Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

น้ำท่วมใหญ่ 2567 ทิ้งปัญหาไว้ใต้ดิน! ทส. สั่ง คพ. ตรวจ 18 แห่ง ฟื้นความเชื่อมั่นแหล่งน้ำชุมชน

วิกฤตน้ำใช้ลุ่มน้ำกก! รัฐบาลสั่ง “ป้องกันก่อนป่วย” สั่งล้างบ่อบาดาล 4 จุดเสี่ยงทันที

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — ในช่วงปลายฤดูฝนของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านคาดหวังว่าน้ำจะใสสะอาดและเริ่มกลับมาใช้ได้ตามปกติหลังน้ำหลากผ่านไป กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความกังวลครั้งใหม่ เมื่อมีการส่งสัญญาณเตือนถึง “การปนเปื้อนสารหนู” ในน้ำประปาหมู่บ้านบางแห่ง ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและพื้นที่ใกล้เคียง กระทั่งปัญหาดังกล่าวถูกยกระดับสู่เรื่องเร่งด่วนระดับรัฐบาลกลางและลงพื้นที่ตรวจสอบโดยตรงจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ภายใต้การกำกับของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งได้รับข้อสั่งการโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีระกูล

การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบคุณภาพน้ำเท่านั้น แต่สะท้อนโจทย์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือ “ความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชุมชน” ในจังหวัดชายแดนภาคเหนือซึ่งเพิ่งผ่านเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2567 และยังคงฟื้นตัวจากผลกระทบด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชน

วิกฤตน้ำใช้ในพื้นที่ลุ่มน้ำกก จากคำถามของชาวบ้านสู่ภารกิจระดับรัฐ

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดจากความกังวลของชุมชนในพื้นที่ริมแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ทั้งในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง โดยเฉพาะพื้นที่ประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำบาดาลเป็นแหล่งผลิต เมื่อน้ำลดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา หลายชุมชนพบว่าน้ำมีสีและตะกอนผิดปกติ จนนำไปสู่การร้องเรียนและการตั้งข้อสงสัยว่าแหล่งน้ำใต้ดินอาจได้รับผลกระทบจากน้ำหลากหรือตะกอนที่ถูกพัดพามากับกระแสน้ำหลากอย่างฉับพลัน

เพื่อคลี่คลายปัญหาและตอบสนองต่อข้อร้องเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ทส. ได้สั่งการให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.เชียงราย) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน ระหว่างวันที่ 17–19 ตุลาคม 2568

นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ว่า มีการลงพื้นที่ตรวจคุณภาพน้ำในระบบประปาหมู่บ้านรวมทั้งสิ้น 18 แห่ง ครอบคลุมทั้งแหล่งน้ำประปาภูเขา น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ในตำบลแม่ยาว ตำบลดอยฮาง ตำบลรอบเวียง ตำบลริมกก ในอำเภอเมืองเชียงราย ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ตำบลหนองป่าก่อ อำเภอดอยหลวง ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน และตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน

การสุ่มตรวจดังกล่าวไม่ได้ทำเฉพาะในจุดจ่ายน้ำปลายทางเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเก็บตัวอย่างน้ำดิบก่อนเข้าระบบกรอง ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการประเมินความปลอดภัยของทั้งระบบ เพราะหากน้ำดิบมีการปนเปื้อนสูงกว่ามาตรฐาน ก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบกรองและความปลอดภัยของผู้ใช้น้ำในระยะยาว

ผลตรวจสารหนู พบปนเปื้อน 4 จุด แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

จากการตรวจวัดสารหนูเบื้องต้นด้วยชุดตรวจภาคสนามในพื้นที่ทั้ง 18 แห่ง พบว่า มี 4 แห่งที่ตรวจพบการปนเปื้อนสารหนู แบ่งเป็น

  1. น้ำดิบ (ก่อนเข้าระบบกรอง) จำนวน 3 แห่ง
    • หมู่ 3 เทศบาลตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    • หมู่ 4 บ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    • หมู่ 12 บ้านสันต้นแหน ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
  2. น้ำประปาหมู่บ้าน (น้ำที่จ่ายให้ประชาชนหลังการปรับปรุงคุณภาพน้ำ) จำนวน 1 แห่ง
    • หมู่ 5 บ้านป่ายางมน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

อย่างไรก็ตาม นายสุรินทร์ย้ำว่า การปนเปื้อนสารหนูที่ตรวจพบในทั้ง 4 แห่งยังอยู่ในระดับ “ไม่เกินมาตรฐาน” ซึ่งหมายความว่า ณ เวลาตรวจวัด คุณภาพน้ำยังไม่ถูกจัดให้อยู่ในระดับอันตรายตามเกณฑ์ด้านสาธารณสุข

แต่ประเด็นสำคัญคือ แม้ “ไม่เกินมาตรฐาน” หน่วยงานก็ยังไม่ปล่อยผ่าน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นอย่างชัดเจนว่า “การปนเปื้อนที่มียังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตาม การที่มีสารปนเปื้อนอยู่ในน้ำประปาหมู่บ้าน แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน”

คำกล่าวนี้สะท้อนแนวทางการทำงานของรัฐบาลในลักษณะเชิงรุก คือ ไม่รอให้สถานการณ์เลวร้ายจนเป็นวิกฤตด้านสุขภาพแล้วค่อยแก้ แต่เลือกที่จะ “ป้องกันก่อนป่วย” ผ่านมาตรการสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างน้ำสะอาดในระดับชุมชน

น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ตัวแปรสำคัญที่อาจฝังปัญหาไว้ใต้ดิน

การตรวจพบสารหนูไม่ใช่จุดจบของการวิเคราะห์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การหาสาเหตุ” เนื่องจากสารหนูเป็นธาตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งกระบวนการทางธรรมชาติ (เช่น แร่ธาตุในชั้นดินใต้ดินบางพื้นที่) และกิจกรรมของมนุษย์ (เช่น การรั่วไหลของของเสียหรือดินตะกอนจากพื้นที่ที่ถูกพัดพา)

นายสุชาติระบุว่า ปัจจัยหนึ่งที่กำลังได้รับการพิจารณาคือ เหตุการณ์ “น้ำท่วมใหญ่จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลำน้ำสาขา น้ำหลากที่รุนแรงอาจพัดพาดิน ตะกอน หรือสารปนเปื้อนลงสู่พื้นที่ต่ำและซึมลงบ่อบาดาล โดยเฉพาะบ่อที่ไม่มีระบบป้องกันตะกอนหรือไม่มีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า “การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่ได้มาจากแหล่งน้ำบาดาลที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านโดยตรง เนื่องจากเมื่อปีที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายมีน้ำท่วมใหญ่ อาจมีการพัดพาสารปนเปื้อนมาตกตะกอนในบ่อน้ำบาดาลที่ใช้ผลิตน้ำประปาหมู่บ้านได้”

ในแง่นี้ สถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้จบลงเมื่อระดับน้ำลด แต่ทิ้งมรดกปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่ในบ่อบาดาล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มและน้ำใช้สำคัญของชนบท การที่ตะกอนสะสมอยู่ก้นบ่อและในระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ สามารถกลายเป็น “แหล่งเสี่ยงเรื้อรัง” หากไม่มีการดูแลบ่ออย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

คำสั่งเร่งด่วน เป่าล้างบ่อบาดาล – ตรวจซ้ำ – สร้างความเชื่อมั่น

หลังได้รับรายงานผลตรวจเบื้องต้น นายสุชาติได้สั่งการโดยตรงให้ดำเนินมาตรการ 2 ระยะ คือ มาตรการแก้ไขทันที และมาตรการติดตามผล

มาตรการเร่งด่วนประกอบด้วย

  1. การล้างบ่อบาดาลเชิงรุก
    สั่งให้กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ทำการ “เป่าล้างบ่อบาดาล” ทั้ง 4 จุดที่ตรวจพบสารหนูทันที พร้อมดำเนินการขจัดตะกอนและตะกอนแขวนลอยที่อาจเป็นตัวพาสารปนเปื้อน ซึ่งรวมถึงการปรับสภาพระบบกรองและการตรวจสอบความสมบูรณ์ของระบบกรองประปาหมู่บ้าน
  2. การตรวจวัดคุณภาพน้ำซ้ำ
    หลังการล้างบ่อ จะมีการเก็บตัวอย่างน้ำและตรวจวิเคราะห์ซ้ำ เพื่อยืนยันว่าการปนเปื้อนลดลงและอยู่ในระดับปลอดภัย พร้อมจัดทำรายงานสรุปผลเพื่อสื่อสารกับผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่โดยตรง

มาตรการทั้งสองถือเป็นการทำงานเชิงระบบ คือ ไม่เพียงแก้ที่อาการ (ค่าปนเปื้อน) แต่แก้ที่ต้นตอ (ตะกอนและการบำรุงรักษาบ่อ) และไม่เพียงแก้ในเชิงเทคนิค แต่รวมถึงการ “สื่อสารความเสี่ยง” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน

ในทางสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ความเชื่อมั่นไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ชุมชนยังยอมใช้น้ำในระบบที่รัฐจัดหาโดยไม่ตื่นตระหนกหรือหันไปใช้น้ำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการบำบัด ซึ่งอาจยิ่งเสี่ยงกว่า

ทำไม “ไม่เกินมาตรฐาน” แต่ยังต้องเร่งแก้?

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมคือ เมื่อหน่วยงานยืนยันว่าค่าที่ตรวจพบ “ยังไม่เกินมาตรฐาน” เหตุใดจึงต้องเร่งล้างบ่อบาดาลและตรวจซ้ำ เหตุใดจึงต้องตั้งทีมลงพื้นที่หลายหน่วยงานพร้อมกันในเวลาอันสั้น

คำตอบนี้สะท้อนวิธีคิดด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงป้องกัน (precautionary approach) ที่รัฐบาลกลางต้องการใช้ในพื้นที่เชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่เผชิญความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมซ้ำซาก ทั้งดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และภัยแล้งสลับในบางฤดู

หากชุมชนป้อนสัญญาณความเสี่ยงเข้าระบบรัฐ แล้วรัฐนิ่งเฉย ความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” จะเร่งขยายเป็นความไม่ไว้วางใจต่อระบบน้ำประปาหมู่บ้านโดยรวม ส่งผลกระทบในระยะยาว เช่น ประชาชนหันไปใช้น้ำบาดาลส่วนตัวที่ไม่ได้ตรวจคุณภาพ ไม่มีระบบกรอง ไม่มีการกำจัดโลหะหนักและจุลินทรีย์ ซึ่งจะยิ่งเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าในเชิงโครงสร้าง

การเร่งจัดทีมตรวจสอบ 18 หมู่บ้านใน 9 ตำบล 7 อำเภอจึงไม่ใช่เพียงการตอบสนองคำสั่งของฝ่ายบริหารระดับสูง แต่คือการสร้าง “โครงสร้างความไว้วางใจ” ระหว่างรัฐกับชุมชน ว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ถูกปล่อยให้อยู่กับความเสี่ยงลำพัง

เชียงราย จังหวัดชายแดนกับต้นทุนความเปราะบางด้านทรัพยากรน้ำ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่รับน้ำจากลุ่มน้ำหลายสาย ทั้งแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ลักษณะภูมิประเทศที่มีทั้งพื้นที่ราบลุ่มริมน้ำ พื้นที่รอยต่อภูเขา–ที่ราบเชิงเขา และพื้นที่เมืองที่กำลังขยายตัว ทำให้ปัญหา “คุณภาพน้ำ” ไม่ใช่ปัญหาของคนปลายน้ำเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

เมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เช่นที่เชียงรายประสบในปี 2567 น้ำหลากที่รุนแรงไม่ได้ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายของบ้านเรือนและพื้นที่เกษตร แต่ยังรวมถึงตะกอนดินและสารต่าง ๆ ที่ไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งจำนวนไม่น้อยจากตะกอนเหล่านี้อาจซึมสะสมลงไปในชั้นบ่อบาดาลที่ชุมชนใช้เป็นต้นทางของระบบประปาหมู่บ้าน

การที่หน่วยงานภาครัฐยอมรับในเชิงนโยบายว่า การปนเปื้อนอาจเชื่อมโยงกับ “น้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. 2567” เป็นสัญญาณว่าสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็นปัจจัยโครงสร้างด้านสาธารณสุขของจังหวัดชายแดน ซึ่งจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวทั้งในมิติการจัดแหล่งน้ำสำรอง การยกระดับระบบกรอง และการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ ตั้งแต่นี้ไป ทุกครั้งที่เชียงรายถูกน้ำท่วมใหญ่ หน่วยงานน้ำและสิ่งแวดล้อมอาจต้องมองเลยกว่าการซ่อมสะพานหรือขุดลอกแม่น้ำ แต่ต้องลงไปถึง “ไส้ในของระบบน้ำดื่มหมู่บ้าน” ด้วย

บทบาทของส่วนกลางกับท้องถิ่น รัฐบาลสั่งการ – ท้องถิ่นร่วมปฏิบัติ

อีกประเด็นสำคัญของกรณีเชียงรายครั้งนี้ คือรูปแบบการประสานงานระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำงานแบบบูรณาการ

ข้อมูลที่เปิดเผยระบุชัดว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของกรมควบคุมมลพิษในฐานะหน่วยงานวิเคราะห์คุณภาพสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังมีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างบ่อและระบบน้ำใต้ดิน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่เชื่อมหน่วยงานรัฐกับชุมชนในพื้นที่ ขณะที่เทศบาล อบต. ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมทั้งการเก็บตัวอย่าง การให้ข้อมูลในพื้นที่จริง และการติดตามผล

โครงสร้างแบบนี้แตกต่างจากการแก้ปัญหาแบบบนลงล่าง (top-down) ที่มักจะจบลงด้วยการประกาศคำสั่ง แต่ไม่ถึงมือประชาชน เพราะในกรณีนี้ ฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่สามารถลงมือ “เป่าล้างบ่อบาดาล” และประสานการใช้น้ำชั่วคราวได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ไม่ต้องรอการเดินเรื่องใหม่อีกหลายขั้น

ความหมายเชิงสังคม น้ำประปาหมู่บ้านไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่เป็น “ความมั่นคงของชีวิตประจำวัน”

สำหรับครัวเรือนในระดับชุมชน ประปาหมู่บ้านไม่ใช่เพียงท่อน้ำ แต่มันคือเส้นเลือดหลักของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การหุงหาอาหาร การอาบน้ำ การดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ไปจนถึงการทำการเกษตรขนาดย่อมในครัวเรือน

ดังนั้น เมื่อเกิดการพูดถึงคำว่า “ปนเปื้อนสารหนู” ในพื้นที่ แม้จะมีคำยืนยันว่า “ยังไม่เกินมาตรฐาน” คำนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความกังวล ว่าน้ำที่ใช้ทุกวันปลอดภัยจริงหรือไม่ การต้มน้ำพอหรือไม่ ต้องซื้อน้ำดื่มเพิ่มหรือไม่ ครัวเรือนยากจนจะรับภาระได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทันทีตามธรรมชาติของสังคมในภาวะเสี่ยง

นั่นคือเหตุผลที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินการเชิงรุก และสั่งให้ “ตรวจซ้ำ” หลังการล้างบ่อ เพื่อให้มีหลักฐานรองรับในการสื่อสารกับประชาชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตรวจซ้ำไม่ใช่เพื่อตรวจระบบ แต่เพื่อตอบประชาชนตรง ๆ ว่า “ใช้น้ำได้หรือยัง” ด้วยข้อมูลวัดผลจริงหลังการฟื้นฟู

จากความกังวลสู่แผนฟื้นฟูระยะยาว

เมื่อพิจารณาทั้งกระบวนการจะเห็นว่าปมสำคัญของข่าวนี้มีอยู่สองชั้น

ชั้นแรก คือ ประเด็นด้านความปลอดภัยเฉพาะหน้า ซึ่งได้รับการตอบสนองด้วยการลงพื้นที่ตรวจวัดสารหนู การยืนยันค่าปนเปื้อน และคำสั่งล้างบ่อบาดาลในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทั้งสี่จุด

ชั้นที่สอง คือ ประเด็นด้านความยั่งยืนของระบบน้ำสะอาดชุมชนในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งได้รับการยกระดับสู่การทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ทั้งกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบนโยบายที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีสั่งการเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชน

ในเชิงนโยบายสาธารณะ สิ่งนี้สะท้อนความพยายามสร้าง “มาตรฐานใหม่” ในการดูแลระบบประปาหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่ซ่อมเฉพาะจุดเมื่อเสีย แต่ต้องบริหารจัดการเชิงป้องกัน ตรวจเฝ้าระวังหลังภัยพิบัติ และสื่อสารผลตรวจอย่างโปร่งใส

น้ำสะอาด คือศักดิ์ศรีของชุมชน

กรณีเชียงรายครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องน้ำไม่ใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต ความไว้วางใจต่อรัฐ ความมั่นคงของชุมชน และความยั่งยืนในการฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

ในระยะสั้น การลงพื้นที่ตรวจ 18 จุด การพบการปนเปื้อนสารหนู 4 จุด (แม้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน) การสั่งการ “เป่าล้างบ่อบาดาล” ในพื้นที่เสี่ยง และการตรวจซ้ำ ล้วนเป็นมาตรการเชิงรุกที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต

ในระยะยาว กรณีนี้ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าหลังภัยพิบัติใหญ่ เช่น น้ำท่วมปี 2567 หน้าที่ของรัฐไม่ได้จบลงเมื่อระดับน้ำลด แต่เพิ่งเริ่มต้นในภารกิจที่ซับซ้อนกว่านั้น นั่นคือการฟื้นฟูทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของชีวิตมนุษย์ น้ำที่ปลอดภัย

และในมุมของประชาชน สิ่งที่หลายคนต้องการอาจไม่ใช่เพียงการประกาศตัวเลขทางเทคนิค แต่คือการยืนยันที่ตรวจสอบได้ว่า “น้ำที่บ้านฉันยังปลอดภัยสำหรับคนในครอบครัว” ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่หน่วยงานรัฐระบุว่ากำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) โดย นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านจังหวัดเชียงราย
  • ถ้อยแถลงของนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีระกูล นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านในจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เร่งคลายปม “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” พบ 3 จุดต่ำกว่ามาตรฐาน อบจ.ชี้ระบบไม่ผ่านเกณฑ์

เร่งคลายปม “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” ปนเปื้อนโลหะหนัก ทส.ระดมหน่วยงานลงพื้นที่ 45 แห่ง—พบ 3 จุดต่ำกว่ามาตรฐาน อบจ.ชี้ระบบไม่ผ่านเกณฑ์–ชาวบ้านไม่ชอบคลอรีน ขณะที่ คพ.เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้าน พร้อมหาแหล่งน้ำทดแทน

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — กระแสกังวลเรื่อง น้ำประปาหมู่บ้านริมแม่น้ำกก เสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนัก จุดประกาย “ปฏิบัติการเร่งด่วน” ของภาครัฐ เมื่อ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) สั่งการให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบเชิงรุกตลอดแนวลำน้ำในรัศมี 1 กิโลเมตร ทั้งเพื่อคัดกรองระดับความเสี่ยง อุปโภค–บริโภค–เกษตร และเพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงด้วยข้อมูลที่ตรวจสอบได้

ในทางปฏิบัติ สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 ได้สำรวจ “ระบบประปาหมู่บ้าน” รอบลำน้ำกก รวม 45 แห่ง พบว่า ประปาบาดาล 29 แห่ง และ ประปาภูเขา 6 แห่ง “ไม่พบผลกระทบ” จากคุณภาพน้ำ ขณะที่ ประปาที่ใช้น้ำผิวดินจากแม่น้ำกก 10 แห่ง ตรวจพบว่า 3 จุดคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งกลายเป็น จุดเร่งด่วน สำหรับการออกแบบแหล่งน้ำทดแทนและมาตรการแก้ไขชั่วคราว–ถาวร

ด้าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ชี้ “ปัญหาแกนกลาง” คือ ระบบประปาหมู่บ้านจำนวนมากยังไม่ผ่านมาตรฐาน ทั้งในขั้นตอนทำให้น้ำใส (ตกตะกอน) และขั้นตอนฆ่าเชื้อ (คลอรีเนชัน) โดยสะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่ว่า “ชาวบ้านไม่ชอบกลิ่นคลอรีน” ทำให้หลายแห่ง ใส่สารส้ม–คลอรีนต่ำกว่าที่ควร เพิ่มความเสี่ยงด้านความขุ่นและการปนเปื้อน

ขณะเดียวกัน คพ. นำทีมลงตรวจพื้นที่รายตำบลตามรายงานจุดเสี่ยง 18 แห่ง โดยเริ่มที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ตรวจภาคสนาม ไม่พบสารหนูเบื้องต้น พร้อมเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักชนิดอื่น ๆ ต่อไป พร้อมตั้งเป้าตรวจให้ครบ ทุกจุดที่ถูกรายงาน ภายในสัปดาห์หน้า และ ขยายวงตรวจ ไปยังชุมชนใกล้เคียงเพื่อลดความวิตกกังวล

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบน “ฉากใหญ่” ของลุ่มน้ำกกที่เป็นแหล่งชีวิตของเชียงราย—ตั้งแต่ครัวเรือน เกษตร แหล่งท่องเที่ยว ไปจนถึงสุขภาวะของคนริมฝั่งน้ำ โจทย์จึงไม่ได้มีแค่ “ค่าตรวจหนึ่งครั้ง” หากคือ “ความเชื่อมั่นระยะยาว” ที่ต้องสร้างด้วยระบบมาตรฐาน ข้อมูลเปิดเผย และการร่วมกำกับของชุมชน

ไทม์ไลน์ “เร่งแก้” ตามสั่งการ สำรวจ 45   เร่งแก้ 3   เดินหน้าตรวจครบ 18 จุดเสี่ยง

1) สำรวจ 45 แห่งรอบลำน้ำกก
นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ระบุผลสำรวจว่า ในรัศมี 1 กิโลเมตรจากแม่น้ำกก มีระบบประปาหมู่บ้านรวม 45 แห่ง แบ่งเป็น บาดาล 29, ประปาภูเขา 6 (ทั้งสองกลุ่ม “ไม่พบผลกระทบ”) และ ใช้แหล่งน้ำผิวดินจากกก 10 แห่ง ซึ่งใน 10 แห่งนี้ ตรวจพบ 3 จุดคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน จำเป็นต้อง เปลี่ยนแหล่งน้ำ/เสริมการปรับปรุงระบบ อย่างเร่งด่วน

2) แหล่งน้ำทดแทน ระบบกระจายน้ำ
โครงการ ก่อสร้างระบบกระจายน้ำหนองไคร้คราง เพื่อสนับสนุนประปา บ้านสันไทรงาม อ.เวียงเชียงรุ้ง เดินหน้าในฐานะ ทางออกเฉพาะหน้า ด้วยท่อส่งน้ำยาวกว่า 7 กิโลเมตร เพื่อ เพิ่มปริมาณ “น้ำดิบ” สะอาด สำหรับการผลิตประปาชุมชน คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะ ช่วยประชาชนกว่า 265 ครัวเรือน ส่วนอีก 2 จุดที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (บ้านริมกก และบ้านเมืองงิม อ.เมืองเชียงราย) อยู่ระหว่าง สำรวจ ออกแบบ เพื่อเสริมความมั่นคงน้ำ

3) คพ.เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่าได้สั่งการ ตรวจคุณภาพน้ำแบบปูพรม ครอบคลุม 18 แห่ง ที่ถูกรายงาน พบว่า 2 ตัวอย่างแรกที่ ต.แม่ยาว (ระบบประปาภูเขาหมู่ 2 “กะเหรี่ยงรวมมิตร” และระบบประปาบาดาลหมู่ 3 “ห้วยทรายขาว”) ไม่พบสารหนูเบื้องต้นจากชุดตรวจ และได้เก็บตัวอย่างส่งห้องแล็บ ตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ๆ ต่อ พร้อม แผนขยายการตรวจ ไปยัง ต.ดอยฮาง ต.รอบเวียง ต.ริมกก ต.เวียงเหนือ ต.ดงมหาวัน ต.หนองป่าก่อ ต.ท่าข้าวเปลือก และ ต.บ้านแซว ภายในสัปดาห์ถัดไป

ภาพจริงในพื้นที่” จาก อบจ.เชียงราย ระบบไม่มาตรฐาน คลอรีน “ใส่น้อย” เพราะชาวบ้านไม่ชอบกลิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลที่สะท้อน “โครงสร้างปัญหา” ว่า หลายหมู่บ้าน ระบบผลิตประปายังไม่เป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะ ขั้นตอนตกตะกอน กรอง ฆ่าเชื้อ ทั้งที่การปนเปื้อนโลหะหนักที่ชาวบ้านกังวล มักเดินมาพร้อมความขุ่นของน้ำ ซึ่งต้องอาศัย สารส้ม และ คลอรีน ตามหลักสุขาภิบาลน้ำ แต่ “ในความจริง” หลายหมู่บ้านใส่น้อยกว่าที่เหมาะสม เนื่องจาก ไม่ชอบกลิ่นคลอรีน ส่งผลให้น้ำ ขุ่น เสี่ยงปนเปื้อน มากขึ้น

“ส่วนของระบบการผลิตน้ำประปา เราตรวจร่วมกับ อว. พบว่าน้ำมีค่าสนิมสูงและมีสารปนเปื้อนบ้าง หลายแห่ง ‘ใส่สารส้ม คลอรีนน้อย’ เพราะชาวบ้านไม่ชอบกลิ่น ทำให้องค์ประกอบเสี่ยงมาพร้อมความขุ่นของน้ำ” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

อบจ.เตรียมเดินหน้า ต้นแบบระบบประปาหมู่บ้านมาตรฐาน” 2–3 แห่ง ร่วมกับ กระทรวง อว. เพื่อเป็น โมเดลปรับปรุงอย่างประหยัด ให้ท้องถิ่นอื่นนำไปปรับใช้ พร้อม รณรงค์ลดการใช้สารเคมีการเกษตร ที่รั่วไหลลงดิน แหล่งน้ำ และ แจกเครื่องทดสอบความขุ่น ให้หมู่บ้านเฝ้าระวังเบื้องต้นด้วยตนเอง

ในมิติ ต้นน้ำ ระหว่างประเทศ นายก อบจ.สะท้อนข้อกังวลเรื่อง “กิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา” ในลำน้ำกกตอนบน และเสนอให้รัฐบาลไทย เจรจาหารือระบบจัดการของเสีย ร่วมกับฝ่ายเมียนมา เพื่อแก้ปัญหา “เหตุ–ปัจจัย” ต้นทางควบคู่ไปกับ มาตรการปลายน้ำ ภายในประเทศ

คุณภาพน้ำ “โดยรวมพอใช้” แต่เชิงปฏิบัติยังต้องเข้ม MRC-WQMN และการเฝ้าระวังระยะยาว

นอกเหนือจากการตรวจเฉพาะจุดเสี่ยง กรมทรัพยากรน้ำยังใช้ เครือข่ายติดตามคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง (MRC – Water Quality Monitoring Network: WQMN) ควบคู่ไปกับการเก็บตัวอย่างที่ สะพานแม่น้ำกก ซึ่งล่าสุดผลวิเคราะห์จาก กองวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา ระบุว่า คุณภาพน้ำโดยรวม “อยู่ในเกณฑ์พอใช้” แต่การเฝ้าระวังต้อง ต่อเนื่อง เข้มข้น โดยเฉพาะใน จุดที่มีฝายรับน้ำ จุดผลิตน้ำประปา และ พื้นที่เกษตร ที่อ่อนไหวต่อการปนเปื้อน

แก่นสำคัญ คือ ต้องทำให้ ข้อมูลคุณภาพน้ำ “เข้าถึงได้” และ “เข้าใจง่าย” ทั้งค่าความขุ่น โลหะหนัก และตัวชี้วัดสุขาภิบาล เพื่อให้ชุมชน สังเกตสัญญาณเสี่ยง และ ร่วมกำกับมาตรฐาน กับหน่วยงานรัฐอย่างมีพลัง

ทำไม “น้ำประปาหมู่บ้าน” สะดุด และควรแก้อย่างไร

วิศวกรรมสุขาภิบาลชี้ว่า ระบบประปาหมู่บ้าน ที่ยั่งยืนต้องครบ 4 วงจร ตั้งแต่ คัดเลือกแหล่งน้ำ ปรับปรุงคุณภาพ ฆ่าเชื้อ คงเหลือคลอรีนในระบบ ประกอบกับ การบำรุงรักษา (O&M) และ การสื่อสารกับผู้ใช้น้ำ อย่างต่อเนื่อง

  1. แหล่งน้ำ หากแหล่งน้ำผิวดิน “มีความขุ่นสูง/ไหลผ่านพื้นที่กิจกรรมเสี่ยง” ต้องมี กระบวนการตกตะกอน กรอง ที่เพียงพอ และ จุดจ่ายคลอรีน ที่ควบคุมได้ ส่วน บาดาล ประปาภูเขา แม้เสถียรกว่า แต่ยังต้องเฝ้าระวัง โลหะหนัก จุลชีพ ตามรอบ
  2. การปรับปรุงคุณภาพ สารส้ม ช่วยจับตะกอน ลดความขุ่น และ คลอรีน ฆ่าเชื้อ แต่ ปริมาณ จุดใส่ ระยะเวลาสัมผัส ต้องพอเหมาะ การ “ใส่น้อยเพราะกลิ่น” ทำให้ฆ่าเชื้อไม่ครบและลด “ความมั่นใจ” ของระบบทั้งสาย
  3. คลอรีนคงเหลือปลายท่อ หลักสุขาภิบาลเน้นให้ มีคลอรีนคงเหลือ ปลายระบบเพื่อความปลอดภัยในท่อจ่าย—ตรงนี้ต้อง สื่อสารกับชุมชน ว่ากลิ่นคลอรีน “เล็กน้อย” คือ เกราะป้องกัน ที่ทำให้น้ำ ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
  4. เครื่องมือ คน งบ ประปาหมู่บ้านจำนวนมาก “ทำได้” หากได้รับ งบย่อยเพื่อปรับปรุงไม่น้อย (เช่น ระบบตกตะกอน/กรองพื้นฐาน, ปั๊ม ท่อ, ตู้ควบคุมคลอรีน) ควบคู่กับ การอบรมผู้ดูแลระบบ และ คู่มือ O&M แบบง่าย

การ “วางต้นแบบ” 2–3 แห่งที่ อบจ. จะทำร่วมกับ อว. จึงเป็น ทางเดินที่เหมาะ เพื่อ พิสูจน์แนวทาง งบประมาณ ขีดความสามารถชุมชน ก่อนขยายผลสู่เครือข่ายหมู่บ้านอื่น ๆ

โรดแมป “เชิงบูรณาการ” ทำทันที ทำระยะกลาง ทำยั่งยืน

ทำทันที (1–4 สัปดาห์)

  • เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง (คพ. + สธ. + ท้องถิ่น) พร้อม เผยแพร่ผลเป็นรายจุด บนแพลตฟอร์มสาธารณะ
  • ตั้งจุดแจกน้ำสะอาดชั่วคราว/น้ำบรรจุภาชนะ ในพื้นที่ที่ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” หรือยังอยู่ระหว่างปรับปรุง
  • ใส่คลอรีน ควบคุมความขุ่น ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ พร้อม สื่อสารเรื่อง “กลิ่นคลอรีน” ให้เข้าใจร่วมกัน
  • ตั้งฮอตไลน์ จุดร้องเรียน และ คณะทำงานร่วมชุมชน เพื่อติดตามการแก้ไขแบบ day-by-day

ทำระยะกลาง (1–6 เดือน)

  • ต้นแบบประปามาตรฐาน 2–3 แห่ง ร่วม อว. พร้อม คู่มือ O&M และ โปรแกรมอบรมผู้ดูแลระบบ
  • โครงข่ายเซ็นเซอร์ชุมชน (ชุดตรวจความขุ่น/ชุดทดสอบภาคสนาม) รายงานผล ผ่านบอร์ดชุมชน + ออนไลน์ เพื่อสร้าง “การเฝ้าระวังร่วม”
  • เดินหน้าโครงข่ายท่อหนองไคร้คราง   สันไทรงาม และออกแบบระบบทดแทน บ้านริมกก บ้านเมืองงิม
  • สำรวจแหล่งน้ำสำรอง (บาดาล/อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก/ฝาย) ในรัศมีใช้งานได้จริง เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทำยั่งยืน (6–24 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐานประปาหมู่บ้านทั้งจังหวัด (จัดงบย่อย “กองทุนยกระดับระบบน้ำอุปโภค–บริโภค”)
  • เปิดข้อมูลคุณภาพน้ำแบบถาวร (แดชบอร์ดสาธารณะ) จาก ทน.–คพ.–สธ.–อบจ.–ท้องถิ่น
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน จัดทำ กรอบหารือด้านสิ่งแวดล้อมลำน้ำกก ร่วมหน่วยงานเมียนมา (ประเด็นเหมือง ของเสีย มาตรการกันตะกอน)
  • รณรงค์เกษตรปลอดการปนเปื้อน (ลดใช้สารเคมี/แนวกันชนริมน้ำ) เพื่อ ตัดต้นตอ “สารลงน้ำ” เชิงระบบ

คำถามปลายข่าวที่สังคมควรถามร่วมกัน

  1. ข้อมูล–ความโปร่งใส ผลตรวจทั้ง 18 หมู่บ้าน จะเผยแพร่ เมื่อใด–รูปแบบใด ให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง
  2. มาตรการชั่วคราว พื้นที่ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” จะได้รับ น้ำสะอาดทดแทน อย่างไร และใครรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  3. มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ต้นแบบ 2–3 แห่ง จะ ขยายผลทั่วจังหวัด ด้วย งบ–คน–ระยะเวลา อย่างไร
  4. ต้นน้ำระหว่างประเทศ ไทยจะเดินหน้า หารือเมียนมา เรื่องแหล่งกำเนิดมลพิษในลำน้ำกก เมื่อใด–อย่างไร–และใครเป็นเจ้าภาพ

คำถามเหล่านี้คือ “ตัวชี้วัด” ว่าการแก้ปัญหาจะไม่หยุดอยู่ที่ข่าว แต่ เดินต่อ ไปสู่ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เสียงจากพื้นที่–เสียงจากรัฐ จุดร่วมคือ “ความปลอดภัยของคนเชียงราย”

  • ชุมชน ต้องการน้ำที่ ดื่ม กิน ใช้ ได้อย่าง ไร้กังวล และต้องการทราบ ความเสี่ยงจริง แผนสำรอง ช่องทางช่วยเหลือ ที่ชัดเจน
  • ท้องถิ่น (อบจ.–อปท.) ต้องการ งบย่อย–องค์ความรู้–เครื่องมือ เพื่อปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน ในต้นทุนที่ประชาชนรับได้
  • หน่วยงานรัฐส่วนกลาง (ทน.–คพ.–สธ.) เร่ง ตรวจ–วิเคราะห์–ประสานแหล่งน้ำทดแทน และพัฒนา ระบบข้อมูลเปิด ให้ตรวจสอบได้
  • มิติต้นน้ำ–ข้ามแดน ต้องการ กรอบความร่วมมือ ที่ต่อเนื่อง เพื่อให้ “เหตุ–ปัจจัย” ไม่ย้อนกลับมาเป็นปมซ้ำ

จุดร่วม ของทุกฝ่ายคือ ความปลอดภัยของคนเชียงราย และ ศักดิ์ศรีของลุ่มน้ำกก ที่ต้องคงความอุดมสมบูรณ์—นี่คือเดิมพันที่สูงกว่า “ตัวเลขในใบรายงาน” และต้องชนะด้วย มาตรฐาน–สื่อสาร–และการลงมือทำอย่างโปร่งใส

ยกระดับด้วยมาตรฐาน–ยั่งยืนด้วยความร่วมมือ

กรณี “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” ทำให้เราเห็นภาพ กลไกฉุกเฉิน ของภาครัฐที่ “ติดเครื่องไว” ทั้งการสำรวจ 45 แห่ง การแก้ไขจุดต่ำมาตรฐาน 3 แห่ง การส่งทีม คพ. ตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง และการหาแหล่งน้ำทดแทน วางระบบกระจายน้ำใหม่ ขณะเดียวกัน “เสียงจริงจากพื้นที่” ช่วยเปิดโปง คอขวดเชิงระบบ ของประปาหมู่บ้าน—ตั้งแต่วิธีคิดเรื่องคลอรีนที่ “ไม่เป็นมิตรต่อจมูก” จนกลายเป็น “ไม่เป็นมิตรต่อสุขอนามัย”—ไปจนถึงโจทย์ต้นน้ำต่างแดน

คำตอบของจังหวัดจึงไม่ใช่ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง” แต่คือ ทำทั้งหมด” ในจังหวะที่เหมาะสม ตรวจให้เร็ว ช่วยให้ทัน ปรับระบบให้ผ่านมาตรฐาน เปิดข้อมูลให้ตรวจสอบ และเชื่อมมือกับเพื่อนบ้านให้เหตุ ปัจจัยถูกแก้ที่ต้นทาง หากทำได้ครบ “ความเชื่อมั่น” จะกลับมา ท่ามกลางฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีที่เชียงรายหวังให้ เมืองสุขภาพ–เมืองแห่งสายน้ำ” กลับมาสมชื่อ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) / สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จังหวัดเชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ทส.)
  • Mekong River Commission (MRC) – Water Quality Monitoring Network (WQMN)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก พบ “สารตะกั่วเกินมาตรฐาน” 18 หมู่บ้าน กปภ. ทุ่ม 2 พันล้านย้ายแหล่งน้ำดิบ

น้ำกกปนเปื้อนตะกั่ว” ลุกลาม 18 หมู่บ้าน กปภ.ทุ่ม 2 พันล้านย้ายแหล่งน้ำดิบ—ตั้งคำถามย้ายไปใช้น้ำโขง ปลอดภัยจริงหรือไม่? จังหวัดเร่งวางแผนสำรอง–ชุมชนท่องเที่ยวต้นน้ำขาดทุนทะลุล้าน

เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — วิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกขยับจาก “สัญญาณเตือน” สู่ “ภาวะต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด” เมื่อ ผลตรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการพบ สารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน ใน ประปาหมู่บ้าน 18 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอเมือง เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน ขณะที่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ประกาศแผนแก้ปัญหาระยะยาว วงเงินรวมกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อ “ย้ายแหล่งน้ำดิบ” ออกจากพื้นที่เสี่ยง โดยโครงการหลักแบ่งเป็น สายแม่สาย (ย้ายไปใช้น้ำดิบจากแม่น้ำโขง ผลิตน้ำที่ อ.เชียงแสน งบประมาณ 916 ล้านบาท คาดเสร็จปี 2570) และ สายเชียงราย (เปลี่ยนไปใช้น้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว งบประมาณที่เตรียมเสนอ 1,000 ล้านบาท ในปีงบฯ 2571)

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจ “ย้ายไปใช้น้ำโขง” จุดกระแสคำถามตามมา เนื่องจาก ข้อมูลคุณภาพน้ำบางช่วงจากกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เคยชี้ถึงการพบ โลหะหนักเกินมาตรฐาน บางตัวในแม่น้ำโขง “ต่อเนื่องในบางช่วงเวลา” ส่งผลให้ภาคประชาชน–ผู้ประกอบการ–ชุมชนริมโขงกังวลว่า การเปลี่ยนแหล่งน้ำ อาจ “ย้ายปัญหา” มากกว่าจะ “ยุติปัญหา” ทว่า ฝ่ายจังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้ำว่า มีแผนสำรอง โดยเตรียม ต่อท่อสู่น้ำดิบจากแม่น้ำคำ ซึ่ง กรมชลประทาน ได้งบประมาณก่อสร้าง อ่างเก็บน้ำใหม่ แล้ว และเมื่อโครงการของ กปภ. เชื่อมต่อน้ำดิบจากแหล่งใหม่เสร็จ จะสามารถ ขยายพื้นที่บริการ ให้ครอบคลุมชุมชนตามแนวท่อส่งน้ำได้ทันที

ข้อมูลทางสถิติและคุณภาพน้ำ

  • ผลการตรวจพบสารตะกั่วเกินมาตรฐาน: 18 หมู่บ้าน (ตุลาคม 2568)
  • แนวโน้มการเพิ่มขึ้น: มิถุนายน 2568 = 4 หมู่บ้าน → กรกฎาคม 2568 = 6 หมู่บ้าน → ตุลาคม 2568 = 18 หมู่บ้าน
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ (ผู้ประกอบการ 10 ราย): สูญเสีย 1,006,090 บาท (ปี 2568)
  • จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดในช่วงสงกรานต์: 12,000 คนต่อวัน
  • งบประมาณโครงการแก้ไข: 2,000 ล้านบาท (2 โครงการ)

 

ชีวิตที่ถูกคร่าด้วยสารตะกั่ว วิกฤตน้ำประปา 18 หมู่บ้านเชียงราย ต้นเหตุปัญหาและการเปิดเผยครั้งแรก

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 สถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้ถูกแสงสว่างเปิดเผยต่อสาธารณชน หลังจากนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อมูลผลการตรวจน้ำประปาหมู่บ้านริมแม่น้ำกกที่ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ผลการตรวจพบว่าน้ำประปา 18 หมู่บ้านมีสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่กลายเป็นระเนาะระนาดในวงการสาธารณะ

ความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย สารตะกั่วที่ปะปนอยู่ในน้ำที่ผู้คนใช้ในกิจกรรมประจำวันของพวกเขา เช่น การแปรงฟัน ล้างหน้า และล้างอาหาร ถือเป็นภัยอนัตรายต่อระบบประสาท ระบบหลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของรางกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ ที่ความเสี่ยงต่อการสะสมสารตะกั่วในร่างกายจะสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่

หมู่บ้านที่ประสบปัญหาครอบคลุมเขตพื้นที่กว้างใหญ่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย รวมถึง หมู่ 2, 3, 4 ตำบลแม่ยาว และหมู่ 3, 4 ตำบลดอยฮาง ในอำเภอเมือง ตลอดจนหมู่บ้านในตำบลรอบเวียง ตำบลเวียงเหนือ ตำบลดงมหาวัน ตำบลท่าข้าวเปลือก ตำบลหนองป่าก่อ และตำบลศรีดอนมูล ที่ท่ืดเดินเข้าไปในอำเภออื่นๆ เช่น เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน

ความร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นทีละเดือน สัญญาณเตือนที่ไม่ได้ยินสะท้อน

สิ่งที่น่าวิตกกังวลยิ่งกว่านั้น คือการที่จำนวนหมู่บ้านที่พบปัญหาสารตะกั่วเกินมาตรฐานไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ในเดือนมิถุนายน 2568 มีเพียง 4 หมู่บ้านที่มีค่าสารตะกั่วเกินมาตรฐาน แต่ถึงเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน ตัวเลขนี้ได้ทวีเท่าตัวเป็น 6 หมู่บ้าน และเมื่อถึงเดือนตุลาคม จำนวนนี้ได้พุ่งขึ้นไปถึง 18 หมู่บ้าน

แนวโน้มการเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปของปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความลึกซึ้งของสถานการณ์ที่มีอยู่ภายใต้พื้นผิว มันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่เป็นปัญหาที่ค่อยๆ ก้าวหน้าไปโดยระบบสาธารณสุขและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะกำลังสวมหน้ากากว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ โจมตีการไม่ทำหน้าที่ของภาครัฐว่า “รัฐมนตรีและหลายหน่วยงาน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำกกไม่ปนเปื้อนและสารหนูต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว ตรวจไม่พบสารหนูแล้ว โดยคำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจในปัญหาอย่างชัดเจน” เขาเน้นว่าประชาชนในพื้นที่กำลังใช้น้ำเป็นพิษในการแปรงฟัน ล้างหน้า ล้างผัก ล้างอาหารและภาชนะที่จะใช้รับประทาน โดยที่ภาครัฐไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ผลตรวจก็กองวางอยู่ตรงหน้า

แผนแก้ไขระยะยาวของ กปภ. ทุ่ม 2 พันล้านบาท ย้ายแหล่งน้ำดิบ

การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้ตอบสนองต่อวิกฤตการณ์นี้ด้วยแผนการแก้ไขปัญหาอย่างกว้างขวาง โดยนายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. เปิดเผยว่า องค์กรได้วางแผนลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในสองโครงการหลักเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำดิบปนเปื้อนในระยะยาว

โครงการที่หนึ่ง กปภ. สาขาแม่สาย

กปภ. สาขาแม่สายได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างสถานีผลิตน้ำประปาแห่งใหม่ที่อำเภอเชียงแสน ด้วยงบประมาณลงทุน 916.094 ล้านบาท โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก โดยการเปลี่ยนมาใช้น้ำดิบจากแม่น้ำโขงแทน ปัจจุบัน สถานีผลิตน้ำแห่งใหม่นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 (พ.ศ. 2570) และจะส่งน้ำประปาไปยังอำเภอแม่จัน อำเภอห้วยไคร้ และอำเภอแม่สาย ซึ่งจะสามารถให้บริการประชาชนได้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันและรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต

โครงการที่สอง กปภ. สาขาเชียงราย

สำหรับ กปภ. สาขาเชียงราย ซึ่งปัจจุบันใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกก องค์กรได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้แหล่งน้ำใหม่เพื่อลดความเสี่ยง โดยการประสานกับกรมชลประทานเพื่อขอใช้น้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ที่ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ลาว โครงการนี้จะมีการก่อสร้างสถานีผลิตน้ำแห่งใหม่เพื่อส่งน้ำประปามายังตัวเมืองเชียงราย และคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล โดยคาดหวังว่าจะเสนองบประมาณในปีงบประมาณ 2571

ข้อกังวลใหม่ แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่แท้จริงหรือ?

อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ไขของ กปภ. กลับเพิ่งเกิดวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะผลการตรวจคุณภาพน้ำของกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ได้พบว่าแม่น้ำโขง ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งน้ำดิบใหม่ของ กปภ. นั้น ก็มีสารโลหะหนักปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง

ความขัดแย้งนี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มลพิษในแม่น้ำกดมิใช่เพียงปัญหาในท้องถิ่น แต่เป็นอาการของวิกฤตน้ำในวงกว้างที่ขยายทั่วพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ปัญหาการปนเปื้อนของสารโลหะหนักเกินมาตรฐานในแม่น้ำโขงนั้นมีพื้นฐานมาจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นจากเหมืองในประเทศพม่า ที่อยู่เหนือขึ้นไปในแม่น้ำโขง หรือจากกิจกรรมอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำ

แผนสำรองและแนวทางการป้องกันของจังหวัด

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เข้ามาชี้แจงเรื่องการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงว่า กปภ. ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว โดยจะมีการต่อท่อไปยังแหล่งน้ำดิบในแม่น้ำคำ ซึ่งกรมชลประทานได้รับการอนุมัติงบประมาณสำหรับสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่แล้ว แม้ว่ากำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการนี้ยังไม่ชัดเจน

สำหรับปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วในน้ำประปาชุมชน (นอกพื้นที่บริการของ กปภ.) รองผู้ว่าราชการกล่าวว่าได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเข้าตรวจและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำทุกเดือน และจะเข้าไปดูแลแก้ไขทันที นอกจากนี้ เมื่อโครงการเชื่อมต่อน้ำดิบจากแหล่งใหม่ของ กปภ. แล้วเสร็จ จะสามารถขยายพื้นที่บริการไปยังชุมชนต่างๆ ตามแนวท่อส่งน้ำได้ทันที

นายจักรพงษ์ ผู้ว่าการ กปภ. ยืนยันว่าแม้ว่าน้ำดิบจะมีสารปนเปื้อน แต่ กปภ. สามารถผลิตน้ำประปาและควบคุมคุณภาพน้ำเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ โดยได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการกำจัดสารปนเปื้อนและปรับปรุงคุณภาพน้ำ พร้อมทั้งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ

วิกฤตเศรษฐกิจขนานไป ชุมชนท่าตอนพังยับ

นอกเหนือจากความเสี่ยงต่อสุขภาพ วิกฤตการณ์แม่น้ำกกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงต่อชุมชนท้องถิ่นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบ้านแก่งทรายมูล ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เคยเป็นตัวจุดโฟกัสของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ข้อมูลจากการสำรวจของมูลนิธิร่มโพธิ์ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยถึงระดับความเสียหายที่แท้จริง ในปี 2567 ผู้ประกอบการ 10 ราย ในชุมชนบ้านแก่งทรายมูล มีจำนวนซุ้มอาหารรวม 214 ซุ้ม ทำให้เกิดรายได้รวม 2,902,450 บาท หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (ค่าจ้างทำซุ้ม วัสดุอุปกรณ์ พนักงาน แม่ครัว ค่าเช่าสถานที่ ค่าซื้อของเข้าร้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) จำนวน 2,109,432 บาท พวกเขายังคงมีกำไรถึง 947,000 บาท

แต่สถานการณ์พลิกแพลงอย่างมหาวิบัติเมื่อวิกฤตการณ์ปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกิดขึ้น ในปี 2568 จำนวนซุ้มลดลงเหลือเพียง 170 ซุ้ม ต้นทุนรวมยังคงอยู่ที่ 1,120,090 บาท แต่รายได้จากการขายของลดลงโหรดน้อยเหลือแค่ 114,000 บาท ผลสุดท้าย ผู้ประกอบการเหล่านี้ประสบภาวะขาดทุนถึง 1,006,090 บาท ในปีเดียว

ตัวเลขนี้ยังเป็นเพียงตัวอย่างจากผู้ประกอบการ 10 รายในจุดเดียวเท่านั้น ถ้าคำนวณรวมทั้งพื้นที่อำเภอแม่อายที่มีจุดทำซุ้มอาหารเกือบ 4 จุด มีผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 150 ราย มูลค่าความเสียหายที่รวบรวมได้นี้คิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในอำเภอแม่อาย สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าความเสียหายจริงนั้นสูงกว่าตัวเลขอย่างมาก

ทำลายห่วงโซ่เศรษฐกิจที่สร้างมาหลายสิบปี

บ้านแก่งทรายมูล เคยเป็นสถานที่ที่หลั่งไหลไปด้วยชีวิต โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาล เพราะเสน่ห์ของธรรมชาติลำน้ำกกที่ร่มรื่นสวยงาม แง่งหิน และน้ำใสไหลเย็น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ แม่น้ำกกจะกลายเป็นแหล่งรวมตัวของมนุษย์จากหลายพื้นที่ เคยมีนักท่องเที่ยวสูงสุดถึง 12,000 คนต่อวัน

ห่วงโซ่เศรษฐกิจของชุมชนที่สร้างขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 2510 ครอบคลุมผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการร้านอาหารและซุ้มอาหาร แต่ยังรวมถึงผู้ขายวัสดุทำซุ้ม แรงงาน พนักงานเสิร์ฟ แม่ครัว ผู้ค้าเล็กน้อย แม่ค้าเร่ และแม่นายจ้างที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีเด็กนักเรียนที่ได้ประกอบอาชีพในหน้าซุ้มเป็นรายได้เสริมในช่วงวันหยุดเทศกาล

แต่ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านไม่กล้าลงน้ำ ใช้น้ำ หรือหาปลาในแม่น้ำกก ความเสน่ห์ที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลั่งไหลเข้าสู่ท่าตอนหายไปเสีย นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเกือบทั้งหมด และภาพลักษณ์การท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของพื้นที่ก็หายไปพร้อมกัน

เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง

ปัญหาที่ผ่านเข้ามาแล้ว เหลือเพียงคำถามเดียวที่หลายผู้ประกอบการ หลายครอบครัวในชุมชนต่างหวังจะฟัง ใครจะเข้ามาช่วยเหลือ? ทางมูลนิธิร่มโพธิ์ และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้กำลังดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างละเอียด

ห้องเรียนองค์กรเหล่านี้เตรียมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว เสียงเรียกร้องความเป็นธรรมและความช่วยเหลือเหล่านี้ยังคงอยู่ในห้องอพยพของการไม่ได้ยินในวงการราชการ

สถานการณ์น้ำประปา 18 หมู่บ้านปนเปื้อนสารตะกั่วในเชียงรายนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคเกี่ยวกับคุณภาพน้ำดิบ แต่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจท้องถิ่นที่กำลังทรุดโทรมอยู่ เราต้องรอดูว่าระบบราชการจะเดินหน้าหรือล่มสลายในการจัดการวิกฤตการณ์ที่ชีวิตของมนุษย์กำลังหันคว่ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงสาธารณสุข (ผลการตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน)
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) – แผนแก้ไขปัญหาระยะยาวและระยะเร่งด่วน
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (ผลการตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • กรมชลประทาน (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว)
  • สำนักราชการจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิร่มโพธิ์ (การสำรวจความเสียหายทางเศรษฐกิจ)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต (การสำรวจความเสียหายทางเศรษฐกิจ)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ผ่านอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร)
  • นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ (ผู้เปิดเผยปัญหา)
  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยืนยันความปลอดภัย แม้น้ำปนเปื้อนเล็กน้อย ผลตรวจเลือดนักโทษเชียงรายไม่พบสารพิษ

เรือนจำกลางเชียงรายชี้แจงผลตรวจเลือดผู้ต้องขัง “ไม่พบโลหะหนักตกค้าง” แม้ตรวจพบน้ำใช้มีสารตะกั่วเกินมาตรฐาน เดินหน้าวางมาตรการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 –  กระแสความกังวลต่อคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงรายยังคงเป็นประเด็นร้อนแรง ล่าสุด นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน กรณีสื่อออนไลน์บางสำนักนำเสนอข่าวถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดกับผู้ต้องขังภายในเรือนจำ จากการบริโภคน้ำที่อาจปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะสารตะกั่ว ซึ่งเป็นอันตรายหากสะสมในร่างกาย

กระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวด – ผลตรวจเลือดชี้ชัด “ปลอดภัย”

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เปิดเผยว่าหลังจากได้รับทราบข้อกังวลดังกล่าว ทางเรือนจำมิได้นิ่งนอนใจ โดยได้ประสานงานกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย เพื่อดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำประปาภายในเรือนจำส่งตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบล่าสุดพบว่าน้ำประปาที่ใช้มีสารตะกั่วปนเปื้อนในระดับ 0.011-0.015 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร

เนื่องจากเรือนจำกลางเชียงรายตั้งอยู่นอกเขตบริการของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย จึงต้องผลิตน้ำประปาใช้เอง ซึ่งเมื่อผลตรวจคุณภาพน้ำบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในระดับดังกล่าว ทางเรือนจำได้เดินหน้าอย่างเร่งด่วนในการตรวจสุขภาพผู้ต้องขัง โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเรือนจำและใช้ชีวิตกับน้ำจากแหล่งเดียวกันมาเป็นเวลานาน

ผลตรวจเลือด “สุ่มตัวอย่างผู้ต้องขัง 3 ราย” ครอบคลุมผู้ที่อยู่ในเรือนจำ 3 ปี, 5 ปี และ 10 ปี

เพื่อความโปร่งใสและอ้างอิงตามหลักวิชาการ เรือนจำกลางเชียงรายได้ส่งตัวอย่างเลือดของผู้ต้องขัง 3 ราย ซึ่งมีประวัติอยู่ในเรือนจำยาวนานแตกต่างกัน (3 ปี, 5 ปี, 10 ปี) และบริโภคน้ำประปาจากแหล่งเดียวกัน ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของเชียงรายแลปคลินิก ผลการตรวจเลือดระบุชัดเจนว่า “ไม่พบสารตะกั่วหรือสารหนูตกค้างในร่างกาย” ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ยังไม่พบอาการป่วยหรือผิดปกติในผู้ต้องขัง – พร้อมยกระดับมาตรการเฝ้าระวัง

ขณะเดียวกัน สถานพยาบาลภายในเรือนจำยังคงเฝ้าระวังและตรวจตราสุขภาพผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ต้องขังรายใดมีอาการผิดปกติหรือแสดงอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับการได้รับสารโลหะหนักจากน้ำประปาที่ใช้

มาตรการป้องกันและแก้ไขระยะยาว – ย้ำความสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัย

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ย้ำว่าทางเรือนจำให้ความสำคัญสูงสุดต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ต้องขังในความดูแล และพร้อมเดินหน้าดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการหาทางปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาในเรือนจำให้ได้มาตรฐาน ปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมกระบวนการกรองน้ำ เพิ่มการสุ่มตรวจและรายงานผลตรวจอย่างสม่ำเสมอ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขและสร้างความมั่นใจแก่ผู้ต้องขัง ญาติผู้ต้องขัง และประชาชนโดยรวม

บทวิเคราะห์

กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของมาตรการเฝ้าระวังและความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับปัญหาคุณภาพน้ำที่กระทบประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ต้องขัง การดำเนินการอย่างรวดเร็วในการตรวจสอบและเปิดเผยผลตรวจต่อสาธารณชน คือกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของสังคม ขณะเดียวกัน ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำสะอาดในพื้นที่ที่อยู่นอกระบบประปาหลัก เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เชียงรายแลปคลินิก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เหนือรับมือฝน! รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งเข้มคุณภาพน้ำ-กันอุทกภัย

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ” ลงพื้นที่ภาคเหนือ สั่งการเข้มทุกหน่วย แก้ปัญหาคุณภาพน้ำ-ป้องกันอุทกภัย ชูแผนบูรณาการข้ามจังหวัดและประชาสัมพันธ์โปร่งใส

เชียงใหม่, 16 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ภายใต้ความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดสำคัญ โดยเฉพาะเชียงราย เชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำภาคเหนือ

การประชุมติดตามสถานการณ์ – ผนึกกำลังวางแผนรับมือแบบรอบด้าน

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และมาตรการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งสาม ได้แก่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร (เชียงใหม่) นายชรินทร์ ทองสุข (เชียงราย) และนายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ (ลำพูน) ร่วมรายงานสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติ ผ่านการประชุม ณ สำนักงานชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่

ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ ได้ร่วมกันนำเสนอผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม–กันยายน ขณะที่ จ.ลำพูน อาจเผชิญน้ำท่วมในเดือนตุลาคม

ข้อสั่งการของรัฐบาล – ย้ำ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ดูแลประชาชนถึงรากหญ้า”

นายประเสริฐฯ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ระบุชัดว่ารัฐบาลตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสารหนูและโลหะหนักที่ตรวจพบในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในจุดเสี่ยง เผยแพร่ข้อมูลผลตรวจวัดคุณภาพน้ำและความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีระบบเตือนภัยด้านคุณภาพน้ำที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์

นอกจากนี้ ให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างครอบคลุม โดยเน้นการคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนัก พร้อมติดตามผลในระยะยาว ส่วนการประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมน้ำดื่มสะอาดสำรอง วางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบคุณภาพดี และพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยงอย่างยั่งยืน

กรมทรัพยากรน้ำได้รับมอบหมายให้เร่งสำรวจ ออกแบบจุดชะลอน้ำและฝายดักตะกอนตามแผนงานเดิม โดยให้รับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินแห่งใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการ ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งประเมินและเยียวยาผลกระทบทั้งในภาคเกษตรและการท่องเที่ยว พร้อมแนะแนวทางปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ

รับมือฝนใหญ่–แผนป้องกันอุทกภัยเต็มพิกัด

สทนช. คาดการณ์ฤดูฝนปีนี้ พื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่และเชียงราย จะมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายน ขณะที่ลำพูนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องถึงตุลาคม รองนายกรัฐมนตรีประเสริฐ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดโครงการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำปิง และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร และระบบสนับสนุนเผชิญเหตุให้ทันต่อสถานการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน

พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดบูรณาการข้อมูลและเร่งประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำแก่ประชาชนในพื้นที่แบบโปร่งใส ทั่วถึงและทันเหตุการณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เร่งตรวจสอบและลงพื้นที่–ประชาชนต้องได้รับผลลัพธ์ชัดเจน

หลังเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกฯ ได้นำคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำปิง บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชนท้องถิ่นโดยตรง

วิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำและอุทกภัยในภาคเหนือแบบองค์รวม ด้วยการผนึกกำลังหลายหน่วยงาน ขับเคลื่อนการบูรณาการนโยบายและข้อมูลทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลาง การประชาสัมพันธ์ที่โปร่งใส และการรับฟังประชาชนในทุกมิติ จะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงราย รับมือน้ำท่วมปี 68 ผู้ว่าฯ นำทัพเตรียมพร้อมเต็มสูบ

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำทีมร่วมประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยฤดูฝน 2568 และติดตามแผนฝึกซ้อมเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องภัยพิบัติทางน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุทกภัยที่มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำรอยในหลายพื้นที่ ตามประวัติศาสตร์เหตุการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ขับเคลื่อนการประชุมระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

วางโครงสร้างบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ – มาตรการเชิงรุก

การประชุมครั้งสำคัญนี้ จัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหัวหน้าส่วนราชการจากส่วนกลางและภูมิภาคร่วมประชุมผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังจังหวัดที่มีความเสี่ยงอุทกภัยทั่วประเทศ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมจากห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างละเอียด โดยจังหวัดเชียงรายมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก 126 แห่ง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเฉลี่ย 53.29% ของความจุรวม 190.842 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังบริหารจัดการได้ตามแผน Rule Curve นอกจากนี้ จังหวัดยังเร่งดำเนินโครงการขุดลอกตะกอนดินในอ่างเก็บน้ำ แก้มลิง และหน้าฝายทดน้ำ เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำหลาก มีปริมาณดินขุดรวมกว่า 5 ล้านลูกบาศก์เมตร

ยกระดับระบบเตือนภัย–เครือข่ายภาคประชาชน

เชียงรายได้ลงทุนติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 4 จุด ในพื้นที่แม่สาย และมีแผนติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับน้ำ (STAFF GAUGE) อีก 21 จุด ตลอดแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ควบคู่กับการอบรมเครือข่ายประชาชนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมศักยภาพการแจ้งเตือนภัยและประสานข้อมูลในภาวะฉุกเฉินอย่างทั่วถึง

สำหรับการฝึกซ้อมตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดจัดการฝึก Table Top Exercise (TTX) และฝึกปฏิบัติจริง (Field Exercise) ในพื้นที่แม่สายและชุมชนริมแม่น้ำกก รวม 3 กิจกรรมใหญ่ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตลอดจนเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลหนัก รถดูดเลน เครื่องสูบน้ำ และกำลังพลประจำจุดเสี่ยงทุกอำเภอ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญเฝ้าระวังพื้นที่สำคัญอย่างโรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สนามบิน และสถานีผลิตไฟฟ้า

ชูบทบาทการสื่อสารข้อมูลจริง – คลายกังวลปัญหาสารปนเปื้อนน้ำกก

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า จังหวัดเชียงรายยังต้องเผชิญปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) ที่ไหลลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ได้ประสานเจรจากับรัฐบาลเมียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกเชิงระบบและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว พร้อมเน้นการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างชัดเจนและครบถ้วน เพื่อลดความตื่นตระหนกและสร้างศักยภาพในการป้องกันตนเองจากสารปนเปื้อน

การมีส่วนร่วมของชุมชน–กุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความพร้อมด้านบริหารจัดการภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างข้อมูล สาธารณูปโภค หรือเครือข่ายความร่วมมือจากภาคประชาชน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับจังหวัด ทั้งยังได้เน้นย้ำเรื่องแผนซ้อมและการกระจายข้อมูลจริงที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมศักยภาพในการเผชิญเหตุและลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากมาตรการต่าง ๆ ที่จังหวัดเชียงรายร่วมกับส่วนกลางกำลังดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ เตรียมพื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย การบูรณาการข้อมูล และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ล้วนเป็นรากฐานสำคัญในการปกป้องประชาชนจากภัยธรรมชาติและสร้างความมั่นใจในคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถลดผลกระทบและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในฤดูฝนนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.)
  • ศูนย์ข้อมูลข่าวสารจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำและแผนบริหารจัดการน้ำจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มฟล.สร้างเครือข่าย ชวนชุมชนเฝ้าระวังน้ำ-เกษตรอินทรีย์ ในเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงผนึกเทศบาลนครเชียงราย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ รับมือมลพิษแม่น้ำกก สู่การดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางวิกฤตปัญหามลพิษและโลหะหนักในแม่น้ำกก ที่ยังเป็นปมร้อนต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ภาคีภาครัฐและสถาบันการศึกษาชั้นนำในท้องถิ่นเดินหน้ารุกหนักสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นำโดยศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ที่ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำชุมชน (กรณีศึกษามลพิษแม่น้ำกก)” ณ ศูนย์การเรียนรู้เชียงรายเมืองอาหารปลอดภัย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568

สร้างองค์ความรู้-เสริมทักษะคนท้องถิ่น สู้ภัยมลพิษน้ำ

การอบรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “เกษตรปลอดภัยด้วยวิทยาศาสตร์พลเมือง” ที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคประชาสังคม มุ่งสร้างเครือข่ายประชาชนที่มีทักษะในการติดตาม ตรวจสอบ และจัดการปัญหามลพิษทางน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะประเด็นการปนเปื้อนของโลหะหนักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของประชาชนในเขตลุ่มน้ำกก

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก พ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วย รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มฟล. ที่กล่าวต้อนรับและเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์ของกิจกรรม วางกรอบการอบรมให้เน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

ลงลึก 5 หัวใจสำคัญ ฝึกทักษะเฝ้าระวัง-จัดการน้ำเสีย

เนื้อหาหลักสูตรแบ่งเป็น 5 ช่วงสำคัญ ได้แก่

  1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารพิษในน้ำ ให้ชุมชนเข้าใจถึงภัยเงียบที่แฝงมากับสายน้ำ
  2. ฝึกปฏิบัติเครื่องมือเฝ้าระวัง ชี้แนะการใช้ test kit และอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในท้องถิ่น
  3. การประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่าย ถ่ายทอดเทคโนโลยีภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การกรองสารพิษเบื้องต้น
  4. การเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ปนเปื้อน สอนแนวทางปรับวิธีการผลิต ลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
  5. การสร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังที่ยั่งยืน เสริมพลังให้ชุมชนร่วมกันติดตาม แจ้งเตือน และส่งต่อข้อมูลสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศแลกเปลี่ยนความรู้เชิงลึก

งานอบรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้จากคณาจารย์และนักวิจัยชั้นนำจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและสถาบันพันธมิตร อาทิ

  • ผศ.ดร.อภิสม อินทรลาวัณย์ สำนักวิชาการจัดการ บรรยายภาพรวมสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รศ.ดร.โกวิทย์ นามบุญมี สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ อธิบายผลกระทบของโลหะหนักต่อสุขภาพ
  • ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ให้แนวทางลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
  • ผศ.ดร.ธรากร มณีรัตน์ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์แนวทางปรับปรุงคุณภาพดินและน้ำสำหรับการปลูกพืชสมุนไพร
  • ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ จากทีมวิจัย BIOTEC/สวทช. เสนอแนวคิดเสริมศักยภาพของพืชสมุนไพรทนพิษ เช่น ฟ้าทะลายโจร

ตลอดทั้งวัน นอกจากการบรรยายแล้วยังมีการฝึกปฏิบัติจริง การทดลองใช้อุปกรณ์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงจากเกษตรกรและเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ ถือเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ร่วมที่ชูบทบาทของชุมชนเป็นศูนย์กลาง

ก้าวสำคัญสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก

ผลจากกิจกรรมอบรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มทักษะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย “นักวิทยาศาสตร์พลเมือง” ที่จะมีส่วนร่วมตรวจสอบ ติดตาม แจ้งเตือน และผลักดันให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดในอนาคต

การทำงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับเทศบาลนครเชียงราย และภาคีเครือข่ายท้องถิ่น เป็นตัวอย่างการสร้างพลังสังคมเพื่อแก้ไขวิกฤตน้ำและสุขภาวะชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งยังตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาพประชาชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักวิชาการจัดการ/สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News