Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

65 ปีที่รอคอย รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ คืบ 46% เร็วกว่าแผน เปิดใช้ปี 2571

“65 ปีที่รอคอย” รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงของ คืบ 46% เร็วกว่าแผน หนุนเชียงรายเป็น “ประตูโลจิสติกส์ GMS” เปิดใช้ปี 2571

เชียงราย, 16 พฤศจิกายน 2568 — เสียงเครื่องจักรยังดังสม่ำเสมอเหนือแนวสันเขาและหุบลุ่มแม่น้ำกก ขบวนรถบรรทุกคอนกรีต เหล็กโครงสร้างสลับกันเข้าออกไซต์งาน ในวันที่หลายคนเชื่อว่า “ความฝัน 65 ปี” ของภาคเหนือกำลังจับต้องได้จริง—โครงการรถไฟทางคู่สาย เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ความยาว 323.10 กิโลเมตร งบลงทุน 85,345 ล้านบาท เดินหน้าไปแล้ว 46.112% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2568 เร็วกว่าแผนงานสะสม 0.901 จุดเปอร์เซ็นต์ และ “ล็อกเป้า” เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ใน ปี 2571 เพื่อเชื่อมไทย–ลาว–จีน และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) บนระเบียงเศรษฐกิจเหนือ ใต้ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมกะโปรเจกต์ที่เดินทางยาวนานกว่า 65 ปี

แนวคิดรถไฟไปเชียงรายเริ่มต้นถูกหยิบยกตั้งแต่ พ.ศ. 2503 ผ่านการศึกษาหลายรอบในยุครัฐบาลต่าง ๆ ทว่าติดค้างอยู่บนกระดาษด้วยข้อจำกัดงบประมาณและลำดับความสำคัญโครงสร้างพื้นฐาน จนกระทั่งรัฐเร่งเครื่อง “ลงทุนราง” ภายใต้ยุทธศาสตร์คมนาคมช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โครงการเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของจึงถูก “ปลดล็อก” และเริ่มสัญญาก่อสร้างใน ก.พ. 2565 นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบรางไทยสู่มาตรฐานโลจิสติกส์ภูมิภาค

โครงสร้าง ผังสถานี 4 จังหวัด 26 สถานี แก้จุดตัด 254 จุด ด้วยมาตรฐานสากล

เส้นทางวิ่งจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน ลำปาง–พะเยา สู่ เชียงราย รวม 26 สถานี (สถานีใหญ่ 4, สถานีเล็ก 9, ป้ายหยุดรถ 13) พร้อมงานโครงสร้าง “ผสมผสาน” ทั้งทางยกระดับ ทางลอด อุโมงค์ และสะพาน เพื่อรักษาความเร็ว ความปลอดภัย ‘บนร่อง ใต้ราง ข้ามราง’ ไปพร้อมกัน ที่สำคัญ โครงการนี้ตั้งเป้า แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟ 254 จุด ตลอดแนว ทำให้การเดินรถทำได้ปลอดภัย เร็วขึ้น และลดอุบัติเหตุซ้ำซากในชุมชนชนบท เมืองระหว่างทาง นอกจากนี้ ทุกสถานีออกแบบตามหลัก Universal Design เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ทั้งลิฟต์ ทางลาด พื้นผิวสัมผัส สัญลักษณ์สื่อสารสากลสำหรับผู้สูงอายุ/ผู้ใช้วีลแชร์/ผู้มีข้อจำกัดการมองเห็น การได้ยิน ฯลฯ

เฉพาะ จังหวัดเชียงราย รับระยะทางมากที่สุด ~139.40 กม. พร้อม 11 สถานี ครอบคลุมอำเภอเศรษฐกิจสำคัญ ตั้งแต่ ‘ประตูสู่เมือง’ จนถึง ด่านพรมแดนเชียงของ ที่วางตัวเป็นฮับขนส่งชายแดนสู่ สปป.ลาว–จีน ซึ่งจะเป็นฐานต่อเชื่อมขบวนตู้คอนเทนเนอร์กับลานกองเก็บ บรรทุกตู้ขนาด 150 ไร่ บริเวณ สถานีเชียงของ เพิ่มศักยภาพ “ราง–ถนน–ด่าน” ให้กลายเป็นวงจรโลจิสติกส์ครบห่วงโซ่ในฝั่งเหนือของประเทศ

งานโยธา “วิ่งแซงแผน” และความคืบหน้าอุโมงค์

กราฟความคืบหน้างานโยธาของโครงการในปี 2568 “กระดกขึ้น” ต่อเนื่อง โดยรายงานหลายสำนักระบุภาพรวมถึงสิ้น ต.ค. 2568 แตะ 46.1% เร็วกว่าแผนประมาณ 0.9 จุดเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “หมุดหมาย” ด้านอุโมงค์สำคัญอย่าง อุโมงค์แม่กา ในจังหวัดพะเยา มีรายงานความก้าวหน้าว่า “ทะลุ เดินหน้าเร็วกว่าแผน” ซึ่งหากรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ จะช่วยลดแรงกดดันบนงานประกอบราง–ระบบและสถาปัตยกรรมสถานีช่วงท้ายโครงการได้พอสมควร

เชียงราย  ประตูโลจิสติกส์และโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ของ GMS

เมื่อปลายทาง “จอดที่ชายแดน” ความหมายของรถไฟทางคู่นี้จึงไม่ได้จบแค่การโดยสาร ท่องเที่ยว แต่คือ การวางเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ให้เชียงรายและภาคเหนือ—การบรรทุกตู้สินค้าจากฐานผลิตภาคเหนือ–อีสานตอนบน ข้าม สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–ห้วยทราย) เข้าสู่ สปป.ลาว แล้วเชื่อมต่อ โครงข่ายจีนตอนใต้ และ ระเบียงเศรษฐกิจ GMS ลดต้นทุนโลจิสติกส์–การเสียเวลาด่าน การขนถ่ายซ้ำ โยกน้ำหนักขนส่งจากถนนสู่รางได้อย่างเป็นระบบ และหนุนการลงทุนคลังสินค้า–ดรายพอร์ต–อุตสาหกรรมต่อเนื่องในแนวชายแดนเพิ่มขึ้นในระยะกลาง

ตัวเลขที่ควรรู้

  • จุดรับ–ส่งตู้สินค้า สถานีเชียงของ (150 ไร่)  เพิ่มขีดความสามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ อุปกรณ์ยกขน–ลานพักสินค้า เชื่อม “ราง–ด่าน–ถนน” ได้ต่อเนื่อง
  • เวลาเดินทาง  เมื่อเทียบการเดินทางด้วยรถยนต์ เส้นทางรถไฟใหม่นี้มีการประเมินว่าจะ ประหยัดเวลา ~1–1.5 ชั่วโมง (ขึ้นกับช่วงสถานี–สภาพการจราจร)
  • ความปลอดภัย  การ ยกเลิก/ลดจุดตัด 254 จุด จะลดเหตุข้ามรางผิดกฎหมาย การชนตัดหน้า อุบัติเหตุซ้ำจุดเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
  • Universal Design ครบถ้วน  สนับสนุนเมืองท่องเที่ยว สังคมสูงวัยของเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่สถานีหลักในเมือง–รอบมหาวิทยาลัย–จุดเปลี่ยนถ่ายสำคัญ

รางพานักท่องเที่ยวสู่ภูมิทัศน์เหนือ  ขุนเขา–สะพาน–อุโมงค์

แม้ “โลจิสติกส์” จะเป็นพระเอก แต่ “ท่องเที่ยว” คือผู้เล่นสมทบที่มีพลัง—เส้นทางผ่าน ทิวเขา–สะพาน–อุโมงค์ จำนวนมาก จะสร้างประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่บนรางอำนวยความสะดวกต่อ “นักเดินทางเชิงธรรมชาติ–คาเฟ่–ไร่องุ่น–ไร่ชา–โฮมสเตย์ลุ่มโขง” อันเป็นสินค้าท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเชียงราย–เชียงแสน–เชียงของ ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนแนวเส้นทาง และปั้น “รูทท่องเที่ยวข้ามแดน” ที่ต่อเนื่องกับ หลวงพระบาง–บ่อแก้ว ได้ในอนาคต นี่คือ “รายได้ทางอ้อม” ที่โครงสร้างพื้นฐานมักทิ้งความประทับใจยาวนานกว่าเอกสารเชิงเทคนิคเสมอ (สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ผลักดันท่องเที่ยวคุณภาพ ระยะพำนักยาวขึ้น)

ความท้าทาย  งานระบบ–ทดสอบ–ความพร้อมสถานี และการเชื่อมต่อ “ไมล์สุดท้าย”

แต่เมกะโปรเจกต์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ—ช่วง โค้งสุดท้ายก่อนเปิดใช้ คือบททดสอบจริงของงานระบบ (สัญญาณ อาณัติสัญญาณ ไฟฟ้า สื่อสาร), การทดสอบความปลอดภัยเดินรถ, การซ้อมเดินรถ, และการจัดการ “ไมล์สุดท้าย” ในเมืองใหญ่ เช่น การเชื่อมต่อรถโดยสาร ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสองแถว ระบบขนส่งท้องถิ่น ให้ผู้โดยสาร/แรงงาน/นักท่องเที่ยวถึงปลายทางได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย หากวางผัง ป้าย ลิฟต์  ทางลาด จุดจอดรับ ส่ง ให้ไหลลื่นตั้งแต่วันแรก ความพึงพอใจผู้ใช้จะ “คูณสอง” จากความใหม่ของสถานีและความรวดเร็วของขบวนรถ (แนวปฏิบัติร่วมสมัยของสถานีรถไฟไทยรุ่นใหม่)

เชื่อมเศรษฐกิจ–ชุมชน  รางต้องเติบโตไปพร้อม “เสียงท้องถิ่น”

รถไฟจะคุ้มค่าเมื่อ “ชุมชนใช้จริง” โครงการนี้พาดผ่าน 59 ตำบล 17 อำเภอ ใน 4 จังหวัด—การเยียวยา ชดเชย จัดการผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม (เช่น เสียง ฝุ่น แนวรั้ว ทางข้าม) ที่สอดคล้อง EIA/EIS เป็นเงื่อนไขสำคัญให้ “ความไว้ใจ” อยู่กับโครงการไปจนเปิดใช้ ตัวอย่างการสื่อสารเชิงรุกในบางพื้นที่ เช่น การเผยแพร่สถานะงานอุโมงค์ การประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ—สะท้อนธรรมาภิบาลโครงการที่ดี และช่วยลดข่าวลือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อน (ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคของหลายโครงการในอดีต)

ไทม์ไลน์สู่เป้าหมายปี 2571  สิ่งที่ต้อง “ล็อกให้แน่น”

  1. เร่งปิดงานโครงสร้างหลัก  ทางยกระดับ–ทางลอด–อุโมงค์–สะพาน ให้เสร็จตามกรอบเวลา เพื่อเคลียร์คิวติดตั้งราง–ทางประธาน–รางหลีก–ทางโยก
  2. ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–พลังงาน  วางระบบให้พร้อมสำหรับการทดสอบเดินรถจริง
  3. ทดสอบ–ทวนสอบ–รับรองความปลอดภัย  เชิญหน่วยงานกำกับ/ผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบระบบก่อนเปิดจริง
  4. บริหารความเสี่ยงจุดตัด 254 จุด  ตรวจรับงานกำแพง สะพานลอย ทางลอด รั้วแนวเขตให้ครบ ใช้จริง
  5. ทำแผนบริการผู้โดยสาร–ไมล์สุดท้าย–ค่าโดยสาร–ตารางเดินรถ  สื่อสารล่วงหน้าให้ประชาชน ภาคธุรกิจวางแผนการเดินทาง/ขนส่งได้ตั้งแต่วันแรกเปิดเดินรถ

ประโยคชวนคิด  “1% ที่แซงแผนบนกราฟอาจเป็นเพียงเส้นบาง ๆ แต่สำหรับชุมชนชายแดน มันคือหลายหมื่นชีวิตที่รอรถไฟเทียบท่า—รอให้รางพาพืชผล สินค้า โอกาส ออกสู่โลกกว้างกว่าถนนสองเลน”

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ กำลังเดินหน้า “ตามนาฬิกาโครงการ” และ “เร็วกว่าแผนเล็กน้อย” โดยมีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อ เศรษฐกิจเหนือ–ชายแดน–GMS  ลดเวลาขนส่ง, ลดอุบัติเหตุจุดตัด, ยกระดับการเดินทางมวลชน, ปั้นคลัสเตอร์โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว บริการใหม่ให้เชียงรายและจังหวัดแนวเส้นทาง สิ่งที่ท้าทายคือการ ล็อกคุณภาพงานระบบ ความปลอดภัย ไมล์สุดท้าย ให้พร้อมในปี 2571 ซึ่งหากทำได้ โครงการที่ “รอคอย 65 ปี” จะไม่เพียง เปิดเดินรถ แต่จะ เปิดทางเลือกชีวิต–อาชีพ–โอกาส ให้คนเหนืออย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย เชียงราย เชียงของ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เปิดตัวเลขเศรษฐกิจ “มหาวิกฤตดีมานด์” เชียงราย การลงทุนเบรกหนัก เกษตรกรรายได้ลด 13.7%

เชียงราย “มหาวิกฤตอุปสงค์” สะเทือนทั้งจังหวัด ค้าชายแดนทรุด -66.9% ท่ามกลางภาคบริการ-เกษตรพยุงเครื่องยนต์เศรษฐกิจ

เชียงราย, 17 ตุลาคม 2568 — กลางฝนปลายฤดูที่พัดพาไอเย็นมาสู่ลุ่มน้ำกก เมืองชายแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องชา กาแฟ และเส้นทางโลจิสติกส์สู่ลาว–เมียนมายังคงคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ แต่ใต้ภาพ “เมืองท่องเที่ยวสีเขียว” นั้น ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนสิงหาคมส่งสัญญาณเตือนเข้ม เครื่องชี้ด้านอุปสงค์ (การใช้จ่าย) หดตัวพร้อมกันหลายมิติ โดยเฉพาะ การค้าชายแดนดิ่ง -66.9% พลิกจากเดือนกรกฎาคมที่ยังบวก 2.5%

รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังจังหวัดเชียงรายล่าสุดสรุปสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจจังหวัดโดยรวมหดตัว เมื่อเทียบทั้งปีต่อปีและเดือนต่อเดือน” แม้ ด้านอุปทาน (การผลิต) จะยังพอประคองด้วยการขยายตัวของภาคบริการและเกษตร แต่ความอ่อนแรงของการใช้จ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และการลงทุนกำลังกดทับบรรยากาศธุรกิจและครัวเรือนอย่างเห็นได้ชัด

เมืองพรมแดน “เครื่องยนต์สะดุด”

ปกติ “ชายแดน” คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเชียงราย ทั้งขนส่งสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเบา ไปจนถึงพลังงาน แต่เดือนสิงหาคม 2568 ตัวเลข มูลค่าการส่งออก ผ่านด่านศุลกากรเหลือเพียง 4,748.5 ล้านบาท (-71.5%) ขณะที่ มูลค่านำเข้า อยู่ที่ 2,019.4 ล้านบาท (-46.7%) ส่งผลให้แม้จะมี ดุลการค้าเกินดุล 2,729.1 ล้านบาท ก็ไม่ใช่ “เกินดุลจากความแข็งแรง” หากเกิดจาก กิจกรรมการค้าหดตัวทั้งขาเข้า–ขาออก โดยฝั่งส่งออกทรุดแรงกว่าอย่างมาก (ฐานเล็กลงอย่างรวดเร็ว)

สินค้าเปราะบาง ที่ฉุดส่งออก ได้แก่ ผลไม้สด น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และน้ำมันปาล์มโอลีน ขณะที่ นำเข้า ลดตามในกลุ่ม ผลไม้–ผัก–ดอกไม้สด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และแร่พลวง ภาพรวมนี้สะท้อนปัจจัยภายนอกที่ตึงตัว—ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงด้านมาตรการด่านแดน ไปจนถึงภาวะชะลอตัวของอุปสงค์ในภูมิภาค—และกระแทกโซ่อุปทานท้องถิ่นที่พึ่งการค้าข้ามแดนเป็นหลัก

ภาครัฐชะลอ–เอกชนระวังตัว “การลงทุนเหยียบเบรก”

เครื่องยนต์ที่ควรช่วยพยุงอุปสงค์กลับ สะดุดพร้อมกัน

  • การใช้จ่ายภาครัฐ เดือนสิงหาคม หด -3.9% (จากเดือนกรกฎาคม +18.6%) ต้นเหตุหลักคือ รายจ่ายลงทุน -24.5% กระทบโครงการทางหลวง ชลประทาน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลในจังหวัด ซึ่งเป็น “ท่อส่งเม็ดเงิน” ลงพื้นที่โดยตรง
  • การลงทุนภาคเอกชน หด -2.7% (ดีขึ้นเล็กน้อยจาก -3.7% ในเดือนก่อน) สัญญาณเตือนชัดเจนคือ พื้นที่อนุญาตก่อสร้างรวม -45.1% และสะสมปีถึงสิงหาคม -39.1% สะท้อนความไม่แน่ใจของผู้ประกอบการต่อดีมานด์ข้างหน้า
  • สินเชื่อเพื่อการลงทุน ยังติดลบ -0.7% ชี้แรงส่งจากสถาบันการเงินยังระวังเชิงความเสี่ยง ด้านครัวเรือนเองก็เลือกเก็บเงิน “มากกว่ากู้”—เงินฝากรวม +5.5% ขณะที่ สินเชื่อรวม -0.7%—บ่งชี้พฤติกรรม “ระมัดระวัง” ทั่วกระดาน

แต่กลางพายุยังมีแสงไฟ การบริโภคภาคเอกชนยังโต +2.9% แม้ชะลอจากเดือนก่อน สัญญาณบวกมาจาก รถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ +5.2% ปริมาณจำหน่ายสุรา +16.4% และ การใช้ไฟฟ้าครัวเรือน +6.3% แปลภาษาง่าย ๆ คือ ครัวเรือนยัง “ใช้จ่าย” ในบางหมวด โดยเฉพาะสินค้าคงทนและอุปโภคบริโภคพื้นฐาน

เครื่องยนต์ฝั่งอุปทาน “บริการ–เกษตร” ช่วยประคองฐานผลิต

แม้อุปสงค์ฝั่งใช้จ่ายจะอ่อนแรง แต่ ด้านอุปทาน (การผลิต) ยัง ขยายตัว YoY ได้เพราะโครงสร้าง เชียงรายพึ่งพาภาคบริการกว่า 64.8% ของ GPP

  • ภาคบริการ +7.3% ขยายตัวต่อเนื่องจากกิจกรรมท่องเที่ยวและงานอีเวนต์ เช่น เทศกาลปทุมมา กิจกรรม TEDx ChiangRai งานมหัศจรรย์ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา ฯลฯ ช่วยดัน จำนวนนักท่องเที่ยว +8.7% และรายได้หมวด ขายส่ง–ปลีก +14.7% ด้าน VAT หมวดโรงแรม–ภัตตาคาร +6.6% ตอกย้ำว่า “เครื่องยนต์ท่องเที่ยว” ยังเดินอยู่
  • ภาคเกษตร +2.6% อากาศ–น้ำเอื้อ ส่งผลให้ ชา +113.3% (ปริมาณผลผลิต) และ ลำไย +5.0% เพิ่มขึ้น พร้อมปศุสัตว์ ปลานิล–สุกร–โค ขยายตัว
  • ภาคอุตสาหกรรม -1.4% ยังหดต่อเนื่องตาม การใช้ไฟฟ้าอุตสาหกรรม -5.9% สะท้อนคำสั่งซื้อที่ยังไม่ฟื้น

บทสรุปชั่วคราว เครื่องยนต์ “บริการ–เกษตร” ยังพอช่วยให้ฝั่งผลิตไม่ทรุดตาม แต่แรงฉุดจาก “อุปสงค์นอกบ้าน” โดยเฉพาะค้าชายแดนและการลงทุน กำลังบดบังภาพฟื้นตัว

ทำไม “เกษตรผลิตมากแต่จนลง”?

ตัวเลขที่ชวนตั้งคำถามคือ ดัชนีรายได้เกษตรกรเดือนสิงหาคม -13.7% ทั้งที่ปริมาณผลผลิตหลายชนิดเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักคือ ราคาสินค้าเกษตรร่วงแรง -15.9%

  • ยางพารา -12.0% (เฉลี่ย 49,130 บ./ตัน)
  • ชา -49.4% (13,660 บ./ตัน)
  • ลำไย -61.7% (11,500 บ./ตัน)
  • สับปะรด -5.2% (12,800 บ./ตัน)

เมื่อ “ผลผลิตเพิ่ม–ราคาลด” รายได้สุทธิครัวเรือนเกษตรย่อมหดลง ภาพนี้ชี้ปัญหา อุปทานล้น–ขาดกลไกรองรับราคา และความท้าทายด้านโลจิสติกส์–ตลาดส่งออกที่สะดุดจากการค้าชายแดน ซึ่งต้องการมาตรการเชิงระบบมากกว่าการเยียวยาระยะสั้น

เสถียรภาพเศรษฐกิจ สัญญาณ “เงินฝืด”–จ้างงานหด

  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไป -0.9% (จาก ก.ค. -0.3%) กดลงจากหมวดอาหารสด ข้าว แป้ง ไข่ ผัก–ผลไม้ และหมวดพาหนะ/ขนส่ง/สื่อสาร
  • การจ้างงาน -3.7% สะท้อนแรงงานบางส่วนได้รับผลกระทบจากการชะลอธุรกิจ–โครงการลงทุน

ภาวะเงินฝืดช่วยลดค่าครองชีพบางรายการ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็น “สัญญาณไม่ดี” หากยืดเยื้อ เพราะสะท้อนดีมานด์ที่อ่อนแรงและอาจทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงาน–ลงทุนต่อเนื่อง

การคลังท้องถิ่น รายได้รัฐยังบวก แต่ “เบิกจ่ายลงทุน” ต้องเร่ง

เดือนสิงหาคม จังหวัดจัดเก็บรายได้ 315.9 ล้านบาท (+6.8%) หนุนโดย สรรพากรพื้นที่ +7.1% (VAT/ภาษีเงินได้) และ สรรพสามิต +10.8% (ภาษีเครื่องดื่ม–สุรา) ขณะที่ ด่านศุลกากร -9.7% ตามการค้าชายแดนชะลอ

ด้านรายจ่าย เบิกจ่ายรวม 1,100.8 ล้านบาท (-3.9%) เพราะ รายจ่ายลงทุนหด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวกับทางหลวง–ชลประทาน–สาธารณสุข–การศึกษา “เบิกช้า” หลายแห่ง ตัวเลขสะสมปีงบฯ ถึงสิงหาคม รายจ่ายลงทุนเบิกได้ 57.4% ต่ำกว่าเป้าหมายปลายปีที่ 80% ชี้โจทย์ต้องเร่ง ก่อหนี้ผูกพัน–เคลียร์งานจัดซื้อจัดจ้าง ให้ทันไตรมาสสุดท้าย

สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ขอประชาสัมพันธ์รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังจังหวัดเชียงราย ประจำเดือนสิงหาคม 2568

มาตรการกระตุ้นที่ “ลงเงินถึงมือคนเชียงราย” เม็ดเงินสุทธิ 3.49 พันล้าน สะเทือน GPP 0.67%

แม้แรงฉุดหลายด้าน แต่เชียงรายได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ 2 ชุดใหญ่ตลอดปีงบประมาณ ซึ่ง สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ประเมิน “ผลคูณทางเศรษฐกิจ” ไว้อย่างเป็นระบบ ได้แก่

  1. โครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
  • ผู้รับสิทธิ 329,586 คน
  • เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 758.05 ล้านบาท
  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (5 ปี) 1,027.91 ล้านบาท หรือ 0.19% ของ GPP เชียงราย (คิดผลคูณ 1.356)
  • ผลต่อ GDP ประเทศ 0.07%
  1. โครงการ “คนละครึ่ง พลัส”
  • ผู้ได้รับสิทธิ 650,606 คน (ผู้เสียภาษี 169,357 คน ได้ 4,800 บ./คน, ผู้ไม่เสียภาษี 481,249 คน ได้ 4,000 บ./คน)
  • เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2,737.91 ล้านบาท
  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (5 ปี) 2,592.80 ล้านบาท หรือ 0.48% ของ GPP เชียงราย (คิดผลคูณ 0.947)
  • ผลต่อ GDP ประเทศ 0.22%

สรุปทั้งสองมาตรการ เม็ดเงินสุทธิ 3,495.96 ล้านบาท สร้าง “ผลคูณ” ทางเศรษฐกิจ 3,620.71 ล้านบาท คิดเป็น 0.67% ของ GPP เชียงราย และ 0.29% ของ GDP ประเทศ — แปลว่า “นโยบายคนละครึ่ง–สวัสดิการรัฐ” กำลังทำหน้าที่กันชนดีมานด์ในยามที่เอกชนระวังตัวและพรมแดนสะดุด
(ข้อมูลอินโฟกราฟิก สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย)

ความหมายเชิงนโยบาย ในขณะที่ฝั่ง “อุปสงค์ภายนอก” (ค้าชายแดน) หดตัว การคงระดับการใช้จ่ายของครัวเรือนผ่านมาตรการตรงจุด ช่วย “ซื้อเวลา” ให้เครื่องยนต์บริการ–ท่องเที่ยวและค้าปลีกเดินต่อไปได้ และให้ภาครัฐมีจังหวะเร่งปลดล็อกคอขวดการลงทุน

5 สัญญาณที่ผู้ประกอบการควรจับตา

  1. Border Shock — ค้าชายแดน -66.9%, ส่งออก -71.5%, นำเข้า -46.7% ผู้ส่งออก–ขนส่ง–คลังสินค้า ควรวางแผนเผื่อยืดเยื้อ พร้อมหาตลาดสำรอง/เส้นทางทางเลือก
  2. Public Capex Gap — รายจ่ายลงทุนรัฐ -24.5% ผู้รับเหมางานรัฐ–ที่ปรึกษาโครงการ ต้องติดตามแผนเบิกจ่ายหน่วยงานหลักและเข้าร่วมเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
  3. Private Prudence — อนุญาตก่อสร้าง -45.1% (YTD -39.1%) และสินเชื่อลงทุน -0.7% ผู้พัฒนาอสังหาฯ–วัสดุก่อสร้างเตรียมบริหารสต็อก–เงินสด
  4. Service Safety Net — บริการ +7.3% นักท่องเที่ยว +8.7% โรงแรม–ร้านอาหาร–งานอีเวนต์ยังมีจังหวะทำรายได้ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปลายปี
  5. Farm Income Squeeze — รายได้เกษตร -13.7% จากราคาสินค้า -15.9% สหกรณ์–ผู้แปรรูปควรเร่งทำสัญญาซื้อขาย–แปรรูปเพิ่มมูลค่า–เชื่อมอีคอมเมิร์ซลดแรงกดราคาหน้าสวน

3 “คานค้ำ” ที่ต้องรีบวางก่อนเข้าสู่ไฮซีซัน

1) ฟื้น “ท่อการค้า” ชายแดนให้ไหลลื่นอีกครั้ง
ตัวเลขสองในสามที่หายไปจากการค้าชายแดน ไม่อาจถูกชดเชยด้วยกิจกรรมภายในได้ทั้งหมด ระดับนโยบายควรเร่ง อำนวยความสะดวกด่าน–เชื่อมมาตรฐานตรวจสินค้า–เวิร์กช็อปเชิงเทคนิคกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึง เปิดช่องทางเฉพาะกิจ สำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย และจับคู่ธุรกิจให้ผู้ส่งออกท้องถิ่นเข้าถึงดีลใหม่ ๆ ในลาว–เมียนมา–จีนยูนนาน

2) เร่งเครื่องลงทุนรัฐ ขจัดคอขวดจัดซื้อจัดจ้าง
เมื่อ รายจ่ายลงทุนสะดุด ต้องใช้ “บัญชีติดตามรายวัน” กับ หน่วยงานหัวรถจักร เช่น แขวงทางหลวง–ชลประทาน–ทางหลวงชนบท–โรงพยาบาล–มหาวิทยาลัย พร้อม Roadmap เบิกจ่ายรายสัปดาห์ จนถึงไตรมาสสุดท้าย เพื่อให้ ตัวชี้วัดเบิกจ่ายลงทุนแตะ 80% ตามเป้า และส่งต่อแรงคูณให้เอกชน

3) ประกันรายได้–ระบายผลผลิต–ต่อยอดแปรรูป
ในเมื่อ “ปริมาณมาก–ราคาตก” ทางออกคือชั้นเชิงตลาด

  • สัญญาขายล่วงหน้า/ประกันราคา สำหรับ ชา–ลำไย ที่ราคาดิ่ง
  • ระบายผลผลิตไปต่างตลาด (ท่องเที่ยวในจังหวัด–ศูนย์กระจายกลาง) ควบคู่ ช่องทางออนไลน์
  • หนุนแปรรูป–มาตรฐาน GI/Organic เพื่อปลดล็อก “กับดักราคาวัตถุดิบ” ให้ทะลุสู่สินค้าพรีเมียม

เสียงจากตัวเลขการเงินการคลัง “รายได้รัฐยังทน แต่ต้องไม่หลงสัญญาณหลอก”

แม้เดือนสิงหาคม รายได้จัดเก็บ +6.8% แต่ตัวขับเคลื่อนหลักคือ VAT/ภาษีรายได้ (จากกิจกรรมบริโภค) และ สรรพสามิตเครื่องดื่ม–สุรา ขณะที่ ศุลกากร -9.7% สะท้อนว่าการฟื้นตัว “เอียง” ไปฝั่งภายในประเทศ มากกว่าพรมแดน จึงไม่ควรใช้ตัวเลขรายได้รัฐเป็นเหตุผล “ชะลอ” มาตรการอัดฉีดฝั่งชายแดน—กลับกัน ควรใช้ความแข็งแรงฝั่งภาษีในประเทศเป็นฐาน “Front-load” งบลงทุน เพื่อ จุดประกายอุปสงค์ที่ขาดหาย

มองไปข้างหน้า “หน้าหนาว–เทศกาล–มาตรการ” จะพอพยุงไหม?

ไฮซีซันท่องเที่ยวกำลังเริ่ม สอดรับกับชุดมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ลงลึกถึงครัวเรือนในจังหวัด (สวัสดิการรัฐ–คนละครึ่ง พลัส) ซึ่งประเมินว่าสร้าง เม็ดเงินหมุน 3.49 พันล้านบาท และ ผลคูณ 3.62 พันล้านบาท หรือ 0.67% ของ GPP เชียงราย หาก ฝั่งชายแดน ยังไม่เปิดกว้าง–ฝืดเคืองต่อเนื่อง แรงยกเหล่านี้จะ พยุง” ได้ แต่ ยังไม่พอ “ดัน” ให้เครื่องยนต์เดินราบรื่น จำเป็นต้องมี มาตรการเฉพาะด่าน–เฉพาะสินค้า ควบคู่กันไป (ข้อมูล สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย – อินโฟกราฟิกผลกระทบมาตรการ)

Check-list สำหรับผู้กำหนดนโยบาย–เอกชน–ชุมชน

  • ด่าน–โลจิสติกส์: จัดทีมเฉพาะกิจแก้สกัด–ยกระดับมาตรฐานเอกสาร–เชื่อมข้อมูลแบบเรียลไทม์กับประเทศเพื่อนบ้าน
  • งบลงทุน: เปิด Dashboard เบิกจ่ายรายหน่วยงาน–รายโครงการ ให้สาธารณะติดตาม เพื่อสร้างแรงจูงใจ KPI
  • SME–ท่องเที่ยว: จับคู่ดีล “ทัวร์–อีเวนต์–เหตุผลการเดินทาง” ตลอดไตรมาส 4 (วิ่งระหว่างเมือง–เมืองรอง)
  • เกษตร: เร่ง “ซื้อขายล่วงหน้า–สินเชื่อฤดูกาล–ประกันราคา” พร้อมคูปองแปรรูป–ออกแบบบรรจุภัณฑ์
  • แรงงาน: อบรมสกิลเร่งด่วนด้านบริการ–ดิจิทัล–โลจิสติกส์ ให้สอดรับดีมานด์จริง ป้องกันการว่างงานแฝง

 “อุปสงค์ภายนอก” คือกุญแจ—แต่ต้องกดคันเร่ง “อุปสงค์ในบ้าน” ต่อเนื่อง

ภาพใหญ่ของเชียงรายเดือนสิงหาคม 2568 ชัดเจนขึ้น

  • ฝั่งผลิต (บริการ–เกษตร) ยังมี “แรงหายใจ”
  • ฝั่งใช้จ่าย ถูก Border Shock (-66.9%) และ Capex Gap กระแทกจน การลงทุนเอกชน เหยียบเบรก
  • ครัวเรือน ยังจับจ่ายในบางหมวด แต่เริ่มระวัง—สะท้อนจาก เงินฝากโต–สินเชื่อติดลบ
  • เกษตรกร ผลิตมากขึ้นแต่ จนลงจากราคาตก ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดชายแดนที่สะดุด

ดังนั้น “จุดคลี่คลาย” ของเรื่องนี้ ไม่ใช่การรอคอยโชคช่วย หากคือการ เร่งฟื้นท่อค้าชายแดน ไปพร้อมกับ เร่งเบิกจ่ายลงทุนรัฐ–ค้ำประกันรายได้เกษตร–พยุงดีมานด์ครัวเรือน จนกว่าเครื่องยนต์เอกชนจะมั่นใจพอจะ “อัปเกรดเกียร์” ตามมา

เมืองปลายทางท่องเที่ยวอย่างเชียงรายมีความสามารถพิเศษ เปลี่ยนเทศกาลเป็นรายได้ เปลี่ยนแลนด์สเคปเป็นเศรษฐกิจ ถ้าด่านกลับมาไหลลื่น งบลงทุนเดินตามแผน และราคาพืชผลไม่ดิ่ง—ตัวเลขในรายงานรอบถัดไป อาจบอกเล่าเรื่องสมดุลที่มั่นคงกว่าวันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
  • Amporn Naka / Kosol Teacher Channel
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News