Categories
WORLD PULSE

“แบนมือถือในห้องเรียน” กฎหมายใหม่ของเกาหลีใต้ที่ไทยต้องคิดตาม

เกาหลีใต้ขึ้นแท่นผู้นำโลกด้านกฎหมายแบนมือถือในห้องเรียน สมดุล “เสรีภาพนักเรียน” กับ “อนาคตชาติ” และบทเรียนที่ไทยต้องคิด

กรุงโซล, เกาหลีใต้ – 8 กันยายน 2568 ท่ามกลางความกังวลเรื่อง “โรคติดจอ” ที่กำลังกัดกร่อนสมาธิ การนอนหลับ และพัฒนาการของเยาวชนทั่วโลก เกาหลีใต้เพิ่งผ่านกฎหมายระดับชาติ “ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ในห้องเรียนระหว่างเวลาเรียน” ด้วยเสียงสนับสนุน 115 เสียง จาก 163 เสียง ในสภา มีผลบังคับใช้ เดือนมีนาคม 2569 นับเป็นหนึ่งในมาตรการเข้มที่สุดของโลก และสะท้อนการคุมเข้มพฤติกรรมดิจิทัลในห้องเรียนแบบ “กฎหมายกลาง” แทนที่จะปล่อยให้โรงเรียนกำหนดเองเหมือนหลายประเทศที่ผ่านมา โดยฝ่ายนิติบัญญัติย้ำเป้าหมายเพื่อลดภาวะพึ่งพาโซเชียลและยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนทุกระดับชั้น

แต่เมื่อกฎหมายพุ่งตรงเข้าสู่ “ชีวิตประจำวัน” ของเด็ก คำถามใหญ่อยู่ที่ว่า: การแบนในห้องเรียนแก้ปัญหาได้จริง หรือเพียงกดให้ปัญหาไหลไปนอกโรงเรียน? ฝ่ายคัดค้านเตือนถึงสิทธิของเด็ก การบังคับใช้ที่ซับซ้อน และความจำเป็นต้องแก้ต้นเหตุ ตั้งแต่ความเครียดทางการเรียน ไปถึงระบบยืนยันตัวตน–คัดกรองอายุบนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งยังเป็น “ช่องโหว่” ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน

เส้นเวลาและสาระของกฎหมาย “ปิดจอในชั้นเรียน” พร้อมข้อยกเว้น

ร่างแก้ไขกฎหมายการศึกษาระดับประถม–มัธยมของเกาหลีใต้ ผ่านสภาด้วยเสียงเห็นชอบอย่างชัดเจน กำหนดให้ ห้ามใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะในระหว่างเวลาเรียน (ทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน) โดยมอบอำนาจให้ครูและโรงเรียนกำหนดระเบียบกำกับ พร้อม ข้อยกเว้น เพื่อการเรียนรู้เฉพาะกิจ กรณีฉุกเฉิน หรือสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งหมดจะเริ่มบังคับใช้ ภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ 2569

กฎหมายฉบับนี้ยังมีมิติทางการเมืองที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นความร่วมมือข้ามฝ่ายในสภา โดยผู้เสนอหลักชี้เหตุผลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ระดับนานาชาติเรื่องผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อสมาธิและสุขภาวะจิตใจเด็ก ขณะที่ หลายโรงเรียนในเกาหลีใต้ เดิมก็มีข้อจำกัดอยู่แล้ว กฎหมายครั้งนี้จึงเป็นการ “ยกระดับ” ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

 ครู–ผู้ปกครองเห็นผลคาบเรียน “สงบขึ้น–ตั้งใจมากขึ้น”

องค์กรครูและผู้ปกครองจำนวนมากชี้ว่า สมาร์ทโฟนคือ “ตัวรบกวนอันดับหนึ่ง” ของห้องเรียน การแบนในเวลาเรียนทำให้ บทเรียนต่อเนื่องขึ้น การมีส่วนร่วมสูงขึ้น และการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ระหว่างคาบลดลง ในหลายประเทศที่ทดลองใช้มาก่อน เช่น ฝรั่งเศส–ฟินแลนด์ ก็รายงานผลเชิงบวกในมิติความสนใจเรียน การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และบรรยากาศห้องเรียน

ฝั่งงานวิจัย เริ่มมีการทบทวนหลักฐานอย่างเป็นระบบมากขึ้นในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา โดยสรุปว่าแม้ยังขาดงานทดลองแบบสุ่มควบคุม (RCT) จำนวนมาก แต่ แนวโน้มหลักฐาน ชี้ว่าการจำกัดสมาร์ทโฟนในโรงเรียนสอดคล้องกับการเพิ่มคุณภาพบรรยากาศการเรียน ลดสิ่งรบกวน และลดพฤติกรรมเสี่ยงบางประเภท อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ขึ้นกับ รูปแบบการห้าม (บางส่วน/ทั้งหมด) และ การบังคับใช้จริง ในระดับโรงเรียน

 “กฎหมาย” ไม่ใช่ยาวิเศษ—ต้องแก้แรงกดดันเชิงโครงสร้างด้วย

กลุ่มนักเรียนและนักวิชาการบางส่วนตั้งคำถามว่า การแบนในชั้นเรียนอาจ ผลักปัญหาไปช่วงนอกเวลา โดยเฉพาะตอนกลางคืน ซึ่งคือหน้าต่างเวลาหลักของการเสพสื่อและโซเชียล ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ยังเผชิญแรงกดดันจากระบบสอบแข่งขันระดับชาติที่เข้มข้น (เช่น Suneung) ทำให้โลกออนไลน์เป็นพื้นที่ระบาย เคลื่อนไหวสังคม และพบปะเพื่อน การ “ตัดขาด” ในโรงเรียนจึงอาจต้องเดินคู่กับ บริการสนับสนุนสุขภาพจิต–โค้ชทักษะดิจิทัล ไม่เช่นนั้น การเสพติดและพฤติกรรมเสี่ยงอาจย้ายไปเกิดที่อื่นแทน

เทรนด์โลก 79 ระบบการศึกษามีนโยบายห้าม–จำกัดสมาร์ทโฟนในโรงเรียน

รายงานของ UNESCO/GEM Report ระบุว่า สิ้นปี 2567 มี 79 ระบบการศึกษา หรือราว 40% ของโลก ที่มีกฎหมาย/นโยบายห้ามใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 60 ระบบในปี 2566 สะท้อน “แนวปฏิบัติใหม่” ด้านความปลอดภัยดิจิทัลในสถานศึกษา ขณะที่ยุโรปมีหลายประเทศออกแนวทางระดับชาติ และโรงเรียนจำนวนมากใน เนเธอร์แลนด์–เบลเยียม–ฮังการี รายงานผลบวกต่อบรรยากาศการเรียนหลังจำกัดมือถือในคาบ

ที่ฝั่งสหรัฐฯ ข้อมูลจาก ศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติ (NCES) ระบุว่า โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่มี นโยบายจำกัดการใช้มือถือระหว่างเรียน แม้ไม่ใช่กฎหมายระดับชาติ สะท้อนสำนึกความจำเป็นในระดับสถานศึกษาเช่นกัน.

แล้วประเทศไทยควรทำหรือไม่ “กฎหมายกลาง” vs “แนวทางโรงเรียน”

สถานะปัจจุบันของไทย: กระทรวงศึกษาธิการไทยประกาศ “แนวคิด–แผนจำกัดอุปกรณ์ดิจิทัลในโรงเรียนสำหรับนักเรียนอายุน้อย” ตั้งแต่ สิงหาคม 2567 โดยอ้างอิงพัฒนาการและสมาธิเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป แนวคิดดังกล่าวมุ่งเพิ่มกิจกรรมกลางแจ้ง/อ่านหนังสือคู่ขนานกับการจำกัดอุปกรณ์ แต่ยัง ไม่ใช่กฎหมายระดับชาติ ขณะที่โรงเรียนจำนวนมากมี ระเบียบโทรศัพท์ ของตนเองอยู่แล้ว (เช่น ฝาก–ปิดเสียง–ใช้ได้เฉพาะกิจ)

ในเวลาเดียวกัน ไทยกำลังเดินหน้าการลงทุน EdTech ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์สำหรับนักเรียน–ครู (เช่น โครงการจัดหาแท็บเล็ต/แล็ปท็อปเป็นแสนเครื่องในปีงบประมาณล่าสุด) เพื่อยกระดับการเรียนรู้ดิจิทัล นโยบายจึงต้อง จับคู่ ระหว่าง “ควบคุมการใช้ส่วนตัวที่รบกวนคาบเรียน” กับ “ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ที่จำเป็น” อย่างแยกแยะบริบท ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสนระหว่าง “มือถือส่วนตัว” กับ “อุปกรณ์เพื่อการเรียนรู้”

สำหรับไทย จากบทเรียนเกาหลีใต้และหลักฐานสากล

  1. เริ่มแบบขั้นบันได:
    • ระดับ อนุบาล–ประถม: จำกัดการพก/การใช้โดยหลักการ “ไม่ใช้ในคาบ” ยกเว้นการเรียน–เหตุจำเป็น
    • ระดับ มัธยม: “งดใช้ขณะเรียน” แต่เปิดช่องใช้เพื่อการเรียนรู้ตามแผนการสอนภายใต้การกำกับของครู
  2. นิยามชัด ระหว่าง “มือถือส่วนตัว” กับ “อุปกรณ์เรียนของโรงเรียน” และกำหนดโหมด/ซอฟต์แวร์ที่อนุญาต (เช่น โหมดสอบ โหมดเรียนรู้ปลอดการแจ้งเตือน)
  3. ข้อยกเว้น–ทางหนีไฟ: นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ภาวะสุขภาพ หรือกรณีฉุกเฉิน ต้องมีช่องทางสื่อสารที่ปลอดภัยภายใต้การดูแล
  4. หลักฐาน–ประเมินผล: ผูกการบังคับใช้กับ ตัวชี้วัด เช่น ระดับสมาธิ/ความร่วมมือในชั้น คะแนนงาน/สอบ คุณภาพการนอนหลับ และเหตุการณ์กลั่นแกล้งออนไลน์ภายในโรงเรียน เพื่อปรับกติกาอย่างยืดหยุ่นตามข้อมูลจริง
  5. ความร่วมมือผู้ปกครอง: ทำ “สัญญาใช้อุปกรณ์” ครอบครัว–โรงเรียน ร่วมกำหนดเวลาหน้าจอหลังเลิกเรียนและก่อนนอน สื่อสารธงแดงของพฤติกรรมเสี่ยง
  6. สุขภาพจิต–ดิจิทัล: คู่มือทักษะชีวิตดิจิทัล (Digital Wellbeing) และบริการให้คำปรึกษาในโรงเรียน เพื่อไม่ให้มาตรการกลายเป็นการ “ปิดกั้น” โดยไร้เครื่องมือดูแลใจ
  7. ขั้นกฎหมาย (หากจำเป็น): หากจะยกระดับเป็นกฎหมายกลาง ควรรับฟังความเห็นนักเรียน–ครู–ผู้ปกครองอย่างกว้างขวาง พร้อม ช่วงเปลี่ยนผ่าน และงบสนับสนุนเครื่องมือควบคุมระดับห้องเรียน (เช่น ตู้ฝาก–โหมดเรียน–ระบบเครือข่ายภายใน)

จากหลักฐานสากล แนวโน้มผลเชิงบวกมีอยู่จริง แต่ความสำเร็จผูกอยู่กับ “การออกแบบและบังคับใช้ที่ดี” มากกว่าคำว่า “แบน” เพียงคำเดียว นั่นหมายถึง ไทย ควรทำ ในระดับนโยบายโรงเรียนให้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ และพิจารณายกระดับเป็น “กรอบกฎหมาย” เฉพาะเป้าหมาย งดใช้ระหว่างคาบเรียน” พร้อมข้อยกเว้น–การประเมินผล หากข้อมูลยืนยันประโยชน์ชัดเจนจึงขยายผล

ความเสี่ยง–โอกาส สมดุล “ปลอดภัยตามค่าเริ่มต้น” กับ “การเรียนรู้ดิจิทัล”

โลกการศึกษาหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีไม่ได้ แต่ สมาร์ทโฟนส่วนตัว ที่แจ้งเตือนตลอดเวลาคืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อดึงความสนใจ จึงขัดแย้งโดยธรรมชาติกับ “การจดจ่อในคาบเรียน” หลายงานศึกษาชี้ว่า แค่มีมือถือวางอยู่ใกล้ตัวก็ลดสมาธิลงได้ และต้องใช้เวลานับสิบนาทีเพื่อดึงกลับมาสู่บทเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า การสร้างห้องเรียน ปลอดสิ่งรบกวนตามค่าเริ่มต้น (safety/attention by default) จึงเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผล ขณะเดียวกัน โรงเรียนยังต้องส่งเสริม ทักษะดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ (เช่น การค้นคว้าอย่างมีวิจารณญาณ ความปลอดภัยไซเบอร์ การรู้เท่าทันสื่อ) ผ่านอุปกรณ์ที่ควบคุมได้และปลอดการรบกวน

กฎหมายเกาหลีใต้คือ “แรงเร่ง” ให้โลกทบทวนกติกาในห้องเรียน—ไทยควรเดินแบบ “ชัด–ยืดหยุ่น–วัดผลได้”

กฎหมายของเกาหลีใต้ที่เริ่มใช้ มีนาคม 2569 เป็นสัญญาณชัดเจนว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ สิทธิในการเรียนรู้โดยปราศจากสิ่งรบกวน ถูกยกระดับเป็น สิทธิพื้นฐานในห้องเรียน พอๆ กับสิทธิการเข้าถึงเทคโนโลยี สำหรับไทย ทางเลือกที่รอบคอบคือ มาตรฐานกลาง “งดใช้ในคาบ” ที่ช่วยครู–นักเรียนจริง พร้อมข้อยกเว้น–งบสนับสนุน–การประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หากข้อมูลยืนยันผลดี จึงค่อยพิจารณายกระดับเป็นกฎหมาย เพื่อไม่ให้ “อำนาจบังคับใช้” ไปไกลกว่าความพร้อมของระบบ และเพื่อให้การคุ้มครองเด็ก เกิดขึ้นจริง ในทุกโรงเรียน ไม่ใช่เพียงบนกระดาษนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The Straits Times: “South Korea to ban phones in class starting March 2026”
  • Reuters: “South Korea to ban mobile phones in school classrooms”
  • TRT World
  • Korea JoongAng Daily
  • UNESCO / GEM Report: สถิติระบบการศึกษาที่มีกฎหมาย/นโยบายห้ามสมาร์ทโฟนในโรงเรียน 79 ระบบ (สิ้นปี 2567) และข้อเสนอ “ใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนเฉพาะเมื่อจำเป็นต่อการเรียนรู้”
  • NCES (สหรัฐฯ)
  • SAGE Open (2024)
  • Bangkok Post
  • Education Profiles (Thailand)
  • The Nation Thailand
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ค่าเทอมพุ่ง หอการค้าเผย เศรษฐกิจยังไหว แต่การศึกษาเหลื่อมล้ำ

รายจ่ายเปิดเทอมปี 2568 ทะลุ 6.2 หมื่นล้านบาท สูงสุดรอบ 16 ปี สะท้อนภาพเศรษฐกิจยังเคลื่อนไหว แม้ผู้ปกครองกังวลผลกระทบ

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน พบว่าแม้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะการชะลอตัวระดับโลก แต่การใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงเปิดเทอมกลับสูงขึ้นแตะระดับ 62,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.80% ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มสำรวจปี 2553

แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา สูงขึ้น แต่สะท้อนความสำคัญในใจผู้ปกครอง

จากผลสำรวจพบว่า ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการวางแผนจัดซื้อสินค้าเกี่ยวกับการเรียนและอุปกรณ์การศึกษาก่อนเปิดภาคเรียน โดย

  • ร้อยละ 78.6% วางแผนซื้อหนังสือเรียนใหม่ทั้งหมด
  • ร้อยละ 42.7% ซื้ออุปกรณ์การเรียนใหม่บางส่วน
  • ค่าเทอมเฉลี่ย 21,142 บาท
  • ค่าชุดนักเรียน เพิ่มขึ้น 38.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรวมต่อคนอยู่ที่ 26,039 บาท

ถึงแม้ว่าผู้ปกครองร้อยละ 45.6% มองว่าค่าใช้จ่ายในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ยังมีถึงร้อยละ 30.2% ที่รู้สึกว่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยสาเหตุหลักคือ ราคาสินค้าแพงขึ้น และ ปริมาณสิ่งของที่ซื้อเพิ่มขึ้น

วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายด้านการศึกษา

รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่จากการใช้จ่ายในช่วงเปิดภาคเรียนสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทย “ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้” โดยไม่มีสัญญาณของภาวะซึมเศร้ารุนแรง การใช้จ่ายของผู้ปกครองไม่ได้ลดลงหรือระมัดระวังจนผิดปกติ ซึ่งอาจตีความได้ว่า

  1. ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเพิ่มขึ้นจริง
  2. ผู้ปกครองยังให้ความสำคัญกับการศึกษา
  3. ภาพรวมการบริโภคไม่ได้ชะลอลงถึงขั้นวิกฤต

นอกจากนี้ ยังระบุว่า ไม่พบสัญญาณชัดเจนของผลกระทบจาก สงครามการค้าโลก หรือการชะลอตัวจากตลาดแรงงานที่รุนแรงแต่อย่างใด

ผู้ปกครองยอมรับภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการศึกษา

แม้ภายนอกดูเหมือนเศรษฐกิจยังทรงตัวได้ แต่ผลสำรวจยังชี้ว่า มากกว่า 90% ของผู้ปกครองยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวรายได้น้อย ซึ่งต้องวางแผนและจำกัดการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ

ข้อกังวลของผู้ปกครอง นอกเหนือเรื่องเงิน ยังมีเรื่องอนาคตลูก

ผลสำรวจยังเปิดเผยถึงความกังวล 5 อันดับแรกของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน ได้แก่

  1. ความกังวลเรื่องการคบเพื่อนของลูกหลาน
  2. ความรุนแรงในโรงเรียน
  3. ความเสี่ยงไม่มีงานทำในอนาคต
  4. ความสามารถในการเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
  5. การสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

ข้อกังวลเหล่านี้สะท้อนว่า การศึกษาในยุคใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องตำราเรียนหรือคะแนนสอบ แต่เกี่ยวพันกับคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อม และทักษะการใช้ชีวิตของนักเรียน

ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษายังเป็นปัญหาเรื้อรัง

รายงานระบุว่า มี ความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างนักเรียนในเมืองและต่างจังหวัด โดยเฉพาะด้านโอกาสในการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยี และครูผู้สอนคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กนอกเมืองมีความเสี่ยงตกหล่นทางการศึกษาอย่างถาวร

ความสำคัญของ กยศ. ต่อโอกาสทางการศึกษา

ในการประเมินบทบาทของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) พบว่า

  • 50.1% ของผู้ปกครองมองว่า กยศ. มีความสำคัญอย่างมาก
  • มากกว่า 90% เห็นว่า กยศ. ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในระดับปานกลางถึงมาก

นโยบายของรัฐด้านการศึกษา เช่น กยศ. ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ผู้ปกครองอยากให้รัฐบาลปรับปรุงด้านการศึกษา

จากผลสำรวจ พบว่าผู้ปกครองเสนอให้มีการปฏิรูป 6 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. ปรับปรุงระบบประเมินผลให้หลากหลาย ไม่ยึดคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  2. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โรงเรียนทุกแห่งมีมาตรฐานเท่าเทียม
  3. สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับเด็กขาดแคลน
  4. ยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล
  5. ปรับวิธีสอนให้ทันสมัย ดึงดูดนักเรียนมากขึ้น
  6. เพิ่มจำนวนครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เพียงพอ

มุมมองของผู้ประกอบการ เศรษฐกิจการศึกษายังไปต่อได้

ในแง่ของผู้ประกอบการ พบว่า

  • ร้อยละ 38.2% เชื่อว่าบรรยากาศช่วงเปิดเทอมปีนี้ “คึกคักกว่าปีที่แล้ว”
  • ร้อยละ 85% มีความเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาไทยจะสามารถยกระดับให้ทัดเทียมระดับนานาชาติได้ในอีก 10 ปี
  • อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการระบุอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษา คือ
    1. ความเข้าใจผิดของสังคมเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูป
    2. การเปลี่ยนนโยบายทางการศึกษาบ่อยครั้งตามการเมือง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

ผลการสำรวจสะท้อนภาพรวมที่ซับซ้อนของสถานการณ์การศึกษาในไทย กล่าวคือ

  • เศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ก็ยังมีผลกระทบกับกลุ่มเปราะบาง
  • ผู้ปกครองยังเห็นคุณค่าในการลงทุนด้านการศึกษา แม้ต้นทุนสูง
  • ระบบการศึกษาไทยต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างมาตรฐานเดียวกัน
  • การสนับสนุนจากรัฐ เช่น กยศ. ยังมีบทบาทสำคัญ และควรเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึง
  • ผู้ประกอบการเชื่อในอนาคตของการศึกษาไทย แต่ต้องการความต่อเนื่องในนโยบาย

สถิติสำคัญจากการสำรวจ (มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, พฤษภาคม 2568)

รายการ

ตัวเลขสำคัญ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเปิดเทอม

26,039 บาท

ค่าเทอมเฉลี่ย

21,142 บาท

เม็ดเงินสะพัดช่วงเปิดเทอม

62,614 ล้านบาท

ผู้ปกครองมองว่ามีผลกระทบจากเศรษฐกิจ

90%

ความสำคัญของ กยศ. (มองว่าสำคัญมาก)

50.1%

ความเชื่อมั่นระบบการศึกษาไทยพัฒนาได้ใน 10 ปี

85% ผู้ประกอบการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (สำรวจพฤษภาคม 2568)
  • กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) www.studentloan.or.th
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
  • โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกหนุนพัฒนาการศึกษา สัมมนาผู้บริหารโรงเรียนในเครือข่าย

เสริมสร้างศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนกองทัพบก: มุ่งเน้นการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร,เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 – พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 และผู้จัดการโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์ พร้อมด้วย ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ และนางพิกุล ไชยยศ ผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์ ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาโครงการเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนสายสามัญที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของกองทัพบก

การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้น ณ โรงแรมเลอบัว โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนให้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

พิธีเปิดและการบรรยายพิเศษ

พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาว่า “การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของสังคม”

นอกจากนี้ ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ยังได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและการเรียนการสอน

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ

ในช่วงบ่ายของวันแรก ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้แบ่งกลุ่มเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโรงเรียน เช่น การวางแผนกลยุทธ์ การบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ และการพัฒนาหลักสูตร

วันที่สองของการสัมมนา

ในวันที่สองของการสัมมนา ผู้เข้าร่วมได้นำเสนอผลการปฏิบัติงานของกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

ความคาดหวังและผลลัพธ์

ผู้จัดงานคาดหวังว่า ผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาโรงเรียนของตนเองให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

นางพิกุล ไชยยศ กล่าวว่า “การสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้บริหารโรงเรียนที่จะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และนำความรู้ที่ได้รับไปปรับปรุงการบริหารจัดการโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

การสนับสนุนจากกองทัพบก

กองทัพบกให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษามาโดยตลอด และได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่อง การจัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการพัฒนาการศึกษาของชาติ

อนาคตของการศึกษาไทย

การสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาการศึกษาของไทยให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้โรงเรียนสามารถผลิตนักเรียนที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย เสนอชื่อครู 4 ราย รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี

คณะอนุกรรมการลงพื้นที่สืบเสาะครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2568 ในจังหวัดเชียงราย

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 นางฐิติมา เร่งประเสริฐ ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการ ได้ลงพื้นที่เพื่อสืบเสาะและคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับ พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award) ครั้งที่ 6 ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยในครั้งนี้ได้มีการลงพื้นที่ โรงเรียนริมโขงวิทยา อำเภอเชียงของ และ มูลนิธิบ้านครูน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

การลงพื้นที่ประเมินและกลั่นกรอง

ในช่วงเช้า คณะอนุกรรมการได้เริ่มต้นการลงพื้นที่ที่ โรงเรียนริมโขงวิทยา เพื่อประเมินและคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับรางวัล โดยได้ทำการสัมภาษณ์ นางศิริธนัญญา โท่นขัด ครูผู้ทุ่มเทในการจัดการเรียนการสอนและมีผลงานโดดเด่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียนในพื้นที่ชนบท

ต่อมาในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางไปยัง มูลนิธิบ้านครูน้ำ อำเภอเชียงแสน เพื่อประเมินผลงานของ นางสาวนุชนารถ บุญคง ครูที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี: เชิดชูเกียรติครูผู้ทุ่มเท

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award) เป็นรางวัลพระราชทานระดับนานาชาติที่มีเกียรติยศสูงสุด มอบให้แก่ครูผู้มีความทุ่มเทและสร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ติมอร์-เลสเต บังกลาเทศ ภูฏาน และมองโกเลีย รวม 14 ประเทศ รางวัลนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถและมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษา

กระบวนการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับรางวัล

รางวัลนี้จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยครูที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วน เช่น การเป็นครูที่ปฏิบัติหน้าที่มาไม่ต่ำกว่า 12 ปี และมีผลงานการสอนที่โดดเด่นในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งยังต้องมีความประพฤติเป็นแบบอย่างทางคุณธรรมและจริยธรรม

สำหรับกระบวนการเสนอชื่อ ครูผู้สมควรได้รับรางวัล จะดำเนินการโดยองค์กรต่างๆ เช่น สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สมาคม มูลนิธิ และองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ โดยสามารถเสนอชื่อครูที่มีผลงานโดดเด่นในวงกว้างและมีคุณูปการต่อสังคม

รายชื่อครูที่ได้รับการเสนอชื่อในจังหวัดเชียงราย

สำหรับปีนี้ จังหวัดเชียงรายได้เสนอชื่อครูผู้มีคุณสมบัติสมควรได้รับพระราชทานรางวัลจำนวน 4 ราย ได้แก่:

  1. นางศิริธนัญญา โท่นขัด ครูโรงเรียนริมโขงวิทยา
  2. นางสาวศันสนีย์ อินสาร ครูโรงเรียนบ้านนางแลใน
  3. นายประสิทธิ์ อำพิมพ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนการศึกษาคนตาบอดแม่สาย
  4. นางสาวนุชนารถ บุญคง ครูมูลนิธิบ้านครูน้ำ

การประเมินคุณสมบัติและเกณฑ์การคัดเลือก

การคัดเลือกครูผู้ได้รับรางวัลในครั้งนี้จะเน้นที่ การสร้างแรงบันดาลใจ และ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของลูกศิษย์ ผ่านการสอนที่ทุ่มเทและมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้ก้าวหน้าในหลากหลายอาชีพ ครูที่ได้รับการเสนอชื่อยังต้องมีความสามารถในการคิดค้นและพัฒนาวิธีการสอนที่สร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของนักเรียนในยุคปัจจุบัน

รางวัลพระราชทานเพื่อเทิดพระเกียรติและพัฒนาการศึกษา

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมคุณภาพการศึกษาผ่านการยกระดับคุณภาพของครู โดยเชื่อว่าครูที่มีคุณภาพย่อมส่งผลต่อการสร้างคนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมและประเทศชาติในระยะยาว

สรุปผลการลงพื้นที่และการดำเนินงานในอนาคต

นางฐิติมา เร่งประเสริฐ ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมและสนับสนุนครูที่มีความสามารถและทุ่มเทเพื่อการศึกษา โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนครูที่มีความสามารถให้ได้รับการยอมรับและเชิดชูเกียรติในระดับสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE