Categories
ECONOMY

เปิด 3 ปัจจัยหลักทำ “ตึกแถว” หายจากตลาด 50% นายกสมาคมฯ ชี้ไทยเสี่ยงเผชิญปัญหาทรัพย์ร้าง

หมดอายุขัยทางเศรษฐกิจ? เมื่อ “ตึกแถวไทย” ถูกดิสรัปต์—เจ้าของแห่ขาย ไร้คนซื้อ เสี่ยงกลายเป็นทรัพย์ร้างทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนถนนสายเก่าในเมืองรองของภาคเหนือ ประตูเหล็กบานม้วนของตึกแถวเรียงยาวยังคงถูกเปิด–ปิดเป็นจังหวะคุ้นตา แต่ป้าย “ขาย/ให้เช่า” กลับปรากฏถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และค้างอยู่นานกว่าที่เคย สำหรับคนไทยหลายรุ่น “ตึกแถว” คือภาพจำของพลังเศรษฐกิจฐานราก—ค้าขายชั้นล่าง อยู่ชั้นบน เชื่อมบ้าน–ร้าน–ชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน ทว่าในโลกธุรกิจที่เคลื่อนไปด้วยอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ดิจิทัล และความต้องการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ทรัพย์สินรูปแบบนี้กำลังเผชิญการทดสอบครั้งใหญ่

รายงานของ สำนักข่าวมติชนออนไลน์ เมื่อ 20 ตุลาคม 2568 อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นายวสันต์ คงจันทร์ นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระบุชัดว่า ตึกแถวคืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกดิสรัปต์เพราะหมดประโยชน์ใช้สอย” และ “ปัจจุบันมีตึกแถวหายไปจากตลาดแล้ว 50%” พร้อมย้ำว่าตึกแถวมือสอง “ขายยากมาก” โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่ไม่ใช่โซนท่องเที่ยวหรือย่านการค้า แม้บางทรัพย์ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์และธนาคารนำออกขายจะ ลดราคาถึง 50% ก็ยัง “ขายออกยาก” เหตุผลสำคัญ—คนไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร

3 แรงดิสรัปต์ เมื่อ “หน้าร้าน” แพ้ “หน้าจอ”

  1. อีคอมเมิร์ซแทนหน้าร้าน
    พฤติกรรมซื้อขายเคลื่อนไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างรวดเร็ว ต้นทุนการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มและสื่อสังคมต่ำกว่าการเช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ ขณะที่ระบบโลจิสติกส์–ชำระเงิน–โฆษณาดิจิทัลครบวงจร ทำให้ SMEs จำนวนมาก “ไม่จำเป็น” ต้องมีหน้าร้านอีกต่อไป ส่งผลตรงต่ออุปสงค์ตึกแถวที่เคยรองรับร้านโชห่วย ร้านอะไหล่ ร้านอาหารแบบคลาสสิก
  2. ข้อจำกัดด้านการอยู่อาศัย–ทำเล–ที่จอดรถ
    ตึกแถวจำนวนมากอยู่ในย่านดั้งเดิมที่ ที่จอดรถขาดแคลน และแวดล้อมด้วยผังเมืองที่ไม่ได้รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างปัจจุบัน ประกอบกับคุณภาพชีวิตสมัยใหม่ที่ผู้ซื้อรุ่นใหม่มักเลือกบ้านแนวราบในชานเมืองหรือคอนโดที่มีส่วนกลาง–ที่จอดครบ ทำให้ “อยู่ชั้นบน–ค้าชั้นล่าง” ไม่ตอบโจทย์ครัวเรือนยุคใหม่
  3. ความคาดหวังราคาจากการเก็งกำไร
    ทำเลที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จาก โครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ถนนลาดพร้าว) ทำให้เจ้าของบางราย “ตั้งราคาเผื่ออนาคต” แต่เมื่อตลาดจริง ไม่มีผู้ซื้อใช้งาน (end-user) ที่ชัดเจน ราคาเสนอขายจึง “ลอย” และทรัพย์แขวนยาว เกิดภาพ “ป้ายขายเรียงถี่” ที่เห็นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง

สัญญาณตลาด ลด 50% ยังขายยาก–บางทำเลแปลงเป็นโรงแรมเล็ก–คอนโด

จากรายงานเดียวกัน ตลาดกำลัง แตกขั้ว ชัดเจน

  • ต่างจังหวัด/ทำเลไม่ท่องเที่ยว ขายยากมาก แม้ลดราคาครึ่งหนึ่ง
  • ทำเลท่องเที่ยว (เช่น เยาวราช) มีการปรับโฉมเป็น โรงแรมขนาดเล็ก รับนักท่องเที่ยว ห้องพักคืนละหลัก 1,000 บาทบวกลบ
  • แนวรถไฟฟ้า บางช่วง ดีเวลลอปเปอร์ กว้านซื้อ เพื่อ พัฒนาเป็นคอนโด
  • ราคาคงที่ในบางย่าน เช่น เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้านบาท อยู่ระดับนี้มาหลายปี หรือแยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้านบาท ประกาศขายค้างนาน สะท้อนอุปสงค์จริงที่จำกัด

ภาพนี้ทำให้ผู้เล่นในตลาดรองอย่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์ เองยัง “ไม่รีบรับตึกแถวเข้าพอร์ต” เพราะ ระบายช้า เสี่ยง ทรัพย์ร้าง สะสมกว้างขึ้น—คำเตือนที่ทำให้หลายคนย้อนนึกถึงโจทย์ “บ้านว่าง–ตึกว่าง” ในญี่ปุ่น

จากสัญลักษณ์การค้า…สู่โจทย์ “ใช้การอย่างไรในโลกใหม่”

“ตึกแถว” ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์อสังหาฯ แต่คือ โครงสร้างสังคม–เศรษฐกิจ ของเมืองไทยหลายทศวรรษ—แถวเดียวรองรับทั้ง ธุรกิจครอบครัว–ห้องเก็บของ–ห้องเช่า ในยุคที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการค้าปลีกออฟไลน์ แต่เมื่อ ซัพพลายเชน ของการค้าเปลี่ยน—สินค้าถูกเก็บใน คลังสินค้าชานเมือง, “หน้าร้าน” ย้ายไปอยู่บนจอ, “คอนเทนต์” กลายเป็นพนักงานขาย 24 ชั่วโมง—บทบาทของอาคารพาณิชย์ในเมืองจึงถูกท้าทายโดยตรง
สิ่งที่ตามมาคือ ต้นทุนโครงสร้าง ของตึกแถว—หน้ากว้าง 4 เมตร ลึก 12–16 เมตร, บันไดชัน, ระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับ ครัวสมัยใหม่/ระบบดับเพลิง/ลิฟต์โดยสาร—ทำให้การ “รีโนเวตเพื่ออยู่อาศัย” หรือ “ดัดแปลงเป็นธุรกิจใหม่” มีต้นทุน–ข้อจำกัดทางกฎหมาย สูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะถ้าต้องยื่นขอเปลี่ยนการใช้ประโยชน์อาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร มาตรฐานอัคคีภัย และผังเมืองรวม

ทำไมต่างจังหวัดเจ็บกว่า? 5 เหตุผลเชิงโครงสร้าง

  1. ทราฟฟิกคนเดินต่ำลง เมื่อศูนย์การค้า–ไฮเปอร์มาร์เก็ต–ไลฟ์สไตล์มอลล์กลายเป็นแหล่งจับจ่ายหลัก
  2. การย้ายฐานที่อยู่อาศัย จากใจเมืองสู่ชานเมือง/แนวถนนสายหลักที่มีที่จอดและพื้นที่ใช้สอยมากกว่า
  3. รายได้ท่องเที่ยวกระจุก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ตึกแถวในเมืองที่พึ่งพานักท่องเที่ยวน้อย “ไม่มีดีมานด์ใหม่”
  4. ค่าขนส่ง–เดลิเวอรีที่ถูกลง ทำให้ร้านออนไลน์ “ข้ามทำเล” ไปขายทั่วเมืองโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
  5. การเข้าถึงแหล่งทุน–ความรู้ปรับโฉม ของผู้ถือครองรายย่อยยังจำกัด เมื่อเทียบกับดีเวลลอปเปอร์ในเมืองใหญ่

ทางเลือก “ปรับโฉม” มีจริง แต่ต้องจับคู่กับเงื่อนไขที่ถูกต้อง

  • บูทีคโฮเทล/โฮสเทล เหมาะในย่านท่องเที่ยว–วัฒนธรรมที่ “เดินได้” แต่ต้องลงทุนระบบความปลอดภัย–ช่องทางหนีไฟ–เสียง–สุขาภิบาล
  • คีตชัน/โกสต์คิทเช่น ใช้จุดแข็งของทำเลกลางเมืองเชื่อมเดลิเวอรี แต่ต้องลงทุนระบบครัว–จัดการกลิ่น–ข้อกำหนดเทศบัญญัติ
  • โคเวิร์กกิง/สตูดิโอครีเอทีฟ เหมาะย่านศิลปะ–สตาร์ทอัพ–มหาวิทยาลัย แต่ต้องแก้ข้อจำกัดที่จอด–การสัญจร
  • ไมโครฟูลฟิลเมนต์/พิกอัปพอยต์ จับตลาดอีคอมเมิร์ซท้องถิ่น แต่ต้องประเมินทราฟฟิก–ค่าเช่า–ผลตอบแทนต่อ ตร.ม.
  • โค–ลิฟวิง/เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ต้องตีความรหัสอาคาร–มาตรฐานที่อยู่อาศัยใหม่–การระบายอากาศ–แสงธรรมชาติ–เสียงรบกวน

ข้อเท็จจริงสำคัญ คือการปรับโฉม “คูหาเดียว” มัก ไม่คุ้มทุน เท่าการ รวบแปลงหลายคูหา เพื่อเพิ่มหน้ากว้าง–พื้นที่ใช้สอย–ทางหนีไฟ และวางผังใหม่ให้รองรับการใช้งานสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัย การรวมเจ้าของ ที่อาจใช้เวลาและการเจรจาซับซ้อน

คำเตือนจากตัวเลข “ลดครึ่งหนึ่งยังขายยาก” และเงาสะท้อน “บ้านว่าง” แบบญี่ปุ่น

คำกล่าวของนายวสันต์ว่าบางสินทรัพย์ “ต้องลด 50% จากราคาปกติก็ยังขายยาก” ไม่เพียงชี้ ความเครียดด้านราคา แต่ยังชี้ว่า ผู้ซื้อปลายทาง (end-user) ในหลายทำเล “แทบไม่มี” เทียบกับญี่ปุ่นที่มี บ้านว่าง (Akiya) กระจายตัวสูงในเมืองรอง ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่อง “ความสวยงามของอาคารเก่า” แต่คือ ความสามารถในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ของทรัพย์สินที่ต้องการ นโยบาย–แรงจูงใจ–ความร่วมมือ มากกว่าปล่อยให้ตลาดแก้เอง

7 แนวทางเชิงระบบ จาก “ทรัพย์แขวน” สู่ “ทรัพย์หมุนเวียน”

  1. อินเซนทีฟภาษีเพื่อการรีโนเวตเชิงอนุรักษ์
    ลดหย่อนภาษีที่ดิน–สิ่งปลูกสร้างชั่วคราวสำหรับผู้รีโนเวตอาคารพาณิชย์เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ในกิจการที่ผังเมืองสนับสนุน
  2. กองทุน/สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการปรับปรุงตึกแถว
    สินเชื่อยืดหยุ่นสำหรับ “รวมคูหา–ติดตั้งระบบความปลอดภัย–ปรับโครงสร้าง” โดยร่วมมือธนาคารพาณิชย์–กองทุนท้องถิ่น
  3. การรวมกลุ่มเจ้าของ (Block Assembly)
    เทศบาล/จังหวัดเป็น “ตัวกลาง” ให้เจ้าของคูหาติดกันหารือแนวทางการรวม–รีโนเวต–ร่วมลงทุน เพื่อให้เกิดขนาดเศรษฐกิจ (economies of scale)
  4. ผังเมือง “โซนประสบการณ์”
    อนุญาตการใช้ประโยชน์ผสม (mixed-use) และผ่อนผันจอดรถ–ทางเท้า ในย่านที่กำหนดให้เป็น ย่านเดินได้ (walkable district) พร้อมพื้นที่สีเขียว–ทางจักรยาน
  5. มาตรฐานความปลอดภัย–อัคคีภัย “ทางลัดที่ปลอดภัย”
    จัดทำคู่มือ–แบบมาตรฐานสำหรับอาคารพาณิชย์รีโนเวต เพื่อลดเวลา–ความไม่แน่นอนในการยื่นขออนุญาต แต่ยังคงความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
  6. ตลาดชั่วคราว–อีเวนต์ครีเอทีฟ ดึงทราฟฟิก
    เมืองสามารถปล่อยใช้ชั่วคราว (temporary use) กับคูหาว่าง เป็นป๊อปอัปโชว์รูม–อาร์ตสเปซ–งานคราฟต์–สตรีทฟู้ดคุณภาพ เพื่อทดสอบดีมานด์จริง
  7. ฐานข้อมูล “ทรัพย์ว่างโปร่งใส”
    สร้างแพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลตึกแถวว่าง–สภาพอาคาร–เงื่อนไขการใช้ เพื่อลด ต้นทุนการค้นหา (search cost) ของนักลงทุน–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของ เช็กลิสต์ 90–180 วันเพื่อตัดสินใจด้วยข้อมูล

  • ประเมินศักยภาพเชิงพาณิชย์ ทราฟฟิกคนเดิน/ระยะถึงขนส่งสาธารณะ/ความหนาแน่นประชากร–สถานศึกษา–สำนักงาน
  • วิเคราะห์โครงสร้าง–ต้นทุนรีโนเวต ระบบไฟ–น้ำ–บันได–พื้น–หลังคา–ผนังรับแรง, ปรับช่องเปิด–แสง–ระบายอากาศ
  • เช็กกฎหมาย–ผังเมือง–อัคคีภัย การใช้ประโยชน์ที่อนุญาต/ที่จอด/จำนวนทางหนีไฟ/ระบบแจ้งเหตุ–สปริงเกลอร์
  • สำรวจทางเลือกการใช้ โรงแรมเล็ก–โกสต์คิทเช่น–โคเวิร์กกิง–สตูดิโอ–ไมโครฟูลฟิลเมนต์–โค–ลิฟวิง (เทียบผลตอบแทน–ความเสี่ยง)
  • ตัดสินใจ “ขาย/ถือ/รีโนเวต” ด้วยตัวเลข ทำ DCF งบลงทุน–ค่าเช่าเป้าหมาย–ระยะเวลาคืนทุน หาก “ขาย” อาจพิจารณา ขายยกแถว ให้ดีเวลลอปเปอร์เพื่อเพิ่มโอกาสปิดดีล

สำหรับท้องถิ่น ทำให้ “เดินได้–ลงทุนได้–อยู่ได้”

เมืองที่อยากเห็นย่านเก่าฟื้น ต้องทำงาน “สามชั้น” พร้อมกัน—โครงสร้างพื้นฐาน (ฟุตปาธ–ไฟ–ถังขยะ–ต้นไม้), กติกายืดหยุ่น (mixed-use–ที่จอดแบบรวมศูนย์–มาตรฐานปรับใช้), และ กิจกรรมสร้างชีวิต (มาร์เก็ต–เทศกาล–งานศิลปะ) เมืองที่ทำสามชั้นได้พร้อม จะเปลี่ยน “ตึกแถวว่าง” เป็น “ตึกแถวมีชีวิต” ได้เร็วกว่าการรอให้ตลาดทำเอง

จากตึกแถวสู่ทรัพยากรเมืองยุคใหม่

บทวิเคราะห์ของนายวสันต์—ที่ชี้ว่าตึกแถว ครึ่งหนึ่งหายไปจากตลาด และ ต้องลดราคา 50% ยังขายยาก—ไม่ใช่ “ข่าวร้าย” หากมองอีกด้าน มันคือ “สัญญาณเตือน” ให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝั่ง ยอมรับความจริง ว่าฟังก์ชันเดิมของอาคารพาณิชย์กำลังหมดอายุในหลายทำเล แล้วหันมาร่วมกันออกแบบ ฟังก์ชันใหม่ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานบริการ–ดิจิทัล–ท่องเที่ยวคุณภาพ—ด้วยกติกาที่ชัด ระบบที่ช่วยได้ และการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง

ในบางย่าน—เยาวราช–เมืองเก่า–โครงการรถไฟฟ้า—เรามีตัวอย่าง การปรับโฉมที่เวิร์ก อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือขยายบทเรียนเหล่านั้นให้ ไปไกลกว่าศูนย์กลาง สู่เมืองรอง–อำเภอ–ย่านรอบนอก เพื่อไม่ให้ “ตึกแถว” กลายเป็น ทรัพย์ร้าง ที่ค่อย ๆ ดับไฟชุมชน แต่กลายเป็น ทรัพยากรเมือง ที่ช่วยสร้างงาน–สร้างกิจกรรม–สร้างตัวตนของย่านในยุคใหม่

สรุปตัวเลข–ข้อความชวนคิด

  • ตึกแถวหายไปจากตลาด ~50% (ตามคำให้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ)
  • ตึกแถวมืสองขายยาก แม้ลดราคา ~50% โดยเฉพาะต่างจังหวัด–ย่านไม่ท่องเที่ยว
  • บางย่านท่องเที่ยว แปลงเป็น โรงแรมเล็ก (ค่าห้อง ~1,000 บาท/คืน)
  • แนวรถไฟฟ้าบางช่วง ถูกกว้านซื้อพัฒนาเป็น คอนโด
  • ราคาบางย่านทรงตัวหลายปี เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้าน, แยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้าน
  • บทเรียนญี่ปุ่น บ้าน–ตึกว่างเพิ่ม หากไม่เร่งหาฟังก์ชันใหม่–สร้างแรงจูงใจรีโนเวต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” โอกาสทองเปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส เปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทางรอดของการเติบโตระยะยาว มุมมองเชิงลึกจากกรุงเทพฯถึงเชียงราย

ประเทศไทย, 7 ตุลาคม 2568 — นาฬิกาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยกำลังเดินเร็วขึ้นกว่าที่คาด เมื่อ ธนาคารโลก (World Bank) เผยรายงาน Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุด (เมษายน 2568) ชี้ชัดว่าไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากอุทกภัย ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน ซึ่งไม่เพียงบั่นทอนคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของประชาชน แต่ยังกดทับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมและศูนย์กลางเศรษฐกิจจากลุ่มเจ้าพระยาถึงมหานครริมทะเลอย่างภูเก็ต

รายงานระบุว่า แม้ไทยตั้งธงใหญ่คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ภายในปี 2593 และ การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” ภายในปี 2608 แต่ “ระยะทาง” ระหว่างวันนี้กับวันนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ น้ำท่วมที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่คืบคลานสู่เมืองชายฝั่ง ภัยแล้งที่ยื้อยุดผลผลิตเกษตรภาคเหนือ–อีสาน รวมถึงความเสี่ยงใหม่อย่าง คลื่นความร้อน ที่กระทบแรงงานกลางแจ้งและผู้สูงอายุโดยตรง ขณะเดียวกัน โครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมดั้งเดิม ทำให้ไทยต้อง “เร่งจูนโครงสร้าง” ครั้งใหญ่ หากหวังเดินถึงเป้าหมายตามกรอบเวลา

จุดเงยหน้าในภาพซับซ้อนนี้คือข้อเท็จจริงที่ธนาคารโลกย้ำว่า เศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่ต้นทุนอย่างเดียว แต่คือโอกาสทอง” ทั้งการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโลก การยกระดับความสามารถแข่งขัน และการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นผ่านอุตสาหกรรมใหม่ ตั้งแต่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึง พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน หากขับเคลื่อนอย่างมีระบบ ไทยไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลการเติบโตที่ทนทานต่อโลกภูมิอากาศใหม่ (new climate normal)

ภาพใหญ่ “ความเสี่ยง–ความหวัง” ที่มาเคาะประตูพร้อมกัน

1) ภัยพิบัติถี่ขึ้น–แรงขึ้น
น้ำท่วมยังเป็นความเสี่ยงอันดับต้นของไทย ทั้งในเมืองใหญ่และพื้นที่เกษตรกรรม ลำน้ำท้องถิ่นรับน้ำไม่ทันเขตเศรษฐกิจแอ่งกระทะรับแรงกระแทกเต็ม ๆ ขณะที่ ภัยแล้ง ในเหนือ–อีสานทำให้สต็อกน้ำเขื่อนตึงมือ เกษตรกรต้องหันมาปรับพืช ลดรอบปลูก หรือยอมรับผลผลิตตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนแรงงานและปัจจัยการผลิตที่ยื้อสูง

2) เป้าหมายสุทธิศูนย์–โจทย์โครงสร้าง
ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.88% ของโลก ตัวเลขอาจดูเล็ก แต่ “ความเปราะบาง” ส่งผลเกินสัดส่วน เมื่อเทียบโครงสร้างการตั้งถิ่นฐาน การใช้ที่ดิน และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เสี่ยง รายงานชี้ว่าการไปให้ถึง Carbon Neutrality 2593 และ Net Zero 2608 ต้องพึ่งการเปลี่ยนผ่านขนาดใหญ่ใน ภาคพลังงาน, อุตสาหกรรม, เกษตร และโครงสร้างพื้นฐานจัดการน้ำ ไม่ใช่เพียงการ “ติดตั้งแผงโซลาร์” เพิ่ม แต่คือการออกแบบระบบใหม่ทั้งห่วงโซ่อุปทานและแรงจูงใจตลาด

3) โอกาสเศรษฐกิจสีเขียว หน้าต่างไม่เปิดค้าง
โลกกำลัง “ลงคะแนนด้วยเงินลงทุน” ให้กับห่วงโซ่ผลิตที่ ปล่อยคาร์บอนต่ำ ประเทศที่เคลื่อนตัวไวจะได้ “ส่วนแบ่งตลาดอนาคต” ทั้งใน EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ, พลังงานแสงอาทิตย์–พลังงานชีวภาพ, ไปจนถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง และ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ หากไทยปรับตัวทัน ตั้งมาตรฐาน, ใช้มาตรการการเงิน–ภาษีที่ถูกจุด, ทำตลาดคาร์บอนโอกาสจะถูกแปลงเป็น การเติบโตใหม่ ที่ยั่งยืน

เวิลด์แบงก์แนะ 3 เสาหลัก ทางด่วนสู่ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”

ปฏิรูปพลังงานผลิตให้สะอาด ใช้ให้คุ้ม

  • เร่งสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน ในระบบผลิตไฟฟ้า ควบคู่ การจัดการความผันผวน (grid flexibility) เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และพยากรณ์โหลดอัจฉริยะ
  • ด้าน “อุปสงค์” สนับสนุน ประสิทธิภาพพลังงาน ในอาคาร–อุตสาหกรรมมาตรฐานใหม่ของเครื่องใช้ไฟฟ้า, เข้มงวดฉลากประหยัด, เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อรีโทรฟิต

อุตสาหกรรม–เกษตรคาร์บอนต่ำ

  • ผลักดัน เทคโนโลยีปล่อยต่ำ (low-carbon) ในโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด, ไอน้ำประสิทธิภาพสูง, เชื้อเพลิงผสมชีวภาพ, วัสดุหมุนเวียน
  • ภาคเกษตรขยาย การจัดการน้ำอย่างแม่นยำ, พันธุ์พืชทนแล้ง–ทนร้อน, ลด “การเผา” และส่งเสริม ชีวมวล–ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อลดการปล่อยจากดิน–ปศุสัตว์ ควบคู่ การตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรคาร์บอนต่ำ สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชน

โครงสร้างพื้นฐานรับมือภัยพิบัติ

  • ลงทุน ระบบจัดการน้ำแบบบูรณาการ เก็บ–ระบาย–กัก–ยืดหยุ่น (multi-use storage, retention, floodways) พร้อม สารสนเทศภูมิอากาศ ระดับพื้นที่
  • โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Nature-based solutions) ป่าต้นน้ำ–พื้นที่ชุ่มน้ำ–แนวกันคลื่นธรรมชาติในชายฝั่งลดความเสี่ยงระยะยาวด้วยต้นทุนคุ้มค่า

จากกรุงเทพฯถึงเชียงราย เมื่อ “ความเปราะบาง” กระทบชีวิตจริง

ภาพรวมประเทศที่เวิลด์แบงก์ฉายยังสะท้อนชัดในจังหวัดปลายแผ่นดินอย่าง เชียงราย—จุดบรรจบแม่น้ำสาย–โขง ที่มีทั้งภูเขา–แอ่งรับน้ำ–ชายแดนการค้าคึกคัก เมืองที่รุ่งด้วย กาแฟ–ชา–ศิลปะ–วัฒนธรรมชนเผ่า–โลจิสติกส์ชายแดน ก็หนีไม่พ้นโจทย์ภูมิอากาศใหม่

  • ภัยแล้งยืดเยื้อ–ฝนทิ้งช่วง ทำให้สวนกาแฟ–ชาเสี่ยงผลผลิตไม่นิ่ง เกษตรกรรับแรงกดดันสองทางน้ำขาด/ศัตรูพืชเพิ่ม
  • น้ำหลากฉับพลัน ในพื้นที่ลาดชัน–ลุ่มน้ำท้องถิ่น กระทบโครงสร้างพื้นฐานชุมชน–การท่องเที่ยว
  • หมอกควัน/PM2.5 ฤดูร้อนปลายหนาวภาพลักษณ์ท่องเที่ยว–สุขภาพประชาชน และแรงงานกลางแจ้ง

ถ้าถามว่า “เชียงรายต้องปรับอะไร” คำตอบอยู่ใน เสาหลักเดียวกันแต่ปรับใช้ให้ตรงบริบท”

  • น้ำ อ่างเก็บ–หนอง–แก้มลิงชุมชน บริหารร่วมกัน เชื่อมข้อมูลฝน–ดิน–พืชแบบเรียลไทม์ให้ “ปลูกพอดี–ใช้น้ำพอเพียง”
  • เกษตร ปลูกผสมผสาน–ร่มเงา–หยุดเผา, ส่งเสริม กาแฟ/ชายั่งยืน เข้าสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ “ค่าเพิ่มจากคาร์บอนต่ำ”
  • เมือง–ท่องเที่ยว จัดการ ทางเดิน–ร่มเงา–จุดพักชุ่มน้ำ–ระบบเตือนภัย สร้างประสบการณ์ ท่องเที่ยวใส่ใจภูมิอากาศ (low-carbon travel) ให้เป็น “แบรนด์เชียงราย”

เศรษฐกิจสีเขียว ไม่ใช่แค่ทางรอดแต่คือ “ทางเลือกที่ฉลาดกว่า”

EV และอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่
ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์เดิม หากยกระดับสายการผลิตสู่ EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ ได้มากขึ้นและใช้ ไฟฟ้าสะอาด ในกระบวนการ จะรักษาฐานการจ้างงานและส่วนแบ่งตลาดโลก ขณะเดียวกัน จังหวัดปลายทางอย่างเชียงรายได้อานิสงส์จาก โครงสร้างชาร์จ–ท่องเที่ยว EV-friendly และ โลจิสติกส์ไฟฟ้า สำหรับขนส่งชายแดน

พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน
แสงอาทิตย์บนหลังคา (rooftop solar) สำหรับธุรกิจ–ครัวเรือน, ระบบปรับอากาศ–แสงสว่างประสิทธิภาพสูงในโรงแรม–คาเฟ่–แหล่งท่องเที่ยว สร้างผล “ต้นทุนลด–ภาพลักษณ์เพิ่ม” และถ้ารัฐเคาะ มาตรการทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/ประกันราคาไฟ/ภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจะเร็วขึ้น

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำแม่น้ำเดียวกันต่างฝั่งได้ประโยชน์
เชียงรายมีทุนวัฒนธรรม–ศิลป์–เกษตร สร้างเส้นทาง Art–Tea/Coffee–Community แบบ Slow Travel ที่ลดการเดินทางซ้ำซ้อน, ใช้ ยานพาหนะปล่อยต่ำ, เสิร์ฟ อาหารท้องถิ่นจากเกษตรยั่งยืน, และเสนอ คอมเพนเสตคาร์บอน ให้ผู้มาเยือนทั้งสร้างประสบการณ์และรายได้กลับสู่ชุมชน

กลไกการเงิน–ภาษี สวิตช์ที่ทำให้ “ความตั้งใจ” กลายเป็น “การลงทุนจริง”

รายงานเวิลด์แบงก์ย้ำว่า ความสำเร็จอยู่ที่ การจัดลำดับนโยบาย” และ ระดมเงินทุน” ให้ถูกที่ถูกเวลา

  • ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) สร้างราคาสำหรับ “การลดปล่อย” ให้ธุรกิจเห็นผลตอบแทนชัด ทั้งในและข้ามพรมแดน (เช่น โครงการปลูกป่า–เกษตรยั่งยืน–รีโทรฟิตอาคาร)
  • ภาษีคาร์บอน/ปรับคาร์บอนข้ามแดน (CBAM) ของคู่ค้า ยิ่งกดดันให้ซัพพลายเชนไทย ใสสะอาด–ตรวจสอบได้ถ้าเตรียมตัวเร็ว เราจะเป็นซัพพลายเออร์ที่คู่ค้าอยากร่วมงาน
  • แรงจูงใจการลงทุนสีเขียว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, เร่งลดขั้นตอนอนุญาตโครงการสะอาด, อุดหนุน R&D/สกิลแรงงานให้เอกชนเห็น ความเสี่ยงลด–ผลตอบแทนเพิ่ม”

แผน 12 เดือน” เพื่อเปลี่ยนรายงานให้เป็นผลลัพธ์ (จากส่วนกลางถึงจังหวัด)

ระดับชาติ

  1. อัปเดตแผนพลังงานและแผนภูมิอากาศให้ “เดินสอดรับ” กันระบุเป้า RE, กักเก็บพลังงาน, ประสิทธิภาพพลังงาน แบบมีไทม์ไลน์–งบ–หน่วยงานรับผิดชอบ
  2. เปิดทางตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจและเตรียมความพร้อมเครื่องมือกำกับ (MRV, registry, standard)
  3. ตั้ง “กองทุนเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ให้สินเชื่อ/ค้ำประกันโครงการสะอาดของ SME อาคาร/โรงแรม/เกษตร

ระดับจังหวัด (ต้นแบบเชียงราย)
4) จัดทำ Climate Risk Map ระดับตำบล ชี้จุดเสี่ยงน้ำท่วม/แล้ง/ดินถล่ม–PM2.5 และ แผนตอบสนอง รายพื้นที่
5) สร้าง คอมมูนิตี้วอเตอร์แบงก์ หนอง/แก้มลิง/สระเก็บน้ำ บริหารร่วมกับเกษตรกรและเทศบาล เชื่อมข้อมูลฝน–ชลประทาน
6) ทำ Green Hospitality Standard สำหรับโรงแรม–คาเฟ่–ที่พัก ตั้งเป้าลดใช้พลังงาน/น้ำ–จัดการของเสีย–เมนูท้องถิ่น–ทางเลือกวีแกน–ข้อมูลคาร์บอนเมนู
7) ออก เชียงรายคลัสเตอร์ชา/กาแฟยั่งยืน หยุดเผา, ร่มเงา, น้ำหยด, ตรวจย้อนกลับ, รับรองมาตรฐาน ขายสู่ตลาดพรีเมียมและเชื่อมท่องเที่ยว
8) สื่อสาร เตือนภัย–คุณภาพอากาศ–สภาพจราจร แบบเรียลไทม์หลายภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) ผ่านเว็บ/โซเชียล/QR ในจุดท่องเที่ยว
9) จัด เทศกาลฤดูหนาวคาร์บอนต่ำ ธีมเดียวทั้งเมือง ขนส่งสาธารณะ–ไฟประหยัดพลังงาน–ของที่ระลึกจากวัสดุหมุนเวียน
10) พัฒนา ทักษะแรงงานสีเขียว มัคคุเทศก์เล่าเรื่องภูมิอากาศ–บาริสต้า/เชฟใช้วัตถุดิบท้องถิ่นยั่งยืน–ช่างเทคนิคพลังงานแสงอาทิตย์/ปรับอากาศประหยัดพลังงาน

คำถามกลางเรื่อง “หรือวิกฤตจะเปลี่ยน” ไทยได้จริง?

หัวใจของรายงานเวิลด์แบงก์มิได้บอกเราว่า “ภัยพิบัติจะหนักขึ้น” เท่านั้น แต่ ท้าทายให้เลือก เราจะเป็นเพียงผู้รับผลกระทบ หรือจะเป็น ผู้กำหนดทิศทางใหม่ ด้วยการแปลงวิกฤตเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจที่ สะอาดกว่า แข็งแรงกว่า และเป็นธรรมกว่า สำหรับคนส่วนใหญ่

ตัวเลข 0.88% ของการปล่อยโลกอาจทำให้เรารู้สึกว่าไทย “ไม่ได้ปล่อยมาก” ทว่าในวันที่ห่วงโซ่อุปทานโลก วัด คาร์บอนในทุกกิโลวัตต์–ทุกชิ้นส่วน–ทุกกิโลเมตรขนส่ง ความได้เปรียบจะเป็นของผู้ที่ พิสูจน์ได้ ว่าผลิตภัณฑ์–บริการปล่อยต่ำจริง และ ปลอดภัยต่อสภาพภูมิอากาศ นั่นทำให้การปฏิรูปพลังงาน, การเงินสีเขียว, มาตรฐานสินค้า–บริการ และข้อมูลความเสี่ยงระดับพื้นที่ ไม่ใช่ “งานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง” แต่คือ วาระแห่งชาติ ที่ต้องเดินพร้อมกัน

เชียงราย ด้วยทุนวัฒนธรรมและภูมิประเทศเฉพาะตัว มีโอกาส ก้าวนำ เป็น “เมืองต้นแบบเศรษฐกิจท้องถิ่นคาร์บอนต่ำ” ที่คนทั้งประเทศจับตา เมืองที่จัดการน้ำอย่างรู้ค่า, ทำเกษตร–ท่องเที่ยวเชื่อมชุมชน, ใช้พลังงานคุ้มและสะอาด, สร้างงานทักษะใหม่ให้คนรุ่นใหม่ และส่งออก “เรื่องเล่า” ของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพสู่โลก

รายงาน CCDR ของเวิลด์แบงก์ย้ำสองประเด็นพร้อมกัน ความเสี่ยงกำลังสูงขึ้น และ โอกาสกำลังเปิดกว้าง ประเทศไทยมีเวลา ไม่มาก ในการสลับเกียร์จาก “ซ่อมความเสียหายหลังภัยพิบัติ” ไปสู่ “ลงทุนป้องกัน–ปรับตัว–ลดปล่อยเชิงรุก” ยิ่งลงมือเร็ว ต้นทุนยิ่งต่ำ และผลตอบแทนยิ่งมาก ทั้งต่อเศรษฐกิจมหภาคและกระเป๋าสตางค์ของครัวเรือน

คำตอบว่าประเทศไทย และเชียงรายจะ “พร้อม” แค่ไหน อยู่ที่ ความกล้าตัดสินใจ ของภาครัฐ, ความริเริ่ม ของเอกชน, และ พลังร่วม ของชุมชนในพื้นที่ หากทั้งหมดขยับในทิศทางเดียวกัน “วิกฤต” ก็จะกลายเป็น รากฐาน ของเศรษฐกิจใหม่ที่มั่นคงกว่าและยั่งยืนกว่าไม่ใช่แค่คำสัญญาบนเวทีโลก แต่เป็นคุณภาพชีวิตที่คนไทยสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Bank – Thailand Country Climate and Development Report (CCDR)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ./ONEP)
  • กระทรวงพลังงาน
  • IPCC AR6
  • Global Facility for Disaster Reduction and Recovery (GFDRR) – Thailand Country Profile
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายผงาด! ค้าปลีกโตสวนเศรษฐกิจภาคเหนือ ด้วยพลังโลจิสติกส์ชายแดน

ค้าปลีกเชียงรายโตสวนกระแสเศรษฐกิจเหนือ เบื้องหลังตัวเลข “+1.7% QoQ” ในไตรมาส 2/2568 จากแรงอัดฉีดรัฐ–พลังการค้าชายแดน และบททดสอบครึ่งปีหลัง

เชียงราย, 3 ตุลาคม 2568 — กลางบรรยากาศค้าขายคึกคักบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก รถบรรทุกผลไม้และสินค้าอุปโภคบริโภคทยอยผ่านเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ร้านค้าปลีก–ค้าส่งตลอดแนวชายแดนชูโปรโมชันรับลูกค้าชาวไทย–เมียนมา–ลาว ในช่วงเวลาที่หลายจังหวัดภาคเหนือยังจับจ่ายระมัดระวังมากขึ้น ตัวเลข “ขายดีผิดคาด” ของเชียงรายถูกยืนยันด้วยรายงานผลสำรวจเบื้องต้นของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ว่าใน ไตรมาส 2 ปี 2568 ธุรกิจการขายปลีกสินค้าและงานบริการของจังหวัด ขยายตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อน (+1.7% QoQ)

ตัวเลขดังกล่าวโดดเด่นด้วยสองเหตุผลสำคัญ หนึ่ง—มันสวนทางกับ “สัญญาณชะลอ” ของการบริโภคในภาคเหนือโดยรวมที่เริ่มอ่อนแรงลง และสอง—มันเผยให้เห็น “โครงสร้างแรงขับ” ที่ไม่ได้มาจากกำลังซื้อครัวเรือนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก การเร่งตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ และ ความแข็งแกร่งของการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองปัจจัยสะท้อนบทบาทของเชียงรายในฐานะ “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ของล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้

เลนส์ตัวเลข โตจาก “รายรับรวม” ขณะ “สต็อก” ประเทศลดลง

ข้อมูลภาพรวมจาก “การสำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” ของ สสช. ระบุว่ามูลค่ายอดขาย/รายรับรวมของธุรกิจค้าปลีกและบริการในประเทศ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน มูลค่าสินค้าคงเหลือของธุรกิจค้าปลีกโดยรวมลดลง 2.8% QoQ สะท้อนการระบายสต็อกที่ดีขึ้นในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดที่ก่อนหน้าเผชิญต้นทุนและภาวะระบายสินค้าช้าจากเศรษฐกิจอ่อนแรง

หาก “ซูม” มาที่เชียงราย รายได้ค้าปลีก/บริการที่ทยอยดีขึ้นสอดรับกับกิจกรรมเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะ กิจกรรมโลจิสติกส์–เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น “ห่วงโซ่ตามน้ำ” ของโครงการลงทุนสาธารณะและการค้าข้ามแดน ยิ่งเมื่อประกอบกับฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวไตรมาส 2 ยิ่งช่วยประคองกิจกรรมบริการให้เป็นบวก

เบื้องหลังการเติบโต ไม่ใช่ “ฟื้นกำลังซื้อ” แต่คือ “อุปสงค์นำโดยรายจ่าย”

เมื่อเทียบกับจังหวะเศรษฐกิจภาคเหนือที่โดยรวมยังระวังการใช้จ่าย ตัวเลขของเชียงรายจึงชวนถามว่า “พลังอะไร” ขับเคลื่อน? คำตอบอยู่ที่ แรงอัดฉีดภาครัฐ และ แรงส่งจากการค้าชายแดน ที่เด่นชัดกว่าจังหวัดอื่น

  • ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายลงทุน ข้อมูลเศรษฐกิจภูมิภาคระบุว่า รายจ่ายภาครัฐของเชียงรายพุ่งขึ้นถึง +86.9% YoY ในช่วงไตรมาส 2 โดยมาจากงานลงทุนทางชลประทาน ทางหลวงชนบท และหน่วยงานท้องถิ่นจำนวนมาก เงินลงทุนเหล่านี้ไหลเข้าระบบผ่านค่าแรง–ค่าวัสดุ–ค่าน้ำมัน–ค่าขนส่ง จนเกิด “แรงคูณ” ไปยังค้าปลีกและบริการในพื้นที่
  • การค้าชายแดนยังแข็งแรง มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนของเชียงราย ขยายตัวราว +15.0% ในไตรมาสเดียวกัน สินค้าเด่นคือ ผลไม้สด (ทุเรียน–มังคุด) ไปจีน, น้ำมันเชื้อเพลิง ไป สปป.ลาว, รวมถึง รถยนต์–ปูนซีเมนต์ ตัวเลขดังกล่าวย้ำบทบาทเชียงรายในฐานะโหนดโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ร้านค้าปลีก–ปั๊มน้ำมัน–ศูนย์บริการยานยนต์–โกดังสินค้า รับอานิสงส์ตรง

กล่าวอีกทางหนึ่ง การเติบโตของเชียงรายในไตรมาส 2/2568 เป็นการโตแบบ “Expenditure-led” คือขับโดยรายจ่ายลงทุนและการค้า ไม่ใช่ “Income-led” ที่เกิดจากรายได้ครัวเรือนขยายฐาน กรอบคิดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดเชียงรายจึง “ตัดขาด” จากภาพรวมภาคเหนือบางส่วน และทำไมตัวเลข +1.7% QoQ จึงยืนได้แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคไม่ฟื้นชัด

ภาพภาคบริการ โรงแรม–อาหาร–เดินทาง ช่วยพยุงโมเมนตัม

ฝั่งบริการ ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ขยับดีขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาส 2 และกิจกรรมประชุม–สัมมนา–งานอีเวนต์ของหน่วยงานรัฐ–เอกชนที่มากขึ้น โรงแรมในเมือง–ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวง–บริเวณแม่สาย–เชียงแสน รายงานอัตราเข้าพักคงที่ถึงดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ธุรกิจเดินทางและซ่อมบำรุงยานยนต์ได้ “แรงเสริม” จากปริมาณรถบรรทุก–รถตู้รับส่งตามแนวชายแดน

อย่างไรก็ดี ภาคท่องเที่ยวเชียงรายยังต้องจับตา “ฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติ” โดยเฉพาะตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศที่อาจกดดันการตัดสินใจเดินทาง หากฐานต่างชาติไม่ฟื้นแรง รายได้ฝั่งบริการอาจต้องพึ่งพาตลาดในประเทศและกลุ่มอาเซียน–เกาหลีใต้มากขึ้น

มองลึกพฤติกรรมค้าปลีก ใครได้ประโยชน์มากสุด?

เมื่อลอง “แยกชั้น” ภูมิทัศน์ค้าปลีกในเชียงราย จะพบสัญญาณสองด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

  1. ค้าปลีกเชิงพาณิชย์–โครงสร้างพื้นฐาน ได้อานิสงส์ตรงจากงานรัฐและการค้า ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์โลจิสติกส์ อะไหล่–บริการยานยนต์ หมวดเหล่านี้หมุนเงินไว กำไรต่อหน่วยไม่สูง แต่ยอดรวมขับดันรายรับทั้งจังหวัด
  2. ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โตแบบค่อยเป็นค่อยไปและแข่งขันสูง การขยายสาขาของผู้เล่นรายใหญ่ในจังหวัดยิ่งกระตุ้น “การแข่งขันด้านราคา–ต้นทุน” ผู้ค้ารายย่อยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเรื่องบริหารสต็อก–ช่องทางดิจิทัล–ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (niche) เพื่อรักษาฐานลูกค้าในย่านชุมชน

ในภาพรวมจึงเห็น “แนวโน้มควบรวมตลาดเงียบ ๆ” (market consolidation) ที่ยอดขายรวมขยับขึ้น แต่สัดส่วนกลับไหลไปหาผู้ประกอบการที่บริหารต้นทุนและซัพพลายเชนได้มีประสิทธิภาพกว่า

สัญญาณเตือนครึ่งปีหลัง แรงส่งงบลงทุนเริ่มบาง กำลังซื้อพื้นฐานชะลอ

แม้ Q2 จะ “สวย” แต่ H2/2568 ของเชียงรายมีโจทย์ยากอยู่ 3 ประการ

  1. แรงอัดฉีดภาครัฐมีแนวโน้มกลับสู่ระดับปกติ — การเบิกจ่ายระดับ +86.9% YoY เป็นจังหวะเร่งพิเศษ หากเข้าสู่ช่วงปรับสมดุล ไตรมาสถัดไปกิจกรรมตามน้ำ (เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ขนส่ง) อาจชะลอตัวตาม
  2. กำลังซื้อพื้นฐานอ่อนแรง — ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนในภาคเหนือชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนการระวังใช้จ่ายของครัวเรือนและรายได้ภาคเกษตรที่ไม่สดใส หากไม่มีมาตรการกระตุ้นใหม่ รายจ่ายครัวเรือนด้านสินค้าฟุ่มเฟือยอาจถูกเลื่อนออก
  3. ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์–ท่องเที่ยวต่างชาติ — ข่าวเชิงลบด้านความปลอดภัย/เสถียรภาพส่งผลต่อการรับรู้ต่างชาติ หากตลาดจีนชะลอยืดเยื้อ รายได้ฝั่งบริการจะถูกท้าทายมากขึ้น

เมื่อตัวเลขยอดขายรวมเติบโตจาก “อุปสงค์ภายนอก” มากกว่า “รายได้ครัวเรือน” จึงต้องระวัง ความเสี่ยงสต็อกล้น ในหมวดอุปโภคบริโภค หากผู้ค้า “สั่งของตามความรู้สึกว่าขายดี” แต่ฐานลูกค้าจริงยังย่อส่วน

เมื่อข้อมูลประเทศชี้ “ลดลง 2.8%” ธุรกิจเชียงรายควรอ่านอย่างไร

ข้อมูล สสช. ระบุว่า มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศลดลง 2.8% QoQ หมายถึงหลายธุรกิจเลือก “เบาเหมาะ–เร็วพอ” ในการตุนสินค้า กระแสนี้ควรถูกนำมาใช้ที่เชียงรายด้วยหลัก 3 ข้อ

  1. อ่านจังหวะโครงการรัฐ/งานชายแดนให้ขาด — สินค้าตามน้ำ เช่น วัสดุก่อสร้าง–เชื้อเพลิง–อุปกรณ์โลจิสติกส์ ควร “รีสต็อกแบบหมุนไว” ผูกโยงกับแผนงานภาครัฐ–เทศบาล–รัฐวิสาหกิจ และตารางส่งออกผลไม้ผ่านแดน เพื่อหลีกเลี่ยงการตุนเกินจำเป็น
  2. แยกหมวดฟุ่มเฟือย–จำเป็น — หมวดจำเป็น (อาหาร–ยา–ของใช้ประจำ) ปรับสต็อกแบบปลอดภัย แต่หมวดฟุ่มเฟือย (ไฟฟ้าบางชนิด–ของใช้เพื่อไลฟ์สไตล์) ควร “รอคำสั่งซื้อ” มากกว่า “สั่งตุน” เพื่อรักษาเงินสด
  3. ใช้ข้อมูลดิจิทัลบริหารสต็อก — เชื่อมข้อมูล POS/ออนไลน์–ออฟไลน์ ให้เห็นรอบหมุนสินค้า (inventory turns) รายวัน/สัปดาห์ ลดดีมานด์ฟอร์แคสต์แบบเดาใจลูกค้า

เพื่อให้การเติบโต 1.7% “ต่อยอด” ไม่ใช่ “ชั่วคราว”

สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีก–บริการ

  • บริหารสภาพคล่อง–สต็อกแบบอนุรักษ์นิยม ใน Q3–Q4/2568 โฟกัสหมวดที่ขายเร็ว เกี่ยวข้องโครงการรัฐ–ชายแดน พร้อมแผนระบายสต็อก (promotion playbook) หากกำลังซื้อสะดุด
  • เสริมช่องทางดิจิทัล–ข้ามแดน ปรับสัดส่วนยอดขายไปยังอีคอมเมิร์ซ B2B/B2C และพาร์ตเนอร์โลจิสติกส์ชายแดน ขายยกลัง/สัญญาระยะสั้นแทนหน้าร้านอย่างเดียว
  • ลงทุน “ความต่าง” สินค้าเฉพาะถิ่น–สุขภาพ–เกษตรปลอดภัย–ของฝากคุณภาพ ช่วยกันแรงกดดันด้านราคา และจับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่พักค้าง
  • บริหารต้นทุนอย่างมีวินัย เจรจาซัพพลายเออร์–รวมคำสั่งซื้อ–ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดแรงบีบกำไรขั้นต้นในช่วงแข่งขันราคา

สำหรับหน่วยงานรัฐในจังหวัด

  • คงความต่อเนื่องของโครงสร้างพื้นฐาน–จุดผ่านแดน ดูแลความคล่องตัวด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ เพิ่มประสิทธิภาพพิธีการศุลกากร–โลจิสติกส์
  • สื่อสารความปลอดภัย–ความสงบ บริหารความเชื่อมั่นเชิงรุก โดยจับมือ ททท.–หอการค้า–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว สร้างแคมเปญเจาะตลาดที่ยืดหยุ่น เช่น เกาหลีใต้–มาเลเซีย พร้อมฟื้นภาพลักษณ์ตลาดจีนอย่างมีแผน
  • ข้อมูล–อินไซท์เข้าถึงได้ สนับสนุนแดชบอร์ดข้อมูลค้าปลีก–ชายแดน–นักท่องเที่ยวรายเดือน เพื่อให้เอกชนวางสต็อก–โปรโมชันตรงจังหวะ
  • ยกระดับทักษะดิจิทัล–โลจิสติกส์ สำหรับ SMEs ท้องถิ่น เช่น โปรแกรมย่อส่วน “E-commerce Export Readiness” และการเงินหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยเป็นธรรม

เสียงจากพื้นที่ ภาคเอกชนมอง “ชัด–เฉียบ–เชื่อม”

ผู้ประกอบการค้าปลีกย่านแม่สายสะท้อนคล้ายกันว่า “ลูกค้าดีขึ้นจากรถสินค้าข้ามแดน–แรงงานงานก่อสร้างในพื้นที่ แต่รายจ่ายครัวเรือนทั่วไปยังบีบ” ขณะที่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในเชียงของมองการค้าผ่านแดนไปจีนตอนใต้ “ทรงตัวถึงขยายเล็กน้อย” หากด่านลื่นไหล–เอกสารดิจิทัลเชื่อมกันได้มากขึ้น “รอบหมุน” จะดีต่อเนื่องและส่งผ่านมายังค้าปลีกปลายทาง

 “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ที่ต้องรักษาสมดุล

ตัวเลข +1.7% QoQ ของเชียงรายคือ “การพิสูจน์ศักยภาพของเมืองชายแดน” ว่าเมื่อรัฐเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานและด่านการค้าทำงานคล่อง เศรษฐกิจท้องถิ่นสามารถ “ต้านแรงเฉื่อย” ของวัฏจักรบริโภคภูมิภาคได้ อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของโมเมนตัมนี้ขึ้นอยู่กับ สามสมดุล ที่ต้องรักษาให้ได้พร้อมกัน

  1. สมดุลรายได้–รายจ่าย จากโตด้วยรายจ่ายรัฐ สู่โตด้วยรายได้ครัวเรือน—ต้องเร่งยกระดับผลิตภาพ–ทักษะ–งานบริการคุณภาพ เพื่อให้กำลังซื้อฐานรากฟื้นจริง
  2. สมดุลค้าปลีก–ชุมชน การขยายของผู้เล่นรายใหญ่ควรเดินคู่การยกระดับร้านชุมชน ให้มีดิจิทัล–โลจิสติกส์–สินค้าคุณภาพ สร้างระบบนิเวศที่อยู่ร่วมกันได้
  3. สมดุลชายแดน–ภาพลักษณ์ ความคล่องตัวด่านและความปลอดภัยท่องเที่ยวคือ “สองคานงัด” ที่ต้องแข็งพร้อมกัน เพื่อให้เชียงรายรักษาฐานค้าชายแดนและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

หากทุกฟันเฟืองหมุนสอดประสาน เชียงราย จะไม่เพียง “โตสวนทาง” ชั่วคราว แต่สามารถยืนระยะในฐานะ ศูนย์กลางค้าปลีก–บริการชายแดน ของภาคเหนือ ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอให้ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ยั่งยืน

ไฮไลต์ตัวเลขที่ต้องจำ

  • ค้าปลีก/บริการเชียงราย Q2/2568 +1.7% QoQ (รายรับรวม)
  • สินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศ Q2/2568 –2.8% QoQ
  • รายจ่ายภาครัฐเชียงราย เร่งตัว +86.9% YoY (หนุนกิจกรรมตามน้ำ)
  • มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนเชียงราย ขยาย ประมาณ +15.0%
  • ความท้าทาย H2/2568 แรงส่งงบลงทุน “จาง”; การบริโภคพื้นฐาน “อ่อน”; ความเสี่ยงภาพลักษณ์ท่องเที่ยว “ยังมี”

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (Actionable)

ผู้ประกอบการ

  • ปรับสต็อกให้ “หมุนไว–เสี่ยงต่ำ” โฟกัสสินค้าตามน้ำโครงการรัฐ–ชายแดน
  • เร่ง “อีคอมเมิร์ซ–B2B ชายแดน” และสร้างสินค้าเฉพาะถิ่นเพิ่มมูลค่า
  • ทำ “ต้นทุนแจ่ม–ข้อมูลชัด” ใช้แดชบอร์ดขายรายสัปดาห์ตัดสินใจโปรโมชัน

ภาครัฐจังหวัด

  • คงความลื่นไหลด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ และระบบเอกสารดิจิทัล
  • สื่อสารความปลอดภัยเชิงรุก ร่วม ททท.–ผู้ประกอบการ
  • เปิดข้อมูลเชิงลึกค้าปลีก–ท่องเที่ยวรายเดือน ให้เอกชนใช้วางแผนสต็อก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – เอกสารสรุปผล “สำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” และอินโฟกราฟิกประกอบ:
    • มูลค่ายอดขาย/รายรับรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568
    • มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกลดลง 2.8% QoQ ในไตรมาส 2/2568
      (อ้างอิงจากเอกสารภาพประกอบทางการของ สสช. ที่ผู้สื่อข่าวได้รับ)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคเหนือ – รายงานภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือระยะใกล้ ที่ชี้ว่า
    • การบริโภคภาคเอกชนภาคเหนือ “ชะลอลง/หดเล็กน้อย” ในไตรมาส 2/2568
    • การลงทุนภาครัฐในเชียงรายเร่งตัวสูง โดยมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (ชลประทาน–ทางหลวงชนบท–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
    • แนวโน้มไตรมาส 3/2568 มีความเสี่ยงชะลอตัวต่อเนื่อง
      (เอกสารรายงานเศรษฐกิจภูมิภาค ธปท. สำนักงานภาคเหนือ งวดล่าสุดที่เผยแพร่สาธารณะ)
  • กระทรวงพาณิชย์/สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และกรมศุลกากร (ด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) – สถิติการค้าชายแดนและผ่านแดนที่สะท้อนการขยายตัวในไตรมาส 2/2568 ราว +15% โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้ น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และวัสดุก่อสร้าง
    (ข้อมูลภาพรวมการค้าชายแดนของจังหวัดและรายด่านที่เปิดเผยต่อสาธารณะ/รายเดือน)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – บทวิเคราะห์แนวโน้มท่องเที่ยวปี 2568 และความเสี่ยงจากประเด็นภาพลักษณ์ความปลอดภัยของไทยที่อาจฉุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลง (ประเมินหดตัวราว 2–3% YoY) และผลต่อรายได้ท่องเที่ยวภูมิภาคเหนือ
    (รายงานคาดการณ์และบทวิเคราะห์ฉบับล่าสุด ณ ช่วงไตรมาส 2–3/2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มุมไบ–เชียงราย บินตรงใกล้จริง! IndiGo เล็งเปิดเส้นทาง หนุนอินเดียเที่ยวไทยพุ่ง

IndiGo เล็งเปิดบินตรง “มุมไบ–เชียงราย” ปักธงเมืองรองไทย หนุนนักท่องเที่ยวอินเดียแตะหลักหลายล้าน–ดัน CEI สู่ “ประตูภาคเหนือ”

เชียงราย, 28 กันยายน 2568 — กระแสข่าวจากเพจ Hflight ซึ่งเชี่ยวชาญข่าวด้านท่องเที่ยวและการบิน รวมรีวิวสายการบิน โรงแรม ร้านอาหารและท่องเที่ยว และทั้งฝั่งหน่วยงานกำกับดูแลการบินของไทยและรายงานสื่อกระแสหลัก สะท้อนภาพเดียวกันว่า IndiGo (รหัส 6E) สายการบินขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย กำลังพิจารณาเปิด “เส้นทางตรง มุมไบ (BOM)–เชียงราย (CEI)” ภายใต้ยุทธศาสตร์บุก Secondary Cities ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการเดินทางให้ชาวอินเดียที่กำลังซื้อสูงและเพิ่มศักยภาพรายได้ท่องเที่ยวให้ไทย โดยมี “เชียงราย” เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ถูกหยิบขึ้นหารือกับ CAAT อย่างเป็นทางการ และถูกระบุชื่อร่วมกับ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ ในแผนสำรวจเส้นทางใหม่ของสายการบินจากอินเดียรายนี้วันนี้ด้วย

จากห้องประชุมกำกับดูแล สู่หน้าต่างโอกาสของเมืองเหนือ

ต้นสัปดาห์นี้ ผู้บริหาร IndiGo ได้เข้าพบ พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เพื่อหารือความเป็นไปได้ของเส้นทางตรงสู่เมืองรองไทยหลายแห่ง โดยโพสต์ของ CAAT ระบุชัดถึง “ความประสงค์ขยายเส้นทางบินมายังประเทศไทย” พร้อมยกตัวอย่างเมืองเป้าหมายเชิงระบบที่ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ–ภูเก็ต แต่เป็นสนามบินภูมิภาคที่ไทยต้องการกระจายรายได้ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ซึ่งในลิสต์นั้น เชียงราย ถูก “ปักหมุด” เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญ

ในเชิงนโยบาย สัญญาณดังกล่าวสอดรับกับความพยายามของรัฐบาลไทยในการ “ดึงตลาดอินเดีย” ให้ขยายตัวต่อเนื่อง หลังปี 2024 ททท. ประกาศความสำเร็จ “ต้อนรับนักท่องเที่ยวอินเดียคนที่ 2,000,000” ที่สุวรรณภูมิ และปี 2025 แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของไทยจะอ่อนตัวลงบ้าง แต่บทบาทของตลาดอินเดียยังถูกประเมินว่าเป็น “แรงขับเคลื่อนหลัก” ที่สามารถชดเชยได้ในหลายช่วงฤดูกาล

ทำไม “BOM–CEI” มีเหตุผล ลดเวลาบินมากกว่า 50% ชนะทั้งเวลา–ความสะดวก

ปัจจุบัน การเดินทางจาก มุมไบ–เชียงราย ต้อง “ต่อเครื่องอย่างน้อย 1 ครั้ง” ส่วนใหญ่ผ่าน กรุงเทพฯ (BKK/DMK) ใช้เวลารวม อย่างต่ำราว 9 ชั่วโมง ขณะที่กรณี “บินตรง” ตามระยะทางจริงของเส้นทางนี้ ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที–4 ชั่วโมง เท่านั้น หมายถึง “ผู้โดยสารประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง” ความแตกต่างเรื่องเวลาเช่นนี้เป็นตัวแปรหลักที่กระตุ้นการตัดสินใจในตลาด Point-to-Point โดยเฉพาะนักเดินทางพักผ่อน กลุ่ม MICE และงานแต่งงานปลายทาง ที่ให้ความสำคัญกับความแน่นอนของตารางและการบริหารงบประมาณต่อหัว

ในเชิงฝูงบิน IndiGo ใช้ตระกูล Airbus A320neo/A321neo เป็นแกนหลักของโมเดลต้นทุนต่ำ (LCC) การนำเครื่องลำตัวแคบที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาบินช่วงระยะกลาง (ประมาณ 2,800–2,900 กิโลเมตร) ทำให้โครงสร้างต้นทุนต่อหน่วย (CASM) ต่ำเพียงพอที่จะตั้ง “ราคาเปิดตลาด” แข่งขันได้ ขณะเดียวกันยังสามารถรักษามาตรฐานเวลาหมุนกลับเครื่อง (turnaround) ที่รวดเร็วตามสูตรสำเร็จของ LCC ได้ด้วย

บทพิสูจน์ “Go-Beyond” เปิดกระบี่แล้วถึงคิวเมืองรองถัดไป

ไทม์ไลน์ปี 2025 แสดงให้เห็นว่า IndiGo ไม่ได้พูดถึงเมืองรองไทยไว้ลอย ๆ แต่ “ทำจริง” มาแล้วกับการเปิดเส้นทางตรงจาก มุมไบ/บังกาลอร์–กระบี่ เมื่อเดือนมีนาคม–เมษายน 2025 ตามข่าวและเอกสารเผยแพร่ของสายการบินเอง ความสำเร็จนี้ทำให้โมเดล “เมืองรองไทย” ของ IndiGo มีเคสอ้างอิง และเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเชียงรายสามารถเดินตามรอยได้ หากตัวแปรฝั่งโครงสร้างพื้นฐานสนามบินและอุปสงค์ตลาดขาเข้ารองรับเพียงพอ

เชียงรายพร้อมแค่ไหน AOT อนุมัติลงทุน 5.7 พันล้าน–ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพระยะยาว

ด้าน ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ผู้บริหาร AOT อนุมัติ “โครงการอาคารผู้โดยสารใหม่” วงเงิน 5.7 พันล้านบาท และวางพิมพ์เขียวให้พื้นที่ MRO ราว 50 ไร่ เพื่อเสริมขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศและกิจกรรมการบินที่ซับซ้อนกว่าเดิมในอนาคตอันใกล้ การเดินเครื่องลงทุนดังกล่าว แม้ต้องใช้เวลาพอสมควร คือ “สัญญาณบวก” ต่อสายการบินที่กำลังชั่งน้ำหนักเส้นทางใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เศรษฐศาสตร์ของเส้นทาง ความต้องการที่ถูกกักอยู่ และสิทธิประโยชน์ผู้บุกเบิก

ฐานตลาดอินเดีย ไปไทย “มีของจริง” รองรับอย่างชัดเจนปี 2024 แตะ 2 ล้านคน ส่วนปี 2025 แม้ภาพรวมต่างชาติของไทยลดลงตามฤดูกาลและภาวะเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขกลางปีสะท้อนว่าตลาดอินเดียยังขยายได้ดี และยังเป็นเป้าหมายในเชิง “คุณภาพรายได้ต่อหัว” สำหรับจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ของไทย หากเปิดบินตรงที่สะดวกกว่า

นอกจากนั้น เส้นทาง BOM–CEI ยังให้อานุภาพ First-Mover Advantage แก่ IndiGo เพราะ ยังไม่มีคู่แข่งบินตรง ในตลาดนี้ สายการบินจึงสามารถ “ออกแบบผลิตภัณฑ์และราคา” ได้ยืดหยุ่นกว่าการชนบนเส้นทางหลักที่มีผู้เล่นหนาแน่น เช่น มุมไบ–กรุงเทพฯ ทั้งฝั่ง FSC และ LCC การเริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ ปรับตามฤดูกาลท่องเที่ยวเหนือ (พฤศจิกายน–มีนาคม) จะช่วยจัดการ Load Factor และ Yield ในปีแรกได้อย่างระมัดระวัง

ผลประโยชน์ชุมชน จาก “เมืองผ่าน” สู่ “จุดหมาย” ของอินเดีย

เมื่อเส้นทางตรงเปิดใช้งาน เชียงราย จะเปลี่ยนสถานะจาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” เป็น “จุดหมายปลายทาง” ของนักเดินทางอินเดียอย่างเต็มตัว เครือโรงแรม รีสอร์ต ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และ MICE ในภาคเหนือจะได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งงานประชุม–ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–งานแต่งปลายทาง ขณะที่ห่วงโซ่ท่องเที่ยวตั้งแต่ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชน ไปจนถึงผู้ให้บริการขนส่งท้องถิ่น จะมีโอกาสเชื่อมโยงกับ “ตลาดอินเดีย” ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปค่อนข้างสูงเมื่อเทียบตลาดมวลชนอื่น

ความท้าทายที่ต้องจัดการ ภาคพื้น CEI–การสื่อสารตาราง–ฤดูกาลท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเส้นทางใหม่ขึ้นกับ “สามเงื่อนไข” สำคัญ

  1. ความพร้อมภาคพื้นสนามบิน แม้ AOT จะลงทุนขยาย CEI แล้ว แต่ในระยะเริ่มต้นจำเป็นต้องจัดการช่องตรวจคนเข้าเมือง/ศุลกากร/บริการโหลดกระเป๋าให้ไหลลื่นตามมาตรฐาน LCC เพื่อให้เวลาหมุนกลับเครื่องสั้นที่สุด (ตรงนี้ต้องออกแบบร่วมกันระหว่างสายการบิน–ผู้ให้บริการภาคพื้น–AOT)
  2. การสื่อสารตารางบินและโปรฯ เปิดตลาด กลยุทธ์ราคาช่วงเปิดเส้นทางต้อง “ชัดและต่อเนื่อง” เพื่อย้ายพฤติกรรมจากการต่อเครื่องผ่านกรุงเทพฯ สู่การใช้ไฟลต์ตรง รวมถึงความร่วมมือการตลาดกับ ททท. และพันธมิตร MICE ในอินเดีย
  3. ฤดูกาลท่องเที่ยภาคเหนือพีคช่วงปลายปี–ไตรมาสแรก การบริหารความถี่/ขนาดเครื่องบินช่วงนอกฤดู (พ.ค.–ก.ย.) ต้องใช้ Yield Management และรายได้เสริมบนเที่ยวบิน (Ancillary) มาช่วยพยุงผลประกอบการ

ตัวเลขที่ “บอกเรื่อง” บริบทการท่องเที่ยวปี 2025 และโอกาสของเส้นทาง

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ไทยช่วงมกราคม–กันยายน 2025 ลดลงราว 7.44% YoY อยู่ที่ 23.45 ล้านคน รัฐบาลหั่นคาดการณ์ทั้งปีเหลือ 33 ล้านคน แปลว่า “พื้นที่ว่าง” ในการกระตุ้นตลาดใหม่ยังมีอยู่มาก และตลาดอินเดียถูกวางบทบาทให้ช่วยอุดช่องว่างนี้ในเชิงนโยบาย 
  • อินเดีย–ไทย ปี 2024 แตะ 2 ล้านคน (เหตุการณ์ฉลอง 16 ธ.ค. 2024) คือฐานอุปสงค์ที่พิสูจน์แล้ว หากเพิ่มจุดหมายปลายทางที่บินตรงอย่าง เชียงราย ศักยภาพจะขยายได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพรายได้

คำกล่าวอ้างอิงเชิงนโยบาย (พิเศษ)

รายงานของสื่อไทยวันนี้ระบุท่าทีของ CAAT หลังการหารือว่า IndiGo “มองเมืองรองไทย” เพื่อช่วยผลักดันยอดนักท่องเที่ยวอินเดียเกิน 2 ล้านคน/ปี อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันโพสต์ทางการของ CAAT ยืนยันการเข้าพบของผู้บริหาร IndiGo และทิศทางการหารือเชิงบวกต่อ Udon Thani, Surat Thani, Hat Yai, Chiang Rai ซึ่งสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ “กระจายรายได้ท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค” ของไทยในระยะต่อไป

“CEI ยังเล็กไปหรือไม่” และ “AOT จะทันหรือเปล่า”

คำถามยอดฮิตคือ CEI จะรองรับไฟลต์ระหว่างประเทศประจำเพิ่มขึ้นได้แค่ไหน คำตอบเชิงโครงสร้างคือ “AOT อนุมัติแผนขยาย 5.7 พันล้าน” แล้ว และได้วางแนวทางพัฒนา MRO เสริมความมั่นคงด้านเทคนิคการบินในระยะยาว แม้ก่อสร้างจริงต้องใช้เวลา แต่สำหรับเฟสเปิดเส้นทางแรก ๆ การบริหารจัดการฝั่ง ภาคพื้น–ตรวจคนเข้าเมือง–ศุลกากร ให้สอดรับเวลาหมุนเครื่องของ LCC จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่า CEI พร้อม “รับแขกจากมุมไบ” แค่ไหนและนี่คือจุดที่หน่วยงานในพื้นที่กับสายการบินต้อง “ล็อกแผนร่วมกัน” ให้เร็วที่สุด

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (สำหรับทุกฝ่าย)

  • IndiGo เริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ กำหนดเวลาออกจาก BOM เช้ามืด–ถึง CEI ช่วงสาย เพื่อให้ผู้โดยสาร “เที่ยวได้เต็มวัน” และจัดโปรแกรม Joint Marketing กับ ททท./TCEB เจาะกลุ่ม Leisure + MICE + Destination Wedding
  • AOT/ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จัด Dedicated Lanes ตม./ศุลกากร และข้อกำหนดภาคพื้นสำหรับ LCC (SLA เวลาออก–เข้า–โหลดสัมภาระ) ช่วงเปิดเส้นทาง พร้อมสื่อสาร Passenger Journey ให้ชัดบนทุกช่องทางสนามบิน
  • CAAT พิจารณา “มาตรการจูงใจค่าธรรมเนียม” ระยะ 12–24 เดือนแรกสำหรับเส้นทางเมืองรอง และคงความต่อเนื่องมาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า/ดิจิทัลอไรวัล เพื่อคงแรงส่งตลาดอินเดีย

“มุมไบ–เชียงราย” ไม่ใช่เพียงเส้นตรงบนแผนที่ แต่คือ “สะพานเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม” ระหว่าง ภาคเหนือของไทย กับ มหานครการเงินของอินเดีย ถ้าทุกตัวแปรเครื่องบินที่เหมาะสม ราคาที่เข้าถึงได้ ภาคพื้นสนามบินที่พร้อม และนโยบายสนับสนุนถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกเวลา เส้นทางนี้จะเปลี่ยน เชียงราย จาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” สู่ “จุดหมายปลายทาง” ของชาวอินเดียอย่างแท้จริง และช่วยขับเคลื่อนตัวเลขท่องเที่ยวไทยในปีที่ความผันผวนสูงให้กลับมามีทิศทางที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • CAAT
  • IndiGo
  • Hflight
  • Thai/International Aviation News
  • TAT Newsroom & สื่ออินเดีย
  • Reuters
  • Flight-time reference
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายระดมสมองทำแผน 5 ปี “เมืองพี่เมืองน้อง” เชื่อมเศรษฐกิจชายแดน

เชียงรายเปิดเวทีระดมสมอง ทำแผน 5 ปี “เมืองพี่เมืองน้อง” รับจังหวะ FDI ไทยพุ่ง 125% ตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจ–การค้า–การลงทุนเชื่อม NEC อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 —โรงแรมทีคการ์เด้น สปา รีสอร์ท เมืองเชียงราย เป็นภาพของ “ห้องปฏิบัติการอนาคต” เมื่อผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ–รัฐวิสาหกิจ–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–ภาคเอกชน–สถาบันการศึกษา กว่า 180 คน ทยอยลงทะเบียนเข้าร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ระยะ 5 ปี ของจังหวัดเชียงราย บนโจทย์ใหญ่ที่ไม่เพียงต้องตอบ “เชียงรายอยากเป็นอะไร” แต่ต้องตอบให้ชัดว่า จะเดินไปอย่างไร ในโลกการลงทุนที่กำลังเร่งเครื่อง”

พิธีเปิดนำโดย นายนนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ก่อนจะเข้าสู่เวทีบรรยายและระดมความคิดเห็นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาระหว่างประเทศ และศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน

แก่นของการประชุมวันนี้ คือการ “ตั้งเข็มทิศร่วม” ของภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา เพื่อออกแบบแผน 5 ปี ที่ จับต้องได้ เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนของเชียงรายเข้ากับ คลื่นการลงทุนระลอกใหม่ ที่กำลังไหลผ่านภูมิภาค

ทำไมต้อง “ตอนนี้” เมื่อหน้าต่างโอกาสของ FDI เปิดกว้าง

การขับเคลื่อนเชิงรุกของเชียงรายเกิดขึ้นในจังหวะที่ “ข้อมูลใหญ่” ของประเทศชี้ชัดว่า FDI กำลังไหลเข้าไทยแรงที่สุดในรอบหลายปี ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.–ส.ค.) เงินลงทุนจากต่างชาติ แตะ 225,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 125% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมี นักลงทุน 687 ราย เข้ามาจัดตั้งธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการ

หากซูมเข้าไปดูรายละเอียด 5 อันดับประเทศต้นทาง ที่ขับเคลื่อนการลงทุน จะเห็นโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ค่อย ๆ ก่อตัว

  • ญี่ปุ่น เงินลงทุน 71,844 ล้านบาท เน้นห่วงโซ่อุตสาหกรรม—จัดหาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน, ซอฟต์แวร์, ตรวจคุณภาพสินค้า, รับจ้างผลิตตั้งแต่เครื่องจักรไปถึงชิ้นส่วนยานยนต์–การเกษตร
  • สหรัฐอเมริกา 105 ราย เงินลงทุน 3,433 ล้านบาท โดดเด่นที่บริการท่องเที่ยว–โฆษณา–คอนซัลต์ธุรกิจ–รับจ้างผลิตชิ้นส่วน
  • สิงคโปร์ 93 ราย เงินลงทุน 68,495 ล้านบาท ขยายตัวใน ดาต้าเซ็นเตอร์–ฟินเทค–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
  • จีน 87 ราย เงินลงทุน 20,785 ล้านบาท เสริมแกร่งซัพพลายเชนเครื่องจักรอัตโนมัติ–ซอฟต์แวร์–มอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงบริการซ่อมบำรุง EV
  • ฮ่องกง 74 ราย เงินลงทุน 12,372 ล้านบาท ครอบคลุมบริการพลังงาน–โทรคมนาคม–โลหะ/ชิ้นส่วน

ในมิติการกระจายตัวเชิงพื้นที่ EEC ยังเป็นแม่เหล็กหลัก ด้วยเม็ดเงิน 74,792 ล้านบาท (33% ของทั้งประเทศ) แต่สำหรับ “เชียงราย” จุดแข็งไม่ได้อยู่ที่โรงงานขนาดยักษ์ หากอยู่ที่ โลจิสติกส์ชายแดน–บริการ–ท่องเที่ยวคุณภาพ–การค้า/ขนส่ง–อุตสาหกรรมสนับสนุน ที่สอดรับกับ NEC และการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง

เชียงรายวาง 4 จุดยุทธศาสตร์ “เมืองพี่เมืองน้อง” เชื่อมเศรษฐกิจชายแดน–วัฒนธรรม–การศึกษา

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า การทำแผนครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย ลงนามแล้ว 86 คู่ จาก 40 จังหวัด สำหรับเชียงรายนั้นมีฐานที่มั่นยืนอยู่แล้วกับ มณฑลยูนนาน” (ตั้งแต่ปี 2543) และกำลังเดินหน้าอีก 3 เมือง/พื้นที่ยุทธศาสตร์ ได้แก่

  1. เมืองกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น — มุ่งความร่วมมือด้านเทคโนโลยี/อุตสาหกรรมสนับสนุน, เมืองน่าอยู่/สิ่งแวดล้อม, การศึกษาวิจัย และท่องเที่ยวคุณภาพ
  2. จังหวัดท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา — เสริมบทบาทประตูการค้าชายแดน, โลจิสติกส์, บริการท่องเที่ยว–โรงแรม–รีสอร์ต และแรงงานฝีมือ
  3. แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว — เชื่อมโครงข่ายคมนาคม–ขนส่ง, การค้าพรมแดน, เกษตร–อาหาร และวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง

ความคล้ายคลึงทางภูมิประเทศ ประเพณี และวัฒนธรรม ระหว่างเชียงรายกับเมืองเหล่านี้ ทำให้การยกระดับสู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ–การค้า–การลงทุน มีฐานรองรับจริง และต่อยอดสู่ การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ, แลกเปลี่ยนการศึกษา/นักศึกษา, อนุรักษ์และใช้ประโยชน์วัฒนธรรมร่วม ได้อย่างสมเหตุสมผล

ห้องประชุมที่กลายเป็น “ห้องทดลอง” ตั้งโจทย์–แตกประเด็น–จับคู่หุ้นส่วน

เวทีวันนี้ไม่ใช่เพียงรับฟัง แต่เป็น workshop ตั้งโจทย์ร่วม ผู้เข้าร่วมกว่า 180 คน ถูกแบ่งกลุ่มเพื่อระดมไอเดีย คลัสเตอร์ความร่วมมือ” ที่เชื่อมเศรษฐกิจ–สังคม–วัฒนธรรม–สิ่งแวดล้อม ให้สอดรับกับทุนของพื้นที่และแนวโน้มโลก

คลัสเตอร์เศรษฐกิจ/การลงทุน

  • โลจิสติกส์ชายแดน–ศูนย์กระจายสินค้า–บริการขนถ่าย
  • บริการดิจิทัล–ดาต้า–เศรษฐกิจสร้างสรรค์–คอนเทนต์ท้องถิ่น
  • เกษตร–อาหาร–เกษตรแปรรูป–มาตรฐานฮาลาล/เกษตรอินทรีย์
  • ท่องเที่ยวคุณภาพ: เชื่อมวัฒนธรรม–สุขภาพ–ธรรมชาติ–งานเทศกาล

คลัสเตอร์การศึกษา/นวัตกรรม

  • เครือข่ายวิจัยกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค—แลกเปลี่ยนนักศึกษา/อาจารย์
  • ห้องทดลองนโยบายท้องถิ่น (local policy lab) ทดสอบบริการสาธารณะดิจิทัล

คลัสเตอร์วัฒนธรรม/สังคม

  • เครือข่ายงานศิลป์–เทศกาลลุ่มน้ำโขง–แลกเปลี่ยนศิลปิน
  • พหุวัฒนธรรม–พหุภาษา–สื่อชุมชน เพื่อการท่องเที่ยวที่เคารพวิถีคน

คลัสเตอร์สิ่งแวดล้อม/เมืองยั่งยืน

  • การบริหารจัดการขยะข้ามพรมแดน–การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
  • โครงการพื้นที่สีเขียว–โครงสร้างพื้นฐานเป็นมิตรต่อคนเดิน–จักรยาน

ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ คือ แผนแม่บท 5 ปี” ที่ไม่ใช่เอกสารลอย ๆ แต่เชื่อมโยง ภาคส่วน–โครงการ–ตัวชี้วัด (KPIs) และ คู่ความร่วมมือ ที่จับมือเดินได้จริง พร้อมกำหนด Roadmap รายปี เพื่อให้ทุกฝ่ายติดตาม–ทบทวน–ปรับปรุงได้เป็นวัฏจักร

FDI พุ่ง–โครงสร้างลงทุนเปลี่ยน โอกาสของเชียงรายอยู่ตรงไหน

ข้อมูล DBD สะท้อนชัดว่า แม้จำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 ลดลงเล็กน้อย 4.25% (เหลือ 59,189 ราย) แต่ ทุนจดทะเบียนรวมกลับขยาย 4.24% (เป็น 194,347 ล้านบาท) แปลว่าภูมิทัศน์การลงทุนกำลัง ขยับสู่ธุรกิจทุนหนา–เทคโนโลยี–บริการมูลค่าเพิ่ม ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เติบโตเด่นคือ ขายส่งสินค้าทั่วไป (+51.18%) โรงแรม–รีสอร์ต–ห้องชุด (+44.79%) และขนส่ง–ขนถ่าย (+26.18%)ทั้งหมดคือ “เส้นเลือดใหญ่” ของเมืองชายแดนและเมืองท่องเที่ยว อย่างเชียงราย

สำหรับ FDI ที่ไหลเข้าไทย 225,536 ล้านบาท (+125%) รูปธรรมต่อเชียงรายชัดเจนใน 3 มิติ

  1. โหนคลื่นโลจิสติกส์ชายแดน: เชื่อมขนส่ง–โกดัง–ด่าน–บริการกำกับดูแลคุณภาพสินค้า รับเทรนด์ “จัดหาชิ้นส่วน/วัตถุดิบ” จากญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง
  2. ท่องเที่ยวคุณภาพ/บริการดิจิทัล: รับเทรนด์สหรัฐฯ/สิงคโปร์ด้านบริการท่องเที่ยว–คอนซัลต์–ฟินเทค–ดาต้าเซ็นเตอร์ (ในสเกลที่เหมาะกับพื้นที่/สิ่งแวดล้อม)
  3. ซัพพลายเชนอาหาร/เกษตรมูลค่าเพิ่ม: ต่อยอดจุดแข็งเกษตรภาคเหนือ–มาตรฐาน–แปรรูป–โลจิสติกส์–ตลาดต่างประเทศ ผ่านกรอบความร่วมมือ Sister City

Roadmap 5 ปี จาก “แผนบนกระดาษ” สู่ “การเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้”

เพื่อให้แผน 5 ปีเป็น “เครื่องมือทำงาน” ไม่ใช่ “คู่มือเก็บตู้” ที่ประชุมกำหนด โครงสร้างการขับเคลื่อน–ตัวชี้วัด–กลไกธรรมาภิบาล ไว้เบื้องต้น

1) โครงสร้างขับเคลื่อน (Governance)

  • คณะทำงานจังหวัด ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง–คัดเลือกโครงการ–จัดสรรทรัพยากร–เจรจาความร่วมมือ
  • คณะทำงานสาขา (คลัสเตอร์) ด้านเศรษฐกิจ/การค้า/โลจิสติกส์/ท่องเที่ยว/การศึกษา/วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม
  • หน่วยเลขานุการ โดยสำนักงานจังหวัด เชื่อมการเงิน–กฎหมาย–ติดตามประเมินผล

2) ตัวชี้วัด (KPIs) ที่ประชาชนเห็นและสัมผัสได้

  • มูลค่าการค้า–การลงทุนชายแดน (ปีต่อปี)
  • จำนวนโครงการ/ข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับคู่เมืองพี่เมืองน้อง
  • นักท่องเที่ยวคุณภาพ–รายได้ต่อหัว–ระยะพำนัก ในเส้นทาง Sister City
  • การแลกเปลี่ยนนักศึกษา/งานวิจัยร่วม (โปรเจ็กต์ที่มีผลผลิตชัดเจน)
  • ความโปร่งใส/ธรรมาภิบาลธุรกิจข้ามพรมแดน (เครื่องมือกำกับ–ร้องเรียน–ตรวจสอบ)

3) กลไกธรรมาภิบาล–คุ้มครองการแข่งขันเป็นธรรม

  • ประสาน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ในการ ปราบปรามนอมินี–นิติบุคคลบัญชีม้า
  • เปิดข้อมูลสถานประกอบการ–ที่ตั้ง–ผู้รับผิดชอบ (ตามกรอบกฎหมาย) ให้ตรวจสอบได้
  • คู่มือปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการชายแดน–มาตรฐานบริการ–สิทธิแรงงานข้ามชาติ

เสียงสะท้อนจากห้องประชุม เมืองน่าอยู่–เศรษฐกิจเดิน–วัฒนธรรมไม่หาย

แม้เวทีวันนี้จะเน้น “ข้อมูล–แผน–ตัวเลข” แต่สิ่งที่สะท้อนจากการระดมความคิดเห็นคือ ความหวงแหนอัตลักษณ์ และ ความหวังให้โอกาสกระจายถึงชุมชน เสียงจากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเห็นพ้องว่า การผลักดัน Sister City ควรมุ่ง “ท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน–เคารพวัฒนธรรม” มากกว่าปริมาณผู้มาเยือน ขณะที่ภาคโลจิสติกส์–การค้าขนส่ง ต้องการให้จังหวัด เร่งบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด่าน–คลัง–ศูนย์กระจายสินค้า ควบคู่กับ อำนวยความสะดวกด้านดิจิทัล (เช่น ระบบเอกสาร/ชำระค่าธรรมเนียม–ติดตามสถานะ–ข้อมูลกระจายตัวแบบเรียลไทม์)

ด้านสถาบันการศึกษาเสนอให้ตั้ง ศูนย์องค์ความรู้ Sister City” รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม–กฎระเบียบของเมืองคู่ความร่วมมือ เพื่อให้ผู้ประกอบการและชุมชนเข้าถึง ความรู้พร้อมใช้” ต่อยอดได้ทันที และใช้เป็นฐานพัฒนา หลักสูตรร่วม/โครงการวิจัย ที่มีผลลัพธ์เชิงพาณิชย์–สังคมชัดเจน

จากเวทีสู่สนามจริง โครงการนำร่องที่ชุมชน “มองเห็น–แตะต้อง–ใช้ประโยชน์”

เพื่อให้แผน 5 ปีเริ่มต้นอย่างมีพลัง ที่ประชุมได้ระบุ “แนวทางนำร่อง” ที่ทำได้เร็วและวัดผลได้ ได้แก่

  • คอร์ริดอร์ท่องเที่ยวคุณภาพ เชื่อมเมืองหลักเชียงราย–ท่าขี้เหล็ก–บ่อแก้ว ภายใต้หลักการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) และ เส้นทางเทศกาล–วัฒนธรรมร่วม
  • ศูนย์ข้อมูลการค้า–โลจิสติกส์ชายแดน พัฒนาหน้าบ้านดิจิทัลกลาง ให้ผู้ประกอบการ (โดยเฉพาะ SME) เข้าถึงข้อมูลขั้นตอน–ภาษี–มาตรฐานสินค้า–จุดให้บริการ
  • โครงการคู่หูมหาวิทยาลัย–ผู้ประกอบการ (U–Biz Buddy) ให้ทุนโปรเจ็กต์เล็ก–เร็ว–เข้าโจทย์จริง สร้างนวัตกรรมบริการ/ผลิตภัณฑ์พร้อมใช้
  • Sandbox ธรรมาภิบาลข้ามแดน ทดลองใช้ระบบตรวจสอบที่ตั้ง–สถานประกอบการ–ช่องทางร้องเรียนแบบรวมศูนย์ ร่วมกับ DBD และภาคีที่เกี่ยวข้อง

บรรยากาศที่ไม่ใช่แค่ “ฟัง” เวทีที่คนทำงานรู้สึกว่า “มีที่ยืน”

สิ่งที่โดดเด่นคือการจัดวางเวทีให้ ทุกภาคส่วนได้พูด ใน “เวลาและภาษาของตัวเอง” ภาคธุรกิจเล็ก–กลางได้อธิบายข้อจำกัดที่เผชิญประจำวัน ตั้งแต่เอกสารข้ามแดนไปจนถึงต้นทุนขนส่ง ภาครัฐรับฟังพร้อมจด “รายการแก้ไขเร็ว” (quick wins) เพื่อทดสอบในไตรมาสถัดไป ส่วนสถาบันการศึกษาวางบทบาท “ช่างเทคนิคของนโยบาย” แปลงโจทย์เป็นงานวิจัยที่ลงสนาม ไม่ใช่รายงานอยู่บนชั้น

เวทีวันนี้จึงไม่ใช่ “พิธีการ” แต่เป็นการตั้งเครื่องมือการทำงานร่วม ที่ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน วัดผลร่วมกัน และพร้อมรับผิดชอบร่วมกัน

ภาพใหญ่ของประเทศ–ภาพเฉพาะของเชียงราย เมื่อเส้นกราฟตัดกันพอดี

ข้อมูล DBD ยังชี้ว่า เดือนสิงหาคม 2568 ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,641 ราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนเดียว 23,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากทั้งเมื่อเทียบปีก่อนและเดือนก่อนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และสอดคล้องกับ FDI ที่ นักลงทุนญี่ปุ่น–สหรัฐฯ–สิงคโปร์ ยังให้ความสนใจไทยอย่างยั่งยืน

สำหรับเชียงราย เส้นกราฟ “การสร้างเมืองน่าอยู่–ปลอดภัย–ยั่งยืน” กำลังตัดกับกราฟ “การค้า–การลงทุนชายแดน–บริการมูลค่าเพิ่ม” ในจุดที่เหมาะสม การทำแผนเมืองพี่เมืองน้องระยะ 5 ปี จึงไม่ใช่เพียงการทูตเมือง แต่เป็น ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก ที่ออกแบบให้โอกาสใหม่ กระจายลงชุมชน ผ่านงานที่วัดผลได้จริง

แผน 5 ปีที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “ไม่ทิ้งข้อมูลไว้บนสไลด์”

เมื่อ FDI ของประเทศพุ่ง 125% เม็ดเงิน–เทคโนโลยี–คนเก่งกำลังมองหาพื้นที่ลงหลัก เชียงรายเลือกยืนในที่ของตัวเอง—เมืองชายแดน–บริการ–ท่องเที่ยวคุณภาพ–โลจิสติกส์–อาหาร—และเปิดหน้าต่างไปยัง ยูนนาน–กุนมะ–ท่าขี้เหล็ก–บ่อแก้ว ด้วย แผน 5 ปี ที่มี Roadmap–KPI–ธรรมาภิบาล–การมีส่วนร่วม เป็น “นอตยึด” ให้เดินไกลและมั่นคง

จากห้องประชุมวันนี้ ต่อจากนี้คือ การบ้านรายเดือน–รายไตรมาส ที่ต้องส่งพร้อมหลักฐาน—จำนวนโครงการร่วม, มูลค่าการค้า–การลงทุน, รายได้ท่องเที่ยวต่อหัว, จำนวนการแลกเปลี่ยนการศึกษา, และตัวชี้วัดความโปร่งใสทางธุรกิจ—เพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า “เชียงรายไม่ได้แค่คิด แต่กำลังทำ และทำบนข้อมูลจริง”

กล่องข้อมูลสำคัญ (Key Figures)

  • ผู้เข้าร่วมประชุมระดมสมอง: 180 คน (ภาครัฐ–รัฐวิสาหกิจ–อปท.–เอกชน–สถาบันการศึกษา)
  • คู่ความร่วมมือ Sister City ของเชียงราย: มีแล้ว 1 (ยูนนาน, จีน—ตั้งแต่ปี 2543) กำลังดำเนินการเพิ่มอีก 3 (กุนมะ–ญี่ปุ่น, ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา, บ่อแก้ว–ลาว)
  • FDI ไทย 8 เดือนแรกปี 2568: 225,536 ล้านบาท (+125%) นักลงทุน 687 ราย; 5 อันดับประเทศ: ญี่ปุ่น–สหรัฐอเมริกา–สิงคโปร์–จีน–ฮ่องกง
  • โฟกัสพื้นที่ EEC: 74,792 ล้านบาท (33% ของ FDI)
  • ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8 เดือนแรก: 59,189 ราย (-4.25%) แต่ ทุนจดทะเบียนรวม 194,347 ล้านบาท (+4.24%)
  • ธุรกิจที่เติบโตเด่น: ขายส่งสินค้าทั่วไป (+51.18%), โรงแรม–รีสอร์ต–ห้องชุด (+44.79%), ขนส่ง–ขนถ่าย (+26.18%)

เช็กลิสต์ “ก้าวต่อไป” ที่สาธารณะติดตามได้

  1. เผยแพร่ ร่างแผน 5 ปี ต่อสาธารณะ พร้อมรับฟังความเห็นรอบ 2
  2. ตั้ง คณะทำงานคลัสเตอร์ (เศรษฐกิจ/โลจิสติกส์/ท่องเที่ยว/การศึกษา/วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม) พร้อมกรอบงาน 12 เดือน
  3. เปิด ศูนย์ข้อมูล Sister City ออนไลน์—รวมกฎระเบียบ–โอกาส–คู่มือธุรกิจชายแดน
  4. เปิด โครงการนำร่อง 3–5 รายการ ภายใน 6 เดือน (ท่องเที่ยวคุณภาพ, ศูนย์ข้อมูลโลจิสติกส์, U–Biz Buddy, Sandbox ธรรมาภิบาลข้ามแดน)
  5. ประกาศ KPI รายไตรมาส และรายงานผลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (DBD)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเชียงใหม่/ฝ่ายวิจัยที่เกี่ยวข้อง)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง / มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เดินหน้าลงทุน MRO และ FBO ดันเชียงรายสู่ “ศูนย์การบินแห่งภาคเหนือ”

เชียงรายเตรียมยกระดับสู่ “ศูนย์การบินแห่งเหนือ” ทอท.เดินหน้า MRO–อาคารผู้โดยสารใหม่ พร้อมเปิดพื้นที่ทิศเหนือเชิญเอกชนลงทุน FBO ดึงเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–ธุรกิจการบินโตยกเขต

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) กำลังเปลี่ยนผ่านสู่บทใหม่ของอุตสาหกรรมการบินภาคเหนือ เมื่อ ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เดินหน้าแผนลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งการสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และการตั้ง “ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)” บนพื้นที่เฉพาะ ขณะเดียวกัน สนามบินเริ่มเปิดพื้นที่ฝั่งทิศเหนือเพื่อดึงเอกชนลงทุน “FBO”—ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว—เพื่อรองรับดีมานด์ระดับพรีเมียมที่เติบโต

“FBO (Fixed-Base Operator) เป็นผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว ตอนนี้สนามบินกำลังประชาสัมพันธ์หาผู้ลงทุน โดยพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของสนามบิน” นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย กล่าวยืนยันกับผู้สื่อข่าวนครเชียงรายนิวส์ สะท้อนทิศทางที่ CEI กำลังเปิด “ประตูที่สอง” ให้กับผู้โดยสารกลุ่มเฉพาะ (niche premium) ควบคู่ไปกับผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ปกติ

จากสนามบินประตูท่องเที่ยว สู่ “ฐานอุตสาหกรรมการบิน”

ในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แผนของ ทอท. ที่เชียงรายแบ่งเป็น 2 แกนสำคัญ

  1. อาคารผู้โดยสารใหม่ – มุ่งเพิ่มขีดความสามารถรองรับจากระดับราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อรับมือพฤติกรรมท่องเที่ยวภาคเหนือและการเชื่อมต่อจีนตอนใต้–ลุ่มโขงที่ขยายตัวต่อเนื่อง (มีรายงานต่างประเทศระบุเป้าหมาย 7 ล้านคน/ปี)
  2. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) บนพื้นที่ราว 50 ไร่ – ปัจจุบัน รายงาน EIA ของโครงการ MRO ที่เชียงรายอยู่บนระบบ Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งสะท้อนการเดินหน้าในเชิงขั้นตอนตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทย

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ CEI ไม่ได้เป็นเพียง “สนามบินปลายทางท่องเที่ยว” อีกต่อไป แต่ยกระดับไปเป็น “ศูนย์บริการด้านการบิน” ครบวงจร ซึ่งการมี MRO จะสร้างฐานการจ้างงานทักษะสูง กระตุ้นเศรษฐกิจห่วงโซ่อุตสาหกรรมอากาศยาน และเพิ่มเสถียรภาพรายได้ให้สนามบินในระยะยาว—ต่างจากรายได้ที่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยว

FBO vs MRO คนละบท คนละคุณค่า แต่เสริมกัน

คำว่า FBO และ MRO มักถูกเอ่ยคู่กัน แต่มี “หน้าที่” คนละแบบ

  • FBO คือบริการภาคพื้นและอำนวยความสะดวกสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว เช่น เติมเชื้อเพลิง การจอด–ลากจูง การผ่านพิธีการ CIQ แบบเป็นส่วนตัว ห้องรับรอง VIP การขนส่งภาคพื้น และบริการลูกเรือ ฯลฯ มูลค่าเพิ่มของ FBO จึงอยู่ที่ “ความเร็ว–ความเป็นส่วนตัว–ความต่อเนื่อง” ของการเดินทางสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/บุคคลสำคัญ
  • MRO คือการซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค ตั้งแต่ตรวจระยะ/ซ่อมโครงสร้าง/เครื่องยนต์ จนถึงการยกเครื่องใหญ่ (overhaul) ซึ่งต้องใช้มาตรฐานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยเข้มงวดและบุคลากรทักษะสูง—สร้าง ฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ดังนั้น “เชียงราย” ที่ เปิดหาเอกชนลงทุน FBO และในเวลาเดียวกัน เดินหน้า MRO จึงเป็นยุทธศาสตร์สองขาที่ “ตอบสองตลาด” ทั้ง ตลาดพรีเมียมรายคน (FBO) และ ตลาดสายการบินรายฝูงบิน (MRO)

MJets Private Jet Terminal Bangkok Thailand

ภูมิทัศน์การแข่งขัน ไทยมี “ฐาน FBO แข็งแรง” อยู่แล้ว

ประเทศไทยมี FBO/ผู้ให้บริการภาคพื้นที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับระดับภูมิภาค หนึ่งในนั้นคือ MJets ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่ง รายงาน AIN FBO Survey 2025 จัดให้ MJets อยู่ใน Top 20% ของเอเชีย–แปซิฟิก ด้วยคะแนน 4.46 ยืนยันทักษะและมาตรฐานการบริการของผู้เล่นไทยในเวทีนานาชาติ

ด้านผู้ให้บริการเครือข่ายระดับโลกอย่าง Universal Aviation มีจุดให้บริการ/ซัปพอร์ตการปฏิบัติการในไทยหลายสนามบิน (เครือข่ายประเทศไทย) ซึ่งสะท้อนว่าตลาดบริการภาคพื้นสำหรับลูกค้าธุรกิจและเครื่องบินส่วนตัวในไทยมีฐานโครงสร้างรองรับรองรับอยู่แล้ว หากเชียงรายเปิด FBO เพิ่ม จะยิ่งเสริมเครือข่ายให้สมบูรณ์ในฝั่งเหนือของประเทศ

ขณะเดียวกัน สนามบินเชียงรายยังมีบริษัทภาคพื้นเชิงพาณิชย์ให้บริการอยู่ก่อน เช่น Thai Ground Solutions (TGGS) ซึ่งตอกย้ำว่าพื้นฐานการให้บริการภาคพื้นของ CEI มีอยู่จริง และพร้อมต่อยอดไปสู่บริการพรีเมียมเฉพาะทางของ FBO ได้ในขั้นถัดไป

ดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร “Solo Travel” มาแรง – สายการบินจับตาเชียงราย

ด้านอุปสงค์ผู้โดยสาร รายงาน Scoot–YouGov (สิงคโปร์) เดือนสิงหาคม 2568 จากการสำรวจผู้เดินทาง 5,000 คนใน 6 ตลาดเอเชีย–แปซิฟิก (รวมไทย) ชี้ว่า การเดินทางคนเดียว (Solo Travel) กำลังมาแรง” ด้วยเหตุผลด้านอิสระ–ยืดหยุ่น–เวลาเพื่อดูแลตนเอง (time for me) และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สายการบินใช้วางแผนเส้นทางและผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่—สอดรับกับการโฟกัสจุดหมายปลายทางเมืองหลักของภูมิภาค

สำหรับ Scoot ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ในเครือ Singapore Airlines Group มีการขยายเครือข่ายครอบคลุมจุดหมายปลายทางกว่า 70 เส้นทางใน 18 ประเทศ และเพิ่งได้รับรางวัล “Value Airline of the Year 2025” จาก Air Transport World (ATW) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สะท้อนกลยุทธ์ “ความคุ้มค่า” ที่ตอบโจทย์ผู้โดยสารหลังโควิด (สื่ออุตสาหกรรมยืนยันรางวัล) ขณะที่ฐานข้อมูลรางวัลอุตสาหกรรมการบินของ Skytrax ก็แสดงความเชื่อมโยงของ Scoot กับ Singapore Airlines อย่างเป็นทางการในฐานะแขนงโลว์คอสต์ของเครือ—ยืนยันบทบาทในกลุ่ม SIA ที่แข็งแกร่งในเอเชีย

เมื่อโยงบริบทนี้กับ เชียงราย—จุดหมายปลายทางที่มีทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ธุรกิจเชื่อมจีนตอนใต้—จึงไม่น่าแปลกที่สายการบินภูมิภาคจับตาเปิด/ขยายเส้นทางมายัง CEI มากขึ้น ซึ่งหากขีดความสามารถผู้โดยสารและบริการภาคพื้นระดับพรีเมียม (FBO) ขยายตัวพร้อมกัน จะทำให้ “ระบบนิเวศการบิน” ของเชียงรายครบวงจรขึ้นทันที

กรอบเวลา–ศักยภาพ–ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • เป้าหมายความจุผู้โดยสาร จาก ราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ตามขนาดอาคารผู้โดยสารใหม่ เพื่อให้สอดรับกับตลาดท่องเที่ยวภาคเหนือและเชื่อมต่อระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีนตอนใต้/อาเซียนตอนบน
  • MRO 50 ไร่ + EIA เดินหน้า สถานะอยู่ในระบบ Smart EIA ของ สผ. และมีรายงานสื่อเศรษฐกิจไทยติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง—เป็นสัญญาณว่ากระบวนการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเดินตามขั้นตอนก่อนการลงทุนจริง
  • FBO ฝั่งทิศเหนือของสนามบิน ฝั่งบริหารสนามบินยืนยันกำลัง เชิญเอกชนร่วมลงทุน” เพื่อดึงบริการภาคพื้น/เลานจ์/CIQ ส่วนตัวเข้ามาเสริมพอร์ตบริการ CEI ตอบโจทย์ลูกค้าอากาศยานธุรกิจ–พิเศษ (แหล่งข่าว ผอ.สนามบิน ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวท้องถิ่น)

เมื่อรวมกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดหมายคือ การจ้างงานทักษะสูง (ช่างอากาศยาน–วิศวกร–โลจิสติกส์), รายได้มั่นคงจากธุรกิจ MRO, การใช้จ่ายท่องเที่ยว–บริการต่อเชื่อม (retail/อาหาร/ที่พัก/รถเช่า), และ ภาพลักษณ์จังหวัด ที่ขยับจาก “ปลายทางท่องเที่ยว” ไปสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ”

เสียงจากสนาม ทำไม “เชียงราย” จึงน่าลงทุน FBO ตอนนี้

  1. ตำแหน่งยุทธศาสตร์ เชียงรายเป็นประตูสู่ จีนตอนใต้–ล้านช้าง–ลุ่มโขง การมี FBO ช่วยย่นเวลาและลดความยุ่งยากให้กับผู้บริหาร/นักลงทุนข้ามแดนที่ใช้เครื่องบินธุรกิจ
  2. ซัพพลายโครงสร้างพร้อมต่อยอด CEI มีผู้ให้บริการภาคพื้นเชิงพาณิชย์เดิมอยู่แล้ว (เช่น TGGS) การต่อยอดบริการสู่ระดับ FBO จึงไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
  3. สัญญาณดีมานด์จากฝั่งผู้โดยสาร/สายการบิน กระแส Solo Travel และการกระจายเส้นทางของสายการบินโลว์คอสต์–ฟูลเซอร์วิสกำลังดัน “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น node ใหม่ในการบินภูมิภาค
  4. อุตสาหกรรมสนับสนุนขยายตัวพร้อมกัน เมื่อ MRO เกิด จะดึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–ซ่อม–เทคนิค–ฝึกอบรมเข้าพื้นที่ ทำให้บริการ FBO ได้อานิสงส์จาก “ระบบนิเวศการบิน” ที่หนาแน่นขึ้น
Jetex with Royce Royce Ghost Limo Service

ความท้าทาย ทุน–เวลา–มาตรฐาน–พันธมิตร

  • ทุนและกรอบเวลา โครงการขนาดใหญ่ต้องการงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการหลายปี—ตั้งแต่ออกแบบ/จัดซื้อ/ก่อสร้าง/ทดสอบระบบ ไปจนถึงการออกใบรับรองต่าง ๆ
  • มาตรฐานกำกับดูแล ฝั่ง MRO ต้องผ่านมาตรฐานการบินพลเรือนระดับสากล (airworthiness/maintenance) ส่วน FBO ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัย–พิธีการ CIQ–การจัดการข้อมูลผู้โดยสารพิเศษ
  • การแข่งขันระดับภูมิภาค สิงคโปร์และประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาอุตสาหกรรม MRO มายาวนาน ไทยจึงต้องสร้างจุดแข็งด้านต้นทุน–โลจิสติกส์–ความเร็ว–คุณภาพบริการ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างชาติ
  • บุคลากร ต้องผลิต/ดึงดูดแรงงานทักษะสูงในสาขาอากาศยาน–โลจิสติกส์–บริการพรีเมียม—ซึ่งเป็น “คอขวด” ของอุตสาหกรรมทั่วโลก

ภาพรวมเชิงนโยบาย “Next Wing” ในความหมายของการยกระดับทั้งองค์กร

แม้คำว่า “AOT Next Wing” จะถูกใช้เป็นชื่อโครงการฝึกอบรม/พัฒนาศักยภาพบุคลากรรุ่นใหม่ของ ทอท. ในช่วงปี 2568 มากกว่าจะเป็นชื่อโครงการก่อสร้างสนามบินโดยตรง แต่สาระสำคัญคือ การเติม “ปีกใหม่” ให้บุคลากร–กระบวนการ–มาตรฐาน เพื่อรองรับแผนขยายตัวขององค์กรในระยะยาว—รวมถึงงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร/ระบบภาคพื้น/บริการใหม่ที่สนามบินต่าง ๆ ของ ทอท. ทั่วประเทศ (มีหลักฐานการใช้งานคำดังกล่าวในสื่อองค์กร/พันธมิตรประกันภัย)

บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์

ฝั่งอุปทาน ทอท. กำลัง ปักเสาเข็มใหม่” ให้สนามบินเชียงรายด้วย อาคารผู้โดยสารใหม่ + MRO ซึ่งจะพลิก CEI ให้เป็น “ฐานเศรษฐกิจการบิน” ที่มีรายได้และงานคุณภาพสูง ขณะที่ฝั่งอุปสงค์ สนามบินเปิดหาเอกชนลงทุน FBO เพื่อรองรับการเดินทางพรีเมียม/เครื่องบินธุรกิจ—เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนกับทุนข้ามพรมแดนอย่างคล่องตัว

ในภาพใหญ่ เชียงราย จึงไม่ได้รอเพียงฤดูกาลท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ” ที่มีทั้ง ผู้โดยสารเชิงพาณิชย์–ลูกค้า FBO–สายการบิน–ฐาน MRO อยู่ร่วม ecosystem เดียวกัน หากการลงทุนสำเร็จตามโรดแมป และดึงพันธมิตรนานาชาติเข้าร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ—สนามบินแห่งนี้จะเป็น “ทางออก” ของคำถามใหญ่เรื่องการกระจายศูนย์กลางเศรษฐกิจการบินในไทย และเป็น “จุดหมาย” ของธุรกิจที่ต้องการความเร็ว ความเป็นส่วนตัว และคุณภาพมาตรฐานโลกในภาคเหนืออย่างแท้จริง

FBO คืออะไร

  • FBO = ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับอากาศยานธุรกิจ/ส่วนตัว ให้บริการเติมเชื้อเพลิง–จอด–ลากจูง–CIQ ส่วนตัว–เลานจ์ VIP–รถรับส่ง–จัดการลูกเรือ ฯลฯ
  •  คุณค่า เร็ว เป็นส่วนตัว และไร้รอยต่อ เหมาะผู้บริหาร/นักลงทุน/วีไอพี
  •  แตกต่างจาก MRO FBO เน้น “บริการและอำนวยความสะดวก” ส่วน MRO เน้น “ซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค/มาตรฐานความปลอดภัย”
  •  ตลาดไทย มีผู้เล่นแข็งแรง (เช่น MJets ได้คะแนนเด่นใน AIN 2025) และเครือข่ายผู้ให้บริการต่างชาติ (Universal Aviation) สนับสนุนการปฏิบัติการในสนามบินหลัก/เมืองท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงาน Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ระบุโครงการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) เชียงราย อยู่ในระบบติดตาม EIA ของรัฐไทย
  • AIN FBO Survey 2025
  • Universal Aviation – Thailand
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT ปั้นเชียงราย ยกระดับสนามบินแม่ฟ้าหลวง สู่ฮับการบินระดับโลก

“AOT เดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รองรับ 6 ล้านผู้โดยสารต่อปีในปี 2576 สู่มาตรฐาน World Class”

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ครบรอบ 46 ปี ประกาศเป้าหมายยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากเดิมที่รองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี สู่ 6 ล้านคนต่อปี คาดว่าแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จภายในปี 2576 เสริมศักยภาพเมืองเชียงรายสู่ศูนย์กลางการบินและประตูท่องเที่ยวภาคเหนือ ตอบรับการเติบโตของผู้โดยสาร-เศรษฐกิจและภาคบริการภายใต้แนวคิด “World Class Hospitality” และคุณภาพการบริการมาตรฐานสากล 

AOT บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งรวม 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 54.24 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.8% และผู้โดยสารภายในประเทศ 34.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.9% ขณะที่มีเที่ยวบิน 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 308,777 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 235,813 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.9% นอกจากนี้ AOT ได้ประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2569 (เดือนตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมกว่า 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน และคาดว่าจะมีจำนวนสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (Cargo) ประมาณ 1.64 ล้านตัน

เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-รองรับการเติบโต

จากสถิติ 8 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เที่ยวบินกว่า 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 คาดยอดผู้โดยสารทั่วประเทศทะลุ 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน แนวโน้มนี้สะท้อนความต้องการเดินทางและศักยภาพการเติบโตของเชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์

AOT วางแผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยจะเร่งก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสาร เพิ่มพื้นที่บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก โซนพักผ่อน สนามเด็กเล่น โซนชาร์จไฟและพื้นที่นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้เดินทางทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัย ความสะอาด และบริการที่เหนือระดับ

AOT กับบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม

นอกจากบทบาท “ประตูสู่ประเทศ” AOT ยังเดินหน้าสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์ซ่อมบำรุง MRO โรงแรม Terminal Attraction และ Logistics Hub ซึ่งมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้าร่วมกว่า 28 โครงการแล้ว ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงานในภูมิภาค

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการภาคเหนือ ซึ่งในอนาคตจะสามารถรองรับทั้งสายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร ช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่เชียงรายและเมืองเศรษฐกิจรอบข้าง สร้างโอกาสให้ท้องถิ่นเติบโตอย่างมั่นคง

บทวิเคราะห์และความท้าทาย

การขยายสนามบินเชียงรายไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการวางรากฐานอนาคตเมืองเชียงรายสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ หากแผนนี้สำเร็จตามเป้าหมาย จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางของคนไทยและชาวต่างชาติในภูมิภาคเหนืออย่างสิ้นเชิง พร้อมเชื่อมโยงเมืองเชียงรายกับตลาดโลก ท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการเพื่อคงคุณภาพบริการในขณะที่การใช้งานสนามบินเพิ่มขึ้น การลงทุนและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเชียงราย
  • กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสถิติสายการบิน/ผู้โดยสาร 2568-2569
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ AOT (1 กรกฎาคม 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตาสงครามรีเทลเชียงราย โอกาส-ความท้าทายสู่ศูนย์กลางค้าภูมิภาค

เชียงรายขยับสู่เมืองเศรษฐกิจใหม่ ‘Greenpark Community Mall’ จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ตั้งเป้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจ-สร้างงาน-รองรับนักท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมื่อ “บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด” บริษัทในเครือของกรีนบัส ได้ฤกษ์ลงเสาเอกโครงการ “Greenpark Community Mall Chiang Rai” บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ใจกลางเมืองย่านแยกประสพสุข มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 350 ล้านบาท โดยโครงการนี้นับเป็น “Community Mall แห่งแรก” ของจังหวัดเชียงราย ที่รวมร้านค้าดัง บริการทันสมัย และการออกแบบเพื่ออนาคตไว้ในที่เดียว

โครงการต่อยอดจากเชียงใหม่ สู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชายแดน

Greenpark Community Mall ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่คือผลสำเร็จจากโมเดลเดียวกันในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ การนำคอนเซปต์นี้เข้าสู่เชียงราย—ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน—จึงเป็นกลยุทธ์ที่วางแผนมาแล้วอย่างรอบคอบ

พื้นที่โครงการตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ บริเวณถนนพหลโยธิน ใกล้แยกประสพสุข เชื่อมต่อได้ถึง 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนประสพสุข และถนนเจ้าชาย ถือเป็นทำเลทองที่สามารถรองรับทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจากลาวและเมียนมา ไปจนถึงนักเดินทางจากเชียงใหม่-พะเยา

"กรีนพาร์ค" คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกในเชียงราย ตั้งอยู่บนที่เดิม กรีนบัสคาร์โก้เชียงราย มีทางเข้า-ออกถึง 3 ทาง คือ ด้านถนนพหลโยธิน ด้านถนนประสพสุข และด้านถนนเจ้าชาย ทั้งนี้ด้วยมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท
พานพงษ์ไทย รับเหมาก่อสร้างโครงการ Green Park เชียงราย ภาพวันที่ 23 มิถุนายน 2568

มากกว่าแค่ห้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

จุดเด่นของ Greenpark Community Mall อยู่ที่ความครบจบในที่เดียว โดยคัดสรรร้านอาหารและร้านค้าชื่อดังมารวมไว้ เช่น สุกี้ตี๋น้อย, โอ้กะจู๋, Oh Juice (สาขาแรกในเชียงราย), KFC Drive Thru, MR. D.I.Y. และร้านอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม EV Station สำหรับรถไฟฟ้า ที่จอดรถกว่า 200 คัน และระบบ Drive-Thru Pickup ซึ่งตอบรับทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มอนาคตด้านการเดินทางและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “ความง่าย ความเร็ว ความครบครัน” โครงการยังให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคน รวมถึงที่จอดรถสำหรับผู้พิการ สวนหย่อม และโครงสร้างสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ “บริษัท พานพงษ์ไทย จำกัด” เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง

การลงทุนที่กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้เชียงราย

Greenpark Community Mall ไม่ใช่เพียงแค่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อกำไรเชิงพาณิชย์ แต่ยังถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยตรงและโดยอ้อม การก่อสร้างโครงการจะเริ่มในเดือนมิถุนายน 2568 และมีกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2568 ก่อนเปิดเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปี 2569

คาดว่าจะสร้างงานให้กับแรงงานในพื้นที่มากกว่า 500 ตำแหน่ง ทั้งภาคก่อสร้าง การค้าปลีก และบริการ รวมถึงกระตุ้นธุรกิจโดยรอบ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหารพื้นถิ่น และธุรกิจบริการขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกับห้างใหม่

นอกจากนี้ โครงการยังตั้งเป้าเป็น “จุดพักทางเศรษฐกิจ” สำหรับนักเดินทางทั้งจากลุ่มน้ำโขงและคนในประเทศ ที่ใช้เชียงรายเป็นเมืองเชื่อมต่อสู่จังหวัดพะเยา หรือแหล่งท่องเที่ยวอย่างเชียงของ ดอยแม่สลอง และแม่สาย

คณะผู้บริหารโครงการคำพรพัฒนา โดยคุณปรียา เวโรจน์ ,คุณกานต์ เวโรจน์, คุณนงลักษณ์ ทองคำคูณ และคณะ ได้มาประกอบพิธีลงเสาเอกโครงการ Green Park เชียงราย

โอกาสเปิด แต่ความท้าทายยังไม่จบ

แม้ Greenpark จะมาพร้อมจุดขายที่แตกต่าง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปิดตัวศูนย์การค้าหลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น โลตัสเชียงรายที่กำลังจะเปิดอาคารใหม่ขนาดใหญ่ พร้อมโรงภาพยนตร์ 3 โรง การแข่งขันจึงไม่ใช่เพียงการเปิดพื้นที่ค้าปลีก แต่เป็นการแย่งชิง “เวลาและใจ” ของผู้บริโภค

Greenpark vs Index vs Lotus: สงครามศูนย์การค้าบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงราย – การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายกำลังเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนักลงทุนรายใหญ่จากทั้งในและนอกพื้นที่เริ่มเคลื่อนทัพเข้ามาพัฒนา “ศูนย์การค้า” ขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ทั้ง Greenpark Community Mall,Index Living Mall และโลตัสเชียงราย อาคารใหม่บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ที่มาพร้อมโรงภาพยนตร์ การเปิดตัวพร้อมกันของศูนย์การค้าเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ด้านการค้า แต่ยังเป็นแรงกระเพื่อมต่อโครงสร้างเมือง พฤติกรรมผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจในระดับจังหวัดอย่างไม่อาจมองข้าม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมเมือง

ในอดีต เชียงรายคือจังหวัดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการเกษตรและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม เช่น เซ็นทรัลเชียงราย เคยเป็นเพียงไม่กี่แห่งที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 บทบาทของเมืองเริ่มเปลี่ยนไป การกระจายตัวของชนชั้นกลางใหม่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และการเชื่อมต่อพรมแดน ล้วนส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักลงทุนค้าปลีกให้ความสนใจ

Index Living Mall สาขาเชียงราย เป็นสาขาขนาดกลาง พื้นที่ขาย 7,000 ตร.ม.

หนึ่งในผู้เปิดเกมรุกคือ บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด ในเครือกรีนบัส ที่ตัดสินใจสร้าง Greenpark Community Mall บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ ใกล้แยกประสพสุข โดยใช้งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท จุดขายของ Greenpark คือการเป็น Community Mall แห่งแรกในเชียงราย ที่รวมร้านอาหารชื่อดัง สะดวก สบาย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และออกแบบพื้นที่ให้รองรับรถยนต์ EV พร้อมบริการ Drive-Thru Pickup

ในขณะที่ Index Living Mall เน้นเจาะตลาดเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้านครบวงจร เหมาะกับกลุ่มครอบครัวและเจ้าของบ้าน ขณะที่โลตัสเชียงรายรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิด จะมาในรูปแบบ Hypermarket + Lifestyle Mall ที่มีโรงหนัง 3 โรง และพื้นที่จอดรถขนาดใหญ่ คาดว่ารองรับลูกค้ากว่าพันคนต่อวัน

ภาพจำลองจาก คุณโกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ

เปรียบเทียบจุดแข็ง ห้างใหม่ทั้ง 4

ศูนย์การค้า

รูปแบบ

จุดแข็ง

กลุ่มเป้าหมาย

Greenpark

Community Mall

ใกล้ชุมชน แบรนด์ดัง จอดรถง่าย

คนเมือง-คนรุ่นใหม่-นักท่องเที่ยว

Index

Specialty Mall

เฟอร์นิเจอร์ครบวงจร

เจ้าของบ้าน-ผู้ประกอบการ

Lotus

Hyper+Lifestyle

มีโรงหนัง จอดรถสะดวก

ครอบครัว-นักเรียน-นักศึกษา

ผลกระทบเชิงมหภาค: เม็ดเงินไหลเข้า – ทุนท้องถิ่นจะอยู่หรือไป?

การเกิดขึ้นของศูนย์การค้าใหม่ถึง 3 แห่งเท่ากับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นหลายพันล้านบาท ทั้งในรูปแบบของค่าก่อสร้าง การจ้างงาน การสร้างธุรกิจรายย่อย และภาษีที่ไหลกลับสู่ท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่เป็นบวกไปเสียทั้งหมด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ มองว่า “ฟองสบู่ค้าปลีก” เป็นสิ่งที่ต้องจับตา หากห้างเปิดมากเกินกำลังซื้อในพื้นที่ จะเกิดการแย่งชิงผู้บริโภคอย่างรุนแรง นำไปสู่การตัดราคาหรือการปิดตัวในที่สุด ขณะเดียวกัน ธุรกิจ SME ท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ตลาดสด หรือร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ก็อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการในศูนย์การค้าแทน

ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค: ใครจะครองใจคนเชียงราย?

สิ่งที่น่าสนใจคือ ศูนย์การค้าแต่ละแห่งต่างออกแบบแนวคิดแตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดย Greenpark วางตัวเป็นแหล่งนัดพบของคนเมืองแบบไม่ต้องเดินไกลหรือเสียเวลาหาที่จอดรถ และพื้นที่กว้าง Index เน้นประโยชน์ใช้สอยและการแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ ขณะที่โลตัสใช้โมเดลราคาประหยัดผสมกับความบันเทิง เพื่อดึงคนได้หลายกลุ่มพร้อมกัน

หากมองในแง่การพัฒนาเมือง ห้างเหล่านี้คือ “เครื่องมือ” สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองเชียงรายในระยะยาว จากเมืองเกษตรกรรมและชายแดน ไปสู่เมืองไลฟ์สไตล์เชิงพาณิชย์ระดับภูมิภาค

โอกาสและความเสี่ยงบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เมื่อห้างสรรพสินค้าไม่ใช่แค่สถานที่ช้อปปิ้ง แต่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเมือง การลงทุนในศูนย์การค้า 3 แห่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้คือการประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่า เชียงรายพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ยังต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น

หากสามารถสร้างสมดุลระหว่างทุนใหญ่กับธุรกิจดั้งเดิม, ระหว่างความบันเทิงกับการกระจายรายได้, และระหว่างการพัฒนาเมืองกับคุณภาพชีวิตประชาชนได้ เชียงรายจะกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตาอย่างยิ่งของการเปลี่ยนแปลงเมืองผ่านพลังของเศรษฐกิจค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด / Greenpark Community Mall Press Release, 21 มิถุนายน 2568
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ Index Living Mall เชียงราย, พฤษภาคม 2568
  • รายงานการลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประจำปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News