Categories
ECONOMY

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ‘เชียงราย’ ยังหนุนตลาดประเทศทะลุพันล้าน

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไทยโตแรง รายได้รวมทะลุ 7.3 พันล้านบาท สะท้อนพลังตลาดกลุ่มผู้ปกครองรายได้สูง

ภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านรายได้และกำไร เห็นได้จากข้อมูลล่าสุดปี 2566 ที่มีรายได้รวมกว่า 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28% จากปีก่อน และมีกำไรรวมสูงถึง 1,600 ล้านบาท การเติบโตนี้เกิดจากความนิยมของผู้ปกครองกลุ่มรายได้สูง นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทย พร้อมครอบครัว ซึ่งต่างเลือกส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพการศึกษามาตรฐานสากล

จุดแข็งของโรงเรียนนานาชาติไทยที่ตอบโจทย์ผู้ปกครอง

โรงเรียนนานาชาติในไทยมีจุดเด่นชัดเจนหลายด้าน อาทิ หลักสูตรที่หลากหลายและทันสมัย สัดส่วนครูต่อนักเรียนที่เหมาะสม เฉลี่ย 1:8 ซึ่งเอื้อต่อการดูแลอย่างใกล้ชิดและคุณภาพการสอนที่สูงขึ้น ผู้ปกครองจึงไว้วางใจเลือกให้ลูกหลานเข้าเรียน นอกจากนี้ สถานะทางสังคมก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผู้ปกครองรายได้สูงต้องการสร้างเครือข่ายและเสริมสร้างโอกาสในอนาคตให้แก่บุตรหลาน

ตลาดโรงเรียนนานาชาติขยายตัวต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลัก

การวิเคราะห์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า โรงเรียนนานาชาติ 80% กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก ค่าเทอมของโรงเรียนนานาชาติชั้นนำอยู่ระหว่าง 905,300-1,109,400 บาทต่อปี โรงเรียนในจังหวัดเชียงรายก็ไม่น้อยหน้า เช่น One Hope International School, Chiang Rai International Christian School และ Chiang Rai International School ต่างมีค่าเทอม K1 เริ่มต้นที่ 160,000-175,000 บาทต่อปี

ปัจจัยผลักดันความนิยมและโอกาสการขยายตัว

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยม คือ ความต้องการของผู้ปกครองกลุ่ม High Net Worth ที่มองหา “ความพิเศษ” และเครือข่ายสากล โรงเรียนเหล่านี้มีหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น STEM, Coding, AI ซึ่งตอบโจทย์ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 สร้างโอกาสสู่ตลาดแรงงานโลก นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มขยายสาขาไปยังจังหวัดท่องเที่ยวและเมืองที่มีชาวต่างชาติอยู่จำนวนมาก เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา

โครงสร้างธุรกิจโรงเรียนนานาชาติและการลงทุนต่างชาติ

ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ณ 30 เมษายน 2568 ระบุว่า มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท โดยธุรกิจขนาดเล็ก (S) มีสัดส่วนสูงถึง 98.02% ทุนรวม 33,159.56 ล้านบาท ธุรกิจขนาดกลาง (M) มี 122 ราย ทุน 11,239.55 ล้านบาท และขนาดใหญ่เพียง 27 ราย ทุน 6,234.35 ล้านบาท ส่วนการลงทุนของต่างชาติก็โดดเด่น อังกฤษถือหุ้น 30% ของมูลค่าการลงทุน รองลงมาคือจีนและสิงคโปร์ รวมมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,732.96 ล้านบาท

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจการศึกษาไทยในช่วง 5 ปี

ย้อนดูช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) ธุรกิจการศึกษาในไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2563 มี 502 ราย ทุน 1,012.18 ล้านบาท ปี 2564 เพิ่มเป็น 512 ราย (+1.99%) ทุน 719.10 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 616 ราย (+1.99%) ทุน 1,496.04 ล้านบาท ปี 2566 เพิ่มเป็น 889 ราย (+44.32%) ทุน 1,733.03 ล้านบาท ปี 2567 เพิ่มเป็น 979 ราย (+10.12%) ทุน 1,875.37 ล้านบาท เฉพาะมกราคม-เมษายน 2568 มี 319 รายใหม่ ทุน 610.34 ล้านบาท

ผลประกอบการและกำไรเติบโตอย่างมั่นคง

ข้อมูลรายได้รวม 3 ปีหลัง (2564-2566) ชี้ชัดว่าธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเติบโตต่อเนื่อง ปี 2564 รายได้ 33,126.88 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 39,033.54 ล้านบาท (+17.83%) ปี 2566 รายได้ 46,290.96 ล้านบาท (+18.59%) ด้านกำไร ปี 2564 อยู่ที่ 1,491.08 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 3,368.36 ล้านบาท (+126%) และปี 2566 พุ่งขึ้นเป็น 5,785.58 ล้านบาท (+71.76%)

การแข่งขันและความท้าทายต่อเนื่อง

แม้ภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติจะสดใส แต่ยังมีความท้าทายรออยู่ อาทิ อัตราเกิดประชากรที่ลดลง อาจส่งผลต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าครูหรือการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนการแข่งขันจากโรงเรียนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้มข้นขึ้น

โอกาสการเติบโตและการปรับตัวของโรงเรียนนานาชาติ

โอกาสการเติบโตยังคงมีอีกมาก โรงเรียนสามารถขยายตลาดผ่านการพัฒนาหลักสูตรที่ตรงกับทักษะโลกอนาคต เช่น STEM, Coding และ AI รวมถึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเรียนต่างชาติ และการขยายไปยังเมืองที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เช่น ผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์การเรียนรู้และโอกาสสู่ตลาดโลก ยังคงเป็นกลุ่มที่โรงเรียนเหล่านี้ต้องให้ความสำคัญ

บทสรุปและแนวโน้มอนาคต

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยยังเป็นดาวรุ่งและน่าจับตามองในอนาคต กลุ่มผู้ปกครองรายได้สูงยังคงขยายตัว และความต้องการการศึกษาคุณภาพสูงไม่เคยลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันและปัจจัยภายนอกอาจกระทบในระยะยาว โรงเรียนที่ปรับตัวและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ย่อมรักษาความได้เปรียบในตลาดนี้

สถิติสำคัญจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

  • โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยปี 2566 มีรายได้รวม 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% (DBD DataWarehouse+)
  • กำไรรวมปี 2566 สูงถึง 1,600 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • โรงเรียนนานาชาติ 80% ตั้งใน กทม., เชียงใหม่, ชลบุรี, ภูเก็ต (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • การลงทุนจากอังกฤษสูงสุด 30% ของเงินลงทุนต่างชาติในธุรกิจนี้ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายเนื้อหอม ธุรกิจใหม่พุ่ง อันดับ 2 ภาคเหนือ

เชียงรายยังเติบโต ธุรกิจตั้งใหม่ไตรมาสแรกทะลุ 200 ราย สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่

ประเทศไทย, 5 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ประจำไตรมาส 1/2568 (เดือนมกราคม – มีนาคม) โดยพบว่า จังหวัดเชียงรายมีจำนวนการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่รวม 241 ราย อยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีจำนวนสูงสุดที่ 991 ราย และมากกว่าพิษณุโลกซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 ด้วยจำนวน 135 ราย

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการเป็นประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)

เชียงรายกับโอกาสทางธุรกิจที่กำลังขยายตัว

การเพิ่มขึ้นของจำนวนธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท้องถิ่น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในพื้นที่ ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านท่องเที่ยว การค้าชายแดน การขนส่ง และธุรกิจภัตตาคารร้านอาหารที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทางด่านพรมแดนแม่สาย

การมีสนามบินนานาชาติเชียงรายที่รองรับเที่ยวบินตรงจากจีนและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เช่น ถนนวงแหวนรอบเมือง ด่านโลจิสติกส์แม่สาย และศูนย์กลางกระจายสินค้า ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในจังหวัดโดยตรง

ภาคเหนือยังคงมีพลวัตทางเศรษฐกิจ

นอกจากเชียงรายแล้ว จังหวัดในภาคเหนือที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน โดยตัวเลขการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในเชียงใหม่สูงถึง 991 ราย ขณะที่ลำปางและลำพูนมีจำนวน 111 และ 98 ราย ตามลำดับ ทั้งนี้ การกระจุกตัวของธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 2,267 ราย คิดเป็นประมาณ 9.5% ของทั้งประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีจำนวนสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (991 ราย), เชียงราย (241 ราย) และพิษณุโลก (135 ราย)

จำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ ไตรมาส 1/2568 ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ดังนี้

  1. เชียงใหม่: 991 ราย
  2. เชียงราย: 241 ราย
  3. พิษณุโลก: 135 ราย
  4. นครสวรรค์: 129 ราย
  5. ลำปาง: 111 ราย
  6. ลำพูน: 98 ราย
  7. เพชรบูรณ์: 83 ราย
  8. ตาก: 82 ราย
  9. กำแพงเพชร: 70 ราย
  10. น่าน: 52 ราย
  11. อุตรดิตถ์: 51 ราย
  12. พะเยา: 50 ราย
  13. สุโขทัย: 47 ราย
  14. พิจิตร: 41 ราย
  15. แพร่: 39 ราย
  16. แม่ฮ่องสอน: 19 ราย
  17. อุทัยธานี: 17 ราย

ประเทศไทยยังน่าจับตามองในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ในระดับประเทศ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่รวมทั้งสิ้น 23,823 ราย แม้จะลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อย (ประมาณ -4.72%) แต่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 79,920 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงมีต่อระบบเศรษฐกิจไทย

ที่น่าสนใจคือในไตรมาสเดียวกันนี้ มีการขออนุญาตจากนักลงทุนต่างชาติในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวนถึง 272 ราย เพิ่มขึ้นถึง 53% จากปีก่อนหน้า โดยมีเงินลงทุนรวมกว่า 47,033 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจาก 5 ประเทศที่ลงทุนสูงสุด ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, จีน, สิงคโปร์ และฮ่องกง ธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเหล่านี้ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล พลังงานทางเลือก โลจิสติกส์ และการผลิตเพื่อส่งออก

ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ หนุนเศรษฐกิจภาคเหนือ

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านทางอากาศในประเทศไทยถึง 141 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16% ขณะที่เที่ยวบินมีจำนวนรวม 886,438 เที่ยว และมีการขนส่งสินค้าทางอากาศมากกว่า 1.5 ล้านตัน

ในระดับประเทศ มีนิติบุคคลด้านธุรกิจขนส่งทางอากาศจำนวน 141 ราย โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็กถึง 81.56% มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 53,499 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจนี้สามารถทำกำไรในปี 2566 ถึง 73,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 185%

สำหรับจังหวัดเชียงราย การเติบโตของธุรกิจขนส่งทางอากาศกำลังเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีการเสนอให้พัฒนาอาคารคลังสินค้า และศูนย์กลางการบินภูมิภาคเพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สายและพื้นที่รอยต่อสามเหลี่ยมทองคำ

ความท้าทายและโอกาสในระยะยาว

แม้ว่าแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การคงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนจากภาครัฐ การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น และการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ

สถิติ

  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในเชียงรายไตรมาส 1/2568: 241 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในภาคเหนือรวม: 2,267 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจใหม่ทั้งประเทศไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนผู้โดยสารทางอากาศปี 2567: 141 ล้านคน (สำนักงานการบินพลเรือน)
  • จำนวนเที่ยวบิน: 886,438 เที่ยวบิน (CAAT)
  • มูลค่าการลงทุนจากต่างชาติในไทยไตรมาส 1/2568: 47,033 ล้านบาท จาก 272 ราย (BOI)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. 68 บริโภค-ท่องเที่ยวดี ลงทุนยังชะลอ

เศรษฐกิจภูมิภาคไทย มกราคม 2568: แนวโน้มและปัจจัยสำคัญ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2568 โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว สะท้อนจาก ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น 18.8% และ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่เพิ่มขึ้น 6.5%
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.4 จาก 57.5 ในเดือนก่อนหน้า
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัว -14.1%
  • ภาคการท่องเที่ยวมีสัญญาณบวก รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.9%

เศรษฐกิจภาคตะวันออก

  • รายได้เกษตรกรขยายตัว 3.2% สนับสนุนการบริโภคภายใน
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.5 จาก 60.4
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7.2%
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนเอกชนลดลง เงินทุนของโรงงานใหม่หดตัว

เศรษฐกิจภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมนมสดเป็นปัจจัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 317.9% โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 59.0
  • การท่องเที่ยวแข็งแกร่ง รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.3%

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น 13.4%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.4
  • อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรลดลง -8.7%

เศรษฐกิจภาคใต้

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัว 11.9% รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 29.2%
  • การท่องเที่ยวเติบโตดี รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 20.3%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 57.0

เศรษฐกิจภาคตะวันตก

  • การลงทุนขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 909.4% โดยเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องโลหะที่กาญจนบุรี
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.9%

เศรษฐกิจภาคกลาง

  • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต เงินทุนโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 524.0% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่พระนครศรีอยุธยา
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 6.7%

แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต

จากผลสำรวจของสำนักงานคลังจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคในอีก 6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก ภาคเกษตรและภาคบริการ รวมถึง มาตรการภาครัฐ เช่น Easy E-Receipt 2.0

ข้อสังเกตและความเสี่ยง

แม้ว่าเศรษฐกิจภูมิภาคจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ความผันผวนของสภาพอากาศ ที่อาจกระทบต่อภาคเกษตร
  • เศรษฐกิจโลกและต้นทุนการผลิต ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • อัตราการลงทุนเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการลงทุนยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองในระยะถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สรุป ‘แพทองธาร’ เยือน ‘จีน’ คุยเรื่องอะไรกันบ้าง

50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เยือนจีนอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน พร้อมลงนาม 14 ข้อตกลง มุ่งสู่ความร่วมมือไทย-จีนในทุกมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมประกาศความร่วมมือสู่ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

แพทองธารพบผู้นำจีนทุกระดับ ดันข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจเยือนจีน โดยได้เข้าพบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหารือร่วมกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึง นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่จีนให้กับไทย

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่ต้องร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการค้าดิจิทัล โดยเน้นย้ำความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในการเยือนครั้งนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสีเขียว และการพัฒนาด้านอวกาศ โดยหนึ่งในข้อตกลงที่น่าสนใจคือ การร่วมมือสำรวจดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

จีนชื่นชมไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมไซเบอร์

หนึ่งในประเด็นที่จีนให้ความสำคัญคือ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นมาตรการตัดวงจรธุรกิจผิดกฎหมายที่สร้างความเสียหายให้กับชาวจีนจำนวนมาก

จีนและไทยเห็นพ้องกันว่า ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้ พร้อมเดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่วมกัน

แพทองธารย้ำ ไทย-จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระยะยาว

นายกรัฐมนตรีแพทองธารเน้นย้ำว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีแผนขยายการลงทุนในไทย ด้านอุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล

จีนยังได้เชิญไทยเข้าร่วม งาน China International Import Expo ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดสินค้าไทยไปยังจีน โดยเฉพาะในภาค เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล

ไทย-จีน ร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ปี 2568 ถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และผู้นำจีน เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมายังไทยชั่วคราว การส่งแพนด้าให้ไทย และการให้ทุนการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้าน Soft Power โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น

จีนเตรียมขยายลงทุนในไทย อุตสาหกรรมอนาคตมาแน่

นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้พบกับ นักลงทุนชั้นนำจากจีน เช่น Xiaomi และ Hisense โดยบริษัท Hisense เตรียมขยายฐานการผลิตในไทย และ Xiaomi สนใจตั้งโรงงานผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ

รัฐบาลไทยยืนยันว่า พร้อมอำนวยความสะดวกในการลงทุน และมีมาตรการ Ease of Doing Business เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อตกลง 14 ฉบับ ไทย-จีน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการค้า

การลงนามความร่วมมือ 14 ฉบับนี้ จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทย-จีน โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น:

  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด
  • การสนับสนุน EEC และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร และโลจิสติกส์
  • การพัฒนาความร่วมมือด้านอวกาศและสำรวจดวงจันทร์

สรุปผลการเยือนจีน: ไทย-จีนสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธารครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ความร่วมมือ 14 ฉบับจะช่วยให้ การค้าขายระหว่างสองประเทศคล่องตัวขึ้น ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และเพิ่มความร่วมมือทางเทคโนโลยี

จีนยังยืนยันสนับสนุนไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในอาเซียน ขณะที่ไทยพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนขยายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล

การประชุมระดับสูงและข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ ถือเป็น จุดเริ่มต้นของอีก 50 ปีข้างหน้าของความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่จะพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดอสังหาฯ ปี 68 มีสัญญาณฟื้นตัว หลังมาตรการลดค่าธรรมเนียมหนุน

 

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2567 สัญญาณฟื้นตัวแม้ยังติดลบเล็กน้อย

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 2 – 3 ของปี 2567 ว่ายังคงเผชิญกับการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม พบว่าการติดลบลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยหลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งขยายจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฟื้นตัวในกลุ่มอาคารชุด

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเกิน 7 ล้านบาทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีการโอนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบกลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 350,545 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6.0% และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงเพียง 0.6%

แนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2568

สำหรับปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย REIC ประมาณการณ์ว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 363,600 หน่วย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.7% หรืออยู่ในช่วง -4.5% ถึง 12.3% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะมีการโอนจำนวน 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนอาคารชุดคาดว่าจะมีการโอน 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5%

ในด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากปี 2567 ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีมูลค่าการโอนประมาณ 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนอาคารชุดจะมีมูลค่าการโอน 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ตลาดอสังหาฯ รับแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าธรรมเนียม

นายกมลภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีหน้า: ฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นายกมลภพคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงต้องจับตาดูปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย และมาตรการของภาครัฐที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

สรุป แม้ตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : รับบินโดรนเชียงราย โดรนเชียงราย ถ่ายภาพมุมสูง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News