Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมา จับมือแก้ปัญหา สารพิษที่เกิดใน “แม่น้ำกก”

ไทย-เมียนมาร่วมมือแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารเคมี การประปาฯ ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์การปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก อันเป็นผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ประเทศเมียนมาใกล้พรมแดนไทย การประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 ออกมายืนยันความมั่นใจในคุณภาพน้ำประปาว่ายังคงปลอดภัยต่อการบริโภค พร้อมทั้งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอย่างเข้มข้น

ต้นเหตุของความกังวล เหมืองแร่ทองคำในเมียนมา

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหลผ่านหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยมีจุดต้นกำเนิดจากเขตภูเขาทางตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยและกลายเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำดิบสำคัญของการประปาส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารเคมีประเภทโลหะหนัก เช่น สารไซยาไนด์ ซึ่งใช้ในกระบวนการแยกแร่ทองคำ จากเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำในแม่น้ำกก และเป็นที่มาของความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน

ผู้อำนวยการ กปภ.เขต 9 ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผู้อำนวยการการประปาส่วนภูมิภาค เขต 9 กล่าวในการแถลงข่าว ณ จังหวัดเชียงใหม่ว่า ทางการประปาได้เฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีมาตรการปรับกระบวนการผลิตน้ำเพื่อรองรับกับคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลง จึงมั่นใจว่าน้ำประปาที่ยังคงผลิตอยู่ในขณะนี้ มีความสะอาดและปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามปกติ

“เราตรวจสอบคุณภาพน้ำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง พร้อมทั้งปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตและบำบัดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองความมั่นใจของประชาชน” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

รัฐบาลไทยเร่งสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

ภายหลังจากที่ได้รับรายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค ได้สั่งการให้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานของเมียนมาโดยเร่งด่วน

โดยมีการประสานกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแจ้งข้อห่วงกังวลของไทย และเสนอแนวทางการดำเนินการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก

ทางกงสุลใหญ่เมียนมาได้แสดงท่าทีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ว่าการเมืองสาด เมืองยอน และส่วนราชการระดับกลางของประเทศเมียนมา เพื่อดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขในพื้นที่ต้นน้ำอย่างเร่งด่วน

วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการประปาจะยืนยันความปลอดภัยของน้ำประปาในปัจจุบัน แต่การปนเปื้อนในแหล่งน้ำต้นทาง เช่น แม่น้ำกก ยังคงถือเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะสารไซยาไนด์หรือโลหะหนักอื่น ๆ หากหลุดรอดเข้าสู่แหล่งน้ำดิบและไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม อาจสะสมในสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดโรคในระบบประสาท ไต หรือก่อมะเร็งได้

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่มีอำนาจโดยตรงในการเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ต้นน้ำในประเทศเมียนมา จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกทางการทูตในการบริหารจัดการปัญหานี้ร่วมกัน

บทบาทของประชาชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่

นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ภาคประชาสังคมและองค์กรสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก และกลุ่มชุมชนริมแม่น้ำในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ก็ได้ร่วมติดตามสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำในพื้นที่

มีการรายงานว่าในช่วงต้นปี 2568 มีการพบปลาจำนวนหนึ่งตายในลำน้ำ และมีสีของน้ำเปลี่ยนแปลงในบางช่วงเวลา แม้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับการทำเหมือง แต่ก็สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ ควรมีการดำเนินงานในหลายมิติ ได้แก่

  1. การตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา เพื่อร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำต้นน้ำ และติดตามผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่โดยตรง
  2. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ในการตรวจวัดสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
  3. การสร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง
  4. การขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • การประปาส่วนภูมิภาค รายงานว่า แหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ภาคเหนือกว่า 35% มาจากแม่น้ำกก และมีประชาชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกประมาณ 1.2 ล้านคน
  • กรมควบคุมมลพิษ (ปี 2566) ระบุว่า พื้นที่ชายแดนภาคเหนือมีจุดเสี่ยงจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา 14 จุด โดย 5 จุด อยู่ใกล้แม่น้ำที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย
  • รายงานจาก เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก ระบุว่า ในช่วงปี 2565-2567 มีการแจ้งเหตุปลาตายหรือคุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงในลำน้ำกกกว่า 23 ครั้ง
  • รายงานของ World Health Organization (WHO) ระบุว่า การได้รับสารไซยาไนด์ในปริมาณ 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว สามารถก่อผลกระทบทางสุขภาพได้ในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาค เขต 9
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก
  • รายงานสุขภาพสิ่งแวดล้อม WHO ปี 2023
  • กระทรวงมหาดไทย แถลงข่าว 9 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงราย ขานรับ ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน เร่งตรวจน้ำประปา ไทยเตรียมประสานเมียนมา

เชียงรายเร่งแก้ปัญหาคุณภาพแม่น้ำกก หลังพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ประสานเมียนมาเดินหน้าความร่วมมือ

สถานการณ์ล่าสุด: เจ้าหน้าที่รัฐลงพื้นที่สำรวจคุณภาพน้ำกกอย่างเร่งด่วน

จังหวัดเชียงราย – วันที่ 7 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะทำงาน ได้แก่ นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข, นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ., นายสมยศ กิจดวงดี รองประธานสภา อบต.ริมกก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, อสม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำกกบริเวณบ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อประเมินสถานการณ์คุณภาพน้ำและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าแม่น้ำกกยังคงอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” และยังมีสภาพน้ำขุ่นแดงในหลายจุด ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายก อบจ. เน้นย้ำมาตรการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชน

นางอทิตาธรฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ขอความร่วมมือให้งดสัมผัสแม่น้ำกกโดยตรง เพราะอาจเกิดอาการระคายเคือง หรืออาการทางผิวหนังต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนหรือไม่ โดยผลการตรวจจะนำมาแจ้งให้ทราบโดยเร็ว”

นายก อบจ. ยังย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือของภาคประชาชน ร้านค้า และสถานประกอบการต่าง ๆ ในการไม่ปล่อยน้ำเสียสู่แหล่งน้ำโดยไม่ได้ผ่านการบำบัด พร้อมแจ้งเตือนประชาชนที่มีอาการผิดปกติหลังสัมผัสน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที

เรียกประชุมด่วนร่วมมหาวิทยาลัยฯ และหน่วยงานรัฐ

ในเวลา 10.00 น. ของวันเดียวกัน นางอทิตาธรฯ ได้เรียกประชุมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขคุณภาพน้ำแม่น้ำกก ซึ่งผลการประชุมสรุปว่า คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเข้มข้นร่วมกับทุกภาคส่วน

แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย, เวียงชัย, เวียงเชียงรุ้ง, ดอยหลวง, แม่จัน และสิ้นสุดที่แม่น้ำโขงในอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากทั้งในเรื่องการใช้น้ำเพื่อบริโภคและทำการเกษตร

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งตรวจสอบตลอดเส้นน้ำต้นทางจนถึงชายแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบกิจกรรมตลอดเส้นทางน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำในจังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงปลายน้ำในเชียงราย เพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้สารหนูปนเปื้อนเพิ่มขึ้น

“กิจกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือแหล่งผลิตน้ำประปาในระดับชุมชน ที่ไม่ใช่การประปาภูมิภาค ซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง เราจะให้ อบจ.เชียงราย และสำนักงานสาธารณสุข เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.ราชภัฏเชียงราย อย่างเร่งด่วน” นายชรินทร์กล่าว

รัฐเมียนมาร่วมมือ ประสานปิดเหมืองทองคำต้นเหตุสารพิษ

การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองคำในเมืองสาด และเมืองยอน ประเทศเมียนมา กระทรวงมหาดไทยไทยจึงได้เร่งประสานความร่วมมือกับทางการเมียนมา

โดยนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. มอบหมายให้นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผอ. กปภ.เขต 9 เข้าหารือกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่เมียนมา ณ สำนักงานกงสุลใหญ่ เชียงใหม่ เพื่อขอความร่วมมือในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ที่อาจเป็นต้นเหตุของสารปนเปื้อน

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า “ปัจจุบันคุณภาพน้ำประปายังคงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย การประปาส่วนภูมิภาคได้เฝ้าระวังและปรับกระบวนการผลิตน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำประปาไม่เป็นอันตรายต่อประชาชน”

ชาวบ้านขอความชัดเจนและการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน

ด้านชุมชนริมแม่น้ำกกในหลายพื้นที่ ต่างแสดงความกังวลใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับแม่น้ำ เช่น ประมง พืชสวน และท่องเที่ยว ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบโดยตรง

ชาวบ้านตำบลริมกก ให้สัมภาษณ์ว่า “เราหวังให้ภาครัฐหาทางแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เพราะนอกจากสุขภาพแล้ว รายได้ของคนในชุมชนก็ลดลงทุกวัน”

สถิติและข้อมูลทางวิชาการ

อ้างอิงจากรายงานการตรวจคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษ (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568):

  • สารหนู (As) ตรวจพบ 0.012 – 0.026 มิลลิกรัม/ลิตร (เกินมาตรฐานที่ 0.01)
  • ตะกั่ว (Pb) ตรวจพบสูงสุด 0.076 มิลลิกรัม/ลิตร (เกินมาตรฐานที่ 0.05)
  • ค่าความขุ่น (NTU) สูงสุดที่ 988 NTU (มาตรฐานไม่เกิน 100)
  • แบคทีเรียโคลิฟอร์มรวม พบเกินค่ามาตรฐานใน 3 จุดหลัก
  • คุณภาพน้ำตาม BOD (Biochemical Oxygen Demand) อยู่ในระดับเสื่อมโทรม

ทัศนคติเป็นกลางของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายประชาชน: เรียกร้องให้รัฐเร่งแก้ไขอย่างยั่งยืนและโปร่งใส เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ รายได้ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน

ฝ่ายภาครัฐ: ยืนยันดำเนินการเร่งด่วนตามมาตรการที่มีอย่างเต็มกำลัง ทั้งในประเทศและประสานความร่วมมือต่างประเทศ โดยเน้นย้ำคุณภาพน้ำประปายังอยู่ในมาตรฐาน และเดินหน้าตรวจสอบตลอดลำน้ำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกวิกฤต สทนช. เร่งประสานเมียนมา แก้ปัญหาสารพิษ

สทนช. ประสานนานาชาติรับมือวิกฤตคุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังพบสารพิษปนเปื้อน

เชียงราย, 6 เมษายน 2568 – ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้เร่งดำเนินการประสานความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรับมือสถานการณ์คุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารพิษปนเปื้อนในน้ำ บริเวณอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำ สืบเนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองคำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ปล่อยสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำต้นทาง

การดำเนินการของ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สทนช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานภายในประเทศ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำและกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบต่อประชาชน พร้อมกันนี้ ได้ประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผ่านกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation: LMC) และสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) เพื่อขอข้อมูลและความร่วมมือในการตรวจสอบสาเหตุ รวมถึงหาแนวทางลดผลกระทบข้ามพรมแดน

“สทนช. มุ่งมั่นคุ้มครองสุขภาพประชาชนและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำแม่น้ำกกให้ยั่งยืน โดยเราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม” ดร.สุรสีห์กล่าว

การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่า แม่น้ำกกมีปริมาณสารหนู (Arsenic) และตะกั่ว (Lead) เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน โดยผลวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ระบุว่า สารหนูมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 0.013-0.015 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 mg/L และตะกั่วมีค่าสูงถึง 0.06 mg/L เกินมาตรฐานที่ 0.05 mg/L สารพิษเหล่านี้หากสัมผัสหรือบริโภคโดยตรงอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ผื่นคัน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย และในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหรือความเสียหายต่อระบบประสาท

ต้นตอปัญหาและผลกระทบ

แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาดอยผาหม่นในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่จังหวัดเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางประมาณ 285 กิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย

รายงานระบุว่า สาเหตุหลักของการปนเปื้อนเกิดจากกิจกรรมเหมืองทองคำในเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉานใต้ ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดเหมืองทองคำได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้เครื่องจักรกลหนักขุดดินและสกัดแร่ตลอด 24 ชั่วโมง ริมฝั่งแม่น้ำกก กระบวนการสกัดทองคำใช้สารเคมี เช่น สารหนูและไซยาไนด์ ซึ่งเมื่อไม่มีการบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสม สารพิษเหล่านี้ถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำโดยตรง

การทำลายป่าและการปรับสภาพภูมิประเทศเพื่อสร้างหนองน้ำสำหรับสกัดแร่ ยังส่งผลให้ไม่มีพืชพรรณคอยซับน้ำ ส่งผลให้น้ำเสียไหลลงสู่แม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เมื่อเหมืองทองคำขยายขอบเขตการดำเนินงานจากเมืองสาดลงสู่เมืองยอน และเริ่มเข้าใกล้ชายแดนไทยมากขึ้น

การตอบสนองของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ว่า “ขณะนี้เรายังรอผลการตรวจคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานจริง ทางจังหวัดจะแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทันที และดำเนินการตามขั้นตอน โดยหากสาเหตุมาจากต่างประเทศ จะต้องรายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศผ่านกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อประสานความร่วมมือต่อไป”

นายประเสริฐ ยังระบุว่า โดยปกติจังหวัดเชียงรายมีการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจคุณภาพทุก 3 เดือน ใน 3 สถานีที่อำเภอเมือง และ 1 สถานีที่อำเภอเชียงแสน แต่จากสถานการณ์นี้ อาจต้องเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและทันท่วงที

ด้านนายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวการปนเปื้อนจากเหมืองทองคำต้นน้ำ ทาง กปภ. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และปรับเปลี่ยนการตรวจคุณภาพน้ำจากเดิมปีละ 2 ครั้ง เป็นทุกเดือน โดยเฉพาะการตรวจโลหะหนัก “น้ำประปาที่เราผลิตจากแม่น้ำกกในเขตอำเภอเมืองและเวียงชัย มีกระบวนการกรองและกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารหนูและตะกั่ว ซึ่งประชาชนสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้ ส่วนอำเภอเชียงแสนใช้น้ำจากแม่น้ำโขงเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก” นายทวีศักดิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่นอกเขตบริการของ กปภ. และไม่มีระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดโลหะหนักได้ อาจยังเสี่ยงต่อการใช้น้ำที่มีสารปนเปื้อน ทาง กปภ. จึงได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการกรองน้ำเบื้องต้นแก่ชุมชนเหล่านี้

ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชน

นางสาวจุฑามาศ ราชประสิทธิ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ภาคประชาชนไม่รอให้รัฐดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดย 4 องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ พชภ., มูลนิธิศึกษาพัฒนาประชาชนบนที่สูง, กลุ่มฅนเพื่อการเปลี่ยนแปลง และมูลนิธิร่มโพธิ์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง “เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก” ตั้งแต่ปลายปี 2567 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอเมืองเชียงรายเมื่อเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบเตือนภัยน้ำท่วมของภาครัฐ

“เราได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำตามชุมชนริมแม่น้ำกกใน 7 พื้นที่ เช่น บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง, บ้านแก่งทรายมูล และบ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถอ่านค่าระดับน้ำและแจ้งเตือนกันเองผ่านภาพถ่ายและคลิปวิดีโอในเครือข่ายชุมชน ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 6 ชุมชน และกำลังจะจัดอบรมอาสาสมัครเพิ่มเติมในฤดูฝนนี้” นางสาวจุฑามาศกล่าว

เธอระบุว่า การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วม แต่ยังเป็นเครื่องมือให้ชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตสารพิษปนเปื้อนเช่นนี้

ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ

  • ปี 2550: แม่น้ำกกเริ่มเปลี่ยนสีจากใสเป็นแดงขุ่น ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
  • ปี 2566: เหมืองทองคำในรัฐฉานขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำกก
  • 14 มีนาคม 2568: ชาวบ้านลุ่มน้ำกกเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐออกมาตรการปกป้องแม่น้ำ
  • 19 มีนาคม 2568: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์
  • 4 เมษายน 2568: ประกาศผลตรวจ พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกกได้สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ โดยเกิดมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายที่มองว่าเป็นวิกฤตเร่งด่วน และฝ่ายที่มองว่าไม่รุนแรงนัก

ฝ่ายที่ 1: วิกฤตที่ต้องแก้ไขทันที
ภาคประชาชนและบางหน่วยงาน เช่น มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เห็นว่าการปนเปื้อนของสารหนูและตะกั่วเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพและวิถีชีวิต โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง การที่สารพิษเกินมาตรฐานถึงสองเท่าในบางจุด และมีรายงานการขยายเหมืองทองคำในเมียนมาโดยไม่มีการควบคุม บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ฝ่ายที่ 2: ปัญหายังไม่รุนแรงมาก
ในทางกลับกัน หน่วยงานบางส่วน เช่น การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ มองว่าสถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะเมื่อน้ำประปายังปลอดภัยจากการบำบัด และปริมาณสารพิษที่เกินมาตรฐานอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบและการให้ความรู้แก่ประชาชนถือว่าเพียงพอในระยะสั้น โดยไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินเหตุ

ทัศนคติเป็นกลาง

ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา การที่สารพิษเกินมาตรฐานเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และสมควรได้รับการแก้ไขเพื่อปกป้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีทางเลือกในการใช้น้ำประปา อย่างไรก็ตาม การที่หน่วยงานสามารถควบคุมคุณภาพน้ำประปาได้ และผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่ปรากฏชัดเจนในวงกว้าง บ่งบอกว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตฉุกเฉิน การดำเนินการควรเน้นที่การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การประสานงานระหว่างประเทศ และการสร้างความตระหนักรู้ โดยไม่ปล่อยให้เกิดความตื่นตระหนกหรือละเลยปัญหา

แนวทางแก้ไขและความท้าทาย

การแก้ไขปัญหานี้มีความท้าทายหลักคือต้นตออยู่ในต่างประเทศ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานไทย การเจรจาผ่านกรอบ LMC และ MRCS จึงเป็นแนวทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากเมียนมา ขณะที่ในระยะสั้น การแจ้งเตือนประชาชน การเพิ่มระบบกรองน้ำในชุมชนท้องถิ่น และการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันที

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก: กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ในปี 2567 แม่น้ำกกมีค่า BOD เฉลี่ย 3-5 mg/L เกินมาตรฐานน้ำผิวดินที่ 2 mg/L (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  2. การปนเปื้อนสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า ทั่วโลกมีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำปนเปื้อนสารหนูเกิน 0.01 mg/L มากกว่า 140 ล้านคน (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)
  3. เหมืองทองคำในเมียนมา: รายงานจาก Global Witness ปี 2023 พบว่า รัฐฉานมีเหมืองทองคำผิดกฎหมายกว่า 100 แห่ง ส่วนใหญ่ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำโดยไม่บำบัด (ที่มา: Global Witness, 2023)
  4. น้ำท่วมในเชียงราย: สทนช. รายงานว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำกก 3 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อ 15,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ, สทนช., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สทนช.
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • WHO
  • Global Witness
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ผู้ว่าฯ เชียงรายจับมือลาว สู้ศึกหมอกควันข้ามแดน

เชียงรายผนึกกำลังเพื่อนบ้าน! ดับไฟป่า ลดหมอกควันข้ามพรมแดน

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงราย-บ่อแก้ว-ไซยะบูลี ผนึกกำลังเดินหน้าลดการเผา ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

เปิดกิจกรรม Kick Off ความร่วมมือไทย-ลาว แนวกันไฟชายแดน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Kick Off การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระหว่าง จังหวัดเชียงราย แขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยะบูลีแก่งผาได หมู่ 4 บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ในพิธีเปิดมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนจากทั้ง สปป.ลาว และจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดทำแนวกันไฟบริเวณแนวชายแดนไทย-ลาวแล้ว ยังมีการรณรงค์ ลดการเผาในแปลงเกษตรและพื้นที่ป่า ในหมู่บ้านแนวเขตชายแดนของอำเภอเวียงแก่น

เวทีหารือไทย-ลาว-เมียนมา เดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดน

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม Kick Off คณะผู้บริหารจากไทยและลาวได้เข้าร่วมการประชุมหารือเรื่อง การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและ PM2.5โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม

เชียงราย-บ่อแก้ว จับมือป้องกันไฟป่าลุกลามข้ามพรมแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น หนึ่งในพื้นที่วิกฤติหมอกควันและไฟป่าของภาคเหนือ เนื่องจากมีการเผาป่าและการเตรียมพื้นที่การเกษตรในช่วงหน้าแล้ง ประกอบกับ พรมแดนติดกับ สปป.ลาว และเมียนมา ทำให้มลพิษจากหมอกควันข้ามแดนรุนแรงขึ้นและควบคุมได้ยาก

ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายและแขวงบ่อแก้วมีความร่วมมือที่ดีในการรับมือกับไฟป่าและหมอกควัน และกิจกรรม Kick Off ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ ยกระดับความร่วมมืออย่างจริงจัง ระหว่างสองฝ่ายในฐานะเมืองคู่ขนาน โดยเน้นการ ปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาหมอกควันข้ามแดนในระยะยาว

แขวงไซยะบูลีร่วมผลักดันแนวทางป้องกันมลพิษอากาศ

นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว กล่าวว่า แขวงบ่อแก้วและจังหวัดเชียงราย มีความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการรับมือกับ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยการทำงานร่วมกันในลักษณะ พหุภาคีไทย-ลาว-เมียนมา จะช่วยให้สามารถ ลดการเผา และควบคุมไฟป่าข้ามแดน ได้ดียิ่งขึ้น

ด้าน นายสมจิด จันทะวง รองเจ้าแขวงไซยะบูลี กล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ให้ร่วมมือกันลดการเผาเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมย้ำว่า แขวงไซยะบูลีซึ่งมีชายแดนติดกับไทยหลายจังหวัด ต้องการความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับฝ่ายไทยในการรณรงค์ลดมลพิษหมอกควัน

เวียงแก่นต้นแบบความร่วมมือชายแดน ลดการเผาเพื่อสิ่งแวดล้อม

นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อำเภอเวียงแก่นในฐานะเมืองคู่ขนานของไทยและลาว ได้ดำเนินการตามนโยบายของ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาโดยตลอด

กิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่:

  • การปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างแนวกำแพงป้องกันหมอกควัน
  • การสร้างแนวกันไฟตามแนวเขตชายแดน ลดการลุกลามของไฟป่า
  • การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทยและลาว

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยชี้ไทย-ลาวเดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดนเป็นรูปธรรม

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สถาบันฯ ได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุน การลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกับจังหวัดเชียงราย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือทั้งในระดับ นโยบายและระดับพื้นที่

โมเดลแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็น ต้นแบบของแนวทางการลดเผาในภาคเกษตร ซึ่ง สปป.ลาว ได้นำไปปรับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การดำเนินงานนี้จะช่วยสร้างแนวปฏิบัติที่ดีและช่วยให้การลดมลพิษทางอากาศเกิดผลเป็นรูปธรรม

สรุป

การประชุมและกิจกรรม Kick Off ระหว่าง ไทย-ลาว-เมียนมา ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการ ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เพื่อ ป้องกันและลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการ ลดการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและผู้นำจากแขวงบ่อแก้ว และไซยะบูลี ต่างให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าความร่วมมือต่อไป เพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุม ไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความร่วมมือด้านการศึกษา

ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาสานต่อความร่วมมือ

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความสัมพันธ์ 50 ปีไทย-จีน

ไทย-ยูนนาน เดินหน้าพัฒนาการศึกษาร่วมกัน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ ห้องประชุมคำมอกหลวง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัด การประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “The Way Forward: Shaping the Future Thai-Yunnan Education” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและมณฑลยูนนาน ผู้แทนจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กรมการศึกษามณฑลยูนนาน และสื่อมวลชน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงไทย-ยูนนาน

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชียงรายเป็น ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมายาวนาน แม้ว่าปีนี้จะเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงรายและยูนนานนั้นมีความลึกซึ้งในระดับพี่น้อง

ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการจัดตั้ง สถาบันขงจื่อ และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร รวมถึงความร่วมมือด้าน การวิจัยเกี่ยวกับเห็ดรา สมุนไพร และชา-กาแฟ ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของยูนนาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

เชียงราย-ยูนนาน เมืองพี่เมืองน้อง มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและมณฑลยูนนานมี ความสัมพันธ์ฉันท์เมืองพี่เมืองน้อง มีความร่วมมือในด้าน เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะ การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ นักวิชาการจากทั้งสองประเทศ จะได้ร่วมกัน สร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยและจีนให้มีศักยภาพสู่ระดับสากล

จีนย้ำ! การศึกษาเป็นรากฐานสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืน

Mr. Tang Jiahua เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุนหมิง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อ สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการวิจัย

รวมถึงการจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการร่วมระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

5 ประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้

การประชุมได้แบ่งการหารือออกเป็น 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่:

  1. นโยบายและทิศทางความร่วมมือด้านการศึกษา
  2. การพัฒนาที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
  3. การแพทย์และสาธารณสุข
  4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  5. ภาษาและวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ยังมีการ ปาฐกถาพิเศษ โดย ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ นายหยิน เสียงหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน มหาวิทยาลัยการแพทย์คุนหมิง

กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการ

ผู้เข้าร่วมประชุมยังได้ เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมสมุนไพร ศูนย์เครื่องสำอาง SMEs โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและความร่วมมือในอนาคต

รวมถึงมี เสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “The Value of Thai-Chinese Education Cooperation in Advancing Human Capacity Development and Shared Growth” โดยมี ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และสมาคมนักศึกษาจีนในประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเติบโตอย่างยั่งยืน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง: ศูนย์กลางความร่วมมือไทย-จีน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อมความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างไทยและจีน ผ่าน โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการวิจัยร่วมกัน โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นการ วางรากฐานความร่วมมือด้านการศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมียนมาซัด แกนนำกบดานไทย จีนเดินเกมหนัก

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์! จีน-เมียนมาประสานงาน ไทยมีเอี่ยว?

เนปีดอว์ เมียนมา, 16 กุมภาพันธ์ 2568  – กระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นำโดย พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกับ H.E. Ms. Ma Jia เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ กรุงเนปีดอว์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ประสบปัญหาในเมียนมา

จีน-เมียนมา ผนึกกำลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเมือง เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางป้องกันและปราบปราม รวมถึงการช่วยเหลือชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเขตเมือง ไหย รัฐฉานตอนเหนือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งบางส่วนเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว

แกนนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังลอยนวลในไทย

แหล่งข่าวจากเมียนมาเปิดเผยว่า แม้การกวาดล้างจะเดินหน้าเต็มที่ แต่แกนนำระดับสูงของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังคงหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดย นายหม่องชิต ตู่ หัวหน้า BGF กะเหรี่ยงของเมียนมา เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง จีน-เมียนมา-ไทย เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติให้สิ้นซาก

จีนเสนอประชุม 3 ชาติ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเสนอให้มีการประชุมระดับสูง ระหว่าง จีน เมียนมา และไทย โดยเน้นความร่วมมือด้านข่าวกรอง การจับกุมผู้ต้องหา และการส่งตัวข้ามแดน การประชุมดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วม ได้แก่ พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อู ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ

ทางการไทยจะตอบสนองอย่างไร?

ขณะที่จีนและเมียนมาเดินหน้าเต็มที่ในการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ต่อการดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เมียนมาอ้างว่ายังซ่อนตัวอยู่ในไทย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สื่อเมียนมาเปิดเผยหลักฐานว่านายทุนจีนบางรายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังพิเศษ เพื่อเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา

ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ – กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้หารือเกี่ยวกับ ขั้นตอนการส่งตัวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันทางการเมียนมาได้รวบรวมรายชื่อชาวจีนที่พำนักในเมือง ชเวก๊กโก่ และเตรียมส่งตัวผ่านประเทศไทย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยทั้ง เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF เมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองชเวก๊กโก่ สามารถรวบรวมชาวจีนได้ ประมาณ 1,000 คน โดยกว่าครึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทางการจีนต้องการตัว

จีนเตรียมลำเลียงชาวจีนกลับประเทศทางแม่สอด

นายหลิว จงอี้ ได้ตรวจสอบกระบวนการส่งตัวอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า ทางการจีนจะใช้วิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 โดยจะส่งเครื่องบินมารับผู้ต้องสงสัยที่ท่าอากาศยานแม่สอด และทยอยลำเลียงกลับประเทศจีน คาดว่า สามารถส่งตัวได้สูงสุด 500 คนต่อวัน

บทสรุป

การหารือระหว่างเมียนมาและจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ กวาดล้างขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ขณะที่ทางการเมียนมายืนยันว่ามี แกนนำบางส่วนยังซ่อนตัวในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ การประชุมระดับสูงของ จีน-เมียนมา-ไทย ที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน เพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News