Categories
CULTURE

ฤดูดอกดินในพะเยา ของดีปีละครั้งจากป่า สู่เมนู “ข้าวเหนียวดอกดิน” สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน

พะเยาเข้าสู่ฤดู “ดอกดิน” จากครัวบ้านถึงครัวชุมชน สีม่วงจากป่าที่โผล่เพียงปีละครั้ง สู่เมนูเอกลักษณ์ “ข้าวเหนียวดอกดิน”

พะเยา, 21 กันยายน 2568 — เมื่อม่านฝนแรกคลอเคลียผืนป่าตามแนวเขาเหนือสุดของประเทศ ผืนดินในอำเภอดอกคำใต้ก็แย้มสัญญาณแห่งฤดูกาล—ดอกทรงกรวยก้านแดงอมม่วง “โผล่พ้นดิน” เป็นหย่อมเล็ก ๆ คล้ายฝากะทิ้งไว้กลางผืนใบไม้ชื้น นี่คือ “ดอกดิน” พืชป่าหายากที่มาเยือนชั่วคราวปีละครั้ง สร้างความคึกคักให้ชุมชนที่ต่างรู้คิวและรู้ทางเดินของตัวเองดี—ออกหาแต่เช้าตรู่ เก็บอย่างพอเพียง นำกลับบ้านไปปรุงอาหาร หรือแปรรูปเป็นเมนูที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่ไปแล้วอย่าง “ข้าวเหนียวดอกดิน”

ภาพเช้าหลังฝนในดอกคำใต้จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมเข้าป่าทั่วไป แต่เป็น “ฤดูเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม” ของชุมชน เป็นวิถีที่เชื่อมโยงระหว่างคน ดิน และผืนป่า ผ่านพืชเล็ก ๆ ที่มีอายุบนดินเพียงไม่กี่สัปดาห์

ดอกดินคือใครในเชิงวิทยาศาสตร์ พืชเบียนที่รอฝนก่อนโผล่เหนือดิน

ข้อมูลเชิงวิชาการระบุว่า “ดอกดิน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aeginetia indica L. อยู่ในวงศ์ Orobanchaceae มีลักษณะเป็นพืชเบียน (parasitic plant) ที่ไม่มีใบสีเขียว ไม่สังเคราะห์แสง แต่ใช้ชีวิตใต้ดินเกาะรากพืชเจ้าบ้าน (มักเป็นหญ้าหรือพืชใบแคบ) และจะชูช่อดอกขึ้นเหนือผิวดินในช่วงดินชื้นจัด โดยก้านดอกมีสีแดงอมม่วง ดอกตูมแน่น เมื่อบานจะเห็นกลีบสีม่วง-ชมพูอ่อน ลักษณะทางชีววิทยาเช่นนี้ทำให้ประชากรดอกดินขึ้นเป็นหย่อม ๆ เฉพาะจุด และปรากฏแก่สายตาเพียงช่วงสั้น ๆ ของปี จึงยิ่งเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนที่อยู่ร่วมกับป่าอย่างรู้จักเวลา

จากครัวบ้านสู่ครัวชุมชน ดอกดินในตำรับอาหารและสีธรรมชาติ

ดอกดินเข้าครัวเหนือมาเนิ่นนาน ทั้งในเมนูเรียบง่ายอย่างแกงดอกดิน ผัดดอกดินใส่ไข่ และแกงเลียง แต่สิ่งที่ทำให้ดอกคำใต้เป็นที่รู้จักกว้างขวางคือ “ข้าวเหนียวดอกดิน”—สีม่วงอ่อนชวนมอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ และรสละมุนแบบข้าวใหม่ โดยวิธีทำที่ชาวบ้านเล่าต่อกันคือ นำดอกดินมาต้มคั้นให้ได้ “น้ำสีม่วงธรรมชาติ” แล้วจึงนำไปหุงกับข้าวเหนียวหรือข้าวขาว สีม่วงอ่อนเป็นเอกลักษณ์ของเมนู และยิ่งเด่นเมื่อรับประทานคู่กับกับข้าวพื้นบ้าน

สื่อสาธารณะเคยบันทึกภาพกระบวนการนี้ไว้อย่างชัดเจน ทั้งในรายการสารคดีชุมชนที่ถ่ายทอดวิถีไปจนถึงคลิปสั้นสาธิตการทำสีจากดอกดิน ซึ่งสะท้อนว่า อาหารจานนี้ไม่ได้เป็นแค่ “ของอร่อยตามฤดูกาล” แต่เป็น “อัตลักษณ์ชุมชน” ที่ผสานภูมิปัญญา การจัดการวัตถุดิบ และการสื่อสารของคนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน

อาหารคือยา” สรรพคุณในความเชื่อพื้นบ้านและข้อเท็จจริงที่ควรรู้

ในสายตาชาวบ้าน ดอกดินคือพืชสมุนไพรจากป่าที่ “กินแล้วมีกำลัง” บางตำรับพื้นบ้านยกให้ช่วยบำรุงเลือด แก้ร้อนใน หรือขับปัสสาวะ ความเชื่อและการใช้ประโยชน์ดังกล่าวปรากฏในคลังความรู้สมุนไพรและแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นหลายแห่ง ขณะที่แวดวงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีข้อมูลด้านองค์ประกอบเคมีของสกุลนี้และพืชวงศ์เดียวกันอยู่บ้าง เช่น การศึกษาฐานข้อมูลพืชมีประโยชน์เขตร้อนสรุปภาพรวมชีววิทยาและการใช้ประโยชน์ของ Aeginetia indica ในหลายประเทศเอเชีย อย่างไรก็ดี งานทบทวนเชิงคลินิกเฉพาะ “ดอกดินไทย” ยังมีไม่มากพอให้เคลมสรรพคุณทางการแพทย์อย่างชัดเจนในระดับมาตรฐานสาธารณสุข จึงควรยึดหลัก “กินเป็นอาหาร” มากกว่า “กินเป็นยา” และใช้ความระมัดระวังสำหรับผู้มีโรคประจำตัวหรือหญิงตั้งครรภ์

เศรษฐกิจชุมชนเมื่อฤดูดอกดินมา รายได้เสริมและโอกาสต่อยอด

ฤดูดอกดินในพะเยา—โดยเฉพาะดอกคำใต้—ไม่ใช่แค่ความคึกคักชั่วคราว แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” สร้างรายได้เสริมให้ครัวเรือน เกิดการแบ่งงานกันในชุมชน ตั้งแต่คนออกหา คนคัด คนต้มน้ำสี คนหุงข้าวเหนียว ไปจนถึงการจัดจำหน่ายในตลาดชุมชนและออนไลน์ ผู้สูงวัยมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดภูมิปัญญาเรื่อง “เลือกเก็บเท่าใด เก็บอย่างไร ให้เหลือไว้ปีหน้า” ขณะคนรุ่นใหม่ช่วยสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ “ข้าวเหนียวดอกดิน” กลายเป็นสินค้าที่มี “เรื่องเล่า” ชัดเจน—ป่า ฝน ดิน วิถี และคน—ซึ่งตลาดยุคใหม่ให้คุณค่า

นักพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ลงพื้นที่พะเยามองว่า เมื่อสินค้ามีอัตลักษณ์ชัดและหายากตามฤดูกาล สามารถสร้าง “ความต้องการเชิงประสบการณ์” (experience demand) ได้ดี หากมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ สื่อสารแหล่งที่มา (provenance) และกำกับมาตรฐานความสะอาด-ปลอดภัยอย่างเหมาะสม โอกาสต่อยอดสู่ “ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (culinary tourism)” ก็ยิ่งเห็นภาพ เช่น ทัวร์สั้น ๆ เรียนรู้การออกหาดอกดิน (บนฐานมารยาทป่าและข้ออนุญาตที่ถูกต้อง) การทำสีธรรมชาติ และการหุงข้าวเหนียวดอกดินชุดเล็กสำหรับนักท่องเที่ยว

หาอย่างไรไม่ให้ “ของดีปีละครั้ง” กลายเป็น “ของหายากขึ้นทุกปี”

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นย่อมพาความเสี่ยงเรื่อง “เก็บเกินกำลัง” และ “รุกพื้นที่หวงห้าม” นักพฤกษศาสตร์ไทยชี้ว่า Aeginetia indica เป็นพืชเบียนที่ขึ้นได้เมื่อเงื่อนไขระบบนิเวศเหมาะสม—ชั้นดิน ความชื้น เจ้าบ้าน—หากวงจรนี้ถูกรบกวน อาจทำให้ประชากรลดลงได้ การเก็บจึงต้องยึดหลัก “สั้น-น้อย-แบ่งปัน” (เก็บเฉพาะที่สมควร เก็บให้น้อยกว่าที่เจอเสมอ แบ่งพื้นที่ให้ธรรมชาติ) และ “ไม่รุกเข้าเขตอนุรักษ์/เขตห้ามเก็บ” ซึ่งหน่วยงานป่าไม้และเทศบาลท้องถิ่นต่างย้ำใช้กติกาชุมชนเป็นเครื่องมือแรก ก่อนยกระดับเป็นกฎหมายเมื่อจำเป็น

ชาวบ้านดอกคำใต้เองก็รับรู้โจทย์นี้ดี หลายหมู่บ้านมีกติกา “เว้นจุดเกิดใหม่” ไม่ตัดถอนทั้งกอ เลือกเก็บเฉพาะดอกที่เหมาะแก่การกิน และไม่ใช้เครื่องมือขุดลึกที่ทำลายรากและเชื้อใต้ดิน ซึ่งเป็นความรู้ปฏิบัติที่เกิดจากการอยู่ร่วมกับป่ามานาน

สีม่วงที่แต้มใจ ทำไม “ข้าวเหนียวดอกดิน” จึงติดตรึงฤดูกาล

ในเชิงประสบการณ์ผู้บริโภค “สี” และ “กลิ่น” คือความทรงจำที่ชัดเจน ข้าวเหนียวดอกดินมีสีม่วงอ่อนละเมียด ไม่จัดจ้านแบบสีจากดอกไม้อื่น ให้กลิ่นอ่อน ๆ คล้ายพืชป่า เมื่อจับคู่กับของเคียง—น้ำพริกผัก หรือตำรับเหนือ—ยิ่งเด่น นักสื่อสารอาหารบอกว่า ความพิเศษอยู่ที่ความ “ชั่วครั้งชั่วคราว” (ephemeral) ของวัตถุดิบ มันไม่มาให้คิดทุกวัน จึงบังคับให้ “รอคอย” และทำให้ทุกครั้งที่ได้กิน กลายเป็นเหตุการณ์พิเศษของครัวบ้าน ครัวชุมชน และนักเดินทาง

เสียงสะท้อนจากชุมชน “หาอย่างสบายใจ ขายอย่างพอดี กินอย่างขอบคุณธรรมชาติ”

คำเล่าจากผู้สูงวัยในชุมชนมักลงท้ายคล้ายกัน—“ของดีจากป่ากินได้ปีละครั้ง อย่าเก็บหมด อย่าเก็บเล่น” คนรุ่นใหม่เสริมต่อว่า การขายออนไลน์ช่วยเพิ่มรายได้ แต่ก็ต้อง “เล่าให้หมด” ว่าเก็บอย่างไร ทำไมถึงแพงกว่าข้าวเหนียวทั่วไป เพื่อให้ผู้ซื้อ “ซื้อเรื่อง” และ “ซื้อระบบนิเวศ” ไปพร้อมกับสินค้าหนึ่งห่อ ในบางหมู่บ้าน มีการรวมกลุ่มทำ “แบรนด์หมู่บ้าน” ใส่ป้ายแหล่งที่มา วันทำ วันเก็บ ลงบนซอง เพื่อให้เกิดความภูมิใจร่วมกันและถือเป็น “สัญญากับป่า” แบบไม่เป็นทางการ

โอกาสและการบ้านภาครัฐ มาตรฐานปลอดภัย-การตลาด-การเรียนรู้

ฝ่ายสาธารณสุขท้องถิ่นและพัฒนาชุมชนสามารถเสริมพลังให้ฤดูดอกดิน เช่น

  • อบรมสุขลักษณะขั้นตอนการต้มคั้นสี/การหุง/การบรรจุ เพื่อให้จำหน่ายได้มั่นใจขึ้น
  • สนับสนุนฉลากชุมชนที่ระบุ “ที่มา-วิธีเก็บ-ข้อควรระวัง” และคำแนะนำผู้แพ้ง่าย/กลุ่มเปราะบาง
  • จัดเทศกาลเล็ก ๆ เชื่อม “ตลาด-ท่องเที่ยว-การเรียนรู้” ในช่วงสั้น ๆ ของฤดู พร้อมกำหนดโควตาการเก็บในพื้นที่เปราะบาง
  • ประสานเขตป่า อปท. และผู้นำชุมชน ทำแนวทาง “เก็บยั่งยืน” ที่สื่อสารง่าย เช่น โปสเตอร์/คลิปสั้นในตลาด

ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ “เศรษฐกิจฤดูกาล” เติบโตคู่กับการคงอยู่ของทรัพยากร

ทำอย่างไรให้ “ดอกดิน” อยู่กับพะเยาไปอีกนาน

ข่าวดีคือ ปัจจุบันยังมี “ดอกดิน” โผล่ให้เห็นในหลายหย่อมป่าของดอกคำใต้และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อฝนชุ่มและป่าพร้อม แต่เส้นทางสู่ความยั่งยืนต้องเริ่มวันนี้—ตั้งแต่ผู้เก็บ ผู้ขาย ผู้ซื้อ ไปจนถึงหน่วยงานดูแลป่า ทุกคนมีบทบาทร่วมกัน ความหอมสีม่วงหนึ่งห่อที่ซื้อมาวันนี้จึงอาจมี “ราคาจ่าย” ของระบบนิเวศที่ควรรับรู้และดูแลร่วมกัน

สำหรับผู้มาเยือนพะเยา—ถ้าอยากลิ้มรสข้าวเหนียวดอกดินแท้ ๆ—ให้ถามหาต้นทาง ถามวิธีเก็บ ถามช่วงฤดู และพร้อมจ่าย “ราคาแห่งความยั่งยืน” ที่ช่วยให้ชุมชนตั้งราคาอย่างยุติธรรม ฤดูหน้าจึงยังมีเรื่องเล่าและรสชาติเดิมรออยู่

ท้ายที่สุด ดอกดินไม่ใช่เพียงวัตถุดิบ หากเป็น “นาฬิกาฤดูกาล” ของผู้คน เป็นบทพิสูจน์ว่าความอุดมของป่ายังหายใจ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าความอร่อยที่แท้จริง ต้องไม่ทำร้ายบ้านของมันเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Thai PBS – รายการ “Localist ชีวิตนอกกรุง” ตอน “ข้าวเหนียวดอกดิน”
  • ชนิดพืชและชีววิทยา: “Aeginetia indica – Useful Tropical Plants database”
  • บทความประชุมวิชาการ: “นิเวศวิทยา การกระจายพันธุ์ และวัฏจักรชีวิตของดอกดินสกุล Aeginetia L. (Orobanchaceae) ในประเทศไทย” โดย ศิวเชษฐ ชัยโรจน์ และคณะ, การประชุมวิชาการพฤกษศาสตร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5, 2554 (ฐานข้อมูลหอสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) — ยืนยันนิเวศวิทยา/การกระจายพันธุ์ในไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สดุดีวีรชนผู้กล้า! เชียงราย-พะเยาร่วมกิจกรรมรวมพลังทหารผ่านศึกปกป้องแผ่นดินไทย

เชียงราย-พะเยา รวมพลังทหารผ่านศึก โบกธงสดุดีวีรชนผู้กล้า สะท้อนพลังปกป้องแผ่นดิน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – สดุดีวีรชน สะท้อนจิตวิญญาณรักชาติท่ามกลางความไม่สงบ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่ยังคงเปราะบาง ทั้งทางภาคใต้และชายแดนด้านตะวันออกของประเทศ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้จัดกิจกรรม “รวมพลังทหารผ่านศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย” ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ โดยจังหวัดเชียงรายและพะเยาเป็นจุดหลักของกิจกรรม เพื่อรำลึกและสดุดีวีรชนผู้เสียสละ สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณรักชาติที่ยังคงลุกโชนในใจประชาชนและเหล่าทหารผ่านศึก

สองจังหวัดร่วมแสดงพลัง ณ สถานที่ประวัติศาสตร์

กิจกรรมหลักในพื้นที่จัดขึ้น ณ อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และอนุสรณ์สถานสามผู้กล้า อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีนางมณธิยา กำจาย รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย เป็นผู้นำกิจกรรม พร้อมด้วยกำลังพลจาก ร.17 พัน 4, ทหารกองหนุน และทหารผ่านศึกเข้าร่วมอย่างคึกคัก

ผู้ร่วมกิจกรรมได้พร้อมใจกันร้องเพลงชาติและโบกธงไตรรงค์อย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบนิ่งปนพลังใจอันแน่วแน่ สะท้อนความพร้อมของประชาชนในการยืนหยัดร่วมกับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย

จากเลือดเนื้อสู่จิตวิญญาณทหารไทย

กิจกรรมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความเสียสละในอดีต แต่ยังส่งต่อคุณค่าทางจิตใจและประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศยังคงเผชิญแรงกดดันจากเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดน การแสดงพลังผ่านสัญลักษณ์อย่างธงชาติและบทเพลงรักชาติ ได้กลายเป็นเสาหลักทางจิตใจที่ปลุกความภาคภูมิใจในหัวใจคนไทย

นางมณธิยา กล่าวว่า “การรวมพลังของทหารผ่านศึกทุกนายคือคำตอบว่าความรักชาติไม่มีวันหมดอายุ แม้หมดภารกิจในสมรภูมิ แต่หน้าที่ในการปกป้องจิตวิญญาณชาติยังคงดำรงอยู่”

ความหมายทางสังคมและนัยต่อความมั่นคง

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และสังคมวิเคราะห์ว่า กิจกรรมเช่นนี้มีความสำคัญลึกซึ้งหลายด้าน ได้แก่:

  • การส่งต่อคุณค่าและความภาคภูมิใจ: การมีส่วนร่วมของทหารกองหนุนและทหารประจำการ เป็นการเชื่อมโยงคุณค่าแห่งการเสียสละจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความหมายของคำว่า “ปกป้องแผ่นดิน” ยังคงชัดเจนในสำนึกของคนไทย
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ: ท่ามกลางข่าวความรุนแรงชายแดน การจัดกิจกรรมที่มีสัญลักษณ์ร่วมแห่งชาติ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมพลังใจแก่ทั้งทหาร ครอบครัว และประชาชนในพื้นที่
  • ตอกย้ำความชอบธรรมของรัฐ: พลังร่วมจากภาคประชาชนในการแสดงออกถึงการปกป้องอธิปไตย ย่อมเป็นหลักฐานชัดเจนว่าประชาชนให้การสนับสนุนนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐอย่างแท้จริง

สามัคคีคือรากฐานของความมั่นคง

การรวมพลังครั้งนี้ ยังมีนัยทางการเมืองที่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นการยืนยันต่อสังคมและนานาชาติว่า คนไทยไม่เพิกเฉยต่อภัยคุกคามอธิปไตย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ความสามัคคีและพลังประชาชนคือเกราะสำคัญในการปกป้องเส้นแบ่งแผ่นดินให้ปลอดภัยจากอิทธิพลภายนอก

สถานที่จัดกิจกรรมอย่างอนุสรณ์สถานชายแดน เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจคนรุ่นหลังว่า “สันติภาพมีราคา” และราคานั้นคือชีวิตของวีรชนที่ไม่อาจลืมเลือน

พลังทหารผ่านศึกพลังเงียบที่ยังคงเคลื่อนไหว

แม้หลายคนจะคิดว่าทหารผ่านศึกคือคนที่พ้นภารกิจแล้ว แต่กิจกรรมในครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่า พวกเขายังมีบทบาทสำคัญในสังคม การเคลื่อนไหวอย่างสงบแต่มั่นคงของกลุ่มนี้ คือกำลังเสริมทางจิตใจของชาติ และอาจกลายเป็นพลังสนับสนุนทางนโยบายในยามจำเป็น

ผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 นายทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าทหารผ่านศึกคือเครือข่ายพลังใจที่ยังคงเข้มแข็ง ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางสังคมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน

จากกิจกรรมรำลึก สู่พลังที่เปลี่ยนสังคม

กิจกรรม “รวมพลังทหารผ่านศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย” เป็นมากกว่าพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออกเชิงรูปธรรมว่าความรักชาติยังคงอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกช่วงวัย และเป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง

ความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ทหาร และประชาชนในกิจกรรมนี้ เป็นการแสดงพลังแบบสันติวิธีที่ทรงพลังยิ่ง การปกป้องอธิปไตยไม่จำเป็นต้องใช้เพียงกำลังอาวุธ แต่ใช้พลังใจ ความเข้าใจ และความร่วมมืออย่างแนบแน่นได้เช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย
  • กองทัพบก ร.17 พัน 4
  • สำนักข่าวท้องถิ่นเชียงรายและพะเยา
  • การวิเคราะห์จากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานกิจกรรมจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 มอบกายอุปกรณ์เสริมทหารผ่านศึกเชียงราย

มทบ.37 ส่งมอบกายอุปกรณ์เสริมและเทียม แก่ทหารผ่านศึกพิการเชียงราย-พะเยา เสริมคุณภาพชีวิตด้วยบริการทางการแพทย์ครบวงจร

เชียงราย, 4 กรกฎาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เดินหน้าเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีให้กับทหารผ่านศึกพิการในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา ผ่านภารกิจ “มอบกายอุปกรณ์เสริมและเทียม” ที่ศาลาอเนกประสงค์ สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย โดยมีพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการ มทบ.37 ในฐานะหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย เป็นประธานในพิธีครั้งนี้

ภายในงานได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงจิตติมา ปรีชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และ นางมณธิยา กำจาย รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากกองออร์โธปิดิกส์และกายอุปกรณ์โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ร่วมลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคสนาม จัดตั้งหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อให้บริการตรวจประเมินและจัดทำกายอุปกรณ์เสริมและเทียมแก่ทหารผ่านศึกอย่างครบวงจร

เดินหน้านโยบาย “เข้าถึง-ทั่วถึง-อุ่นใจ” สู่ทหารผ่านศึกทุกพื้นที่

ภารกิจในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสำคัญจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่เน้นการดูแลแบบเชิงรุก โดยนำหน่วยแพทย์ หน่วยทันตกรรม หน่วยกายภาพบำบัด และหน่วยจัดทำกายอุปกรณ์เคลื่อนที่ ออกให้บริการถึงท้องถิ่น เพื่อให้ทหารผ่านศึกและครอบครัวในพื้นที่ห่างไกลได้รับการดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงทั้งการตรวจรักษาโรคทั่วไป โรคกระดูกและข้อ บริการทันตกรรม ตลอดจนการให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือความพิการและฟื้นฟูสมรรถภาพ

ในการให้บริการครั้งนี้ มีทหารผ่านศึกและครอบครัวเข้ารับบริการทั้งสิ้น 83 ราย แบ่งเป็นผู้ที่มารับคำปรึกษาและประเมินด้านกายอุปกรณ์เสริมและเทียม 16 ราย และผู้ที่ได้รับการสงเคราะห์กายอุปกรณ์แล้ว 67 ราย โดยอุปกรณ์ที่มอบให้ในครั้งนี้มีทั้งขาเทียมใต้เข่าแบบแกนในใช้กับฝ่าเท้าวิจัย S-pace จำนวน 5 ข้าง, ขาเทียมใต้เข่าแบบแกนใน 25 ข้าง, ขาเทียมเหนือเข่าแบบแกนใน 6 ข้าง, รถเข็นสำหรับผู้พิการ 9 คัน รวมถึงอุปกรณ์เสริมและเครื่องช่วยความพิการอื่น ๆ ที่จำเป็นเฉพาะบุคคล

กำลังใจ–ความห่วงใย” ที่ส่งถึงคนกล้า

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวในพิธีว่า “ทหารผ่านศึกทุกคน คือผู้เสียสละที่ควรได้รับการดูแลอย่างสมศักดิ์ศรี กายอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ส่งมอบในวันนี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของกำลังใจและความห่วงใยจากกองทัพ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก และองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราตั้งใจให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระและเข้มแข็งในสังคม”

การแพทย์ครบวงจรถึงพื้นที่ – ฟื้นฟูสุขภาพ-จิตใจ-สังคม

กิจกรรมครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกและโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่พร้อมลงพื้นที่ทำงานร่วมกับชุมชน โดยเน้นการฟื้นฟูทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ด้วยการให้ความรู้ในการดูแลตนเอง การฝึกกายภาพบำบัด การประเมินความต้องการเฉพาะด้าน รวมถึงการให้คำแนะนำด้านสิทธิประโยชน์เพื่อเข้าถึงการรักษาและความช่วยเหลือต่อเนื่อง

ผู้รับกายอุปกรณ์ในวันนี้ต่างแสดงความซาบซึ้งในน้ำใจและความห่วงใยจากทุกภาคส่วน มีเสียงสะท้อนจากครอบครัวทหารผ่านศึกหลายรายว่า อุปกรณ์ที่ได้รับช่วยให้ผู้พิการสามารถกลับมาเคลื่อนไหวและมีชีวิตที่มั่นใจอีกครั้ง

วิเคราะห์ความสำคัญ–การขยายผลในอนาคต

การจัดกิจกรรมมอบกายอุปกรณ์และบริการทางการแพทย์เชิงรุกในพื้นที่ห่างไกล ไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทหารผ่านศึก แต่ยังสะท้อนถึงการขับเคลื่อนนโยบายรัฐในการสร้างสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตลอดจนเป็นต้นแบบความร่วมมือข้ามหน่วยงานทั้งด้านสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ และชุมชนในพื้นที่

อนาคต การดำเนินโครงการในลักษณะนี้จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ตามจำนวนผู้พิการสูงวัยและทหารผ่านศึกที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทั้งในมิติการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการคืนคุณภาพชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย

  • โรงพยาบาลทหารผ่านศึก

  • องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารพันธุ์ดี เสริมแกร่ง ศปร.ทบ. ตรวจเยี่ยมเชียงราย-พะเยา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน

มทบ.37 ต้อนรับ ผอ.ศปร.ทบ. ลงพื้นที่เชียงราย-พะเยา ติดตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ–ขยายผล “ทหารพันธุ์ดี” หนุนความมั่นคงยั่งยืน

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – พลเอก พรมงคล พึ่งเสมา ผู้อำนวยการสำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.) พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 จังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา เพื่อติดตามความคืบหน้าและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมถึงโครงการ “โคก หนอง นา” และโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือ

ก้าวสำคัญของการพัฒนาจากพระราชดำริสู่ความมั่นคงชุมชน

เวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ให้การต้อนรับ พล.อ. พรมงคล พึ่งเสมา และคณะ ณ ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย ก่อนเข้าสู่ภารกิจหลัก ได้แก่ การรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานและการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ห้องประชุมพญาเม็งราย บก.มทบ.37 และเยี่ยมชมโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ค่ายเม็งรายมหาราช

จากนั้น คณะฯ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการผลิตแพะพันธุ์แบล็คเบงกอล “เพื่อนช่วยเพื่อน” ของ ร.17 พัน.3 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชทานที่มุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สร้างต้นแบบด้านความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน

ตรวจเยี่ยมและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่สูง

ในการเดินทางครั้งนี้ คณะ สปร.ทบ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลายจุดสำคัญ อาทิ

  • โครงการดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ จังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านหนองห้า อ.เชียงคำ จ.พะเยา
  • โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านสันติสุข อ.ปง จ.พะเยา
  • โครงการทดลองเลี้ยงแกะและสัตว์ปีก บ้านร่มฟ้าทอง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ทุกโครงการล้วนมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของชุมชน ส่งเสริมการเกษตรบนพื้นที่สูง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามแนวพระราชดำริที่เน้นการพึ่งพาตนเอง ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสทางอาชีพ และลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชนบท

ผลักดัน “ทหารพันธุ์ดี” ขยายผลสู่ชุมชน สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อความมั่นคง

การดำเนินงานโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งริเริ่มโดยกองทัพบก ได้ขยายผลอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ร่วมมือกับกรมทหารราบที่ 17 กองพันทหารราบที่ 3 (ร.17 พัน.3) ผลักดันโครงการฝึกอบรมเกษตรกรต้นแบบ การผลิตและกระจายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ (เช่น แพะพันธุ์แบล็คเบงกอล) และการส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสานในพื้นที่ของหน่วยงานทหาร นำไปสู่การส่งเสริมรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่โดยรอบค่ายทหาร

นอกจากนี้ สปร.ทบ. ยังรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงการไปยังชุมชนที่ยังขาดโอกาส และสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนผ่านเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

การลงพื้นที่ติดตามและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการสืบสานแนวคิด “ประชาชนอยู่ดี มีสุข” ผ่านการผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น และประชาชน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคงทางอาหาร อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และผลักดันนวัตกรรมเกษตรในพื้นที่สูงของภาคเหนือ

ในอนาคต การบริหารจัดการและขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุมมากขึ้น จะยิ่งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • สำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.)
  • คณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

พะเยา ขุดพบเจดีย์พันปี สร้างรถไฟเด่นชัย-เชียงราย

พบเจดีย์โบราณพันปีแนวรถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงราย กรมศิลป์เร่งตรวจสอบ ชาวบ้านหวั่นมรดกถูกทำลาย

พะเยา, 25 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย บริเวณใกล้ชุมชนบ้านเจดีย์งามและบ้านสันป่าเป้า ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อมีการขุดพบ “ยอดเจดีย์โบราณ 7 ชั้น” คาดว่ามีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี โดยชาวบ้านเชื่อว่าโบราณวัตถุชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัดพระธาตุนกแซว วัดโบราณที่เคยตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว

ล้อมพื้นที่ ขุดเจดีย์เก่า บ่งชี้แหล่งอารยธรรมโบราณ

บริเวณที่พบวัตถุโบราณ มีการล้อมปิดพื้นที่โดยผู้รับเหมาก่อสร้าง พร้อมติดป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้า อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ได้สังเกตเห็นการขุดเจาะด้วยรถแบ็กโฮ และพบหลุมที่คาดว่าใช้เตรียมวางหม้อรางรถไฟ

เมื่อชาวบ้านสำรวจเพิ่มเติมกลับพบเศษชิ้นส่วนเจดีย์ลักษณะเป็นหินทรายแกะสลัก ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของศิลปกรรม โดยเฉพาะยอดเจดีย์ทรง 7 ชั้น ที่มีลักษณะทางศิลปะล้านนาเด่นชัด สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะจากยุคพุทธศตวรรษที่ 17–18

พระสงฆ์และชาวบ้านร่วมใจ พิธีสูตรถอนก่อนนำไปเก็บรักษา

พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในตำบลท่าวังทอง ได้ร่วมกันประกอบพิธีสูตรถอนตามแบบล้านนาโบราณ เพื่อแสดงความเคารพต่อโบราณวัตถุ ก่อนจะทำการขนย้ายชิ้นส่วนที่พบไปยังวัดเจดีย์งาม เพื่อเก็บรักษาและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่อไป

พระครูประจักษ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์งาม ระบุว่า ชาวบ้านรู้สึกห่วงใยโบราณสถานในพื้นที่ที่อาจจะสูญหายไปกับการก่อสร้างทางรถไฟ โดยไม่ผ่านกระบวนการสำรวจที่เหมาะสม จึงร่วมมือกันขุดค้นและแจ้งเจ้าหน้าที่อย่างเร่งด่วน

กรมศิลปากรเข้าตรวจสอบเบื้องต้น สั่งชะลอการก่อสร้าง

หลังได้รับแจ้งจากประชาชน กรมศิลปากรโดยสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที และยืนยันว่าโบราณวัตถุที่พบมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และควรได้รับการอนุรักษ์

ขณะนี้ได้มีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หยุดการก่อสร้างชั่วคราวในจุดดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้กรมศิลป์ทำการสำรวจทางโบราณคดีอย่างละเอียด โดยจะร่วมมือกับชุมชนในกระบวนการเก็บข้อมูลและศึกษาเชิงลึกต่อไป

แนวรถไฟรุกที่นาเอกชน ชาวบ้านตั้งข้อกังวล

พื้นที่ที่มีการขุดพบยอดเจดีย์นั้น เดิมเป็นที่นาของชาวบ้านซึ่งมีเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้อง แต่ถูกเวนคืนโดยการรถไฟฯ เพื่อใช้ในการวางรางรถไฟสายใหม่ สร้างความกังวลให้กับชาวบ้านว่า อาจมีโบราณสถานอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ

ชาวบ้านบางรายให้ข้อมูลว่า วัดพระธาตุนกแซวในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางศาสนาของชุมชน มีอายุยาวนานกว่าศตวรรษ และคาดว่ามีซากวัดหรืออุโบสถฝังอยู่ใต้ดิน หากไม่มีการสำรวจอย่างรอบคอบ โบราณสถานเหล่านี้อาจถูกทำลายโดยไม่ตั้งใจ

ข้อเสนอจากภาคประชาชน-ขอร่วมเป็นกรรมการสำรวจ

ภาคประชาชนเสนอให้กรมศิลปากรตั้งคณะกรรมการร่วมสำรวจ โดยให้มีตัวแทนจากชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และภาควิชาการเข้าร่วม เพื่อให้การทำงานมีความโปร่งใส และสามารถเก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พระสงฆ์ในพื้นที่ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชนจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำลายรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชุมชนดั้งเดิม

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายชาวบ้านและภาคอนุรักษ์
ชี้ว่า การขุดเจดีย์และพบโบราณสถานในแนวรถไฟครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการสำรวจโบราณคดีก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ พวกเขาเรียกร้องให้ทุกโครงการพัฒนาระดับชาติให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ยังเสนอให้กรมศิลปากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนผังโบราณสถานร่วมกับชุมชน และจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือศูนย์เรียนรู้ เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษาและซึมซับประวัติศาสตร์ของบ้านตนเอง

ฝ่ายหน่วยงานรัฐและโครงการรถไฟ

ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยการเวนคืนที่ดินและเตรียมการก่อสร้างได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว อย่างไรก็ตาม หน่วยงานพร้อมรับฟังและปรับแผนงาน หากพบว่าในพื้นที่มีหลักฐานโบราณสถานที่สำคัญ พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับกรมศิลปากรในการหยุดงานชั่วคราวเพื่อศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • วันที่พบยอดเจดีย์โบราณ: 25 มีนาคม 2568
  • ลักษณะเจดีย์: เจดีย์ 7 ชั้น หินทรายแกะสลัก ศิลปะล้านนา
  • พื้นที่ตั้ง: บ้านเจดีย์งาม – บ้านสันป่าเป้า ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
  • แนวทางรถไฟที่เกี่ยวข้อง: โครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย–เชียงราย
  • หน่วยงานรับผิดชอบ: การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • หน่วยงานสำรวจโบราณคดี: กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • พื้นที่ที่เวนคืน: ที่นามีเอกสารสิทธิ์ของชาวบ้าน
  • ความคืบหน้าล่าสุด: หยุดการก่อสร้างชั่วคราว รอการสำรวจเต็มรูปแบบจากกรมศิลป์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานภาคสนามจากผู้สื่อข่าวท้องถิ่น จังหวัดพะเยา
  • ข้อมูลจากสมาคมอนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนา
  • สำนักงานศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • ข้อมูลโครงการจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ไฟป่า ‘พะเยา’ วิกฤต เผาไข่นกยูง ล่าสัตว์ต้นเหตุ จุดความร้อนพุ่ง

ไฟป่าเวียงลอวิกฤติ พื้นที่ป่าพะเยาเสียหายหนัก นกยูงไทยสูญเสียแหล่งขยายพันธุ์

เจ้าหน้าที่เร่งควบคุมสถานการณ์ไฟป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ

พะเยา,15 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์ ไฟป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ จังหวัดพะเยา ยังคงสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าจากหลายหน่วยงานระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ยังคงพบ จุดความร้อน (Hotspot) มากกว่า 40 จุด ในพื้นที่ โดยเฉพาะใน อำเภอปง เชียงม่วน และจุน ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่อนุรักษ์สำคัญของภาคเหนือ

นายฉกาจ เทพทองปัน หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าพะเยา รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าปฏิบัติการดับไฟป่าตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2568 โดยดำเนินการลาดตระเวนและพักแรมในป่า เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์และเร่งดับไฟ

จากจำนวน 23 จุดความร้อน ขณะนี้สามารถควบคุมได้แล้ว 18 จุด เหลืออีก 5 จุด ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติการ โดยคาดว่าจะสามารถดับไฟได้ทั้งหมดภายในวันนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงพบไข่นกยูงไทยที่ถูกไฟไหม้ สะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบนิเวศในพื้นที่

ไฟป่าพะเยายังรุนแรง จุดความร้อนสะสมสูงสุดของภาคเหนือ

สาเหตุหลักมาจากการล่าสัตว์และหาของป่า

นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า สาเหตุหลักของไฟป่าที่เกิดขึ้นในจังหวัดพะเยา มาจากการลักลอบจุดไฟเพื่อล่าสัตว์ และหาของป่า ส่งผลให้พื้นที่ป่าถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและกระทบต่อสัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะ นกยูงไทย ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

จังหวัดพะเยาได้ประกาศ ปิดป่าทุกพื้นที่ เพื่อควบคุมสถานการณ์ พร้อมดำเนินมาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดจะถูกดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น

มาตรการเร่งด่วนในการควบคุมไฟป่า

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยาได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่า โดยมีการตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ณ ศาลากลางจังหวัดพะเยา และสั่งการให้ ทุกอำเภอเร่งดับไฟและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

ในอำเภอเชียงม่วน ได้สั่งการให้ ผู้นำชุมชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม ดำเนินการดับไฟป่าบริเวณ ป่าบ้านบ่อต้นสัก หมู่ 10 ตำบลบ้านมาง อย่างไรก็ตาม การควบคุมไฟเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากพื้นที่เกิดไฟป่าเป็นภูเขาสูงชันและมีลมพัดแรง

ล่าสุด ช่วงบ่ายของวันนี้ จังหวัดพะเยายังคงพบ จุดความร้อน 25 จุด โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ, อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง และป่าสงวนแห่งชาติในอำเภอปง

มาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่าในระยะยาว

แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ

  1. บูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน – ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายปกครอง อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อส.) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้นำชุมชน กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ร่วมปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและควบคุมไฟป่า
  2. ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังในจุดเสี่ยง – ให้หน่วยเผชิญเหตุเร่งดำเนินการดับไฟให้สนิท และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไฟปะทุซ้ำ
  3. เข้มงวดมาตรการด้านกฎหมาย – กำชับให้ทุกอำเภอ ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษผู้ที่ลักลอบจุดไฟป่าหรือกระทำผิดกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไฟป่าในพะเยา

  • จำนวนจุดความร้อนที่พบในจังหวัดพะเยา 40 จุด (สูงสุดในภาคเหนือ)
  • จุดความร้อนสะสมตั้งแต่ต้นปี 1,253 จุด
  • อำเภอที่พบจุดความร้อนมากที่สุด:
    • อำเภอปง 17 จุด
    • อำเภอเชียงม่วน 8 จุด
    • อำเภอจุน 7 จุด
  • หน่วยงานที่เข้าร่วมภารกิจดับไฟป่าทั้งหมด 90 นาย
  • พื้นที่ไฟป่าที่เกิดจากการลักลอบล่าสัตว์และหาของป่า มากกว่า 60% ของพื้นที่ทั้งหมด
  • จำนวนจุดความร้อนใน 17 จังหวัดภาคเหนือ 113 จุด โดย พะเยาสูงสุด 40 จุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา / สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา/ กองทัพภาคที่ 3 / ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“คาราวานมาเหนือ” กระตุ้นท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

“คาราวานมาเหนือ” เปิดตัวยิ่งใหญ่ กระตุ้นท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 –  โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “คาราวานมาเหนือ” อย่างเป็นทางการ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบูรณาการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการเดินทางเชื่อมโยงในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

ความพร้อมของเชียงรายในการรองรับนักท่องเที่ยว

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความพร้อมของจังหวัดเชียงรายในการรองรับนักท่องเที่ยวว่า เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย มีพรมแดนติดกับสองประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภูมิประเทศของจังหวัดเต็มไปด้วยเทือกเขาสลับกับที่ราบลุ่มแม่น้ำ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามและสมบูรณ์ พร้อมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่หลากหลาย อาทิ วัดร่องขุ่น วัดมิ่งเมือง วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง และจุดชมวิวสำคัญอย่างสามเหลี่ยมทองคำ ดอยตุง และภูชี้ฟ้า ที่นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศหนาวเย็นและวิวทิวทัศน์อันตระการตา นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่ากว่า 30 กลุ่ม เช่น อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง ไทลื้อ และไทใหญ่ ส่งผลให้มีเอกลักษณ์ทางศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และวิถีชีวิตที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก จังหวัดเชียงรายพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ด้วยระบบขนส่งที่สะดวกสบาย โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การจัดคาราวานในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมภาพลักษณ์ของเชียงรายให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักเดินทางทั่วโลก

รายละเอียดของกิจกรรม “คาราวานมาเหนือ”

นางวิภาวี ลีไพบูลย์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ผู้แทนท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการ “คาราวานมาเหนือ” เป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือตอนบน 2 ผ่านเส้นทางท่องเที่ยว โดยมีการออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละจังหวัด ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ท้องถิ่น กิจกรรม “คาราวานมาเหนือ” จะจัดขึ้นตลอดเดือนมีนาคม 2568 ครอบคลุมทั้ง 4 จังหวัด โดยมีอินฟลูเอนเซอร์และนักเดินทางชื่อดังร่วมเดินทางในเส้นทางต่าง ๆ ได้แก่

  • น่าน – แพร่ (7-9 มีนาคม 2568): นำโดย คุณลีโอ พุฒิ, คุณต้า เผ่าพล และคุณเร แม็คโดแนลด์ (รายการเร่ร่อน)
  • เชียงราย – พะเยา (14-16 มีนาคม 2568): นำโดย คุณเร แม็คโดแนลด์
  • เชียงราย – พะเยา (21-23 มีนาคม 2568): นำโดย คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ (วิวไฟน์เดอร์)
  • น่าน – แพร่ (28-30 มีนาคม 2568): นำโดย คุณเบนซ์ ถาวร ภัสสรสิริกุล (เบนซ์ไกจิน – แบกเป้เที่ยวคนเดียว)

ทั้งนี้ คาราวานจะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า และร้านอาหารสำคัญในพื้นที่ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยวในอนาคต

การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นายสุขสันต์ เพ็งดิษฐ์ ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย กล่าวว่า สำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย (อพท.) เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงราย ผ่านกิจกรรมคาราวานเชื่อมโยงเส้นทางสร้างสรรค์ เชียงรายในฐานะเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของยูเนสโก (UCCN) มีศักยภาพโดดเด่นด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรมล้านนา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ อพท. ที่มุ่งพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยใช้เกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) เป็นแนวทางในการพัฒนา อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการนี้ คือ การศึกษาเส้นทางสร้างสรรค์ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 15-18 มกราคม 2568 ซึ่งช่วยให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้เรียนรู้เพิ่มเติมถึงแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

สรุป

โครงการ “คาราวานมาเหนือ” เป็นความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่คาราวานท่องเที่ยว เส้นทางสร้างสรรค์ จนถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : คาราวานมาเหนือ หรือโทร 053 716 434

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. หนุนเลี้ยงจิ้งหรีด สร้างรายได้เสริมมั่นคง

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. หนุนชาวบ้านพะเยาเลี้ยงจิ้งหรีด สร้างรายได้เสริม เลี้ยงง่าย เก็บผลผลิตไว

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้สนับสนุนการเลี้ยงจิ้งหรีดในพื้นที่บ้านปางถ้ำ หมู่ 9 ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับกลุ่มเปราะบางที่มีวิถีชีวิตที่ยากลำบาก

ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการเลี้ยงจิ้งหรีด

โครงการดังกล่าวเน้นเสริมศักยภาพในการสร้างอาชีพเพื่อบรรเทาความยากลำบากของครอบครัวในโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. โดยเล็งเห็นว่า การเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นอาชีพที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่น้อย และลงทุนน้อย แต่สามารถสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ นางแดง ไชยวงค์ อายุ 49 ปี เปิดเผยว่า เธอได้เลี้ยงจิ้งหรีดมาแล้ว 3 รุ่น ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้ในราคากิโลกรัมละ 200-250 บาท โดยสร้างรายได้เสริมให้ครอบครัวได้อย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาและต่อยอดอาชีพในพื้นที่

นายณรงค์ ไข่ทา อายุ 62 ปี อีกหนึ่งผู้ร่วมโครงการในตำบลลอ อำเภอจุน เล่าถึงการพัฒนาเทคนิคการเลี้ยงจิ้งหรีด โดยเขาได้ศึกษาเรื่องการแยกไข่และการเลี้ยงในกรงที่มีพื้นที่เปิดโล่ง ทำให้จิ้งหรีดเจริญเติบโตเท่ากัน สามารถขายได้กรงละ 4-5 กิโลกรัม และโพสต์ขายผ่านโซเชียลมีเดียที่ขายหมดภายในเวลาอันสั้น

นายณรงค์ยังเสริมว่าในอนาคตเขามีแผนจะขยายพื้นที่เลี้ยงให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต โดยคาดการณ์ว่ากรงขนาด 2×2 เมตร จะสามารถสร้างรายได้ต่อรอบการผลิตกรงละ 20,000-25,000 บาท

ต้นทุนต่ำ รายได้สูง

นางย้าย ศรีวิชัย อายุ 59 ปี ผู้ร่วมโครงการอีกคนหนึ่ง เปิดเผยว่าการเลี้ยงจิ้งหรีดช่วยลดต้นทุนอาหาร โดยใช้อาหารหัวร่วมกับพืชผักในพื้นที่ เช่น มะละกอสุก และผักไชยา ซึ่งลดต้นทุนได้มาก และยังสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายเพียงแค่เก็บไข่จากพ่อแม่พันธุ์

นางย้ายยังกล่าวขอบคุณมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ที่เข้ามาสนับสนุนความรู้และเทคนิคการเลี้ยง ทำให้เธอสามารถพัฒนาการเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริม และหวังว่าในอนาคตจะกลายเป็นอาชีพหลักที่มั่นคงของครอบครัว

ผลตอบรับดี เกิดแรงบันดาลใจในชุมชน

โครงการเลี้ยงจิ้งหรีดในจังหวัดพะเยาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในชุมชนอย่างมาก ด้วยต้นทุนการเลี้ยงที่ต่ำ และผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไวภายใน 45 วัน การเลี้ยงจิ้งหรีดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการสร้างรายได้เสริมที่มั่นคง

โครงการนี้สะท้อนถึงแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง โดยมุ่งเน้นการสร้างอาชีพที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนและพัฒนาทักษะอาชีพให้กับครอบครัวเด็กในโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนที่ยังขาดโอกาสในสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พบกาแฟ-ชาคุณภาพ ล้านนาตะวันออกที่เชียงราย

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จับมือจัดงานเทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ร่วมกันจัดงาน “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟและชาในภูมิภาค พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่

งานแถลงข่าวจัดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ณ ร้านอาหารภูภิรมย์ สิงห์ปาร์ค อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากจังหวัดต่างๆ และสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมงาน

ศักยภาพของชาและกาแฟล้านนาตะวันออก

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพในการผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลผลิตที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้จึงเป็นการนำเสนอจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

เป้าหมายของการจัดงาน

  • ส่งเสริมการท่องเที่ยว: สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจ: สร้างเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจชาและกาแฟ
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์: ส่งเสริมให้ผู้ผลิตพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น
  • สร้างรายได้ให้ชุมชน: สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

ไฮไลท์ภายในงาน

  • การแสดงสินค้า: รวบรวมร้านค้าผู้ประกอบการชาและกาแฟกว่า 50 ร้านค้า มาจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์
  • การแข่งขันลาเต้อาร์ต: การแข่งขันสร้างสรรค์ลวดลายบนกาแฟนม
  • กิจกรรมเจรจาธุรกิจ: สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
  • นิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ: นิทรรศการเกี่ยวกับชาและกาแฟ การแสดงวัฒนธรรม และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ

การสนับสนุนจากภาครัฐ

รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกาแฟอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในอาเซียน การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

อนาคตของอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

ด้วยศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติและการสนับสนุนจากภาครัฐ เชื่อว่าอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในตลาดโลกได้

สำหรับ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” 2024 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – วันที่ 1 มกราคม 2568 ตั้งแต่ เวลา 16:00 น. ถึง 22:00 น. ณ สิงห์ปาร์คจังหวัดเชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-5973823 (เวลาทำการ 09.00-16.00 น.) หรือที่
Facebook: Eastern Lanna Coffee & Tea Festival
LineOA : @easternlanna
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE