Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“บ้านลิไข่” เชียงราย แลนด์มาร์คฮีลใจใหม่ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่” แลนด์มาร์คลับแห่งใหม่ เชียงราย ขานรับเทรนด์ท่องเที่ยวฮีลใจ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ผู้คนต้องการหลีกหนีจากความเร่งรีบของชีวิตเมือง “บ้านลิไข่” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่แสวงหาการเยียวยาจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

การค้นพบแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เริ่มต้นจากการที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความงามที่ซ่อนเร้นของนาขั้นบันไดบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่เดิมเป็นหมู่บ้านย่อยของบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการทำนาขั้นบันไดที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชุมชนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพทางการท่องเที่ยวของพื้นที่ตนเอง จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการจัดกิจกรรม “LI KHAI Nature Walk” เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ากับการสร้างรายได้ให้ชุมชน

“การจัดกิจกรรมครั้งนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เราต้องการระดมทุนเพื่อสร้างห้องน้ำและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยว” ข้อมูลจากการดำเนินการของชุมชนระบุ

ผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นนี้ปรากฏชัดเจนในรูปแบบของการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยว ชุมชนได้นำเงินกลับมาลงทุนในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวดียิ่งขึ้น สร้างกระแสบอกต่อที่เป็นบวก และดึงดูดผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความงาม วิเคราะห์สถิติและข้อมูลเชิงลึก

การวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นที่ทำให้บ้านลิไข่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยหากพิจารณาจากระยะทางจากตัวเมือง บ้านลิไข่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 20-26 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเพียง 25 นาที ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ

สถิติที่น่าสนใจคือระยะทางการเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีความยาวประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-1.5 ชั่วโมง สำหรับการไปเที่ยวเดียว ความยาวเส้นทางนี้ถือเป็นจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการท้าทายตัวเองกับความสามารถในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ยากเกินไปจนท้อแท้ แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนขาดความรู้สึกของการผจญภัย

เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอื่นๆ เช่น บ้านป่าบงเปียงในจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มาเยือนได้ให้ความเห็นว่าบรรยากาศและทะเลหมอกยามเช้าที่บ้านลิไข่มีความอลังการที่ไม่แพ้กัน แต่ยังคงความเงียบสงบและเป็นธรรมชาติมากกว่า การเปรียบเทียบนี้มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์การตลาด เนื่องจากสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่ที่ยังคงความบริสุทธิ์

วิถีธรรมชาติบำบัด เส้นทางสู่การฟื้นฟูจิตใจ

หัวใจสำคัญของประสบการณ์การเยือนบ้านลิไข่อยู่ที่การเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เส้นทางแบ่งออกเป็นจุดหลัก 3 กิโลเมตร ประกอบด้วย กิโลเมตรแรกเป็นจุดยิงก๋งตรงป่าสัก กิโลเมตรที่ 2 เป็นนาขั้นบันไดจุดที่ 1 และกิโลเมตรที่ 3 เป็นจุดชมวิว

การเดินตลอดเส้นทางนี้ให้ประสบการณ์ที่หลากหลายและครอบคลุมระบบนิเวศที่แตกต่างกัน นักเดินทางจะได้เดินผ่านป่าไผ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย ลำธารเล็กๆ ที่ส่งเสียงเซาเซา และไร่ข้าวโพดที่แสดงให้เห็นถึงการทำเกษตรของชาวบ้าน ตลอดการเดินจะได้ยินเสียงนกร้องและเสียงน้ำตกที่ดังแว่วมาเป็นเพลงประกอบธรรมชาติ

จุดหมายปลายทางหลักคือนาขั้นบันไดที่มีความงดงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน เมื่อนาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจีสดใส เป็นภาพที่สร้างความประทับใจและเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ยังมีจุดพิเศษต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เช่น สะพานไม้ ชิงช้า ป้ายจุดชมวิว โขดหิน และกระจกที่สะท้อนวิวเส้นทางเดิน

มิติเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตัวเลขและผลกระทบ

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่น่าสนใจ โดยมีตัวเลือกที่พักที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่แตกต่างกัน

โฮมสเตย์ในหมู่บ้านมีราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาทต่อคน ซึ่งรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า นับเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ในขณะที่นักเดินทางสายประหยัดสามารถเลือกตั้งแคมป์ได้ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาทต่อเต็นท์ ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนทางเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยไม่สร้างอุปสรรคทางการเงินที่มากเกินไป

ความสำเร็จของแบบจำลองนี้สามารถมองเห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการสร้างห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว การจัดเตรียมจุดจอดรถ และการพัฒนาจุดถ่ายภาพต่างๆ ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ถูกนำกลับมาใช้เพื่อปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาธุรกิจเสริมในรูปแบบของร้านอาหารและคาเฟ่ที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารจากน้ำตกนางแล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนั่งพักผ่อนและแช่เท้าในน้ำได้ รวมถึงคาเฟ่ยอดนิยมอย่าง “คาเฟ่ คาใจ” และ “Foreste’ Camp&Cafe'”

ผลกระทบเชิงสังคมและวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวที่บ้านลิไข่ไม่ได้เป็นเพียงการมอบประสบการณ์ให้กับนักเดินทางเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านในชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนชาวเขาที่ยังคงรักษาประเพณีและภูมิปัญญาการทำเกษตรแบบขั้นบันไดไว้ได้ ทำให้การเดินทางมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าการท่องเที่ยวธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เส้นทางการเดินทางในช่วงสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านมีลักษณะแคบและมีความลาดชัน ผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนอาจลื่นมาก นักเดินทางจำนวนไม่น้อยจึงเลือกจอดรถไว้ที่จุดจอดใกล้กับคาเฟ่ แล้วเดินเท้าหรือใช้มอเตอร์ไซค์ต่อไป

อีกความท้าทายหนึ่งคือการจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวก โฮมสเตย์ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เรียบง่าย ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น และไฟฟ้ามีจำกัดเพียงพอสำหรับแสงสว่าง ไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมพาวเวอร์แบงค์ไปด้วย บางพื้นที่ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่เสถียร ทำให้ต้องพกเงินสดติดตัวไป

กลยุทธ์การท่องเที่ยวตามฤดูกาล

การวิเคราะห์รูปแบบการท่องเที่ยวแสดงให้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลาจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ช่วงฤดูฝนจะให้ประสบการณ์ของธรรมชาติที่เขียวขจีและสดชื่นที่สุด บรรยากาศเย็นสบายทำให้การเดินเท้าไม่ร้อนจนเกินไป ในขณะที่ฤดูหนาวจะมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นทะเลหมอกปกคลุมภูเขาในยามเช้า

นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ทางวัฒนธรรมควรพิจารณาการเดินทางในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เทรนด์การท่องเที่ยวฮีลใจและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ปรากฏการณ์ของบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันที่เน้นการ “ฮีลใจ” หรือการฟื้นฟูจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันในสังคมเมือง การที่สถานที่แห่งนี้ถูกบรรยายว่าเป็น “การเยียวยาจิตใจ” และ “การเดินทางที่คุ้มค่ามาก” แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความสะดวกสบายเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสร้างการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

การเติบโตของบ้านลิไข่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนในประเทศไทย รูปแบบการพัฒนาที่เริ่มจากภายในชุมชนและขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ สามารถเป็นต้นแบบสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพคล้ายคลึงกัน

คำแนะนำสำหรับนักเดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปยังบ้านลิไข่ ควรเตรียมตัวโดยเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินป่าและมีคุณสมบัติกันลื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน ควรพกพาวเวอร์แบงค์และเงินสดติดตัวไป เนื่องจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในพื้นที่ยังมีข้อจำกัด

ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ เช่น หอบหืด ควรพิจารณาถึงระยะทางการเดินเท้าที่ค่อนข้างไกลและเตรียมยาประจำตัวให้เพียงพอ แม้ว่าเส้นทางจะไม่ชันมากนักและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น แต่การเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรยังคงต้องใช้สมรรถภาพทางร่างกายในระดับหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวยั่งยืน

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวที่สร้างผลลัพธ์ในหลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติ การสืบทอดวัฒนธรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยว ความสำเร็จในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

สำหรับนักเดินทางที่ต้องการมากกว่าการพักผ่อนธรรมดา แต่ต้องการประสบการณ์การ “ค้นพบ” และการ “เยียวยาจิตใจ” ที่แท้จริง บ้านลิไข่จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ การเดินทางมายังที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้พบกับความงามของธรรมชาติ แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินพอ (Overtourism) บ้านลิไข่กลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างการต้อนรับนักท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม

มุมมองและทิศทางอนาคต

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ชุมชนเป็นเจ้าของ (Community-Based Tourism) ที่สามารถสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง การที่ชุมชนสามารถนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของรูปแบบการท่องเที่ยวนี้

ความสำคัญกับการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกจากแหล่งท่องเที่ยวหลักและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่” ทิศทางนี้สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

การจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่ได้รับการดำเนินการภายใต้หลักการของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก จึงมีข้อจำกัดทางกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสร้างจุดถ่ายภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วัสดุที่ใช้เป็นไม้และวัสดุธรรมชาติ การจัดวางตำแหน่งต่างๆ คำนึงถึงการไม่รบกวนเส้นทางเดินของสัตว์ป่าและการไหลของน้ำตามธรรมชาติ

การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยธรรมชาติผ่านข้อจำกัดของที่พักและการเข้าถึงที่ไม่ง่ายเกินไป ทำให้สามารถควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาขยะล้นหรือการทำลายธรรมชาติจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาต่อไป

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีพัฒนาการที่น่าชื่นชม แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป การปรับปรุงเส้นทางการเข้าถึงให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งป้ายบอกทางและข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นตลอดเส้นทาง จะเพิ่มมูลค่าทางการศึกษาและทำให้ประสบการณ์การเดินทางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงรายเพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจร จะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่

ผลกระทบระดับชาติและภูมิภาค

ความสำเร็จของบ้านลิไข่มีนัยสำคัญในระดับที่กว้างขึ้น ในฐานะที่เป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีชุมชนชาวเขาและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

การที่นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวแออัด สร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากภายนอกที่อาจนำมาซึ่งการสูญเสียการควบคุมในชุมชน

ความสำเร็จของบ้านลิไข่ยังส่งสัญญาณเชิงบวกต่อนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เน้นการกระจายการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่และการสร้างคุณค่าจากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การเดินทางไปยังบ้านลิไข่จึงไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอื่นๆ พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเองในรูปแบบที่เคารพธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวยั่งยืนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากชุมชนบ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News