Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ปิดฉากยิ่งใหญ่ เชียงรายเกมส์ ส่งต่อราชบุรีจัดกรีฑาสูงอายุ

เชียงรายเกมส์ปิดฉาก ราชบุรีรับธงจัดกรีฑาสูงอายุครั้งต่อไป

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 “นครเชียงรายเกมส์” ได้รับการจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีการส่งต่อหน้าที่เจ้าภาพให้แก่ จังหวัดราชบุรี ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันในปีถัดไป

เชียงรายปิดฉาก “นครเชียงรายเกมส์” เตรียมส่งไม้ต่อราชบุรี

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ณ จังหวัดเชียงราย การแข่งขันนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานกรีฑาสูงอายุของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้ประชากรทุกวัยหันมาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

พิธีปิดมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมมากมาย อาทิ นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย, นายสินาด รุ่งจรูญ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดราชบุรี ตลอดจนคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ นักกีฬา และสื่อมวลชน

ประกาศรางวัลนักกีฬาและทีมยอดเยี่ยม

รางวัลนักกีฬาต้นแบบสุขภาพ (สสส.)

  • ชาย: พ.อ.นิพนธ์ สุดใจธรรม (ทีมลำปาง)
  • หญิง: นางกัลยา แก้วประเสริฐ (ทีมลำปาง)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม

  • ชาย: นายดี ใจจุมปา (รุ่นอายุ 95 – 99 ปี) ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย ได้ 6 เหรียญทอง และทำลายสถิติประเทศไทยในรายการ 400 เมตร
  • หญิง: นางสมสง่า บุญนอก (รุ่นอายุ 70-74 ปี) ทีมหนองบัวลำภู ได้ 7 เหรียญทอง ทำลาย สถิติเอเชีย 2 รายการ (กระโดดสูงและกระโดดไกล) และ สถิติประเทศไทย 3 รายการ (วิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, เขย่งก้าวกระโดด)

รางวัลประเภททีม

  • ผู้บริหารทีมกีฬาดีเด่น: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมชนะเลิศคะแนนรวม: อบจ.สงขลา (ทอง 74, เงิน 67, ทองแดง 58)
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: อบจ.นครศรีธรรมราช (ทอง 48, เงิน 49, ทองแดง 39)
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย (ทอง 25, เงิน 15, ทองแดง 17)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 1: ทีมชลบุรี (ทอง 24, เงิน 19, ทองแดง 9)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 2: ทีมจังหวัดหนองบัวลำภู (ทอง 17, เงิน 2, ทองแดง 4)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 3: ทีมจังหวัดนครราชสีมา (ทอง 14, เงิน 13, ทองแดง 5)
  • 1st International Team Total Score for TMAC: TEAM MALAYSIA

เชียงรายส่งต่อเจ้าภาพให้ราชบุรี เตรียมสู้ศึกปี 2569

หลังจากการแข่งขันที่เชียงรายประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะจัดขึ้นที่ จังหวัดราชบุรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสานต่อความสำเร็จและพัฒนาวงการกรีฑาสูงอายุไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

นครเชียงรายเกมส์” ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงในทุกช่วงวัย” – นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ กล่าว

การแข่งขันกรีฑาสูงอายุไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับนักกีฬา แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนทุกช่วงวัยให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ

ราชบุรีเตรียมพร้อมรับเป็นเจ้าภาพในปีหน้า การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาวงการกีฬาไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

ผลสำรวจเผย เงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาล

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่ได้รับเงิน 10,000 บาท การสำรวจดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,310 คน ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับเงินหรือมีสมาชิกในครอบครัวได้รับเงินจากโครงการดังกล่าว กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ

ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนรัฐบาล ดังนี้:

  • ร้อยละ 44.89 ระบุว่าการได้รับเงินมีส่วนช่วยให้สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 30.69 ระบุว่ามีหรือไม่มีโครงการนี้ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว
  • ร้อยละ 14.35 ระบุว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 10.07 ระบุว่ายังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร

การสำรวจใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยมีค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0

การใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อสอบถามถึงการใช้จ่ายเงินที่ได้รับ พบว่าผู้สูงอายุมีแนวทางการใช้จ่ายดังนี้:

  • ร้อยละ 86.18 ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ และน้ำมันเชื้อเพลิง)
  • ร้อยละ 26.26 ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค พบแพทย์)
  • ร้อยละ 13.66 ใช้หนี้สิน
  • ร้อยละ 11.98 เก็บออมไว้ใช้ในอนาคต
  • ร้อยละ 9.24 ใช้ลงทุนการค้า
  • ร้อยละ 8.70 ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา
  • ร้อยละ 4.35 ใช้ซื้อหวยและสลากกินแบ่งรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.76 ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ร้อยละ 0.53 ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร
  • ร้อยละ 0.46 ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
  • ร้อยละ 0.38 ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาสูบ)

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

เมื่อพิจารณาข้อมูลประชากรของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า:

  • ที่อยู่ตามภูมิภาค:
    • ร้อยละ 9.31 กรุงเทพฯ
    • ร้อยละ 19.01 ภาคกลาง
    • ร้อยละ 20.92 ภาคเหนือ
    • ร้อยละ 31.60 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • ร้อยละ 12.29 ภาคใต้
    • ร้อยละ 6.87 ภาคตะวันออก
  • เพศ:
    • ร้อยละ 43.05 เป็นเพศชาย
    • ร้อยละ 56.95 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 69.08 อายุ 60-69 ปี
    • ร้อยละ 27.94 อายุ 70-79 ปี
    • ร้อยละ 2.98 อายุ 80 ปีขึ้นไป
  • ศาสนา:
    • ร้อยละ 97.56 นับถือศาสนาพุทธ
    • ร้อยละ 1.98 นับถือศาสนาอิสลาม
    • ร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ
  • สถานภาพสมรส:
    • ร้อยละ 3.59 โสด
    • ร้อยละ 92.82 สมรส
    • ร้อยละ 3.59 หม้าย หย่าร้าง หรือแยกกันอยู่
  • ระดับการศึกษา:
    • ร้อยละ 1.22 ไม่ได้รับการศึกษา
    • ร้อยละ 61.60 จบการศึกษาประถมศึกษา
    • ร้อยละ 20.00 จบมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 5.19 จบอนุปริญญาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 10.69 จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 1.30 จบสูงกว่าปริญญาตรี
  • อาชีพ:
    • ร้อยละ 0.15 ข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
    • ร้อยละ 0.23 พนักงานเอกชน
    • ร้อยละ 16.95 เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ
    • ร้อยละ 20.53 เกษตรกร/ประมง
    • ร้อยละ 15.04 รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน
    • ร้อยละ 47.10 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน
  • รายได้เฉลี่ยต่อเดือน:
    • ร้อยละ 41.07 ไม่มีรายได้
    • ร้อยละ 10.08 ไม่เกิน 5,000 บาท
    • ร้อยละ 22.06 ระหว่าง 5,001-10,000 บาท
    • ร้อยละ 15.34 ระหว่าง 10,001-20,000 บาท
    • ร้อยละ 3.89 ระหว่าง 20,001-30,000 บาท
    • ร้อยละ 2.60 ระหว่าง 30,001-40,000 บาท
    • ร้อยละ 1.22 ระหว่าง 40,001-50,000 บาท
    • ร้อยละ 0.15 มากกว่า 80,001 บาท
    • ร้อยละ 3.59 ไม่ระบุรายได้

บทสรุป

ผลสำรวจของนิด้าโพลระบุว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่มอบเงิน 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาลในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่นำเงินไปใช้เพื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและสุขภาพเป็นหลัก โดยรัฐบาลยังคงเผชิญกับความเห็นที่แตกต่างในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ และความยั่งยืนของโครงการในระยะยาวจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้สูงอายุแม่จัน สร้างสุขภาพอย่างยั่งยืน

อบจ.เชียงรายร่วมกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้สูงอายุ อ.แม่จัน พร้อมส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมพบปะและให้กำลังใจผู้เข้าร่วมกิจกรรม “โครงการเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้สูงอายุ อำเภอแม่จัน (ช่วงผญ้า)” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โครงการการกีฬาและนันทนาการประชาชนจังหวัดเชียงราย โดยมีนายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และนายสมศักดิ์ พรมมณี ประธานชมรมผู้สูงอายุ อำเภอแม่จัน กล่าวรายงาน นอกจากนี้ ยังมีนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น รองประธานสภา อบจ.เชียงราย นายชินกร ก๊อใจ และนางปาริชาติ จิระมณี สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่และท้องถิ่น ร่วมพิธีเปิดอย่างคับคั่ง

กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพ เชื่อมความสัมพันธ์ชุมชน

โครงการนี้มุ่งเน้นส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ ผ่านการจัดกิจกรรมการออกกำลังกาย การนันทนาการ และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้สูงอายุในอำเภอแม่จัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรผู้สูงอายุถึง 24.35% ของประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประสบปัญหาสุขภาพ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่มักพบร่วมกัน การจัดกิจกรรมจึงช่วยสร้างเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและคนในชุมชน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 ล้านคน อำเภอแม่จันเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน โดยมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ต้องการการดูแลและส่งเสริมสุขภาพอย่างเหมาะสม กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและปัญหาด้านสุขภาพของผู้สูงอายุในพื้นที่

ภาคีเครือข่ายร่วมมือเสริมศักยภาพผู้สูงวัย

เพื่อให้การส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุในอำเภอแม่จันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ องค์กรท้องถิ่น และเครือข่ายชุมชน การบูรณาการการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวไม่เพียงช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมและช่วยเหลือสังคมได้อย่างมีคุณค่า

สรุปภาพรวมและเป้าหมาย

กิจกรรมนี้นอกจากจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน สร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อบจ.เชียงรายจึงมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาผู้เสียชีวิตโดดเดี่ยว พุ่งสูงเกือบ 4 หมื่นคนในครึ่งปีแรก

 

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตทางสังคมที่น่ากังวล เมื่อรายงานจากสำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีผู้เสียชีวิตในบ้านอย่างโดดเดี่ยวสูงถึง 37,227 คน จากจำนวนศพทั้งหมด 102,965 ศพที่ถูกส่งมาชันสูตร ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยศพเหล่านี้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่มีครอบครัวหรือผู้ดูแล และบางรายใช้เวลามากกว่า 1 เดือนกว่าจะมีผู้มาพบศพ

รายงานระบุว่ากว่า 70% ของผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี ขึ้นไป จำนวน 7,498 คน และผู้ที่มีอายุระหว่าง 75 ถึง 79 ปี อีก 5,920 คน และอายุระหว่าง 70 ถึง 74 ปีอีก 5,635 คน ทั้งนี้ สถิติที่น่าตกใจเพิ่มเติมคือจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 3,936 คน ถูกพบหลังจากผ่านไปมากกว่า 1 เดือน และยังมีอีกไม่ต่ำกว่า 130 คน ที่ศพถูกพบหลังจากเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวสะท้อนถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก จากรายงานของสหประชาชาติ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะพยายามแก้ไขปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่การจัดการกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากลำบาก

นอกจากปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแล้ว ญี่ปุ่นยังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งทำให้วิกฤตสังคมผู้สูงอายุนั้นรุนแรงขึ้น โดยผลสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปีนี้ มีทารกเกิดใหม่เพียง 350,074 คน ลดลง 5.7% จากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว นับว่าเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์นี้ยิ่งสร้างความกังวลต่ออนาคตของญี่ปุ่น โดยสถาบันวิจัยประชากรและความมั่นคงทางสังคมแห่งชาติของญี่ปุ่นได้คาดการณ์ว่า จำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.8 ล้านคนภายในปี 2050 หรืออีกประมาณ 26 ปีข้างหน้า และในปีเดียวกัน คาดว่าจะมีผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 23.3 ล้านคน

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีใต้ก็กำลังเผชิญกับปัญหาลักษณะเดียวกัน โดยจีนพบว่าประชากรลดลงสวนทางกับอัตราการเกิดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1961 ขณะที่เกาหลีใต้ในขณะนี้ได้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลกแล้ว

รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นเตรียมที่จะยื่นเรื่องไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนี้ และหวังว่ารายงานนี้จะช่วยสร้างความตระหนักถึงวิกฤตประชากรสูงอายุที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ปัญหาการเกิดของประชากรและการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีสังคมสูงอายุและอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายติดอันดับที่ 11 ของประเทศ หลังไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

 

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายถึงการมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาหลายปีแล้ว โดยทางกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รวบรวมสถิติมาจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งสรุปข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 พบว่าประชากรไทยมีทั้งหมด 64,989,504 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป 13,450,391 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.70%

 

เมื่อจำแนกตามช่วงวัย พบว่ามีกลุ่มอายุ 60 – 69 ปี จำนวน 7,593,731 คน กลุ่มอายุ 70-79 ปี มีจำนวน 3,987,082 คน กลุ่มอายุ 80 – 89 ปี มีจำนวน 1,516,689 คน กลุ่มอายุ 90 – 99 ปี จำนวน 311,470 คน และกลุ่มอายุ 100 ปีขึ้นไป มีจำนวน 41,419 คน โดยจังหวัดที่มีผู้สูงอายุ อายุ 100 ปีขึ้นไปมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 7,470 คน ตามด้วยนนทบุรี 1,729 คน ชลบุรี 1,310 คน เชียงใหม่ 1,296 คน นราธิวาส 1,232 คน สงขลา 1,132 คน นครศรีธรรมราช 1,131 คน นครราชสีมา 1,130 คน ยะลา 1,099 คน และปัตตานี 1,078 คน

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประชากรในพื้นที่ พบว่า

  1. ลำปาง ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.83 % หรือจำนวน 203,111 คน จากจำนวนประชากร 704,473 คน
  2. แพร่ ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.18 % หรือจำนวน 119,225 คน จากจำนวนประชากร 423,758 คน
  3. ลำพูน ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.00 % หรือจำนวน 110,397 คน จากจำนวนประชากร 397,345 คน
  4. สิงห์บุรี ผู้สูงอายุคิดเป็น 27.60 % หรือจำนวน 55,251 คน จากจำนวนประชากร 200,190 คน
  5. พะเยา ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.89% หรือจำนวน 122,050 คน จากจำนวนประชากรในพื้นที่ 456,572 คน
  6. ชัยนาท ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.38 % หรือจำนวน 82,961 คน จากประชากรไทยในพื้นที่ 314,839 คน
  7. สมุทรสงคราม ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.30 หรือจำนวน 48,875 คน จากจำนวนประชากรในพื้นที่ 187,394 คน
  8. อ่างทอง ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.70 % หรือจำนวน 69,199 คน จากจำนวนประชากร ในพื้นที่ 269,274 คน
  9. อุตรดิตถ์ ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.64% หรือจำนวน 112,031 คนจากประชากรในพื้นที่ 438,060 คน
  10. เชียงใหม่ ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.50 % หรือจำนวน 416,884 คน จากจำนวนประชากรไทยในพื้นที่ 1,797,138 คน

จังหวัดเชียงรายที่ติดอันดับที่ 11 ในการมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดของประเทศ คิดเป็นผู้สูงอายุ 25.44% หรือจำนวน 295,987 คน จากประชากร ในพื้นที่ 1,297,666 คน

เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. **สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ**: เชียงรายมีอากาศที่บริสุทธิ์และภูมิประเทศที่งดงาม ทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
  2. **การสนับสนุนจากชุมชนและครอบครัว**: ชุมชนในเชียงรายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และครอบครัวมักให้การดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข
  3. **การเข้าถึงบริการสาธารณสุข**: เชียงรายมีการจัดการและบริการสาธารณสุขที่ดี โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งรวมถึงการมีศูนย์บริการสุขภาพที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร

สรุปแล้ว การที่จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพแวดล้อมที่ดี การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน และการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย ร่วมเปิดงานวัฒนธรรมสายใยชุมชน ต.สันทราย ปี 67

 
เมื่อวันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2567 เวลา 08.30 น. นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ต.สันทราย ประจำปี 2567 โดยมีนายสมบูรณ์ ศรีเมืองแก้ว กำนัน ต.สันทราย กล่าวต้อนรับ นายมงคล สุภามณี นายกเทศมนตรี ต.สันทราย กล่าวรายงาน และมีนายวีระศักดิ์ มโนวรรณ รองนายกเทศมนตรี ต.สันทราย นายบุญเงิน อายุยืน รองนายกเทศมนตรี ต.สันทราย นางณัชชา ชัยวงค์ ประธานสภา ทต.สันทราย ส.ทต.สันทราย ผู้นำท้องถิ่น กลุ่มพัฒนาสตรี ชมรมผู้สูงอายุ และประชาชนในพื้นที่ ต.สันทราย อ.เมืองเชียงราย เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ ณ วัดสันทรายหลวง ม. 1 ต.สันทราย อ.เมืองเชียงราย
 
 
และในเวลา 10.30 น. นายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ร่วมเป็นเกียรติมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ที่ได้รับรางวัล ผู้สูงอายุที่มีคุณค่า ต.สันทราย ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีอายุ 70 ปีขึ้นไป ครอบครัวร่มเย็น 12 ครอบครัว คนดีศรีสันทราย ประจำปี 2567 และได้ร่วมพิธีรดน้ำดำหัวผู้แทนผู้สูงอายุทุกหมู่บ้านในพื้นที่ ต.สันทราย
ภายในงาน มีการเดินขบวนวัฒนธรรม ต.สันทราย นิทรรศการด้านวัฒนธรรม การเเสดงวัฒนธรรม อาทิ ซอพื้นเมือง เเละสล้อซอซึง การเเข่งขันลาบเมือง ประกวดตัดตุง การประกวดการประดิษฐ์บายศรีสู่ขวัญ การประกวดร้องเพลงผู้สูงอายุสันทราย การประกวดส้มตำลีลา เเละการจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ มากมาย สร้างความสมัครสมานสามัคคีระหว่าง องค์กร ชุมชน และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับการส่งเสริมกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน และเศรษฐกิจของ จ.เชียงราย อีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“วันชัย” เปิดศูนย์ Day Care ดูแลผู้สูงวัย 4 มุมเมือง เชียงราย

 
เทศบาลนครเชียงราย เปิด “ศูนย์ Day Care ดูแลผู้สูงวัย 4 มุมเมือง” ให้มีพื้นที่ที่ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข
 
 
การที่เราจะเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน หรือเมืองคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมได้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่สุด คือสุขภาพของพี่น้องประชาชน การไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นลาภอันประเสริฐ ทำให้พี่น้องประชาชนไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
 
 
สิ่งหนึ่งที่เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงรายได้ส่งเสริม คือการเพิ่มพื้นที่สาธารณะ หรือพื้นที่สีเขียว ให้พี่น้องประชาชนได้ออกกำลังกาย โดยความร่วมมือจากชุมชนและหน่วยงานต่างๆ รวมถึง สสส.และ สปสช.
 
 
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย จนถึงผู้สูงวัยอย่างครบวงจร นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ได้ให้มีการจัดตั้งกองการแพทย์ และตามมาด้วยศูนย์สาธารณสุข 4 มุมเมือง เพื่อความสะดวกของพี่น้องประชาชน และยังเป็นการลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยได้รับความกรุณาจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในด้านการแพทย์ พยาบาล ยารักษา ที่เหมือนกับโรงพยาบาล มาใช้ในศูนย์สาธารณสุขทั้ง 4 แห่ง (สันหนอง, น้ำลัด, สันตาลเหลือง และหัวฝาย) รวมถึงจัดให้บริการรถสาธารณะพาไปตรวจสุขภาพประจำปี โดยความร่วมมือกับ สปสช.ผ่านความเข้มแข็งของพี่น้อง อสม.ซึ่งเป็นผู้ที่เสียสละอย่างเต็มเปี่ยมในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง
 
 
นายวัยชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เชื่อมั่นว่าจะสามารถจัดตั้ง “ศูนย์ Day Care ดูแลผู้สูงวัย ต่อเนื่อง 4 มุมเมือง” ให้มีพื้นที่ที่ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข และช่วยลดความกังวลของลูกหลาน ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันกับผู้สูงวัย กลุ่มแม่บ้าน น้องๆ เยาวชน ให้นครเชียงรายเป็นเมืองน่าอยู่ระดับโลกของคนทุกๆ วัยต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL NEWS

ความยากจนผู้สูงอายุปัญหาท้าทายของประเทศไทย

ความยากจนผู้สูงอายุปัญหาท้าทายของประเทศไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

วันที่ 27 พฤษภาคมปีนี้ ครบรอบ 1 ปีที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาและเห็นชอบรายงานการศึกษาเรื่อง “แนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ” โดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสวัสดิการสังคม เพื่อให้สภาส่งต่อไปยังรัฐบาล ให้พิจารณาดำเนินการตามรายงานและข้อสังเกตต่อไป ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายความคุ้มครองความยากจน แหล่งรายได้ และ การบูรณาการระบบบำนาญของประเทศ เป็นต้น

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาได้มีเสียงสะท้อนในสังคม ทำให้ทุกท่านน่าจะตระหนักดีว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว โดยสัดส่วนของประชากรวัยทำงานกำลังลดลง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความยากจนในครัวเรือนผู้สูงอายุ

เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน รายงานธนาคารโลกเรื่อง “การลดปัญหาความยากจนของผู้สูงอายุในประเทศไทย:บทบาทของโครงการบำนาญและการช่วยเหลือทางสังคม” ปี 2555 ระบุว่า รัฐบาลมีโครงการบำนาญหลายโครงการเพื่อรับมือกับปัญหา แต่ก็ยังมีสิ่งที่ประเทศไทยสามารถจะทำได้อีกมากเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการคุ้มครองความยากจน

เนื่องจากประเทศไทยมีโครงการบำนาญอยู่ 8 โครงการ ครอบคลุมประชากรกลุ่มที่แตกต่างกัน ได้แก่ ประกันสังคม มาตรา 33 และ 39, กบข. และ บำนาญข้าราชการ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), และ ประกันสังคม มาตรา 40 ดังนั้น การที่ไม่มีนโยบายบำนาญแห่งชาติที่ชัดเจน จึงทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและขาดการประสานงานระหว่างแต่ละหน่วยงานที่ดูแลโครงการบำนาญต่างๆ

ลักษณะสำคัญบางประการของระบบบำนาญของประเทศไทย คือ  สิทธิประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับผู้ที่ไม่ได้ยากจน, มีเพียงระบบ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เท่านั้นที่มีความครอบคลุมผู้สูงอายุได้แบบถ้วนหน้า, หลายโครงการมีข้อจำกัดด้านกรอบกฎหมายไว้ไม่เพียงพอ ไม่มีหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแล เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือทำหน้าที่กำกับดูแลด้านการเงินโดยรวม, และ ไม่มีนโยบายบำเหน็จบำนาญระดับชาติที่มีความเชื่อมโยงกัน

รายงานธนาคารโลกฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ประเทศไทยมีโครงการบำนาญมากเกินไป จึงควรพิจารณาบูรณาการแต่ละโครงการเข้าด้วยกัน และ มีการปรับเปลี่ยนระบบบำนาญทั้งหมด โดยมุ่งเน้นที่การลดความยากจนในผู้สูงอายุ, ตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลโครงการบำนาญ, และ กำหนดความรับผิดชอบ (accountability) ที่ชัดเจนไว้ในนโยบายบำนาญรวม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามาพิจารณาสภาพในปัจจุบัน ปี 2566 คนจำนวนมากที่ยากไร้โอกาสตั้งแต่กำเนิด ก็ยังคงไม่มีระบบรองรับทางสังคม (social safety net) ด้านความยากจนในวัยชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยยังไม่มีระบบการออมที่สามารถครอบคลุมทุกคนในวัยทำงาน เหมือนหลายประเทศพัฒนาแล้วที่บังคับให้ทุกคนต้องอยู่ในระบบ และ มีข้อน่ากังวลที่เบี้ยยังชีพขั้นพื้นฐานต่ำเกินไปจนไม่สามารถคุ้มครองความยากจนได้ และเป็นอัตราที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามภาวะเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องความยากจนผู้สูงอายุในมุมมองของระบบความคุ้มครองทางสังคม จำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหาความเป็นธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ และ ความเหลื่อมล้ำแบบรวยกระจุกจนกระจาย เพราะคนที่เกิดมาในพื้นที่ขาดแคลน ไม่มีโอกาสทางการศึกษา ต้องทำงานเป็นแรงงานราคาถูก มีรายได้เติบโตไม่ทันค่าครองชีพ ทำงานจนเกษียณก็ไม่มีทางลืมตาอ้าปาก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงวัยทำงานจะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็ได้ร่วมจ่ายภาษีผ่านการบริโภค เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้า ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ภาษีศุลกากร ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาษีรถยนต์ ภาษีรถจักรยานยนต์ ภาษีแบตเตอรี่ ภาษีสุราและยาสูบ เป็นต้น

ดังนั้น เราควรที่จะมีการจัดสรรทรัพยากรเพื่อทำให้สังคมโดยรวมมีระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อันจะส่งผลทางบวกต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เร็วกว่า และ ช่วยให้สังคมมีความปรองดอง ซึ่งหากใช้เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ ก็ควรที่จะใช้นโยบายการคลัง เพื่อจัดสรรให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม

ดังที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ ถ้าจะไปอย่างเต็มสูบ ไม่รื้อระบบภาษีครั้งใหญ่ ผมไม่คิดว่าจะทำได้ ทั้งหมดนี้เพื่อปูทางไปสู่แนวคิดที่ว่า ทุกคนจะต้องมีหลักประกัน ถ้ารัฐยังไม่มีกำลัง ก็ต้องมีการร่วมจ่าย … การเมืองประชาธิปไตยมันช่วยแน่ ๆ” และ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า “ที่ผ่านมาคนรวยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนส่วนใหญ่ของประเทศน้อยเกินไป คนกลุ่มนี้ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากคนในชาติ หากเราสามารถคำนวณ Effective Tax Rate ของคนรวยได้ เราน่าจะเห็นช่องทางในการเก็บภาษีได้อีกมาก” (โครงการวิจัย ระบบบำนาญแห่งชาติ, 2566)

ขณะนี้เรารอการผลการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะอีก 3-4 เดือน จึงจะรู้ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคใดจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนโยบายบำนาญ ซึ่งข้อเสนอพรรคการเมืองที่หาเสียง มีตั้งแต่นโยบายขายฝันดีจนสื่อไม่นำไปลงข่าว ไปจนกระทั่งนโยบายที่กำหนดเป้าหมายระบบความคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ พร้อมทั้งระบุแหล่งที่มาของรายได้ เช่น ตัดลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และ ใช้ภาษีก้าวหน้าที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ

แม้บำนาญประชาชนจะเป็นข้อเรียกร้องจากทั้งภาคประชาชน ภาควิชาการ รวมทั้งเป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในปัจจุบันที่สะท้อนความต้องการของสังคม ซึ่งภาคการเมืองให้ความสนใจอย่างจริงจัง แต่จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันก็ประเมินได้ถึงอุปสรรคสำคัญในทางปฏิบัติ

เพราะแม้ว่ากลุ่มที่ถูกคาดหวังจากเจตจำนงของประชาชนจะให้เป็นพรรครัฐบาล มีเป้าหมายการขับเคลื่อนเรื่องนี้ แต่ยังต้องเผชิญกับเงื่อนไขและความไม่แน่นอนทางการเมืองอื่น ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มการเมืองเดิมหรือกลุ่มอำนาจทุนเดิมบนยอดปิรามิดที่อาจเสียประโยชน์ เพราะการพัฒนาบำนาญประชาชน จะต้องมีการปฏิรูปด้านภาษีและงบประมาณ แล้วจัดสรรให้แบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนขอเรียนให้ทุกท่านโปรดช่วยกันพิจารณาว่า หากไม่ทำอะไรเลย งบประมาณสำหรับผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในสองทศวรรษข้างหน้า โดยส่วนมากมาจากงบบำนาญข้าราชการ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นไปพร้อมกับงบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ดังนั้น ในเมื่อประเทศไทยจำเป็นต้องมีรายรับรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ก็ควรจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแก้ไขปัญหาโครงสร้างของประเทศ โดยปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น และ สร้างระบบสวัสดิการเพื่อให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น

 

อ่านเพิ่มเติม

การลดปัญหาความยากจนของผู้สูงอายุในประเทศไทย : บทบาทของโครงการบำนาญและการช่วยเหลือทางสังคม. ตุลาคม 2555. Brixi,Hana; Jitsuchon,Somchai; Skoufias,Emmanuel; Sondergaard,Lars M.; Tansanguanwong,Pamornrat; Wiener,Mitchell. Reducing elderly poverty in Thailand : the role of Thailand’s pension and social assistance programs (Thai). Washington, D.C. : World Bank Group.  https://documents1.worldbank.org/curated/en/355211468120870525/pdf/805270WP0THAI00Box0382091B00PUBLIC0.pdf

โครงการวิจัย “การวิเคราะห์ช่องว่างทางการคลัง แหล่งรายได้ และความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติ โดยคำนึงถึงผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อผู้สูงอายุ” 2566. โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) https://theepakornblog.wordpress.com/2023/01/20/powerpoint_move_mountain/

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL NEWS

เศรษฐศาสตร์การเมืองของการพัฒนาระบบคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ

เศรษฐศาสตร์การเมืองของการพัฒนาระบบคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ โดย ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Facebook
Twitter
Email
Print

เศรษฐศาสตร์การเมืองของการพัฒนาระบบคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ

 

โดย ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รายจ่ายด้านสวัสดิการผู้สูงอายุ กำลังจะเผชิญกับข้อจำกัดงบประมาณ อันเนื่องจากผลกระทบของโควิด ปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก และสงครามรุกรานประเทศยูเครน ตลอดจนปัญหาเชิงโครงสร้างภายในของเราเองที่ปรับตัวไม่ทันโลก จะส่งผลต่อความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยระยะยาว ทำให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้เข้าคลังตามเป้าหมาย ซ้ำยังมีภาระจ่ายคืนหนี้เงินกู้มหาศาลในอนาคต ดังนั้น ประเทศไทยควรจะต้องหาทางออกสำหรับงบประมาณรายจ่ายที่เพียงพอและยั่งยืนสำหรับระบบความคุ้มครองความยากจนสำหรับผู้สูงอายุในอนาคต

แม้จะมีความพยายามโดยภาคประชาสังคมและภาคการเมือง เพื่อผลักดันทางกฎหมายและการเมืองในการขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติบำนาญผู้สูงอายุ แต่ทุกฉบับล้วนถูกตีตกด้วยเหตุผลหลัก คือ “เป็นภาระงบประมาณ” ทั้งที่หากผู้กำหนดนโยบายมีเจตจำนงทางการเมืองที่จะให้ความคุ้มครองด้านสวัสดิการต่อประชาชน ก็ควรที่จะผลักดันให้สามารถเกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างระบบบัตรทองหรือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

โดยหลักการพื้นฐานแล้ว แนวคิด “รัฐสวัสดิการ” หรือ สวัสดิการสังคมถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมถึงระบบ “บำนาญแห่งชาติ” เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีชีวิตที่มั่นคง และเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องจัดสวัสดิการ โดยควรจะเป็นเป้าหมายทั้งทางเศรษฐศาสตร์และทางการเมืองที่เป็นฉันทามติของสังคมไทย สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยการลดความเหลื่อมล้ำจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และ ช่วยลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง

เราไม่สามารถจะนำตัวแปรความเหลื่อมล้ำออกจากสมการของการพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย เพราะประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทั้งด้านรายได้และด้านทรัพย์สิน เป็นปัญหาติดอันดับต้น ๆ ในโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตระกูลที่รวยที่สุด 50 ตระกูล มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 20 – 30% หรือ เพิ่มขึ้น 6-8 เท่า มีทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ใน 10 ของ GDP เพิ่มเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP ซึ่งตระกูลที่รวยที่สุดตระกูลหนึ่ง มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเพียงปีเดียวเกือบ 1 แสนล้านบาท ในปี 2563 ที่ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสจากปีแรกของโควิด

หลายตระกูลบนยอดปิรามิดที่ความมั่งคั่งเติบโตรวดเร็วติดจรวด เพราะได้เปรียบจากการประกอบธุรกิจสัมปทาน หรือ ธุรกิจกึ่งผูกขาด เช่น โทรคมนาคม หรือ พลังงาน ตลอดจนกลไกภาครัฐเอื้อให้สามารถมีอำนาจเหนือตลาด และได้รับยกเว้นภาษีแบบที่ผู้ประกอบการ SME ไม่ได้รับโอกาส

ในขณะที่ ช่องว่างระหว่างคนรวยที่สุด 10% และคนส่วนใหญ่ในประเทศ ยิ่งขยายกว้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนจนระดับล่าง 10% แทบจะไม่ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ตามข้อมูลสำรวจสภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

คงไม่น่าแปลกใจที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ตามที่ ศ.ดร.เมธี ครองแก้ว (2522) เคยระบุไว้ว่า  “รัฐบาลไม่ต้องการใช้นโยบายการคลังเพื่อผลทางการกระจายรายได้ เพราะนโยบายดังกล่าวกระทบต่อฐานะของคนกลุ่มน้อยที่มีอิทธิพลหรือมีอำนาจ ซึ่งรัฐบาลต้องช่วยรักษาผลประโยชน์หรือมีประโยชน์ผูกพันอยู่ด้วย”

ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ได้มีข้อเสนอมากมายในการแก้ปัญหาที่เรื้อรังมายาวนาน เช่น ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล (2556) ได้เสนอว่า การสร้างความเสมอภาคได้มากขึ้นวิธีหนึ่งก็คือ การกระจายการถือครองทรัพย์สินใหม่

ในขณะที่ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร (2560) ได้ระบุว่า การที่สินค้าและบริการสาธารณะของเรา รวมทั้งระบบรัฐสวัสดิการ มีไม่เพียงพอและคุณภาพย่ำแย่ ส่วนหนึ่งเพราะว่ารัฐมีงบประมาณจํากัด ซึ่งเกิดจากการเก็บภาษีได้น้อย  ดังนั้น จึงควรที่จะพัฒนาประสิทธิภาพและความเป็นธรรมทางภาษี ซึ่งภาษีที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินต่างๆ

ประเทศไทยมีรายได้จากภาษีคิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะอัตราภาษีที่ต่ำเกินไป และเพราะการลดหย่อน/ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อส่งเสริมการลงทุน โดยในปี พ.ศ. 2558 ประมาณ 1 ใน 4 ของภาษีเงินได้นิติบุคคลได้รับการลดหย่อน (Pitidol, 2018) 

ดร.สมชัย จิตสุชน และคณะ (2554) ได้เสนอว่า ประเทศไทยควรมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อยกระดับรายได้ภาษีให้ใกล้เคียงกับ “ศักยภาพในการเสียภาษี” และช่วยให้ระบบภาษีมีความเป็นธรรมและเสมอภาคมากขึ้น สอดคล้องกับ Kwaja and Iyer (2014) ซึ่งระบุว่า หากประเทศไทยสามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้น รายได้ภาษีจะเพิ่มได้ถึง 20-30% ของ GDP

Solt (2019) ได้แสดงให้เห็นว่า มาตรการภาษีและเงินสวัสดิการของไทย ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ค่อนข้างน้อย ซึ่งแสดงถึงศักยภาพที่จำกัดของประเทศไทยในการใช้เครื่องมือทางการคลังเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การใช้จ่ายด้านรัฐสวัสดิการของรัฐไทย สามารถช่วยลดความยากจน ตามที่ Sondergaard et al. (2016) ได้แสดงให้เห็นว่า การใช้จ่ายภาครัฐด้านสวัสดิการ มีบทบาทสูงขึ้นในการช่วยลดความยากจนของครัวเรือนไทย

ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นที่สำคัญ คือ คนจำนวนมากยังต้องทำงานทั้งชีวิตโดยที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ยิ่งทำงานก็ยิ่งจนลงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยได้พัฒนาเศรษฐกิจโดยการกดค่าจ้างในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังที่ ดร.นพดล บูรณะธนัง และพรเกียรติ ยั่งยืน (2556) ได้แสดงให้เห็นว่า ค่าจ้างขั้นต่ำและค่าจ้างทั่วไป เพิ่มขึ้นช้ากว่าผลิตภาพแรงงาน และ GDP ในช่วงปี พ.ศ. 2544-2553 (หรือ ค.ศ.2001 – 2010) ดังนั้น มูลค่า (แรงงาน) ส่วนเกิน หรือ surplus value ที่เกิดจากผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น กลับหายไปอยู่ที่นายทุนที่ได้รับประโยชน์เหล่านั้นไป

ดังนั้น ด้วยเหตุผลทั้งทางเศรษฐศาสตร์ (technical analysis) และทางศีลธรรม (ethical analysis) จึงควรเร่งพิจารณาและผลักดันให้มีการหาทางแหล่งรายได้สำหรับระบบบำนาญแห่งชาติ รวมทั้งการจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณใหม่ (budget reprioritization) เพื่อมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายบำนาญผู้สูงอายุที่จะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายในทางที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้เสียภาษี เช่น รัฐสวัสดิการ

ดังที่ ศ.ดร.นพ.ศุภสิทธิ์ พรรณนารุโณทัย ได้เสนอไว้ว่า “บรรยากาศทั่วไปที่สังคมไทยพัฒนาถึงขั้นควรจัดระบบสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า มีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเพิ่มขึ้น เพิ่มการจัดบำนาญถ้วนหน้าเพื่อผู้สูงอายุ เงินชดเชยรายได้การตกงาน ฯลฯ นโยบายทั้งหมดนี้ต้องมาจากแหล่งเงินของรัฐที่มีขนาดใหญ่และยั่งยืนขึ้น การปฏิรูปภาษีโดยเฉพาะภาษีที่เกี่ยวกับรายได้และความมั่งคั่งต้องเพิ่มฐานจำนวนผู้เสียและขนาดของการจัดเก็บมากขึ้น ผสมผสานด้วยระบบการคลังอื่น ๆ แบบมีส่วนร่วม” (ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย, 2564)

ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ ดร.คริส เบเคอร์ (Phongpaichit and Baker, 2015) ได้ชี้แนะว่า การทำให้สังคมไทยมีความเท่าเทียมกันมากขึ้นเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่จะทำให้สังคมไทยมีสันติสุขและความปรองดองในระยะยาว

ระบบบำนาญผู้สูงอายุ ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการเกื้อกูลกันแบบสมัยใหม่ที่ทุกคนมีส่วนร่วม โดยคนรวยจ่ายมากกว่าตามกำลังความสามารถ หรือ ability to pay ตามหลักพื้นฐานของระบบภาษีอากร (ศ.ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธ, 2557) ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจในการโอบอุ้มกันในสังคมไทยในลักษณะของการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากความยากจนผู้สูงอายุ

แน่นอนว่า “ระบบบำนาญแห่งชาติ” มีความท้าทายสำหรับประเทศในแง่ของทรัพยากรที่มีจำกัดสำหรับการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งถึงแม้งานวิจัยต่าง ๆ ก่อนหน้าได้แสดงให้เห็นแล้วว่า สามารถเป็นไปได้ในทางเศรษฐศาสตร์ (Suwanrada and Wesumperuma, 2012; Schmitt et al., 2013; และ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2558) แต่ก็ชัดเจนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายในทางการเมือง

แม้กระนั้นก็ตาม สมัยเริ่มต้นระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ได้มีการคัดค้านว่า ประเทศไทยไม่มีงบประมาณ แต่ความก้าวหน้าของประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า “การเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก สำหรับประเทศไทย สามารถที่จะเกิดขี้นได้” ซึ่งสองทศวรรษต่อมา การดูแลสุขภาพถ้วนหน้า หรือ UHC ได้กลายเป็นเป้าหมายและเจตนารมณ์ร่วมกันของมนุษยชาติ

ดังนั้น หลังวิกฤตโควิด ประเทศไทยควรจะมี “ระบบบำนาญที่พึงปรารถนา” โดยกำหนดเป้าหมายทำให้ผู้สูงอายุทุกคนมีรายได้ยามชราภาพเพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่ง ก. การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Increase), ข. การปฏิรูปภาษีทั้งระบบเพื่อระบบสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า (Tax Reform for Universal Welfare System) และ ค. การจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณใหม่ (Budget Reprioritization) เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศได้สนับสนุนมานานแล้ว และเป็นนโยบายปกติที่ทำกันในประเทศพัฒนาแล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE