Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT-เทศบาลนครเชียงราย จับมือแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบิน ผลักดันเที่ยวบินยูนนาน

AOT จับมือเทศบาลนครเชียงราย แก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าดึงเที่ยวบินยูนนาน–ไทย ยกระดับเมืองสู่ประตูเศรษฐกิจใหม่

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ขยับยุทธศาสตร์สำคัญในภาคเหนือ เมื่อคณะผู้บริหารเดินทางเข้าพบนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณโดยรอบท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ควบคู่กับการวางมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การหารือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่กำลังจะมีการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA อย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับบทบาทของเชียงรายในฐานะสนามบินสำคัญของภูมิภาค และประตูสู่การท่องเที่ยวและโลจิสติกส์สายเหนือ–จีนตอนใต้ในอนาคต

ระดับพื้นที่ ร่วมวางรากฐานใหม่ เริ่มจากแก้น้ำท่วมและขยายเขตเมืองรอบสนามบิน

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เทศบาลนครเชียงรายนำโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยนายภาธร์ รังษีกุลพิพัฒน์ รองนายกเทศมนตรี และนายวินัย โซนี่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาเมือง ให้การต้อนรับนางสาวสิริกัญ วนัสบดีกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และรองผู้อำนวยการฝ่ายท่าอากาศยาน พร้อมคณะ

การพบปะครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

  1. ประชาสัมพันธ์โครงการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  2. หารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณโดยรอบสนามบิน ควบคู่กับการวางมาตรการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบินถูกมองว่าเป็น “ข้อจำกัดเชิงกายภาพและความปลอดภัย” ที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะเกี่ยวข้องกับทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบระบายน้ำ ความเชื่อมั่นของสายการบิน และความปลอดภัยของผู้โดยสาร หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ไม่เพียงกระทบภาพลักษณ์สนามบิน แต่ยังอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่อง “การขยายเขตพื้นที่ให้ครอบคลุมบริเวณสนามบิน” เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และการบริการนักท่องเที่ยวเดินไปในทิศทางเดียวกัน การวางเขตเมืองที่ชัดเจนจะช่วยให้การจัดการถนน ระบบขนส่งสาธารณะ ป้ายสัญลักษณ์ รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินมีเอกภาพ และสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแท้จริง

เชียงรายในสายตา AOT จากสนามบินภูมิภาค สู่ฟันเฟืองเชื่อมยูนนาน–ไทย

อีกประเด็นสำคัญในการหารือครั้งนี้ คือ แผนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างยูนนาน–ไทย เพื่อผลักดันการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินตรงสู่จังหวัดเชียงรายโดยตรง แนวทางดังกล่าวถูกมองว่าเป็น “กุญแจเศรษฐกิจ” สำคัญของเชียงราย เพราะจังหวัดมีจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ ทั้งการเป็นประตูการค้าชายแดน การเชื่อมโยงจีนตอนใต้ เมียนมา และลาว และมีบทบาทในด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม

หากเที่ยวบินตรงระหว่างยูนนาน–เชียงรายเกิดขึ้นจริง จะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง เพิ่มความสะดวกให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ และเปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการในเมืองและรอบจังหวัดได้ขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดจีนตอนใต้โดยตรง

ความร่วมมือนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มตัวเลขผู้โดยสารสนามบิน แต่ยังหมายถึงการเชื่อมเศรษฐกิจชายแดน การค้า การลงทุน และการสร้างเครือข่ายเมืองท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงบนฐานการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ

มองจากระดับประเทศ AOT โตต่อเนื่อง รายได้และผู้โดยสารขยับขึ้นพร้อมกัน

เพื่อรองรับทิศทางการพัฒนาของสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงราย จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยัง “ศักยภาพขององค์กร” ที่ดูแลสนามบินหลักของประเทศอย่าง AOT ด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทในปีงบประมาณ 2568 (ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) ว่า AOT มีรายได้จากกิจการการบินรวม 33,047.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,046.83 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6

เมื่อรวมทุกประเภทรายได้ AOT มีรายได้รวมทั้งสิ้น 68,586.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.12 และมีกำไรสุทธิรวม 18,125.20 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน แต่อุตสาหกรรมการบินไทยภายใต้การบริหารจัดการของ AOT กำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ

ด้านปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในสังกัด AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีเที่ยวบินรวม 788,095 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.56 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 444,944 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 343,151 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารใช้บริการรวมทั้งสิ้น 125,989,505 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.61 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 76,636,387 คน และผู้โดยสารภายในประเทศ 49,353,118 คน ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า การเดินทางทางอากาศกลับมาเป็นหัวใจสำคัญของการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง และเป็นฐานสำคัญในการต่อยอดสนามบินภูมิภาคให้ก้าวไปสู่บทบาทใหม่

สุวรรณภูมิในฐานะ Hub ระดับโลก ตัวอย่างมาตรฐานที่เชียงรายต้องเทียบเคียง

ในบรรดาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ยังเป็นตัวหลักที่แบกรับจำนวนผู้โดยสารกว่า 62 ล้านคนต่อปี และถือเป็น “หน้าตา” ของระบบการบินไทยในระดับสากล

ทสภ.ได้รับการจัดอันดับสำคัญจากหลายสถาบัน อาทิ

  • อันดับที่ 7 สนามบินที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทางอากาศ
  • อันดับที่ 9 สนามบินที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศสูงสุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง จาก ACI APAC&MID
  • อันดับที่ 12 ของโลก ในกลุ่ม Global Airport Megahubs 2025 จาก OAG
  • ติดอันดับท็อป 10 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกจาก Condé Nast Traveler
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ 4 ดาว จาก Skytrax

การได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติเหล่านี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการยกระดับบริการภายในสนามบินอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มจุดลงทะเบียนใบหน้าผ่านระบบ Biometric สำหรับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เพื่อลดขั้นตอนการแสดงเอกสาร และการขยายจุดติดตั้ง Auto Channel บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมืองทั้งขาเข้าและขาออก เพื่อให้การตรวจคนเข้าเมืองราบรื่น รวดเร็ว และปลอดภัย

มาตรฐานที่ทสภ.วางไว้ จึงกลายเป็น “แรงขับเคลื่อนเชิงคุณภาพ” ที่ส่งผลไปถึงสนามบินอื่นในสังกัด AOT รวมถึงแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงยกระดับขีดความสามารถเช่นกัน

จากมาตรฐานระดับโลก สู่สนามบินภูมิภาค หมุดหมายใหม่ของแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

แม้การเติบโตของผู้โดยสารท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปัจจุบันจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรวมของทั้ง 6 ท่าอากาศยาน แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ สนามบินแห่งนี้กลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นประตูสู่ภาคเหนือและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

การที่ AOT และเทศบาลนครเชียงรายจับมือกันแก้ปัญหาน้ำท่วมและวางแผนขยายเขตพื้นที่เมืองให้ครอบคลุมสนามบิน ถือเป็นการ “ปรับฐานโครงสร้าง” ให้พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต เมื่อผนวกกับแผนดึงเที่ยวบินยูนนาน–ไทย เข้าสู่เชียงรายโดยตรง สนามบินแม่ฟ้าหลวงจึงมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็น “จุดเชื่อมต่อการเดินทางและโลจิสติกส์” ที่สำคัญของภูมิภาค

ด้าน AOT เองยืนยันว่า จะเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานในความรับผิดชอบทุกมิติ ทั้งบริการ เทคโนโลยี ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ‘World Class Hospitality’ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสาร แนวคิดนี้หากถูกนำมาปรับใช้กับแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อย่างจริงจัง จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์สนามบินให้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงสนามบินภูมิภาค ไปสู่สนามบินที่นักเดินทางจดจำในเชิง “ประสบการณ์และความประทับใจ”

ผลกระทบเชิงลึกต่อชุมชน เมื่อการแก้น้ำท่วมเชื่อมโยงกับปากท้องและโอกาสทางเศรษฐกิจ

แม้หัวข้อหลักของการหารือจะเน้นเรื่องน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในเชิงลึก ผลลัพธ์ของการพัฒนาครั้งนี้จะเชื่อมโยงถึงชีวิตประจำวันของคนเชียงรายโดยตรง

หากระบบระบายน้ำรอบสนามบินมีประสิทธิภาพมากขึ้น พื้นที่ชุมชนรอบข้างจะลดความเสี่ยงต่อความเสียหายทั้งทรัพย์สินและการประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการใกล้สนามบินจะมั่นใจมากขึ้นในการลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน การวางระบบคมนาคมเชื่อมจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างมีแบบแผน จะทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

ดังนั้น การแก้ปัญหาน้ำท่วมจึงไม่ใช่เพียงประเด็นวิศวกรรม แต่เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ไปพร้อมกัน

เมื่อ “น้ำท่วม–พื้นที่–เที่ยวบิน” กลายเป็นสมการอนาคตของเชียงราย

จากการขยับตัวของ AOT และเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ประเด็นน้ำท่วมรอบสนามบิน การจัดทำ EIA การขยายเขตพื้นที่เมือง การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างยูนนาน–ไทย และการยกระดับมาตรฐานบริการสนามบิน ล้วนเชื่อมโยงกันเป็น “สมการอนาคต” ของเชียงราย

หากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเดินหน้าอย่างเป็นระบบ เขตพื้นที่รอบสนามบินถูกจัดวางใหม่ให้รองรับการเติบโต โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมได้รับการพัฒนา และเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกผลักดันจนสำเร็จ เชียงรายจะไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่จะก้าวขึ้นมาเป็น “โหนดการเดินทางและเศรษฐกิจ” ที่เชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จระดับตัวเลขของ AOT ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ เที่ยวบิน และผู้โดยสาร รวมถึงการยอมรับในระดับโลกของสุวรรณภูมิ สะท้อนว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการบินและการบริหารสนามบินที่มาตรฐานสูงอยู่แล้ว คำถามคือ เราจะใช้ศักยภาพนั้น “ส่งต่อ” ไปสู่สนามบินภูมิภาคอย่างแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้เร็วและลึกแค่ไหน

คำตอบของคำถามนี้ อาจไม่ได้อยู่เพียงบนกระดาษ EIA หรือแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังอยู่ในความร่วมมือระยะยาวของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน ที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนให้ “สนามบิน–เมือง–ชุมชน” เติบโตไปด้วยกันอย่างสมดุลและยั่งยืน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ข้อมูลท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง สั่งเข้มงดโคม-คุมโดรน ฝ่าฝืนโทษหนัก

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึก 3 หน่วยงานการบิน ดึงชุมชนรอบสนามบินเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สั่งเข้ม “งดโคม-คุมโดรน” ฝ่าฝืนโทษหนัก สูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อแสงเทียนและโคมลอยกำลังจะปลิวไสวบนท้องฟ้าในช่วง “ยี่เป็ง–ลอยกระทง” ของล้านนา สีสันของเทศกาลที่งดงามก็ทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงบนท้องฟ้า” ที่จับต้องได้มากขึ้นทุกปี ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) จึงเปิดปฏิบัติการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางการบินแบบเชิงรุก ผนึกกำลัง บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความรู้ กำชับกฎหมาย และสร้างเครือข่ายชุมชนรอบสนามบินในการเฝ้าระวังวัตถุบินที่รุกล้ำเขตปลอดภัย โดยเน้นสองโจทย์หลักช่วงเทศกาลคือ โคมลอย–พลุ–ตะไล และ โดรน

พิธีเปิดโครงการ “รณรงค์ส่งเสริมการป้องกันอันตรายจากโคมลอย โคมไฟ โคมควัน และการใช้งานโดรน ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2569” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมไชยนารายณ์ริเวอร์ไซด์ โดยมี นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล ผู้เชี่ยวชาญ 9 และรักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้แทนจาก ฝูงบิน 416 เชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย, สมาคมโรงแรมจังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, มณฑลทหารบกที่ 37, ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากชุมชนรอบสนามบิน เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างคึกคัก

“เราขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย งดการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้โดยสาร และชุมชนของเราเอง” – นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล เน้นย้ำในเวทีรณรงค์

จุดตั้งต้นของยุทธการ เทศกาลสวยงามที่ซ่อน ‘ความเสี่ยงร้ายแรง’

ปีนี้ประเพณียี่เป็ง/ลอยกระทงตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งตามสถิติการเดินทาง มักเป็นช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน “โคมลอย–พลุ–ตะไล” และกิจกรรมโดรนเพื่อถ่ายภาพ ก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นรอบพื้นที่สนามบิน หากปล่อยโดยไม่ควบคุม อาจก่อเหตุ ร้ายแรงต่ออากาศยาน และ “ชีวิต” ได้โดยตรง

แผ่นพับรณรงค์ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ชัดถึง 4 มิติความเสี่ยงจากโคมลอย ที่สาธารณชนควรตระหนัก

  1. ความปลอดภัยต่อการเดินอากาศ – โคมลอยสามารถถูกดูดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้เกิดการ ระเบิด หรือสูญเสียการควบคุม
  2. การรบกวนการบิน – แสงจากโคมหรือเลเซอร์ในอากาศอาจบดบังวิสัยทัศน์นักบิน กระทบการนำร่อนและการสื่อสาร
  3. ผลกระทบต่อสนามบิน – ซากโคมที่ตกใกล้รันเวย์เป็นสิ่งกีดขวาง ทำให้ต้อง ชะลอหรือยกเลิกเที่ยวบิน
  4. อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินภาคพื้น – โคมลอยตกใส่หลังคา สายไฟแรงสูง หรือพื้นที่แห้งแล้งอาจก่อ ไฟไหม้ลุกลาม

คำเตือนดังกล่าวไม่ใช่การคาดเดา เพราะในโลกความจริง เหตุ “วัตถุแปลกปลอมในอากาศ” (FOD) และ การชนกับนก (Bird Strike) ก็เป็นความเสี่ยงคู่ขนานที่ต้องบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง อินโฟกราฟิกของท่าอากาศยานฯ ยังอธิบายภาพจำง่าย ๆ ว่า หากเครื่องบินวิ่งที่ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ชนวัตถุหนัก 5 กิโลกรัม แรงปะทะที่เกิดขึ้น “เทียบเท่าชนช้างหนึ่งตัว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชนกับนกขนาดกลาง–ใหญ่ สามารถสร้าง แรงกระแทกมหาศาล ต่อโครงสร้างอากาศยานได้

ในทุ่งนารอบเชียงรายยังพบ “นกเป้าหมาย” เป็นประจำ เช่น นกปากห่าง (หนัก 1–3 กก.), นกยางควาย/นกยางกรอก (หนักประมาณ 0.2–0.5 กก.) และ นกเอี้ยง หลายชนิดซึ่งแม้ตัวเล็กแต่รวมฝูงได้ง่าย ทชร. จึงทำงานร่วมกับชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดปัจจัยดึงดูด (เช่น แหล่งอาหารและแหล่งพักนก) ใกล้เขตการบิน

เขตปลอดภัยการเดินอากาศ เส้นขีดที่ไม่ควรถูกละเมิด

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ เผย แผนที่เขตห้าม จุด/ปล่อยโคมลอย โคมควัน พลุ ตะไล และวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน “รอบสนามบินโดยเด็ดขาด” ตาม ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องกำหนดเขตบริเวณใกล้เคียงสนามบินเชียงรายเป็นเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ พ.ศ. 2535 ครอบคลุมพื้นที่ใน อำเภอเมืองเชียงราย หลายตำบล รวมถึง อำเภอเวียงชัย (ตำบลเวียงชัย, เวียงเหนือ) และ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง (ตำบลดงมหาวัน, ตำบลทุ่งก่อ) เป็นต้น

สาระสำคัญคือ ผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอยในพื้นที่ นอกเขตห้าม ก็ยังต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด เช่น ยื่นขออนุญาตต่อผู้อำนวยการเขตหรืออำเภอ ระบุวัน–เวลา–สถานที่–จำนวนที่จะปล่อย พร้อมแจ้งท่าอากาศยานหรือศูนย์ควบคุมการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ทั้งนี้ ห้าม จัดกิจกรรมในแนวขึ้น–ลงของอากาศยานหรือพื้นที่ที่อาจส่งผลต่อการนำร่อนโดยตรง

สำหรับ โคมลอยมาตรฐาน ที่ทางการอนุญาต ต้องมีลักษณะตามนี้

  • สูงไม่เกิน 140 ซม. และ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 90 ซม.
  • ทำจากวัสดุธรรมชาติ
  • ใช้เชื้อเพลิงจากกระดาษซับเทียนหรือพาราฟิน น้ำหนักไม่เกิน 55 กรัม และ เผาไหม้ไม่เกิน 8 นาที
  • ห้ามผูกลูกดอก/พลุ/ไฟตก ใต้ท้องโคมลอยโดยเด็ดขาด

กฎหมาย–บทลงโทษ “เข้มกว่าที่คิด” เพื่อยับยั้งความเสี่ยง

การปล่อยโคมลอยหรือจุดพลุในเขตปลอดภัยการเดินอากาศ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โทษสูงสุด “หนักและชัด” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้โดยสารและสาธารณชน

  • ฝ่าฝืนจุด/ปล่อยในเขตปลอดภัย จำคุกไม่เกิน 5 ปี, ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • กรณีทำให้เกิดความเสียหาย/อันตรายต่ออากาศยาน สูงสุดถึง ประหารชีวิต, จำคุกตลอดชีวิต, หรือจำคุก 5–20 ปี และปรับ 600,000–800,000 บาท

กับ “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับ การควบคุมก็เข้มงวดไม่แพ้กัน ตามกรอบของ กพท. และ กสทช.

  • ห้ามบินในระยะ 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือบริเวณขึ้น–ลงชั่วคราวของอากาศยาน เว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินเหนือสถานที่ราชการ โรงพยาบาล เขตหวงห้าม หรือสูงเกิน 90 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • บทลงโทษพื้นฐาน (ฝ่าฝืนเขตห้าม) จำคุกไม่เกิน 1 ปี, ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านการขึ้นทะเบียน

  • กสทช. โดรนน้ำหนัก 2–25 กก. ต้องขึ้นทะเบียนตัวเครื่อง พร้อมเอกสารบัตรประชาชน ภาพ Serial Number และ ประกันภัยบุคคลที่สามไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
  • กพท. (CAAT) โดรน ติดกล้อง หรือ ใช้เชิงพาณิชย์ ต้องขึ้นทะเบียนผ่านระบบ UAS Portal รวมถึงการขึ้นทะเบียน ผู้บังคับ สำหรับโดรนน้ำหนัก ตั้งแต่ 25 กก. ขึ้นไป

ข้อควรรู้ ที่ทชร. ย้ำกับผู้ใช้โดรนทุกคน

  1. โดรน น้ำหนักน้อยกว่า 2 กก. และ ไม่ติดกล้อง เพื่อการใช้งานอดิเรก อาจ ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ยังต้องบินอย่างปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎระยะห่าง/ความสูง
  2. โดรน 2–25 กก. หรือ ติดกล้อง ต้องขึ้นทะเบียนทั้งกับ กสทช. (ตัวเครื่อง) และ กพท. (การใช้งาน/ผู้บังคับ)
  3. ขณะบินต้อง “มองเห็นด้วยตาเปล่า” ตลอดเวลา ห้ามบังคับโดยอาศัยภาพจากกล้องอย่างเดียว

จากเวทีความรู้สู่เครือข่ายเฝ้าระวัง ทำอย่างไรให้ “น่านฟ้าเชียงราย” ปลอดภัยยิ่งขึ้น

สาระการบรรยายของ บวท., กสทช. และ กพท. ในเวทีรณรงค์ 20 ต.ค. ครอบคลุมตั้งแต่ “หลักการจัดการความปลอดภัยด้านการบิน (Safety Management)” การประสานงานการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ไปจนถึง “แนวทางปฏิบัติ” ของชุมชนรอบสนามบินเมื่อพบเห็นวัตถุในอากาศ โดยทชร. เผย QR Code สองรายการสำหรับประชาชน ได้แก่

  • กฎหมาย/ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวัตถุในอากาศ (รวมถึงโคมลอย–โดรน)
  • ช่องทางแจ้งเหตุ หากพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย

ในการปฏิบัติจริง ทชร. เน้น 4 กลไกเฝ้าระวัง ที่ทำงานคู่กับมาตรการเชิงกฎหมาย

  1. เครือข่ายชุมชน – แต่งตั้งอาสาสมัคร/ตัวแทนชุมชนรอบสนามบินเป็น “จุดสังเกตการณ์” แจ้งเบาะแสรวดเร็ว
  2. ประสานท้องถิ่น–ท้องที่ – อบต./เทศบาล/กำนันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมออกประกาศย้ำเตือนก่อนเทศกาล และนัดหมาย “เวลาปลอดภัย” หากจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต
  3. การสื่อสารสาธารณะ – ป้ายรณรงค์ อินโฟกราฟิก และโพสต์สาระย่อยง่าย เช่น ภาพ “โคมลอยอาจเท่ากับชนช้างหนึ่งตัว” เพื่อกระตุ้นการรับรู้
  4. ลาดตระเวน–เฝ้าระวังเชิงรุก – ทีมงานสนามบินตรวจพื้นที่เสี่ยงรอบรันเวย์/แนวขึ้นลงก่อน–ระหว่างเทศกาล

เชียงราย 70% บทพิสูจน์ของเมืองท่องเที่ยว–ฮับการบิน ที่ต้องอยู่ร่วมกับประเพณีอย่างปลอดภัย

เชียงรายกำลังเดินหน้าเป็น “เมืองท่องเที่ยวสุขภาพ–วัฒนธรรม” เทศกาลยี่เป็งคือเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดผู้มาเยือน แต่สนามบินแม่ฟ้าหลวงฯ ก็เป็น “โครงข่ายชีวิต” ของเศรษฐกิจจังหวัด ความสมดุลระหว่าง ความงดงามของประเพณี กับ ความปลอดภัยของน่านฟ้า จึงเป็นโจทย์ยุคใหม่ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้

เวทีรณรงค์ครั้งนี้สะท้อน “บทเรียนเชียงราย” อย่างน้อย 3 ประการ

  • ความรู้เท่าทัน คือเส้นแบ่งระหว่างงานรื่นเริงกับความเสี่ยง – ประชาชนจำนวนมาก “เพิ่งรู้” ว่าการปล่อยโคมลอยบางประเภทมีโทษสูงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หากก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยาน
  • การมีส่วนร่วม ของภาคธุรกิจ–โรงแรม–ชุมชน มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ – โรงแรมและผู้จัดทัวร์คือด่านหน้าในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างจังหวัด/ต่างชาติ
  • มาตรการเชิงระบบ ต้องทำก่อนเทศกาล – การแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วัน การกำหนดพื้นที่–เวลา (ในกรณีที่ได้รับอนุญาต) และการเชื่อมต่อข้อมูลกับหอบังคับการบิน คือหัวใจของการลดความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ

ประเทศไทย 20% กฎเดียวกันใช้ทั้งประเทศ แต่พื้นที่รอบสนามบิน “เข้มเป็นพิเศษ”

แม้มาตรการรณรงค์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในเชียงราย แต่กฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497, ข้อกำหนดของ กพท. และ กสทช. มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสนามบินหลัก–รอง และพื้นที่ที่ประกาศเป็น “เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ” ช่วงเทศกาลลอยกระทง ภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรมปล่อยโคม–พลุ จึงต้องประสานงานกับสนามบินในพื้นที่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ใช้ โดรน ทั่วประเทศ กรอบคิดที่ควรยึดไว้เสมอคือ “มองเห็น–ควบคุมได้–รับอนุญาต” หากบินใกล้สนามบินหรือในพื้นที่อ่อนไหว และ “ขึ้นทะเบียน–ทำประกัน” ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

ต่างประเทศ 10% เวทีโลกก็เผชิญโจทย์เดียวกัน – วัตถุเล็ก ความเสี่ยงใหญ่

หลายประเทศเข้มงวดกับ โคมลอย และ โดรน ใกล้สนามบินอย่างมาก เพราะอุบัติการณ์ “วัตถุเล็ก–ผลกระทบใหญ่” เกิดขึ้นจริง ทั้งกรณีโดรนรุกล้ำเขตห้ามบินจนสนามบินต้อง ปิดรันเวย์ชั่วคราว, หรือเหตุไฟไหม้จากโคมลอยที่ลอยไกลควบคุมไม่ได้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ตอกย้ำว่าแนวนโยบายของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ที่เลือกใช้ “ป้องกันไว้ก่อน” คือทางเลือกที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะยาว

จาก “ความงดงาม” สู่ “ความรับผิดชอบร่วมกัน”

เทศกาลยี่เป็ง–ลอยกระทงคือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเชียงรายและชาวล้านนา การรักษาเสน่ห์นั้นไว้คู่กับการเดินอากาศที่ปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกคน

  • หากต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอย ต้องยื่นขออนุญาต แจ้งวัน–เวลา–สถานที่–จำนวน และประสานสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
  • เลือกใช้ โคมมาตรฐาน ขนาดตามเกณฑ์ และ ห้าม ผูกพลุ/ลูกไฟตก
  • ผู้ใช้ โดรน ต้อง ขึ้นทะเบียน ตามเกณฑ์ของ กสทช.–กพท., ทำประกันบุคคลที่สาม, บินในพื้นที่ปลอดภัย ห่างสนามบินอย่างน้อย 9 กม., ความสูงไม่เกิน 90 เมตร, และมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอ
  • เมื่อพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย แจ้งท่าอากาศยาน ผ่านช่องทางที่ประกาศ (QR Code) ทันที

เสียงปิดท้ายจากเวทีรณรงค์ของเชียงรายชัดเจน น่านฟ้าปลอดภัย คือความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งเมือง” หากทุกภาคส่วนขยับพร้อมกัน เชียงรายจะคงไว้ซึ่งทั้ง ความงามของประเพณี และ ความมั่นคงของเส้นทางบิน ที่เชื่อมผู้คน เศรษฐกิจ และอนาคตของเมืองเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (AOT Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport)
  • บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • ประกาศกระทรวงคมนาคม
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เดิมพันอนาคต รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เชียงราย ชู “เมืองปลอดภัยอันดับ 2 โลก”

เดิมพันอนาคต “เชียงรายพร้อมรับไฮซีซัน” รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เมืองรอง–เปิดเกมจีน พร้อมชู “เมืองปลอดภัยระดับโลก + Soft Power” เป็นแม่เหล็กดึงนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 18 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวลูกแรกเริ่มปะทะปลายเทือกเขาเขตเหนือสุดแดนสยาม ขณะเดียวกัน “นาฬิกาเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลก็เดินเร่ง ก่อนเส้นตายยุบสภาช่วงมกราคม 2569 จะมาถึง ภารกิจเร่งด่วนจึงถูกโยนเข้าสู่สนามท่องเที่ยวอย่างเต็มกำลัง—อุตสาหกรรมที่ยังทำเงินสดหมุนให้ชุมชนเร็วที่สุดในยามเศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้น

เชียงราย ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซัน (พฤศจิกายน–กุมภาพันธ์) และมี “ปัจจัยหนุน” หลายด้านเกิดพร้อมกัน ตั้งแต่นโยบาย ลดค่าบริการสนามบิน เพื่อจูงใจสายการบินเปิดเส้นทางใหม่, แคมเปญเชิงรุก Airline Focus ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ทำให้ ไตรมาส 4/2568 มีไฟลต์ใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย, ไปจนถึงการชู “ความปลอดภัยระดับโลก” และ “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” เป็นข้อได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ที่ยากต่อการเลียนแบบ

รายงานชิ้นนี้จึงชวนผู้อ่าน “ไล่ปม–คลี่คลาย” แบบเจาะลึกเชียงรายพร้อมแค่ไหนกับการเป็น สนามรับดีมานด์ใหม่” จากท้องฟ้า? และเมื่อรัฐบาลมีเวลาจำกัด “เกมเร็ว” ใดบ้างที่ต้องเดินให้ทัน เพื่อแปลงนโยบายบนโต๊ะเจรจาให้กลายเป็น รายได้เข้าชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม

คณะรัฐ–ททท. บินปักกิ่ง เปิดเกมเร่งฟื้นจีน และ จ่อชง “ลดค่าบริการสนามบิน”

17 ตุลาคม 2568, กรุงปักกิ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) พร้อม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารระดับสูง เดินสายพบพันธมิตรหัวขบวนตลาดจีนอย่าง UTour, Caissa, Qunar, Tongcheng, CCT, CTG, 6renyou, ZX-Tour รวมถึง Hainan Airlines และ Air China เป้าหมายชัดเจน “รับฟัง–รีดข้อเสนอ–ทำจริง” เพื่อดึง นักท่องเที่ยวจีน กลับสู่ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

สารหลักของรองนายกฯ ในครั้งนี้มีสองแกน
(1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน — รัฐบาลย้ำบูรณาการทำงานร่วม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดูแลชีวิตและทรัพย์สินนักท่องเที่ยว “ให้รู้สึกปลอดภัยทุกก้าว”
(2) ลดต้นทุนสายการบินอย่างตรงจุด — มอบหมาย กรมท่าอากาศยาน พิจารณามาตรการ ลดค่าบริการสำหรับไฟลต์ใหม่ ทั้ง ค่าขึ้น–ลงอากาศยาน (Landing Charge) และ ค่าจอดอากาศยาน (Parking Charge) ที่สนามบินในกำกับ ท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย, ภูเก็ต, หาดใหญ่ เพื่อ “กดต้นทุน–เปิดเส้นทาง–เพิ่มเที่ยวบิน” โดยตรง

“มาตรการนี้เป็นแรงจูงใจสำคัญให้สายการบินต่างประเทศเพิ่มเที่ยวบินมายังประเทศไทย ช่วยกระจายตัวนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้เติบโตต่อเนื่อง” — สารจาก ร.อ.ธรรมนัส ในวงหารือกับพันธมิตรจีน

ฝั่ง ททท. โดย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการฯ เสริมแรงด้วยข้อมูลจากแคมเปญ Airline Focus และ Thailand Summer Blast ที่ร่วมผลักดันทั้ง ไฟลต์ประจำ (Scheduled) และ ไฟลต์เช่าเหมาลำ (Charter) ส่งผลให้ ช่วงไตรมาส 4/2568 มีการ เปิดเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง จากทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง—สัญญาณตรงที่สะท้อน ดีมานด์เดินทางเข้าประเทศไทยกำลังเร่งตัว ในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

แปลเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าไทย “กดค่าใช้จ่ายสนามบิน” ให้ไฟลต์ใหม่ Breakeven เร็วขึ้น ขณะที่ ททท. ช่วยการตลาด–จับมือเอเยนต์–แพลตฟอร์มจอง อัดดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร โอกาสเปิดเส้นทางตรงสู่เมืองรองอย่าง เชียงราย ก็ “จับต้องได้” มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

จุดแข็งที่คู่แข่งเลียนแบบยาก “เชียงรายเมืองปลอดภัยระดับโลก” + “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์”

ถ้าถามว่า “ขายอะไร” ให้สายการบินและผู้โดยสารเชื่อมั่น? เชียงรายมี “การ์ดทรงพลัง” อย่างน้อยสองใบ

1) ความปลอดภัยเชิงสถิติโลก

การจัดอันดับของ Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com) ยกให้ เชียงราย เป็น เมืองที่ปลอดภัยที่สุดอันดับ 2 ของโลกสำหรับผู้หญิง Digital Nomad (ปี 2025) โดยพิจารณาหลายมิติ ตั้งแต่ “ความปลอดภัยกลางวัน–กลางคืน” “ความเป็นมิตรต่อผู้หญิงและชาวต่างชาติ” ไปจนถึง “กรอบกฎหมายคุ้มครอง” ขณะที่ฐานข้อมูล Numbeo (อัปเดต 2 มีนาคม 2025) สะท้อนตัวเลข “ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% / กลางคืน ~95.83%” และ “ความกังวลต่อการถูกทำร้ายอยู่ระดับต่ำมาก”

แปลเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยวเมืองที่ รู้สึกปลอดภัย” คือเมืองที่ผู้โดยสาร ตัดสินใจง่าย” และพักนานขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม ครอบครัว, ผู้หญิงเดินทางเดี่ยว, Digital Nomad ซึ่งเป็น ตลาดคุณภาพ ที่กระจายรายจ่ายสู่คาเฟ่–โคเวิร์กกิง–งานศิลป์ดีกว่ามวลชนระยะสั้น

2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์

เชียงรายไม่ใช่แค่ประตูชายแดน แต่เป็น เมืองศิลปะมีชีวิต” ที่บ่มเพาะกิจกรรมต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานดอกไม้–ดนตรีในสวน, วัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย, ไปถึงการผลักดันแนวคิด Garden City และการจัด Walking Street / Walking Map โซนดาวน์ทาวน์ (เชื่อม วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว) เพื่อยืดเวลาพำนักยามค่ำคืนอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ

Soft Power ที่จับต้องได้ + ความปลอดภัยที่พิสูจน์ด้วยตัวเลข—สองขานี้ทำให้เชียงรายมี “ตำแหน่งทางการตลาด” ชัดเจนในสายตาเอเยนต์และสายการบินเมืองรองคุณภาพ–ปลอดภัย–คุ้มต้นทุน

จุดเชื่อมจีน” ที่เห็นจริงคาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025 และการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

ปี 2569 คือวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โครงการเชื่อมโยงอย่าง คาราวานมิตรภาพไทย–จีน กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง 2025” จึงถูกออกแบบทั้งเพื่อสื่อสารภาพบวกและทดสอบเส้นทางทางบกใหม่ ๆ ขบวนกว่า 15 คัน ใช้รถพลังงานสะอาด BYD Sealion 6 DM-i วิ่งกว่า 5,000 กม. ใน 16 วัน โดยมี อำเภอเชียงของ เป็นจุดพักสำคัญก่อนข้ามแดน

แม้นี่ไม่ใช่ไฟลต์บิน แต่คือ สัญลักษณ์ของ “Strategic Connectivity” ที่รัฐบาลไทย–จีนต้องการย้ำ “ความเชื่อม–ความง่าย–ความปลอดภัย” ของการเดินทาง ซึ่งต่อยอดสู่ ตลาดจีนคุณภาพ ได้ทั้งทางบกและอากาศ หากเชียงรายมีไฟลต์ตรง/เชื่อมต่อที่สะดวก ก็ยิ่งปิดจุดอ่อน “การเดินทางหลายต่อ” ของนักท่องเที่ยวจีนเมืองรอง

ฝั่งปฏิบัติการในพื้นที่ ททท.เชียงรายคนใหม่ “วางหมุด–ทำแผน–ยกระดับประสบการณ์”

9 ตุลาคม 2568คุณยุรีพรรณ แสนใจยา เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย พร้อมวิสัยทัศน์ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่สอดคล้องยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัด แผนงานสำคัญประกอบด้วย

  • สร้าง “ศูนย์กลางประสบการณ์” เขตดาวน์ทาวน์ : ปักหมุด วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว เป็นแกนกิจกรรมกลางคืนที่ปลอดภัย เดินได้จริง มีสื่อสารทิศทางชัด ผ่าน Walking Map
  • ยกระดับพื้นที่กรีน–อาร์ต : ผลักดัน Garden City และพื้นที่สีเขียวชุมชน เช่น เกาะทอง–หนองน้ำ–สวนสาธารณะ ให้กลายเป็น แลนด์มาร์กเดินเล่น–ปั่นจักรยาน รองรับกลุ่ม ครอบครัว–Senior–Digital Nomad
  • ปฏิทินเทศกาลต่อเนื่อง : งานดอกไม้–ดนตรีในสวน–ตักบาตรดอกไม้–เทศกาลชาติพันธุ์—ช่วย ยืดระยะพำนัก, กระจายเที่ยวไป ทุกอำเภอ
  • เชื่อมภาคเอกชน–ชุมชน : ใช้ แพ็กเกจเส้นทางศิลป์–ชุมชน–กาแฟ–ไร่ชา สร้างรายได้ตรงสู่ฐานราก

ความท้าทาย ของผู้อำนวยการคนใหม่จึงไม่ใช่ “สร้างข่าว” แต่คือ “จัดประสบการณ์หน้างาน” ให้ สมมาตรกับความคาดหวัง จากดีมานด์ใหม่ที่กำลังหลั่งไหล—ทั้งในมาตรฐานบริการ, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ความสะอาด–ปลอดภัย, และ การจราจร/จุดจอด ในช่วงพีก

ลดค่าบริการสนามบิน” จะช่วยเชียงรายอย่างไร? มองผ่านแว่นสายการบิน

สำหรับสายการบิน การเปิดเส้นทางใหม่คือการชั่งน้ำหนัก ต้นทุน–ดีมานด์–ความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเร็วขึ้นมี 4 ข้อหลัก

  1. ต้นทุนสนามบิน (AOT charges) — การลด Landing / Parking สำหรับไฟลต์ใหม่ ช่วยให้ ค่าเฉลี่ยต่อชั่วโมงบิน ลดลงในช่วงสำคัญของเส้นโค้งการเรียนรู้ (ramp-up)
  2. ความต้องการเดินทาง (Demand Visibility) — ททท.รับบท Demand Maker ผ่านโคโปรโมชันกับสายการบิน/ OTA และการสื่อสารตลาดเป้าหมาย (จีนระยะใกล้, ยุโรปหนีหนาว ฯลฯ)
  3. ภาพลักษณ์–ความปลอดภัยปลายทาง — เชียงรายมีแต้มต่อชัดเจนด้วย เรตติ้งความปลอดภัย และภาพจำเมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์—ลดความเสี่ยงฝั่ง perception
  4. โครงสร้างรองรับภาคพื้น — ความพร้อมของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ในมิติ ground handling, immigration, taxi/รถรับส่ง, เวลาเปิดใช้งาน (operational hours) ช่วงพีก จะเป็นตัว “ล็อกคุณภาพ” ให้ไฟลต์ใหม่เลี่ยงความล่าช้าต้นน้ำ

บทเรียนจากเมืองรองอื่น ชี้ว่า เมื่อไฟลต์ทดลอง เริ่มเต็ม–รักษาตรงเวลา–รีวิวผู้โดยสารดี สายการบินมักเพิ่มความถี่/ขยายฤดูกาลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาตรการลดค่าบริการสนามบินจึงควร ผูกกับ KPI เติมผู้โดยสาร (Load Factor) และ ความถี่ต่อเนื่อง (Sustained Frequency) เพื่อให้เม็ดเงินรัฐสร้าง “ผลถาวร” ไม่ใช่ “ผลชั่วคราว”

ไฮซีซันนี้ต้อง “ทำสั้น–ได้ผลไกล”  เช็กลิสต์ 6 ข้อที่เชียงรายควรล็อกให้ทัน

  1. แพ็กเกจ “บิน–เที่ยว–นอน” ที่ปิดจุดปวด : ร่วมเอกชนทำดีล สนามบิน–โรงแรม–การเดินทางในเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวจีน/อาเซียน ภาษา–สื่อสาร–ชำระเงิน ต้องลื่น
  2. ศูนย์ข้อมูลหลายภาษา + เจ้าหน้าที่อาสา : โซนดาวน์ทาวน์–หอนาฬิกา–ท่าอากาศยาน—ตั้ง Information Kiosk ภาษา จีน–อังกฤษ–ไทย ช่วย “จบปัญหาหลงทาง–เข้าไม่ถึงข้อมูล”
  3. เส้นทาง “ปลอดภัย–เดินได้” กลางคืน : ปูทางเท้า, ไฟส่องสว่าง, กล้อง, จุดนั่งพัก, ป้ายทาง, ห้องน้ำมาตรฐาน—คือ “ประสบการณ์จำ” มากกว่าภาพถ่ายแลนด์มาร์ก
  4. เทศกาลแบบ “รันคิวสวย–ลดรอคอย” : ใช้ระบบจองเวลา/ QR ต่อคิวในเทศกาลยอดฮิต—ลดความแออัด–เพิ่มความประทับใจ
  5. โปรไฟล์สื่อออนไลน์เทศกาล–แผนที่จริง : เว็บไซต์/โซเชียลหลักของจังหวัดต้องมี ภาษาอังกฤษ–จีน พร้อม Walking Map ที่โหลดง่าย–อัปเดตสด
  6. เชื่อม “กาแฟ–ชา–อาร์ต–ชุมชน” : สร้างเส้นทาง 1–3 วัน (ตัวอย่าง) เมือง–แม่ลาว–แม่จัน–แม่สาย ให้เลือกได้ตามเวลาพำนัก

มองอนาคต หากไฟลต์ตรงเกิดจริง—เศรษฐกิจท้องถิ่นจะเห็นอะไร

  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/ทริปสูงขึ้น : กลุ่มเป้าหมายที่เชื่อใน “เมืองปลอดภัย–ศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” มีแนวโน้มใช้จ่าย ที่พักบูทีค–คาเฟ่–กิจกรรมชุมชน–ศิลปหัตถกรรม มากกว่าซื้อของฝากแบบเร่งด่วน
  • ห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลโต : โคเวิร์กกิง–อินเทอร์เน็ต–ซิม/อีซิม–บริการเช่ารถไฟฟ้า–จักรยาน—จะตามมารองรับ Digital Nomad และนักเดินทางทำงานได้
  • แรงงานบริการคุณภาพ : ความต้องการมัคคุเทศก์–ล่ามภาษาจีน–บาริสต้า–ช่างภาพท่องเที่ยว—เพิ่มขึ้น “เชิงทักษะ” มากกว่าแรงงานปริมาณ
  • การกระจายสู่รอบนอก : เมื่อดาวน์ทาวน์จัดการดี เม็ดเงินจะไหลต่อสู่ อำเภอแม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–เชียงของ–เทิง ผ่านเส้นทางชา–กาแฟ–ชุมชนชาติพันธุ์

Risk & Reality Check: สิ่งที่ต้องเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง

  1. ตารางเวลาอนุมัติมาตรการลดค่าบริการสนามบิน — จำเป็นต้องชัดเจน–คาดการณ์ได้ เพื่อให้สายการบินวาง slot ล่วงหน้า
  2. ความต่อเนื่องหลังยุบสภา — นโยบายควรผูกกับ กรอบปฏิบัติราชการ มากกว่าบุคคล เพื่อให้ไฟลต์ใหม่ไม่สะดุด
  3. สมดุลความหนาแน่นท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิตท้องถิ่น — เมืองปลอดภัยต้องไม่แลกด้วยความแออัดจราจร–ขยะ–เสียงดังเกินควร
  4. การสื่อสารเหตุการณ์ไม่คาดฝัน — ระบบแจ้งเตือนหลายภาษา–ศูนย์ประสานงานนักท่องเที่ยว–เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน ต้องพร้อมเสมอ

เดิมพันไฮซีซันบน “สามแรงส่ง–สองการ์ดเด็ด”

เมื่อนำทุกเส้นเรื่องมาร้อยรวมกัน “สมการไฮซีซันเชียงราย” จึงชัดเจนขึ้น

  • สามแรงส่ง (จากส่วนกลาง) :
    (1) นายกฯ–รองนายกฯ–รมว.ท่องเที่ยว เดินเกม Big Impact, Act Fast กับพันธมิตรจีน
    (2) นโยบาย ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (อยู่ระหว่างการพิจารณา)
    (3) แคมเปญ Airline Focus ของ ททท. ซึ่งส่งผลให้ ไตรมาส 4/2568 มีเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย
  • สองการ์ดเด็ด (ของเชียงรายเอง) :
    (1) เมืองปลอดภัยระดับโลก” สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (จัดอันดับโดย Holidu/อิง Nomads.com; สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo)
    (2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์ + ปฏิทินเทศกาล–พื้นที่สีเขียว–Walking Map ที่กำลังยกระดับ

เมื่อแรงส่งบนฟ้าบรรจบกับการ์ดเด็ดหน้างาน โอกาสที่เชียงรายจะ แปลงไฟลต์ใหม่ให้เป็นรายได้กระจายสู่ชุมชน ในไฮซีซันนี้ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ตราบใดที่ การจัดการภาคพื้น ทำได้ “ดี–ละเอียด–ต่อเนื่อง” ตามเช็กลิสต์ที่เสนอ

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ “จะมีนักท่องเที่ยวไหม” แต่คือ เราพร้อมพานักท่องเที่ยวให้ประทับใจและกลับมาอีกหรือยัง” ซึ่งคำตอบอยู่ในมือของทุกภาคส่วน—ตั้งแต่หน่วยงานกลาง, ท่าอากาศยาน, ททท., เทศบาล, ผู้ประกอบการ, ไปจนถึงชุมชนเจ้าบ้าน

ไฮซีซันปีนี้ จึงไม่ใช่แค่หน้าหนาวแรก แต่เป็น เดิมพันอนาคต ที่เชียงรายมีโอกาส “ยิงให้เข้าเป้า” ในเวลาจำกัด—ทำสั้น แต่ให้ได้ผลไกล

เสียง–สถิติ–แผนงาน

  • รัฐบาลพบพันธมิตรจีนที่ปักกิ่ง (17 ต.ค. 2568)  ย้ำ ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และ ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (Landing / Parking) ที่สนามบิน AOT รวมถึง แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • ททท.ชี้สัญญาณบวก  ไตรมาส 4/2568 สายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มเส้นทางใหม่ > 80 เส้นทาง สู่ไทย จากเอเชีย–ยุโรป–อเมริกา–ตะวันออกกลาง
  • เชียงราย = เมืองปลอดภัยระดับโลกอันดับ 2 สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (Holidu / Nomads.com) สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo (ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% กลางคืน ~95.83%)
  • คาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025  วิ่ง 5,000 กม. ใช้เชียงของเป็นจุดผ่าน—สัญลักษณ์ “การเชื่อมไทย–จีน” รับวาระ 50 ปีทางการทูต
  • ททท.เชียงราย (ผอ.คนใหม่)  ปักหมุดดาวน์ทาวน์–Walking Map–Garden City–เทศกาลต่อเนื่อง—มุ่ง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ท่าอากาศยานไทย (AOT) / กรมท่าอากาศยาน
  • Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com)
  • Numbeo
  • ททท. สำนักงานเชียงราย
  • ภาคีปฏิบัติการพื้นที่/สื่อท้องถิ่นเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

AOT เตือนปล่อยโคมเสี่ยงคุก เตือนอันตรายถึงเครื่องบิน

AOT เตือนอันตรายจากการปล่อยโคมลอยช่วงลอยกระทง อาจกระทบเที่ยวบินและความปลอดภัย

[กรุงเทพฯ 11 พฤศจิกายน 2567] บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ออกมาเตือนประชาชนถึงอันตรายจากการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการบินอย่างรุนแรง ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า การปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน พลุ ตะไล บั้งไฟ หรือแม้แต่โดรน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยานได้หลายประการ เช่น เครื่องบินสูญเสียการควบคุม เกิดอุบัติเหตุ หรือหากโคมเข้าไปในเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดการระเบิดได้ นอกจากนี้ ยังบดบังทัศนวิสัยของนักบินและรบกวนสมาธิในการบิน

อันตรายจากการปล่อยโคมลอย

ดร.กีรติเน้นย้ำว่า การปล่อยโคมลอยเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับสูงสุด หากก่อให้เกิดความเสียหายต่ออากาศยาน อาจมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต

มาตรการควบคุมการปล่อยโคมลอย

  • เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ: ห้ามปล่อยโคมลอยในเขตพื้นที่ดังกล่าวโดยเด็ดขาด
  • พื้นที่อื่นๆ: ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นล่วงหน้า
  • โดรน: ต้องขออนุญาตจากสนามบินหากบินในรัศมี 9 กิโลเมตรจากสนามบิน
  • จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย: กำหนดเวลาและพื้นที่ในการปล่อยโคมลอยอย่างชัดเจน

ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ที่นิยมปล่อยโคมลอย โดยในเขตพื้นที่ความปลอดภัยในการเดินอากาศบริเวณใกล้เคียง ทชม.และ ทชร.และพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษระดับ 1 (พื้นที่สีแดง) ไม่อนุญาตให้ปล่อยโคมลอยไม่ว่าช่วงเวลาใด ซึ่งพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากพื้นที่ดังกล่าวจะต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก่อน

โดยจังหวัดเชียงใหม่ได้กำหนดระยะเวลาในการจุดหรือปล่อย คือ สามารถปล่อยโคมลอย โคมไฟได้ในวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 19.00-01.00 น. และปล่อยโคมควัน (ว่าวฮม) ได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น. สำหรับจังหวัดเชียงรายสามารถปล่อยโคมลอยได้ในวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 21.00-01.00 น. และปล่อยโคมควันได้ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น.

ผลกระทบต่อเที่ยวบิน

เนื่องจากความเสี่ยงจากการปล่อยโคมลอย สายการบินหลายแห่งจึงตัดสินใจยกเลิกและเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินในช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปล่อยโคมลอยเป็นจำนวนมาก

AOT สนับสนุนประเพณีลอยกระทง

แม้ว่า AOT จะต้องออกมาเตือนถึงอันตรายจากการปล่อยโคมลอย แต่ก็ยังคงสนับสนุนการอนุรักษ์และสืบสานประเพณีไทย โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสกับบรรยากาศของเทศกาลลอยกระทง

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558
  • ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวทางในการพิจารณาอนุญาตให้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอกทำการบินภายในระยะ 9 กิโลเมตรจากสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน พ.ศ. 2561

สรุป

AOT ขอให้ประชาชนร่วมมือกันงดการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง เพื่อความปลอดภัยในการบินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากต้องการร่วมสืบสานประเพณีไทย สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในท่าอากาศยานได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

บอร์ดปลดล็อค “5 วันพระใหญ่” ‘ขายเหล้า’ ในสนามบินเชียงรายได้แล้ว

 

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่รัฐสภา  นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2567 โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ พิจารณาประเด็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันห้ามขาย ณ ท่าอากาศยานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 คือ วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา  

 

รายงานข่าวจากที่ประชุมระบุว่า  เดิมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในท่าอากาศยานนานาชาติ สามารถจำหน่ายได้เฉพาะบริเวณ ร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ  แต่จากการประชุมครั้งนี้ มีการพิจารณาและเห็นชอบให้สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในอาคารท่าอากาศยาน โดยสามารถขายได้ใน 5 วันสำคัญทางศาสนา (วันพระใหญ่) ประกอบด้วย  วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา  

 

ทั้งนี้ นายสุริยะ กล่าวถึงการประชุม ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็น หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งข้อความคำเตือนสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า พ.ศ. …. ซึ่งระยะเวลาในการออกประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 หลังจากนี้จะต้องนำไปแจ้งเวียนประเทศสมาชิก WTO อย่างน้อย 60 วัน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเนื้อหาในร่างประกาศมีผลบังคับใช้กับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการ จำเป็นต้องพิจารณาร่างประกาศด้วยความละเอียดรอบคอบ มีหลักฐานทางวิชาการและวิทยาศาสตร์สนับสนุนด้วย

 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันห้ามขาย ณ ท่าอากาศยานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 ซึ่งเดิม คือ วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ให้สามารถจำหน่ายได้ ในอาคารอากาศยานนานาชาติ เพื่อให้เกิดการใช้จ่าย สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และเป็นการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ 

 

ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขอพิจารณาแนวทางการขอยกเว้นสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบริเวณสถานีรถไฟ หรือในขบวนรถที่อยู่บนทางรถไฟ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้นได้ให้ คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่วมกับ รฟท.หารือแนวทางและมาตรการควบคุมป้องกันด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว และร่างกฎหมายส่งให้ คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ พิจารณาถึงความเหมาะสมและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนต่อไป

 

นอกจากนี้ ที่ยังได้มีมติเห็นชอบ ร่าง คำสั่งคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการจัดหาหรือจัดตั้งกองทุนเพื่อการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้มีปัญหาการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ต้องการเข้ารับการบำบัดรักษาเพื่อการเลิกดื่ม สามารถเข้าสู่ระบบบำบัดรักษา และเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

 

นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันเข้าพรรษาของทุกปีเป็น “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ในปีนี้ กรมควบคุมโรค ได้จัดกิจกรรมรณรงค์วันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2567 ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณลานหน้าห้อง MCC Hall ชั้น 4 เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน จังหวัดนนทบุรี ภายใต้ธีมงาน “หยุดเหล้า หยุดอันตรายต่อผู้อื่น (Stop Alcohol Stop Harm to Other)” โดยมุ่งเน้นรณรงค์ในกลุ่มเด็กเยาวชน และผู้หญิง เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ ตระหนักถึงอันตรายของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกระตุ้นให้เกิดการลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมมีกิจกรรม “เชิญ ชวน เชียร์ ลด ละ เลิกเหล้า เข้าสู่ระบบบำบัดรักษา” ด้วยการลงนาม ผ่านระบบออนไลน์ ผ่าน QR Code หรือ เว็บไซต์www.noalcohol.ddc.moph.go.th เพื่อร่วมงดเหล้าในช่วงเข้าพรรษาตลอดระยะเวลา 3 เดือน นำสู่การเลิกเหล้าตลอดชีวิต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News