Categories
TOP STORIES

กฤตศรัทธาพระสงฆ์! นิด้าโพลเผยสังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

นิด้าโพลชี้ชัด! “วิกฤตพระพุทธศาสนา” จุดเปลี่ยนศรัทธาไทย สังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

กรุงเทพมหานคร, 20 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ข่าวพระสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสมยังคงปรากฏบนหน้าสื่อแทบไม่ขาดสาย “ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ “วิกฤตพระพุทธศาสนา!” ซึ่งทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวพุทธทั่วประเทศ 1,310 ราย ระหว่างวันที่ 14–16 กรกฎาคม 2568 สะท้อนความวิตกกังวลของสังคมไทยที่ต้องการปฏิรูปและฟื้นฟูศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างจริงจัง

พระสงฆ์ตัดไม่ขาดทางโลก

ข้อมูลเชิงลึกจากผลโพล ระบุชัดว่าสาเหตุสำคัญที่กัดกินศรัทธาในพระพุทธศาสนา คือพฤติกรรมของพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ “ตัดไม่ขาดจากทางโลก” โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด เหล้า การพนัน ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว รวมถึงการแสวงหาลาภยศและหลงในวัตถุนิยมมากกว่าการมุ่งปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น (76.11% ให้ความเห็นเช่นนี้) ขณะที่อีกกว่า 45% มองว่า พระหลงในตำแหน่งและอำนาจ ทั้งยังมีอีกไม่น้อยที่เห็นว่าวัดกลายเป็น “พุทธพาณิชย์” เน้นธุรกิจ-ผลประโยชน์ มากกว่าการเป็นศูนย์รวมศรัทธา

ในประเด็นการบริหารจัดการวัดร้อยละ 27.63 เห็นว่าขาดความโปร่งใส ขณะที่อีก 25.42% สะท้อนว่าหน่วยงานรัฐและองค์กรดูแลศาสนา “ขาดประสิทธิภาพ” ในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาเหล่านี้

ศรัทธาต่อ “พระสงฆ์” ตกต่ำ แต่รากศรัทธาใน “ศาสนา” ยังมั่นคง

ท่ามกลางมรสุมข่าวฉาว พระสงฆ์ถูกลดศรัทธาลงอย่างชัดเจน – 58.40% ระบุว่าศรัทธาในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่อีก 41.60% ยังคงศรัทธาเท่าเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่ง 68.55% ยังศรัทธาในแก่นแท้ของศาสนาพุทธเท่าเดิม สะท้อนภาพ “ความมั่นคงของหลักธรรม” ท่ามกลางความเปราะบางของบุคคล

ประชาชนหนุน “กฎหมายเข้ม” สะสางพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ผลโพลชี้ชัดว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนสนับสนุนร่าง “พระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ที่จะกำหนดโทษทางกฎหมายทั้งกับพระและฆราวาสที่กระทำผิด เช่น

  • 80.76% เห็นด้วยกับโทษหนักต่อพระสงฆ์ที่ผิดปาราชิก
  • 63.00% เห็นด้วยต่อบทลงโทษพระอวดอุตริมนุสธรรม
  • 44.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน
  • 35.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้ล้อเลียนศาสนา

ขณะที่ประเด็นการลงโทษหญิง-ชายที่สมัครใจเสพเมถุนกับพระ กลับมีเพียง 17% ที่เห็นด้วยอย่างมาก สะท้อนความเห็นที่ยังหลากหลายในสังคม

รากปัญหา-แนวทางแก้ไข

จากผลสำรวจนี้สามารถสังเคราะห์แกนกลางของวิกฤตศรัทธาว่าเกิดจาก

  • พฤติกรรมส่วนบุคคลของพระสงฆ์: การตัดไม่ขาดจากทางโลก การหลงในอำนาจ วัตถุนิยม และการมองศาสนาเป็นอาชีพ มากกว่าเป็นภารกิจแห่งจิตวิญญาณ
  • องค์กรศาสนาอ่อนแอ: ระบบกำกับตรวจสอบพระสงฆ์ วัด และทรัพย์สินยังไร้ประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส
  • ช่องว่างระหว่างหลักธรรมกับการปฏิบัติ: ความเชื่อมั่นในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่ความศรัทธาต่อหลักคำสอนยังมั่นคง

สิ่งที่สังคมต้องการเห็นจากนี้คือ “กลไกจัดการ” ที่เข้มแข็ง – ทั้งการตรวจสอบภายในวัด องค์กรคณะสงฆ์และภาคประชาชนที่สามารถมีส่วนร่วมสอดส่องความโปร่งใส รวมถึงมาตรการทางกฎหมายที่บังคับใช้จริงจังสำหรับทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่มีส่วนสร้างภาพลบให้ศาสนา

ความท้าทาย – ก้าวต่อไป

การสำรวจนี้คือกระจกสะท้อนความคาดหวังของสังคมไทยในวันที่พระพุทธศาสนาอยู่บนทางแยกสำคัญ ถ้ารัฐบาลและองค์กรศาสนาไม่เร่งปฏิรูป–ฟื้นฟูมาตรฐานคุณธรรมของพระสงฆ์–สร้างระบบตรวจสอบโปร่งใส–และยกระดับการใช้กฎหมายที่จริงจัง วิกฤตศรัทธาย่อมยากจะคลี่คลาย

การฟื้นฟูศรัทธาให้กลับมาแข็งแรง ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่คือการสร้างวัฒนธรรมคุณธรรม-ธรรมาภิบาลในองค์กรศาสนา ตลอดจนเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและสื่อมีบทบาทในการตรวจสอบอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

ชาวบ้านร้อง! พระเรี่ยไรเงินบริจาค อ้างวัดดังย่านริมกกทำโครงการปลูกป่า

ชาวบ้านร้อง! พระเรี่ยไรเงินบริจาค อ้างวัดดังย่านริมกกทำโครงการปลูกป่า

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 สำนักข่าวออนไลน์นครเชียงรายนิวส์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ถึงกรณีที่มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง จากวัดชื่อดัง ในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายได้เชิญชวนชาวบ้านและญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ เนื่องในวันวิสาขบูชา ใน “โครงการพระภัทรพลปลูกป่ารักน้ำ” ซึ่งมีการอ้างว่าได้ดำเนินการมาสองสามปี แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยที่จะทำการเพาะปลูกต้นไม้ ณ สถานที่ เขตอุทยานแห่งชาติดอยพระพุทธบาท บ้านปูไข่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เขต
ติดต่อกัน 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลนางแล ตำบลท่าสุด ตำบลป่าตึง ตำบลแม่ยาว ตำบลบ้านดู่ รวม 5 ตำบล และอีก 2 อำเภอ จังหวัดเชียงราย

จากกรณีดังกล่าวนี้ทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสัย ทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์จึงได้ทำการติดต่อสอบถามไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย สายด่วน 1567 โดยทางศูนย์ได้ชี้แจงว่า ไม่มีนโยบายการร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อไปเรี่ยไรเงิน หรือทำโครงการเพื่อไปเก็บเงินชาวบ้าน

ด้านเจ้าอาวาสวัดดังย่านต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงรายกล่าวว่า ทางวัดไม่มีโครงการดังกล่าว และพระสงฆ์รูปที่กระทำการดังกล่าวนี้ ล่าสุดเจ้าคณะอำเภอสั่งให้ออกนอกพื้นที่แล้วและเคยกระทำผิดเช่นนี้มาก่อน โดยอ้างชื่อวัดอื่นเพื่อเรี่ยไรเงินจากชาวบ้าน โดยทางวัดได้มีการว่ากล่าวตักเตือนพระสงฆ์รูปนี้มาแล้วกว่า 3 ครั้ง และถึงแม้ว่าขณะนี้ทางวัดได้มีมติให้ออกจากวัดแล้วแต่พระสงฆ์รูปนี้ก็ยังมีการออกไปเรี่ยไรเงินจากชาวบ้านอยู่ 

ทางเจ้าอาวาสได้ย้ำมากับทางนครเชียงรายนิวส์ว่าทางวัดไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรเงินในครั้งนี้ ขอชาวเชียงรายที่พบพระสงฆ์เดินเรี่ยไรซองผ้าป่าอย่าหลงเชื่อโอนเงินใน“โครงการพระภัทรพลปลูกป่ารักน้ำ” และสังเกตุตราประทับของวัดในจดหมายที่ได้รับ


โดยคำสั่งมหาเถรสมาคม พ.ศ.2539 เรื่อง ควบคุมการเรื่ยไร ระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มหาเถรสมาคมจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 คำสั่งมหาเถระสมาคมนี้ เรียกว่า “คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2539”

ข้อ 2 คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป

ข้อ 3 ตั้งแต่วันใช้คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่องควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2527

ข้อ 4 ในคำสั่งนี้ การเรี่ยไร หมายถึง การขอรวมตลอดถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการ ซึ่งมีการแสดงโดยตรงหรือโดยอ้อม ว่ามิใช่เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการ ตามธรรมดา และให้มีความหมายถึง การออกเรี่ยไร การแจกของฎีกา การบอกบุญบนรถโดยสาร การกั้นรถโดยสาร การใช้ยานพาหนะบรรทุกลูกนิมิต พระพุทธรูป ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ การตั้งองค์กฐินผ้าป่าตามสถานที่ต่าง ๆ การบอกบุญโดยใช้บาตรจำลอง กระบอกไม้ไผ่ กระป๋องผ้าป่า การโฆษณาบอกบุญทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ทางสถานีโทรทัศน์ หรือทางสื่อมวลชนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดหรือบางส่วนไปใช้ในกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง

ข้อ 5 ห้ามมิให้วัดหรือพระภิกษุสามเณรทำการเรี่ยไร หรือมอบหมายหรือยินยอมให้ผู้อื่นทำการเรี่ยไร ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม เพื่อประโยชน์แก่วัดหรือพระศาสนา หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นใด แก่ตนหรือผู้อื่น เว้นแต่ในกรณีที่กำหนดไว้ในคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้

ข้อ 6 ในกรณีที่มีการบำเพ็ญกุศลในวัด ซึ่งเป็นงานประจำปี หรืองานพิเศษ ถ้าจะมีการเรี่ยไร การโฆษณาเรี่ยไร และการรับเงิน หรือทรัพย์สินจากการเรี่ยไร ให้กระทำได้เฉพาะภายในบริเวณวัด ห้ามมิให้กระทำนอกบริเวณวัด

ข้อ 7 ให้มีคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร 2 คณะ

(1) คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนกลาง ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งตามมติมหาเถรสมาคม มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ไม่เกิน 9 มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

(1.1) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไรทั่วประเทศ

(1.2) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไร ทางสถานีวิทยุ ทางโทรทัศน์ และทางสื่อมวลชนอื่น ๆ

(1.3) เพิกถอนการเรี่ยไรทุกประเภทที่ผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่เหมาะสม

(1.4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นเกี่ยวกับการเรี่ยไรตามที่มหาเถรสมคมมอบหมาย

(2) คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนจังหวัด ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัดแต่งตั้ง มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ไม่เกิน 9 โดยมีเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ดังนี้

(2.1) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไรภายในจังหวัด

(2.2) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไรของจังหวัดอื่นที่มาขอเรี่ยไรในจังหวัดที่รับผิดชอบ

(2.3) เพิกถอนการเรี่ยไรภายในจังหวัดที่ผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่เหมาะสม

(2.4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นเกี่ยวกับการเรี่ยไรที่คณะกรรมการเรี่ยไรส่วนกลาง หรือมหาเภรสมาคมมอบหมาย

ข้อ 8 ถ้ามีกรณีจำเป็นจะต้องทำการเรี่ยไรนอกบริเวณวัด เพื่อก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุใด ถาวรวัตถุนั้นต้องได้มีการก่อสร้าง หรือปฏิสังขรณ์ไว้แล้วไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของงานก่อสร้าง หรือปฏิสังขรณ์ทั้งหมด และให้เจ้าอาวาสปฏิบัติดังต่อไปนี้

(1) ให้รายงานขออนุมัติการเรี่ยไร

(1.1) ในกรณีการเรี่ยไรภายในจังหวัด เสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัด เมื่อเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัดเห็นชอบแล้ว ให้เสนอไปยังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนจังหวัดพิจารณา โดยผ่านสำนักงานเจ้าคณะจังหวัด

ในกรณีที่มีความประสงค์จะทำการเรี่ยไรข้ามจังหวัด เมื่อได้รับอนุมัติให้ทำการเรี่ยไรภายในจังหวัดแล้ว ให้ทำเรื่องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของจังหวัดที่จะข้ามไปเรี่ยไร โดยผ่านสำนักงานเจ้าคระจังหวัดเจ้าสังกัด

(1.2) ในกรณีการเรี่ยไรทั่วประเทศ เสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัด เมื่อเจ้าคระภาคเจ้าสังกัดพิจารณาเห็นชอบแล้ว ให้เสนอไปยังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนกลาง เพื่อพิจารณาโดยผ่านสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม

ในรายงานขออนุมัติทำการเรี่ยไรตามความใน (1.1) และ (1.2) ให้แสดงรายการก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์ จำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่จะทำการเรี่ยไร กำหนดเวลาทำการเรี่ยไรและข้อความที่จะโฆษณาเรี่ยไร

(2) เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรตามข้อ 7 (1) หรือ ข้อ 7 (2) แล้ว จึงให้จัดการขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไรต่อไป

(3) ในกรณีได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไรแล้ว ห้ามพระภิกษุสามเณรออกทำการเรี่ยไรด้วยตนเอง และต้องปฏิบัติให้ชอบด้วยวิธีการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไรทุกประการ

(4) เมื่อครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำการเรี่ยไรแล้ว ให้รายงานยอดรายรับรายจ่าย เงินและทรัพย์สินในการเรี่ยไรเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนถึงคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรตามข้อ 7 (1) หรือ ข้อ 7 (2) ที่อนุญาต ผ่านสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัด หรือสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคมแล้วแต่กรณี เมื่อได้ใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินไปในการก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุนั้นเสร็จแล้ว ก็ให้รายงานตามลำดับดังกล่าวข้างต้น

ข้อ 9 พระภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืนคำสั่ง่มหาเถรสมาคม

(1) ถ้ามิได้เป็นพระสังฆาธิการ

(1.1) เมื่อเจ้าอาวาสเจ้าสังกัดได้ทราบความผิดนั้นแล้ว ให้จัดการให้พระภิกษุสามเณรรูปนั้นออกไปเสียจากวัด หากไม่ยอมออก เป็นการขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา ให้ขออรักขาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง และให้บันทึกเหตุที่ให้ออกนั้นในหนังสือสุทธิด้วย หรือ

(1.2) เมื่อเจ้าคณะในเขตที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นได้ทราบความผิดนั้นแล้ว ถ้าผู้ฝ่าฝืนมีสังกัดอยู่ในจังหวัดเดียวกัน ให้แจ้งแก่เจ้าอาวาสผ่านเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัด แต่ถ้ามีสังกัดอยู่ต่างจังหวัด ให้แจ้งแก่เจ้าอาวาสผ่านเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัด เพื่อดำเนินการตามความใน (1.1)

(2) ถ้าเป็นพระสังฆาธิการ ให้เจ้าคณะเจ้าสังกัดพิจารณาลงโทษฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการตามควรแก่กรณี แต่ถ้าพระส้งฆาธิการได้กระทำผิดในเขตจังหวัดที่ตนมิได้สังกัดอยู่ ให้เจ้าคณะในเขตที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นแจ้งแก่เจ้าคระเจ้าสังกัดของผู้กระทำผิดเพื่อดำเนินการดังนี้

(2.1) ในกรุงเทพมหานคร ให้แจ้งแก่เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

(2.2) ในจังหวัดอื่น ให้แจ้งแก่เจ้าคณะจังหวัด หรือเจ้าคณะภาค แล้วแต่จะเห็นสมควร

(2.3) ถ้าปรากฏว่าความผิดตามกรณี (1) หรือ (2) เป็นความผิดอาญาด้วย ย่อมจะมีโทษตามกฎหมายอีกต่างหากจากโทษที่ได้รับจากเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะเจ้าสังกัด

ข้อ 10 คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ มิให้ใช้บังคับแก่การเรี่ยไร ดังต่อไปนี้

(1) การเรี่ยไรในทางการคณะสงฆ์ หรือ

(2) การเรี่ยไรที่มหาเถรสมาคมอนุมัติเฉพาะเรื่อง

สั่ง ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2539

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรานิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE