Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” เชียงราย พู่กันและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจ

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เชียงราย เมื่อพู่กันสีและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจให้ผู้พิทักษ์อธิปไตย

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – บ่ายวันเสาร์ที่แสงเหนือดอยสะท้อนกระจกใสของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พื้นที่ชั้นโถงกลางถูกเปลี่ยนเป็นแกลเลอรีชั่วคราว ผู้คนหลากวัยทยอยยืนล้อมกรอบภาพที่สะท้อน “ชีวิตทหาร” ในมุมที่ไม่ค่อยถูกเล่า—สีสันของเหงื่อ, ความอ่อนโยนของการโอบเด็กชายแดน, ประกายตาของคนเฝ้าดินแดนยามค่ำคืน งานที่มีชื่อว่า ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เป็นประธานเปิดงาน ขนานไปกับเสียงปรบมือยาวของชาวเชียงราย นักท่องเที่ยว และคณะศิลปินที่มารวมตัวกันแน่นขนัด

ภาพในพิธีเปิดชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อบุคคลสำคัญจากแวดวงศิลปะเชียงรายก้าวขึ้นเวที—อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้ริเริ่มแนวคิดและพลังใจให้เกิดกิจกรรม, อาจารย์นคร พงษ์น้อย, อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการระดมเครือข่ายศิลปินทั่วประเทศ พร้อมตัวแทนหน่วยงานรัฐ–เอกชน โดยเฉพาะ นายสายัญห์ นักบุญ ผู้อำนวยการเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงให้ศิลปะ “ออกมาหาผู้คน” มากกว่าจะรอให้ผู้คน “เดินเข้าหาศิลปะ” นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าที่เชื่อม พลังนุ่ม” ของศิลปะ เข้ากับ ภารกิจเข้ม” ของการพิทักษ์ชายแดน อย่างงดงาม

ศิลปะในฐานะ “พลังใจสาธารณะ” เหตุผลและเป้าหมายของงาน

บนเวทีเปิดงาน พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ สะท้อนเจตนารมณ์ของผู้จัดอย่างตรงไปตรงมา “กิจกรรมศิลปะเพื่อแผ่นดินจัดขึ้นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ” พร้อมย้ำความสำคัญของการยกย่องบทบาทศิลปินเชียงราย ซึ่งมีชื่อเสียงระดับประเทศในฐานะผู้ร่วมขับเคลื่อน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ด้วยภาษาแห่งความงาม

หัวใจของงาน จึงไม่ได้มีเพียงการจัดแสดงผลงาน แต่คือการ ส่งต่อกำลังใจ จากพลเมืองสู่ทหารกล้าที่ยืนอยู่ด่านหน้า สื่อสารด้วยภาพที่มีทั้งแววตา ความหวัง และความอ่อนโยน—ภาพทหารในชุดสนามที่ห่มแสงเย็นของป่าชายแดน ภาพมือที่ยื่นขนมให้เด็กน้อยโรงเรียนตะเข็บแดน ภาพธงชาติที่พริ้วไหวคู่ภูมิประเทศขรุขระ เพื่อนิยาม “อธิปไตย” ให้จับต้องได้และเดินทางสู่ใจผู้ชม

งานครั้งนี้ยังสะท้อน “โมเดลการมีส่วนร่วมแบบเชียงราย” จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีชุมชนศิลปินเข้มแข็ง—จากวัดร่องขุนสู่ขัวศิลปะ จนถึงสตูดิโอเล็กๆ ในชุมชน ซึ่งต่างหลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ให้เป็น Soft Power ที่มีรากในท้องถิ่น และนำมาสนับสนุนภารกิจของรัฐด้านความมั่นคงในภาคประชาชนได้อย่างพอดี

เชียงราย เมืองศิลปิน” พบ “เมืองชายแดน” เมื่อสองภูมิทัศน์มาเจอกัน

เชียงราย มีเอกลักษณ์ของเมืองศิลปะและเมืองชายแดนอยู่ในตัว—เมืองศิลปะ ด้วยคลื่นผลงานร่วมสมัยที่สร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และ เมืองชายแดน ด้วยภูมิศาสตร์เชื่อมลุ่มน้ำโขง–สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งการดูแลความสงบเรียบร้อยคือพันธกิจประจำวันของทหารและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ความงดงามของงานครั้งนี้อยู่ที่ การทำให้สองภูมิทัศน์มา “พยุงกัน” ไม่ใช่เดินคนละทาง

บนผนังแกลเลอรีชั่วคราว ภาพชุด “ทหาร–ประชาชน–ชุมชน” กำลังเล่าเรื่องว่า ความมั่นคงไม่ใช่เพียงรั้วลวดหนามหรือป้อมยาม แต่คือ ความไว้วางใจ ที่หล่อเลี้ยงกันได้ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์และการสื่อสารที่ทำให้คนตัวเล็กๆ รู้สึกว่า “บ้านมีคนดูแล” ขณะเดียวกันศิลปินเองก็ได้ย้ำว่า “ศิลปะไม่ได้มีไว้เพียงประดับเมือง แต่มีไว้ ประคองใจเมือง” ประโยคนี้กลายเป็นคำอธิบายสั้นๆ ของความหมายทั้งงาน

เสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนร่วมประเด็นเด่นและประเด็นรอง

  • พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ระบุว่า งานนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน และหวังให้กำลังพลรับรู้ว่าคนเมืองยืนอยู่ข้างเขา “กองทัพบกธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของแผ่นดินไทย และเราต้องการให้ทุกคนเห็นภารกิจนั้นผ่านสายตาศิลปิน”
  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เน้นว่า ศิลปินเชียงรายมีหน้าที่ต่อสังคมไม่แพ้หน้าที่ต่อศิลปะ “ศิลปะต้องออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน จุดประกายความภาคภูมิใจในผืนแผ่นดิน และช่วยเยียวยาความแตกต่างให้กลับมาปรองดอง”
  • อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ในนามสมาคมขัวศิลปะ อธิบายบทบาทเครือข่าย “เราระดมผลงานจากศิลปินหลายรุ่น–หลายแนวทาง เพื่อให้เห็นว่าความต่างอยู่ร่วมกันได้บนเป้าหมายเดียวคือ กำลังใจให้ชายแดน
  • นายสายัญห์ นักบุญ ผู้แทนภาคเอกชน ระบุเหตุผลของการเปิดพื้นที่สาธารณะกลางศูนย์การค้า “เพราะอยากให้คนทั่วไป—โดยเฉพาะเด็กและนักท่องเที่ยว—เข้าถึงศิลปะได้ง่าย พร้อมรับรู้งานของทหารที่พวกเขาอาจไม่เคยเห็นใกล้ๆ”

ประเด็นเด่น คือการใช้พื้นที่สาธารณะให้ศิลปะเข้าถึงมวลชน ก่อให้เกิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับจุลภาค” ทันที: ผู้ชมเดินทางมาเพิ่มขึ้น ร้านค้า–คาเฟ่ท้องถิ่นได้ลูกค้าเพิ่ม และเมล็ดพันธุ์แห่งความภูมิใจในท้องถิ่นถูกหว่านในใจเยาวชน ส่วน ประเด็นรอง ที่ผู้ร่วมงานสนทนากันคือความต่อเนื่อง—ทำอย่างไรให้แรงกระเพื่อมไม่หยุดที่พิธีเปิด แต่ต่อยอดเป็นกิจกรรมหมุนเวียนตลอดปี และขยายผลไปยังโรงเรียน–ชุมชนชายแดนที่ต้องการ “พื้นที่ศิลปะ” เท่าๆ กับ “สนามกีฬา”

โครงสร้างงาน จากภาพบนผนังสู่บทสนทนากลางเมือง

แม้ผู้จัดจะไม่ได้ตั้งกรอบตายตัว แต่เมื่อเดินชมโดยรอบจะเห็นแนวคิด 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ในผลงานและการจัดแสดง

  1. ชั้นของหน้าที่ – ภาพทหารในชุดสนาม, ภาพลาดตระเวน, ภาพช่วยเหลือชุมชน ภาพเหล่านี้ลดช่องว่างระหว่าง “เครื่องแบบ” กับ “ประชาชน” ให้เหลือเพียงความเป็นมนุษย์
  2. ชั้นของความทรงจำ – สีสันที่ร้อน–เย็นสลับกันเหมือนภูมิอากาศชายแดน ถ่ายทอดความรู้สึกของ “คืนที่ยาวนาน” และ “เช้าที่ทุกคนรอ” ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้ชมพกกลับบ้านได้
  3. ชั้นของการเชื่อมโยง – การจัดแสดงใจกลางเมืองและการเปิดกว้างให้ถ่ายภาพ–แบ่งปันบนสื่อสังคม สร้างบทสนทนาใหม่ในวงกว้างว่า “กำลังใจต่อชายแดน” ไม่ใช่หน้าที่ของทหารหรือรัฐเท่านั้น แต่คือ หน้าที่พลเมืองร่วมกัน

น้ำหนักเชิงนโยบายท้องถิ่น ทำไมงานนี้ “สำคัญกว่าโชว์”

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ “ศิลปินมากที่สุด” ตามคำที่คนในวงการศิลปะมักพูดถึงกัน บวกกับสถานะจังหวัดชายแดน การผสานสองคุณลักษณะนี้จึงเป็น นโยบายเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้—ศิลปะไม่เพียงเพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ช่วยยกระดับ ความรู้สึกเป็นเจ้าของเมือง (Sense of Belonging) ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับความสงบเรียบร้อยของสังคม

หากมองในเชิง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานลักษณะนี้ยังเป็น “แพลตฟอร์มฝึกงาน” สำหรับศิลปินรุ่นใหม่ ให้ได้สัมผัสกระบวนการทำงานจริง ตั้งแต่การคัดเลือกผลงาน การสื่อสารกับผู้ชมที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ–เอกชน ทั้งหมดนี้ช่วยต่อสายใยอาชีพ และเพิ่มโอกาสเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนศิลปินต่อเนื่อง

บทเรียนจากวันเปิดงานสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้คนดู “อยู่ต่อ” และ “บอกต่อ”

ในยุคที่ผู้ชมตัดสินใจภายในไม่กี่วินาที งานที่ตั้งใจ “ให้กำลังใจชายแดน” จึงต้องใส่ใจรายละเอียดระดับไมโครเพื่อให้ ประสบการณ์โดยรวม สมบูรณ์—ป้ายสองภาษา, เสียงประกอบที่ไม่รบกวน, มุมให้เด็กนั่งระบายสี, QR สำหรับอ่านเรื่องราวเบื้องหลังผลงาน, ช่องทางร่วมเขียน “จดหมายถึงทหาร” แล้วส่งถึงหน่วยชายแดน สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ชม ใช้เวลาเพิ่มขึ้น (อยู่ต่อ) และ อยากแชร์ (บอกต่อ) ซึ่งคือ “ตัวคูณกำลังใจ” ให้เดินทางจากกลางห้างสรรพสินค้าไปสู่แนวชายแดนได้จริง

ขยายความหมายของ “กำลังใจ” ให้กว้างกว่าพื้นที่จัดงาน

แม้งานครั้งนี้จะสร้างแรงสะเทือนได้ชัดเจน แต่คำถามต่อไปคือ ความยั่งยืน ผู้มีส่วนร่วมหลายฝ่ายจับมือกันหยิบยกแนวคิดที่ทำได้ทันที เช่น

  • นิทรรศการสัญจร นำบางส่วนของผลงานไปจัดที่โรงเรียนแนวชายแดน–สถานีรถไฟเชียงราย–สนามบิน เพื่อให้ “พลเมือง–นักเดินทาง” ได้เห็นเรื่องราวเดียวกัน
  • เวิร์กช็อปศิลปะกับเยาวชนชายแดน ให้ศิลปินสลับผลัดไปสอนศิลปะขั้นพื้นฐาน และเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ถ่ายทอดภาพบ้านเกิดในมุมของตนเอง
  • คลังภาพสาธารณะ (Open Gallery Online) สแกนผลงานเป็นดิจิทัลพร้อมคำบอกเล่าจากศิลปิน ให้สื่อ–ครู–นักเรียนเข้าถึงได้โดยไม่ติดผนังห้าง
  • จดหมายถึงชายแดน ต่อเนื่องเป็นกิจกรรมประจำเดือน รวบรวมคำให้กำลังใจไปถึงหน่วยปฏิบัติการจริง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภารกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็น พันธกิจร่วม” ที่ทำให้คำว่า “เพื่อแผ่นดิน” จากชื่อกิจกรรมลงหลักปักฐานในชีวิตประจำวันของผู้คน

เมื่อสีพู่กันแต้มบนผืนแผ่นดินเดียวกัน

ภาพสุดท้ายก่อนปิดงานวันแรก คือวงกลมเล็กๆ ของนักท่องเที่ยวที่หยุดยืนหน้าภาพทหารกางเสื้อคลุมให้เด็กชายที่ตัวสั่นเพราะสายลมหนาว ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ก่อนมีใครสักคนกระซิบว่า “สวย…และอบอุ่น” นี่แหละคือ ภาษากลาง ของศิลปะ—ไม่ดัง ไม่ดุ แต่กระทบใจลึก

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จึงไม่ได้เป็นเพียงนิทรรศการ หากเป็น เครื่องเตือนใจร่วมกัน ว่า ในดินแดนที่ชื่อว่าไทย ยังมีผู้คนสวมเครื่องแบบยืนเฝ้าแนวชายแดน และยังมีพลเมือง—ศิลปิน–นักธุรกิจ–ประชาชน—คอยส่งกำลังใจไปให้ พู่กันหนึ่งด้ามอาจหยุดกระสุนไม่ได้ แต่สามารถ เยียวยาหัวใจ ที่ต้องยืนรับแรงสั่นสะเทือนของหน้าที่ได้อย่างงดงาม และเมื่อหัวใจเข้มแข็ง เมืองก็เข้มแข็ง—นี่คือความหมายที่เชียงรายส่งออกไปสู่ประเทศทั้งประเทศในวันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) 
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มทบ.37-เทศบาลนครเชียงรายผนึกกำลัง ยกระดับ “ถ้ำตุ๊ปู่” สู่พื้นที่ปลอดภัย

มทบ.37–เทศบาลนครเชียงราย–กอ.รมน.–โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา ลงนามยกระดับ “ถ้ำตุ๊ปู่” สู่พื้นที่สาธารณะปลอดภัยและแหล่งเรียนรู้เชิงพุทธ คิกออฟโมเดลท่องเที่ยว–ชุมชน–ความมั่นคง “เชียงรายเมืองปลอดภัย”

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 — แสงยามบ่ายสะท้อนหน้าผาหินของ “ถ้ำตุ๊ปู่” ในตำบลริมกก—พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งชาวบ้านต่างจดจำในฐานะ “จุดเสี่ยง”—กำลังเปลี่ยนบทบาทอย่างเป็นทางการ เมื่อ 4 หน่วยงานหลักของจังหวัดจับมือกันลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาให้ที่นี่เป็น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย–ปลอดยาเสพติด–ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว” และยกระดับเป็น แหล่งเรียนรู้เชิงพระพุทธศาสนา ควบคู่การเป็น พื้นที่กิจกรรมของเยาวชนและชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

พิธีลงนามจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 โดยมี พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบาย แผน และการข่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.) และ ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร ผู้จัดการโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา เข้าร่วมลงนามพร้อมข้าราชการ ครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่

จาก “จุดเสี่ยง” สู่ “พื้นที่เรียนรู้” พลิกวิกฤตเป็นโอกาสของเมือง

ภาพจำในอดีตของถ้ำตุ๊ปู่—พื้นที่รกร้าง มีเหตุอาชญากรรม และเกี่ยวพันปัญหายาเสพติด—คือฉากหลังที่ทุกภาคส่วนต้องการปิดฉาก พลตรีจักรวีร์กล่าวบนเวทีว่า แม้ทหารจะมีภารกิจป้องกันประเทศและดูแลชายแดน แต่ภารกิจเสริมสร้างความมั่นคงภายในและความเข้มแข็งของชุมชนคืองานหลักเช่นกัน “โครงการดี ๆ ที่เปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชน เราพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ทั้งวิทยากร วินัยเยาวชน และกิจกรรมตามศาสตร์พระราชา หากสำเร็จจะขยายเป็นเครือข่ายสู่พื้นที่อื่นได้”

ด้าน นายวันชัย จงสุทธานามณี ย้ำว่า บทเรียนสำคัญจาก น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ทำให้เทศบาลต้อง “เปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาส” ใช้การพัฒนาพื้นที่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง และทำให้ถ้ำตุ๊ปู่กลายเป็น แหล่งเรียนรู้ของนักเรียนและเยาวชนเชียงราย เป็นพื้นที่สีขาวที่ลดละเลิกการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเป็น พื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัย สำหรับประชาชนและนักเดินทาง

พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ จากกอ.รมน. จังหวัดเชียงราย ระบุว่า โครงการนี้เชื่อมตรงกับพันธกิจสร้างความปรองดอง ยึดโยงสถาบันหลักของชาติ และแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ “เราจะบูรณาการกำลังกับ มทบ.37 และเทศบาลนครเชียงราย รวมถึงเครือข่ายชุมชน ให้กลไกป้องปรามยาเสพติดเดินคู่ไปกับกิจกรรมดี ๆ ของพื้นที่”

ส่วน ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร สะท้อนประสบการณ์ในฐานะ “คนริมพื้นที่” ที่อยู่กับโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษามายาวนานว่า ถ้ำตุ๊ปู่เคยเป็นพื้นที่อันตราย มีคดีอาชญากรรมและปัญหายาเสพติดมาก่อน การร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่รอคอยเพื่อ สร้างพื้นที่ปลอดภัยใกล้โรงเรียน และเปิดโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพ มีรายได้จากการท่องเที่ยว “โรงเรียนมีนักเรียนกว่า 7,000 คน จาก 12 ชาติพันธุ์ พร้อมร่วมมือเต็มที่ทั้งกิจกรรมนักเรียน อาสาสมัครชุมชน และการดูแลพื้นที่ในชีวิตประจำวัน”

โมเดล “สามราง” เพื่อความยั่งยืน ความปลอดภัย–การท่องเที่ยว–ชุมชนมีส่วนร่วม

สาระในบันทึกความร่วมมือกำหนดทิศทางพัฒนาพื้นที่ด้วยแนวคิด “สามราง” ที่ต้องเดินพร้อมกัน

  1. ความปลอดภัยเชิงระบบ – จัดระเบียบพื้นที่ให้ปลอดภัย ปราศจากยาเสพติด เพิ่มแสงสว่าง กล้องวงจรปิด ทางเดิน–ทางจักรยาน ระบบเตือนภัยเบื้องต้นช่วงฝนหลงฤดู รวมถึงการลาดตระเวนร่วมระหว่างเทศบาล–ทหาร–ชุมชนในช่วงเวลาความเสี่ยง เพื่อกด “ต้นทุนโอกาส” ของอาชญากรรมลงให้ต่ำสุด
  2. การท่องเที่ยว–เรียนรู้เชิงพระพุทธศาสนา – เน้นการตีความคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม และธรรมชาติของถ้ำตุ๊ปู่ ออกแบบเส้นทางเรียนรู้ ห้องเรียนธรรมชาติ จุดพัก–ป้ายความรู้สองภาษา และกิจกรรมไหว้พระ–นั่งสมาธิอย่างเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวคิด ท่องเที่ยวปลอดภัยและมีความหมาย (meaningful & safe tourism)
  3. ชุมชนมีส่วนร่วม–เศรษฐกิจฐานราก – เปิดพื้นที่ให้ชุมชนจัดกิจกรรมกีฬาและศิลปะของเยาวชน ตลาดชุมชนในวันเทศกาล โซนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด และระบบอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (พื้นที่สีขาว) เพื่อให้รายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น สร้างงานระยะยาวมากกว่ารายได้เฉพาะกิจ

แผนปฏิบัติ 3 ระยะ ทำทันที–ยกระดับ–สถาปนาระบบ

เพื่อให้เป้าหมายเป็นรูปธรรม ที่ประชุมร่วมกำหนดกรอบเวลาทำงานคร่าว ๆ ดังนี้

  • ระยะสั้น (0–6 เดือน): เคลียร์พื้นที่เสี่ยง–กำจัดจุดอับ ทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) ติดตั้งไฟส่องสว่าง จุดฉุกเฉิน–กล้องวงจรปิด จัดเส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นชั่วคราว ทดสอบ “เวรยามร่วม” ระหว่างชุมชน–เทศบาล–ทหาร และเปิดกิจกรรมนำร่องของนักเรียน/เยาวชน (เช่น โยคะเช้า, ดนตรีเย็นวันศุกร์)
  • ระยะกลาง (6–18 เดือน): ปรับภูมิทัศน์ถาวร–จัดโซนการใช้ประโยชน์ (โซนปฏิบัติธรรม โซนเรียนรู้ โซนกีฬา โซนตลาดชุมชน) ติดตั้งป้ายความรู้–ทางเดินปลอดภัย รองรับผู้สูงวัย/ผู้ใช้รถเข็น สร้าง ศูนย์เรียนรู้ชุมชน ขนาดกะทัดรัด และกำหนด “ปฏิทินกิจกรรม” รายไตรมาสเพื่อให้คนกลับมาใช้พื้นที่สม่ำเสมอ
  • ระยะยาว (หลัง 18 เดือน): พัฒนาเครือข่ายเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมจุดใกล้เคียง (วัด เสน่ห์ชุมชน ตลาดเช้า) จัดเทศกาลประจำปีเชิงวัฒนธรรม–ศาสนา สร้างระบบ “กองทุนดูแลพื้นที่” จากรายได้กิจกรรมและ CSR เอกชน วางระบบเก็บ–วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้พื้นที่เพื่อปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่วัดได้และสื่อสารได้

เพื่อหลีกเลี่ยง “โครงการสวยบนกระดาษ” ฝ่ายปฏิบัติการเสนอชุดตัวชี้วัดที่จับต้องได้ ได้แก่

  • ความปลอดภัย: จำนวนเหตุทะเลาะวิวาท/อาชญากรรม/เหตุเกี่ยวกับยาเสพติดในรัศมีพื้นที่ ลดลงต่อเนื่องเทียบฐานปี 2567–2568
  • การใช้พื้นที่: จำนวนผู้ใช้พื้นที่รายวัน/รายสัปดาห์, สัดส่วนเยาวชนและครอบครัว, ชั่วโมงกิจกรรมการเรียนรู้/สันทนาการ
  • เศรษฐกิจชุมชน: มูลค่าการซื้อขายตลาดชุมชน/ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น, จำนวนผู้ประกอบการชุมชนที่เข้าร่วม, รายได้เฉลี่ยต่อกิจกรรม
  • ความพึงพอใจ: คะแนนประสบการณ์ผู้ใช้ (ความสะอาด ความปลอดภัย ความสะดวกในการเข้าถึง) ผ่านแบบสอบถามสั้นบนจุดบริการ/QR
  • สิ่งแวดล้อม: ดัชนีความสะอาด–ขยะตกค้าง, สภาพพืชพรรณพื้นถิ่น, คุณภาพน้ำฝน–น้ำผิวดินรอบพื้นที่ (เก็บตัวอย่างรายไตรมาส)

เสียงสะท้อนจากเวทีคำประกาศเจตนารมณ์

พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37: “ทหารพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งวิทยากร วินัย และองค์ความรู้เศรษฐกิจพอเพียง หากพื้นที่นี้สำเร็จ เราจะขยายเครือข่ายสู่จุดอื่น เพื่อให้ความมั่นคงภายในยืนบนฐานชุมชนที่เข้มแข็ง”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย: “เราจะเปลี่ยนวิกฤตน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วให้เป็นโอกาส สร้างพื้นที่เรียนรู้ของเยาวชน และกำหนด ‘เขตปลอดยาเสพติด–ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว’ ให้ประชาชนมั่นใจ”

พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ กอ.รมน. จ.เชียงราย: “กอ.รมน.จะผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนงานความมั่นคงควบคู่กิจกรรมสร้างสรรค์ ลดปัจจัยเสี่ยงยาเสพติดในระดับชุมชน”

ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร ผู้จัดการโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา: “เรามีนักเรียนกว่า 7,000 คน 12 ชาติพันธุ์ พร้อมเป็นพลังร่วมพัฒนา ให้ถ้ำตุ๊ปู่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกหลานและเป็นแหล่งอาชีพใหม่ของชุมชน”

มองไปข้างหน้า เงื่อนไขความสำเร็จและความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้โมเดล “ถ้ำตุ๊ปู่–เมืองปลอดภัย” จะเริ่มต้นบนความพร้อมของภาคีหลัก แต่ความสำเร็จระยะยาวขึ้นกับการบริหารความเสี่ยง 4 ประการ

  1. งบประมาณบำรุงรักษา – แสงสว่าง–กล้อง–ทางเดิน–ภูมิทัศน์ ต้องการค่าใช้จ่ายดูแล จึงควรมี “กองทุนพื้นที่” ที่มีรายได้หมุนเวียนจากตลาดชุมชน งานเทศกาล และความร่วมมือเอกชน (CSR) เพื่อลดภาระงบปกติของท้องถิ่น
  2. การเข้าถึงสำหรับทุกคน – ผังพื้นที่ควรเป็นมิตรกับผู้สูงวัย ผู้ใช้รถเข็น และเด็กเล็ก พร้อมจุดพัก–ห้องน้ำสะอาด–แนวทางความปลอดภัยยามค่ำคืน เพื่อให้พื้นที่ “มีคนใช้จริง” ตลอดวัน
  3. สมดุลสิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม – การพัฒนาเชิงท่องเที่ยวควรรักษาบริบทพุทธ–วัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่เชิงพาณิชย์เกินสมควร และเฝ้าระวังผลกระทบต่อธรรมชาติ (ขยะ เสียง แสงรบกวน)
  4. ข้อมูล–ความต่อเนื่อง – ตั้ง “แดชบอร์ดพื้นที่” รวบรวมสถิติความปลอดภัย การใช้พื้นที่ รายได้ชุมชน และความพึงพอใจ เผยแพร่สาธารณะรายไตรมาส เพื่อสร้างความโปร่งใส และคงแรงสนับสนุนจากสังคม

เชื่อมโยงยุทธศาสตร์เมือง “เชียงรายเมืองปลอดภัย” ที่วัดได้จริง

การลงนามครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มการพัฒนาเมืองยุคใหม่ที่ไม่ได้แยก “ความมั่นคง–ท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิต” ออกจากกัน แต่ ผสานเป็นสมการเดียว ผ่านพื้นที่สาธารณะคุณภาพ การมีส่วนร่วมของโรงเรียน/ชุมชน และกลไกลดปัจจัยเสี่ยงยาเสพติด เหตุผลที่ ถ้ำตุ๊ปู่ ถูกยกเป็นต้นแบบ เพราะตั้งอยู่ในเมือง–เข้าถึงง่าย–เชื่อมเครือข่ายสถานศึกษาและชุมชนได้จริง หากพัฒนาได้ผล จะกลายเป็น คู่มือปฏิบัติ” สำหรับขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยงอื่นในจังหวัด

ท้ายที่สุด ความสำเร็จจะไม่ได้พิสูจน์ด้วยพิธีลงนาม หากแต่ด้วย ภาพใหม่ยามค่ำ ที่คนเดิน–ปั่น–สวดมนต์–เล่นกีฬา–ขายของพื้นถิ่น ระหว่างแสงไฟที่พอเพียงและกล้องที่ทำงานจริง พร้อมเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่—นี่ต่างหากคือ “ตัวชี้วัด” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ไทม์ไลน์–แผนปฏิบัติการ “ถ้ำตุ๊ปู่”

  • ก.ย.–ต.ค. 2568: Big Cleaning, ติดไฟส่องสว่าง/กล้องวงจรปิด, จัดเส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นนำร่อง, จัดเวรยามร่วม
  • พ.ย. 2568–มี.ค. 2569: ปรับภูมิทัศน์, ป้ายความรู้สองภาษา, ศูนย์เรียนรู้ขนาดย่อม, ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส
  • เม.ย. 2569 เป็นต้นไป: เทศกาลประจำปีเชิงวัฒนธรรม–ศาสนา, เครือข่ายเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมจุดใกล้เคียง, กองทุนดูแลพื้นที่

พิธีลงนามความร่วมมือพัฒนา “ถ้ำตุ๊ปู่” ไม่ใช่แค่การประกาศโครงการท่องเที่ยวใหม่ หากคือ “ข้อตกลงทางสังคม” ที่จะเปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชน โดยมี ทหาร–ท้องถิ่น–ความมั่นคง–โรงเรียน เป็น 4 เสาหลัก ข้อท้าทายหลังจากนี้คือการทำให้ ระบบดูแลพื้นที่ เดินเองได้—มีงบดูแลสม่ำเสมอ มีอาสาสมัครชุมชน มีข้อมูลเปิดเผย และมีการมีส่วนร่วมของเยาวชนอย่างต่อเนื่อง หากเชียงรายรักษาวินัยนโยบายและจัดการความเสี่ยงได้ดี ถ้ำตุ๊ปู่” จะเป็นบทพิสูจน์ว่าเมืองปลอดภัย สร้างได้จากพื้นที่จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.)
  • โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เซ็นทรัลเชียงราย-มทบ.37 จับมือ “บำบัดทุกข์-บำรุงสุข” มอบเงินหนุนภารกิจประชาชน

เซ็นทรัล เชียงราย–มทบ.37 จับมือ “บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” มอบเงินสนับสนุน 20,000 บาท เสริมภารกิจช่วยเหลือประชาชน พร้อมเปิดเวทีดนตรีเชื่อมใจชุมชน

เชียงราย, 10 กันยายน 2568 – การผนึกกำลังระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานทหารกำลังขยายบทบาทจาก “แนวหลัง” มาสู่ “แนวหน้า” ของการรับมือปัญหาสาธารณะและการเยียวยาจิตใจผู้คน เมื่อ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย มอบเงินสนับสนุน 20,000 บาท แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อใช้ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน พร้อมจัดกิจกรรมดนตรีโดย หมวดดุริยางค์ มทบ.37 เพื่อส่งต่อความสุขในพื้นที่สาธารณะของเมือง

พิธีรับมอบจัดขึ้นวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น. ณ บริเวณชั้น G ของศูนย์การค้า โดยมี คุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เป็นผู้แทนส่งมอบ และ พันเอก โรมรัน ชูก้าน รองผู้บัญชาการ มทบ.37 เป็นผู้แทนรับมอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ท่ามกลางประชาชนที่แวะเวียนรับชมการแสดงดนตรี ซึ่งถูกออกแบบให้เป็น “เวทีกลางเมือง” สำหรับสร้างพื้นที่ร่วมทางวัฒนธรรมและเสริมแรงใจในช่วงปลายปี

 “เงินสนับสนุน” ฉายภาพภารกิจที่มองไม่เห็น

แม้จำนวนเงินสนับสนุนจะไม่สูงเมื่อเทียบกับงบประมาณภาครัฐ แต่ในบริบทภารกิจเชิงพื้นที่ของ มทบ.37 ที่ต้องเคลื่อนกำลังและอุปกรณ์อย่างฉับพลันในสถานการณ์วิกฤต เงินทุกบาทคือเชื้อเพลิงปฏิบัติการ ตั้งแต่ค่าน้ำมันรถกู้ภัย ค่าบำรุงรักษาเครื่องมือ ไปจนถึงวัสดุสิ้นเปลืองสำหรับช่วยเหลือเบื้องต้น การอุดหนุนจากภาคเอกชนจึงทำหน้าที่ “ปะติดปะต่อช่องว่างทรัพยากร” ที่มักเกิดขึ้นในงานภาคสนาม โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลเสี่ยงอุทกภัยและดินถล่มของภาคเหนือ

ยิ่งไปกว่านั้น งานด้านมนุษยธรรมต้องการทั้ง “ความพร้อม” และ “ความต่อเนื่อง” ไม่ใช่เฉพาะตอนเกิดเหตุ การสนับสนุนเชิงรุกของภาคธุรกิจช่วยให้หน่วยทหารสามารถคงความฟิตของกำลังพลและอุปกรณ์ เพิ่มโอกาสให้การเข้าถึงผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างทันการณ์ ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น

ดนตรีเป็นสะพาน “ทหาร–ประชาชน”

พร้อมกันนั้น หมวดดุริยางค์ มทบ.37 ได้เปิดการแสดงในกิจกรรม “Music Corner: เปิดพื้นที่กิจกรรมแบ่งปันความสุขในเทศกาลส่งท้ายปี” ดนตรีที่คัดสรรท่วงทำนองร่วมสมัยและเพลงอมตะกลายเป็นภาษากลางที่ทุกวัยเข้าใจตรงกัน การแสดงไม่ได้มีเพียงความบันเทิง หากแต่ตั้งใจสื่อสารบทบาท “ทหารคู่ประชาชน” ในเชิงบวก ผ่านเวทีที่เข้าถึงง่าย ไม่เป็นทางการเกินไป และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยที่จะร่วมสนทนา แลกเปลี่ยน และสะท้อนปัญหาของชุมชน

การสร้าง “จุดพบ” ระหว่างทหารกับคนเมืองท่ามกลางศูนย์การค้า ถือเป็นการย่นระยะห่างภาครัฐ–ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะในภาวะปกติ คนส่วนใหญ่อาจมีโอกาสพบเจอทหารเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภารกิจพื้นที่ปิด การใช้ดนตรีเป็น “ตัวกลาง” จึงช่วยเปิดบทสนทนาใหม่ให้ค่อย ๆ ก่อร่างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เมื่อ CSR เชื่อม “เศรษฐกิจท้องถิ่น–ความมั่นคงมนุษย์”

เซ็นทรัล เชียงราย ในฐานะกลไกเศรษฐกิจท้องถิ่น ย่อมตระหนักว่าความมั่นคงทางสังคมกับความคึกคักทางเศรษฐกิจเดินไปด้วยกัน พื้นที่ค้าปลีกที่ปลอดภัย มิตรไมตรีของเมือง และประสบการณ์ที่ดีของผู้มาเยือน ล้วนสะท้อนกลับเป็นความน่าอยู่และน่าใช้ชีวิต การลงมือผ่านกิจกรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่จับต้องได้ เช่น การเติมทรัพยากรให้หน่วยปฏิบัติการกู้ภัย และการเปิดพื้นที่สาธารณะให้กิจกรรมสร้างสรรค์ จึงเป็นการลงทุนทางสังคมที่ “คูณผล” ทั้งด้านภาพลักษณ์ แรงสนับสนุนชุมชน และความพร้อมรับมือเหตุไม่คาดคิด

ในอีกด้านหนึ่ง มทบ.37 ซึ่งดูแลพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคเหนือช่วงบน มีภารกิจบูรณาการร่วมกับจังหวัด อปท. และหน่วยงานด้านความมั่นคง–สาธารณสุขอยู่เสมอ การได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจในพื้นที่ ทำให้การเชื่อมประสานงานกับเครือข่ายภาคเอกชนเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในยามฉุกเฉินและช่วงฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” จากแนวคิดสู่กลไก

สาระสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้คือการทำให้คำว่า “บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” ลงสู่การปฏิบัติจริงในสามมิติ

  1. บำบัดทุกข์เชิงปฏิบัติการ
    เงินสนับสนุน 20,000 บาท แม้เป็นตัวเลขไม่ใหญ่ แต่มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับค่าใช้จ่ายเร่งด่วนในภารกิจพื้นที่ ช่วยลดขั้นตอนเชิงเอกสารและระยะเวลารอคอยงบกลาง เหมาะกับงานที่ต้องแข่งกับนาทีชีวิต
  2. บำรุงสุขเชิงสังคม–วัฒนธรรม
    เวทีดนตรีกลางศูนย์การค้า คือพื้นที่ “พักหายใจ” ของคนเมือง ช่วยลดความตึงเครียด สร้างแรงใจ และกระตุ้นการจับจ่ายหมุนเวียนในช่วงเทศกาล อีกทั้งยังเป็นเวทีสื่อสารของทหารที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้
  3. บำรุงทุนทางความไว้วางใจ
    การพบปะในพื้นที่สาธารณะ สร้างทุนสังคมระหว่างหน่วยงานรัฐ–เอกชน–ประชาชน ให้พร้อมระดมความร่วมมือได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

เล่าเรื่องผ่านผู้คน บทบาทที่เกื้อกูลกัน

แม้พิธีรับมอบจะเรียบง่าย แต่สะท้อนความเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ฝั่งศูนย์การค้าเห็นความสำคัญของ “ความพร้อมตอบสนองภัย” ในจังหวัดท่องเที่ยว–เศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ขณะที่ฝั่งทหารมองเห็นคุณค่าของ “พื้นที่กลางเมือง” ในการส่งสัญญาณเชิงบวก สื่อสารความห่วงใย และพร้อมเป็นที่พึ่งได้จริง

การตระเตรียมกิจกรรมดนตรีโดยหมวดดุริยางค์ มทบ.37 ยังชี้ให้เห็น ศิลปะการสื่อสารเชิงสาธารณะ ของหน่วยงานความมั่นคงสมัยใหม่ ว่าการยืนข้างประชาชนไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครื่องแบบและยุทโธปกรณ์เสมอไป แต่สามารถ “วางเครื่องมือ” แล้ว “ยกเครื่องดนตรี” เพื่อทำหน้าที่เชื่อมใจคนในเมือง ท่ามกลางชีวิตประจำวันอันคึกคัก

พลังหุ้นส่วนท้องถิ่นในเมืองชายแดนเหนือ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่คุณสมบัติ “เมืองท่องเที่ยว–ประตูการค้า–ชุมชนพหุวัฒนธรรม” อยู่ร่วมกัน การบริหารเมืองเช่นนี้ต้องอาศัย “พันธมิตรหลายชั้น” ตั้งแต่ด่านหน้าในพื้นที่ ไปจนถึงเครือข่ายธุรกิจและสาธารณสุข ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นกรณีศึกษาเล็ก ๆ ที่ชี้ว่าการขับเคลื่อนเมืองยุคใหม่ ไม่ได้อาศัยกลไกรัฐล้วน ๆ หากต้องใช้ เครือข่ายร่วมสร้าง (co-creation) ที่ทุกฝ่ายมีพื้นที่และภารกิจของตนชัดเจน

  • ความยั่งยืนเชิงระบบ จะเกิดก็ต่อเมื่อการสนับสนุนมี “ความต่อเนื่อง” มากกว่าความฉาบฉวย และผูกเข้ากับแผนงานเชิงพื้นที่ เช่น ฤดูฝน–ฤดูท่องเที่ยว–ช่วงเทศกาลสำคัญ
  • ความยืดหยุ่นเชิงปฏิบัติการ ต้องอาศัยกองหนุนทางสังคมที่พร้อมเสมอทั้งทรัพยากรและอาสาสมัคร ซึ่งภาคธุรกิจในเมืองสามารถช่วยระดมทรัพยากรและสื่อสารสาธารณะได้เร็วกว่า
  • ความไว้วางใจเชิงสังคม คือสินทรัพย์ที่สร้างยากที่สุด แต่จำเป็นที่สุดในยามวิกฤต กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอย่างดนตรีมีพลังลดช่องว่างอย่างนุ่มนวลและต่อเนื่อง

มองไปข้างหน้าจากกิจกรรมเดียว สู่ “แพลตฟอร์มความร่วมมือ”

บนฐานความสำเร็จของงานครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถต่อยอดได้ในหลายทิศทาง

  • ตั้ง “กลไกสื่อสารฉุกเฉินร่วม” ระหว่างศูนย์การค้า–มทบ.37–จังหวัด เพื่อแจ้งเตือนสาธารณะ รวบรวมสิ่งของจำเป็น และประสานจุดอพยพ/จุดช่วยเหลือ เมื่อเกิดภัยพิบัติ
  • ขยาย “เวทีศิลปะเพื่อชุมชน” เป็นตารางกิจกรรมรายไตรมาส เปิดพื้นที่ให้วงดนตรีเยาวชน โรงเรียน และชุมชนชาติพันธุ์ร่วมแสดง สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางวัฒนธรรม
  • พัฒนา “ชุดครุภัณฑ์ฉุกเฉิน” ด้วยเงินสนับสนุนและการระดมทุนสาธารณะ เช่น ชุดไฟส่องสว่างเคลื่อนที่ เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก ชุดปฐมพยาบาลขั้นสูง เพื่อวางกระจายในจุดเสี่ยง

หากทำได้ต่อเนื่อง เมืองจะมี “กล้ามเนื้อเชิงสังคม” ที่แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันศูนย์การค้าก็จะทำหน้าที่มากกว่าพื้นที่เศรษฐกิจ แต่เป็น ศูนย์รวมพลังของเมือง ที่พร้อมยืนเคียงข้างกันในทุกจังหวะชีวิต

พลังเล็ก ๆ ที่ต่อยอดผลใหญ่

เหตุการณ์มอบเงิน 20,000 บาท และการบรรเลงดนตรีหนึ่งค่ำคืน อาจดูเล็กเมื่อเทียบกับโจทย์ความท้าทายของสังคม แต่ในเชิง “ระบบ” นี่คือจิ๊กซอว์ที่ทำให้เมืองมี ความพร้อม–ความหวัง–ความอบอุ่น มากขึ้น การเกื้อกูลกันระหว่าง เซ็นทรัล เชียงราย และ มทบ.37 จึงไม่เพียงบันทึกไว้ในหน้าข่าว หากแต่ควรถูกต่อยอดเป็นวัฒนธรรมเมืองที่ทุกภาคส่วน ร่วมรับผิดชอบและร่วมภูมิใจ ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กองร้อยน้ำส้ม” เชียงของ สตรีอาสาผนึกกำลังสู่ชุมชนเข้มแข็งและสันติสุข

อบจ.เชียงราย–มทบ.37 ผนึกกำลัง “กองร้อยน้ำส้ม อ.เชียงของ” ปลุกพลังผู้นำสตรีจากฐานราก สร้างชุมชนเข้มแข็ง–สันติสุข–ยั่งยืน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568เวลา 09.00 น. ค่ายเม็งรายมหาราช บริเวณหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) อำเภอเมืองเชียงราย เสียงต้อนรับและรอยยิ้มของสตรีกว่า 100 คนจากอำเภอเชียงของดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพบทบาทสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย: กิจกรรมส่งเสริมพลังสตรีจิตอาสา ก่อเกิดชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างสันติสุขสู่สังคม” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้มอบหมายภารกิจและกำชับเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน

ตลอดสองวันของการอบรมระหว่าง 6–7 กันยายน 2568 ผู้เข้าร่วม—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำสตรี ชมรมสตรีแม่บ้าน และตัวแทนชุมชนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอชายแดน—จะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายทำงานเชิงอาสาสมัคร โดยมีทีมบุคลากรจากกองสวัสดิการสังคม อบจ.เชียงราย นำโดย นางสาวนิโลบล ชาติเงิน ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ร่วมกับภาคีจาก มทบ.37 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับบริบทพื้นที่และโจทย์จริงที่สตรีเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเทียบที่เปลี่ยนเป็นพลังจริง

จากความสดชื่น–มีชีวิตชีวา สู่ระเบียบวินัย–ความเข้มแข็งของการทำงานเป็นทีม

ผู้จัดเรียกกลุ่มสตรีเชียงของชุดนี้ด้วยนามเรียกที่น่ารักและจำง่าย—กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเปรยที่มีสองมิติในตัวเอง หนึ่งคือ “พลังความสดชื่น” ของสตรีที่เติมความหวังให้ครอบครัวและชุมชนเสมอ สองคือ “ระเบียบวินัยและความเข้มแข็ง” แบบกองร้อยที่สอดประสานกันเพื่อพิชิตเป้าหมายร่วม เมื่อความหมายทั้งสองมาบรรจบ โครงการจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ให้ความรู้แล้วจบ” แต่ตั้งใจ “สร้างแกนกลางผู้นำสตรี” ที่มีทั้งหัวใจอาสาและวินัยของการทำงานสาธารณะ

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมสมาชิกสภา อบจ. ได้เดินทางไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อ มอบเกียรติบัตร ให้ผู้เข้าร่วม และกล่าวให้กำลังใจด้วยสารสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้างของการพัฒนาสตรีในจังหวัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่า

การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี มิใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีเท่านั้น หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมโดยรวม เพราะสตรีมีบทบาทเชื่อมโยงทั้งในฐานะผู้ดูแลครอบครัว ผู้ประกอบอาชีพ และผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่น… เมื่อสตรีมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับไปสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนก้าวหน้า และสังคมที่ยั่งยืน”

สารดังกล่าวคือ “นัทกราฟ” (แก่นเรื่อง) ของโครงการนี้—การยืนยันว่าการลงทุนกับสตรีคือการลงทุนกับสังคมทั้งระบบ

ทำไมต้องเริ่มที่ชายแดน โจทย์จริง–พื้นที่จริง–ผู้เล่นจริง

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชุมชนชายแดนที่ต้องรับมือกับโจทย์หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจฐานรากที่ผูกกับเกษตร–บริการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว การย้ายถิ่นเพื่อทำงาน รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงบริการภาครัฐในบางโซนชนบทห่างไกล เมื่อมองผ่านเลนส์ “เพศภาวะ” ปัญหาเหล่านี้สะเทือนต่อ สตรีและเด็ก ก่อนเสมอ—ทั้งในฐานะแกนกลางครัวเรือน ผู้ดูแล ผู้หารายได้เสริม และผู้เป็นเสาหลักยามเกิดวิกฤต

การฝึกอบรมและรวมเครือข่ายที่เชียงของ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ “จุดกำเนิด” ไม่ใช่ “ปลายเหตุ” เป้าหมายของโครงการชี้ชัดว่าจะ สร้างเวทีให้สตรีได้พัฒนาความรู้–ทักษะ–เครือข่าย แล้วส่งต่อเป็นพลังจิตอาสาที่ขยายไปถึงงานชุมชน เช่น การดูแลผู้เปราะบาง กิจกรรมเยาวชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารสาธารณะในระดับหมู่บ้าน–ตำบล

บทบาท “สองขา” ท้องถิ่น–ทหาร โมเดลบูรณาการเพื่อคนตัวเล็ก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการทำงานแบบ “สองขา” ระหว่าง อบจ.เชียงราย (ท้องถิ่น–สังคม) และ มทบ.37 (ความมั่นคง–ระเบียบวินัย–ทรัพยากรสถานที่) การได้ใช้พื้นที่ฝึกของหน่วยทหารที่มีระบบระเบียบ เครื่องมือพร้อม และบุคลากรด้านการฝึกวินัย นำมาปรับใช้กับ หลักสูตรพลังสตรีจิตอาสา ทำให้รูปแบบกิจกรรมมีทั้งความกระชับ จริงจัง และเป็นมิตรกับผู้เรียน

  • ขาแรก—อบจ.เชียงราย: กำหนดนโยบายและเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องโจทย์ชุมชน ดูแลเนื้อหาด้านสังคมและสวัสดิการ เชื่อมเครือข่ายระดับตำบล–อำเภอ
  • ขาที่สอง—มทบ.37: หนุนทรัพยากรสถานที่และกำลังพล สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีวินัย และต่อเนื่อง เสริมภาพ “ทหารเพื่อประชาชน” ในมิติการพัฒนาสังคม

ผลลัพธ์คือ “สนามฝึกเชิงสังคม” ที่คนตัวเล็กเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เวทีรับฟัง แต่เป็นพื้นที่ ลงมือทำและต่อยอด หลังอบรม

โครงเรื่องการอบรมจากการตื่นรู้สู่การจัดตั้งทีมภาคสนาม

ตลอดสองวันของกิจกรรม (ตามกำหนดการที่ผู้ใช้จัดเตรียม) โครงการย้ำ “สามเสาหลัก” ที่ต่อกันเป็นเรื่องเดียว

  1. ตระหนักรู้บทบาทสตรี – ทำความเข้าใจศักยภาพและอุปสรรคเชิงโครงสร้างของสตรีในครอบครัว–ชุมชน
  2. เสริมสมรรถนะผู้นำจิตอาสา – ฝึกการสื่อสารสาธารณะ การทำงานเป็นทีม การประสานภาคี การจัดกิจกรรมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก–ผู้สูงอายุ
  3. ตั้งทีมปฏิบัติการชุมชน – แตกกลุ่มตั้ง “ทีมงานย่อย” และ “ภารกิจนำร่อง” ที่จะกลับไปทดลองในหมู่บ้าน/เขตเมืองของตนเอง (เช่น ทีมดูแลผู้เปราะบาง ทีมสิ่งแวดล้อม ทีมเยาวชน)

เนื้อหาทั้งหมดถูกยึดโยงกับบริบทเชียงของโดยตรง และมี พิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อยืนยันการเริ่มต้นบทบาทผู้นำสตรีอย่างเป็นทางการ

วาทะที่ชูประเด็น—และเดินหน้าไปข้างหน้า

คำกล่าวของนายก อบจ.เชียงราย ในช่วงบ่าย เป็นเหมือน “รหัสผ่าน” ที่เปิดประตูบทใหม่ของบทบาทสตรีในจังหวัด “สตรีไม่ใช่ผู้รับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ ‘ผู้สร้าง’ นโยบายระดับฐานราก” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกประกาศต่อหน้าแกนนำสตรีและภาคีภาครัฐ–ทหาร ความหมายจึงไปไกลกว่าคำให้กำลังใจ แต่คือ การอนุมัติทางสังคม ให้สตรีออกมายืนแถวหน้าของการเปลี่ยนแปลง

ในมุมปฏิบัติการ โครงการยังส่งสัญญาณชัดว่าการขับเคลื่อนต่อจากนี้ต้องอาศัย ผู้นำหลายชั้น—ตั้งแต่ผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ผู้นำวัยรุ่น ไปจนถึงครูและ อสม. เพื่อเชื่อม “กองร้อยน้ำส้ม” ให้เป็น เครือข่ายสตรีจิตอาสาเชียงของ ที่ทำงานได้ต่อเนื่องทั้งปี

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • วัน–เวลา–สถานที่: เปิดโครงการ 6 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย
  • กรอบเวลาโครงการ: 6–7 กันยายน 2568 (สองวันเต็ม)
  • ผู้เข้าร่วม: กลุ่มสตรีในเขตอำเภอเชียงของ กว่า 100 คน
  • ผู้ร่วมพิธีเปิดและภาคีหลัก: รองนายก อบจ.เชียงราย / ผอ.กองสวัสดิการสังคม อบจ. / พันเอกสิงหนาท โลสุยา เสนาธิการ มทบ.37 / หัวหน้าส่วนราชการ มทบ.37
  • ภารกิจช่วงบ่าย: นายก อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เดินทางพบปะกลุ่มสตรีเชียงของ มอบเกียรติบัตร และกล่าวนโยบาย–วิสัยทัศน์

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าการพัฒนาสตรีได้ก้าวพ้นรูปแบบ “เวทีเชิญวิทยากร–เวทีกล่าวเปิด” ไปสู่ โครงสร้างร่วมรับผิดชอบ ระหว่างท้องถิ่น–ทหาร–ประชาชน ที่ลงมือทำจริง

ทำอย่างไรให้ “กองร้อยน้ำส้ม” เติบโตได้ตลอดปี

เพื่อให้พลังที่จุดติดแล้วเดินหน้าอย่างยั่งยืน ทีมข่าวสรุปข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนกิจกรรมและข้อเท็จจริงหน้างาน ดังนี้

  1. ตั้งศูนย์ประสานงานสตรีจิตอาสา (ระดับอำเภอ) – ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ออกแบบปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส รับปัญหาจริงจากหมู่บ้าน จับคู่ภารกิจกับหน่วยงาน
  2. คลังความรู้ท้องถิ่นออนไลน์ – รวมคู่มือกิจกรรมชุมชน ป้ายความปลอดภัยสำหรับงานสาธารณะ แบบฟอร์มประสานงานราชการ ให้สตรีเข้าถึงง่าย
  3. งบสนับสนุนจุดเล็ก–เร็ว–เห็นผล – มอบทุนย่อย (micro-grant) สำหรับทีมย่อย 3–5 คนที่พร้อมทำภารกิจนำร่อง เช่น พื้นที่ปลอดภัยเด็ก น้ำดื่มงานชุมชน การคัดแยกขยะคืนรายได้
  4. พี่เลี้ยงข้ามภาคส่วน – จับคู่ “พี่เลี้ยง” จาก อบจ./ มทบ.37/ สภาเด็กและเยาวชน/ สาธารณสุข ให้คำปรึกษารายทีมต่อเนื่อง 3–6 เดือน
  5. ตัวชี้วัดที่คนชุมชนกำหนด – ให้ชุมชนร่วมออกแบบตัวชี้วัด เช่น จำนวนกิจกรรมที่เกิดจริง จำนวนเครือข่ายที่ร่วมมือ หรือจำนวนครัวเรือนที่ได้ประโยชน์ โดยไม่เพิ่มภาระเอกสารเกินจำเป็น

ข้อเสนอนี้มุ่งให้ ภารกิจเล็ก” กลายเป็น “อิฐก้อนเล็ก” ที่ร่วมกันก่อกำแพงความเข้มแข็งของชุมชนได้ทั้งปี

เมื่อสตรีลุกขึ้นนำ—ชุมชนก็ไปต่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาชนบทและพื้นที่ชายแดนมักสะดุดเพราะ “ระยะห่าง” ระหว่างนโยบายกับชีวิตจริง โครงการในครั้งนี้เลือกวิธี ลดระยะห่าง ด้วยการดึง ผู้หญิงที่เป็นหัวใจของครอบครัวและชุมชน เข้ามาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” บนเวทีสาธารณะ สนามฝึกที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ ปลอดภัย–เป็นระบบ–มีวินัย ให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเมื่อ อบจ.เชียงราย แสดงเจตจำนงชัดว่าจะ “เปิดทาง–เปิดเวที–เปิดโอกาส” อย่างต่อเนื่อง พลังสตรีก็มี “รางวิ่ง” ที่ไปได้ไกลกว่าครั้งใด

ในทางข่าว ความเคลื่อนไหววันนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพของพิธีเปิดหรือภาพมอบเกียรติบัตร หากคือ การเปิดฉากบทใหม่ของการพัฒนาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ที่ให้สตรีเป็นแกนกลาง ขับเคลื่อนด้วยวินัยแบบกองร้อยและความสดชื่นแบบน้ำส้ม—รวมเป็น “กองร้อยน้ำส้ม” ที่พร้อมทำงานยาวทั้งปีให้เห็นผลในครัวเรือน–หมู่บ้าน–อำเภอ และในท้ายที่สุด สร้าง สันติสุข ที่จับต้องได้บนแผ่นดินเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News