Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE EDITORIAL

สล่าคำจันทร์ ยาโน ครูศิลป์ของแผ่นดิน 2568 ช่างแกะไม้ระดับโลก

สล่าคำจันทร์ ยาโน ศิลปินแกะสลักไม้แห่งล้านนา รับรางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” ปี 2568

เชียงราย, 15 มิถุนายน 2568 – หมอกบางเบาคลอเคลียยอดดอยในยามเช้าของบ้านถ้ำผาตอง ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ดินแดนที่เงียบสงบแห่งนี้เป็นบ้านของชายผู้มีฝีมือฉกาจในการรังสรรค์ไม้ให้มีชีวิต “สล่าคำจันทร์ ยาโน” ศิลปินแกะสลักไม้ชั้นครู ผู้เพิ่งได้รับการยกย่องเป็น ครูศิลป์ของแผ่นดิน พ.ศ. 2568” จากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (สศท.) ด้วยผลงานที่ผสานภูมิปัญญาล้านนาเข้ากับความคิดสร้างสรรค์สมัยใหม่ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในเวทีโลก

จากแรงบันดาลใจสู่อาชีพช่างแกะสลัก

ย้อนกลับไปในวัยเด็กของสล่าคำจันทร์ เด็กชายจากบ้านถ้ำผาตองมักนั่งมองคุณตาแกะสลักด้ามกระบวยตักน้ำด้วยความประณีต ไม้แต่ละชิ้นถูกขัดเกลาจนกลายเป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตชาวบ้าน “ผมเห็นคุณตาแกะไม้ตั้งแต่เด็ก งานของท่านเหมือนเล่านิทานผ่านลายเส้นบนไม้” สล่าคำจันทร์เล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ความทรงจำนั้นจุดประกายให้เขาเริ่มจับมีดแกะสลักตามรอยคุณตา

แต่เส้นทางสายช่างไม่ได้ราบรื่น ในปี 2549 ภัยแล้งรุนแรงทำให้การทำนาล้มเหลว สล่าคำจันทร์ตัดสินใจหันมาเอาจริงกับงานแกะสลักไม้ “ตอนนั้นลองแกะด้ามกระบวยขาย ปรากฏว่าคนชอบ ผมเลยคิดว่านี่อาจเป็นทางรอดของครอบครัว” เขาย้อนความหลัง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ได้เห็นผลงานของเขา อาจารย์ถวัลย์แนะนำให้เพิ่ม “ชีวิต” ลงในงานแกะสลัก “ท่านบอกว่า ทำชิ้นงานให้มีเรื่องราวเคลื่อนไหวได้สิ ผมจะซื้อเอง” คำแนะนำนั้นจุดไฟในใจสล่าคำจันทร์ เขาเริ่มทดลองใส่กลไกให้หุ่นไม้ขยับได้ เกิดเป็นผลงานที่ไม่เหมือนใคร เช่น หุ่นคนตำข้าว เลื่อยไม้ หรือหาปลา ที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต

งานศิลป์ที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนชุมชน

จากงานแกะสลักชิ้นเล็ก สล่าคำจันทร์พัฒนาสู่ชิ้นงานขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน ผลงานชิ้นเอกอย่าง บ้านพอเพียง” จำลองวิถีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีทั้งคนทำนา นวดข้าว และหาปลา โดยทุกชิ้นเคลื่อนไหวได้ด้วยกลไกมอเตอร์และระบบหยอดเหรียญ “ผมอยากให้งานศิลปะไม่ใช่แค่ของตั้งโชว์ แต่เล่าเรื่องได้และสร้างความตื่นเต้นให้คนดู” เขาอธิบาย

ผลงานชุดนี้เคยจัดแสดงในงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ และสร้างความฮือฮาเมื่อตู้หยอดเหรียญเก็บเงินได้นับแสนบาทจากผู้ชมที่หลงใหลในความแปลกใหม่ ผลงานของสล่าคำจันทร์ยังเดินทางไปไกลถึงญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่สถาบันสมิทโซเนียน ซึ่งยกย่องความสร้างสรรค์ที่ผสมผสานวัฒนธรรมล้านนาเข้ากับนวัตกรรม

แต่สิ่งที่สล่าคำจันทร์ภูมิใจยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนแปลงชุมชนบ้านถ้ำผาตอง เขาก่อตั้งกลุ่มแกะสลักไม้ในชุมชนที่มีสมาชิก 27 คน สร้างรายได้เฉลี่ย 4,500 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน “ผมสอนฟรี โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะอยากให้ศิลปะนี้อยู่รอด” เขากล่าว ลูกศิษย์ของเขาหลายคนเริ่มมีรายได้จากการรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะงานแกะสลักช้างไทยและพระพุทธรูปจากไม้มงคล

ความฝันที่ยิ่งใหญ่ พิพิธภัณฑ์ล้านนา

ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สล่าคำจันทร์วางแผนสร้าง พิพิธภัณฑ์ล้านนา บนที่ดินส่วนตัว 5 ไร่ ออกแบบเป็นหม้อน้ำขนาดยักษ์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 21 เมตร สูงเท่าตึก 9 ชั้น ภายในจะจัดแสดงเครื่องมือวิถีชีวิตล้านนาและผลงานแกะสลักไม้ที่เคลื่อนไหวได้ “ผมอยากให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมเหนือ สร้างงานให้ชาวบ้าน และเป็นมรดกของเชียงราย” เขากล่าวด้วยแววตาเปี่ยมหวัง

อย่างไรก็ตาม สล่าคำจันทร์ยอมรับว่าความฝันนี้ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะด้านงบประมาณและการส่งเสริมให้งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา “ผมอยากเห็นครูช่างพื้นบ้านเข้าไปสอนในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่สอนช่วงสั้นๆ เด็กที่มีแววจะได้พัฒนาฝีมือจริงจัง” เขาเสนอแนะ

ผลกระทบและอนาคตของงานศิลปหัตถกรรม

การได้รับรางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเป็นเกียรติยศส่วนตัวของสล่าคำจันทร์ แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยี งานแกะสลักไม้ของเขาคือตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างมรดกวัฒนธรรมและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ สร้างทั้งรายได้และชื่อเสียงให้ชุมชน

อย่างไรก็ตาม งานศิลปหัตถกรรมยังเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะการขาดแคลนทายาทสืบสานและการแข่งขันกับสินค้าอุตสาหกรรม การที่สล่าคำจันทร์ผลักดันให้ชุมชนมีส่วนร่วมและสอนเด็กรุ่นใหม่ฟรี เป็นแบบอย่างที่ควรขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น หากภาครัฐเพิ่มการสนับสนุนผ่านนโยบายการศึกษาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ล้านนาของสล่าคำจันทร์อาจกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สร้างรายได้หมุนเวียนให้เศรษฐกิจท้องถิ่น

มรดกที่เคลื่อนไหวของล้านนา

จากเด็กชายที่มองคุณตาแกะไม้ สู่ศิลปินที่สร้างชื่อให้ประเทศไทยในเวทีโลก สล่าคำจันทร์ ยาโน คือตัวอย่างของความมุ่งมั่นและความรักในศิลปะที่เปลี่ยนชีวิตทั้งของตัวเขาและชุมชน รางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล ด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์ของเขา วัฒนธรรมล้านนาจะยังคงเคลื่อนไหวและมีชีวิตผ่านผลงานแกะสลักไม้ที่เล่าเรื่องราวของผู้คนและแผ่นดินเหนือไปอีกนาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (สศท.)
  • บทสัมภาษณ์สล่าคำจันทร์ ยาโน, 15 มิถุนายน 2568
  • “สล่าคำจันทร์ ยาโน ผู้บันทึกวิถีชีวิตบนแผ่นไม้,” Mgronline.com, 27 สิงหาคม 2552
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยใส่สนุก มมท.เชียงรายรณรงค์ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายส่งเสริมผ้าไทย “ใส่ให้สนุก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สืบสานภูมิปัญญา

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์สวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวันผ่านโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” โดยมุ่งสร้างความตระหนักในคุณค่าของผ้าพื้นถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าไทย พร้อมผลักดันให้ผ้าไทยเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้นำสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยอำเภอแม่ลาว ลงพื้นที่จัดกิจกรรมรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ณ บ้านแม่ต๊าก หมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะผ้าไทย และการสร้างอัตลักษณ์ที่สง่างามในแบบไทยร่วมสมัย

ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านภูมิปัญญา

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มีเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ประกอบการผ้าพื้นถิ่นทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจ โดยในกิจกรรมที่จัดขึ้น ณ ตำบลบัวสลี ได้มีการสาธิตการพิมพ์ลายผ้าด้วยเทคนิค Eco Print ซึ่งใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ มาสร้างลวดลายเฉพาะตัวบนผืนผ้า เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสืบสานภูมิปัญญาชุมชน

กลุ่มผ้าพิมพ์ลายตำบลบัวสลี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างของการรวมกลุ่มในระดับชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการจัดการ การผลิต และการสร้างเครือข่ายจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งช่วยให้ครัวเรือนในพื้นที่มีรายได้เสริมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

ขยายผลสู่ทุกอำเภอของเชียงราย

บ้านแม่ต๊ากในครั้งนี้ ถือเป็นพื้นที่ที่ 15 จาก 18 อำเภอที่คณะทำงานของชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงรายได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะ พูดคุย ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยมีเป้าหมายให้ทุกอำเภอในจังหวัดเชียงรายมีส่วนร่วมในโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” อย่างทั่วถึงภายในปี 2568

นางสินีนาฏ ทองสุข กล่าวว่า “การส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยไม่ใช่เพียงแค่การแต่งกายให้สวยงาม แต่เป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย การเคารพต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการสร้างรายได้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง”

ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย สมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่ลาว ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว ท้องถิ่นอำเภอแม่ลาว พัฒนาการอำเภอแม่ลาว ตลอดจนผู้นำชุมชน อาทิ กำนันและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

นอกจากการเรียนรู้เทคนิคการพิมพ์ผ้าแล้ว ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอ ผ้าพิมพ์ลาย เครื่องแต่งกายพื้นถิ่น และของที่ระลึกจากชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย

ด้านผู้สนับสนุนโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มองว่าเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและเหมาะสมต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังผันผวน อีกทั้งยังช่วยให้ประชาชนมีความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง

ขณะที่อีกฝ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วน แสดงความคิดเห็นว่า ควรมีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วม และควรเน้นการสร้างตลาดรองรับที่ยั่งยืนมากกว่าการรณรงค์เพียงระยะสั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สามารถนำไปใช้ประกอบการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป

แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมผ้าไทย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าพื้นเมืองมากกว่า 8,000 กลุ่มทั่วประเทศ สร้างรายได้รวมกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีการผลิตและจำหน่ายผ้าไทยสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยในประเทศ

เฉพาะในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนกลุ่มทอผ้าและพิมพ์ผ้ากว่า 360 กลุ่ม ครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ โดยกลุ่มที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มทอผ้าไทลื้อ กลุ่มผ้าชาติพันธุ์อาข่า และกลุ่มผ้า Eco Print ตำบลบัวสลี ซึ่งต่างได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ และการเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยในประเทศไทย (ปี 2567): มากกว่า 8,000 กลุ่ม
  • รายได้รวมจากอุตสาหกรรมผ้าไทยในปี 2567: ประมาณ 2,500 ล้านบาท
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวนกลุ่มผ้าพื้นถิ่น: มากกว่า 360 กลุ่ม (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2567)
  • สัดส่วนผ้าไทยที่ผลิตในภาคเหนือ: ร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยทั้งประเทศ (กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปี 2567)

ทัศนคติแบบเป็นกลาง

จากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แม้จะมีข้อเสนอแนะบางส่วนเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาและการขยายผลในรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในระดับชุมชน

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / สมาคมแม่บ้านมหาดไทย / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย / กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงแสนเปิดกาดอิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น

เชียงแสนจัดงาน “กาดอิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา” ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านวัฒนธรรมท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์หน้าโรงเรียนสามวัยวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้มีพิธีเปิดงาน “กาดอิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา และกิจกรรมข่วงวัฒนธรรมสร้างสรรค์” ภายใต้โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนักวิชาการด้านวัฒนธรรม ได้แก่ นางสาวณพิชญา นันตาดี นางกัลยา แก้วประสงค์ นายจิรัฏฐ์ ยุทธนประวิช นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนายวรพล จันทร์คง ที่เข้าร่วมในงานนี้อย่างพร้อมเพรียง

วัตถุประสงค์และเป้าหมายของงาน

งานนี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานและเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนบ้านสบคำ วัดพระธาตุผาเงา รวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจวัฒนธรรมสร้างสรรค์ โดยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมเข้ากับกิจกรรมการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ ภายในงานยังมีการจัดแสดงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตพื้นบ้านเพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมท้องถิ่นในหมู่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

กิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น

  • การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้แก่ การเต้นบาสโลบ การขับทุ้ม การตีกลองหลวง และการแสดงความสามารถพิเศษของเด็กและเยาวชน
  • การสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทำหัตถกรรมและงานฝีมือ
  • การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม (CPOT) และสินค้าในชุมชน

นอกจากนี้ยังมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าและบริการจากกลุ่มชุมชนต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และเป็นโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมเชียงแสนอย่างใกล้ชิด

ผู้มีเกียรติในพิธีเปิด

งานครั้งนี้ได้รับเกียรติจากพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นอกจากนี้ยังมีนายพลภพ มานะมนตรีกุล นายกเทศมนตรีตำบลเวียง นายสุเทพ ล้อสีทอง ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงแสน รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ องค์กร และเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดครั้งนี้

ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานคึกคัก

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและสนุกสนาน มีประชาชนจากชุมชนบ้านสบคำ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง และนักท่องเที่ยวจำนวนกว่า 200 คน เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ งาน “กาดอิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา” ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แสดงออกทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและเศรษฐกิจในชุมชนอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News