Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-น่าน-พะเยา มาแล้ว! บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ เริ่ม 1 พ.ค.นี้

 

เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2567 น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ติดตามเร่งรัดว่า ขณะนี้การดำเนินการจะเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือเฟส 3 ในวันที่ 1 พ.ค.ถึงนี้ การให้บริการจะครอบคลุมทุกเฟสจำนวน 45 จังหวัด จาก 12 จังหวัด เพิ่มอีก 33 จังหวัด ครอบคลุมอีก 16 เขตสุขภาพ

 

 

ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร พิจิตร ชัยนาท อุทัยธานี สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา

 

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีความมั่นใจว่า การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในเฟส 3 จะสามารถยกระดับการบริการ อำนวยความสะดวกประชาชน ไม่ต้องรอคิว รอรับยา ตรวจเสร็จรับยาที่บ้าน Health Rider เหมือนที่เริ่มมาแล้วในเฟส 1 เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2567 นำร่อง 4 จังหวัด ต่อมาเฟส 2 นำร่องอีก 8 จังหวัด เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ทั้ง 2 เฟส ประชาชนพอใจการได้รับบริการเกือบ 100 %

 

การให้บริการได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขครบทุกแห่งและทุกกองทุนสุขภาพ ปัจจุบันมีหน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง 893 แห่ง จาก 902 แห่งทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 99.7 ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาโครงสร้างเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ มีการเชื่อมต่อแอพพลิเคชันและไลน์หมอพร้อมทั่วประเทศแล้ว กว่า 40 ล้านคน มีการนัดหมายและดำเนินการบริการระบบการแพทย์ทางไกล 55,446 ครั้ง ออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัล 81,317ใบ มีการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์โดย Health Rider 55,376 ออเดอร์

 

ทั้งนี้ กว่าร้อยละ 90 ของผู้รับบริการมีความพึงพอใจดีมาก เนื่องจากได้รับบริการที่รวดเร็ว เจ้าหน้าที่ส่งยาพูดจาสุภาพ ความสมบูรณ์ของพัสดุ ลดระยะเวลาการรอคอย ช่วยลดความแออัดในการรอรับยาที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ในระยะเฟส 4 จะขยายครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2567 อย่างแน่นอน

โฆษกกระทรวง กล่าวว่า จากการสรุปข้อมูลล่าสุดวันที่ 24 เม.ย.2567 พบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ รับ – ส่งยา (Health Rider) ดังนี้

 

จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ 39 จังหวัด หน่วยบริการที่เข้าร่วม 301 แห่ง 3. อสม.และบุคลากรสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการฯแล้ว 5,258 คน วิ่งจัดส่งยาแล้วทั้งประเทศ 85,217 ออเดอร์ และมีรายได้ของ Health Rider เป็นความภาคภูมิใจของบุคลากรของกระทรวงและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันเต็มที่และดียิ่งเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

กทม.-เชียงราย แชมป์เสียชีวิต 13 ราย พบเยาวชนอายุเพียง 10 ปี ดื่มแล้วขับ

 
เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2567 ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 ว่า ตั้งแต่วันที่ 11 – 15 เมษายน เกิดอุบัติเหตุสะสม 1,564 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บสะสม 14,621 ราย ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 1.37 ในจำนวนนี้ ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1,593 ราย ลดลงร้อยละ 8.29 ส่วนผู้เสียชีวิตสะสม 206 ราย ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 2.74 โดยจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กรุงเทพมหานครและเชียงราย 13 ราย ร้อยเอ็ด 12 ราย และนครราชสีมา 10 ราย

 

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุยังคงเป็นขับรถเร็ว ร้อยละ 43.19 การดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ ร้อยละ 23.92 และตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 15.28 โดยพบว่าเกิดเหตุบนถนนสายรองในอบต.หรือในหมู่บ้านถึง ร้อยละ 31.88 ด่านชุมชนจึงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยคัดกรองผู้มีอาการมึนเมาสุรา ซึ่งในช่วง 5 วันนี้ สามารถสกัดกั้นคนเมาไม่ให้ออกมาขับขี่บนท้องถนนได้ถึง 9,144 ราย นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ขับขี่รถยนต์/รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 66.29 ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย/ไม่สวมหมวกนิรภัย ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้น

 

“ที่น่าเป็นห่วงคือ พบเยาวชนอายุน้อยกว่า 20 ปี ที่ดื่มแล้วขับถึง 324 ราย โดยมีอายุน้อยที่สุดเพียง 10 ปี กระทรวงสาธารณสุขจึงมุ่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งการตรวจตราร้านค้า สถานที่และเวลาห้ามจำหน่าย และการห้ามจำหน่ายให้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี รวมทั้งมีการตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ และตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย โดยหากเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี จะมีการสืบเอาผิดไปถึงร้านค้าที่จำหน่ายให้ด้วย“ นายแพทย์ชลน่านกล่าว

 

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า ช่วงวันที่ 16 – 17 เมษายน นี้ ประชาชนเริ่มเดินทางกลับมาทำงานตามปกติ การจราจรจึงมีความหนาแน่นมากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้อ่อนเพลียระหว่างขับรถได้ง่าย และมีโอกาสเกิดอาการหลับในสูง ดังนั้น ก่อนเดินทางจึงควรตรวจเช็คสภาพรถและเตรียมร่างกายให้พร้อม โดยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วง ระหว่างขับรถหากรู้สึกอ่อนล้าหรือง่วง ขอให้จอดพักผ่อนที่จุดบริการประชาชนแล้วค่อยไปต่อ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด สวมหมวกนริภัย/คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล และหากพบผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1669 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

‘ชลน่าน’ เผยหากสาธารณสุขดึง ‘กัญชา’ กลับไปบัญชียาเสพติดวุ่นทั้งระบบแน่

 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า การทำให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ จนอาจมีความเป็นไปได้ที่อาจจะนำ กัญชา กลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดว่า เรื่องดังกล่าวอาจเป็นมุมมองของนายกรัฐมนตรี เพราะนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภามีความชัดเจนว่า กัญชาหากจะนำมาใช้ต้องเป็นประโยชน์เพื่อการแพทย์หรือสุขภาพ รวมถึงในมิติทางเศรษฐกิจก็จะต้องเป็นไปเพื่อทางการแพทย์หรือสุขภาพ ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาและต้องปฏิบัติตาม

ส่วนข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวย้ำว่า กัญชาเป็นสารเสพติดเฉพาะสารสกัดที่มีค่า THC 0.2% โดยน้ำหนักเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ถือเป็นยาเสพติด แต่หากการนำกัญชากลับมาเป็นสารเสพติด ก็จะต้องมีการแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เคยประกาศถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด และให้เพียงสารสกัดจากกัญชาเป็นเพียงยาเสพติดก่อน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของนายกรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการอย่างไร และกฎหมายควบคุมกัญชาขณะนี้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เพื่อรองรับต่อนโยบายกัญชาที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เพราะกัญชาในปัจจุบันนั้นไม่ใช่ยาเสพติดก็จะต้องมีกฎหมายควบคุม ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาที่ว่าด้วยเรื่องยาเสพติดระหว่างประเทศที่ระบุว่า หากประเทศใดกำหนดให้กัญชาไม่เป็นยาเสพติด ประเทศนั้นจะต้องมีกฎหมายควบคุม และบังคับใช้ในลักษณะที่ไม่น้อยกว่าการเป็นยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการในแนวทางนี้ และรัฐบาลจะมีกฎหมายกัญชงและกัญชามาใช้ควบคุมกัญชานอกเหนือจากส่วนสารสกัด 0.2

 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า กฎหมายกัญชง-กัญชาที่รัฐบาลกำลังจะออก หากใครจะนำกัญชง-กัญชามาใช้โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์หรือสุขภาพ ถือว่าเป็นการใช้ผิดประเภท ส่วนหากจะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดน่าจะยากแล้วใช่หรือไม่ รัฐบาลมองประเด็นเรื่องผลกระทบ ซึ่งหากมีกฎหมายควบคุมที่ไม่แตกต่างจากประกาศยาเสพติด ข้อกังวลถึงมิติสุขภาพ และการนำไปใช้ผิดประเภท ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวล แต่หากจะนำกลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้งก็จะต้องมีการรื้อระบบใหม่ และจะมีผลกระทบมากจากการที่ปล่อยให้ถูกกฎหมายไปก่อนหน้านี้ ทั้งเอกชน ร้านกัญชา และอื่นๆ เช่น ผู้ที่ปลูกต้นกัญชา 1 ต้นในบ้านก็จะผิดกฎหมาย แต่กฎหมายใหม่ที่จะออกมาควบคุมนั้น การปลูกและการผลิตจะต้องได้รับอนุญาต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นชอบศึกษาขยายเวลาจำหน่าย

 
เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
 
          นายแพทย์ชลน่านให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า ในวันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ โดยได้นำข้อเสนอจากที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 มาประกอบการพิจารณา และเห็นว่า 1) ปัจจุบันมีกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับร้านอาหารทั่วไป ได้แก่ ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 และกฎกระทรวงที่ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2558 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551และต้องคำนึงถึง พระราชบัญญัติสถานบริการ 2509 ซึ่งถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปรับแก้กฎหมายเหล่านี้และต้องคำนึงถึงเวลาเปิดปิด ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการและการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว และ2) ข้อมูลในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ยังไม่มีข้อมูลทางสถิติที่ชัดเจน สมควรศึกษาข้อมูลแล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลของจังหวัดนำร่อง เพื่อนำมากำหนดเวลาที่จะขยาย เพื่อความละเอียดรอบคอบ
 

          “ที่ประชุมได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อไปทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดกรอบระยะเวลาในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไปอย่างรอบคอบรอบด้าน ทั้งนี้ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการศึกษาข้อมูล แต่เนื่องจากเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมก็จะเร่งรัดให้เร็วที่สุดโดยคำนึงถึงข้อมูลที่เพียงพอสำหรับประกอบการพิจารณา นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย” นายแพทย์ชลน่านกล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“หมอชลน่าน” หนุน เครือข่ายฯ ร่วมสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2567 ณ อาคารเฉลิมพระบารมี ๕๐ ปี  แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมมหกรรมวิชาการฟ้าใส 2567 “ปกป้องสุขภาพของคนไทยห่างไกลควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า” และมอบรางวัลเพชรนคราอวอร์ด ประจำปี 2567 ให้แก่องค์กรและบุคคลที่มีผลงานในการควบคุมยาสูบด้านต่าง ๆ จำนวน 65 รางวัล โดยมี ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ รศ. นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา เลขาธิการเครือข่ายวิชาชีพแพทย์ในการควบคุมการบริโภคยาสูบ บุคลากรวิชาชีพสุขภาพ และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมกว่า 600 คน
 

         นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอันดับ 1 ของประชากรทั่วโลก และทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึงปีละกว่า 70,000 คน ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจภาคครัวเรือนปีละกว่า 100,000 ล้านบาท ปัจจุบันประเทศไทยมีกระบวนการควบคุมการบริโภคยาสูบที่เข้มแข็ง มีอัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 35 ในปี 2532 เหลือร้อยละ 17.4 ในปี 2564 ซึ่งนับเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของทุกภาคีเครือข่ายที่ร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์การควบคุมยาสูบของประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากผลิตภัณฑ์ยาสูบรุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่เย้ายวนใจให้กลุ่มเด็กและเยาวชนทดลองสูบ โดยจากการสำรวจล่าสุด ในปี 2566 พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนและสตรีเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2566 ซึ่งหากไม่รีบดำเนินการแก้ไขจะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างตามมา ทั้งด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
 

          นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า การเข้าถึงกระบวนการเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงยาเลิกบุหรี่มาตรฐานมีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน ซึ่งต้องขอบคุณสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ที่ได้จัดตั้งเครือข่ายคลินิกฟ้าใส เป็น one stop service ให้บริการเลิกยาสูบโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ปัจจุบันมี 563 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ และขณะนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาเลิกบุหรี่ที่ชื่อว่า Cytisine ได้แล้ว จึงนับเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้เข้าถึงยาชนิดนี้ต่อไป
 

          “การดำเนินงานด้านการควบคุมยาสูบจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา กระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การสนับสนุนสร้างสังคมปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าลดจำนวนผู้สูบปัจจุบัน ป้องกันผู้สูบหน้าใหม่ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น สร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่และบุหรี่ฟ้า ไม่ให้หลงเชื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ” นพ.ชลน่านกล่าว
 

          สำหรับการประชุมในวันนี้ เครือข่ายหลายภาคส่วน อาทิ เครือข่ายคลินิกฟ้าใส สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุรี่ และเครือข่ายสถานประกอบการปลอดบุหรี่ จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน ข้อมูลสถานการณ์ของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆที่แพร่หลายอยู่ในขณะนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ตามบริบทพื้นที่ และเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่นๆ ได้ร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความมั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และปลอดภัยจากพิษของบุหรี่
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ของขวัญปีใหม่ 4 จังหวัดนำร่อง “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” เริ่ม 8 ม.ค. 67

 
20 ธันวาคม 2566  โฆษกกระทรวงสาธารณสุขฝ่ายการเมือง เผย “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” 4 จังหวัดนำร่องใน 4 ภูมิภาค พร้อมส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 8 มกราคม 2567 นี้ เตรียมเปิดตัวที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมเปิดตัวออนไลน์จากแพร่ เพชรบุรีและนราธิวาส ชี้เป็นการปฏิรูประบบข้อมูลการให้บริการครั้งใหญ่ที่สุด และขยายบริการที่เป็นนวัตกรรมการอำนวยความสะดวกในการรับบริการของประชาชน
 

          นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า จากการติดตามความคืบหน้านโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป็นนโยบายสำคัญ ทำความเข้าใจกับผู้บริหารของกระทรวง เดินทางไปตรวจเยี่ยมเพื่อรับฟังปัญหาและความก้าวหน้า 4 จังหวัดนำร่องทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรีและนราธิวาส พร้อมแล้ว 100% ที่จะเปิดให้บริการครบวงจร เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้กับประชาชน โดยวันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 จะเป็นวันเริ่มต้น หรือ Kick off พร้อมกัน ใช้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจุดเปิดนอกสถานที่และเปิดระบบออนไลน์ไปยังอีก 3 จังหวัด คือ แพร่ เพชรบุรีและนราธิวาส
 

          นางสาวตรีชฎากล่าวว่า ของขวัญปีใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข ที่นพ.ชลน่านและบุคลากรในสังกัดกระทรวงมีความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะมอบให้พี่น้องประชาชนครั้งนี้ ถือเป็นการปฏิรูประบบสุขภาพครั้งใหญ่ใน 2 เรื่อง คือ 1.ปฏิรูประบบข้อมูลการให้บริการครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อน บัตรประชาชนใบเดียวสามารถเข้าถึงการบริการได้ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว เป็นการลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข 2.ขยายบริการที่เป็นนวัตกรรมการอำนวยความสะดวกในการรับบริการของประชาชน ทั้งนี้ หน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายให้ประสบความสำเร็จ คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ สปสช.ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดย สปสช.ซึ่งมีสำนักงานเขตในภูมิต่างๆ จะร่วมมือกับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่
 

          “นับจากนี้ขอให้พี่น้องประชาชนเตรียมตัวเตรียมใจหากเจ็บป่วยต้องการรับบริการตรวจรักษาและรับยา 4 จังหวัดนำร่องพร้อมจะให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ ร้านยา ที่เข้าร่วมโครงการ” นางสาวตรีชฎากล่าว
 

          อย่างไรก็ตาม นพ.ชลน่านได้ฝากแสดงความชื่นชมและส่งกำลังใจไปยังบุคลากรทุกคน ทุกส่วนที่จะร่วมกันมอบสิ่งดีๆ ให้กับประชาชน โดยเฉพาะการประชุมระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย 2566 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ออกแถลงการณ์ 12 ข้อ ที่ประกาศจะ “ทำทันที” ในการยกระดับและขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่ง 1 ใน 12 ข้อของแถลงการณ์ คือการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ นางสาวตรีชฎา กล่าวทิ้งท้าย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

“ศิธา” รีบแจงหลัง “ชลน่าน” ติงเสียมารยาท หวังว่าพรรคเพื่อไทยตอบคำถามประชาชน

“ศิธา” รีบแจงหลัง “ชลน่าน” ติงเสียมารยาท หวังว่าพรรคเพื่อไทยตอบคำถามประชาชน

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เมื่อเวลา 21.00 น. น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการอำนวยการและพัฒนาและเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @SitaDivari กรณีที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ออกมาฝากถึงตนในมุมของการเสียมารยาท จึงขอชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ในการแถลงข่าวเซ็น MOU ว่า

ตามที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาฝากถึงผมในมุมของการ #เสียมารยาท นั้น ผมขออนุญาตชี้แจง ดังนี้ เมื่อวานนี้ ในการแถลงข่าวเซ็น MOU จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ผมได้ตั้งคำถามไปยัง 8พรรคการเมือง ว่า “ท่านจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน ว่าท่านจะยืนตัวตรง สู้กับกลไกที่เผด็จการฝังไว้ในบทเฉพาะกาล 5ปีแรกของ รธน.60 โดยกำหนดให้ สว.มีสิทธิ์เลือกนายกฯ ด้วยการเซ็น #AdvanceMOU อีก1ฉบับ ระบุว่าท่านจะทำงานร่วมกัน 

 

ตามฉันทานุมัติของประชาชน ที่มีให้กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย (หรือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม) ไม่ว่าท่านจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้านร่วมกันก็ตาม” ได้หรือไม่ เนื่องจากการแถลงข่าวยืดเยื้อเกินเวลา ผมจึงบอกว่า “จะตอบทั้ง 8พรรค” หรือ “จะตอบเฉพาะ 2พรรคใหญ่” คือ #ก้าวไกล และ #เพื่อไทย เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ได้ คุณพิธา ได้กดไมค์ตอบผมทันที ว่าเป็นไปได้ที่จะลงนามใน Advance MOU ร่วมกับในอนาคตอันใกล้ ส่วนคุณหมอชลน่าน ไม่ตอบคำถามผม 

 

แต่ได้ตอบคำถาม ที่นักข่าวฝากให้ผมถามให้ ผมจึงได้ย้ำคำถามไปอีกครั้ง ผมก็ได้รับคำตอบจากคุณพิธาคนเดียว ส่วนคุณหมอชลน่าน ไม่ตอบเช่นเดิม เมื่อถึงจุดนี้ผมพอจะเข้าใจว่า คำถามของผมคุณหมอชลน่านไม่ได้ลืมที่จะตอบ แต่อาจเป็นคำถามที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอึดอัดที่จะตอบ ผมจึงยุติการตั้งคำถาม หลังจากแถลงข่าวเสร็จ เราก็ไปนั่งทานข้าว และพูดคุยชนแก้วกันอย่างชื่นมื่น โดยที่คุณหมอก็พูดคุยกับผมตามปกติ ไม่ได้มีการคาดคั้น หรือชี้แจง จากทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด 

 

ผมไม่ทราบว่า หลังจากนั้น คุณหมอโดนใครตำหนิ หรือไปรับบรีฟจากใครมา อยู่ๆวันนี้จึงงัวเงีย ออกมาพูดกับสาธารณชนว่า เป็นการเสียมารยาท และฝากหัวหน้าพรรคฯมาอบรมผม ด้วย โดยในมุมมองผมนั้น ทั้งตามมารยาทที่คุณหมอหยิบยกมาอ้าง และเนื่องจากที่เป็นลูกผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นั้น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราก็ควรจะพูดคุยด้วยอารมณ์และความรู้สึก และ Messages เดียวกัน ไม่ใช่ดื่มกิน ชื่นมื่นกันเป็นชั่วโมง แต่พอวันรุ่งขึ้นกลับตาลปัด มาพูดถึงกันในเชิงลบ ผ่านสื่อมวลชนเช่นนี้ 

 

สำหรับผม การที่พรรคการเมืองจะออกมายืนยัน เพื่อความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าการเสียมารยาทของผมเพียงแค่คนเดียวมากนัก ดังนั้นการที่ผมจะเอาตัวเองเข้าแลก เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เช่นนี้ ผมไม่ได้กังวลต่อคำสบประมาท ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่อย่างใด ถ้าจะให้พูดให้เคลียร์คัท “ผมไม่ได้กลัวการเสียมารยาท มากไปกว่า กลัวการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ” เลย ส่วนในมุมการรักษามารยาท ที่คุณหมอกำหนดบรรทัดฐานมานั้น 

 

เมื่อทราบความอึดอัดของหมอชลน่านเช่นนี้ ผมก็คงไม่ไปถามอะไรถึงเรื่องนี้อีก ในทำนองเดียวกัน หากหลังจากนี้มีประชาชนผู้ลงคะแนน ให้กับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมร่วม 25ล้านคน หรือสื่อมวลชนทั่วไป จะมีใครไปถามหมอแทนประชาชน ถึงจุดยืน Advance MOU นี้อีก ผมก็หวังว่า ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะรักษามารยาท ด้วยการตอบคำถามต่อพี่น้องประชาชนด้วย ครับ

 

โดยต้นเรื่องในครั้งนี้มาจากรายการสดออนไลน์เพจข่าวสด ในยูทูปชื่อรายการว่าอยากมีเรื่องคุย ตอน “เจาะ MOU 8 พรรค เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล” ซึ่งได้เชิญสามตัวแทนพรรคการเมืองพูดคุย ประกอบด้วย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และ พ.ต.อ.เอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :ทวิตเตอร์ @SitaDivari

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE