Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดราม่าใบกำกับภาษี โรงแรมในเชียงราย นักท่องเที่ยวจี้ถามขอเอกสาร

ดราม่านักท่องเที่ยวขอใบกำกับภาษีไม่ได้ โรงแรมปฏิเสธอ้างเหตุผลจากแพลตฟอร์มจอง

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย เมื่อมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโพสต์บน Facebook ถึงความไม่พอใจหลังเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ แต่กลับไม่ได้รับใบกำกับภาษีตามคำขอ ทั้งๆ ที่ค่าที่พักได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เรียบร้อยแล้ว

จุดเริ่มต้นของเรื่อง

ผู้โพสต์เล่าว่า เขาและครอบครัวได้จองที่พักผ่าน Agoda และชำระเงินเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อร้องขอใบกำกับภาษีจากโรงแรมกลับไม่ได้รับการตอบสนอง โดยพนักงานฟร้อนท์แจ้งว่าการออกใบกำกับภาษีเป็นหน้าที่ของ Agoda ทำให้เกิดการเจรจาระหว่างผู้โพสต์และพนักงานหลายครั้ง ซึ่งใช้เวลาถึงสองวันก่อนที่จะได้รับใบกำกับภาษี

คุณนุ (นามสมมติ) ผู้โพสต์เรื่องราวดังกล่าว เปิดเผยกับทีมข่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่พักโรงแรมในเชียงรายผ่าน Agoda ก่อนหน้านี้เคยใช้บริการในจังหวัดอื่นและไม่เคยมีปัญหาเรื่องใบกำกับภาษี ทุกครั้งที่ขอได้รับบริการที่รวดเร็วและโปร่งใส”

ข้อสงสัยเรื่องการเลี่ยงภาษี

คุณนุระบุว่า การเจรจากับพนักงานโรงแรมครั้งนี้เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน “ผมคิดว่าพนักงานไม่มีความรู้ด้านบัญชี และได้รับคำสั่งจากผู้บริหารให้ปฏิเสธลูกค้า หรือไม่ก็โรงแรมมีเจตนาเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน”

ในท้ายที่สุด โรงแรมออกใบกำกับภาษีให้กับคุณนุ หลังการเจรจาที่ยืดเยื้อถึงสองวัน แต่โรงแรมยอมออกใบกำกับภาษีให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ระบุในใบกำกับภาษีไม่ตรงกับยอดที่ชำระจริง

การตอบสนองจากผู้เชี่ยวชาญ

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สอบถามเจ้าของโรงแรมในจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า ตามกฎหมาย โรงแรมในประเทศไทยที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า โดยยอดเงินในใบกำกับต้องตรงกับยอดที่ลูกค้าจ่ายทั้งหมด แม้จะจ่ายผ่านแพลตฟอร์มตัวแทนเช่น Agoda”

ซึ่งเจ้าของโรงแรมได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในกรณีการจองผ่าน Agoda โรงแรมจะได้รับเงินค่าที่พักหลังหักค่าคอมมิชชั่นจากแพลตฟอร์ม แต่ยอดเงินที่ต้องออกใบกำกับภาษีคือยอดเต็มที่ลูกค้าชำระ ไม่ใช่ยอดหลังหักค่าคอมมิชชั่น

ปัญหาเชิงระบบที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ต มีผู้มาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายคนแชร์ประสบการณ์คล้ายกันที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพฯ โดยชี้ว่าเป็นปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของธุรกิจโรงแรม

ปฏิกิริยาจากชาวเน็ตและผู้เชี่ยวชาญ

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก หลายคนแชร์ประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันในหลายจังหวัด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีได้ออกมาให้ข้อมูลว่า โรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในไทย มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีตามกฎหมาย โดยยอดเงินในใบกำกับภาษีต้องตรงกับยอดที่ลูกค้าจ่าย

ทางเพจ TaxBugnoms ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า โรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยมีหน้าที่โดยตรงในการออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการจองผ่านแพลตฟอร์มหรือการจองโดยตรง เนื่องจากรายได้จากค่าที่พักเป็นของโรงแรมโดยตรง การอ้างว่าแพลตฟอร์ม OTA (Online Travel Agency) เช่น Agoda ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการออกใบกำกับภาษีนั้นไม่ถูกต้อง

ความสำคัญของใบกำกับภาษี

ใบกำกับภาษีเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการแสดงรายละเอียดการซื้อขายสินค้าและบริการ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการขอคืนภาษีหรือใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นภาษี นักท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่จดทะเบียน VAT สามารถใช้ใบกำกับภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีในกรณีนี้

  1. หน้าที่ของโรงแรม: Agoda เป็นเพียงตัวแทนจองที่พัก ไม่ใช่ผู้ให้บริการโดยตรง ดังนั้นการออกใบกำกับภาษีเป็นหน้าที่ของโรงแรม
  2. การชำระ VAT: โรงแรมต้องทำ ภ.พ.36 ซึ่งเป็นการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ โดยยอดที่ต้องยื่นภาษีคือยอดเต็มตามราคาที่ลูกค้าจ่าย

กระแสตอบรับจากชาวเน็ต

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจในวงกว้าง ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น บางรายแชร์ประสบการณ์ที่เคยประสบปัญหาในลักษณะเดียวกันในหลายพื้นที่ เช่น เชียงใหม่และขอนแก่น พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมสรรพากร ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง

มาตรการแก้ไขปัญหา

กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาในเชิงระบบของการให้บริการในโรงแรม และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีการอบรมพนักงานในด้านกฎหมายภาษี รวมถึงการจัดการบัญชีอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ กรมสรรพากรควรมีมาตรการตรวจสอบและลงโทษโรงแรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

บทสรุป

กรณีการปฏิเสธออกใบกำกับภาษีของโรงแรมในเชียงรายถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย การปฏิบัติตามกฎหมายและการให้บริการที่โปร่งใสคือกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายจัดตักบาตรดอกไม้ครั้งยิ่งใหญ่ ฉลองงานดอกไม้งามปีที่ 21

พิธีตักบาตรดอกไม้หนึ่งเดียวในล้านนา และเปิดงานเชียงรายดอกไม้งาม ปีที่ 21

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีตักบาตรดอกไม้ หนึ่งเดียวในล้านนา

พิธีตักบาตรดอกไม้ หนึ่งเดียวในล้านนา

พิธีเริ่มต้นด้วยขบวนแห่อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 9 องค์จาก 9 วัดในอำเภอเมืองเชียงราย ประดิษฐานบนรถบุษบก 9 คัน สร้างโดยศิลปินจากหลากหลายจังหวัด ใช้เวลากว่า 9 ปีในการสร้าง และจะนำออกแสดงให้ประชาชนชมเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้น ในพิธีมีทั้งประชาชนชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเข้าร่วมอย่างคึกคัก ร่วมตักบาตรดอกไม้เพื่อความเป็นสิริมงคล

พระสงฆ์และสามเณรออกรับบิณฑบาตรดอกไม้ โดยมีประชาชนจำนวนมากร่วมทำบุญตักบาตรในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความศรัทธาและความงดงามของราชรถและดอกไม้ ทำให้พิธีครั้งนี้เป็นที่ประทับใจของผู้ร่วมงานอย่างยิ่ง

เปิดงานเชียงรายดอกไม้งาม ปีที่ 21

หลังจากพิธีตักบาตรดอกไม้ รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานเชียงรายดอกไม้งาม ปีที่ 21 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย

งานเชียงรายดอกไม้งามปีนี้จัดขึ้นในพื้นที่ใหม่ที่มีความกว้างกว่า 70 ไร่ ริมแม่น้ำกก โดยมีจุดเด่นคือสวนดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายสีสัน สลับกับสายหมอกบางเบาที่แต่งแต้มบรรยากาศฤดูหนาวให้สดชื่นและสวยงาม

ในงานยังมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น เทศกาลดนตรีในสวน การแสดงศิลปวัฒนธรรม และการจัดสวนดอกไม้ในสไตล์ล้านนา เหมาะสำหรับการพักผ่อนและดื่มด่ำกับธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมงานได้ฟรี

พัฒนาพื้นที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย

สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย หรือที่เรียกกันว่า “พัทยาน้อย” ได้รับการพัฒนาโดยเทศบาลนครเชียงรายร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นพื้นที่ออกกำลังกายและแลนด์มาร์กใหม่ของเชียงราย มีเส้นทางเดินริมน้ำยาวกว่า 10 กิโลเมตร

เทศกาลดอกไม้ สัญลักษณ์ของเชียงราย

เชียงรายดอกไม้งามเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่นักท่องเที่ยวรอคอยทุกปี ด้วยความงดงามของดอกไม้เมืองหนาวและการตกแต่งในบรรยากาศล้านนา เป็นสถานที่ที่สร้างความประทับใจและความทรงจำดี ๆ ให้ผู้มาเยือน

หน้าหนาวปีนี้ ใครยังไม่มีแผน แนะนำให้แวะมาชมงานเชียงรายดอกไม้งาม ปีที่ 21 ที่จะมอบความสุขและโมเมนต์อันน่าจดจำให้กับทุกคนที่มาเยือน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มหกรรมการท่องเที่ยว 4 จังหวัดล้านนา ยกระดับชุมชนอย่างยั่งยืน

งานมหกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนสร้างสรรค์ 4 จังหวัดล้านนาตะวันออก เปิดยิ่งใหญ่ที่เชียงราย

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 เวลา 18.00 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ชั้น G ลาน Grand Hall นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงานมหกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนสร้างสรรค์ 4 จังหวัดล้านนาตะวันออก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวชุมชนที่มีอัตลักษณ์ ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน

งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 ธันวาคม 2567 มีชุมชนท่องเที่ยวจาก 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ร่วมออกบูธรวม 40 บูธ โดยจังหวัดเชียงรายมีจำนวน 20 บูธ จังหวัดพะเยา 2 บูธ จังหวัดแพร่ 6 บูธ และจังหวัดน่าน 12 บูธ

พิธีมอบรางวัลสุดยอดเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนสร้างสรรค์ล้านนาตะวันออก
ในพิธีเปิดงานมีการมอบรางวัลการประกวดสุดยอดเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนสร้างสรรค์ 4 ประเภท ได้แก่

  1. Responsible & Sustainable Tourism
  • ชนะเลิศ: ชุมชนบ้านศรีบุญเรือง จ.น่าน
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: ชุมชนบ้านทุ่งศรี จ.แพร่
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลนางแล จ.เชียงราย
  • รางวัลชมเชย: ท่องเที่ยวชุมชนโป่งแดง จ.เชียงราย
  1. Art & Craft
  • ชนะเลิศ: ชุมชนไทยลื้อบ้านศรีดอนชัย จ.เชียงราย
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: วิสาหกิจชุมชนบ้านโคมคำม่วงตื้ด จ.น่าน
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: ชุมชนสันป่าเหียง จ.เชียงราย
  • รางวัลชมเชย: ชุมชนบ้านสันทางหลวง จ.เชียงราย
  1. Life and Culture
  • ชนะเลิศ: วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเมืองเชียงแสน จ.เชียงราย
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: ชุมชนท่องเที่ยวอีสาน-ล้านนา บ้านจำไก่ จ.พะเยา
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: วิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์บ้านท่าขันทอง จ.เชียงราย
  • รางวัลชมเชย: ชุมชนท่องเที่ยววิถีไทยพวน ต.ทุ่งโฮ้ง จ.แพร่
  1. Diversity and Color of Life
  • ชนะเลิศ: บ้านบ่อสวก จ.น่าน
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: ชุมชนบ้านดอนทราย จ.แพร่
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านหาดบ้าย จ.เชียงราย
  • รางวัลชมเชย: ศูนย์การเรียนรู้ฮัก อาข่า โฮม จ.เชียงราย

กิจกรรมเสริมสร้างความยั่งยืนและพัฒนาชุมชน
กิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงแต่เน้นการส่งเสริมการตลาด แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของชุมชน ส่งเสริมอาชีพและการกระจายรายได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แชร์ประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายระหว่างชุมชนท่องเที่ยวในพื้นที่

งานนี้ได้รับความสนใจจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวชุมชนใน 4 จังหวัดล้านนาตะวันออกอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“สมรสเท่าเทียมไทย จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่ม 4 ล้านคน”

ไทยพร้อมรับกฎหมายสมรสเท่าเทียม คาดดึงดูดนักท่องเที่ยว 4 ล้านคนต่อปี

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดของแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว Agoda (อโกด้า) ซึ่งประเมินถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกัน โดยกฎหมายดังกล่าวมีกำหนดเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่รับรองกฎหมายดังกล่าว และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันและเนปาล

ดึงดูดนักท่องเที่ยว 4 ล้านคนต่อปี

จากการประเมินของ Agoda คาดการณ์ว่าการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนต่อปี หรือราว 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 69,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 2 ปี หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้

กระจายรายได้ทั่วทุกภาคส่วน

รายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าวจะกระจายไปยังหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย อาทิ การจองที่พัก การบริการอาหารและเครื่องดื่ม การจับจ่ายซื้อสินค้า และการเดินทางภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว

สร้างงานกว่า 152,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ กฎหมายสมรสเท่าเทียมยังส่งผลดีต่อการสร้างงาน โดยคาดว่าจะสามารถสนับสนุนการจ้างงานเพิ่มอีก 152,000 ตำแหน่ง โดยในจำนวนนี้ 76,000 ตำแหน่ง จะเกิดขึ้นโดยตรงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอีก 76,000 ตำแหน่ง จะกระจายไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ยังคาดว่าผลเชิงบวกจากกฎหมายดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยเพิ่มขึ้น 0.3%

ดันไทยสู่เจ้าภาพ WORLD PRIDE 2030

รัฐบาลไทยยังตั้งเป้าหมายในการเสริมสร้างยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ด้วยการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน “WORLD PRIDE 2030” ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศระดับโลก โดยมีตัวอย่างจากนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่เป็นเจ้าภาพในปี 2023 สามารถสร้างรายได้สูงถึง 185.6 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท

สนับสนุนความหลากหลาย เสริมเศรษฐกิจไทย

“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศอย่างเต็มที่ เพื่อเสริมยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ รวมถึงเสริมภาพลักษณ์ความเปิดกว้างของประเทศไทยในเวทีโลก” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

เดินหน้าสู่อนาคตที่เท่าเทียม

การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แต่ยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ตลาดโลกอย่างยั่งยืน ไทยกำลังเดินหน้าสู่อนาคตที่เท่าเทียมและเปิดกว้าง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Agoda (อโกด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สุวรรณภูมิ ติดอันดับสนามบินสวยที่สุดในโลกปี 2567

 

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับเกียรติจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ยกย่องให้เป็นหนึ่งในสนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 โดยติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่โดดเด่นทั้งด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและความคิดสร้างสรรค์ สร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

การออกแบบที่โดดเด่นของอาคาร SAT-1

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการยกย่อง คือ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ซึ่งมีพื้นที่กว่า 216,000 ตารางเมตร และมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และชั้นบนอีก 4 ชั้น ภายในมีประตูทางออกกว่า 28 หลุมจอด โดยอาคาร SAT-1 ถูกออกแบบให้มีความสวยงามทั้งภายในและภายนอก สะท้อนความเป็นไทยผ่านการตกแต่งด้วยศิลปะและประติมากรรมพื้นเมือง เช่น ประติมากรรมช้างคชสาร และรูปสัตว์หิมพานต์ตามความเชื่อโบราณของชาวไทย

นอกจากนี้ อาคาร SAT-1 ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสถาปัตยกรรม Prix Versailles จากคณะกรรมการ UNESCO ซึ่งจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยรางวัลนี้พิจารณาจากเกณฑ์ด้านความสวยงาม นวัตกรรม และการผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

การออกแบบเพื่อความยั่งยืนและการอนุรักษ์พลังงาน

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่เพียงแค่เน้นความสวยงามเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบเพื่อความยั่งยืน โดยมีการนำระบบบำบัดน้ำเสียมาใช้ใหม่ ใช้แสงธรรมชาติเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ติดตั้งแผง Solar Cell เพื่อลดการปล่อยมลพิษ และมีการออกแบบหลังคากันความร้อนเพื่อช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็น

ภายในอาคาร SAT-1 ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การเดินทางของผู้โดยสาร เช่น พื้นที่พักผ่อน จุดจอดรถบัสรับ-ส่ง ห้องละหมาด ห้องปฐมพยาบาล และโซนสำหรับผู้โดยสารพิเศษ รวมถึง Sky Lounges ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสนามบินได้อย่างสวยงาม

การสะท้อนอัตลักษณ์และศิลปะไทย

อาคาร SAT-1 ได้รับการออกแบบให้ผสานความเป็นไทยเข้ากับความทันสมัย โดยใช้ฝ้าลายจักสาน ผนังลายผ้าไหม และการตกแต่งด้วยประติมากรรมไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ่นละครเล็ก หัวโขน และว่าวไทย ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและแสดงถึงอัตลักษณ์ไทยให้ผู้มาเยือนประทับใจ

นอกจากนี้ยังมีการจัดสวนภายในอาคาร เช่น สวนตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ และสวนภูมิทัศน์ที่ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายสำหรับผู้โดยสารที่รอขึ้นเครื่อง โดยเฉพาะโซนผู้โดยสารขาออกที่ตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ เช่น กินนร กินรี และหงสา เพิ่มความวิจิตรให้กับสถานที่

ผลการจัดอันดับ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกปี 2567

จากการประกาศของเว็บไซต์ www.prix-versailles.com ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของไทยติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ร่วมกับสนามบินอื่นๆ ได้แก่

  1. อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ประเทศไทย)
  2. อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (สหรัฐอเมริกา)
  3. อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (สิงคโปร์)
  4. ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
  5. ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป แองเจเลส (เม็กซิโก)
  6. ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (สหรัฐอเมริกา)

อนาคตของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

การได้รับการยกย่องจากยูเนสโกและการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Prix Versailles ครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเน้นทั้งความสวยงาม สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น และความยั่งยืน สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระดับโลก

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจึงไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังเป็นจุดหมายที่สะท้อนถึงศิลปวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของไทยให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Prix Versailles

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

Agoda เผยท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวไทย

ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวไทย

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของไทยกำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากหันมาเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว

Agoda ชี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่ค้นหาที่พักในไทย

จากข้อมูลของ Agoda พบว่าการค้นหาที่พักในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 25% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นกลุ่มหลัก

นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยมีอัตราการเติบโตของการค้นหาที่พักสูงถึง 21% 22% และ 21% ตามลำดับ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีนโยบายยกเว้นวีซ่า เช่น อินเดีย จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และซาอุดีอาระเบีย ก็มีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทย

แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาเที่ยวไทยกันมากขึ้น แต่คนไทยเองก็ยังคงนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 26% โดยโตเกียวเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือโอซาก้าและซัปโปโร

เวียดนามและจีน กลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่น่าสนใจ

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว เวียดนามก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทย โดยมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 5% และเมืองดานังก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน ส่วนประเทศจีนก็มีการเติบโตของการค้นหาที่พักอย่างรวดเร็วถึง 206% ซึ่งเป็นผลมาจากการยกเว้นวีซ่าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ท่องเที่ยวภายในประเทศคึกคัก กรุงเทพฯ ยังคงเป็นอันดับ 1

สำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกรุงเทพมหานครยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือพัทยา และหัวหิน/ชะอำ

Agoda มั่นใจว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวเต็มที่

Agoda มองว่าการท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2568 และคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะสูงกว่า 39 ล้านคน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้

5 อันดับประเทศจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่คนไทยนิยมมากที่สุด

1.ญี่ปุ่น

2.เวียดนาม

3.เขตปกครองพิเศษฮ่องกง

4.จีน

5.มาเลเซีย

 

5 อันดับเมืองจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่คนไทยนิยมมากที่สุด

1.โตเกียว

2.โอซาก้า

3.โซล

4.ไทเป

5.ฮ่องกง

 

5 อันดับกิจกรรมที่คนไทยนิยมมากที่สุดในต่างประเทศ

1.ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (สิงคโปร์)

2.พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (สิงคโปร์)

3.ดิสนีย์แลนด์ (ฮ่องกง)

4.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (สิงคโปร์)

5.ตั๋วท่องเที่ยวรอบโอซาก้า (ญี่ปุ่น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อโกด้า (Agoda)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยทุ่ม 3 พันล้าน ขยายสนามบินรองรับนักท่องเที่ย

AOT นำระบบ Biometric เพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสาร พร้อมแผนขยายสนามบินรองรับการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้เริ่มใช้ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System) ที่ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อระบุตัวตนผู้โดยสาร โดยระบบนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้พาสปอร์ตและบัตรขึ้นเครื่องจากจุดตรวจสัมภาระจนถึงประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลารอคิวและเพิ่มความสะดวกในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่

แผนการใช้งานระบบ Biometric รองรับผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ

ในระยะแรก ระบบ Biometric จะพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้โดยสารจะสามารถลงทะเบียนยินยอมใช้ข้อมูลทางชีวภาพในการระบุตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบการระบุข้อมูลได้ตั้งแต่เคาน์เตอร์เช็คอิน ซึ่ง AOT คาดว่าการใช้ระบบ Biometric จะช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดเวลารอคิวและมีเวลาเพียงพอสำหรับการเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษี รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนในสนามบิน

ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ระบบนี้จะเริ่มให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถใช้งานระบบ Facial Recognition ในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งได้ครบทุกส่วน

รายงานจาก Nikkei โดย Kosuke Inoue เปิดเผยว่า ไทยกำลังวางแผนขยายสนามบิน 6 แห่งด้วยงบประมาณเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 97,000 ล้านบาท เพื่อตอบสนองการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ภายในปี 2575 ไทยคาดหวังให้สนามบินทั้ง 6 แห่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 246.5 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่รองรับได้เพียง 116 ล้านคน

การขยายรันเวย์และการใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ในสนามบิน

ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในไทย ได้เริ่มเปิดใช้รันเวย์ที่สามเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขึ้น-ลงจากเดิม 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบิน ซึ่งจะช่วยให้ระบบขนส่งทางอากาศสามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการขยายสนามบิน ยังวางแผนติดตั้งระบบจดจำใบหน้าในสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนข้อมูลชีวภาพที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ทำให้สามารถผ่านด่านต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ตหรือบัตรขึ้นเครื่องตั้งแต่จุดตรวจสัมภาระไปจนถึงประตูขึ้นเครื่อง

รายได้ที่ฟื้นตัวของ AOT หนุนการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

AOT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มีรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศในปีงบประมาณ 2566 โดยรายได้เพิ่มขึ้น 170% มาอยู่ที่ 48.4 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังการระบาดของ COVID-19 การขยายสนามบินครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นเกือบ 20% ของ GDP ของไทย การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 และเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ไทยได้เตรียมยกเว้นวีซ่าให้กับประเทศและภูมิภาคเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ความท้าทายและความเสี่ยงของการขยายสนามบินและสถานการณ์การเมืองในประเทศ

แม้ว่าแผนการขยายสนามบินจะสอดคล้องกับเป้าหมายทางการท่องเที่ยวของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่อาจเกินความจำเป็น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงมกราคมถึงกันยายนปีนี้ยังคงอยู่ที่ประมาณ 80% ของจำนวนก่อนเกิดการระบาดในปี 2562 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว

ประเทศไทยมีประวัติการยกเลิกหรือเลื่อนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งปลดนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ก็เผชิญกับคดีทางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : asia.nikkei.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

Thailand Winter Festivals เปิดเทศกาลหน้าหนาวทั่วไทย

‘Thailand Winter Festivals’ เทศกาลหน้าหนาวทั่วไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม ‘Thailand Winter Festivals’ ที่จะจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับประเทศภายใต้การสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เทศกาลนี้จะประกอบไปด้วยกิจกรรมไฮไลท์ 7 ประเภท ได้แก่ เทศกาลลอยกระทง เทศกาลเคาท์ดาวน์ กิจกรรมเชิงกีฬา กิจกรรมด้านวัฒนธรรม เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรี และเทศกาลแสงสี ซึ่งจะมีการจัดขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ สร้างความหลากหลายในการท่องเที่ยวและประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับผู้มาเยือน

บรรยากาศต้อนรับฤดูหนาวทั่วประเทศ

นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ร่วมสวมผ้าพันคอเข้าธีมฤดูหนาว โดยใช้ผ้าทอดอยตุง หมักโคลน โทนสีธรรมชาติจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งแสดงถึงความเป็นไทยและเอกลักษณ์ท้องถิ่นของภาคเหนือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าถึงแม้ฤดูหนาวในประเทศไทยอาจไม่หนาวจัดเหมือนบางประเทศ แต่การจัดกิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจและเสน่ห์ให้กับประเทศไทยในช่วงปลายปี

7 กิจกรรมหลักทั่วไทย ตอบโจทย์ทุกความสนใจ

เทศกาลนี้จะมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มต้นจากเทศกาลลอยกระทงที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด การจัดงานในหลากหลายสถานที่ช่วยให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ที่ฟื้นตัวหลังจากประสบอุทกภัย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในภาคเหนือและภาคอื่นๆ อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ กิจกรรมด้านวัฒนธรรม เทศกาลดนตรี เทศกาลอาหาร และกิจกรรมแสงสียังเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทความหลากหลายของวัฒนธรรมและสไตล์การท่องเที่ยวที่มีอยู่ในทุกภูมิภาคของไทย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี สร้างรายได้และสร้างโอกาสให้กับคนในท้องถิ่น

เทศกาล “Thailand Winter Festivals 2024” ที่จัดขึ้นในปีนี้ จะมีความหลากหลาย น่าสนใจและยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพื่อนำส่งประสบการณ์ความสุขช่วงปลายปี โดยมีกิจกรรมไฮไลท์ใน 7 หมวดหมู่ ดังนี้

1. เทศกาลลอยกระทง ประเพณีลอยกระทงอันทรงคุณค่าสะท้อนความเป็นไทยอย่างสร้างสรรค์จากอัตลักษณ์ท้องถิ่นบนรากฐานทางวัฒนธรรม หรือ Soft Power และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กิจกรรม โดยมีการจัดงานทั่วประเทศ อาทิ งานสีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง  ณ คลองผดุงกรุงเกษม (ย่านหัวลำโพง) ในวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2567, งานลอยกระทงวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567, ประเพณีเผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย วันที่ 8 – 18 พฤศจิกายน 2567 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย, ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 14 – 17 พฤศจิกายน 2567 ทั่วจังหวัดเชียงใหม่, ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง จังหวัดตาก วันที่ 15 – 18 พฤศจิกายน 2567 ณ ริมสายธารลานกระทงสาย เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี อำเภอเมืองตาก, ประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม วันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2567 ณ บริเวณสองฝั่งน้ำแม่กลอง ได้แก่ ฝั่งอุทยาน ร.2 และฝั่งวัดภุมรินทร์กุฎีทอง, ประเพณีสมมาน้ำคืนเพ็ง เส็งประทีป จังหวัดร้อยเอ็ด วันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ บึงพลาญชัย

2. เทศกาล Countdown ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสสู่การส่งท้ายปีแบบยิ่งใหญ่ตระการตา ทั้งการจัดแสดงพลุและแสงสีเสียงสื่อผสม การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง การแสดงทางวัฒนธรรม ไปจนถึงการขึ้นปีใหม่แบบไทยด้วยการสวดมนต์ข้ามปีและการทำบุญตักบาตร อาทิ Amazing Thailand Countdown 2025 ในวันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 1 มกราคม 2568 กรุงเทพมหานคร, งาน ICONSIAM Amazing Thailand Countdown 2025 วันที่ 29-31 ธันวาคม 2567, งาน Centralworld Bangkok Countdown 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2567,  Amazing Chiang Mai Countdown 2025 วันที่ 21-31 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, HATYAI COUNTDOWN 2025 วันที่ 31 ธันวาคม 2567-1 มกราคม 2568 จังหวัดสงขลา, เทศกาลปีใหม่ Suphanburi Festival 2024 วันที่ 29-31 ธันวาคม 2567 จังหวัดสุพรรณบุรี

3. กิจกรรมเชิงกีฬา Amazing Thailand Marathon Bangkok ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ณ บริเวณถนนพญาไท กรุงเทพฯ, งานวิ่งเทรลอินทนท์ Hoka Chiang Mai Thailand by UTMB วันที่ 5-8 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, เชียงใหม่มาราธอน วันที่ 22 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, Bangsaen 42  วันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดชลบุรี, KORAT MARATHON 2024 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดนครราชสีมา, ลากูน่า ภูเก็ต ไตรกีฬา วันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดภูเก็ต, Betong 21 International Half Marathon วันที่ 23-24 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดยะลา

4. กิจกรรมด้านวัฒนธรรม นำเสนออัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นประจำท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อาทิ มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์ วันที่ 14-25 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดสุรินทร์, งาน “ใส่ไทย เฟสติวัล (Sai Thai Festival) จังหวัดอุบลราชธานีในวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2567 และจังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2567 และงานประเพณีแห่ดาวคริสต์มาส วันที่ 20-25 ธันวาคม 2567 จังหวัดสกลนคร

5. เทศกาลอาหาร  มหกรรมอาหาร ฟู้ด เฟสติเว่อร์ วันที่ 11-15 ธันวาคม 2567  กรุงเทพฯ, งานเทศกาลปลาร้าหมอลำ Isan To The World วันที่ 26-29 ธันวาคม 2567 จังหวัดขอนแก่น, NORTHERN COFFEE Gathering 2024 วันที่ 29 พฤศจิกายน -1 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, Hidden Gem Food Festival วันที่ 11-15 ธันวาคม กรุงเทพฯ

6. เทศกาลดนตรี เพิ่มความคึกคักด้วยกิจกรรมทางด้านดนตรี ซึ่งจะจัดขึ้นในหลายพื้นที่ อาทิ Wonderfruit วันที่ 12-16 ธันวาคม 2567 จังหวัดชลบุรี, Rolling loud Thailand 2024 วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2567 ณ Legend Siam พัทยา, เชียงใหม่เฟส จังหวัดเชียงใหม่, Big Mountain จังหวัดนครราชสีมา, เทศกาลดนตรีนานาชาติ Maho Rasop จังหวัดปทุมธานี

7. เทศกาลแสงสี (Lighting & Illumination) พบกับมหาปรากฏการณ์แสดง แสง เสียง พลุ โดรน สุดยิ่งใหญ่ในงาน Vijit Chao Phraya 2024 วันที่ 16 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2567 ณ บริเวณสถานที่สำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น สะพานพระราม 8, อาคารสำนักงานราชนาวิกสภา (กองทัพเรือ), ป้อมวิไชยประสิทธิ์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร, สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์  (สะพานพระพุทธยอดฟ้า), อาคารสุนันทาลัย (โรงเรียนราชินี), ไอคอนสยาม, สะพานพระปกเกล้า, เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีงานเทศกาลแสงสีอื่น ๆ ที่จะมาเติมสีสันอีกมากมาย อาทิ Awakening Bangkok วันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567 ย่านเมืองเก่าพระนคร กรุงเทพฯ, Night at the Museum Festivals 2024 วันที่ 1-31 ธันวาคม 2567 ณ มิวเซียมสยาม และพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้กว่า 24 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และเทศกาล พลุนานาชาติ “Pattaya International Fireworks Festival 2024” วันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2567 เลียบหาดพัทยา จังหวัดชลบุรี

การร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณการทำงานร่วมกันของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนให้เทศกาลนี้เกิดขึ้น นอกจากนี้ การจัดงานนี้ยังเป็นการแสดงความพร้อมของไทยในการเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกจังหวัด โดยไม่ได้เน้นเฉพาะจังหวัดหลักเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่านอกจากการดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว เทศกาล ‘Thailand Winter Festivals’ ยังเป็นการแสดงออกถึงความพร้อมของไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และมีบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเป็นกันเอง อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันโปรโมทเทศกาลนี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและเสริมสร้างเศรษฐกิจของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ไทยเตรียมเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน นักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท

ไทยเตรียมจัดเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“ค่าเหยียบแผ่นดิน” ต้อนรับนักท่องเที่ยว เติมเต็มกองทุนดูแลการท่องเที่ยวไทย

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยแผนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาการจัดเก็บ “ภาษีท่องเที่ยว” หรือที่รู้จักในชื่อ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” โดยมีเป้าหมายที่จะเรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ในอัตรา 150-300 บาทต่อคน เพื่อนำเงินเข้ากองทุนสนับสนุนการดูแลนักท่องเที่ยวและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

รายละเอียดการจัดเก็บและการบริหารกองทุนเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

แผนดังกล่าวได้กำหนดไว้ว่าภาษีท่องเที่ยวนี้จะถูกจัดเก็บตามวิธีการเดินทาง โดยเก็บจากการเดินทางทางอากาศที่ 300 บาทต่อคน และการเดินทางทางบกหรือทางน้ำที่ 150 บาทต่อคน ทั้งนี้ยังมีการจัดเตรียมระบบประกันที่ครอบคลุมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเยือนไทย ด้วยวงเงินคุ้มครองการเสียชีวิต 1 ล้านบาท และวงเงินคุ้มครองการบาดเจ็บ 5 แสนบาท ซึ่งจะมีการเปิดประมูลบริษัทประกันเพื่อดูแลระบบการจัดเก็บประกันภัยนี้

เตรียมระบบจัดเก็บผ่านแอปพลิเคชันและธนาคารกรุงไทย

การเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจะถูกเชื่อมโยงผ่านซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันซึ่งจะควบคุมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวได้ประสานกับธนาคารกรุงไทยเพื่อรองรับระบบการชำระเงิน โดยคาดว่าภาษีท่องเที่ยวในปีแรกจะสร้างรายได้ราว 36,000 ล้านบาทจากการคาดการณ์นักท่องเที่ยวกว่า 36 ล้านคน

ลดปัญหาการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ท่องเที่ยว

ภาษีท่องเที่ยวใหม่นี้จะมีการเปิดใช้ในสองระยะ เพื่อให้การจัดเก็บทำได้อย่างราบรื่นและโปร่งใส ระยะแรกจะเน้นการเก็บเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมกว่า 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ส่วนระยะที่สองจะเพิ่มการเก็บจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านทางบกและทางน้ำ พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ

เสริมสร้างความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยว

การใช้ระบบจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินมีเป้าหมายหลักในการนำรายได้เข้าสู่กองทุนเพื่อดูแลและส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยให้แข็งแกร่งและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยพุ่ง รับผลจากฟรีวีซ่า

นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยโตแรง รับผลบวกจากมาตรการวีซ่าฟรี

นักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ผลจากมาตรการวีซ่าฟรี

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากกว่า 5.3 ล้านคน เติบโตถึง 112% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการวีซ่าฟรีระหว่างไทยและจีน อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในช่วงปลายปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจเติบโตได้ยากเนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวของชาวจีน

การปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยปี 2567

ในปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยมาอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 8 ล้านคน เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้า และชาวจีนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงการแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวที่สูงขึ้นจากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวของหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ศรีลังกา และสิงคโปร์ ที่ใช้มาตรการวีซ่าฟรีในการดึงดูดนักท่องเที่ยว

แนวโน้มการท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนสู่การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อการเลือกจุดหมายปลายทาง โดยชาวจีนมองหาจุดหมายใหม่ๆ ที่เน้นประสบการณ์ที่หลากหลายและเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การเดินทางธรรมชาติ และการพักผ่อนเชิงสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจและโปรโมทจุดหมายปลายทางของผู้ประกอบการไทยที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางนักท่องเที่ยวจีนในอนาคต

นอกจากการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมท่องเที่ยว ค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ภูมิอากาศยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อการท่องเที่ยวของจีน นอกจากนี้ ปัญหาทางการเมืองและสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตา โดยการฟื้นตัวเต็มรูปแบบของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนไทย คาดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย /วัดร่องขุ่น – Wat Rong Khun – White Temple , Chiang Rai , Thailand

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News