาคี ระหว่างวัด ชุมชน อปท. มหาวิทยาลัย และสื่อท้องถิ่น เพื่อให้ภาษาท้องถิ่น “อยู่ในการใช้จริง” ไม่ใช่แค่บนเวทีประกวด

ในระดับประเทศ โครงการ ค่าของแผ่นดิน” ของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า “การยกย่อง” สามารถยกระดับความรับรู้สาธารณะได้มาก แต่การต่อยอดต้องตามมาด้วยเครื่องมือด้านงบประมาณ เวทีเผยแพร่ และกลไกตลาด—เช่น กิจกรรมวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวที่เคารพรากเหง้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชน ตลอดจนหลักสูตรในโรงเรียนท้องถิ่นที่พาเด็กกลับไปอ่านใบลานในวัดบ้านตนเองด้วยความภาคภูมิใจ (กรอบโครงการและสาระจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

จากไฟในตา “พ่อครู” สู่เปลวเทียนในมือเรา

งานศพของพ่อครูชรินทร์ไม่ใช่จุด full stop ของเรื่อง หากเป็น “จุลภาค” ที่ชวนเราอ่านต่อ—อ่านใบลาน อ่านพับสา อ่านฟอนต์ล้านนาในป้ายวัด อ่านเสียงลำของภูไท อ่านกลอนสดของนายหนังใต้ แล้วกลับมาถามตัวเองว่า เราจะช่วยให้ภาษา-อักษรของบ้านเรา “อยู่รอดและงอกงาม” ได้อย่างไร

ในวันที่เปลวเทียนหน้าโกศค่อย ๆ ละลาย เราอาจนึกถึงประโยคสั้น ๆ ที่ครูมักย้ำกับศิษย์: อักษรไม่เคยตาย ถ้ายังมีคนอ่าน” วันนี้ ถึงคราวที่เราทุกคน—ทั้งรัฐ เอกชน ชุมชน และมหาวิทยาลัย—จะจับมือกันอ่านต่อให้ดังขึ้น ยาวขึ้น และไกลขึ้น

ประวัติย่อ (โดยสังเขป)

  • ชื่อ–สกุล: ชรินทร์ แจ่มจิตต์
  • เกิด: 27 มิถุนายน 2484 อ.เมือง จ.เชียงราย
  • บทบาทเด่น: ปราชญ์อักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง), ครูอาสาสมัครสอนอ่าน–เขียน, บรรณาธิการ ไชยนารายณ์, ผู้บุกเบิกงานฟอนต์ล้านนาเพื่อการพิมพ์
  • สถานที่บำเพ็ญกุศล : วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) จ.เชียงราย วันที่ 22 สิงหาคม 2568
  • อายุ: 84 ปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อาจารย์อโศก ศรีสุวรรณ นักปราชญ์และนักวิชาการด้านภาษาล้านนา
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • บทความจากโครงการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาล้านนา มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย
  •  หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน เผยแพร่ วันที่ 21 มิถุนายน 2562
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ไทยผงาด! มรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 เอเชีย: โอกาสของซอฟต์พาวเวอร์ในเชียงราย

ซอฟต์พาวเวอร์พลิกโฉม! ไทยมรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 โลก ยกระดับชีวิตคนเชียงราย

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดในเอเชีย จากรายงานของ U.S. News & World Report ประจำปี 2024 การประกาศนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวเชียงรายและชุมชนใกล้เคียงให้ดีขึ้นได้อย่างไร? ในขณะที่โลกกำลังมองหา “ซอฟต์พาวเวอร์” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่อย่างเชียงรายที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมชนเผ่า วัดวาอารามโบราณ และธรรมชาติอันงดงาม กำลังยืนอยู่บนเวทีที่พร้อมจะผงาดขึ้น แต่คำถามที่ชวนสงสัยคือ โอกาสนี้จะนำพาประโยชน์อะไรมาสู่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนในพื้นที่ภาคเหนือที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความผันผวนของการท่องเที่ยวและการเกษตร

การจัดอันดับและนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ก่อนอื่น เรามาดูข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐานของเรื่องนี้กัน รายงาน Best Countries Rankings ประจำปี 2024 จาก U.S. News & World Report ซึ่งเป็นองค์กรสื่อชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 89 ประเทศที่ได้รับการประเมิน การจัดอันดับนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 17,000 คนทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์ 5 ประการที่ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (culturally accessible), ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (has a rich history), อาหารยอดเยี่ยม (has great food), สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย (many cultural attractions) และความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (many geographic attractions)

จากรายงาน ประเทศไทยทำคะแนนโดดเด่นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงวัดวาอาราม โบราณสถาน และเทศกาลประเพณีที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การนวดแผนไทย อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก และหาดทรายขาวกับภูเขาที่งดงาม ทำให้ไทยแซงหน้าประเทศอย่างอินเดีย (อันดับ 2 ในเอเชีย), ญี่ปุ่น (อันดับ 3), จีน (อันดับ 4), อินโดนีเซีย (อันดับ 5), เวียดนาม (อันดับ 6), มาเลเซีย (อันดับ 7), เกาหลีใต้ (อันดับ 8), สิงคโปร์ (อันดับ 9) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 10) ในภูมิภาคเอเชีย

รายงานยังระบุว่า แม้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของไทยจะคิดเป็นเพียง 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2024 แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลก โดยในปี 2024 มีนักท่องเที่ยวกว่า 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 43.8% จากปีก่อนหน้า และสร้างรายได้กว่า 42.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ตามข้อมูลจาก World Travel & Tourism Council (WTTC) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยไม่เพียงแต่เป็นมรดก แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19

ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA

ในส่วนของนโยบายภาครัฐ รัฐบาลไทยได้ตอบสนองต่อการจัดอันดับนี้อย่างรวดเร็ว โดยผ่านหน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency หรือ THACCA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2023 เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA ทำงานร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ต้นน้ำ: การพัฒนาทักษะคนไทย – นโยบาย “หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)” มุ่งสกิล (up-skill) และรีสกิล (re-skill) คนไทย โดยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การอบรมช่างฝีมือท้องถิ่นในเชียงรายให้ใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งขายผลิตภัณฑ์หัตถกรรมออนไลน์ ในปี 2024 มีการจัดอบรมกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คนในปี 2025
  2. กลางน้ำ: การพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ – รัฐบาลมุ่งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและออกกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุน 14 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี มวยไทย และการท่องเที่ยว โดย THACCA ได้จัดงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2024 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งรวบรวมผู้ประกอบการจาก 11 อุตสาหกรรม เพื่อแสดงศักยภาพวัฒนธรรมไทย และวางแผนขยายไปยังงานใหญ่ในปี 2025 ที่จะจัดระหว่าง 8-11 กรกฎาคม
  3. ปลายน้ำ: การผลักดันสู่เวทีโลก – ใช้ “การทูตทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Cultural Diplomacy)” เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น การส่งออกภาพยนตร์ไทย ซีรีส์ และอาหารไปยังตลาดเอเชียและยุโรป ในปี 2024 THACCA ได้ลงทุนกว่า 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 240 ล้านบาท) ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน เพื่อส่งเสริมการส่งออก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายให้ซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่ม GDP จากภาคสร้างสรรค์ให้ถึง 15% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันที่อยู่ราว 7-8% ตามข้อมูลจาก Brand Finance’s Global Soft Power Index 2024 ซึ่งจัดอันดับไทยเป็นอันดับ 1 ในเอเชียด้านวัฒนธรรมเช่นกัน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน โดยเฉพาะในเชียงราย

นโยบายซอฟต์พาวเวอร์จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยเน้นผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงที่อาศัยพึ่งพาการเกษตร การท่องเที่ยว และหัตถกรรมการครองอันดับ 1 ในเอเชียด้านมรดกวัฒนธรรมอาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คำถามชวนคิดคือ หากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 20-30% ในปี 2025 ตามที่ WTTC คาดการณ์ ชุมชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์อย่างไร? จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท โดย 40% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรม เช่น การเยี่ยมชมวัดร่องขุ่น ดอยตุง และหมู่บ้านชนเผ่า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ผ่าน THACCA อาจทำให้รายได้จากภาคนี้เพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะหากรัฐบาลขยายโครงการ OFOS มาสู่พื้นที่ภาคเหนือ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและช่างฝีมือ สามารถขายผลิตภัณฑ์อย่างผ้าทอหรือชาโออิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างรายได้เสริมเฉลี่ย 5,000-10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยง หากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าดอยในเชียงราย หรือการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดหัตถกรรม จากข้อมูลของ ISEAS-Yusof Ishak Institute ในปี 2025 ชี้ว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่เน้น (bureaucratic) อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ระดับ grassroots ในพื้นที่อย่างเชียงใหม่และเชียงราย ดังนั้น รัฐบาลควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนจริงๆ ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่

ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง

ประการที่สอง ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาค จากรายงานของ World Bank ปี 2024 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยว หากซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่มมูลค่าส่งออกวัฒนธรรม เช่น อาหารและภาพยนตร์ ให้ถึง 10% ของ GDP ภายใน 5 ปี ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากงานใหม่ๆ กว่า 1 ล้านตำแหน่ง ตามที่นายกรัฐมนตรีสฤษฎ์ฐา ทวีสินเคยให้สัมภาษณ์ในงาน THACCA SPLASH 2024 ว่า “ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” โดยเฉพาะในเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวชุมชน (community-based tourism) ที่คิดเป็น 8% ของรายได้การท่องเที่ยวไทย ตามรายงาน Tourism Analytics 2024 การพัฒนานี้จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้น ลดการย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่ และเสริมสร้างชุมชนที่ยั่งยืน

แต่ในมุมวิเคราะห์เชิงลึก เราต้องถามว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ หากไม่มีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม? จากตัวเลขของ Bank of Thailand การท่องเที่ยวสร้างรายได้หลักให้กับ 11% ของ GDP ในปี 2019 แต่หลังโควิด ช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทเพิ่มขึ้น 20% ดังนั้น THACCA ควรเน้นโครงการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมล้านนาในเชียงรายเข้ากับตลาดโลก เช่น การส่งเสริมเทศกาลสงกรานต์หรือประเพณียี่เป็งให้เป็นแบรนด์ระดับสากล ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ชุมชน 30% ตามแบบจำลองของ WTTC

ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง

ประการสุดท้าย การผลักดันสู่เวทีโลกผ่านการทูตวัฒนธรรมอาจเสริมอิทธิพลของไทยในเอเชีย แต่ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง จากข้อมูล Global Soft Power Index 2024 ไทยอยู่อันดับ 1 เอเชียด้านวัฒนธรรม แต่จีนนำด้านเศรษฐกิจ หากรัฐบาลใช้โอกาสนี้ดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมชนเผ่า สร้างงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น การผลิตเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่น

โดยสรุป การวิเคราะห์ชี้ว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจยั่งยืน หากรัฐบาลและชุมชนร่วมมือกัน ประชาชนอายุ 30-55 ปีในเชียงรายจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจ เช่น การเข้าร่วมโครงการ OFOS เพื่อพัฒนาทักษะ หรือการลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นและชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกสู่โอกาสที่ยั่งยืน

เรื่องราวของซอฟต์พาวเวอร์ไทยเริ่มจากความภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรม และคลี่คลายสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่มหาศาล โดยเฉพาะสำหรับชาวเชียงรายที่สามารถใช้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ในการยกระดับชีวิต หากทุกฝ่ายร่วมมือ โอกาสนี้จะไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • U.S. News & World Report, Best Countries Rankings 2024 (เครดิต: U.S. News & World Report)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (THACCA), รายงานยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ 2024-2025 (เครดิต: THACCA และรัฐบาลไทย)
  • World Travel & Tourism Council (WTTC), Economic Impact Research 2024 (เครดิต: WTTC)
  • ISEAS-Yusof Ishak Institute, Perspective 2025/44 (เครดิต: ISEAS)
  • Brand Finance, Global Soft Power Index 2024 (เครดิต: Brand Finance)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงของจัดงานจุลกฐิน ส่งเสริมท่องเที่ยววัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

เชียงรายจัดงาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อ” ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567วัดหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง จัดงานภายใต้โครงการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบูรณาการพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ เพื่อสร้างงานและกระจายรายได้สู่ประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และ นายประภาศ ไชยประเสริฐ ปลัดกลุ่มงานทะเบียนและบัตร เป็นผู้กล่าวต้อนรับ

เน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมไทลื้อโบราณ

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมหลากหลายที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ โดยมี นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง เป็นผู้กล่าวรายงาน และ นายจตุพร คงประเวช จากบริษัทมิตรแท้ประกันภัย เป็นประธานเจ้าภาพจุลกฐิน กิจกรรมที่จัดขึ้นประกอบด้วย:

  1. นิทรรศการจุลกฐินถิ่นโบราณ: ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายและการสาธิต
  2. กิจกรรมทำบุญบูชาดอกฝ้าย: สืบสานประเพณีพื้นบ้านเพื่อสร้างบุญและความสามัคคี
  3. กาดมั่วคัวลื้อ: สาธิตการทำอาหารไตลื้อและจำหน่ายอาหารพื้นเมือง
  4. การแสดงทอสายบุญจุลกฐิน: แสดงวิถีการทอผ้าแบบดั้งเดิม
  5. การทอผ้าจุลกฐิน: ใช้เครื่องมือและวิธีการโบราณในการผลิตผ้า

การสนับสนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

ภายในงานยังได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรมและดูแลความเรียบร้อย เพื่อเสริมสร้างการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป

ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า อบจ.เชียงรายมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “เชียงรายเที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกเดือน” และกิจกรรม “เสน่ห์เชียงราย สถานที่ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณี” ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ รักษาคุณค่าทางวัฒนธรรม และพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน

ผลักดันเชียงรายสู่ต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อ” ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนในพื้นที่และผู้มาเยือน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งนี้ยังเป็นการสนับสนุนให้จังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านใน อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

บทสรุป

การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก กิจกรรมที่จัดขึ้นไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนานและความรู้แก่ผู้เข้าร่วม แต่ยังส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยให้จังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ไทยติดอันดับ 8 ประเทศ จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมระดับโลก 2024

 

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ Asian SEA Story ได้โพสต์การจัดอันดับ “Countries with the Richest Heritages in the World 2024” โดย U.S. News & World Report ซึ่งได้จัดลำดับประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมโดดเด่นที่สุดของโลกในปี 2024 ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 จากการจัดอันดับนี้ โดยประเทศไทยเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่และหลากหลาย

การจัดอันดับมรดกทางวัฒนธรรมนี้ใช้เกณฑ์ 5 ด้าน ได้แก่ การเข้าถึงทางวัฒนธรรม ความมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อาหารที่มีชื่อเสียง แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์ โดยทั้ง 5 เกณฑ์นี้ถูกนำมาพิจารณาอย่างเท่าเทียมกันเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ

ประเทศที่ดีที่สุด

การจัดอันดับย่อยของมรดกนั้นอิงตามค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่เท่ากันของคุณลักษณะของประเทศห้าประการที่เกี่ยวข้องกับมรดกของประเทศ: เข้าถึงได้ทางวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีอาหารรสเลิศ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย และสถานที่ท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์มากมาย โปรดอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอันดับของเรา วิธีการของประเทศที่ดีที่สุด

ประเทศไทย: แผ่นดินแห่งเสรี

ประเทศไทย หรือที่แปลว่า “ดินแดนแห่งเสรี” เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยถูกล่าอาณานิคมจากยุโรป ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน มีประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เดิมประเทศไทยมีชื่อว่า “สยาม” และรวมตัวเป็นอาณาจักรในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 ก่อนจะกลายเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในปี 2475 หลังการปฏิวัติอย่างสันติ นับตั้งแต่นั้นมา

 

แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ภาคการเกษตรที่สำคัญและอุตสาหกรรมการผลิตที่แข่งขันได้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งและเจริญเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราความยากจนและการว่างงานต่ำ ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของข้าวในโลกและเป็นผู้นำในด้านสิ่งทอ ดีบุก และอิเล็กทรอนิกส์ สังคมไทยได้รับอิทธิพลจากการศึกษาและเทคโนโลยีตะวันตกที่ผสมผสานเข้ากับสังคมที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

วัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก แม้ว่าการท่องเที่ยวจะมีส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียง 7% แต่ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าหลงใหล ด้วยความหลากหลายทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งโบราณคดี และวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ทุกที่ใน “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” เมืองที่คึกคักทันสมัย รวมถึงชายหาดที่สวยงามและวัดวาอารามทองคำ ประเทศไทยยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการนวดไทยและอาหารที่เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการผสมผสานรสชาติหวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และเผ็ด

ประเทศไทยยังคงเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ “อาเซียน” และเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ร่วมลงนามในข้อตกลงต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาค ประเทศไทยยังเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, APEC, ธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย

รายชื่อ 20 ประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 2024

  1. กรีซ
  2. อิตาลี
  3. สเปน
  4. ฝรั่งเศส
  5. ตุรกี
  6. เม็กซิโก
  7. อียิปต์
  8. ไทย
  9. โปรตุเกส
  10. อินเดีย
  11. ญี่ปุ่น
  12. บราซิล
  13. จีน
  14. โมร็อกโก
  15. สหราชอาณาจักร
  16. ไอร์แลนด์
  17. อาร์เจนตินา
  18. ออสเตรีย
  19. สหรัฐอเมริกา
  20. ออสเตรเลีย

ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญระดับโลก ที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : U.S. News & World Report / Asian SEA Story

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News