Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เร่งเรือธง ผุด “ฝายแกนดินซีเมนต์” บ้านป่าอ้อ-สำรวจสะพานแม่จัน วางแผนรับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงรายเดินหน้าปฏิบัติการ “7 เรือธง” ด้านน้ำและคมนาคม สร้าง “ฝายแกนดินซีเมนต์” บ้านป่าอ้อ–สำรวจสะพานแม่จัน วางระบบรับมือภัยพิบัติแบบบูรณาการ (PDOSS)

เชียงราย, 2 พฤศจิกายน 2568 — องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เร่งเครื่องนโยบาย “7 เรือธง” เน้นภารกิจด้านการบริหารจัดการน้ำและความปลอดภัยเชิงโครงสร้างพื้นฐาน โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. ลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 6 ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เปิดเวทีประชาคมชี้แจงโครงการ ฝายแกนดินซีเมนต์” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพน้ำต้นทุนในชุมชน ควบคู่กับการขยายผล PDOSS (ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ) ตรวจสภาพ สะพานบ้านผาตั้ง หมู่ที่ 6 และ สะพานบ้านแม่เฟือง หมู่ที่ 5 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน โดยมีคณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และ สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย ร่วมพิจารณาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“การสร้างฝายแกนดินซีเมนต์และระบบกักเก็บน้ำขนาดเล็กเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของชุมชน เพราะน้ำคือหัวใจของการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก อบจ.เชียงรายพร้อมทำงานร่วมกับชลประทานและชุมชนทุกแห่ง เพื่อให้ทุกพื้นที่มีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี และสามารถรับมือภัยแล้งหรือน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

 “น้ำ–ทาง” สองเสาหลักของคุณภาพชีวิต ที่ต้องแก้แบบบูรณาการ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่เมือง–ชนบทของเชียงรายเผชิญ “ความแปรปรวนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ที่วนซ้ำเป็นวงจร ทั้งจากฝนทิ้งช่วงยาวในบางฤดูกาล และฝนตกหนักเฉียบพลันในบางห้วงเวลา ผลกระทบสะเทือนตั้งแต่ระดับครัวเรือน (น้ำอุปโภคบริโภคไม่พอเพียง น้ำบาดาลตื้นคุณภาพลดลง) ไปจนถึงระดับเศรษฐกิจฐานราก (ต้นทุนเกษตรสูง ผลผลิตผันผวน) ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม—โดยเฉพาะ “สะพานและทางผ่านลำห้วย” ในเขตพื้นที่เชื่อมต่อภูเขา–ที่ราบ—มักเป็นจุดเปราะบางต่อกระแสน้ำหลากและการกัดเซาะตลิ่ง

การเดินหน้าญัตติ “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย โดยดึง PDOSS เป็นกรอบกลาง จึงมิใช่โครงการแบบ “จุด–จบ–จุด” แต่คือการวาง สถาปัตยกรรมการบริหารจัดการภัยพิบัติและทรัพยากรน้ำ ที่เชื่อมโยงหน่วยงาน สะท้อนเสียงประชาชน และลงสู่การแก้ปัญหา “หน้าดินจริง–สะพานจริง–ลำห้วยจริง” เพื่อผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เวทีประชาคมบ้านป่าอ้อ ฝายแกนดินซีเมนต์—เครื่องมือเล็กที่แก้โจทย์ใหญ่

สาระของโครงการ
ฝายแกนดินซีเมนต์ (cemented-soil core weir) เป็นโครงสร้างชลศาสตร์ขนาดเล็ก–กลาง ที่ใช้แกนดินผสมปูนซีเมนต์เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานต่อการรั่วซึม ช่วย “หน่วง–กัก–ชะลอ” การไหลน้ำในลำห้วยย่อย ยกระดับน้ำใต้วังน้ำ–แก้มลิงธรรมชาติ เพิ่ม น้ำต้นทุน” สำหรับระบบประปาหมู่บ้าน–การเกษตรแปลงเล็ก และช่วย ลดพีกน้ำหลาก ยามฝนหนัก จุดเด่นคือ คุ้มค่า–ดูแลรักษาง่าย–เข้ากับภูมิประเทศ และสามารถวางเป็น เครือข่ายหลายจุด เพื่อกระจายประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่รับน้ำ

การมีส่วนร่วม
การประชุมประชาคมครั้งนี้มี นายวัชระ ลิ้มวิเศษศิลป์ หัวหน้าฝ่ายก่อสร้างที่ 1 และเจ้าหน้าที่ สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคนิค ตั้งแต่ตำแหน่งร่องน้ำ การคำนวณระดับสันฝาย การกำหนดปริมาณระบายน้ำ (spillway) ไปจนถึงมาตรการดูแลรักษาหลังงาน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย—ตั้งแต่ผู้นำชุมชน เกษตรกร ไปจนถึงกลุ่มสตรีและเยาวชน—ได้สะท้อนมุมมองต่อ ภาวะน้ำแล้งปลายฤดู–น้ำหลากช่วงมรสุม” ซึ่งเป็นวงจรที่ต้องปรับ โครงสร้าง” ให้เดินควบคู่ วินัยน้ำ” ของชุมชน

เป้าหมายที่ชัดเจน

  • เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคและเกษตร
  • ลดโอกาสเกิดน้ำหลากเฉียบพลันที่กัดเซาะคันดิน–ตลิ่ง
  • เสริมความยืดหยุ่น (resilience) ให้ระบบน้ำระดับหมู่บ้าน
  • วางต้นแบบเพื่อขยายผลเครือข่ายฝายขนาดเล็กในลำห้วยข้างเคียง

ภาพรวมนี้เสริม ยุทธศาสตร์เรือธงด้านน้ำของ อบจ. ที่ต้องการเห็น “จุดหน่วงหลายจุด–เชื่อมทั้งลำห้วย” แทนการฝากความหวังกับโครงสร้างขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว

 

PDOSS สู่พื้นที่จริง สำรวจสะพานแม่จัน—จากจุดเสี่ยงสู่แผนแก้ไขที่วัดผลได้

ในวันเดียวกัน คณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย นำโดย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ร่วมกับ นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เพื่อตรวจสภาพสะพาน บ้านผาตั้ง (หมู่ที่ 6) และ บ้านแม่เฟือง (หมู่ที่ 5) จุดที่มีการใช้งานหนาแน่นเชื่อมหมู่บ้าน–แปลงเกษตร–สถานศึกษา และเคยรับแรงกดดันจากกระแสน้ำหลากในบางช่วงฤดู

กรอบการสำรวจ ประกอบด้วย

  • ตรวจสภาพโครงสร้างส่วนบน–ส่วนล่าง (พื้นสะพาน คาน เสา ตอม่อ)
  • ตรวจร่องรอยการกัดเซาะตลิ่ง–ฐานราก และการปะทะของท่อนซุง/วัสดุพัดพา
  • ประเมินทางน้ำไหลใต้สะพาน (hydraulic opening) เทียบกับปริมาณน้ำฝนหนัก
  • ฟังข้อมูลการใช้งานและอุบัติเหตุจากผู้นำชุมชน–ประชาชนในพื้นที่

หลักคิด PDOSS คือ “เห็น–รู้–ปฏิบัติ” ในสายเดียวกัน ตั้งแต่การสำรวจหน้างาน การคัดลำดับความเสี่ยง การวางมาตรการแก้ไข (เสริมโครงสร้าง/ป้องกันตลิ่ง/ปรับปรุงทางระบายน้ำใต้สะพาน/ติดตั้งสัญญาณเตือน) ไปจนถึงการกำหนด ตัวชี้วัด เช่น ระยะเวลาปิด–เปิดใช้งานช่วงน้ำหลาก จำนวนเหตุสะดุดการสัญจร และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ทาง

การเชื่อมโยง “น้ำ–คมนาคม–ความปลอดภัย” ทำไมต้องขับเคลื่อนพร้อมกัน

  1. น้ำหลาก–สะพาน หากไม่มีจุดหน่วง–กักต้นน้ำ กระแสน้ำหลากจะพุ่งเข้าจุดคอขวดใต้สะพาน เพิ่มแรงปะทะต่อโครงสร้างและกัดเซาะตลิ่ง การสร้าง “ฝายแกนดินซีเมนต์” ช่วย “ปรับกราฟน้ำหลาก” ให้ต่ำลงและยืดระยะเวลาไหล ลดความเสี่ยงสะพาน
  2. น้ำแล้ง–เศรษฐกิจครัวเรือน น้ำต้นทุนที่เสถียรช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำประปาชุมชน/สูบน้ำ ลดต้นทุนเกษตร และปลดล็อกการปลูกพืชหลังนา สร้างรายได้แฝงในฤดูแล้ง
  3. คมนาคม–การเข้าถึงบริการสาธารณะ สะพานที่ปลอดภัยลดเวลาการเดินทาง เพิ่มการเข้าถึงโรงเรียน–สถานพยาบาล ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ และลดต้นทุนขนส่งผลผลิตเกษตร—สะท้อนกลับเป็น “รายได้สุทธิ” ของครัวเรือน

กล่าวอย่างย่อ จุดหน่วงน้ำที่ดี + สะพานที่ปลอดภัย” = คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแบบยั่งยืน และนี่คือเหตุผลที่ อบจ.เชียงราย เลือกเดินพร้อมกันทั้งสองขา ภายใต้เรือธง PDOSS

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ความต้องการที่ชัด–เงื่อนไขความสำเร็จที่จับต้องได้

ระหว่างเวทีประชาคม มีเสียงสะท้อน 3 มิติหลักที่สอดคล้องกัน ได้แก่

  • ความพอเพียงของน้ำตลอดปี ครัวเรือนต้องการความมั่นคงของน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเกษตร โดยเฉพาะปลายฤดูแล้งที่บ่อบาดาลตื้นแห้งเร็ว
  • ความปลอดภัยโครงสร้าง ผู้ใช้เส้นทางต้องการความมั่นใจช่วงฝนหนัก—ไม่ต้องลุ้นปิดสะพาน/ทางขาด
  • การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ชุมชนพร้อมร่วมดูแลฝาย/คู–ร่องน้ำ และเฝ้าระวังขยะ–เศษวัสดุที่กีดขวางทางน้ำ หากมีระบบ “อาสาสมัครน้ำ–สะพาน” ที่ชัดเจน

เงื่อนไขความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่ที่ “งบ–แบบ–สเปก” เท่านั้น หากแต่รวมถึง การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (preventive maintenance) กลไกเฝ้าระวังชุมชน และ ฐานข้อมูลน้ำฝน–ระดับน้ำ ที่ชุมชนเข้าถึงได้ เพื่อให้การบริหารน้ำเป็นเรื่องของทุกคน

กรอบติดตาม–ประเมินผล (M&E) วัดผลให้ชัด เห็นผลให้เร็ว

เพื่อให้ประชาชนรับรู้ความก้าวหน้าของงาน อบจ.เชียงรายสามารถกำหนด ตัวชี้วัดเชิงปฏิบัติการ ร่วมกับชุมชนและชลประทาน อาทิ

  • ระยะเวลามีน้ำใช้อย่างต่อเนื่องในฤดูแล้ง (วัน/ปี)
  • ระดับน้ำหลากสูงสุด (peak) ใต้สะพานในปีที่มีพายุฝนเทียบกับก่อนสร้างฝาย
  • จำนวนครั้งการปิดสะพาน/จำกัดการสัญจรต่อปี
  • ค่าใช้จ่ายซ่อมฉุกเฉินโครงสร้างเทียบปีก่อนหน้า
  • ความพึงพอใจของประชาชนต่อความมั่นคงน้ำ–ความปลอดภัยทางสัญจร

การสื่อสารตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างโปร่งใส จะ เปลี่ยนโครงการจาก “ความรู้สึกดี” เป็น “ผลลัพธ์จริง” และช่วยจัดลำดับความสำคัญการลงทุนในจุดเสี่ยงอื่น ๆ ต่อไป

มิติการขยายผล จากต้นแบบบ้านป่าอ้อ สู่เครือข่ายฝายขนาดเล็กทั้งลุ่มน้ำย่อย

หากต้นแบบบ้านป่าอ้อสัมฤทธิ์ผล อบจ.เชียงรายสามารถขยับสู่ เครือข่ายฝายแกนดินซีเมนต์หลายจุด” ตามแนวคิด หลายแกน–หลายจุด–มากผล” ในลำห้วยข้างเคียง โดยเดินคู่กับแผนบูรณะสะพาน–ป้องกันตลิ่งจุดเสี่ยงสำคัญในแม่จันและอำเภออื่น ๆ ทำให้ แผน PDOSS กลายเป็น โครงข่ายป้องกัน–หน่วง–ระบาย” ที่ทำงานสอดประสานในระดับพื้นที่จริง

ทำไม “โครงสร้างเล็ก–งบเหมาะ–ชุมชนมีส่วนร่วม” จึงตอบโจทย์ยุคความเสี่ยงสูง

  1. คุ้มค่าต่อหน่วยงบประมาณ โครงสร้างขนาดเล็กจำนวนมาก ช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงและให้ผลลัพธ์เร็วกว่าโครงการใหญ่ที่ใช้เวลาศึกษา–ก่อสร้างนาน
  2. เสริมภูมิคุ้มกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เมื่อฝนหนัก–แล้งยาวเกิดถี่ขึ้น เครือข่ายฝายช่วยหน่วง–เติมน้ำได้ยืดหยุ่น
  3. เสริมทุนสังคม การมีส่วนร่วมดูแล–เฝ้าระวังของชุมชน ทำให้โครงสร้างคงสภาพดี ลดค่าใช้จ่ายซ่อมฉุกเฉินระยะยาว
  4. ข้อมูล–การเรียนรู้ ทุกจุดฝาย/สะพานคือ “สถานีเรียนรู้” ที่เก็บบทเรียน—นำไปสู่การปรับแบบที่เหมาะกับภูมิประเทศจริงของเชียงราย

 “น้ำมั่นคง–ทางปลอดภัย–ชุมชนเข้มแข็ง” ภายใต้ 7 เรือธง

การลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อ–แม่จัน ในวันเดียวกัน สะท้อนภาพ บูรณาการบนดินจริง” ของ อบจ.เชียงราย ที่จับ “โจทย์น้ำ” และ “โจทย์ทาง” พร้อมกันในกรอบ PDOSS การผลักดัน ฝายแกนดินซีเมนต์ ไม่เพียงเพิ่มน้ำต้นทุน แต่ยังปรับเสถียรภาพทางชลศาสตร์เพื่อคุ้มครองสะพานและเส้นทางสัญจร ขณะที่การสำรวจสะพานอย่างเป็นระบบ จะต่อยอดสู่แผนเสริมความปลอดภัยที่วัดผล–สื่อสารได้

สาระสำคัญคือ การเดินงานต่อเนื่อง จากประชาคม–ออกแบบ–ก่อสร้าง–ดูแลรักษา–ติดตามประเมินผล—โดยมีประชาชน “ร่วมถือหางเสือ” เคียงข้างหน่วยงานรัฐ เมื่อทุกภาคส่วนเดินไปในทิศเดียวกัน น้ำ–ทาง–ชีวิต” ของเชียงรายจะไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาอีกต่อไป แต่เป็น ผลลัพธ์ของการออกแบบร่วมกัน

แก่นของ “7 เรือธง” จึงไม่ใช่คำขวัญ แต่คือ กลไกเปลี่ยนโครงสร้างความเสี่ยงให้กลายเป็นความมั่นคง ด้วยโครงการที่พอเหมาะ พอดี พึ่งพาตนเองได้ และต่อยอดได้จริง

ไทม์ไลน์เหตุการณ์ (สรุปประเด็นสำคัญ)

  • 2 พ.ย. 2568 (เช้า–บ่าย) เวทีประชาคม บ้านป่าอ้อ หมู่ 6 ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย ชี้แจงโครงการ ฝายแกนดินซีเมนต์ รับฟังความเห็นประชาชนและข้อเสนอจาก สำนักงานชลประทานที่ 2
  • 2 พ.ย. 2568 (บ่าย–เย็น) คณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ ต.ป่าตึง อ.แม่จัน ตรวจสภาพ สะพานบ้านผาตั้ง (ม.6) และ สะพานบ้านแม่เฟือง (ม.5) ประเมินความเสี่ยง–กำหนดแนวแก้ไขเบื้องต้น
  • ระยะถัดไป จัดทำแบบ–ถอดรายการ–จัดลำดับความเร่งด่วน–กำหนด ตัวชี้วัด M&E ร่วมกับชุมชน และจัดตารางรายงานความคืบหน้าโปร่งใส

 

ข่าวชิ้นนี้เรียบเรียงเชิงกลางตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยอาศัยข้อมูลและถ้อยแถลงที่มาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การนำเสนอเชื่อมโยง นโยบาย 7 เรือธง–กรอบ PDOSS–โครงสร้างฝายแกนดินซีเมนต์–การสำรวจสะพาน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ “เหตุ–ผล–ผลลัพธ์คาดหมาย” อย่างต่อเนื่องและตรวจสอบได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเดินหน้าจัด ‘มหกรรมไม้ดอก 2025’ ปรับรูปแบบ ลดมหรสพ เน้นนิทรรศการน้อมรำลึก

จุดสมดุลเศรษฐกิจ-ความรู้สึก เชียงรายชวนนักท่องเที่ยวแต่ง ‘โทนสุภาพ’ ร่วมงานไม้ดอก

เชียงราย,28 ตุลาคม 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประชุมราชการ (Morning Brief) ครั้งที่ 8/2568 มีวาระพิเศษที่ไม่ใช่แค่การติดตามผลการทำงานประจำเดือนเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป หากแต่เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเชิงภาพรวมของจังหวัดในห้วงเวลาที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในความโศกเศร้าหลังจากสำนักพระราชวังประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทั่วทั้งแผ่นดินต่างแสดงความอาลัยอย่างสุดหัวใจ

การประชุมครั้งนี้นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนางอัญญลักษณ์ กายาไชย เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เพื่อหารือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

หัวข้อสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือทิศทางการจัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เดินหน้าตามกำหนดการเดิม แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

หลังการประชุม นางอทิตาธรยืนยันอย่างชัดเจนว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ตามกำหนดการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือ

  • พื้นที่หลัก “สวนไม้งามริมน้ำกก” อำเภอเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569
  • พื้นที่ขยายในอำเภอ ได้แก่ สวนสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569

หมายความว่า จังหวัดยังคงมุ่งหวังให้ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่เป็นระยะเวลาที่เชียงรายจะดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่นิยมเดินทางขึ้นเหนือในฤดูหนาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมล้านนา ธรรมชาติ และอากาศเย็น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะจัดหรือไม่จัด” แต่อยู่ที่ “จะจัดอย่างไร”

นางอทิตาธรระบุชัดว่า การจัดงานปีนี้ “จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม” เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอาลัยจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง โดยย้ำว่าการจัดงานต้องดำเนินไป “ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางกลางของรัฐบาล” ที่ระบุให้ส่วนราชการและหน่วยงานท้องถิ่นระมัดระวังกิจกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือเกินความกาลเทศะ

เธอกล่าวในที่ประชุมว่า การดำเนินงานในครั้งนี้ต้องสะท้อนทั้ง “ความจงรักภักดี” และ “ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ของพสกนิกรชาวเชียงรายและประชาชนชาวไทย

เมื่อแปลออกมาในเชิงปฏิบัติ รูปแบบของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะถูกปรับใน 3 มิติใหญ่ คือ

  1. ลดกิจกรรมรื่นเริง
    กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นความบันเทิง เช่น การแสดงมหรสพคึกคัก การแสดงคอนเสิร์ตเชิงบันเทิง หรือกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก จะถูกลดระดับหรือปรับโทน ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสมทางสังคม แต่เพื่อส่งสัญญาณถึงความเคารพและความอาลัยในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการแสดงจิตวิญญาณร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
  2. เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และจารีตท้องถิ่น
    อบจ.เชียงรายกำหนดให้งานในปีนี้เน้นการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สะท้อนความอ่อนช้อย งดงาม และอัตลักษณ์ของเชียงราย เช่น ไม้ดอกฤดูหนาว ไม้ประดับหายาก การจัดสวนนิทรรศการเชิงศิลป์ และการออกแบบภูมิทัศน์ที่ใช้ดอกไม้เป็น “ภาษาทางความรู้สึก” มากกว่าจะเป็นเพียงฉากสำหรับท่องเที่ยวเช็คอิน
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอกไม้ในปีนี้จะไม่ใช่เพียง “สีสันของงาน” แต่น่าจะถูกตีความให้เป็น “สัญลักษณ์ของการรำลึกถึง” และ “การถวายความเคารพ”
  3. จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึก
    จะมีการจัดนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมุ่งสะท้อนพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นถิ่น ตลอดจนพระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพและคุณภาพชีวิตของราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ประเด็นนี้มีนัยสำคัญในทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงทรงได้รับการยกย่องมาโดยตลอดในฐานะ “แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันงานหัตถศิลป์ ผ้าไทย งานจักสาน งานทอมือ และงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ภาคเหนือรวมถึงเชียงราย การนำแนวทาง “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” มาเป็นแกนของงานมหกรรมไม้ดอกในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การแสดงความอาลัยเชิงพิธีเท่านั้น แต่เป็นการวางบทบาทของเชียงรายในฐานะเมืองที่เข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และพร้อมถ่ายทอดต่อสาธารณะ

เชียงรายต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เชียงรายก็ต้องเป็นจังหวัดที่ “รู้กาลเทศะ”

อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ของ อบจ.เชียงราย คือการ “ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว” โดยเชิญชวนให้ผู้มาเยือนร่วมแต่งกายด้วยโทนสีไว้ทุกข์หรือสีสุภาพตลอดช่วงการจัดงาน

คำขอนี้สะท้อนความพยายามของจังหวัดในการสร้างบรรยากาศร่วมไว้อาลัยในพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่เพียงผ่านพิธีการหรือคำกล่าวเปิดงาน แต่ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการยกระดับงานท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แสดงความเคารพร่วมกันในฐานะ “สาธารณะทางความรู้สึก”

การขอความร่วมมือด้านการแต่งกายแบบนี้ มักจะปรากฏในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญเหตุการณ์สำคัญระดับสถาบัน ซึ่งสะท้อนว่านโยบายของจังหวัดในครั้งนี้ไม่ได้มองงานไม้ดอกเป็นเพียงอีเวนต์เชิงเศรษฐกิจ แต่ยกระดับไปสู่พื้นที่เชิงสังคมและจิตใจร่วม

ในอีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิมในช่วงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ก็มีความหมายเชิงเศรษฐกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

เดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมเป็นช่วงที่เชียงรายมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดของปี อากาศเย็นเป็นแม่เหล็กตามธรรมชาติ ขณะที่สีสันทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีล้านนา อาหารพื้นถิ่น และภูมิทัศน์ริมน้ำกก ล้วนเป็นจุดขายของจังหวัดมาอย่างยาวนาน งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนในอดีตมักถูกใช้เป็น “เวทีหลัก” ในการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้ประกอบการที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านงานหัตถกรรม ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกรไม้ดอกไม้ประดับ

กล่าวอีกมุมหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่เพียงงานที่จัดเพื่อความสวยงาม แต่เป็น “จุดกระจายเม็ดเงินปลายปี” ของจังหวัดเชียงราย

การตัดสินใจ “เดินหน้าจัด – แต่ลดความรื่นเริง และเพิ่มความสงบสำรวม” จึงเป็นจุดสมดุลที่สะท้อนแนวทางของฝ่ายบริหารท้องถิ่น จังหวัดยังต้องขยับเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยบรรยากาศแห่งความโศกอาลัยระดับชาติ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรยังย้ำประเด็นเรื่อง “การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” พร้อมมอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งด้านการจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมจราจร และการบริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่จัดงานทั้งสามจุดคือ ริมน้ำกก หนองหลวง เวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค แม่สาย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชายแดนสำคัญ

ถ้อยคำลักษณะนี้ชวนให้สังเกตว่า งานมหกรรมไม้ดอกฯ ไม่ใช่การจัดโดยหน่วยงานเดียว แต่เป็นงานที่ต้องใช้พลังของทั้งจังหวัด ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรม เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยความมั่นคง ตำรวจ ท้องถิ่นอำเภอ รวมถึงชุมชนเจ้าของพื้นที่ร่วมกันดูแลภาพลักษณ์ของจังหวัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ

มิติเชิงวัฒนธรรม ดอกไม้ในปีแห่งการอาลัย

หากมองเชิงสัญลักษณ์ การจัดงานดอกไม้ภายใต้บรรยากาศความอาลัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ดอกไม้ถูกใช้เสมอในวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเคารพ ความระลึก และพระเกียรติคุณ โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว สีอ่อนโทนสุภาพ หรือไม้ดอกที่จัดเป็นลวดลายเชิงสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์

เมื่อ อบจ.เชียงรายประกาศว่าจะ “เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” นั่นหมายความว่างานปีนี้อาจไม่ใช่เพียงการประกวดความสวยงามของไม้ดอก หากแต่อาจเป็นพื้นที่เล่าเรื่องความผูกพันระหว่างเชียงรายกับสถาบันฯ ผ่านการตีความด้วยสื่อที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

ทิศทางเช่นนี้ยังสอดคล้องกับบทบาทของสมเด็จพระพันปีหลวงในประวัติศาสตร์สังคมไทย ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านศิลปหัตถกรรมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ทั้งงานผ้า การทอ การปัก การอนุรักษ์วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับจังหวัดในพื้นที่ล้านนา รวมทั้งเชียงรายด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติภายในงานจึงอาจเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบทบาทเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

กล่าวในเชิงเนื้อหา งานไม้ดอกฯ ปีนี้อาจกลายเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกมายืนอยู่ในภาพเดียวกัน—ภาพที่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นภาพของการเรียนรู้ร่วมกันว่า ความผูกพันของ “ชาติ-สถาบัน-ท้องถิ่น” มีมิติที่ลึกกว่าในเชิงอารมณ์

การบริหารจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย พูดถึง “ความโปร่งใส” และ “การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการประชุม Morning Brief ครั้งที่ 8/2568 จุดนี้สะท้อนมุมมองการทำงานเชิงรุกด้านธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพราะโดยปกติ งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปลายปีมักถูกจับตาในสองเรื่องเสมอ คือค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพื้นที่ (ตกแต่งภูมิทัศน์ ระบบแสง-เสียง การบริหารเวทีกิจกรรม โครงสร้างชั่วคราว) และความคุ้มค่าต่อประชาชนในพื้นที่

การย้ำเรื่อง “งบประมาณต้องโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” จึงเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า อบจ.จะวางตัวเองในฐานะองค์กรที่พร้อมถูกตรวจสอบในสายตาสังคม โดยเฉพาะในโครงการสาธารณะที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงและอยู่ในความสนใจของสื่อและประชาชนทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด

การวางน้ำเสียงเช่นนี้ยังสะท้อนการทำงานเชิงป้องกันความเสี่ยงทางสังคมเช่นกัน เพราะในยุคปัจจุบัน โครงการของหน่วยงานท้องถิ่นสามารถถูกตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่านโซเชียลมีเดีย หากกระบวนการใช้งบประมาณไม่ชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งคำถามเชิงศรัทธาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น

งานดอกไม้ที่ไม่ใช่แค่งานดอกไม้

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงไม่ใช่แค่งานท่องเที่ยวประจำฤดูหนาวของจังหวัดเชียงรายอีกต่อไป หากแต่มันกำลังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชิงสาธารณะของความทรงจำร่วมและความอาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นกลไกทางเศรษฐกิจในปลายปีที่ถูกคาดหวังว่าจะกระจายรายได้สู่คนในจังหวัด

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งประเทศกำลังแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การจัดงานในบรรยากาศที่สำรวมขึ้น ลดความเป็น “มหรสพ” เพิ่มความเป็น “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศิลปวัฒนธรรม” อาจเป็นแบบจำลองใหม่ของการจัดงานสาธารณะในระดับจังหวัด ว่าจะสามารถผสานเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-ความรู้สึกร่วมของสังคมได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน

ในทางปฏิบัติ การเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้แต่งกายโทนไว้ทุกข์ คือการส่งสารเชิงสังคมว่า ทุกคนที่มาเยือนเชียงรายในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” แต่เป็น “ผู้ร่วมยืนในช่วงเวลาเดียวกันของประวัติศาสตร์ร่วมชาติ”

และในทางการบริหาร นี่คือบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถเดินเชือกเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การรักษาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ” กับ “การรักษาความยืนยาวของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ไปจนจบงานได้อย่างไร

เพราะเมื่อม่านดอกไม้ปิดลงในวันที่ 7 มกราคม 2569 สิ่งที่จังหวัดเชียงรายจะเหลืออยู่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายสวนดอกไม้ยามรุ่งสางริมแม่น้ำกก แต่คือคำตอบว่า เชียงรายสามารถเป็นต้นแบบการจัดงานท้องถิ่นในยามที่ทั้งประเทศกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ร่วมได้หรือไม่ และคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับเชียงรายเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ของไทยในอนาคตด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News