Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สนามบินเชียงรายติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว: เจาะมาตรการ SRM คุมเข้มความเสี่ยง FOD และยกหนัก

เชียงรายเดินหน้าอัปเกรด “สะพานเทียบอากาศยาน” ยกระดับความปลอดภัย-บริการ เจาะมาตรการ SRM, การสื่อสาร NOTAM และข้อเสนอแนะเชิงระบบ

เชียงราย, 15 พฤศจิกายน 2568 — เพจ GATC Thailand เผยแพร่ภาพความคืบหน้า “โครงการรื้อถอนและติดตั้งสะพานเทียบอากาศยาน (Passenger Boarding Bridges: PBB) จำนวน 2 ตัว” ที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) โดยสนามบินยืนยันแนวทางปฏิบัติตามหลัก การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Management of Change: MOC) และ การบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Safety Risk Management: SRM) ภายใต้ระบบบริหารความปลอดภัยการบิน (SMS) ตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO Annex 19) และกรอบกำกับดูแลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งจากตัวเลข รายละเอียดเชิงเทคนิคบางส่วนของโครงการ (เช่น การเว้นเขต Fall Zone, รอบการ FOD sweep, ขั้นตอน Crane Lift Plan, รายการทดสอบ PBB ใหม่ และเกณฑ์ทางเทคนิคของผู้ผลิต) อ้างอิงจาก เอกสารโครงการ/ร่างรายงาน MOC–SRM ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และ ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ในคำสั่งงานฉบับนี้ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ใช้ประกอบการรายงานเชิงวิเคราะห์ โดยหลีกเลี่ยงการตั้งข้อมูลใหม่ที่ไม่มีแหล่งอ้างอิง การเปลี่ยน PBB เป็น “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ” ซึ่งตามกรอบ SMS ต้องระบุอันตราย (hazards) ประเมินความเสี่ยงด้วยเมทริกซ์ ICAO 5×5 และกำหนดมาตรการควบคุมก่อน อนุมัติ และหลังการใช้งานจริง เพื่อให้ “ระดับความปลอดภัยที่ยอมรับได้ (ALoS)” คงอยู่ตลอดวงจรโครงการ

ทำไม “สะพานเทียบอากาศยาน” จึงเป็นหัวใจของความปลอดภัยและคุณภาพบริการ

สะพานเทียบอากาศยาน (PBB) คือทางเชื่อมยกระดับระหว่างอาคารผู้โดยสารกับประตูอากาศยาน เป็นจุดสัมผัสสำคัญของผู้โดยสารกับเครื่องบิน หาก PBB มีความพร้อมด้าน โครงสร้าง-กลไก-การควบคุม จะช่วยให้การขึ้น/ลงเครื่องราบรื่น ปลอดภัย และลดเวลาหมุนเวียนเครื่องบิน (turnaround time) ซึ่งส่งผลต่อ ความตรงต่อเวลา (OTP) และ ความพึงพอใจผู้โดยสาร โดยตรง

โครงการที่ CEI มีทั้ง “การรื้อถอน PBB เก่า” และ “ติดตั้ง PBB ใหม่” ในพื้นที่ Airside (ลานจอด/เขตปฏิบัติการอากาศยาน) ซึ่งยังมีเที่ยวบินใช้งานจริง จึงจัดเป็นงานที่ต้องวางมาตรการความปลอดภัยเฉพาะเพื่อป้องกันการรุกล้ำพื้นที่เคลื่อนไหว (movement area), การใช้เครนยกหนัก (heavy lifting) และการเกิด FOD (Foreign Object Debris) หรือ “เศษวัสดุแปลกปลอม” ที่อาจถูกเครื่องยนต์ดูดเข้าไปจนเสียหายรุนแรง

รายงาน SRM ชี้ 2–3 ความเสี่ยงต้นทางสูง ต้องบังคับใช้มาตรการทันที

รายงานการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (SRM) ของโครงการ (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ระบุ “อันตรายหลัก” ที่ต้องควบคุมเข้มข้น ดังนี้

  1. FOD (เศษวัสดุแปลกปลอม) — ความเสี่ยงที่เศษโลหะ/เครื่องมือ/วัสดุก่อสร้างหลุดสู่ลานจอดและถูกดูดเข้าเครื่องยนต์อากาศยาน ถูกจัดเป็นความเสี่ยงระดับสูง (ตัวอย่างแนวคิดความรุนแรงตามการบินพลเรือน: FOD อาจก่อ “Hazardous severity”) จึงต้องมี FOD sweep ต่อเนื่อง, คุมเส้นทางขนส่ง (haul routes) และวินัยการเข้าถึง AOA อย่างเคร่งครัด  
  2. การยกหนัก (Heavy Lifting) ด้วยเครน — การชักรอก/เคลื่อนย้าย PBB ในพื้นที่จำกัดใกล้อากาศยานและอาคารผู้โดยสารถูกประเมิน “ความรุนแรงระดับ Catastrophic” จึงต้องมี แผนการยก (Crane Lift Plan) ที่วิศวกรผู้มีคุณสมบัติอนุมัติ, กำหนด Fall Zone ชัดเจน และ หยุดการปฏิบัติการบนลานจอดชั่วคราวช่วง critical lift โดยประสานหอควบคุมการบิน (ATC)
  3. การรุกล้ำพื้นที่ปฏิบัติการ (Airside Incursion) — ยานพาหนะ/บุคลากรก่อสร้างเข้าสู่ movement area โดยไม่ได้รับอนุญาต เสี่ยงต่อการชนกับอากาศยานที่กำลัง taxi/pushback จึงต้องมี low-profile barricades, ระบบอนุญาตขับขี่ในเขต airside, และการคุม “escort” ตลอดเวลา

รายงานยังย้ำว่า หลังติดตั้ง PBB ใหม่ ต้องทดสอบความเข้ากันได้ในการปฏิบัติงาน (operational compatibility) และทดสอบทางเทคนิค/โครงสร้าง (เช่น load test และการควบคุมแรงกดบนลำตัวอากาศยานตามสเปกผู้ผลิต) ให้ผ่านเกณฑ์ก่อนเปิดใช้งานจริง

เครื่องมือกำกับ “มองไม่เห็น” แต่สำคัญ MOC, SRM, AOM และการสื่อสารแบบ NOTAM

ด้วยสถานะ “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” สนามบินต้องเดินกระบวนการอนุมัติ 3 ช่วง ได้แก่ Compliance–Control–Completion (ยื่นรายละเอียด/แผนความปลอดภัย–ควบคุมงานจริงตาม SRM–ทดสอบรับรองและปรับปรุงเอกสาร) ภายใต้กรอบ SMS/Annex 19 ของ ICAO และกฎ CAAT  

ส่วน “การสื่อสารข้อจำกัดการใช้งานสนามบิน” ต้องทำผ่าน AIS/NOTAM อย่างทันท่วงที เพื่อให้สายการบิน นักบิน ผู้ควบคุมจราจร และผู้ปฏิบัติงานภาคพื้นรับรู้ตรงกันว่า “ช่วงไหน/หลุมจอดใด/ขอบเขตใด” มีงานก่อสร้างหรือข้อจำกัดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและลดอุบัติการณ์ โดยไทยมีการจัดทำ eAIP/NOTAM ภายใต้มาตรฐาน CAAT/AEROTHAI ซึ่งแยก series (เช่น Series A/C) สำหรับประกาศข้อจำกัดสนามบินระหว่างประเทศ/ในประเทศตามลำดับ  

ในทางปฏิบัติ หลายเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยในสนามบินทั่วโลกมักเกี่ยวข้อง “ข้อมูลสนามบินช่วงก่อสร้างสื่อสารไม่ชัด” หรือ “แผนภาพพื้นที่จำกัดไม่ครบถ้วน” แนวทางสากลจึงแนะนำ Construction Notice Diagram ควบคู่ NOTAM เพื่อให้เห็นภาพรวมจุดกั้น/เส้นทางวิ่งใหม่อย่างเข้าใจง่าย ลดความคลุมเครือระหว่างงานกับการจราจรอากาศยาน  

มาตรการภาคสนาม จากรั้วกั้นเตี้ยสะท้อนแสง ถึง “FOD Sweep” รายชั่วโมง

เพื่อให้ “ดัชนีความเสี่ยงตกค้าง (Residual Risk)” ลดลงสู่ระดับยอมรับได้ แผนควบคุมในภาคสนามที่ CEI (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) มีทั้งมาตรการ บริหารจัดการพื้นที่ก่อสร้าง และ มาตรการเฉพาะ PBB อาทิ

  • การแบ่งเขตก่อสร้าง (barricading/demarcation) ด้วย low-profile barricades สีสะท้อนแสงตามมาตรฐานการบิน, ป้าย/ไฟเตือนกลางคืน และการติดตั้งล่วงหน้าก่อนเริ่มงานจริง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติการภาคพื้นและนักบินสังเกตเห็นได้ชัดเจน
  • AOA access control จำกัดเส้นทางขนส่งวัสดุ (haul routes), อนุญาตเฉพาะบุคลากรที่ผ่านการอบรมขับขี่ในเขต airside, และมี safety officer เฝ้าระวังเฉพาะงานก่อสร้างสนามบิน
  • Crane Lift Plan/Fall Zone แผนยกโดยวิศวกรที่มีคุณสมบัติ, คุมเขตอันตรายห้ามบุคคลอยู่ใต้โหลด, ใช้ qualified rigger และอุปกรณ์ rigging ที่มีตัวล็อกอัตโนมัติ พร้อม “หยุดปฏิบัติการบริเวณใกล้เคียงช่วง critical lift”
  • FOD Control กำหนดรอบ FOD sweep ถี่ขึ้น (ก่อน/ระหว่าง/หลังงานแต่ละช่วง), บังคับเก็บกวาดเส้นทาง haul routes และกำหนดบทลงโทษเรื่องวินัย FOD ไว้ในสัญญาผู้รับเหมา
  • การทดสอบ/รับรอง PBB ใหม่ ดำเนิน docking test, load test และทวนสอบ “ข้อกำหนดของผู้ผลิต” เพื่อยืนยันความเข้ากันได้กับชนิดอากาศยานที่ CEI รองรับ ก่อนบรรจุขั้นตอนใช้งาน/บำรุงรักษาใน คู่มือการดำเนินงานสนามบิน (AOM) ฉบับปรับปรุง

เมื่อนำมาตรการเหล่านี้ไปใช้ตามแผน SRM รายการเสี่ยงสูงหลายรายการ—เช่น FOD/การยกหนัก/การรุกล้ำพื้นที่—จะ “เลื่อนลง” สู่โซนยอมรับได้หรือยอมรับได้แบบมีเงื่อนไข ซึ่งต้องมีการ ติดตามผลต่อเนื่อง และ Post-Implementation Review (PIR) ในระยะ 6–12 เดือน เพื่อตรวจว่ามาตรการยังมีประสิทธิผลจริงในงานประจำวัน (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)

ผู้โดยสาร–สายการบิน–ชุมชนท้องถิ่น ได้อะไร/ต้องรับรู้อะไร

ต่อผู้โดยสาร — ช่วงก่อสร้างอาจมี “ข้อจำกัดการใช้งานหลุมจอด/ประตู” บางช่วงเวลา ผู้โดยสารอาจพบการเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องหรือใช้รถบัสรับส่ง (bus gate) แทน PBB ชั่วคราว แต่มาตรการสื่อสารผ่าน NOTAM/ประกาศสนามบิน ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียวางแผนล่วงหน้า ลดผลกระทบความล่าช้า

ต่อสายการบิน/ผู้ปฏิบัติการภาคพื้น — การวางแผน turnaround ต้องประสานหนาแน่นขึ้น โดยเฉพาะช่วง critical lift ที่อาจมี “หยุดการปฏิบัติการบนลานจอดเฉพาะจุด” ชั่วคราว การมี “แผนภาพเขตก่อสร้าง (construction diagram)” ชัดเจนและ brief ร่วมรายสัปดาห์ช่วยให้การขยับหลุมจอด/สลับอุปกรณ์เป็นระเบียบและปลอดภัย

ต่อชุมชน/เศรษฐกิจท้องถิ่น — PBB ใหม่ที่ปลอดภัยและทันสมัยช่วยหนุนภาพลักษณ์ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ของเชียงราย สอดคล้องยุทธศาสตร์ Green/BCG และความต้องการรองรับนักท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องในฐานะ “เมืองรองรายได้สูง” ของประเทศ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการจัดการ (เพื่อความปลอดภัย+ประสิทธิภาพระยะยาว)

อ้างอิงรายงานโครงการ/แนวปฏิบัติสากล ประสานกับบริบทสนามบินที่ยังปฏิบัติการจริงตลอดเวลา บทวิเคราะห์นี้เสนอ “สามคานงัด” เพื่อให้ CEI ได้ Safety + Efficiency ไปพร้อมกัน

  1. บูรณาการ SMS ของผู้รับเหมา (Contractor SMS Integration)
    กำหนดให้ผู้รับเหมาหลัก/ผู้ผลิต PBB จัดทำ “Project Safety Plan เฉพาะโครงการสนามบิน” (ไม่ใช่คู่มือองค์กรทั่วไป) ครอบคลุม hazards เฉพาะ เช่น FOD/hot works/rigging/airside driving และ nominate safety officer ที่คุ้นเคยกฎ Part 139/มาตรฐานสนามบินในไทย ข้อกำหนดนี้ช่วยแปลง “ความปลอดภัยโครงการ” ให้กลายเป็น “ความปลอดภัยของระบบ” เมื่อบันทึกลง AOM
  2. ยกระดับเทคโนโลยี PBB/การนำร่องอัตโนมัติ
    พิจารณา PBB ที่รองรับ remote control/automatic docking เพื่อลด human error ระหว่างเชื่อมต่อประตูอากาศยาน และพิจารณา VDGS/AGDGS ในหลุมจอดที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความแม่นยำการเข้าประจำหลุมของอากาศยาน พร้อมทั้งทำ SOP+training แก่ช่าง/ภาคพื้นให้สอดคล้อง (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  3. Lifecycle Management และอะไหล่สำรอง (Spares & Warranty)
    จัดสัญญาบำรุงรักษาระยะกลาง–ยาวกับผู้ผลิต PBB ใหม่ (เช่น 3–5 ปี) ควบคุมอะไหล่กุญแจสำคัญและวางแผน “reuse/repurpose” ชิ้นส่วนจาก PBB เก่าที่ปลอดภัยได้ เพื่อลด downtime และต้นทุน รวมถึงวัดผล KPI ความพร้อมใช้งาน (availability) และ Mean Time Between Failures ของ PBB เพื่อดูแลความเสี่ยงตกค้างด้านความต่อเนื่อง

มุมมองมาตรฐาน/กฎระเบียบ “ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จ” แต่ต้อง “ทำให้สอดคล้องและตรวจสอบได้”

MOC/SRM ไม่ใช่เอกสารพิธีการ แต่เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” ที่ผู้ตรวจสอบสนามบินของ CAAT ใช้รับรองความพร้อม โดยหลังทดสอบ PBB ใหม่เสร็จ สนามบินต้อง “ปรับปรุง AOM” ให้สะท้อนสภาพจริง—ทั้งขีดความสามารถหลุมจอด/ชนิดอากาศยานที่รองรับ ขั้นตอนปฏิบัติ/บำรุงรักษา และแผนฉุกเฉิน—เพื่อให้มาตรการควบคุมที่เคยเป็น Project Controls ถูกถ่ายโอนเป็น System Controls ของสนามบินในชีวิตจริง

การสื่อสารต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องเดินหน้าควบคู่—โดยเฉพาะการแจ้ง NOTAM ผ่าน AIS ของไทย (CAAT/AEROTHAI) อย่างครบถ้วน ชัดเจน และทันเวลา รวมถึงทำ แผนภาพพื้นที่ก่อสร้าง เผยแพร่ให้สายการบิน/ภาคพื้นใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงจาก “ช่องว่างข้อมูล”

โครงการรื้อถอนและติดตั้ง PBB ใหม่ 2 ตัวที่ CEI คือ “แบบฝึกหัดความปลอดภัย” ที่สะท้อนความพร้อมของสนามบินไทยในการยกระดับมาตรฐานตาม ICAO/CAAT ในบริบทที่ยังต้อง “บินจริง-ก่อสร้างจริง” พร้อมกัน การคุมเข้ม “สามเสี่ยงหลัก”—FOD, Heavy Lifting, Airside Incursion—ด้วยมาตรการเฉพาะงานสนามบิน (barricading, FOD sweep, crane lift plan, fall zone, haul routes, airside escort) บวกการสื่อสาร NOTAM/AIS ที่ทันเวลา จะลด “ความเสี่ยงเริ่มต้น” ลงสู่ “ความเสี่ยงตกค้างที่ยอมรับได้”

ในเชิงยุทธศาสตร์ การบูรณาการ SMS ของผู้รับเหมา, ยกระดับ เทคโนโลยี PBB/ระบบนำร่อง, และจัดการ วงจรชีวิต PBB อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ CEI ไม่เพียง “ผ่านโครงการ” แต่ “ผ่านการพิสูจน์ระบบ”—ส่งมอบความปลอดภัยและคุณภาพบริการที่สอดคล้องมาตรฐานสากล รองรับการเติบโตของผู้โดยสาร และเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพสูง” อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง (ตรวจสอบได้)

  1. ICAO – Safety Management (Annex 19, SMS concept & framework) ภาพรวมกรอบ Annex 19/SMS และบทบาทของผู้ให้บริการ/ผู้กำกับดูแล (อธิบายโครง SMS, MOC/SRM ในระดับหลักการ). อ้างอิง: ICAO – Safety Management (หน้า overview และ knowledge center)
  2. CAAT – บทความ/หน้าความรู้เรื่อง Safety Management System บทบาทของระบบ SMS ในการยกระดับความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทย (แนวคิด/บทบาท/ประโยชน์)
  3. FAA AC 150/5370-2G – Operational Safety on Airports During Construction: แนวทางมาตรฐานสหรัฐฯ สำหรับ “ความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างในสนามบินที่ยังปฏิบัติการจริง” ครอบคลุมการกั้นพื้นที่, FOD, งานยกหนัก, การประสานงาน, การแจ้งเตือน ฯลฯ  
  4. AIP/eAIP Thailand – AIS/NOTAM (CAAT/AEROTHAI) โครงสร้าง/ซีรีส์ของ NOTAM ไทย (Series A/C) และรายการ NOTAM ที่ยังมีผล—ตอกย้ำบทบาท AIS/NOTAM ในการสื่อสารข้อจำกัดสนามบินช่วงก่อสร้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
  • GATC Thailand
  • ICAO — กรอบมาตรฐาน Annex 19 (SMS/MOC/SRM) สำหรับการจัดการความปลอดภัยระดับสากล
  • CAAT — หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทยและ AIS/eAIP/NOTAM
  • AEROTHAI (AIS/NOTAM) — ผู้ให้บริการข่าวสารการบินและระบบ NOTAM ไทย
  • FAA — เอกสารแนวปฏิบัติความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างสนามบิน (AC 150/5370-2G) ซึ่งใช้เป็นอ้างอิงสากลด้านวิธีปฏิบัติ
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ส่องศักยภาพ สนามบินเชียงรายรองรับ 3 ล้านคน ทอท. ย้ำผู้โดยสารโต 2.3%

ทอท.ทุ่มงบ 5,870 ล้านบาท ขยายสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย สร้างอาคารหลังที่ 2 เป้ารองรับ 8 ล้านคนต่อปี คาดเสร็จปี 2575

เชียงราย, 13 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการบินในภาคเหนือที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ประกาศเดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ด้วยงบประมาณสูงถึง 5,870 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบัน 3 ล้านคนต่อปี เป็น 6-8 ล้านคนต่อปี พร้อมยกระดับเชียงรายให้เป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่” (New Economic Hub) ของภาคเหนือและเป็นประตูสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS)

การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับกับสถานการณ์การเติบโตของจำนวนผู้โดยสารที่กำลังจะเข้าสู่จุดอิ่มตัวของขีดความสามารถเดิมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามข้อมูลของ ทอท. คาดการณ์ว่าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายจะมีผู้โดยสารเต็มขีดความสามารถ 3 ล้านคนภายในปี 2573-2574 ขณะที่โครงการขยายจะแล้วเสร็จในปี 2575 ซึ่งอาจเกิดช่วง “ช่องว่างความแออัด” เป็นระยะเวลา 1-2 ปี ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการบริการและความสามารถในการแข่งขัน

ตัวเลักดันโครงการขยาย เติบโตช้าแต่ต้องเตรียมพร้อมรับอนาคต

ในปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมีปริมาณผู้โดยสารรวม 1.94 ล้านคน เติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 2.3 จากปีก่อน พร้อมทั้งมีจำนวนเที่ยวบิน 12,897 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.2 แม้ว่าตัวเลขการเติบโตดังกล่าวจะถือว่าอยู่ในระดับที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของท่าอากาศยานในเครือ ทอท. ที่มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 11.76 ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า อัตราการเติบโตของเที่ยวบินที่ร้อยละ 5.2 สูงกว่าการเติบโตของผู้โดยสารที่ร้อยละ 2.3 กว่าสองเท่า แสดงให้เห็นว่าสายการบินกำลังเพิ่มความถี่ในการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการและเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวในอนาคต ขณะเดียวกัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการพึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากท่าอากาศยานภูมิภาคอื่นๆ เช่น ภูเก็ตและเชียงใหม่ ที่ได้แรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดระหว่างประเทศ

ปัจจุบันท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมีอัตราการใช้ขีดความสามารถอยู่ที่ประมาณร้อยละ 64.67 จาก 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับที่สบาย แต่ตามการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการท่าอากาศยาน การใช้งานที่เกินร้อยละ 70-80 ถือเป็นสัญญาณที่ต้องเริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างและขยายเพื่อป้องกันปัญหาคอขวดในอนาคต

รายละเอียดโครงการ ครบวงจรทุกมิติ

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ประกอบด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่

งานเขตการบิน (Airside) มีการก่อสร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือและการปรับปรุงทางขับท้ายหลุมจอด ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 การปรับปรุงนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเที่ยวบิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน รวมถึงการเพิ่มหลุมจอดอากาศยานแบบประชิดอาคารอีก 9 หลุม เพื่อรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ขึ้นและลดระยะเวลาการปฏิบัติการภาคพื้นดิน

งานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน ถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (อาคาร 2) การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังเดิม และการก่อสร้างอาคารจอดรถ การพัฒนาครั้งนี้จะช่วยให้สามารถแยกกระบวนการผู้โดยสารระหว่างประเทศและภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

งานระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน รวมถึงการก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul: MRO) การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนนภายใน ระบบระบายน้ำ บำบัดน้ำเสีย ประปา และไฟฟ้า รวมถึงการสำรวจและออกแบบคลังสินค้าทดแทนและอาคารซ่อมอุปกรณ์ภาคพื้นดิน

โครงการนี้ตั้งเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี 2575 โดยมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ล้านคน และผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1 ล้านคน ซึ่งหมายถึงการเพิ่มสัดส่วนผู้โดยสารระหว่างประเทศอย่างมากจากปัจจุบันที่มีเพียง 7,370 คนต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 1

กลยุทธ์ดึงเที่ยวบินนานาชาติ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

เพื่อให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทอท. ได้วางกลยุทธ์หลายด้านเพื่อดึงดูดสายการบินและผู้โดยสารระหว่างประเทศ

แรงจูงใจทางการเงิน ทอท. ได้จัดตั้ง Marketing Fund โดยเฉพาะสำหรับสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายและหาดใหญ่ ให้เงินสนับสนุนสูงถึง 300 บาทต่อผู้โดยสารระหว่างประเทศที่มาใช้บริการในเส้นทางบินระหว่างประเทศใหม่ นอกจากนี้ยังมีการเสนอส่วนลดค่าธรรมเนียมการบินร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี สำหรับสายการบินที่เปิดเส้นทางบินใหม่ การสนับสนุนทางการเงินในระดับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงในการสำรวจตลาดใหม่ของสายการบิน โดยเฉพาะในการเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ GMS

กลยุทธ์ Dual Hub แอร์เอเชียได้เปิดเส้นทางใหม่ “เชียงราย-สุวรรณภูมิ (CEI-BKK)” ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยเสริมจากเส้นทางเดิม “เชียงราย-ดอนเมือง (CEI-DMK)” การเพิ่มการเชื่อมต่อกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศหลักของประเทศ ช่วยให้ผู้โดยสารต่างชาติสามารถใช้ระบบ Fly-Thru เดินทางมายังเชียงรายทางอ้อมได้ง่ายขึ้น นับเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างฐานผู้โดยสารระหว่างประเทศก่อนที่โครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 จะแล้วเสร็จ

การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ทอท. ได้เปิดให้เอกชนลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน โดยมีพื้นที่แปลงหน้าท่าอากาศยานขนาด 91 ไร่ ที่พร้อมให้สัมปทานสูงสุดถึง 30 ปี สำหรับธุรกิจหลากหลาย เช่น โรงแรม ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO โครงการแบบ Mixed-use และ Logistics Hub

เชียงราย จุดหมายปลายทางในประเทศยอดนิยม

แม้การเติบโตจะชะลอตัว แต่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในเครือข่ายการบินภายในประเทศ ตามข้อมูลจาก Flightradar24 เชียงรายติดอันดับ Top 10 สนามบินที่มีเที่ยวบินสูงสุดจากท่าอากาศยานดอนเมือง โดยอยู่ในอันดับที่ 8 รองจากภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครศรีธรรมราช ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการเดินทางภายในประเทศที่มั่นคง

ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเชียงรายที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (พม่า ลาว ไทย) ทำให้มีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการเชื่อมต่อในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น สามเหลี่ยมทองคำ และดอยแม่สลอง

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ ลงทุนวันนี้เพื่ออนาคต

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกพบว่า แม้ปัจจุบันท่าอากาศยานจะมีอัตราการใช้ขีดความสามารถเพียงร้อยละ 64.67 แต่การลงทุนเชิงป้องกันนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มักใช้เวลานานหลายปี และหากรอจนกระทั่งเกิดปัญหาความแออัดจริงๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินการ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อศักยภาพการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดอย่างรุนแรง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ยืนยันว่าโครงการนี้เป็นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและการบินในอนาคต ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนบทบาทของเชียงรายจากการเป็นเพียงจุดหมายปลายทางไปสู่การเป็นประตูการค้าและจุดเชื่อมต่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นักวิเคราะห์ด้านการบินมองว่า การกำหนดเป้าหมายขีดความสามารถที่ 6 ล้านคนต่อปีนั้นสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับขนาดตลาดและศักยภาพของพื้นที่ โดยเป็นการจัดวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในฐานะศูนย์กลางระดับรอง (Secondary Regional Hub) ที่เสริมความแข็งแกร่งในตลาดเฉพาะทาง (Niche Market) ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติในภาคเหนือตอนบน ซึ่งแตกต่างจากท่าอากาศยานหลักอย่างภูเก็ตที่มีแผนขยายไปสู่ 18 ล้านคนต่อปี หรือเชียงใหม่ที่ตั้งเป้า 20 ล้านคนต่อปี

ผลตอบแทนที่คาดหวัง เกินกว่าตัวเลขทางการเงิน

การลงทุน 5,870 ล้านบาทในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผลตอบแทนทางการเงินในทันที แต่เป็นการลงทุนที่มองไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง การเป็น “มหานครการบิน” (Aviation Metropolis) ที่มีขีดความสามารถ 6 ล้านคนต่อปีและมีบริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจร จะช่วยสร้างการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น

การพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และคลังสินค้าจะช่วยให้ ทอท. สามารถเพิ่มรายได้จากกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบินโดยตรง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวขององค์กรในการปรับสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการบิน (Aeronautical) และธุรกิจอื่นๆ (Non-Aeronautical) ให้เป็น 50:50 นอกจากนี้ ผู้โดยสารระหว่างประเทศมักมีศักยภาพในการใช้จ่ายเชิงพาณิชย์สูงกว่า ทำให้รายได้ต่อผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ความท้าทายและข้อควรระวัง

ถึงแม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะช่วง “ช่องว่างความแออัด” ระหว่างปี 2573 ถึง 2575 ซึ่งท่าอากาศยานจะเข้าสู่ขีดความสามารถเต็มที่ 3 ล้านคน ขณะที่โครงการขยายยังไม่แล้วเสร็จ ทอท. จะต้องเตรียมมาตรการบริหารจัดการชั่วคราว เช่น การใช้ Remote Bay อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ และการบริหารจัดการ Slot เพื่อรักษาคุณภาพการบริการ

นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการดึงดูดสายการบินระหว่างประเทศให้มาเปิดเส้นทางใหม่ตามเป้าหมาย 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงรายในตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง

การบริหารโครงการก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดเวลาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การล่าช้าจะทำให้ช่องว่างความแออัดยาวนานขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของเชียงรายในระยะยาว ดังนั้น การติดตามความคืบหน้าและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

มองไปข้างหน้า เชียงรายบนแผนที่การบินภูมิภาค

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการยกระดับเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญในภูมิภาค การวางรากฐานที่แข็งแกร่งในขณะนี้จะช่วยให้เชียงรายสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ความสำเร็จของโครงการจะไม่เพียงแต่สร้างประโยชน์ให้กับ ทอท. และอุตสาหกรรมการบินเท่านั้น แต่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือ สร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

การเชื่อมโยงกับเมืองใหญ่ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและจีนตอนใต้จะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติจะสามารถเข้าถึงเชียงรายได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการต่างๆ

บทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรม

โครงการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เน้นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการท่าอากาศยานสมัยใหม่ อาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะได้รับการออกแบบให้รองรับระบบดิจิทัลที่ทันสมัย ตั้งแต่การเช็คอินอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงระบบจัดการสัมภาระที่มีประสิทธิภาพ

การใช้ระบบบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ (Smart Building Management System) จะช่วยลดการใช้พลังงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ ทอท. นอกจากนี้ ระบบข้อมูลและการสื่อสารที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในท่าอากาศยาน ทำให้การให้บริการมีความรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

มิติด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

ท่ามกลางความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ทอท. ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาท่าอากาศยานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การก่อสร้างอาคารใหม่จะเน้นการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ

ระบบระบายน้ำและการป้องกันน้ำท่วมได้รับการออกแบบให้รองรับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปลูกต้นไม้และจัดภูมิทัศน์รอบบริเวณท่าอากาศยานจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

การมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ความสำเร็จของโครงการขนาดใหญ่อย่างนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการดำเนินงานของ ทอท. เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น การประชาสัมพันธ์และการสร้างความเข้าใจกับชุมชนโดยรอบเกี่ยวกับผลกระทบและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการเป็นสิ่งสำคัญ

การจ้างงานแรงงานท้องถิ่นในระหว่างการก่อสร้างและการดำเนินงานจะช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวในพื้นที่ โครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในขณะเดียวกัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่นให้มีมาตรฐานและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เป็นโอกาสในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

เปรียบเทียบกับสนามบินภูมิภาคอื่นในภูมิภาคอาเซียน

เมื่อมองในภาพกว้างของภูมิภาคอาเซียน การพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามได้พัฒนาสนามบินในเมืองรองอย่าง ดานัง และเมืองโฮจิมินห์ให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญ ขณะที่เมียนมาก็กำลังพัฒนาท่าอากาศยานในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์

การลงทุนของไทยในครั้งนี้จึงเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันและตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการบินในภูมิภาค การมีท่าอากาศยานที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในทุกภูมิภาคของประเทศจะช่วยกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด

บทเรียนจากการขยายสนามบินในอดีต

ประสบการณ์จากการขยายท่าอากาศยานภูมิภาคอื่นๆ ของ ทอท. ให้บทเรียนที่มีค่า การวางแผนที่ดีและการคาดการณ์ความต้องการที่แม่นยำเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ ท่าอากาศยานภูเก็ตซึ่งเคยประสบปัญหาความแออัดอย่างรุนแรงในอดีต ได้รับการขยายและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กรณีของท่าอากาศยานเชียงใหม่ก็ให้ข้อคิดสำคัญเช่นกัน การเติบโตของตลาดระหว่างประเทศที่รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ทำให้ต้องมีการปรับแผนและเร่งการพัฒนา สำหรับเชียงราย ทอท. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้และวางแผนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเตรียมพร้อมสำหรับการขยายในระยะถัดไปหากความต้องการเพิ่มขึ้นเกินคาดการณ์

ผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการศึกษา

การพัฒนาท่าอากาศยานจะส่งผลโดยตรงต่อตลาดแรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะความต้องการบุคลากรที่มีทักษะในอุตสาหกรรมการบิน การบริการ และการท่องเที่ยว สถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงจะได้รับโอกาสในการพัฒนาหลักสูตรและผลิตบุคลากรที่ตรงตามความต้องการของตลาด

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและสถาบันการศึกษาอื่นๆ สามารถพัฒนาหลักสูตรด้านการจัดการการบิน การบริหารโรงแรมและการท่องเที่ยว การโลจิสติกส์ และธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรในอนาคต การฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการลูกค้า ภาษาต่างประเทศ และทักษะดิจิทัล จะช่วยเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่เข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีรายได้ดีขึ้น

แนวโน้มการท่องเที่ยวและโอกาสทางธุรกิจ

ตลาดการท่องเที่ยวโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป นักท่องเที่ยวในปัจจุบันมีความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ วัฒนธรรม และธรรมชาติมากขึ้น เชียงรายมีจุดเด่นในด้านนี้ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมล้านนา ชุมชนชนเผ่าที่หลากหลาย และธรรมชาติที่สวยงาม

การเข้าถึงที่สะดวกขึ้นจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่มีกำลังซื้อดี และมองหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวหลัก ธุรกิจโรงแรมบูติค รีสอร์ทเชิงนิเวศ ร้านอาหารท้องถิ่น และกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยจะมีโอกาสเติบโตอย่างมาก

นอกจากนี้ การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากภาคเหนือไปยังตลาดในจีนและอาเซียนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ โอกาสนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพบริการ และมาตรฐานสากล การศึกษาตลาดเป้าหมายและความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มจะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการเพื่อแบ่งปันทรัพยากรและความรู้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

สำหรับภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ เช่น ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ท่าอากาศยานที่ได้รับการพัฒนาสามารถสร้างประโยชน์สูงสุด การจัดทำแผนพัฒนาเมืองและการบริหารจัดการการเติบโตอย่างยั่งยืนจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับชุมชนท้องถิ่น การเตรียมความพร้อมทั้งด้านทักษะ ภาษา และการบริการจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น การอนุรักษ์และส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นจะช่วยสร้างความแตกต่างและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริง

ข้อมูลสำคัญและสถิติสรุป

  • งบประมาณโครงการ: 5,870 ล้านบาท
  • ขีดความสามารถปัจจุบัน: 3 ล้านคนต่อปี
  • ขีดความสามารถเป้าหมาย: 6-8 ล้านคนต่อปี
  • ผู้โดยสารปีงบ 2568: 1.94 ล้านคน (เติบโต 2.3%)
  • จำนวนเที่ยวบินปีงบ 2568: 12,897 เที่ยวบิน (เติบโต 5.2%)
  • อัตราการใช้ขีดความสามารถปัจจุบัน: 64.67%
  • เป้าหมายผู้โดยสารระหว่างประเทศ: 1 ล้านคนต่อปี
  • กำหนดแล้วเสร็จ: ปี 2575
  • จุดอิ่มตัวขีดความสามารถเดิม: คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2573-2574

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – ทอท. (AOT)
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
  • Flightradar24
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทชร. คว้า “แพลทินัม” ต่อเนื่อง 16 ปีซ้อน AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติใน Thailand Safety Award

ทชร. “แพลทินัม” 16 ปีซ้อน—AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติ สำนักงานใหญ่–สนามบิน 4 แห่งกวาดรางวัล Thailand Safety Award ประจำปี 2568

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินที่เข้มข้นและมาตรฐานความปลอดภัยที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีของ จังหวัดเชียงราย ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) คว้ารางวัล สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ระดับประเทศ – ระดับแพลทินัม” ต่อเนื่อง ปีที่ 16 ในโครงการ Thailand Safety Award ประจำปี 2568 สะท้อนบทพิสูจน์ความสม่ำเสมอด้านการบริหารความปลอดภัยในสถานปฏิบัติงานที่ไม่ใช่เพียง “ทำได้ครั้งเดียว” แต่ “ทำได้ต่อเนื่องยาวนาน” จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ขณะเดียวกัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ ก็ประกาศผลงานโดดเด่นระดับองค์กรทั้งเครือ โดย สำนักงานใหญ่ AOT ได้รับรางวัลระดับประเทศ (ระดับทอง) ต่อเนื่อง ปีที่ 2 และยังมีสนามบินในกำกับอีก 4 แห่ง ที่กวาดรางวัล ได้แก่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ระดับทอง ปีที่ 5), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ระดับทอง ปีที่ 3) และ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ระดับจังหวัด ปีที่ 2) ตอกย้ำภาพรวมการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของเครือข่ายสนามบิน AOT อย่างรัดกุมและเป็นระบบ

พิธีรับมอบจัดขึ้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2568 โดยมี นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ที่ปรึกษา 10 และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน) เป็นผู้แทน AOT เข้ารับรางวัลจาก นายบุญธรรม ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ณ สำนักงานใหญ่ AOT

เล่าเรื่องจาก “รันเวย์เชียงราย” สู่ “รางวัลระดับชาติ”

ในห้วงเวลาที่เชียงรายกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ภาพของผู้โดยสารที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสัมผัสลมหนาว ชิมกาแฟดอย และชมดอกไม้ในเทศกาลใหญ่ กลายเป็น “ฉากหลัง” ของงานดูแลความปลอดภัยที่ไม่อาจละสายตาได้แม้แต่วินาทีเดียว—ตั้งแต่เขตลานจอด เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟทางวิ่ง ไปจนถึงการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกฝ่าย ทชร. ต้องรักษามาตรฐานเหล่านี้ให้ “เข้ม” และ “คงเส้นคงวา” เสมอ

การได้รางวัล แพลทินัม 16 ปีซ้อน ของ ทชร. จึงไม่ใช่เพียงเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ แต่เป็นบัญชีสะสมความไว้วางใจที่ชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ “ฝากชีวิต” ไว้กับสนามบินแห่งนี้ตลอดกว่าทศวรรษครึ่ง

สารหลักจากผู้บริหาร AOT (สรุปใจความจากคำชี้แจงหน่วยงาน)

“รางวัลครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของ AOT ว่า ‘บุคลากร’ คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยึดหลักมาตรฐานวิชาชีพ”

ความปลอดภัย–อาชีวอนามัย” ไม่ใช่เอกสาร แต่คือระบบนิเวศการทำงาน

เบื้องหลังรางวัล Thailand Safety Award คือการประเมินความพร้อมหลายมิติ ทั้งด้านนโยบาย ระบบบริหารความปลอดภัย (Safety Management System: SMS) การประเมินความเสี่ยง การป้องกันอุบัติเหตุ การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉิน การฝึกอบรมและเสริมทักษะบุคลากร ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบสนามบิน

สำหรับ ทชร. ความโดดเด่นคือ วัฒนธรรมความปลอดภัย” (Safety Culture) ที่ถูกทำให้เห็นเป็นรูปธรรม—เช่น การสื่อสารความเสี่ยงแบบข้ามสายงาน, การซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับทุกหน่วย (การแพทย์–ดับเพลิง–จราจรอากาศ–ความมั่นคง), การทบทวนบทเรียนจากเหตุการณ์ใกล้เคียงอุบัติเหตุ (Near Miss) เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และการจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ใส่ใจทั้งความปลอดภัยทางกายภาพและสุขภาพจิตของบุคลากร

ในระดับ AOT ทั้งระบบ ความสำเร็จของสำนักงานใหญ่และสนามบินเครือเดียวกันอีก 3 แห่งบ่งชี้ว่า “นโยบาย” ไม่ได้หยุดอยู่ในเอกสารกลาง แต่ถูกแปลงเป็นแนวปฏิบัติจริง ณ จุดปฏิบัติงาน—ตั้งแต่ลานจอดจนถึงห้องเครื่อง กลายเป็น “โครงข่ายความปลอดภัย” ที่ทำงานสอดประสานกัน

สรุปสถิติรางวัลปี 2568 ภาพรวมความก้าวหน้าของเครือ AOT

องค์กร

ระดับรางวัล

ความต่อเนื่อง

สำนักงานใหญ่ AOT

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 2

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

ระดับประเทศ (แพลทินัม)

ปีที่ 16

ท่าอากาศยานหาดใหญ่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 5

ท่าอากาศยานเชียงใหม่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 3

ท่าอากาศยานภูเก็ต

ระดับจังหวัด

ปีที่ 2

ตัวเลขที่ชวนคิด:

  • “16 ปีซ้อน” ของทชร. เท่ากับ เกือบสองทศวรรษ ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงรักษาเสถียรภาพด้านความปลอดภัยอย่างสูงสุด—ยาวนานพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสนามบินหลายยุค
  • การที่ สามสนามบินระดับภูมิภาค (เชียงราย–เชียงใหม่–หาดใหญ่) กวาด ระดับประเทศ พร้อมกัน สะท้อนพลังของเครือข่ายสนามบินนอกกรุงเทพฯ ที่ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ “ดาวเด่นเดี่ยว” แต่ “เติบโตทั้งพอร์ต”

เหตุใด “สนามบินปลอดภัย” จึงสำคัญต่อจังหวัดและเศรษฐกิจชุมชน

  1. ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและสายการบิน – รางวัลความปลอดภัยที่ได้รับต่อเนื่องทำให้เชียงรายมี “ตราประทับความไว้วางใจ” ช่วยดึงดูดสายการบิน–เที่ยวบินพิเศษในฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนถึงความพร้อมของระบบรองรับการเดินทาง
  2. ต้นทุนโลจิสติกส์และความต่อเนื่องของธุรกิจ – อุบัติเหตุหรือเหตุหยุดชะงักที่สนามบินมีต้นทุนสูงกว่าที่คิด ทั้งต่อผู้โดยสาร ผู้ประกอบการ และภาพลักษณ์ปลายทาง การยกระดับความปลอดภัยจึงเท่ากับ “ประกัน” ความต่อเนื่องของเศรษฐกิจจังหวัด
  3. ความปลอดภัยของบุคลากรและชุมชนรอบสนามบิน – ระบบอาชีวอนามัยที่เข้มแข็งลดอุบัติเหตุหน้างาน ลดการเจ็บป่วยจากการทำงาน และลดความเสี่ยงเหตุรุนแรงที่กระทบพื้นที่โดยรอบ ซึ่งตรงกับความคาดหวังของประชาชนในฐานะ “เพื่อนบ้านสนามบิน”

เชียงรายบนเส้นทาง “สนามบินปลอดภัย–เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน”

ความปลอดภัยของสนามบินไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเขตรั้วขององค์กร แต่เชื่อมโยงกับ พฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และ กิจกรรมในชุมชน โดยรอบ เช่น การเฝ้าระวัง โคมลอย–โดรน–พลุ ในช่วงเทศกาลปลายปีที่อาจคุกคามความปลอดภัยการบิน การที่ทชร. มีระบบรณรงค์ร่วมกับหน่วยงานด้านการบินและชุมชนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็น “ภาพต่อเนื่อง” ของวัฒนธรรมความปลอดภัย—จากรันเวย์สู่เมือง

ด้วยเหตุนี้ รางวัลแพลทินัม จึงหมายถึง “ความสำเร็จร่วม” ของทั้งสนามบินและคนเชียงราย ที่ช่วยกันรักษากติกาเพื่อให้การเดินทางปลอดภัยและจังหวัดเดินหน้าสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง

ถอดบทเรียนความสำเร็จ 4 ปัจจัยที่ทำให้รางวัลยาวนาน

  1. ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญ – เมื่อผู้บริหาร AOT ย้ำชัดว่า “บุคลากรคือพลังขับเคลื่อน” งบประมาณ–เครื่องมือ–เวลาในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยจึงถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่โครงการครั้งคราว
  2. มาตรฐานเดียวกันทั้งเครือ – สำนักงานใหญ่ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์มาตรฐาน” ที่ผลักนโยบายสู่สนามบินทุกแห่ง ทำให้รางวัลเกิดในหลายพื้นที่พร้อมกัน
  3. การประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง – วงจร Plan–Do–Check–Act ถูกนำมาใช้จริงในงานภาคสนาม ตรวจสอบช่องโหว่และยกระดับอย่างสม่ำเสมอ
  4. การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติและชุมชน – ความปลอดภัยไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากทุกคนในระบบ ทั้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้น นักบิน ผู้โดยสาร ผู้ประกอบการร้านค้า ไปจนถึงชุมชนรอบสนามบิน

มุมมองเชิงยุทธศาสตร์ของ AOT  “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ต้องยืนบนรากฐานความปลอดภัย

การประกาศวิสัยทัศน์สู่ ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค จะเป็นได้จริงก็ต่อเมื่อสนามบินหลัก–สนามบินภูมิภาคของไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ในระดับสากล รางวัล Thailand Safety Award ที่ได้รับต่อเนื่องหลายปีจึงทำหน้าที่เสมือน “ตัวชี้วัดเงียบ” ว่าองค์กรกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางนี้อย่างมั่นคง

ในมิติสากล การมีระบบอาชีวอนามัยที่ดี ยังสัมพันธ์กับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยตรง—ทั้งด้านงานที่มีคุณค่า (SDG8) สุขภาพและความปลอดภัย (SDG3) และโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่น (SDG9) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ธุรกิจการบินทั่วโลกจับตามอง

เสียงสะท้อนจากจังหวัด—รางวัลที่ “จับต้องได้”

สำหรับเชียงราย รางวัลของทชร. สะท้อนกลับมาสู่สิ่งที่จับต้องได้ 3 ด้าน

  • ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวฤดูหนาว เที่ยวบินเช่าเหมาลำ–ไฟลต์เสริมมีแนวโน้มตอบรับดีเมื่อสนามบินแสดงศักยภาพด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง
  • การเชื่อมต่อการลงทุนท้องถิ่น ผู้ประกอบการโรงแรม–โลจิสติกส์–เกษตรแปรรูป มองเห็น “ความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐาน” ในจังหวัด
  • ความภาคภูมิใจของคนทำงาน บุคลากรสนามบินและหน่วยสนับสนุนมีแรงจูงใจสูงขึ้น เมื่อผลงานด้านความปลอดภัยถูกยอมรับระดับประเทศ

คำถามสุดท้ายที่ควรถามต่อ  “หลังจากแพลทินัมปีที่ 16 แล้ว เราจะพัฒนาอย่างไรต่อ?”

รางวัลต่อเนื่องยาวนานคือความสำเร็จ แต่ก็ท้าทายให้คิดต่อว่าจะ “ยกระดับ” อย่างไรในก้าวต่อไป ประเด็นที่น่าจับตา ได้แก่

  • เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก (เช่น เซนเซอร์ IoT ตรวจสอบสภาพเครื่องมือภาคพื้นแบบเรียลไทม์, AI วิเคราะห์ความเสี่ยงการปฏิบัติงาน)
  • การจัดการความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศสุดขั้ว ที่อาจกระทบการปฏิบัติการบิน
  • การสร้างทักษะคนรุ่นใหม่ ในสายงานความปลอดภัยการบินที่ต้องผนวกระบบดิจิทัลและการสื่อสารข้ามหน่วยงาน

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็น “ฐานรากของปีที่ 17–18–19” และต่อ ๆ ไป ให้ทชร. และเครือ AOT ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้เหนือความคาดหวัง

สรุปเชิงบรรณาธิการ

  1. ข่าวดีของเชียงราย: ทชร. คว้า แพลทินัม 16 ปีซ้อน—นานพอจะสะท้อน “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ที่ฝังรากจริง
  2. ข่าวดีของประเทศ: AOT ทั้งเครือ “กวาดรางวัล” ทั้งสำนักงานใหญ่และสนามบินภูมิภาคหลัก ยืนยันระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ
  3. ความหมายต่อเศรษฐกิจ–สังคม: ความปลอดภัยสนามบินคือ “โครงสร้างพื้นฐานทางความเชื่อมั่น” ที่หนุนท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การลงทุน
  4. โจทย์ต่อไป: รักษามาตรฐานพร้อมยกระดับเทคโนโลยี–ทักษะ เพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ และสนับสนุนวิสัยทัศน์ศูนย์กลางการบินภูมิภาค

เมื่อความปลอดภัยไม่ใช่แค่ “เกณฑ์สอบผ่าน” แต่เป็น “คุณค่าหลักขององค์กร” รางวัลจึงกลายเป็นเพียงผลลัพธ์ปลายทาง ส่วนสิ่งที่คนเชียงรายและผู้โดยสารทุกคนได้รับจริง ๆ คือ ความอุ่นใจบนทุกเที่ยวบินที่ขึ้น–ลง ณ รันเวย์แห่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT
  • สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (Mae Fah Luang – Chiang Rai International Airport)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News