Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทศบาลนครเชียงรายสืบสานศรัทธาล้านนา ผู้ว่าฯ นำตักบาตรเทโวฯ 111 รูป เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง

สืบสานศรัทธาล้านนา “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองพลังศรัทธาของชุมชนที่หลอมรวมเมือง วัด และผู้มาเยือน

เชียงราย, 8 ตุลาคม 2568 — แสงแรกของเช้าในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ค่อย ๆ คลี่คลุมยอดไม้เหนือเนินเขาแห่งดอยงำเมือง ขณะที่ริ้วขบวนชาวพุทธยืนเรียงรายตามเชิงบันไดหินสุดสายตา เสียงสาธุการเบา ๆ คลอไปกับเสียงนกยามรุ่งอรุณ เทศบาลนครเชียงรายเปิดพิธีทำบุญ “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ประจำปี 2568 อย่างสมศักดิ์สิทธิ์และเป็นระเบียบ ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง ต่อเนื่องยาวไปถึงบริเวณแยกศาลจังหวัดเชียงราย (หลังเดิม) โดยมี นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณ พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นำพระภิกษุและสามเณร 111 รูป ออกรับบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งจากพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่พร้อมใจกันมาร่วมงานตั้งแต่เวลา 06.30 น.

พิธีครั้งนี้จัดโดย เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสถานศึกษาในสังกัดร่วมสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนความร่วมมือเชิงสถาบัน—ทั้งภาคปกครอง ศาสนา การศึกษา และชุมชน—ที่ขับเคลื่อนให้ “งานบุญออกพรรษา” ของเมืองเชียงรายยังคงเปล่งประกายความหมายเชิงวัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง

เรื่องเล่าในยามเช้า เมื่อพิธี “เทโวโรหณะ” ทำให้เมืองเต้นจังหวะเดียวกัน

ตักบาตรเทโวโรหณะ (หรือ “เทโว”) เป็นประเพณีที่ระลึกถึงวันที่ พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังทรงจำพรรษาและแสดงพระธรรมโปรดพระพุทธมารดา ชุดพิธีจึงมักจัดบนทางลาดหรือบันไดสูงจำลอง “คันธกุฎี” และ “บันไดทิพย์” ที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา—ณ เชียงราย ภูมิประเทศของ วัดดอยงำเมือง ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา โอบเมืองด้วยทะเลหมอกบาง ๆ และร่มไม้เก่าแก่ จึงเหมาะสมกับบรรยากาศอันสงบขรึมและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพระภิกษุและสามเณร 111 รูป แปรขบวนจากยอดเนินลงสู่เชิงบันได ภาพของผ้ากาสาวพัสตร์เป็นคลื่นสีเหลืองทองเคลื่อนไปในแสงแรก—กลายเป็นภาพจดจำที่สะท้อน “ศรัทธาซ้อนศรัทธา” ของผู้คน

การจัดระเบียบพื้นที่ของเทศบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ “ความยาวของขบวน” กลายเป็น “ความพร้อมของเมือง” จุดเริ่มพิธีที่เชิงบันไดถูกกำหนดเป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางพิธีกรรม ขณะที่แนวถนนต่อเนื่องไปยังแยกศาลจังหวัดเชียงรายกลายเป็น แนวรับบิณฑบาต ที่จัดการจราจรและความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ ผู้สูงอายุและเด็กเล็กถูกจัดให้อยู่ในจุดที่เข้าถึงง่าย มีเต็นท์พักคอยและจุดบริการน้ำดื่ม เพื่อลดความแออัดและให้ทุกคนได้ร่วมบุญอย่างมีสมาธิ

ศรัทธาที่จับต้องได้ เมือง–วัด–โรงเรียน จับมือกันผลิต “ประสบการณ์บุญ” อย่างมืออาชีพ

เบื้องหลังงานสงบเรียบง่ายคือการเตรียมงานที่ละเอียดอ่อน เทศบาลนครเชียงรายทำงานประสานกับวัดดอยงำเมือง ส่วนราชการ หน่วยงานความมั่นคง และสถานศึกษาในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กำหนด แผนการจราจรและที่จอดรถ, จุดคัดแยกขยะและดูแลสิ่งแวดล้อม, หน่วยปฐมพยาบาลและรถพยาบาลสแตนด์บาย ตลอดแนวพิธี การมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้ทั้งเรื่อง “กาลเทศะ” ของพิธีกรรม และ “ทักษะพลเมือง” เช่น การอำนวยความสะดวกผู้สูงอายุ การจัดแถว การประชาสัมพันธ์ และการรักษาความสะอาดพื้นที่สาธารณะ

ในเชิงสังคม งานบุญเช้าตรู่เช่นนี้ทำหน้าที่เป็น พื้นที่ฝึกซ้อมความเป็นเมือง” ไปพร้อมกัน—ผู้ประกอบการรายย่อยที่มาเปิดจุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มจำเป็นได้รับคำแนะนำเรื่องภาชนะใช้ซ้ำและการจัดการขยะ หน่วยงานท้องถิ่นนำแนวคิด งานศาสนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” มาปรับใช้ เช่น จุดรับขวดน้ำสำหรับรีไซเคิล, ถังคัดแยกประเภท และการรณรงค์ “แบกบุญ–ไม่แบกขยะกลับบ้าน” ผ่านเสียงตามสายและสื่อชุมชน

พิธีกรรมในกรอบความหมาย ทำไม “วันเทโว” จึงสำคัญกับเมือง

วันเทโวโรหณะ มักถือเป็น “บทสรุป” ของช่วงเข้าพรรษา และเป็น “บทเปิด” ของชีวิตเมืองในฤดูกาลใหม่—หลังการจำพรรษา พระสงฆ์สามารถออกเดินทางปฏิบัติศาสนกิจค้างแรมได้โดยไม่ผิดพระวินัย ขณะที่ชาวบ้านได้มีวาระนัดหมายทำบุญใหญ่ร่วมกันอีกครั้ง การอาราธนาศีล รักษาศีล ฟังธรรม จึงเป็น กรอบปฏิบัติร่วม ที่ทำให้ผู้คนในเมืองได้ปรับจังหวะชีวิตและความคิดของตนกับ “ปฏิทินทางธรรม” ความสำคัญของวันเทโวยังอยู่ที่การ น้อมระลึกถึงพระคุณมารดา ผ่านเหตุการณ์เสด็จลงจากดาวดึงส์ ซึ่งลึกลงไป—คือการย้ำคุณธรรมแห่งความกตัญญูที่ถูกสถาปนาไว้ในวัฒนธรรมท้องถิ่นล้านนา

วัดดอยงำเมืองเองเป็น มรดกเชิงสัญลักษณ์ ที่ประชาชนคุ้นชิน เชิงบันไดที่ทอดยาวจึงไม่ได้เป็นเพียงทางขึ้นวัด แต่คือ เวทีชีวิต ที่ผู้คน “เดินขึ้น–เดินลง” ร่วมกันทุกปี ความคุ้นเคยของสถานที่ ทำให้พิธียิ่งมีพลัง ภาพของคนต่างวัย—บ้างถือปิ่นโต บ้างถือถุงข้าวสารอาหารแห้ง—ทำให้คำว่า “ชุมชน” ไม่ใช่คำสวยงามที่ลอยกลางอากาศ แต่เป็น ภาพจริงที่เห็นและสัมผัสได้

ด้านเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม งานศาสนาที่สร้างรายได้อย่างพอเพียงและกระจายตัว

แม้พิธีตักบาตรเทโวโรหณะจะมิใช่งานเทศกาลขนาดใหญ่เช่นงานลอยกระทงหรือปีใหม่ แต่ ผลเชิงเศรษฐกิจของกิจกรรมเช้า ก็มีนัยสำคัญ—ร้านอาหารเช้า รถรับจ้าง ที่จอดรถเอกชนใกล้พื้นที่งาน ร้านดอกไม้ ไปรวมถึงผู้ค้าขายรายย่อยที่นำของทำมือและของฝากพื้นถิ่นมาวางจำหน่ายล้วนได้รับอานิสงส์ การกระตุ้นเศรษฐกิจยามเช้าทำให้เกิด “รอบสั้นของรายได้” กระจายสู่ชุมชนโดยตรง ขณะเดียวกัน เมืองก็ใช้วาระนี้เชื้อเชิญนักท่องเที่ยว ให้อยู่ต่ออีกครึ่งวัน—เช่น แวะวัดใกล้เคียง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ตลาดเช้า—เพื่อเพิ่มมูลค่าโดยไม่ต้องจัดกิจกรรมเสริมให้ฟุ้งเฟ้อ

ในมุมการบริหารจัดการ เทศบาลนครเชียงรายมี โครงร่างการวัดผลลัพธ์เบื้องต้น ที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริง เช่น การสำรวจจำนวนผู้เข้าร่วมคร่าว ๆ ตามจุดคัดกรอง, ความพึงพอใจด้านความสะอาด–ความปลอดภัย, และข้อเสนอแนะของประชาชนต่อการจัดงานปีหน้า แนวทาง “ฟังเสียงพื้นที่” ช่วยให้พิธีกรรมที่อิงความเชื่อถูกรักษา รูป ไว้ครบถ้วน ขณะเดียวกันก็มี รส ของการบริการสาธารณะที่ทันสมัยและเป็นมิตร

มิติความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สงบ งาม และไม่ทิ้งร่องรอย

งานบุญในพื้นที่ลาดชันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ การ์ดความปลอดภัย 3 ชั้น ได้แก่

  1. ชั้นพื้นที่—กั้นรั้วเชือกเตือนริมขอบบันได จุดปฐมพยาบาลพร้อมอุปกรณ์เบื้องต้น จัดทางขึ้น–ลงแยกทิศทางเพื่อลดการปะทะกันของคน
  2. ชั้นการจราจร—กำหนดเวลาปิด–เปิดถนนชัดเจน จัดเส้นทางจอดรถและรับ–ส่งผู้สูงอายุให้ใกล้จุดพิธีที่สุด
  3. ชั้นสื่อสาร—ใช้เสียงตามสายและเจ้าหน้าที่อาสาประกาศแนวปฏิบัติ งดใช้พลุ ประทัด โคมไฟในพื้นที่พิธีเพื่อคงบรรยากาศสงบ

ด้านสิ่งแวดล้อม เมืองส่งเสริมการ ใช้ภาชนะที่ย่อยสลายได้หรือใช้ซ้ำ จุดคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และออกแบบ “เส้นทางขยะ” หลังจบพิธี เพื่อให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว—หลักคิดคือ ฝากรอยยิ้ม ไม่ฝากรอยขยะ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพพื้นที่สาธารณะ

ความหมายของ “111 รูป” ตัวเลขที่สื่อสารทั้งพิธีกรรมและการจัดการ

จำนวนพระภิกษุ–สามเณร 111 รูป ในปีนี้สะท้อนทั้ง ความสมบูรณ์ด้านพิธีกรรม และ ความพร้อมด้านการจัดการ ของพื้นที่—มากพอให้ประชาชนได้ทำบุญทั่วถึง แต่ไม่หนาแน่นจนกระทบเส้นทางหรือเวลา พิธีจึงดำเนินไปอย่างกระชับและสมศักดิ์ศรี ตัวเลขนี้ยังทำหน้าที่เป็น เกณฑ์จัดสรรทรัพยากร เช่น ชุดบิณฑบาต น้ำดื่ม และการจัดแนวรับ–ส่งบาตร ช่วยให้หน่วยงานสนามทำงานได้อย่างแม่นยำและลดความสูญเปล่า

เมืองกับ Soft Power ทางศาสนาอัตลักษณ์ล้านนาที่เล่าเรื่องได้ทั้งปี

เชียงรายมีวาระงานบุญ–งานวัฒนธรรมกระจายตลอดปี ตั้งแต่เข้าพรรษา ออกพรรษา ลอยกระทง ปีใหม่เมือง ฯลฯ การจัดพิธีเทโวอย่างมีเอกภาพจึงทำหน้าที่เป็น “ข้อพิสูจน์” ว่าเมืองสามารถ เล่าเรื่องอัตลักษณ์ล้านนา ได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพียงเทศกาลใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว พิธีเช้า ๆ ที่สงบแต่มีพลังเช่นนี้ คือ Soft Power ทางศาสนา ซึ่งเชื่อม “ความทรงจำส่วนตัว” ของผู้ร่วมงานกับ “ความทรงจำร่วมของเมือง” สร้างความภาคภูมิในถิ่นฐาน และเชื้อชวนผู้มาเยือนให้เคารพวิถีท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมชาติ

ทำอย่างไรให้ “พิธีปีหน้า” งดงามเท่าเดิม แต่บริการดียิ่งขึ้น

เพื่อต่อยอดความสำเร็จเมืองสามารถพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้โดยไม่เปลี่ยนสาระพิธีกรรม

  • ปฏิทินสื่อสารล่วงหน้า เพื่อกระจายคนและเวลามาร่วมบุญ ลดความหนาแน่นเฉพาะช่วง
  • แผนที่ดิจิทัล แสดงจุดจอดรถ ห้องน้ำสาธารณะ จุดปฐมพยาบาล และทางลาดสำหรับรถเข็น
  • ชุดความรู้วันเทโว แบบอ่านง่าย (infographic) แจกในสื่อสังคมออนไลน์และป้ายหน้างาน อธิบายความหมายพิธี กาลเทศะ และข้อควรปฏิบัติ
  • การเก็บข้อมูลโดยอาสาสมัคร หลังงาน 10–15 นาที เพื่อปรับปรุงจุดคอขวดด้านการจราจรและการสื่อสารปีถัดไป
  • สนับสนุนของฝากพื้นถิ่นอย่างรับผิดชอบ เน้นสินค้าที่ใช้วัสดุยั่งยืนและเคารพสัญลักษณ์ทางศาสนา

ทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่รบกวน “แก่นพิธี” และยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของทั้งชาวเมืองและผู้มาเยือน

เช้าวันเดียวที่คงอยู่ในความทรงจำทั้งปี

พิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองปีนี้ ทำให้เห็นภาพใหญ่ที่เกาะเกี่ยวกัน—ศรัทธาของชุมชน ที่แปรเป็นแรงขับให้เมืองจัดการงานอย่างมืออาชีพ, เมตตาธรรมของพระสงฆ์ ที่ทำให้ผู้คนได้ตั้งต้นปีธรรมด้วยใจสงบ, และ บทบาทของเทศบาล ที่ทำให้พื้นที่สาธารณะรองรับพิธีได้ทั้งงดงามและปลอดภัย ตัวเลข พระภิกษุ–สามเณร 111 รูป, เวลา 06.30 น., สถานที่ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองถึงแยกศาลจังหวัด และ “การร่วมแรงร่วมใจของหน่วยงานกับประชาชน” คือรายละเอียดที่ถักทอให้พิธีครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ แต่เป็น บทเรียนของเมือง ที่จะส่งต่อไปยังปีถัดไป

ในโลกที่วุ่นวายยามข่าวด่วนและสารพัดเสียงดัง เช้าวันเทโวของเชียงรายค่อย ๆ กระซิบว่า ความงามอันยิ่งใหญ่ของเมือง อาจเริ่มต้นจากการยืนเงียบ ๆ ต่อหน้าพระ และวางข้าวสารลงในบาตรด้วยสองมือของเราเอง—เรียบง่าย แต่เปลี่ยนใจเราได้ทั้งวัน และเปลี่ยนเมืองได้ทั้งปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด / ที่ทำการปกครองจังหวัด)
  • วัดดอยงำเมือง
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ฐานเกษตรกรหดตัว 4.35% เชียงรายเร่งวางทางรอดโคเนื้อ-ไก่พื้นเมืองชุมชน

เชียงรายรับแรงสั่นสะเทือน “ปศุสัตว์ไทยหดตัว 4.35%” อย่างไร? ถอดบทเรียนจากหนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 โครงสร้างใหม่ของเกษตรกรรายย่อย–รายใหญ่ และทางรอดที่ต้องเร่งวาง

เชียงราย, 2 ตุลาคม 2568 – เบื้องหลังทิวทัศน์อันคุ้นตา ข้อมูลชุดใหม่ของกรมปศุสัตว์ (ข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 ของกลุ่มสารสนเทศและข้อมูลสถิติศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกรมปศุสัตว์) กำลังส่งสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม—จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศลดลง 153,729 ราย หรือ 4.35% ภายในปีเดียว ขณะที่โครงสร้างการผลิตหลายชนิดสัตว์กำลัง “รวมศูนย์” หนักขึ้นกว่าที่เคยภาพใหญ่ของประเทศ เข้าสู่ภูมิภาคเหนือ และซูมให้ลึกลงที่จังหวัดเชียงราย—เพื่อดูให้ชัดว่า เมื่อฐานเกษตรกรหดตัว เศรษฐกิจชุมชนและความมั่นคงทางอาหาร “พื้นที่ปลายทางของแม่น้ำโขง” แห่งนี้จะยืนให้มั่นได้ด้วยวิธีใด

สาระสำคัญที่ต้องรู้

  • ฐานเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั้งประเทศลดลง 4.35% เหลือ 3,378,986 ราย โดย “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” คือฐานใหญ่ที่สุด แต่ก็เผชิญการลดลงมากที่สุดเช่นกัน สะท้อนแรงกดดันต้นทุนและรายได้ในชนบทที่ยังไม่คลี่คลาย
  • ปศุสัตว์หลักบางชนิดถดถอย โดยเฉพาะ “โคเนื้อ” ที่จำนวนรวมทั้งประเทศลดลงจากปีก่อน ราว 3.66% ขณะที่ “สุกรและไก่” ยังพึ่งพาพื้นที่ศูนย์กลางการผลิตไม่กี่เขตอย่างชัดเจน (เขต 7 และเขต 1) ทำให้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงขึ้นหากเกิดโรคระบาดหรือช็อกด้านตลาด
  • ภาคเหนือ—เขตปศุสัตว์ที่ 5 ยังคงเป็นฐานการผลิตที่ “หลากหลายชนิดสัตว์” โดยเฉพาะโคเนื้อที่สวนทางหลายพื้นที่ และมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารครัวเรือน
  • เชียงราย แสดง “ความยืดหยุ่น” ผ่านโครงสร้างแบบผสม: เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากเลี้ยงโคพื้นเมือง–ไก่พื้นเมืองเพื่อยังชีพและเสริมรายได้ ขณะเดียวกันมีคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสำหรับไก่ไข่และสุกรอยู่ร่วมในจังหวัดเดียวกัน—ภาพนี้คือ “ทางสองแพร่ง” ของยุทธศาสตร์ปศุสัตว์จังหวัดที่ต้องตัดสินใจเร็วและตรงเป้า

ประเทศไทย เส้นกราฟฐานเกษตรกรชี้ลง โครงสร้างกำลังเปลี่ยน

หนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 ระบุว่า ปี 2568 ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทุกประเภท 3,378,986 ราย ลดลงจากปี 2567 จำนวน 153,729 ราย (-4.35%) โดย “เขตปศุสัตว์ที่ 3” ซึ่งเป็นฐานใหญ่มากที่สุดยังคงมากสุดที่ 986,434 ราย แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ จำนวนเกษตรกรหายไปมากสุด เช่นกันเมื่อเทียบปีก่อน สะท้อนภาพความเปราะบางที่ไม่ได้จำกัดเพียงพื้นที่ชายขอบ แต่เกิดใน “หัวใจการผลิต” ของประเทศด้วย

ในแง่ชนิดสัตว์ โคเนื้อ ซึ่งเป็น “บัญชีสะสมทรัพย์บนเท้าทั้งสี่” ของชนบทไทย มีจำนวนรวม 9.54 ล้านตัว แต่กระจุกตัวที่เขต 3 และเขต 4 เป็นหลัก ขณะเดียวกัน สุกร จำนวนรวม 12.21 ล้านตัว ยึดฐานหลักที่เขต 7 (ภาคตะวันตก–ภาคกลางบางส่วน) ส่วน ไก่ มีจำนวนรวมมากถึง 516.98 ล้านตัว และมีเขต 1 เป็นฐานไก่เนื้อสำคัญ—ตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นภาพ “การพึ่งพื้นที่ศูนย์กลางไม่กี่จุด” ที่ทวีความเข้มขึ้น หากเกิดโรคระบาดสัตว์ปีกหรือสุกรในฐานผลิตใหญ่ ความเสี่ยงของห่วงโซ่อาหารและราคาผู้บริโภคจะขยายวงทันที

ฐานการผลิตหลากหลาย–พึ่งพาชุมชนสูง

ภาคเหนือมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ 681,023 ราย (คิดเป็นราว 20% ของประเทศ) และมีจำนวนโคเนื้อ 1.49 ล้านตัว, สุกร 2.30 ล้านตัว, ไก่ 68.75 ล้านตัว สะท้อน “โครงสร้างการผลิตแบบผสม” ที่อาศัย รายย่อยจำนวนมาก และการกระจายตัวในหลายจังหวัดมากกว่าภาคอื่น ๆ ความหลากหลายนี้มีข้อดีคือ “ลดความเสี่ยงจากการพึ่งชนิดสัตว์เดียว” และเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาหาร–เศรษฐกิจท้องถิ่นได้ลึกกว่าฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพียงไม่กี่จุด

ในบรรดาจังหวัดเหนือทั้งหมด เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง–แพร่–น่าน–พะเยา–เชียงราย–แม่ฮ่องสอน คือเสาหลักของเขตปศุสัตว์ที่ 5 ซึ่งภาพรวมแสดงสัญญาณ โคเนื้อทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ไก่พื้นเมืองยังคงเป็น “บัญชีอาหารฉุกเฉิน” ของครัวเรือนชนบท—ประเด็นหลังนี้จะเห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อมอง “เชียงราย” อย่างละเอียด

ทางสองแพร่งระหว่าง “ชุมชนพึ่งพาตนเอง” กับ “คลัสเตอร์อุตสาหกรรม”

1) ฐานข้อมูลสำคัญของจังหวัด

  • จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รวม: 76,095 ราย
  • โคเนื้อ: 69,973 ตัว (เกษตรกร 7,646 ราย)
  • กระบือ: 20,463 ตัว (เกษตรกร 2,399 ราย)
  • สุกร: 95,098 ตัว (เกษตรกร 3,803 ราย)
  • ไก่รวม: 5,684,855 ตัว (เกษตรกร 72,519 ราย)
  • เป็ดรวม: 145,935 ตัว (เกษตรกร 4,769 ราย)
  • แพะ–แกะ: แพะ 6,050 ตัว/แกะ 638 ตัว (เกษตรกรรวม 354 ราย)

ตัวเลขชุดนี้บอกอะไร? หนึ่ง—เชียงรายคือจังหวัดที่ “ไก่พื้นเมืองมีบทบาทสูงมากในระดับครัวเรือน” เพราะจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่สูงถึง กว่า 72,000 ราย ขณะที่จำนวนไก่รวมเกิน 5.68 ล้านตัว สอง—โคเนื้อและกระบือ ยังฝังรากในวิถีเกษตรดั้งเดิม โดยมีผู้เลี้ยงจำนวนมากในสเกลเล็ก กระจายตามอำเภอรอบนอก สาม—มิติอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาชัดใน “สุกร–ไก่ไข่เชิงพาณิชย์” ที่ต้องการเงินทุนและการจัดการสูงกว่า

2) “รายย่อยเข้มแข็ง” ในโคเนื้อ–ไก่พื้นเมือง

โครงสร้างโคเนื้อเชียงรายสะท้อน “ฐานรายย่อย” อย่างเด่นชัด เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยง ไม่เกิน 20 ตัว ทั้งในรูปแบบโคพื้นเมืองและลูกผสมที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศบนพื้นที่สูง—เป็นสินทรัพย์ที่แปรรูปได้ทั้ง “รายได้” และ “ความมั่นคงทางอาหาร” ของครัวเรือน ส่วน ไก่พื้นเมือง ก็ทำหน้าที่เดียวกันกับบทบาท “บัญชีเงินฝากมีชีวิต” ที่ถอนใช้ได้เร็วในยามจำเป็น สองชนิดสัตว์นี้จึงเป็น “ตาข่ายนิรภัย” ของชุมชนในช่วงที่ราคาพืชผลหรือค่าจ้างผันผวน

3) “อุตสาหกรรมเข้มข้น” ในสุกร–ไก่ไข่

ขณะเดียวกัน เชียงรายมี สุกร 95,098 ตัว กระจายอยู่ในผู้เลี้ยง 3,803 ราย โดยมีทั้งรายย่อยและรายใหญ่ร่วมพื้นที่เดียวกัน ส่วน ไก่ไข่ (รวมอยู่ในจำนวนไก่ทั้งหมด) เป็นเซ็กเมนต์ที่ต้องใช้ความชำนาญและมาตรฐานสูง—สะท้อนการขยายตัวของฟาร์มขนาดกลาง–ใหญ่ที่เข้ามาเติมเต็มดีมานด์ของตลาดเมือง–โรงงานอาหาร และตลาดนักท่องเที่ยวในพื้นที่เหนือบน

ภาพรวมจึงกลายเป็น “ทางสองแพร่ง” ที่เชียงรายต้องตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์: จะเดินหน้าหนุน ฐานรายย่อย ให้แข็งแรงเชื่อมเศรษฐกิจชุมชน และค่อย ๆ ยกระดับมาตรฐาน–เพิ่มมูลค่า หรือจะวางตำแหน่ง คลัสเตอร์อุตสาหกรรม เฉพาะชนิดสัตว์ให้ชัดเพื่อสร้างงาน–สร้างภาษี—หรือทำ “ทั้งสองขา” อย่างสมดุลโดยไม่ทิ้งใครข้างหลัง

4) ความมั่นคงทางอาหารกับ “ความเสี่ยงใหม่”

แม้โครงสร้างแบบผสมจะเสริมภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ “ความเสี่ยงใหม่” ก็เพิ่มขึ้นตาม—ทั้งต้นทุนอาหารสัตว์ที่ผันผวน ภัยแล้งบนพื้นที่สูงที่ยาวนานขึ้น และโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ปีก–สุกร หากเกิดการระบาดในฟาร์มขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งที่เป็นแหล่งไข่หรือหมูของจังหวัด ผลกระทบด้านราคาอาจ “ส่งผ่าน” ไปยังผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านอาหาร–ท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การทำ ระบบเฝ้าระวังโรคและข้อมูลสาธารณะ ระดับจังหวัด–อำเภอที่ละเอียดถึงคลัสเตอร์การผลิต และการรวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยเพื่อเข้าถึงวัคซีน–อาหารสัตว์–สินเชื่อ–ตลาด จึงเป็น “เครื่องมือเร่งด่วน” ที่ควรขับเคลื่อนภายในปีงบประมาณถัดไป

เชื่อมไปทั้งเขตเหนือจุดแข็งและโอกาส 

เมื่อเทียบกับจังหวัดเหนืออื่น ๆ เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง–พะเยา–แพร่–น่าน–แม่ฮ่องสอน ต่างมีสัดส่วนโคเนื้อ–กระบือ–ไก่พื้นเมืองที่สูงเช่นกัน แต่แต่ละจังหวัดมี “บทบาทเฉพาะ” ของตน เช่น ลำพูนเด่นด้านโคนมขนาดกลาง เชียงใหม่และลำปางมีฐานผู้ประกอบการอาหารสัตว์–โรงชำแหละที่เข้มแข็ง พะเยาและน่านเป็นแนวกันชนวัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์—ห่วงโซ่เหล่านี้ชี้ว่า ถ้าเชียงรายจะ “โตไปกับทั้งภูมิภาค” ยุทธศาสตร์ระดับกลุ่มจังหวัดควรเชื่อม 3 แกนดังนี้

  1. ห่วงโซ่โค–กระบือคุณภาพ: วิจัยพันธุ์ทนแล้ง–ทนโรค ปรับปรุงทุ่งหญ้า และยกระดับโรงเชือด–มาตรฐานฮาลาล–การแปรรูป (เนื้อสไลซ์ สเต๊ก ซุปกระดูก) เพื่อเข้าโมเดิร์นเทรด–ท่องเที่ยวสุขภาพ
  2. คลัสเตอร์ไก่พื้นเมือง–ไก่ไข่: พัฒนาแบรนด์ “ไข่เหนือบน–ไก่พื้นเมืองเชียงราย” พร้อมมาตรฐานสินค้าชุมชน (GI/ฮาลาล/เกษตรอินทรีย์) เพื่อบุกตลาดกรุงเทพฯ และชายแดนพม่า–ลาว
  3. เกษตรทางเลือกสร้างมูลค่า: หนุน “ผึ้ง–ผึ้งชันโรง–แพะ–แกะ” เป็นรายได้เสริม โดยบูรณาการกับท่องเที่ยวชุมชน (ฟาร์ม–สเตย์ เวิร์กช็อปน้ำผึ้งดิบ/ชีสนมแพะ) เพื่อยืดหยุ่นต่อรอบราคาสินค้าโภคภัณฑ์

แนวทางทั้งสามต้องการ “ข้อมูลฐาน” รายหมู่บ้าน–ตำบล ซึ่ง หนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 มีจุดเริ่มต้นให้ต่อยอดได้—ข้อได้เปรียบของภาคเหนือคือเครือข่ายเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง จึงสามารถนำข้อมูลไปสู่การจัดการร่วม (collective action) ได้เร็วกว่าหลายภูมิภาค

ทำอย่างไรไม่ให้รายย่อยหลุดขบวน

เมื่อนำข้อมูลระดับประเทศมาประกอบ จะเห็น ภาพใหญ่ 3 ประการ ที่ควรเร่งดำเนินการเชิงนโยบาย

รักษาฐานรายย่อยด้วย “ต้นทุน–ตลาด–ความรู้” ที่ทันสมัย เกษตรกรรายย่อยเป็น กว่า 96% ของผู้เลี้ยงโคเนื้อทั้งประเทศ (ส่วนใหญ่เลี้ยงไม่เกิน 20 ตัว) การหายไปของกลุ่มนี้หมายถึงรากฐานความมั่นคงทางอาหารที่สั่นคลอน ทางออกคือ “รวมกลุ่ม–ซื้อรวม–ขายรวม–คุ้มครองความเสี่ยงร่วม” พร้อมแพลตฟอร์มข้อมูลต้นทุนอาหารสัตว์–ราคาตลาดแบบเรียลไทม์ที่เข้าถึงได้จริง—from district livestock office ไปถึงมือถือเกษตรกร  

การบริหารความเสี่ยงจาก “การรวมศูนย์” ในสุกร–ไก่เชิงอุตสาหกรรม

เมื่อฐานการผลิตกระจุกอยู่ไม่กี่เขต/ไม่กี่จังหวัด ยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารควรรองรับ “แผนเฝ้าระวังโรค–สำรองผลผลิต–กระจายเส้นทางขนส่ง–สื่อสารราคา” แบบทันเหตุการณ์ เพื่อกันช็อกที่อาจกระทบราคาผู้บริโภคกว้างขวาง ต่อท่อมูลค่าเพิ่มสู่เมือง–ท่องเที่ยว–ชายแดน สินค้าปศุสัตว์คุณภาพ (GI/ฮาลาล/อินทรีย์) และผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น เช่น น้ำผึ้งป่าเหนือบน ชีสนมแพะ เนื้อโคพื้นเมืองแปรรูป มีศักยภาพเจาะตลาดเมือง–นักท่องเที่ยว และตลาดชายแดน—เชียงรายเป็น “ประตูการค้า” ตามธรรมชาติ หากเชื่อมระบบโลจิสติกส์เย็นและจุดกระจายสินค้าระดับตำบล–อำเภอ จะยกระดับรายได้ให้ฐานรายย่อยได้จริง

แผนปฏิบัติการ 6 ข้อสำหรับเชียงราย (และภาคเหนือ)

  1. ทำแผนที่การผลิต (production map) รายตำบล – รู้ว่า “อะไรอยู่ที่ไหน–ใครเลี้ยงอะไร–ขนาดเท่าไร–เชื่อมตลาดใด” แล้วสื่อสารสาธารณะเพื่อลดปัญหาคนกลาง
  2. สหกรณ์อาหารสัตว์ตำบล – ต่อรองซื้อวัตถุดิบรวม ลดต้นทุน และล็อกสัญญาขายบางส่วนเพื่อลดความผันผวน
  3. ยกระดับมาตรฐานรายย่อยเป็น “รายย่อยพรีเมียม” – โคพื้นเมืองเลี้ยงทุ่ง/ไก่พื้นเมืองปล่อยอิสระ พร้อมการตรวจย้อนกลับง่าย ใช้สตอรี่ “ดอย–ป่า–ไร่ชา” เป็นจุดขาย
  4. กันชนโรคระบาดผ่านคลินิกปศุสัตว์เคลื่อนที่ – บริการวัคซีน/สุขภาพสัตว์ถึงหมู่บ้าน และตั้งกองทุนฉุกเฉินโรคสัตว์ระดับอำเภอ
  5. นวัตกรรมการตลาด – เปิด “ตลาดออนไลน์จังหวัด” ให้ผู้บริโภคในเมือง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสั่งสินค้าฟาร์มโดยตรง ส่งผ่านระบบเย็นเดียวกัน
  6. เกษตรทางเลือกเชื่อมท่องเที่ยว – ผึ้งชันโรง–แพะ–แกะ เป็นกิจกรรมเสริมรายได้ ควบคู่เวิร์กช็อปและฟาร์ม–สเตย์สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ

ทำไม “เชียงราย” จึงยังยืนได้

เมื่อฐานเกษตรกรของประเทศหดตัวลง 4.35% เชียงรายยังยืนได้เพราะ “ไม่พึ่งชนิดสัตว์เดียว” และ “ยังมีแขนขารายย่อยให้ชุมชนพึ่งตนเอง” ขณะเดียวกันก็เริ่มมี “กล้ามเนื้ออุตสาหกรรม” ในสุกร–ไก่ไข่รองรับตลาดสมัยใหม่ นี่คือโครงสร้างที่คนทำงานนโยบายต้องช่วย “จัดสมดุล” ระหว่าง ความมั่นคงอาหารชุมชน กับ ขีดความสามารถแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม ให้ไปด้วยกัน

หากวางแผนถูกจุด—ยกระดับข้อมูล, ลดต้นทุน, เพิ่มมาตรฐาน, เชื่อมตลาด—เชียงรายไม่เพียง “รับมือวิกฤต” ได้ แต่ยังสามารถ “ปลดล็อกโอกาส” เป็น ฮับสินค้าปศุสัตว์คุณภาพของล้านนา ที่ส่งออกไปสู่เมืองใหญ่และชายแดน สร้างรายได้ใหม่ให้เกษตรกรรายย่อยนับหมื่นครัวเรือน

เพื่อช่วยให้ผู้นำท้องถิ่น นักวางแผนจังหวัด ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกรใช้เป็นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและธุรกิจ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ ปศุสัตว์ไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน สู่โครงสร้างใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: หนังสือ ข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ในประเทศไทย ปี 2568” จัดทำโดยกลุ่มสารสนเทศและข้อมูลสถิติ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“โฮงยาไทย Premium Clinic” กลางเซ็นทรัล นำร่องบริการสุขภาพถึงมือถึงชุมชน

เชียงรายพลิกโฉมบริการสุขภาพ “ถึงมือ-ถึงใจ-ถึงชุมชน” เซ็นทรัล เชียงราย จับมือ ‘โฮงยาไทย’ เปิด ‘ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร’ นำร่องลดแออัดโรงพยาบาล เชื่อมประสบการณ์การรักษาเข้ากับวิถีชีวิตเมือง

เชียงราย, 29 กันยายน 2568 เสียงปรบมือดังก้องลานชั้น 2 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ในบ่ายวันอาทิตย์—ภาพของแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารศูนย์การค้า และประชาชนที่หลั่งไหลมารอรับฟังข่าวดี สะท้อน “จุดตัดสำคัญ” ของระบบสุขภาพจังหวัดบนดอย เมื่อ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่คนเมืองเรียกติดปากว่า “โฮงยาไทย” ประกาศความร่วมมือกับ เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ภายในศูนย์การค้า—บริการแพทย์คุณภาพที่เลื่อนไหลไปกับจังหวะชีวิตในเมือง โดยตั้งเป้าช่วย “กระจายภาระ” ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลหลัก ลดระยะรอคอย และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับคนเชียงรายและจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นรูปธรรม

 “MOU” กลางเมือง เมื่อโรงพยาบาลไปหาประชาชน

ความร่วมมือครั้งนี้ “ไม่ใช่เพียงเช่าพื้นที่” หากคือการออกแบบประสบการณ์สุขภาพใหม่ทั้งระบบ จุดยืนชัดจากโพสต์ทางการของโรงพยาบาลที่ระบุการลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง โฮงยาไทย กับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเตรียมเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic” ซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็น ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ให้บริการตรวจสุขภาพ เจาะเลือด วัคซีน และปรึกษาแพทย์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายในโลเคชันที่เดินถึงง่าย จอดรถสะดวก และเชื่อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองโดยตรง

การเคลื่อนย้าย “บริการหน้าเคาน์เตอร์” มาไว้ใน “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Center of Life ของผู้พัฒนาศูนย์การค้าอย่าง Central Pattana (CPN) ที่ประกาศบทบาทศูนย์การค้าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่เพียงการจับจ่าย ซึ่งเมื่อบรรจบกับบริการสุขภาพ จะสร้าง “ประสบการณ์ที่จำเป็น” ใกล้มือประชาชนยิ่งขึ้น

โรงพยาบาลใหญ่—ผู้ป่วยนอกล้น ระบบนัดแน่น

“การรอคอย” คือความจริงที่คนไข้รับรู้ร่วมกัน โฮงยาไทยในฐานะ โรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ มีขนาดเตียงใช้งานจริงกว่า 800 เตียง—ตัวเลขสะท้อนภาระงานที่สูงของจังหวัดชายแดนที่เป็น “แม่เหล็ก” ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั้งในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงผู้ป่วยใน 821 เตียง (รวม ICU หลายสาขา) ซึ่งอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำของภูมิภาคเหนือ

แนวโน้มระดับประเทศก็ชี้ว่าโรงพยาบาลใหญ่กำลังปรับตัวเพื่อลดความแออัดผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่าน Telemedicine และการกระจายจุดบริการ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้รับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวันของโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงจาก 23,022 คน/วัน (ปี 2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (ปี 2567) หลังหน่วยบริการเร่งใช้เครื่องมือดิจิทัลและรีดีไซน์เส้นทางบริการ—ตัวเลขที่สอดรับกับทิศทาง “ดึงบริการเบา” ออกจากโรงพยาบาลหลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยหนักและซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ศูนย์ตรวจสุขภาพที่ “ไปหา” ประชาชนในห้าง จึงไม่ใช่แฟชั่น หากเป็น “การปฏิรูปเชิงพื้นที่” ให้บริการป้องกันโรคและดูแลโรคไม่รุนแรงใกล้บ้าน เพื่อให้โรงพยาบาลหลัก “ว่างพอ” สำหรับกรณีฉุกเฉินและซับซ้อน—คลี่ปมหลักของระบบ

ตรวจ เจาะ วัคซีน ปรึกษาแพทย์—ครบวงจรในจุดเดียว

จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของเซ็นทรัล เชียงรายและเครือข่ายท้องถิ่น บริการหลักของ ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ประกอบด้วย
1) โปรแกรมตรวจสุขภาพและ การตรวจโลหิต (Blood Work) สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
2) วัคซีน จำเป็นตามช่วงวัย และตามฤดูกาล เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน
3) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมเวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ครอบครัว รวมถึงการบูรณาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนจีนกับเวชกรรมสมัยใหม่ ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลิกบุหรี่ และสุขภาวะองค์รวมในคนทำงานและผู้สูงอายุ

ทิศทาง “แพทย์บูรณาการ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในนโยบายสาธารณสุขไทย ช่วงหลัง กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ และ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผสาน “ตะวันตก–ตะวันออก” ให้บริการตอบโจทย์ปัจเจก—แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดสู่ระดับพื้นที่ผ่านคลินิกปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพในเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทำเลและเวลา สุขภาพที่ไม่ต้อง “ลางานทั้งวัน”

การตั้งจุดบริการในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจ–ฉีด–ปรึกษา” ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ลดต้นทุนแฝงจากการเดินทางและการรอคอย โดยแนวปฏิบัติของโฮงยาไทยก่อนหน้านี้ก็เคลื่อนบริการบางส่วนไปใกล้ชุมชน เช่น โครงการเจาะเลือดล่วงหน้าใกล้บ้าน ร่วมกับพันธมิตรแล็บในจังหวัดเพื่อย่นเวลา รอผลสั้น พบแพทย์ไว—กรอบคิดเดียวกับการเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพ ในห้าง ที่พยายาม “วางเส้นทาง” ให้สั้นและง่ายที่สุดสำหรับประชาชนที่ต้องการบริการป้องกันและติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ดุลยภาพใหม่ระหว่าง “คุณภาพ–ความสะดวก–ความเท่าเทียม”

แม้ในงานเปิดตัวจะเน้นภาพรวมมากกว่าคำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหาร แต่สาระที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดสื่อสารตลอดปีที่ผ่านมา คือภารกิจ ยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน” และ ขยายจุดเข้าถึงวัคซีน–คัดกรอง เพื่อไล่ทันความเสี่ยงในทุกอำเภอ—การมี “แขนขา” ในห้างจึงช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่เดินห้างเป็นกิจวัตร พร้อมย้ำบทบาท “สาธารณสุขเชิงรุก” ในพื้นที่เมืองหลักของจังหวัด

ในอีกมุมหนึ่ง การจับมือครั้งนี้ยังสะท้อน “ดุลยภาพใหม่” ระหว่าง คุณภาพทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์ (ซึ่งมีศักยภาพเตียงรวมกว่า 800 เตียง และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพครบถ้วน) กับ ความสะดวก และ ประสบการณ์ผู้ใช้บริการ ที่เครือเซ็นทรัลขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Center of Life—ทำให้บริการสุขภาพฐานราก “น่าไป” ไม่ใช่ “จำใจไป”

ข้อมูลชวนคิด ตัวเลขที่บอกว่า “ใกล้ขึ้น–เร็วขึ้น–คุ้มค่าขึ้น”

  • ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หลังใช้ Telemedicine และออกแบบเส้นทางบริการใหม่—จาก 23,022 คน/วัน (2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (2567) สะท้อนว่าการ “ย้ายบริการเบาออกนอกอาคารใหญ่” มีผลลัพธ์จริงระดับระบบ
  • ศักยภาพเตียงโฮงยาไทย 821 เตียง คือทรัพยากรอันจำกัดที่ควรถูกใช้กับผู้ป่วยซับซ้อน—การให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานและวัคซีนในเมือง จึงช่วย กันคิว ห้องตรวจและเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
  • วาระการแพทย์บูรณาการ ระดับกระทรวง ทำให้ แพทย์แผนไทย/จีน ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคทั่วไปและส่งเสริมสุขภาพ—เหมาะกับบริการในห้างที่ต้องการความ “นุ่มนวล–เข้าถึงง่าย” แต่ยังคงมาตรฐานทางการแพทย์

จากจุดตั้งต้นสู่แผนขยาย ฐานรากของ “เมืองสุขภาวะ”

การเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพในศูนย์การค้า ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือ “ฐาน” ของการขยายเครือข่ายบริการสุขภาพในเมือง—โมเดลที่อาจต่อยอดสู่ คลินิกเรื้อรังคงที่, มุมสุขภาพวัยทำงาน, บริการวัคซีนตามฤดูกาล หรือ กิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เชิงรุกในวันหยุด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาต่อเนื่องผ่านการตั้งจุดบริการนอกโรงพยาบาลในพื้นที่ชุมชนและอำเภอรอบนอก

และเมื่อ ศูนย์การค้าสมัยใหม่ กลายเป็น “สนามปฏิบัติการ” ของสุขภาวะ เมืองย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ—เพราะทุกกิจกรรมสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใช้สอยของห้าง ส่งต่อ รายได้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น (ร้านอาหาร–คาเฟ่–สินค้าเพื่อสุขภาพ) ขณะเดียวกันก็ช่วยบ่มเพาะ “วัฒนธรรมดูแลตัวเอง” ให้เป็น กิจวัตร มากกว่า ภาระ

เสียงสะท้อนจากชุมชน “โฮงยาไทย” ที่ใกล้ขึ้น

สื่อท้องถิ่นหลายสำนักและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเชียงรายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยพาดหัวร่วมกันว่า พรีเมียมคลินิกในห้าง—ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด” พร้อมอธิบายขอบเขตบริการที่ “เหมาะกับอาการทั่วไปและโรคเรื้อรังคงที่” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับบริการฉุกเฉิน ซึ่งยังต้องไปที่โรงพยาบาลหลักเหมือนเดิม—การสื่อสารเช่นนี้ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ใช้บริการให้ตรงกับธรรมชาติของคลินิกในเมือง

นอกจากนี้ บัญชีทางการของ โฮงยาไทย ยังสื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่าน Facebook Live ทั้งเรื่องก้าวต่อไปขององค์กร และบริการใหม่ ๆ เช่น Telehealth Center—เป็นสัญญาณว่าโรงพยาบาลกำลัง “เดินสองขา” ทั้ง ทางไกล และ ทางใกล้ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการหลากหลายให้ประชาชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ความเสี่ยง–ข้อพึงระวัง คุณภาพมาตรฐานและการเชื่อมข้อมูล

แม้ศูนย์ในห้างจะตอบโจทย์ “เข้าถึงง่าย” แต่โจทย์เชิงเทคนิคสำคัญคือ การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ระหว่างคลินิกในเมืองกับโรงพยาบาลหลัก ทั้ง แฟ้มเวชระเบียน, ผลแลบบนระบบ, ยานัดหมาย, และ การดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง—หากออกแบบระบบดี จะทำให้ผู้ป่วย ตรวจ–รับยา–ติดตาม ได้ในเมือง และกลับโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็น ซึ่งโฮงยาไทยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแล็บเครือข่ายและการนัดหมายล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงมีฐานข้อมูลพร้อมต่อยอดสู่บริการในห้างได้รวดเร็ว

อีกด้าน มาตรฐานความปลอดภัย ของการให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ต้องคงคุณภาพเทียบเท่าพื้นที่โรงพยาบาล ทั้งการควบคุมการติดเชื้อ การจัดการเวชภัณฑ์ และระบบส่งต่อฉุกเฉิน—ซึ่งการมี พันธมิตรภาคเอกชน ที่มีระบบบริหารจัดการพื้นที่เข้มแข็ง (เช่น CPN) ช่วยลดความเสี่ยงปฏิบัติการในวันแรก ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมืองที่ “กอดสุขภาพ” ไว้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเรื่องเล่ามาถึงฉากสุดท้าย—เชียงรายกำลังวางรากฐาน เมืองสุขภาวะ” ด้วยการเหลื่อมซ้อนบริการสาธารณสุขลงบนพื้นที่ชีวิตจริง บนทางเดินที่ใคร ๆ ก็แวะได้ โฮงยาไทยยังคงเป็น แบ็กโบน ของการรักษาระดับสูง ส่วน ศูนย์ตรวจสุขภาพในห้าง รับช่วงงานป้องกัน–คัดกรอง–ติดตามอาการทั่วไป—นี่คือ ระบบสองชั้น ที่พยายามส่ง “ทรัพยากรแพทย์” ไปอยู่ “ที่ถูกที่–ถูกเวลา–ถูกคน”

และเมื่อประชาชน “พบหมอ” ง่ายขึ้น “ฉีดวัคซีน” ใกล้ขึ้น “เจาะเลือด” สะดวกขึ้น—ระบบสุขภาพทั้งจังหวัดก็จะ หายใจโล่งขึ้น เฉกเช่นอากาศยามเช้าบนดอยตุง

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • MOU โฮงยาไทย x เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic / ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ในห้าง—นำบริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และปรึกษาแพทย์ใกล้ชุมชนเมือง เพื่อลดแออัดโรงพยาบาลหลักและเพิ่มการเข้าถึงบริการเชิงป้องกันของประชาชน
  • โฮงยาไทย = โรงพยาบาลศูนย์ ศักยภาพเตียง 821 เตียง (หลาย ICU)—ทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกกันไว้สำหรับกรณีซับซ้อนและฉุกเฉิน การดึงบริการเบาออกนอกโรงพยาบาลจึงช่วยใช้เตียงให้ตรงภารกิจมากขึ้น
  • แนวโน้มประเทศ ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์ลดลงต่อเนื่องหลังปรับใช้ Telemedicine และรีดีไซน์บริการ—ยืนยันประสิทธิผลของ “การกระจายจุดบริการ” และ “ดิจิทัลเฮลท์” ในการคลายคอขวดระบบ
  • นโยบายบูรณาการแพทย์ กรมการแพทย์จับมือกรมการแพทย์แผนไทยฯ ผลักดันบริการผสมผสาน—สอดรับบริการแพทย์แผนไทย/จีนในศูนย์ตรวจสุขภาพรูปแบบใหม่ในเมือง
  • สาธารณสุขจังหวัด ขับเคลื่อนวัคซีนพื้นฐานและงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก—การมีจุดบริการในห้างช่วยเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวได้มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • Central Chiangrai
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงราย เปิดศึก CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ใช้กีฬาวอลเลย์บอลเชื่อมสัมพันธ์ 4 องค์กร

อบจ.เชียงราย เปิดศึก CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ใช้กีฬาวอลเลย์บอลเชื่อมสัมพันธ์ 4 องค์กร ดันสุขภาพดี-ประสิทธิภาพงานพุ่ง

เชียงราย, 28 กันยายน 2568  – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้แสดงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพและความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดกิจกรรมกีฬา CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ขึ้น เพื่อใช้กีฬาวอลเลย์บอลเป็นสื่อกลางในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยการแข่งขันครั้งนี้ได้รวมพลังของ 4 องค์กรหลักในจังหวัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างคึกคัก

การรวมพลัง 4 เสาหลักของเชียงราย

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เป็นประธานเปิดการแข่งขัน ณ โรงยิมเนเซียม สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย โดยมีผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง .

การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบกระชับมิตร แต่ยังคงความเข้มข้นของกีฬาวอลเลย์บอลเต็มรูปแบบ โดยมีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 4 ทีม ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรสำคัญในจังหวัด:

  1. ทีมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  2. ทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  3. ทีมเทศบาลนครเชียงราย
  4. ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า โครงการ CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงเวทีการแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพกายและใจของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางสำคัญในการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่

เทศบาลนครเชียงรายคว้าแชมป์หญิง

การแข่งขันดำเนินไปอย่างสนุกสนานและเข้มข้น ซึ่งผลการแข่งขันได้สะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและความมุ่งมั่นของบุคลากรจากแต่ละองค์กร:

  • รุ่นทั่วไปหญิง:
    • ชนะเลิศ: ทีมเทศบาลนครเชียงราย
    • รองชนะเลิศ: ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • รุ่นทั่วไปชาย:
    • ชนะเลิศ: ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
    • รองชนะเลิศ: ทีมเทศบาลนครเชียงราย

กีฬาคือเครื่องมือสร้างคุณภาพชีวิต

การจัดกิจกรรมกีฬาโดยหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลด้านการส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกาย แต่ในบริบทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การใช้กีฬาเป็นสื่อกลางมีความสำคัญมากกว่าแค่การออกกำลังกาย:

  1. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน (Inter-agency Networking): การแข่งขันวอลเลย์บอลเป็นช่องทางที่บุคลากรจากต่างองค์กรได้ใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความคุ้นเคยและเปิดโอกาสให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างองค์กรที่มีภารกิจซับซ้อนร่วมกันอย่างมหาวิทยาลัย เทศบาล และ อบจ.
  2. การพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากร: โครงการนี้สนับสนุนให้บุคลากรภาครัฐใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ลดความตึงเครียดจากการทำงาน และมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการเป็นองค์กรที่ใส่ใจและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ที่พร้อมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรและประชาชน ด้วยการใช้กีฬาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสุขภาพที่แข็งแรง เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในสังคม และเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อุโมงค์ 4 เลน 760 ม. แก้คอขวด ม.พะเยา ผู้รับจ้างชี้เลื่อนเสร็จปลายปี 2571

ทางลอดหน้า ม.พะเยา เดินหน้าสู่สัญญาก่อสร้าง ผู้รับจ้างภาคสนามชี้เลื่อนเสร็จปลายปี 2571 เปิดแบบ “อุโมงค์ 4 เลน 760 เมตร” วงเวียนเชื่อมท้องถิ่น ลดจุดอุบัติเหตุบน ทล.1

พะเยา,27 กันยายน 2568 — “มหาวิทยาลัยพะเยา” กำลังกลับมาดังก้องอีกครั้ง เมื่อโครงการก่อสร้าง “ทางลอดหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา” บนทางหลวงหมายเลข 1 หรือพหลโยธิน เดินหน้าเข้าสู่ช่วงลงนามสัญญาและเตรียมก่อสร้าง หลังแผนงานชุดนี้ถูกผลักดันมาตั้งแต่ปี 2564–2565 เพื่อปลดล็อกจุดคอขวด—ที่ผู้ขับขี่คุ้นเคยมานาน—และลดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุบริเวณทางเข้ามหาวิทยาลัย ศูนย์การแพทย์ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา

แม้ “ไทม์ไลน์” จะยืดเยื้อจากแผนเดิมที่เคยหวังเริ่มงานตั้งแต่ต้นปี 2565 และแล้วเสร็จราวปี 2568 ทว่าข้อมูลล่าสุดจากเอกสารเชิญชวนประกวดราคาจ้างก่อสร้าง (e-bidding) ของกรมทางหลวงในวันที่ 23 เมษายน 2568 สะท้อนว่าโครงการเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเป็นระบบเรียบร้อย และมีการเผยแพร่เงื่อนไข/ขอบเขตงานต่อสาธารณะแล้ว ขณะที่เพจข่าวท้องถิ่นในพื้นที่รายงานสอดคล้องกันว่า ผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ได้รับการคัดเลือกคือ “หจก.รัตนชาติก่อสร้าง” โดยคาดจะลงนามสัญญาปลายปีนี้ และเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จไปเป็น “ปลายปี 2571” เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมการทำงานบนทางหลวงสายหลักที่ยังต้องเปิดใช้งานต่อเนื่องตลอดการก่อสร้าง

เส้นเรื่องจากแผนงานสู่หน้างานทำไมโครงการจำเป็นต่อเมือง

บริเวณกิโลเมตร 822+500 ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เป็นจุดตัดสำคัญของทางหลวงหมายเลข 1 กับทางเข้ามหาวิทยาลัยพะเยา ที่ผ่านมาจุดนี้ใช้ “สัญญาณไฟจราจร” ควบคุมการตัดผ่าน ส่งผลให้เกิดความหนาแน่นสูงในชั่วโมงเร่งด่วนของมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล และเป็นจุดที่ชาวพื้นที่ยกให้เป็น “จุดเสี่ยง” จากการตัดผ่านหลายทิศทาง กรมทางหลวงจึงวาง “ทางลอด” เป็นคำตอบเชิงวิศวกรรม เพื่อแยกชั้นการจราจรอย่างสมบูรณ์—รถทางไกลไหลผ่านใต้ดินไม่หยุดชะงัก ส่วนรถท้องถิ่นขึ้น–ลงเชื่อมกันผ่านถนนคู่ขนานและวงเวียนชั้นบน ลด “จุดปะทะ” (conflict points) อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับสี่แยกติดสัญญาณไฟตามเดิม

เปิดแบบก่อสร้าง อุโมงค์ 4 ช่องจราจร 760 เมตร เชื่อมคู่ขนาน–วงเวียน

โครงสร้างหลักของโครงการประกอบด้วย

  • ทางลอดหลัก 4 ช่องจราจร (ไป–กลับ) ความยาวประมาณ 760 เมตร กว้างช่องละ 3.50 เมตร พร้อมไหล่ทางข้างละ 2.50 เมตร และแบริเออร์คอนกรีต 2 หน้าแบ่งทิศทาง เพิ่มความปลอดภัยในการวิ่งช่องทางใต้ดิน
  • ระบบถนนคู่ขนาน 2 ทิศทาง ตลอดแนวสองฝั่ง เพื่อเชื่อมต่อชุมชนกับมหาวิทยาลัย–ศูนย์การแพทย์ โดยไม่ต้องตัดผ่านทางหลัก
  • วงเวียนขนาด 1 ช่องจราจร กว้าง 4 เมตร ไหล่ทางด้านใน 1 เมตร และไหล่ทางด้านนอก 2 เมตร รวมกว้าง 7 เมตร ทำหน้าที่เป็นตัวเปลี่ยนทิศทางและกระจายปริมาณรถจากคู่ขนานเข้าสู่พื้นที่มหาวิทยาลัย/ชุมชน

แบบดังกล่าวถูกสื่อสายก่อสร้าง/โครงสร้างพื้นฐานเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2564–2565 และยังคงเป็นแกนหลักของ “ทางออก” เชิงวิศวกรรมของจุดตัดนี้จนถึงปัจจุบัน โดยมีกรอบงบประมาณก่อสร้าง ประมาณ 420 ล้านบาท ตามที่กรมทางหลวงชี้แจงไว้ตั้งแต่ต้นโครงการ

จาก “ปี 2565–2568” สู่ “สิ้นปี 2571”

ในมุมประชาชน ความล่าช้ากลายเป็นคำถามสำคัญ—เหตุใดงานที่ “เร่งด่วน” จึงเดินหน้าได้ช้ากว่ากำหนดราว 2–3 ปี จากการไล่ timeline เทียบเอกสารราชการและรายงานสื่อ พบปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่

  1. กระบวนการจัดสรรงบประมาณและการอนุมัติกรอบวงเงินที่ต้องรอคิวตามปีงบประมาณ
  2. ขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ e-bidding ซึ่งต้องเปิดเผย–แข่งขัน–ตรวจสอบได้
  3. เงื่อนไขทางเทคนิคและการบริหารจราจร เพราะโครงการต้องก่อสร้างบน “สายหลัก” ที่มีการสัญจรหนาแน่น ทำให้ต้องแบ่งเฟส–เบี่ยงการจราจรอย่างรัดกุม ซึ่งล้วนเพิ่มเวลาและค่าใช้จ่าย หากเทียบกับงานถนนแนวใหม่ในพื้นที่โล่ง

เมื่อรวมข้อจำกัดดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกที่กำหนดแล้วเสร็จถูกขยับไป “ปลายปี 2571” ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นและเพจข่าวด้านคมนาคม แม้ยังรอประกาศยืนยันจากหน่วยงานรัฐในชั้นสุดท้ายก็ตาม

ผู้รับจ้างภาคสนาม “หจก.รัตนชาติก่อสร้าง” กับโจทย์อุโมงค์เมืองเหนือ

รายงานหลายแหล่งระบุสอดคล้องกันว่า หจก.รัตนชาติก่อสร้าง เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยมีมูลค่าสัญญา “ประมาณ 448.9 ล้านบาท” และเตรียมลงนามสัญญาปลายปี 2568 ทั้งนี้ นิติบุคคลดังกล่าวมีสถานะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างจดทะเบียนในจังหวัดสุรินทร์ ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท และมีช่องทางติดต่อ/ข้อมูลสาธารณะชัดเจน อย่างไรก็ตาม งาน “ทางลอด 760 เมตร” ในพื้นที่เมืองที่ยังใช้งานอยู่ เป็นโจทย์วิศวกรรมที่ซับซ้อนกว่างานถนนแนวใหม่ทั่วไป จำเป็นต้องเน้นสมรรถนะด้านวิศวกรรมปฐพี การควบคุมระดับน้ำ การค้ำยัน และการจัดการจราจร 24 ชั่วโมงตลอดช่วงงาน ซึ่งเป็นตัวชี้ความสำเร็จในเฟสก่อสร้างจริง

หมายเหตุด้านแหล่งข้อมูล: ข่าวการคัดเลือกผู้รับจ้างและมูลค่าสัญญาปรากฏผ่านเพจข่าว/สื่อสังคมออนไลน์ (มิใช่ประกาศราชการ) ผู้สื่อข่าวจึงอ้างอิงในฐานะ “รายงานจากสื่อ” และจะติดตามประกาศผลผู้ชนะจากหน่วยงานรัฐเมื่อมีเอกสารทางการเผยแพร่ต่อไป

สถานการณ์จราจร–ความปลอดภัย ผลกระทบระหว่างก่อสร้าง 4 ปี

ช่วงเวลาการก่อสร้างที่ยืดไปจนสิ้นปี 2571 จะสร้างแรงกดดันต่อผู้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณมหาวิทยาลัยพะเยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเด็นที่ต้องจับตาคือ

  • การจัดการเบี่ยงจราจร ตามช่วงเวลาใช้งานของมหาวิทยาลัย/โรงพยาบาล เพื่อลดคอขวด
  • ความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนและคนเดินเท้า ด้วยรั้วกั้น–สัญญาณไฟชั่วคราว–ทางเบี่ยงมาตรฐาน
  • การสื่อสารสาธารณะ ที่ต้องสม่ำเสมอ ทั้งแผนปิด–เปิดช่องจราจร และช่องรับแจ้งเหตุจากประชาชน

ที่ผ่านมา โครงการทางลอดในเมืองใหญ่จำนวนมากเลือกใช้ “วิธีขุดเปิด–ปิด (Cut and Cover)” เป็นหลัก ซึ่งต้องแลกกับการปิดช่องจราจรเป็นช่วง ๆ การวางแผนเฟสงาน–ลำดับงานจึงเป็นหัวใจที่จะทำให้ “ความลำบากชั่วคราว” ไม่ยืดยาวเกินจำเป็น และเมื่อแล้วเสร็จ ระบบทางลอด–คู่ขนาน–วงเวียน จะช่วย “ตัดจุดปะทะ” ลดโอกาสอุบัติเหตุและเพิ่มความคล่องตัวในระยะยาว

เมื่อโครงสร้างพร้อม—ภาพวันพรุ่งนี้ของเมืองพะเยา

เมื่อเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ ทางลอด 4 ช่องจราจร จะทำให้รถทางไกลบน ทล.1 ไหลผ่านต่อเนื่อง ขณะที่การเข้าถึง “มหาวิทยาลัยพะเยา–ศูนย์การแพทย์–โรงพยาบาล” จะย้ายไปอยู่บนระบบคู่ขนานที่เชื่อมด้วยวงเวียน ลดการตัดผ่านทางสายหลักโดยตรง ผลพลอยได้คือ

  • เวลาเดินทางสั้นลง โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนเช้า–เย็นของนิสิตและบุคลากร
  • ความเสี่ยงอุบัติเหตุลดลง จากการตัดผ่านน้อยลงและความเร็วเฉลี่ยเหมาะสมขึ้น
  • ศักยภาพโลจิสติกส์ภาคเหนือดีขึ้น เพราะ ทล.1 คือเส้นเลือดใหญ่ของการขนส่ง บริเวณคอขวดลดลงย่อมช่วยให้ต้นทุนการเดินทางและขนส่งคาดการณ์ได้มากขึ้น

 “งบ 420 ล้าน” ที่ใช้แก้ปัญหาถูกจุด

หน่วยงานนโยบายด้านทางหลวงชี้ว่า โครงการนี้ “ตรงจุด” กับปัญหาจริงของพื้นที่ เพราะออกแบบเชิงระบบ ไม่ใช่เพียงขยายช่องทางชั่วคราว การลงทุนระดับ 420 ล้านบาทจึงถูกวางบนสมดุลระหว่างความปลอดภัย–การไหลจราจร–ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากเวลาที่ลดลง ซึ่งเป็นหลักคิดเดียวกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงสายหลักในภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ

เดินงานให้จบ–สื่อสารให้ชัด

เพื่อให้โครงการเดินตามกรอบ “ปลายปี 2571” โดยไม่สะดุด ผู้สื่อข่าวสรุปข้อเสนอ 4 ประการจากบทเรียนโครงการอุโมงค์เมืองอื่น ๆ ได้แก่

  1. One Source of Truth: เผยแพร่กำหนดการปิด–เปิดช่องทางรายสัปดาห์บนเว็บไซต์/เพจหน่วยงาน เพื่อให้ผู้ใช้ทางวางแผนเดินทางล่วงหน้า
  2. Traffic Steward: ตั้งทีมอำนวยการจราจรประจำจุดและจัดระบบ “เวลาเร่งด่วน” รองรับชั่วโมงเข้า–ออกมหาวิทยาลัย/โรงพยาบาล
  3. Work Windows: กำหนดช่วงทำงานกลางคืน/วันหยุดสำหรับกิจกรรมที่กระทบช่องจราจรสูง เช่น ยกคาน–ขนย้ายวัสดุ
  4. Feedback Loop: เปิดช่องรับสัญญาณจากชุมชน (Hotline/QR) ให้ส่งภาพ–พิกัดจุดเสี่ยง เพื่อปรับแผนภาคสนามแบบวันต่อวัน

ทางลอดหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา คือ “การลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิต” ของเมืองและผู้ใช้ทางหลวงสายหลัก การเดินทางของโครงการยาวนานกว่าที่คาด แต่การเดินทางสู่เส้นชัยยังเดินต่อไปตามระบบ เมื่อสัญญาถูกลงนามและหน้างานเริ่มขยับ ภาพวันที่ รถทางไกลไหลใต้ดิน–ชุมชนเชื่อมถึงกันบนวงเวียน จะใกล้เข้ามา หากทุกภาคส่วนร่วมกัน “ทำงานให้จบ และสื่อสารให้ชัด” จุดเสี่ยงที่เคยสร้างภาระให้เมือง จะกลายเป็นตัวอย่างของ “วิศวกรรมเพื่อความปลอดภัย” ที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทางหลวง (DOH)
  • ฐานข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูล “หจก.รัตนชาติก่อสร้าง” ผู้รับเหมาบริหารใน จ.สุรินทร์ ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายคว้า 4 รางวัล “เพชรพระนคร” ครอบคลุมวรรณศิลป์-หัตถกรรม ตอกย้ำเมืองศิลปิน

เชียงรายเชิดชูศิลปิน “เพชรพระนคร” ปี 2568 พลังสร้างสรรค์สี่สาขาผงาดเวทีชาติ

เชียงราย ,26 กันยายน 2568 –  บริเวณหอประชุมใหญ่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บทพิสูจน์ของ “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่หยั่งรากในชุมชนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร แก่ศิลปินและผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านวัฒนธรรมจากเชียงราย 4 ท่าน ครอบคลุมสี่สาขาหลักของมรดกภูมิปัญญา ตั้งแต่วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ ไปจนถึงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยโครงการรางวัลนี้เป็นกิจกรรมเชิดชูเกียรติที่ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จัดต่อเนื่องถึง ครั้งที่ 7 ประจำปีพุทธศักราช 2568 และมีเกณฑ์การสรรหา-คัดเลือกที่ชัดเจน โปร่งใส ครอบคลุมอย่างน้อย 12 สาขา ของงานวัฒนธรรมร่วมสมัยและดั้งเดิม

จากเวทีจังหวัดสู่เวทีประเทศ

เวลา 09.00 น. เสียงประกาศเชิญผู้มีเกียรติเข้าสู่หอประชุมใหญ่ดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมในพื้นที่ทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวก ผู้รับรางวัลพร้อมครอบครัวและครูช่างชุมชนทยอยเข้าที่นั่ง บรรยากาศยังคงความเรียบง่ายแต่ทรงความหมาย เพราะทุกคนตระหนักว่า “ใบประกาศเกียรติคุณ” บนเวทีคือจุดเริ่มของภารกิจใหม่—การถ่ายทอดองค์ความรู้กลับสู่ชุมชน โดยมีหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเชื่อมโยงเครือข่ายต่อไป. ข้อมูลเชิงพิธีการ เวลา และสถานที่ ได้รับการสื่อสารทางการผ่านช่องทางของจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน

รางวัลเพชรพระนครกรอบสาขาที่ “ครอบคลุมทั้งหน้าฉากและหลังฉาก”

รางวัลเพชรพระนครตั้งต้นจากเจตนารมณ์ “ยกย่องผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม” ครอบคลุมทั้งระดับเยาวชนและประชาชนทั่วไป และแบ่งสาขาย่อยหลากหลาย เช่น ทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ วรรณศิลป์ ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน คหกรรมศิลป์ ศาสนาและขนบธรรมเนียม การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาท้องถิ่นและเศรษฐกิจพอเพียง บำเพ็ญประโยชน์และจิตอาสา กีฬาและนันทนาการ รวมถึงสาขาเกี่ยวเนื่องอื่นตามที่ประกาศในปีนั้น ๆ กรอบดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ “ทั้งระบบ” ของงานวัฒนธรรม ที่เห็นคุณค่าทั้งผู้สร้างสรรค์หน้าฉากและผู้ปิดทองหลังพระในโครงสร้างชุมชน

รายชื่อผู้ได้รับการเชิดชูเกียรติจากเชียงรายปี 2568

  1. นายฉลอง พินิจสุวรรณ — สาขา วรรณศิลป์ (เหรียญทอง) ผู้สร้างรากฐานงานเขียนร่วมสมัยที่หยิบยกท้องถิ่นเป็นฐาน แล้วขยายสู่สาธารณะในวงกว้าง ชื่อของ “ฉลอง” เชื่อมโยงกับชีวประวัติด้านวรรณศิลป์และการทำงานด้านภาษาในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยาวนาน
  2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ — สาขา ดุริยางคศิลป์ (เหรียญทอง) เป็นแบบอย่างของการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารวัฒนธรรม สร้างเวทีให้เยาวชนทดลอง-เรียนรู้ และประยุกต์องค์ความรู้ทางดนตรีกับชีวิตร่วมสมัย
  3. นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี — สาขา ทัศนศิลป์ (เหรียญทอง) สะท้อนศักยภาพ “เมืองศิลปิน” ของเชียงราย ผ่านผลงานที่เชื่อมแกลเลอรี ชุมชนศิลป์ และพื้นที่เรียนรู้เข้าด้วยกัน.
  4. นางสาวนิธี สุธรรมรักษ์ — สาขา ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน (เหรียญเงิน) ต้นแบบการอนุรักษ์และดัดแปลงภูมิปัญญางานช่างมือสู่ผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจและตัวตนวัฒนธรรมให้กับชุมชน.

หมายเหตุ: รายชื่อและสาขาดังกล่าวถูกสื่อสารยืนยันโดยหน่วยงานภาครัฐในระดับจังหวัดและหน่วยงานผู้จัดรางวัล โดยเฉพาะประกาศผลทางการของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

จากความภาคภูมิใจสู่โจทย์ “ถ่ายทอด-ต่อยอด” ในพื้นที่

เมื่อเสียงปรบมือสุดท้ายจบลง โจทย์ที่เริ่มต้นทันทีคือ “จะถ่ายทอดอย่างไรให้ถึงมือคนรุ่นใหม่” บทเรียนจากเชียงรายชี้ว่า “การเชิดชู” จะงอกเงย เมื่อมี กลไกการส่งต่อความรู้ ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่

  • บทบาทครูชุมชนศิลป์: ศิลปินผู้ได้รับรางวัลเข้าเยี่ยมโรงเรียน อบต. ศูนย์การเรียนรู้ จัดเวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติการ สร้างแรงบันดาลใจที่ลงมือทำได้จริง
  • ฐานข้อมูลดิจิทัลผลงาน: รวบรวมหนังสือ เพลง งานจิตรกรรม ลวดลายหัตถกรรม และคลิปการสาธิตไว้ในแหล่งเปิด เพื่อให้นักเรียน-ครู-ผู้ประกอบการเข้าถึง
  • เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: เชื่อมศูนย์ศิลป์ แหล่งหัตถกรรม ตลาดชุมชน และเวทีดนตรีท้องถิ่น ให้การท่องเที่ยวกลายเป็นรายได้ทางเลือกของชุมชน

มองเชิงนโยบาย นี่คือ Soft Power ฐานราก ที่จับต้องได้—เพราะหนึ่งรางวัล อาจเท่ากับหนึ่งโครงการใหม่ในหมู่บ้านหนึ่งแห่ง ถ้าร้อยรางวัลเชื่อมกัน จะเกิดเครือข่ายการเรียนรู้ทั้งจังหวัด

เชียงรายในภาพกว้างระบบนิเวศวัฒนธรรมที่เกื้อหนุนกัน

จุดแข็งของเชียงรายคือ การทำงานร่วมกันของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวัฒนธรรม ผู้นำท้องถิ่น และภาคประชาสังคม การได้รับรางวัลทั้งสี่สาขาในปีนี้ ทำให้ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ของ “ศิลปะ—ความรู้—เศรษฐกิจชุมชน” ครบถ้วน ตั้งแต่งานเขียน (สร้างความคิด) ดนตรี (ขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม) ทัศนศิลป์ (ยกระดับภาพลักษณ์) จนถึงหัตถกรรม

ทำไม “กรอบสาขา 12 หมวด” จึงสำคัญต่อมาตรฐานการคัดเลือก

กรอบสาขาที่ชัดเจนคือหลักประกันว่า รางวัลเน้น คุณค่าเชิงสาธารณะ มากกว่าความโด่งดังเฉพาะบุคคล การเปิดพื้นที่ตั้งแต่ ศิลป์ คหกรรม จิตอาสา จนถึงกีฬาและนันทนาการ แปลว่า งานวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดเฉพาะ “เวที” หากครอบคลุม “วิถี” อันเป็นเหตุผลที่ชื่อของครูช่าง ผู้จัดการชุมชน หรือครูภูมิปัญญา สามารถปรากฏเคียงข้างศิลปินมืออาชีพได้อย่างภาคภูมิ ทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่ในประกาศและคำอธิบายกิจกรรมของหน่วยงานผู้จัด

บทเรียนเชิงนโยบายจากพิธีมอบรางวัลปีนี้

  1. รัฐ-สถาบัน-ชุมชน ต้องทำงานแบบสามเหลี่ยม: จังหวัดช่วยอำนวยการ สถาบันอุดมศึกษากำกับมาตรฐาน และชุมชนเป็นเวทีทดลองและต่อยอด
  2. สร้างเส้นทางอาชีพด้านศิลปะอย่างจริงจัง: หลักสูตรสั้น คูปองทักษะ เวิร์กช็อป และคลินิกธุรกิจชุมชน จะเปลี่ยนรางวัลเป็น “รายได้”
  3. สื่อสารสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ: การเผยแพร่ผลและเกณฑ์ผ่านเพจ/เว็บทางการ ช่วยให้การคัดเลือก “ตรวจสอบได้” และชวนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมมากขึ้น

 “ราก” ของศิลปินทำให้ “รางวัล” งอกงาม

ในบรรดาผู้รับรางวัล ชื่อของ ฉลอง พินิจสุวรรณ คือภาพสะท้อนว่าฐานรากการศึกษาและการทำงานยาวนานในพื้นที่ภาคเหนือ—ตั้งแต่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคมไปจนถึงบทบาทด้านภาษา—คือทุนทางสังคมที่สั่งสมแล้วผลิดอกบนเวทีประเทศ

รางวัลครั้งนี้บอกอะไรกับอนาคตเชียงราย

  • บอกว่า เมืองนี้มี “ระบบ” ไม่ใช่เพียง “ดาวเด่น” เมื่อสี่สาขาสำคัญถูกยกย่องพร้อมกัน แปลว่าระบบนิเวศวัฒนธรรมทำงานครบห่วงโซ่
  • บอกว่า ความภูมิใจต้องแปรเป็น “โครงการ” ทั้งในโรงเรียน ชุมชน และตลาด เพื่อให้วัฒนธรรมอยู่ได้ด้วยคุณค่าและมูลค่า
  • บอกว่า ความโปร่งใสของกระบวนการคัดเลือก (มีประกาศผลและเกณฑ์บนช่องทางทางการ) คือทุนความน่าเชื่อถือที่เติมให้รางวัลมีน้ำหนักและยืนระยะได้

พิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร ปี 2568 ที่เชียงรายไม่ใช่เพียงไฮไลต์ปลายปี แต่คือ “สัญญาณเริ่มต้น” ของการเดินทางบทใหม่ในพื้นที่—ซึ่งต้องการทั้งพลังสาธารณะและพลังหน่วยงาน หากเดินหน้าตามสามหลักการ “ถ่ายทอด-ต่อยอด-ตรวจสอบได้” รางวัลในวันนี้จะงอกเงยเป็นหลักสูตร เวที และรายได้ของชุมชนในวันพรุ่งนี้ และทำให้ Soft Power ฐานราก ของเชียงรายและล้านนามีน้ำหนักต่อเนื่องบนเวทีประเทศ

นายฉลอง พินิจสุวรรณ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาวรรณศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาดุริยางคศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี – รางวัลเพชรพระนคร สาขาทัศนศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
นางสาวนิธี สุธรรมรักษ์ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ประเภทเหรียญเงิน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

นายกฯ อนุทิน อัญเชิญ “พระพุทธสิริไตรรัฐ” จากแม่สาย ตั้งบนโต๊ะทำงานวันแรก

พระพุทธสิริไตรรัฐ” จากสามเหลี่ยมทองคำสู่ตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อมงคลวัตถุเดินทางถึงศูนย์กลางอำนาจ และความศรัทธาถูกวางไว้ข้างการบริหารประเทศ

เชียงราย/กรุงเทพฯ, 26 กันยายน 2568 — เช้าตรู่ที่ทำเนียบรัฐบาล บันไดตึกไทยคู่ฟ้าคึกคักกว่าปกติ เมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก้าวเข้าสู่ “วันแรก” แห่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคภูมิใจไทย และคณะทำงานที่ร่วมติดตาม ขณะเดียวกัน เสียงกระซิบจากสื่อมวลชนในลานทำเนียบต่างจับจ้อง “วัตถุมงคล” ที่กำลังจะถูกอัญเชิญขึ้นสู่ห้องทำงานชั้นบน—หนึ่งในนั้นคือ พระพุทธสิริไตรรัฐ” พระพุทธรูปปางประทานพรที่ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี สร้างขึ้นเอง ณ ดินแดนเหนือสุดของสยาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

ภาพ “มงคลวัตถุจากชายแดน” ที่เคยกลายเป็น ของขวัญทางการเมือง มาก่อน ได้เดินทางกลับสู่ผู้สร้าง—และคราวนี้มาจอดนิ่ง บนโต๊ะทำงานนายกรัฐมนตรี ณ ตึกไทยคู่ฟ้า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงเติมเต็มบรรยากาศความเป็นสิริมงคลใน วันอธิบดี–วันธงชัย หากยังบอกเล่าประวัติศาสตร์ย่อของความสัมพันธ์ระหว่าง ความศรัทธา–อำนาจรัฐ–ความชอบธรรม ในสังคมไทยร่วมสมัย

จุดกำเนิด องค์พระจากชายแดนสู่ศูนย์กลาง

หากถอยหลังออกจากห้องทำงานของผู้นำประเทศ ภาพแรกที่ปรากฏคือ พรมแดนสามประเทศ ที่บรรจบกันกลางสายน้ำ ณ สามเหลี่ยมทองคำ—ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการจารึกในข่าวโลกด้วยเงาเข้มของการค้าฝิ่นและยาเสพติด ก่อนจะถูกทอนเงาลงด้วยการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว จุดขนถ่ายสินค้า และสะพานเชื่อมวัฒนธรรมระหว่าง ไทย–เมียนมา–ลาว ที่นี่เอง พระพุทธสิริไตรรัฐ” ได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยความตั้งใจของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะ “พุทธวัตถุ” สำหรับ ยึดเหนี่ยวใจและย้ำคุณธรรม ให้กับผู้ศรัทธา

ความพิเศษขององค์พระจึงอยู่ที่ “บริบท”—องค์พระที่เกิดบนเส้นฤทธิ์ทางประวัติศาสตร์ แวดล้อมด้วยความทรงจำที่ทั้งงดงามและสลับซับซ้อนของชายแดน บทเรียนของพื้นที่ทำให้ความหมายขององค์พระขยายตัวเกินกว่าความงามทางสุนทรียะ: คุณธรรม, สติ, การกำกับตน—เป็นหัวใจที่ผู้สร้างย้ำอยู่เสมอ

มรดก/ของขวัญ/สัญลักษณ์ วงจรความหมายที่ “วนกลับ”

พงศาวดารสั้น ๆ ขององค์พระเล่าต่อว่า พระพุทธสิริไตรรัฐ” เคยถูกมอบเป็น ของขวัญวันคล้ายวันเกิด ให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในห้วงเวลาที่ พรรคภูมิใจไทย ร่วมงานกับรัฐบาลผสมในอดีต การมอบของมงคลจากผู้นำฝ่ายการเมืองหนึ่งสู่อีกฝ่ายหนึ่ง สะท้อนมิติที่ “ศรัทธา” ทำหน้าที่เคียงคู่ “พันธมิตรทางการเมือง” อยู่เนือง ๆ

กระนั้น วงจรของสัญลักษณ์ยังไม่จบ เมื่อกาลเปลี่ยนและหน้ากระดานอำนาจเคลื่อน สถานะของผู้สร้างก็เปลี่ยน—จากผู้ให้สู่ ผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร ในวันนี้ องค์พระที่ตนสร้าง จึงถูกอัญเชิญ วนกลับ” มาหาตัวเอง และถูกวางไว้ใน ตำแหน่งที่สูงสุด สำหรับ “เครื่องเตือนใจ” ของผู้บริหารประเทศ: บนโต๊ะทำงานนายกรัฐมนตรี ณ ตึกไทยคู่ฟ้า

ฤกษ์งามยามดี พิธี, ระเบียบแบบแผน และวัฒนธรรมการเมืองไทย

เวลาไหลไปถึง 08.41 น. ของเช้าวันนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีร่วม สักการะศาลพระภูมิ–ศาลตายาย ประจำทำเนียบ เพื่อความเป็นสิริมงคล—พิธีกรรมที่คู่มากับวัฒนธรรมการเมืองไทยยาวนาน เมื่อสื่อถามถึง พรที่ขอ” คำตอบสั้น ๆ “ขอให้ราบรื่น” ถูกส่งกลับมาอย่างมั่นคง

ในอีกฟากตึกบัญชาการ 1 นายสมศักดิ์ และนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล บิดา–มารดาของ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็อัญเชิญ พระพุทธสิริไตรรัฐ อีกองค์หนึ่ง (ที่นายอนุทินเคยมอบให้ในช่วงดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ) เข้าสู่ห้องทำงานลูกชาย เป็นภาพสะท้อนเครือญาติ–เครือข่ายการเมือง ที่พิงอยู่กับ ความเชื่อร่วม และ มงคลวัตถุร่วม อย่างแนบแน่น

ขณะเดียวกัน รายชื่อ พระพุทธรูปสำคัญ ที่จะอัญเชิญเข้าสู่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี ยังปรากฏ หลวงพ่อพระพุทธโสธร และ พระพุทธชินราช ร่วมด้วย—แต่ พระพุทธสิริไตรรัฐ” ได้รับการระบุชัดว่า จะตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ของผู้นำรัฐบาลโดยเฉพาะ ความโดดเด่นเชิงตำแหน่งนี้ทำให้ “องค์พระจากชายแดน” กลายเป็น จุดโฟกัสทางสายตา ภายในพื้นที่ตัดสินใจเชิงนโยบายระดับชาติ

อยู่ที่ใจ” แก่นคิดที่วางเคียงองค์พระ

เมื่อถูกถามถึง “เครื่องราง” ที่จะนำเข้ามายังทำเนียบ นายกรัฐมนตรี ตอบสั้น ๆ ว่า อยู่ที่ใจ” ประโยคนี้เหมือนปักหมุดความหมายให้ครบวงจร: ศรัทธา อาจเป็นแรงค้ำยันที่ดี แต่ การกระทำ และ คุณธรรม คือแกนกลางของความคุ้มครองที่แท้จริง—แนวคิดเดียวกับที่ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี เคยอธิบายพุทธคุณของพระพุทธสิริไตรรัฐ ไว้ก่อนหน้า ว่าการจะได้รับความคุ้มครองนั้น ขึ้นอยู่กับการทำดี–ยึดหลักคุณธรรม ของแต่ละบุคคล

เมื่อนำวลีนี้ไปวางเคียงบุคลิกเชิงปฏิบัติการของรัฐบาลใหม่ จึงอ่านได้ว่า องค์พระ” ทำหน้าที่ เตือนใจ มากกว่าขอให้ดลบันดาล และเป็น สัญญาประชาคมขนาดย่อ ว่า “ความชอบธรรม” จะถูกสร้างจาก การลงมือทำ ไม่ใช่การพึ่งพา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงอย่างเดียว

สัญลักษณ์ที่เล่าเรื่อง “การขึ้นสู่อำนาจอย่างเป็นทางการ”

ในทางการเมือง สัญลักษณ์คือ “ภาษา” ที่ทรงพลัง การอัญเชิญ “พระพุทธสิริไตรรัฐ” ขึ้นสู่โต๊ะทำงานนายกรัฐมนตรี มีอย่างน้อย สามชั้นความหมาย ที่ซ้อนอยู่

  1. การยึดคืนสัญลักษณ์ — จากองค์พระที่เคยเป็น “ของขวัญวันเกิด” สำหรับผู้นำรัฐบาลก่อนหน้า กลับคืนสู่มือผู้สร้าง ในเวลาที่ผู้สร้างก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดเอง การเคลื่อนย้ายนี้จึงไม่ใช่เพียง “เคลื่อนย้ายวัตถุ” แต่คือ การยืนยันสถานะอำนาจ อย่างสุภาพและทรงพลัง
  2. การนำคุณธรรมจากชายแดนสู่ศูนย์กลาง — จุดเริ่มขององค์พระ ณ สามเหลี่ยมทองคำ มีนัยแปรเปลี่ยน เมื่อถูกวางไว้ในศูนย์บัญชาการบริหารรัฐกิจ—เสมือนการนำ “ความดีงาม–ระเบียบวินัย–สติ” จาก “ชายขอบ” เข้าสู่ “แกนกลาง” ของการตัดสินใจนโยบาย
  3. การวางศรัทธาคู่หลักนิติธรรม — การประกาศฤกษ์ดี–สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์–อัญเชิญพระพุทธรูปหลายองค์ สะท้อนจารีตการเมืองไทยที่ “ศรัทธา” ไม่ได้อยู่ตรงข้าม “เหตุผล–กฎหมาย–ระบบ” หากอยู่ เคียงข้าง ในฐานะพลังใจและเครื่องเตือนความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

แม่สายถึงไทยคู่ฟ้า

  • ก่อนหน้า 2568: นายอนุทินสร้าง พระพุทธสิริไตรรัฐ ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ
  • ต่อมา: องค์พระ ถูกมอบเป็นของขวัญวันเกิด ให้กับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี สะท้อนมิตรภาพ–พันธมิตรในรัฐบาลผสม
  • 26 กันยายน 2568: วันแรกเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ณ ตึกไทยคู่ฟ้า เลือก วันอธิบดี–วันธงชัย เป็นฤกษ์ เริ่มด้วยการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบ
  • เช้าวันเดียวกัน: อัญเชิญพระพุทธรูป เข้าห้องทำงานหลายองค์ รวมถึง พระพุทธสิริไตรรัฐ ซึ่ง ตั้งบนโต๊ะทำงานนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะ
  • ช่วงสาย–สายัณห์: ความเคลื่อนไหวสะท้อน “ความผูกพันมงคลวัตถุ” ภายในทีมรัฐบาล ทั้งกรณี นายภราดร ปริศนานันทกุล และครอบครัว ที่อัญเชิญ พระพุทธสิริไตรรัฐ เข้าห้องทำงานบนตึกบัญชาการ 1

ศิลป์ของพิธีธรรม กับวินัยของรัฐประศาสนศาสตร์

ในสนามจริงของการเมืองไทย พิธีธรรม และ รัฐประศาสนศาสตร์ ไม่ได้ต่อสู้กัน หากเกื้อหนุนกันเมื่อวางถูกที่—การประกาศวางองค์พระบนโต๊ะทำงานจึงตีความได้ว่าเป็น นาฬิกาปลุก” ทางจิตวิญญาณ ให้กับผู้ใช้อำนาจรัฐ ชวนย้ำเตือนว่า อำนาจ” ต้องมาพร้อม ความรับผิดชอบ” และ คุณธรรม” เสมอ

แต่เพื่อให้สอดคล้องกับ มาตรฐานธรรมาภิบาล ในระยะยาว ก้าวต่อไปคือการแปลง “สัญลักษณ์” ให้เป็น “ผลลัพธ์” ที่ตรวจสอบได้—ตั้งแต่ ความโปร่งใส, การกำกับดูแลนโยบาย, การยึดกติกา, ไปจนถึง การคุ้มครองสิทธิประชาชน เพราะท้ายที่สุด ความคุ้มครองที่แท้” ตามแนวคิดที่นายกรัฐมนตรีสื่อไว้ ก็ขึ้นอยู่กับ การทำดี–การลงมือทำจริง ของผู้มีอำนาจ

เมื่อศรัทธาถูกวางไว้ “ข้าง” การตัดสินใจ ไม่ใช่ “แทนที่” การตัดสินใจ

เหตุการณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ ร้อยเรียง “วัตถุ–พิธี–บุคคล” ให้กลายเป็น “เรื่องเล่า” ที่เดินข้ามอำเภอแม่สาย มุ่งสู่ตึกไทยคู่ฟ้า พระพุทธสิริไตรรัฐ” จึงทำหน้าที่สองบทบาทพร้อมกัน—เครื่องยึดเหนี่ยวใจ และ สัญลักษณ์เตือนใจ ว่าการบริหารประเทศต้องวางบนฐาน คุณธรรม–ความชอบธรรม–การกระทำที่ตรวจสอบได้

คำตอบสั้น ๆ อยู่ที่ใจ” ที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้กับสื่อ อาจเป็นคำสรุปที่ดีของทั้งวัน และเป็นแนวคิดที่สังคมคาดหวังจะเห็นในเชิงปฏิบัติ: ใจที่ตั้งมั่นในหลัก และ มือที่ลงมือทำจริง บนโต๊ะทำงานซึ่งมีองค์พระตั้งอยู่ข้าง ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทำเนียบรัฐบาล/สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“สนามบินพะเยา” คืบหน้า 4,421 ล้านบาท เชียงรายควรรับมือการแข่งขัน-เสริมกันอย่างไร

สนามบินพะเยา” ใกล้เป็นจริงไทม์ไลน์ปี 2576 คืบหน้าอย่างไร และ “เชียงราย” ควรรับมือแบบไหน

เชียงราย, 24 กันยายน 2568 — ท่ามกลางการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศและการแข่งขันดึงนักท่องเที่ยวสู่ภาคเหนือตอนบน โครงการ ท่าอากาศยานพะเยา กลับมาถูกจับตาอีกครั้ง โดย กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เร่งสรุปผลศึกษาและออกแบบรายละเอียด เพื่อมุ่งเริ่มก่อสร้างปี 2573 และเปิดให้บริการปี 2576 ตามกรอบนโยบายยกระดับ “เมืองรอง” สู่ “เมืองหลัก” ในระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ

แม้ “พะเยา” จะเป็นเพียงหนึ่งในจิ๊กซอว์ของการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน แต่การมี “สนามบินใหม่” ห่างเชียงรายเพียงราวชั่วโมงเศษ ย่อมส่งผลต่อ ภูมิทัศน์การแข่งขัน ของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ซึ่งวันนี้แบกรับผู้โดยสารราว 1.9 ล้านคน/ปี และทำหน้าที่เป็นจุดรวมของเที่ยวบินในต่างประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวที่มุ่งเชียงราย–แม่สาย–เชียงของ–สามเหลี่ยมทองคำ

โครงการ ขนาด–งบ–ศักยภาพที่ตั้ง “ดอนศรีชุม–ดอกคำใต้”

ตามผลการศึกษาเบื้องต้น สนามบินพะเยาจะตั้งในพื้นที่ ตำบลดอนศรีชุม อ.ดอกคำใต้ ครอบคลุมกว่า 2,550–2,812 ไร่ โดยกำหนดทางวิ่ง (Runway) ยาว 2,500 เมตร กว้าง 45 เมตร รองรับเครื่องแอร์บัส A320/โบอิ้ง 737 อาคารผู้โดยสารขนาดใช้สอยประมาณ 9,000 ตร.ม. (รวมสิ่งปลูกสร้างอื่นราว 12,000 ตร.ม.) ลานจอดรถเบื้องต้น ~150 คัน งบลงทุนรวมรายงานอยู่ที่ ~4,421 ล้านบาท แยกเป็น ค่าก่อสร้าง ~2,001–2,201 ล้านบาท, ค่าเวนคืน ~1,700 ล้านบาท, บำรุงรักษา 30 ปี ~720 ล้านบาท (ตัวเลขขึ้นกับแหล่งข้อมูล)

ไทม์ไลน์ ที่สื่อสารต่อสาธารณะยังมีความต่าง โดยบางรายงานคาดเปิดปี 2572 แต่ข้อมูลล่าสุดของหน่วยงานในพื้นที่และข่าวภาครัฐชี้เป้า 2576–2577 ขณะที่งบประมาณเพื่อจัดทำ EIA ก็มีรายงาน 42 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท สะท้อนความจำเป็นที่ กระทรวงคมนาคม–กรมท่าอากาศยาน ต้อง “ล็อกข้อมูลเดียวกัน” เพื่อลดความสับสนและสร้างความเชื่อมั่น

คำถามที่เชียงรายต้องตอบ แข่ง–เสริม–หรือเดินไปด้วยกัน

ภาพรวมผู้โดยสารที่คาดของพะเยาช่วงปีแรกอยู่ราว 78,000–99,000 คน/ปี (มากกว่า 14 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ในช่วงเริ่มต้น) ยังห่างไกลจากเชียงราย แต่การเข้ามาของสนามบินย่อมสร้าง “แรงเสียดทาน” ในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะ

  • ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วัฒนธรรม กว๊านพะเยา–ภูซาง–ภูลังกา ที่พะเยาเป็นจุดหมายตรง
  • เดินทางธุรกิจท้องถิ่น ระหว่างอำเภอพะเยา–ดอกคำใต้–เชียงคำ–จุน ที่ต้องการ “สนามบินใกล้บ้าน”
  • เที่ยวบินสั้น–เชื่อมเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ–พะเยา ซึ่งเดิมผู้โดยสารต้องลงเชียงรายแล้วต่อรถ

แต่ในอีกด้าน “สนามบินใกล้กัน” อาจเป็น กลไกเสริม ให้เกิด เครือข่ายท่าอากาศยาน ที่กระจายโหลดผู้โดยสารช่วงพีก กระจายเส้นทางท่องเที่ยว และดัน “แพ็กเกจร่วม” เช่น “ลงพะเยา–ขึ้นเชียงราย” หรือ “ลงเชียงราย–ต่อรถ–เที่ยวกว๊าน–ย้อนกลับบินพะเยา” หากผู้ประกอบการ–ททท.–ภาคบิน ทำการตลาดร่วมกันอย่างจริงจัง

ฉากทัศน์ 3 แบบ ผู้อ่านลองชั่งน้ำหนักเอง

เพื่อไม่ชี้นำ เราชวนผู้อ่านมองผ่าน สามฉากทัศน์ ที่เป็นไปได้ พร้อม “ข้อดี–ข้อเสีย” แบบย่อๆ

ฉากทัศน์ที่ 1 แข่งขันดุเดือด (Winner-takes-most)

  • ข้อดี: เพิ่มตัวเลือกผู้โดยสาร กดต้นทุนค่าโดยสารบางช่วง เชื่อมต่อพื้นที่รอบกว๊านสะดวกขึ้น เกิดแรงพัฒนามาตรฐานบริการทั้งสองสนามบิน
  • ข้อเสีย: แย่งเส้นทางหลัก/สลอตบิน ทำให้เชียงรายสูญเสียปริมาณบางส่วน; หากพะเยายังสร้างอุปสงค์ใหม่ไม่ทัน อาจเกิด “สนามบินว่าง” ต้องพึ่งงบหลวงบำรุงเพิ่ม

ฉากทัศน์ที่ 2 เสริมกัน (Complementarity)

  • ข้อดี: สร้างเครือข่าย Hub–Spoke ขนาดเล็กในภาคเหนือ บริหาร “โหลดพีก” ได้ดีขึ้น จัดแพ็กเกจ “สองสนามบิน–หนึ่งทริป” ดึงพำนักนานขึ้น เพิ่มการใช้จ่าย
  • ข้อเสีย: ต้องใช้การประสานตารางบิน–เส้นทางรถเชื่อม–ข้อมูลผู้โดยสารร่วมกันสูง หากขาดเอกภาพ การเสริมกันอาจกลายเป็นซ้ำซ้อน

ฉากทัศน์ที่ 3 ชะลอ–ทบทวน (Wait-and-see)

  • ข้อดี: ลดความเสี่ยงงบลงทุนช่วงไม่แน่นอน ประเมินความคุ้มค่าเทียบโครงการใหญ่ เช่น รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของที่ตัดผ่านพะเยา
  • ข้อเสีย: โอกาสยกระดับพะเยาสู่ “เมืองหลัก” อาจช้าลง ภาคเอกชนขาดความแน่ใจในการตัดสินใจลงทุน

เชียงรายควร “ตั้งรับเชิงรุก” อย่างไร

  1. ยืนยันสถานะ “เกตเวย์โขง–ล้านนา” ด้วยเครือข่ายเส้นทาง
    ดึง–รักษาเส้นทางอินเตอร์ (จีนตอนใต้–ลาว–เมียนมา–เวียดนามเหนือ) และโลว์คอสต์ในประเทศ ปรับตารางเชื่อม “ทัวร์ริสท์ลูป” เชียงราย–พะเยา–น่าน–แพร่ ด้วยแคมเปญร่วม
  2. ต่อยอดโครงการเชิงเทคนิค (MRO–คาร์โก้–เที่ยวบินเช่าเหมาลำ)
    หากเชียงรายเร่งบทบาท ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO)–คาร์โก้ชายแดน–เช่าเหมาลำฤดูกาล จะสร้าง “รายได้ไม่ผันผวน” และยากให้สนามบินใหม่แข่งขันในระยะสั้น
  3. เชื่อมพื้นดินให้ลื่นไหล (Air–Ground Integration)
    ลงทุน/ผลักดัน รถรับ–ส่งร่วม (shuttle) ระหว่างสนามบิน–จุดท่องเที่ยว–บขส.–สถานีรถไฟทางคู่ในอนาคต รวมถึงระบบตั๋วรวม บิน+รถ” เพื่อลดต้นทุนเวลา
  4. บูรณาการการตลาดปลายทาง (Destination Marketing)
    ทำแพ็กเกจ “สองเมือง–สองสนามบิน” ร่วมพะเยา เช่น เส้นทาง เชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–กว๊านพะเยา–ภูลังกา เพื่อยืด Length of Stay และเพิ่ม Spending per Trip
  5. ติดตามข้อมูล–สื่อสารความจริง
    ตั้ง แดชบอร์ดเชิงนโยบาย ของจังหวัด รวบรวมสถิติผู้โดยสาร–เส้นทาง–ค่าโดยสาร–การเชื่อมต่อภาคพื้นดิน และสื่อสารสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดข่าวลือ–เพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน

ประเด็นคาใจ งบ–EIA–ไทม์ไลน์ “ต้องเคลียร์ให้ชัด”

  • งบรวม 4,421 ล้านบาท พบความต่างของรายละเอียดรายการ (ค่าก่อสร้าง/เวนคืน/บำรุงรักษา) ระหว่างแหล่งข้อมูล
  • งบ EIA รายงาน 42 ล้านบาท กับ 100 ล้านบาท ส่วนต่างที่สูงชวนถามถึงกรอบงานศึกษาและขอบเขตสิ่งแวดล้อมที่จะครอบคลุม
  • ไทม์ไลน์เปิดใช้ 2572 vs 2576–2577 ส่วนต่าง 4–5 ปี สะท้อนความไม่แน่นอนด้านขั้นตอนอนุมัติ–ออกแบบ–เวนคืนที่ดิน–งานโยธา

คำถามเหล่านี้ไม่ได้ “คัดง้าง” โครงการ หากแต่เป็น เงื่อนไขความโปร่งใส ที่หน่วยงานรัฐควรเร่ง “ล็อกเวอร์ชัน” ของข้อมูลให้สังคมใช้ชุดเดียวกัน เพื่อวัดความคุ้มค่า–ผลประโยชน์ทับซ้อน–และลำดับความสำคัญของงบประมาณได้อย่างยุติธรรม

เทียบสนามบินเมืองรองใกล้เคียง บทเรียนความคุ้มค่า

ปี 2566 สนามบินเมืองรองในโซนเหนือ เช่น น่านนคร ~386,000 คน/ปี และ ลำปาง ~195,000 คน/ปี สะท้อนความจริงว่า “สนามบินจังหวัด” ต้องอาศัย ยุทธศาสตร์ปลายทาง ไม่ใช่รันเวย์อย่างเดียว การจะให้พะเยาถึง ~324,000 คน/ปี ภายใน 30 ปี ตามกราฟคาดการณ์ จึงต้องมีทั้ง อุปสงค์ท่องเที่ยวจริง, โครงสร้างรองรับ, และ เส้นทางบินสม่ำเสมอ ไม่ใช่ความหวังกับตัวเลขฉากสวย

เสียงจากพื้นที่

  • ฝั่งพะเยา ผลัก เอกลักษณ์อาคารล้านนา–กว๊านพะเยา เป็นแม่เหล็ก และขอสนามบินเพื่อกระจายโอกาส
  • ฝั่งเชียงราย สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานภูมิภาค แต่ย้ำบทบาทแม่ฟ้าหลวงในฐานะ เกตเวย์ชายแดน ต้องไม่ด้อยลง
  • ฝั่งส่วนกลาง เน้น ศึกษาความคุ้มค่า–ไม่ซ้ำซ้อน กับโครงการใหญ่ (เช่น รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ) และบริหารงบประมาณอย่างมีวินัย

ทางเลือกร่วม แข่งขัน “เชิงความสามารถ” มากกว่า “เชิงทำเล”

หากมอง “สนามบิน” เป็นเพียง ทรัพย์สินทางกายภาพ คำตอบจะวนอยู่กับแย่งผู้โดยสาร แต่หากมอง “สนามบิน” เป็น แพลตฟอร์มเศรษฐกิจ คำตอบจะไปไกลถึงบริการ หลังประตูสนามบิน ตั้งแต่ โรงแรม–ทัวร์–MICE–สุขภาพ–โลจิสติกส์–ค้าชายแดน ซึ่งเชียงรายได้เปรียบด้วยฐานชายแดน–การค้า–เส้นทางท่องเที่ยวสุกงอม ส่วนพะเยาได้เปรียบเรื่อง “เสน่ห์ธรรมชาติ–ความสงบ–ราคาคุ้มค่า” การจับมือทำ แบรนด์ “เหนือบน” ที่แบ่งบทบาทให้ชัด จึงอาจสร้าง ผลรวมทางเศรษฐกิจ สูงกว่าแข่งราคาเที่ยวบิน

ชั่งน้ำหนัก “ได้–เสีย” ด้วยตัวคุณ

หากพะเยามีสนามบิน…

ได้อะไร

  • ตัวเลือกเดินทางเพิ่มขึ้นสำหรับคนพะเยา–เมืองรอบกว๊าน
  • โอกาสแพ็กเกจ “สองสนามบิน–หนึ่งทริป” เพิ่มวันพักและการใช้จ่าย
  • กระจายโหลดผู้โดยสารช่วงพีก ลดคอขวดในบางฤดูท่องเที่ยว

เสี่ยงอะไร

  • ซ้ำซ้อนกับโครงสร้างพื้นฐานอื่นหากไม่บูรณาการ (เช่น รถไฟทางคู่)
  • ภาระบำรุงรักษาหาก “อุปสงค์จริง” โตไม่ทัน
  • ดึงผู้โดยสารจากเชียงรายบางส่วน หากขาดการตลาดร่วม–เชื่อมต่อภาคพื้นดิน

สุดท้าย คำตอบ “ดี–เสีย” ไม่ได้อยู่ที่รันเวย์ยาวเท่าไร แต่อยู่ที่ ยุทธศาสตร์ใช้สนามบิน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจภูมิภาคอย่างไรเชียงรายจะชนะด้วย “ความเป็นประตูโขง” และพะเยาจะชนะด้วย “คุณค่าปลายทาง” หากทั้งสองทำการบ้านของตนเองครบ

 เกมนี้ไม่ใช่ศูนย์รวมถ้าร่วมออกแบบให้ “คน–เมือง–ภูมิภาค” ชนะ

การเกิด “สนามบินพะเยา” จะเป็น คู่แข่ง หรือ คู่เสริม ของเชียงราย ขึ้นอยู่กับสามสิ่ง (1) ความชัดเจนของข้อมูล–งบ–ไทม์ไลน์ที่รัฐต้องยุติความคลุมเครือ (2) ความสามารถของเชียงรายในการ ยกระดับบริการ–เครือข่าย–ธุรกิจต่อยอด เหนือกว่าการเป็นสนามบินรับ–ส่ง และ (3) ความร่วมมือเชิงการตลาด–การเชื่อมต่อพื้นดินระหว่างสองจังหวัดให้ เดินเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่คนละเล่ม

สำหรับผู้อ่าน คำเชิญชวนคือ อย่าตัดสินจากชื่อโครงการ ให้ดู “ตัวเลขการใช้จริง–แผนการตลาดปลายทาง–ความพร้อมเชื่อมต่อ” แล้วถามกลับว่า “เมื่อสนามบินเปิด ประสบการณ์ผู้โดยสาร–รายได้ธุรกิจ–คุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น ดีขึ้นจริง หรือไม่” เพราะสนามบินที่ดี ไม่ได้วัดด้วยจำนวนเที่ยวบินเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย โอกาสใหม่ ที่กระจายถึงผู้คนทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมท่าอากาศยาน (ทย.) / กระทรวงคมนาคม
  • Cofact: การทวนสอบตัวเลขและข้อเท็จจริงสาธารณะเกี่ยวกับสนามบินพะเยา
  • ข้อมูลผู้โดยสารสนามบินภาคเหนือ (ปี 2566)
  • โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ)
  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พายุ “รากาซา” จ่อเวียดนาม ทช.เร่งตรวจพนังกั้นน้ำแม่สาย หวั่นน้ำหลากซ้ำรอย

เชียงรายเผชิญภัยซ้อนพายุ “รากาซา” จ่อเวียดนามตอนบน—ทหารช่างเร่งตรวจพนังกั้นน้ำแม่สาย ชูแผนเฝ้าระวัง 24 ชม. กันน้ำหลากซ้ำรอย

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — เสียงเครื่องสูบน้ำของเทศบาลดังสลับกับเสียงปะทะของละอองฝนที่ยังไม่ขาดเม็ด ขณะชาวแม่สายย้ายของขึ้นชั้นสองด้วยความระมัดระวัง ภาพ “น้ำท่วมขังรอการระบาย” เริ่มผ่อนลงเล็กน้อยหลังฝนยาวคืนนั้น แต่ความกังวลรอบใหม่มาไวกว่า—พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” (RAGASA) กำลังเร่งตัวสู่ทะเลจีนใต้และมี “คิว” ส่งผลฝนหนักถึงหนักมากบนภาคเหนือตอนบนไทยช่วง 23–26 ก.ย. การจัดทัพป้องกันจึงต้อง “ขึ้นรูป” ให้ทันเวลาก่อนมวลน้ำลูกใหม่บ่าไหลลงมา

เส้นทางพายุจากลูซอนสู่ทะเลจีนใต้ ก่อนอ่อนกำลังบนอ่าวตังเกี๋ย—แต่ร่องมรสุมไทยจะแข็งขึ้น

รายงานอัปเดตของกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อบ่าย–เย็นวันที่ 22 ก.ย. ระบุศูนย์กลางพายุ “รากาซา” ทางตอนบนเกาะลูซอนมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 205 กม./ชม. เคลื่อนตะวันตกด้วยความเร็วราว 20 กม./ชม. คาดว่าจะเลื่อนลงทะเลจีนใต้ในค่ำวันเดียวกัน จากนั้นจะวิ่งเลียบชายฝั่งใต้จีนผ่านเกาะไหหลำเข้าช่วง อ่าวตังเกี๋ย 25 ก.ย. และอ่อนกำลงเป็นพายุโซนร้อนก่อนขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนภายใน 25–26 ก.ย. แม้ศูนย์กลางจะไม่ปะทะไทยตรง ๆ แต่อิทธิพลพายุทำให้ ร่องมรสุม ที่พาดผ่านภาคเหนือ–อีสานบน และ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เหนืออันดามัน–อ่าวไทย “แรงขึ้น” ช่วง 23–26 ก.ย. ส่งผลให้หลายภาคมีฝนเพิ่มขึ้นและมีโอกาสฝนหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล

คำเตือนหลักคือ ภูมิประเทศลาดเชิงเขา–ทางน้ำไหลผ่าน–พื้นที่ลุ่ม ต้องเฝ้าระวัง น้ำป่าไหลหลาก–น้ำท่วมฉับพลัน–น้ำล้นตลิ่ง เป็นพิเศษ ขณะที่อ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันคลื่นสูง 2–3 เมตร (มากกว่า 3 เมตรในบริเวณพายุฝนฟ้าคะนอง) เรือเล็กฝั่งอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งช่วง 24–26 ก.ย.

สถานการณ์แม่สาย ตัวเลขชี้ “ใกล้ล้นตลิ่ง” แต่ทรงตัว–เริ่มลด—อย่างไรก็ดี “ระยะเผื่อ” ยังน้อย

ปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมง (21–เช้าวันที่ 22 ก.ย.) ที่สถานีสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาแห่งที่ 1 วัดได้ 127.8 มม. เป็นค่าสุด “หนาแน่น” สำหรับรอบ 24 ชม. ระดับน้ำแม่น้ำสาย 397.46 ม.รทก. ขึ้นใกล้ขอบล้นที่ 397.591 ม.รทก. ก่อนทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง ภาพรวมพื้นที่ได้รับผลกระทบแสดง “น้ำขังรอการระบาย” หลายชุมชน เช่น สายลมจอย (ต.เวียงพางคำ) เหมืองแดง–ไม้ลุงขน (ต.แม่สาย) ระดับ 5–15 ซม. แนวโน้มถอยลง ตลอดจนมีน้ำหลากบนถนนพหลโยธินหน้าซอย 6 บ้านถ้ำ (ต.โป่งผา) ปิดการจราจรขาขึ้น 1 ช่อง ระยะราว 300 เมตร ก่อนเร่งอำนวยความสะดวกให้สัญจรได้ตามลำดับ

หมายเหตุเชิงพื้นที่: จุด “ผาแตก–ผาคำ” ที่เคยมีปัญหาน้ำหลากเพราะการปรับถมดินเปลี่ยนทิศทางน้ำ ปัจจุบันกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนหมู่บ้าน “บ้านถ้ำ–บ้านโป่ง–บ้านดงม่วงคำ” (ต.โป่งงาม) ระดับน้ำลดลงต่อเนื่องและใกล้ปกติ

ทหารช่างตรวจแนวตลิ่ง—ปภ.ยิงสัญญาณเตือน—หน่วยงานยืนระวัง 24 ชม.

เวลา ประมาณเที่ยงวันที่ 22 ก.ย. หน่วยทหารช่างจากกรมการทหารช่างเข้าตรวจแนวป้องกันริมแม่น้ำสาย ตั้งแต่คันดิน–แนวกระสอบทราย–โครงสร้างป้องกันน้ำอื่น ๆ เพื่อ “ประเมินความมั่นคง” ของระบบป้องกันหน้าเมืองชายแดน ก่อนรับมวลน้ำรอบใหม่ ข้อมูลเบื้องต้นยืนยันว่า โครงสร้างยังแข็งแรงปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การตรวจทวนซ้ำในจุดเสี่ยง (ตลิ่งคด–รอยต่อโครงสร้าง–ปากท่อ) จะทำต่อเนื่องตลอด 24–48 ชั่วโมงหน้า

ด้าน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) ระบุว่าได้ส่ง ข้อความ Cell Broadcast เตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงแล้ว เทศบาล–อบต. เร่งสูบน้ำ จุดเดิม–จุดอ่อน–คลองซอย เปิดทางน้ำไหล และตั้งทีมอำนวยความสะดวกการจราจรร่วมกับ หมวดทางหลวงแม่สาย–สภ.แม่สาย ขณะเดียวกัน อบต.โป่งงาม ระดมกำลังเคลียร์สิ่งกีดขวางทางน้ำในชุมชน ส่วนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัยแม่สายคงระดับ เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และเชื่อมโยงการสั่งการอุปกรณ์/เครื่องจักรกลหนัก หากต้องเสริมคันป้องกันหรือเปิดแนวทางน้ำเร่งด่วน

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (กอปภ.จ.) สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมเครื่องมือ–ยุทโธปกรณ์–กำลังพล พร้อมปฏิบัติ 24 ชม. เมื่อได้รับแจ้งเหตุ โดยเฉพาะการสนับสนุน เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่–รถบรรทุกน้ำ–เรือท้องแบน ไปยังจุดเสี่ยงเชิงรุกก่อนเกิดเหตุ

สทนช.ชี้พื้นที่เสี่ยง 25–30 ก.ย.—เหนือ–อีสาน–ภาคตะวันออก–ใต้ตอนบน ต้องจับตา

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกประกาศ ฉบับที่ 23/2568 ให้เฝ้าระวังฝนหนักถึงหนักมากหลายจังหวัดช่วง 25–30 ก.ย. จากการบูรณาการประเมินร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา–สสน. (องค์การมหาชน)–กรมทรัพยากรน้ำ–กรมทรัพยากรธรณี–กรมชลประทาน–กฟผ.–ปภ. ระบุพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก–ดินถล่มเฉียบพลันใน ภาคเหนือ (รวมเชียงราย—อ.เมือง, แม่สาย, เชียงของ, เชียงแสน, แม่จัน) ภาคอีสาน (ลุ่มโขง–ห้วยหลวง–ชี–มูล) ภาคตะวันออก (ระยอง–จันทบุรี–ตราด ฯลฯ) และใต้ฝั่งอันดามันส่วนหนึ่ง พร้อม “จับตาอ่างเก็บน้ำ ขนาดกลาง–เล็กที่มีปริมาณน้ำ >80% ความจุ” หลายจังหวัด และ “ผลกระทบลูกโซ่” จากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำโขง–เจ้าพระยา

ในส่วนของเชียงราย สทนช.เน้น “เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มฉับพลัน–ล้นตลิ่ง–ท่วมขัง” ตลอดแนว แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขา โดยเฉพาะพื้นที่เมือง–ชุมชนลุ่มต่ำที่ “ระบายไม่ทัน” ในช่วงฝนต่อเนื่อง

สถิติตัวเลขที่ชี้ความต่างใหญ่

  • 127.8 มม. ใน 24 ชม. คือฝนระดับ “หนักมาก” สำหรับพื้นที่เมืองชายแดน หากซ้ำรอบใน 48–72 ชม. โดยที่ดินอิ่มน้ำแล้ว ความเสี่ยง “น้ำท่วมฉับพลัน–น้ำป่าไหลหลาก” จะเพิ่มแบบ “ไม่เชิงเส้น”
  • ระดับแม่น้ำสาย 397.46 ม.รทก. ใกล้เส้นล้นตลิ่ง 397.591 ม.รทก. หมายความว่า พื้นที่กันชน” เหลือน้อย ถ้ามีน้ำเหนือทะลักเร็วหรือติดคอขวดท้ายน้ำ (เช่น ระดับน้ำโขงสูง) การเอ่อล้นอาจเกิดในเวลาไม่นาน
  • คลื่นทะเล 2–3 เมตร บริเวณอ่าวไทยตอนบน–อันดามัน ชี้ถึง “ความเสี่ยงทางทะเล” ที่ต้องบริหารคู่กัน—การงดเรือเล็กออกจากฝั่ง–จัดเส้นทางเรือโดยสาร–ประมงปลอดภัย

เมืองพร้อมแค่ไหน 6 คำถามเช็คความพร้อม “72 ชั่วโมงทอง”

  1. แนวตลิ่ง–พนังกั้นน้ำ เสริมวัสดุ–อุดรอยรั่ว–รอยต่อแล้วครบหรือยัง โดยเฉพาะหัว–ท้ายพนังและแนวปากท่อ?
  2. จุดอ่อนระบายน้ำเมือง (ท่อระบายน้ำตัน–คอขวดคลองซอย) เคลียร์สิ่งกีดขวางครบหรือยัง และตั้งเครื่องสูบ “รอหน้า” ไว้หรือยัง?
  3. แผนจราจรฉุกเฉิน มีทางเลี่ยง–ปิด–เปิดแบบไดนามิกสำหรับถนนสายหลัก (เช่น พหลโยธิน) พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำจุดหรือไม่?
  4. กลไกเตือนภัยชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มหมู่บ้าน–เสียงตามสาย) อัปเดตล่าสุดหรือยัง—ประชาชนรู้ระดับเตือนอะไรหมายถึงอะไร?
  5. กลุ่มเปราะบาง (ผู้ป่วยติดเตียง–เด็กเล็ก–ผู้สูงวัย) มีบัญชีรายชื่อ–เส้นทางขนย้าย–จุดปลอดภัยใกล้บ้านพร้อมหรือยัง?
  6. การเชื่อมโยงต้นน้ำ–ปลายน้ำ กับเพื่อนบ้านเหนือขึ้นไป (อำเภอ–จังหวัดข้างเคียง/ชายแดน) แจ้งเตือนกันแบบเรียลไทม์หรือยัง?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ภาระของหน่วยงานเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็น “เช็คลิสต์ชุมชน” ที่ทุกบ้านทำได้—การผูกความรู้สึก “ไม่ประมาท” เข้ากับ “ข้อเท็จจริง” จะทำให้การตัดสินใจในยามเสี้ยวนาทีแม่นยำขึ้น

น้ำโขง–ท้ายน้ำ ตัวแปรที่กำหนด “ความเร็วระบาย” ของน้ำในท้องถิ่น

สทนช.ระบุให้เฝ้าระวังผลกระทบจาก ระดับน้ำโขง ที่มีแนวโน้มเพิ่ม—หากโขง “สูงขึ้นต่อเนื่อง” จะเกิดแรงต้านที่ปากแม่น้ำสาย–รวก–โขง ทำให้ การระบายจากท้องถิ่นช้าลง ผลคือระดับน้ำท่วมขังในเมือง (ที่พึ่งพาระบบสูบ–ระบายลงแม่น้ำสาย) อาจ “ทรงตัว” นานกว่าที่คาด การจัดสรรเครื่องสูบน้ำ–การปล่อยน้ำเป็นจังหวะ–การคุมประตูระบายน้ำย่อยจึงต้องสัมพันธ์กับระดับโขงแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง

บทบาทภาคเอกชน–ประชาชน จาก “ผู้รับผล” สู่ “หุ้นส่วนรับมือภัยพิบัติ”

  • ผู้ประกอบการค้าชายแดน–ตลาดสด–โกดังสินค้า ควรติดตั้ง กระดานประกาศระดับน้ำ ง่าย ๆ หน้าอาคาร อัปเดตปริมาณฝน–ระดับน้ำ–แผนเลี่ยงเส้นทาง เพื่อให้แรงงาน–ลูกค้า–รถขนส่งรับรู้ข้อมูลพร้อมกัน ลดคอขวดในนาทีวิกฤต
  • โรงแรม–โฮมสเตย์–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ร่วมมือเทศบาลทำ คู่มือฉุกเฉิน 1 หน้า วางไว้ในห้องทุกห้อง สแกน QR เข้าสถานะน้ำ–โทรฉุกเฉิน–จุดรวมพล
  • ครัวเรือนริมตลิ่งเตรียม กระเป๋าฉุกเฉิน 3 วัน (เอกสารสำคัญ–ยา–ไฟฉาย–ที่ชาร์จ–เสื้อกันฝน–น้ำดื่ม) และจัด “แผนเคลื่อนย้ายของ–สัตว์เลี้ยง” ล่วงหน้า

จาก “ตั้งรับ” สู่ “อยู่ร่วมกับฤดูกาลใหม่”

เหตุการณ์ 22–30 ก.ย. นี้ เป็น “บททดสอบภาคสนาม” ของเชียงรายในโลกที่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง–ฝนสุดขั้วถี่ขึ้น บทเรียนที่ได้—ตั้งแต่จุดอ่อนของคอขวดระบายน้ำเมือง แผนแจ้งเตือนที่ภาษายังยาก ไปจนถึงการเชื่อมโยงข้อมูลต้นน้ำ–ปลายน้ำ—ควรถูกร้อยเป็น Roadmap น้ำฝน–น้ำหลาก เมืองชายแดน ที่วัดผลได้
สามยุทธศาสตร์ระยะกลางควรเดินคู่กัน:

  1. โครงสร้าง – เสริมแนวตลิ่ง–พนัง–ประตูระบายย่อย บูรณะระบบท่อระบายน้ำเมืองแบบ “จับคอขวดตามข้อมูลจริง”
  2. ไม่ใช่โครงสร้าง – แดชบอร์ดสาธารณะระดับหมู่บ้าน–ตำบล, ซ้อมแผนอพยพชุมชนรายครึ่งปี, หลักสูตร “อ่านพยากรณ์อากาศ” สำหรับ อปพร.–อสม.
  3. ทวิภาคี–ลุ่มน้ำโขง – ช่องทางสื่อสารระดับอำเภอ–จังหวัดข้ามแดน, แลกเปลี่ยนข้อมูลฝน–น้ำแบบมาตรฐานเดียวกัน, ตารางแจ้งเตือนล่วงหน้าช่วงฝนสุดขั้ว

 

เชียงรายกำลังยืนอยู่หน้าคลื่นลมฤดูกาลรอบใหม่—พายุ “รากาซา” แม้จะขึ้นฝั่งไกลออกไปทางเวียดนาม แต่แรงขยายของร่องมรสุมจะทำให้ภาคเหนือตอนบนน้ำหนักฝนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยใน 23–26 ก.ย. เมืองหน้าด่านอย่าง แม่สาย ซึ่งเพิ่งผ่าน “ฝน 127.8 มม.” และระดับน้ำใกล้ล้นตลิ่ง จำเป็นต้อง รักษาวินัยการเฝ้าระวัง 24 ชม. ต่อเนื่องอีกระยะอย่างน้อยสัปดาห์หนึ่ง
การที่ ทหารช่าง–ปภ.–เทศบาล–ตำรวจทางหลวง–อบต.–ประชาชน ขยับพร้อมกันตั้งแต่ “ก่อนฝนรอบใหม่” คือจุดเปลี่ยนจาก “รอรับผลกระทบ” ไปสู่ “ลดความเสียหายที่คาดได้” ในทางปฏิบัติ
ในเกมของธรรมชาติ ความเร็วคือทุน ความพร้อมคือโล่ และ “ข้อมูลที่สื่อสารได้” คือสะพานสู่ความมั่นใจของคนทั้งเมือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) – ประกาศฉบับที่ 23/2568 เรื่อง
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • กรมการทหารช่าง / ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัยแม่สาย
  • กรมทางหลวง / ตำรวจทางหลวง / อบต.โป่งผา–โป่งงาม–เทศบาลตำบลแม่สาย–เทศบาลเวียงพางคำ –
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

น้ำกกไม่เกินมาตรฐาน! คพ.ชี้แจงผลตรวจโลหะหนัก แต่แม่น้ำชายแดนยังวิกฤตสารหนู

คพ.ชี้ “แม่น้ำกก” ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน แต่ “แม่น้ำสาย–รวก” ยังวิกฤตสารหนู บททดสอบความมั่นคงทรัพยากรน้ำชายแดนเหนือ

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าตรู่บนสันเขาแม่จัน แดดสีทองยังไม่ทันเฉือนหมอกให้ขาวโปร่ง น้ำในลำน้ำกกยังคงมีสีขุ่นจัดอย่างที่ชาวบ้านคุ้นตามาหลายเดือน แม่ค้าแผงผักริมท่าน้ำบอกว่า “น้ำแรงดี แต่น้ำสีไม่ค่อยสวย” ประโยคสั้นๆ นี้สะท้อนความกังวลของชุมชนปลายน้ำที่พึ่งพาแม่น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและยังใช้เลี้ยงชีพในฐานะ “เส้นเลือด” ทางเศรษฐกิจของเชียงราย

ภาพความขุ่นคล้ายน้ำชาดที่เห็น ไม่ได้เท่ากับ “น้ำเสีย” เสมอไป—นั่นคือข้อเท็จจริงชุดแรกที่ผลตรวจวิเคราะห์ล่าสุดของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ย้ำให้ชัดขึ้น คพ.รายงานว่าแม่น้ำกกและลำน้ำสาขาหลักมีคุณภาพน้ำโดยรวม “อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน” ด้านโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู (As)” ไม่เกินค่าเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรในทุกจุดที่ตรวจ ในขณะที่ “แม่น้ำสาย” และ “แม่น้ำรวก” บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ยังพบค่าสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่องหลายจุด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนวิกฤตแหล่งน้ำข้ามพรมแดนที่ยังต้องเร่งแก้ไขเชิงระบบและเชิงการทูตควบคู่กันไป

สีขุ่นที่ชวนตั้งคำถาม กับข้อเท็จจริงที่ต้องแยกแยะ

ตั้งแต่ไตรมาสสองปีนี้ ชาวเชียงรายคุ้นกับข่าว “น้ำกกขุ่น” จนหลายคนโยงไปถึงการทำเหมืองแร่หายาก (rare earth) ฝั่งต้นน้ำในเมียนมา ซึ่งสื่อชายแดนรายงานต่อเนื่องว่าอาจพาสารแขวนลอยและโลหะหนักไหลลงสู่ลำน้ำ โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดูและมรสุมที่ทำให้ปริมาณน้ำท่าพุ่งสูงผิดปกติ แม้ความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็เพียงพอให้หน่วยงานไทยต้องตั้ง “การเฝ้าระวังเชิงรุก” เป็นวาระเร่งด่วนมาตั้งแต่กลางปี

เพื่อคลี่คลายข้อกังวล คพ.ตั้ง “แผนตรวจติดตามพิเศษ” เก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง และตะกอนดินเดือนละ 1 ครั้ง (ช่วง พ.ค.–ก.ย.) ครอบคลุมแม่น้ำกก 15 จุด (KK01–KK15) ลำน้ำสาขา (แม่น้ำฝาง–ลาว–กรณ์–สรวย) รวมถึงแม่น้ำสาย 3 จุด และแม่น้ำรวก 2 จุด ตลอดจนตรวจในแม่น้ำโขง 3 จุด ให้ได้ภาพ “เชิงพื้นที่และเชิงเวลา” ที่มากพอสำหรับประเมินแนวโน้มความเสี่ยง

10 รอบตรวจ วัดได้อะไร “กกไม่เกิน–สายเกิน” และบทเรียนจากฤดูฝน

ผลตรวจครั้งที่ 10 (18–22 ส.ค. 2568) คพ.สรุปว่า

  • แม่น้ำกกและลำน้ำสาขา: ค่าสารหนู “ไม่เกิน” เกณฑ์มาตรฐานทุกจุด แม้ค่าความขุ่นและสีออกน้ำตาลแดงยังสูงตามฤดูกาลและอิทธิพลพายุช่วงปลายก.ค.–ส.ค.
  • แม่น้ำสาย: พบ “สารหนูเกิน” มาตรฐานทั้ง 3 จุด ได้แก่ บ้านหัวฝายและสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 (0.022 มก./ล.) และบ้านป่าซางงาม (0.020 มก./ล.)
  • แม่น้ำรวก: เกินมาตรฐานทั้ง 2 จุด คือ RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง และ RU02 ปลายน้ำก่อนลงโขง (0.011 มก./ล. เท่ากัน)

คพ.วิเคราะห์เบื้องต้นว่า ปริมาณน้ำท่าที่เพิ่มขึ้นมากในฤดูฝนช่วย “เจือจาง” มลพิษในหลายพื้นที่ จึงเห็นภาพแม่น้ำกก “ผ่านมาตรฐาน” ต่อเนื่องในรอบหลังๆ แต่บริเวณแม่น้ำสาย–รวก ซึ่งใกล้แหล่งกำเนิดมลพิษ อาจได้รับอิทธิพลจากต้นน้ำมากกว่า จึงยังเกินมาตรฐานแม้ปริมาณน้ำสูง

เกณฑ์อ้างอิงสำคัญ: ไทยกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินสำหรับ “สารหนู” ไม่เกิน 0.01 มก./ล. ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งใช้เป็นฐานพิจารณาความเสี่ยงเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของแหล่งน้ำผิวดินทั่วประเทศ

น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าการตรวจรอบล่าสุด สื่อสาธารณะและนักกิจกรรมชายแดนเคยเผยแพร่ผลตรวจในบางช่วงที่ “แม่น้ำกก” เองมีค่าโลหะหนักเกินมาตรฐาน ณ บางจุด ซึ่งตอกย้ำว่าภาพรวมคุณภาพน้ำ “แปรตามฤดูกาลและสภาพภูมิศาสตร์” การอ่านค่าต้องดูเป็น “ชุดข้อมูลต่อเนื่อง” ไม่ใช่หยิบเฉพาะช่วงที่ช็อกความรู้สึกประชาชนมาอธิบายทั้งระบบ

ชายแดน–ข้ามพรมแดน เมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่รู้จักเส้นเขตแดน

ข้อเท็จจริงที่ยากที่สุดของปัญหาแหล่งน้ำภาคเหนือคือ “มันไม่ได้เกิดอยู่ฝ่ายเดียว” แหล่งกำเนิดมลพิษจำนวนมากอยู่ “นอกเขตอำนาจไทย” เช่น กิจกรรมเหมืองแร่หายากและการใช้สารเคมีในเขตอุตสาหกรรมเหมืองของเมียนมา ซึ่งสื่อชายแดนรายงานต่อเนื่องว่าเล็ดลอดสู่ระบบนิเวศและลำน้ำสาขาที่ไหลลงกก สาย และรวก สู่พรมแดนไทย–เมียนมา

เพราะฉะนั้น “มาตรการไทยล้วนๆ” เช่น เพิ่มความถี่ตรวจหรือสั่งเฝ้าระวังสถานีสูบน้ำ แม้จำเป็น แต่ไม่พอ สิ่งที่ต้องเดินคู่กันคือการประสานงานระหว่างรัฐอย่างเป็นระบบ—ตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ชายแดนไปจนถึงคณะทำงานร่วมระดับทวิภาคี เพื่อให้เกิด “ข้อปฏิบัติร่วม” ในการควบคุมแหล่งกำเนิดและแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุผิดปกติปลายน้ำ โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

เสียงจากเวทีนโยบาย วุฒิสภาลงพื้นที่–จังหวัดสานพลังหน่วยงาน

เมื่อ 19 กันยายน 2568 คณะกรรมาธิการวุฒิสภาที่กำกับงานสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ลงพื้นที่เชียงราย ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อหารือสองวาระใหญ่ ได้แก่ (1) การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง และ (2) ปัญหาสถานะบุคคลชายแดน โดยย้ำให้ทุกฝ่ายเร่งมาตรการป้องกันผลกระทบสุขภาพและสร้างกลไกติดตามอย่างเป็นรูปธรรม การเคลื่อนไหวทางนิติบัญญัตินี้สะท้อนแรงกดดันจากสังคมว่า “น้ำสะอาด” คือสิทธิขั้นพื้นฐานของคนชายแดนที่รัฐต้องคุ้มครอง

 “สี–ขุ่น–โลหะหนัก” ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

หลายชุมชนผูกโยง “น้ำสีน้ำตาลแดงและขุ่น” เข้ากับ “น้ำเป็นพิษ” โดยอัตโนมัติ แต่ในเชิงวิชาการ สีและความขุ่น บอกถึงตะกอนแขวนลอย แร่ดิน และอินทรียวัตถุ—ไม่ใช่ตัวชี้วัดโลหะหนักโดยตรง โลหะหนักอย่าง “สารหนู” ต้องตรวจแบบเฉพาะทางและเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานจึงสรุปความเสี่ยงได้ นี่คือเหตุผลที่คพ.เน้นตรวจ “โลหะหนัก” ควบคู่ “ตะกอนดิน” และ “คุณภาพกายภาพ” ของน้ำในแผนเดียวกัน เพื่ออ่านแนวโน้มอย่างครบด้าน

ในด้านสุขภาพ ค่าสารหนู 0.01 มก./ล. เป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” ที่หลายประเทศใช้เป็นเส้นฐานสำหรับแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ทั้งในบริบทน้ำผิวดินและน้ำดื่ม (หน่วยงานกำกับคุณภาพน้ำดื่มของสหรัฐ เช่น EPA ก็กำหนดเพดานสูงสุดระดับเดียวกัน) ซึ่งสอดคล้องกับฐานคิดสากลด้านพิษวิทยาที่ลดความเสี่ยงในระยะยาวต่อโรคมะเร็งและระบบไหลเวียนโลหิต

ผลต่อเศรษฐกิจชุมชน ต้นทุนซ่อนเร้นของ “ความไม่แน่นอน”

แม้ผลล่าสุดจะยืนยันว่า “แม่น้ำกกยังผ่านมาตรฐานโลหะหนัก” แต่ความไม่แน่นอนที่ลากยาวคือ ต้นทุนซ่อนเร้น ของท้องถิ่น—ตั้งแต่ต้นทุนผู้ผลิตน้ำประปาที่ต้องปรับกระบวนการกรอง–ตกตะกอนเพิ่มในช่วงน้ำขุ่น ไปจนถึงผู้ค้าการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากภาพจำ “น้ำไม่ใส” ของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกิจกรรมทางน้ำอย่างแพยาง–ล่องเรือซึ่งขาย “ความงามแม่น้ำ” เป็นสินค้า ต้นทุนทางความรู้สึกนี้ แม้ไม่มีตัวเลขเร็วๆ นี้ แต่สะสมเป็น “ต้นทุนชื่อเสียงปลายทาง” ที่สำคัญไม่แพ้ต้นทุนทางวิศวกรรม

ในทางกลับกัน จังหวัดและองค์กรปกครองท้องถิ่นสามารถ “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส” ได้ หากใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่โปร่งใสและสื่อสารเชิงรุก—เช่น การรายงานค่าคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์, แผนที่จุดเสี่ยงตามฤดูกาล, แนวทางใช้น้ำอย่างปลอดภัยสำหรับครัวเรือนริมฝั่ง—เพื่อลดข่าวลือและเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้มาเยือนและนักลงทุน

แผนรับมือเชิงระบบ 5 คานงัดที่ควรทำ “ทันที–ระยะสั้น–ระยะยาว”

  1. ทำให้ข้อมูล “เข้าถึงง่ายและสม่ำเสมอ”
    เผยแพร่ผลตรวจจากคพ.และหน่วยงานท้องถิ่นในรูปแบบแดชบอร์ด แยกตามแม่น้ำ–จุดตรวจ–ไทม์ไลน์ พร้อมคำอธิบายความหมายของค่ามาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนอ่านออกและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ลดช่องว่างข่าวลือ
  2. ปกป้องจุดวิกฤต: สถานีสูบน้ำและแหล่งใช้น้ำสาธารณะ
    ในแม่น้ำสาย–รวกที่ยังเกินเกณฑ์ ควรเพิ่มความถี่ตรวจก่อน–หลังสถานีสูบน้ำ, เสริมระบบกรองเฉพาะกิจ และประกาศคำแนะนำการใช้น้ำอย่างชัดเจน (เช่น ใช้เพื่อการเกษตรได้หรือไม่ ต้องพักน้ำ–ตกตะกอนกี่ชั่วโมง) ควบคู่การสำรองแหล่งน้ำชั่วคราวของชุมชน
  3. เจรจาทวิภาคี–เขตแดน
    ตั้งคณะทำงานไทย–เมียนมาด้าน “คุณภาพแหล่งน้ำร่วม” บริหารบนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ร่วมกัน กำหนดจุดตรวจในฝั่งต้นน้ำ, กลไกแจ้งเตือน, และมาตรการลดผลกระทบจากกิจกรรมเหมือง/อุตสาหกรรมที่อาจปนเปื้อน เพื่อป้องกันก่อนปัญหาจะไหลถึงชายแดน
  4. เสริมมาตรฐานท้องถิ่นให้เกินข้อกำหนดขั้นต่ำ
    แม้มาตรฐานสารหนูไทยกำหนดไว้ที่ 0.01 มก./ล. แต่เทศบาลหรือการประปาท้องถิ่นอาจตั้ง “ระดับเตือนภัยล่วงหน้า” ที่เข้มกว่า เพื่อกระตุ้นมาตรการเชิงป้องกันเร็วขึ้น—แนวคิดที่สอดคล้องกับหลักการระมัดระวังไว้ก่อน
  5. สร้างภูมิคุ้มกันชุมชนด้วยความรู้
    สนับสนุนโครงการ “นักสังเกตน้ำชุมชน” ฝึกให้โรงเรียน–อสม.–สภาเด็กและเยาวชนเก็บตัวอย่างแบบ citizen science ภายใต้มาตรฐานวิชาการ แล้วป้อนข้อมูลสู่ฐานกลาง จะช่วยเพิ่มจุดข้อมูลและสร้างเจ้าของปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่

เมื่อข้อมูลวิทยาศาสตร์ต้องแปลเป็น “ความอุ่นใจ”

คำว่า “เกินมาตรฐาน” หรือ “อยู่ในเกณฑ์” เป็นคำวิทยาศาสตร์ที่จำเป็น แต่ยังไม่พอสำหรับปลอบใจชุมชน—เพราะสิ่งที่ครัวเรือนต้องการคือ “ความอุ่นใจ” ว่าจะตักน้ำหุงข้าวได้อย่างปลอดภัย จะพาลูกลงเล่นน้ำหน้าบ้านได้โดยไม่ต้องกังวล สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เมื่อการสื่อสารวิทยาศาสตร์เดินคู่กับมาตรการจับต้องได้ เช่น ป้ายแจ้งเตือนที่อ่านง่าย, เสียงตามสายของ อบต., อินโฟกราฟิกสั้นๆ ในไลน์กลุ่มหมู่บ้าน และการตอบคำถามสาธารณะอย่างสม่ำเสมอในวันที่ฝนมามากผิดปกติ

ในอีกฟากหนึ่ง ภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว—ตั้งแต่ผู้ประกอบการล่องเรือ–โฮมสเตย์ ไปจนถึงร้านอาหารริมน้ำ—ควรเข้ามาเป็น “หุ้นส่วนสื่อสาร” ให้ข้อมูลตรงกับทางการ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติคุณภาพ เหตุเพราะ “ความจริง” ที่ตรวจได้วันนี้ อาจกลายเป็น “ความเชื่อ” ที่อยู่ยาวในใจนักท่องเที่ยวไปอีกนาน

 “เสี้ยวส่วนร้อย” ที่พลิกความเสี่ยง

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินไทย 0.01 มก./ล. แต่ค่าในแม่น้ำสายรอบล่าสุดอยู่ที่ 0.020–0.022 มก./ล. ซึ่งเป็นเพียง “เสี้ยวส่วนร้อย” ของกรัมต่อลิตร ทว่าในมิติสุขภาพ “เสี้ยวส่วนร้อย” นี้คือความต่างระหว่าง “ผ่านมาตรฐาน” กับ “ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น”
  • แม่น้ำรวกทั้งสองจุดแตะ 0.011 มก./ล. แปลว่าขยับเหนือเส้นเกณฑ์เล็กน้อย แต่ถ้ารักษาระดับนี้ต่อเนื่องยาวนาน—โดยเฉพาะในพื้นที่สูบน้ำประปา—จะกลายเป็นความเสี่ยงเรื้อรังที่ต้องจัดการด้วยมาตรการเชิงวิศวกรรมและการบริหารน้ำดิบ
  • ขณะที่ “แม่น้ำกก” ผ่านมาตรฐานโลหะหนักในรอบล่าสุดทั้งหมด 15 จุด แต่ยังคง “สีและความขุ่น” สูง—เตือนว่า การจัดการตะกอนแขวนลอยและการสื่อสารความปลอดภัย ยังสำคัญแม้โลหะหนักไม่เกินเกณฑ์

ทางออกที่สมศักดิ์ศรีเมืองชายแดน โปร่งใส–เชื่อมโยง–เข้มแข็ง

เชียงรายคือประตูสู่ลุ่มน้ำโขงและจีนตอนใต้ การดูแล “แม่น้ำกก–สาย–รวก” ให้สะอาดและมีเสถียรภาพคือภารกิจที่เกินกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม—มันคือ ความมั่นคงของเมืองชายแดน ในมิติอาหาร น้ำดื่ม สุขภาพ และเศรษฐกิจฐานชุมชน

ภาพที่พึงประสงค์ไม่ใช่น้ำใสอย่างเดียว แต่คือ “ระบบที่โปร่งใส” ซึ่งตรวจได้–สื่อสารได้–รับผิดชอบได้ และ “ความร่วมมือที่เชื่อมโยง” ตั้งแต่ครัวเรือน–ท้องถิ่น–ส่วนกลาง–ชายแดนระหว่างประเทศ จนเกิด “ชุมชนเข้มแข็ง” ที่พร้อมรับมือฤดูฝนหน้า และฤดูน้ำหลากที่คาดเดาไม่ได้ยิ่งขึ้นในยุคสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

วันนี้ เรามีข่าวดีครึ่งหนึ่ง—แม่น้ำกกไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน—แต่ก็มีสัญญาณเตือนอีกครึ่งหนึ่งจากแม่น้ำสายและรวกที่ยังเกินเกณฑ์ คำถามไม่ใช่ว่า “จะรอให้ธรรมชาติช่วยเจือจางอีกหรือไม่” แต่คือ “เราจะทำอะไรเพิ่มตั้งแต่วันนี้” เพื่อให้ครั้งที่ 11, 12 และทุกครั้งถัดไป—ตัวเลขยืนยันความปลอดภัยมากขึ้น และความอุ่นใจของคนเชียงรายมากขึ้นตามลำดับ

สรุปสาระสำคัญ

  • ผลตรวจล่าสุด (รอบ 10): แม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน ขณะที่แม่น้ำสาย (0.020–0.022 มก./ล.) และแม่น้ำรวก (0.011 มก./ล.) ยังเกิน ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น
  • เหตุปัจจัย: ฤดูฝน–พายุทำให้ปริมาณน้ำท่าสูง ช่วยเจือจาง แต่จุดใกล้แหล่งกำเนิดข้ามพรมแดนยังเกิน—จำเป็นต้องมีความร่วมมือไทย–เมียนมาในระดับนโยบายและวิชาการ
  • นโยบายในประเทศ: วุฒิสภาและจังหวัดระดมหน่วยงานหารือ ย้ำป้องกันผลกระทบสุขภาพและตั้งกลไกติดตามที่วัดผลได้
  • มาตรฐานอ้างอิง: ไทยกำหนดสารหนูในน้ำผิวดินไม่เกิน 0.01 มก./ล. สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) 
  • Transborder News 
  • คณะกรรมาธิการวุฒิสภา 
  • ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 
  • U.S. EPA – ข้อมูลอ้างอิงสากลเรื่องค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม (0.010 มก./ล.) เพื่อเทียบเคียงหลักการคุ้มครองสุขภาพระยะยาว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News