Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT ปั้นเชียงราย ยกระดับสนามบินแม่ฟ้าหลวง สู่ฮับการบินระดับโลก

“AOT เดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รองรับ 6 ล้านผู้โดยสารต่อปีในปี 2576 สู่มาตรฐาน World Class”

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ครบรอบ 46 ปี ประกาศเป้าหมายยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากเดิมที่รองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี สู่ 6 ล้านคนต่อปี คาดว่าแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จภายในปี 2576 เสริมศักยภาพเมืองเชียงรายสู่ศูนย์กลางการบินและประตูท่องเที่ยวภาคเหนือ ตอบรับการเติบโตของผู้โดยสาร-เศรษฐกิจและภาคบริการภายใต้แนวคิด “World Class Hospitality” และคุณภาพการบริการมาตรฐานสากล 

AOT บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งรวม 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 54.24 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.8% และผู้โดยสารภายในประเทศ 34.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.9% ขณะที่มีเที่ยวบิน 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 308,777 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 235,813 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.9% นอกจากนี้ AOT ได้ประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2569 (เดือนตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมกว่า 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน และคาดว่าจะมีจำนวนสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (Cargo) ประมาณ 1.64 ล้านตัน

เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-รองรับการเติบโต

จากสถิติ 8 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เที่ยวบินกว่า 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 คาดยอดผู้โดยสารทั่วประเทศทะลุ 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน แนวโน้มนี้สะท้อนความต้องการเดินทางและศักยภาพการเติบโตของเชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์

AOT วางแผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยจะเร่งก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสาร เพิ่มพื้นที่บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก โซนพักผ่อน สนามเด็กเล่น โซนชาร์จไฟและพื้นที่นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้เดินทางทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัย ความสะอาด และบริการที่เหนือระดับ

AOT กับบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม

นอกจากบทบาท “ประตูสู่ประเทศ” AOT ยังเดินหน้าสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์ซ่อมบำรุง MRO โรงแรม Terminal Attraction และ Logistics Hub ซึ่งมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้าร่วมกว่า 28 โครงการแล้ว ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงานในภูมิภาค

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการภาคเหนือ ซึ่งในอนาคตจะสามารถรองรับทั้งสายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร ช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่เชียงรายและเมืองเศรษฐกิจรอบข้าง สร้างโอกาสให้ท้องถิ่นเติบโตอย่างมั่นคง

บทวิเคราะห์และความท้าทาย

การขยายสนามบินเชียงรายไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการวางรากฐานอนาคตเมืองเชียงรายสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ หากแผนนี้สำเร็จตามเป้าหมาย จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางของคนไทยและชาวต่างชาติในภูมิภาคเหนืออย่างสิ้นเชิง พร้อมเชื่อมโยงเมืองเชียงรายกับตลาดโลก ท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการเพื่อคงคุณภาพบริการในขณะที่การใช้งานสนามบินเพิ่มขึ้น การลงทุนและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเชียงราย
  • กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสถิติสายการบิน/ผู้โดยสาร 2568-2569
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ AOT (1 กรกฎาคม 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตาสงครามรีเทลเชียงราย โอกาส-ความท้าทายสู่ศูนย์กลางค้าภูมิภาค

เชียงรายขยับสู่เมืองเศรษฐกิจใหม่ ‘Greenpark Community Mall’ จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ตั้งเป้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจ-สร้างงาน-รองรับนักท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมื่อ “บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด” บริษัทในเครือของกรีนบัส ได้ฤกษ์ลงเสาเอกโครงการ “Greenpark Community Mall Chiang Rai” บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ใจกลางเมืองย่านแยกประสพสุข มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 350 ล้านบาท โดยโครงการนี้นับเป็น “Community Mall แห่งแรก” ของจังหวัดเชียงราย ที่รวมร้านค้าดัง บริการทันสมัย และการออกแบบเพื่ออนาคตไว้ในที่เดียว

โครงการต่อยอดจากเชียงใหม่ สู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชายแดน

Greenpark Community Mall ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่คือผลสำเร็จจากโมเดลเดียวกันในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ การนำคอนเซปต์นี้เข้าสู่เชียงราย—ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน—จึงเป็นกลยุทธ์ที่วางแผนมาแล้วอย่างรอบคอบ

พื้นที่โครงการตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ บริเวณถนนพหลโยธิน ใกล้แยกประสพสุข เชื่อมต่อได้ถึง 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนประสพสุข และถนนเจ้าชาย ถือเป็นทำเลทองที่สามารถรองรับทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจากลาวและเมียนมา ไปจนถึงนักเดินทางจากเชียงใหม่-พะเยา

"กรีนพาร์ค" คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกในเชียงราย ตั้งอยู่บนที่เดิม กรีนบัสคาร์โก้เชียงราย มีทางเข้า-ออกถึง 3 ทาง คือ ด้านถนนพหลโยธิน ด้านถนนประสพสุข และด้านถนนเจ้าชาย ทั้งนี้ด้วยมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท
พานพงษ์ไทย รับเหมาก่อสร้างโครงการ Green Park เชียงราย ภาพวันที่ 23 มิถุนายน 2568

มากกว่าแค่ห้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

จุดเด่นของ Greenpark Community Mall อยู่ที่ความครบจบในที่เดียว โดยคัดสรรร้านอาหารและร้านค้าชื่อดังมารวมไว้ เช่น สุกี้ตี๋น้อย, โอ้กะจู๋, Oh Juice (สาขาแรกในเชียงราย), KFC Drive Thru, MR. D.I.Y. และร้านอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม EV Station สำหรับรถไฟฟ้า ที่จอดรถกว่า 200 คัน และระบบ Drive-Thru Pickup ซึ่งตอบรับทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มอนาคตด้านการเดินทางและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “ความง่าย ความเร็ว ความครบครัน” โครงการยังให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคน รวมถึงที่จอดรถสำหรับผู้พิการ สวนหย่อม และโครงสร้างสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ “บริษัท พานพงษ์ไทย จำกัด” เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง

การลงทุนที่กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้เชียงราย

Greenpark Community Mall ไม่ใช่เพียงแค่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อกำไรเชิงพาณิชย์ แต่ยังถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยตรงและโดยอ้อม การก่อสร้างโครงการจะเริ่มในเดือนมิถุนายน 2568 และมีกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2568 ก่อนเปิดเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปี 2569

คาดว่าจะสร้างงานให้กับแรงงานในพื้นที่มากกว่า 500 ตำแหน่ง ทั้งภาคก่อสร้าง การค้าปลีก และบริการ รวมถึงกระตุ้นธุรกิจโดยรอบ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหารพื้นถิ่น และธุรกิจบริการขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกับห้างใหม่

นอกจากนี้ โครงการยังตั้งเป้าเป็น “จุดพักทางเศรษฐกิจ” สำหรับนักเดินทางทั้งจากลุ่มน้ำโขงและคนในประเทศ ที่ใช้เชียงรายเป็นเมืองเชื่อมต่อสู่จังหวัดพะเยา หรือแหล่งท่องเที่ยวอย่างเชียงของ ดอยแม่สลอง และแม่สาย

คณะผู้บริหารโครงการคำพรพัฒนา โดยคุณปรียา เวโรจน์ ,คุณกานต์ เวโรจน์, คุณนงลักษณ์ ทองคำคูณ และคณะ ได้มาประกอบพิธีลงเสาเอกโครงการ Green Park เชียงราย

โอกาสเปิด แต่ความท้าทายยังไม่จบ

แม้ Greenpark จะมาพร้อมจุดขายที่แตกต่าง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปิดตัวศูนย์การค้าหลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น โลตัสเชียงรายที่กำลังจะเปิดอาคารใหม่ขนาดใหญ่ พร้อมโรงภาพยนตร์ 3 โรง การแข่งขันจึงไม่ใช่เพียงการเปิดพื้นที่ค้าปลีก แต่เป็นการแย่งชิง “เวลาและใจ” ของผู้บริโภค

Greenpark vs Index vs Lotus: สงครามศูนย์การค้าบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงราย – การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายกำลังเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนักลงทุนรายใหญ่จากทั้งในและนอกพื้นที่เริ่มเคลื่อนทัพเข้ามาพัฒนา “ศูนย์การค้า” ขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ทั้ง Greenpark Community Mall,Index Living Mall และโลตัสเชียงราย อาคารใหม่บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ที่มาพร้อมโรงภาพยนตร์ การเปิดตัวพร้อมกันของศูนย์การค้าเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ด้านการค้า แต่ยังเป็นแรงกระเพื่อมต่อโครงสร้างเมือง พฤติกรรมผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจในระดับจังหวัดอย่างไม่อาจมองข้าม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมเมือง

ในอดีต เชียงรายคือจังหวัดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการเกษตรและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม เช่น เซ็นทรัลเชียงราย เคยเป็นเพียงไม่กี่แห่งที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 บทบาทของเมืองเริ่มเปลี่ยนไป การกระจายตัวของชนชั้นกลางใหม่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และการเชื่อมต่อพรมแดน ล้วนส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักลงทุนค้าปลีกให้ความสนใจ

Index Living Mall สาขาเชียงราย เป็นสาขาขนาดกลาง พื้นที่ขาย 7,000 ตร.ม.

หนึ่งในผู้เปิดเกมรุกคือ บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด ในเครือกรีนบัส ที่ตัดสินใจสร้าง Greenpark Community Mall บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ ใกล้แยกประสพสุข โดยใช้งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท จุดขายของ Greenpark คือการเป็น Community Mall แห่งแรกในเชียงราย ที่รวมร้านอาหารชื่อดัง สะดวก สบาย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และออกแบบพื้นที่ให้รองรับรถยนต์ EV พร้อมบริการ Drive-Thru Pickup

ในขณะที่ Index Living Mall เน้นเจาะตลาดเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้านครบวงจร เหมาะกับกลุ่มครอบครัวและเจ้าของบ้าน ขณะที่โลตัสเชียงรายรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิด จะมาในรูปแบบ Hypermarket + Lifestyle Mall ที่มีโรงหนัง 3 โรง และพื้นที่จอดรถขนาดใหญ่ คาดว่ารองรับลูกค้ากว่าพันคนต่อวัน

ภาพจำลองจาก คุณโกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ

เปรียบเทียบจุดแข็ง ห้างใหม่ทั้ง 4

ศูนย์การค้า

รูปแบบ

จุดแข็ง

กลุ่มเป้าหมาย

Greenpark

Community Mall

ใกล้ชุมชน แบรนด์ดัง จอดรถง่าย

คนเมือง-คนรุ่นใหม่-นักท่องเที่ยว

Index

Specialty Mall

เฟอร์นิเจอร์ครบวงจร

เจ้าของบ้าน-ผู้ประกอบการ

Lotus

Hyper+Lifestyle

มีโรงหนัง จอดรถสะดวก

ครอบครัว-นักเรียน-นักศึกษา

ผลกระทบเชิงมหภาค: เม็ดเงินไหลเข้า – ทุนท้องถิ่นจะอยู่หรือไป?

การเกิดขึ้นของศูนย์การค้าใหม่ถึง 3 แห่งเท่ากับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นหลายพันล้านบาท ทั้งในรูปแบบของค่าก่อสร้าง การจ้างงาน การสร้างธุรกิจรายย่อย และภาษีที่ไหลกลับสู่ท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่เป็นบวกไปเสียทั้งหมด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ มองว่า “ฟองสบู่ค้าปลีก” เป็นสิ่งที่ต้องจับตา หากห้างเปิดมากเกินกำลังซื้อในพื้นที่ จะเกิดการแย่งชิงผู้บริโภคอย่างรุนแรง นำไปสู่การตัดราคาหรือการปิดตัวในที่สุด ขณะเดียวกัน ธุรกิจ SME ท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ตลาดสด หรือร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ก็อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการในศูนย์การค้าแทน

ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค: ใครจะครองใจคนเชียงราย?

สิ่งที่น่าสนใจคือ ศูนย์การค้าแต่ละแห่งต่างออกแบบแนวคิดแตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดย Greenpark วางตัวเป็นแหล่งนัดพบของคนเมืองแบบไม่ต้องเดินไกลหรือเสียเวลาหาที่จอดรถ และพื้นที่กว้าง Index เน้นประโยชน์ใช้สอยและการแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ ขณะที่โลตัสใช้โมเดลราคาประหยัดผสมกับความบันเทิง เพื่อดึงคนได้หลายกลุ่มพร้อมกัน

หากมองในแง่การพัฒนาเมือง ห้างเหล่านี้คือ “เครื่องมือ” สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองเชียงรายในระยะยาว จากเมืองเกษตรกรรมและชายแดน ไปสู่เมืองไลฟ์สไตล์เชิงพาณิชย์ระดับภูมิภาค

โอกาสและความเสี่ยงบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เมื่อห้างสรรพสินค้าไม่ใช่แค่สถานที่ช้อปปิ้ง แต่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเมือง การลงทุนในศูนย์การค้า 3 แห่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้คือการประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่า เชียงรายพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ยังต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น

หากสามารถสร้างสมดุลระหว่างทุนใหญ่กับธุรกิจดั้งเดิม, ระหว่างความบันเทิงกับการกระจายรายได้, และระหว่างการพัฒนาเมืองกับคุณภาพชีวิตประชาชนได้ เชียงรายจะกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตาอย่างยิ่งของการเปลี่ยนแปลงเมืองผ่านพลังของเศรษฐกิจค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด / Greenpark Community Mall Press Release, 21 มิถุนายน 2568
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ Index Living Mall เชียงราย, พฤษภาคม 2568
  • รายงานการลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประจำปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ‘เชียงราย’ ยังหนุนตลาดประเทศทะลุพันล้าน

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไทยโตแรง รายได้รวมทะลุ 7.3 พันล้านบาท สะท้อนพลังตลาดกลุ่มผู้ปกครองรายได้สูง

ภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านรายได้และกำไร เห็นได้จากข้อมูลล่าสุดปี 2566 ที่มีรายได้รวมกว่า 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28% จากปีก่อน และมีกำไรรวมสูงถึง 1,600 ล้านบาท การเติบโตนี้เกิดจากความนิยมของผู้ปกครองกลุ่มรายได้สูง นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทย พร้อมครอบครัว ซึ่งต่างเลือกส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพการศึกษามาตรฐานสากล

จุดแข็งของโรงเรียนนานาชาติไทยที่ตอบโจทย์ผู้ปกครอง

โรงเรียนนานาชาติในไทยมีจุดเด่นชัดเจนหลายด้าน อาทิ หลักสูตรที่หลากหลายและทันสมัย สัดส่วนครูต่อนักเรียนที่เหมาะสม เฉลี่ย 1:8 ซึ่งเอื้อต่อการดูแลอย่างใกล้ชิดและคุณภาพการสอนที่สูงขึ้น ผู้ปกครองจึงไว้วางใจเลือกให้ลูกหลานเข้าเรียน นอกจากนี้ สถานะทางสังคมก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผู้ปกครองรายได้สูงต้องการสร้างเครือข่ายและเสริมสร้างโอกาสในอนาคตให้แก่บุตรหลาน

ตลาดโรงเรียนนานาชาติขยายตัวต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลัก

การวิเคราะห์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า โรงเรียนนานาชาติ 80% กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก ค่าเทอมของโรงเรียนนานาชาติชั้นนำอยู่ระหว่าง 905,300-1,109,400 บาทต่อปี โรงเรียนในจังหวัดเชียงรายก็ไม่น้อยหน้า เช่น One Hope International School, Chiang Rai International Christian School และ Chiang Rai International School ต่างมีค่าเทอม K1 เริ่มต้นที่ 160,000-175,000 บาทต่อปี

ปัจจัยผลักดันความนิยมและโอกาสการขยายตัว

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยม คือ ความต้องการของผู้ปกครองกลุ่ม High Net Worth ที่มองหา “ความพิเศษ” และเครือข่ายสากล โรงเรียนเหล่านี้มีหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น STEM, Coding, AI ซึ่งตอบโจทย์ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 สร้างโอกาสสู่ตลาดแรงงานโลก นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มขยายสาขาไปยังจังหวัดท่องเที่ยวและเมืองที่มีชาวต่างชาติอยู่จำนวนมาก เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา

โครงสร้างธุรกิจโรงเรียนนานาชาติและการลงทุนต่างชาติ

ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ณ 30 เมษายน 2568 ระบุว่า มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท โดยธุรกิจขนาดเล็ก (S) มีสัดส่วนสูงถึง 98.02% ทุนรวม 33,159.56 ล้านบาท ธุรกิจขนาดกลาง (M) มี 122 ราย ทุน 11,239.55 ล้านบาท และขนาดใหญ่เพียง 27 ราย ทุน 6,234.35 ล้านบาท ส่วนการลงทุนของต่างชาติก็โดดเด่น อังกฤษถือหุ้น 30% ของมูลค่าการลงทุน รองลงมาคือจีนและสิงคโปร์ รวมมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,732.96 ล้านบาท

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจการศึกษาไทยในช่วง 5 ปี

ย้อนดูช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) ธุรกิจการศึกษาในไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2563 มี 502 ราย ทุน 1,012.18 ล้านบาท ปี 2564 เพิ่มเป็น 512 ราย (+1.99%) ทุน 719.10 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 616 ราย (+1.99%) ทุน 1,496.04 ล้านบาท ปี 2566 เพิ่มเป็น 889 ราย (+44.32%) ทุน 1,733.03 ล้านบาท ปี 2567 เพิ่มเป็น 979 ราย (+10.12%) ทุน 1,875.37 ล้านบาท เฉพาะมกราคม-เมษายน 2568 มี 319 รายใหม่ ทุน 610.34 ล้านบาท

ผลประกอบการและกำไรเติบโตอย่างมั่นคง

ข้อมูลรายได้รวม 3 ปีหลัง (2564-2566) ชี้ชัดว่าธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเติบโตต่อเนื่อง ปี 2564 รายได้ 33,126.88 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 39,033.54 ล้านบาท (+17.83%) ปี 2566 รายได้ 46,290.96 ล้านบาท (+18.59%) ด้านกำไร ปี 2564 อยู่ที่ 1,491.08 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 3,368.36 ล้านบาท (+126%) และปี 2566 พุ่งขึ้นเป็น 5,785.58 ล้านบาท (+71.76%)

การแข่งขันและความท้าทายต่อเนื่อง

แม้ภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติจะสดใส แต่ยังมีความท้าทายรออยู่ อาทิ อัตราเกิดประชากรที่ลดลง อาจส่งผลต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าครูหรือการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนการแข่งขันจากโรงเรียนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้มข้นขึ้น

โอกาสการเติบโตและการปรับตัวของโรงเรียนนานาชาติ

โอกาสการเติบโตยังคงมีอีกมาก โรงเรียนสามารถขยายตลาดผ่านการพัฒนาหลักสูตรที่ตรงกับทักษะโลกอนาคต เช่น STEM, Coding และ AI รวมถึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเรียนต่างชาติ และการขยายไปยังเมืองที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เช่น ผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์การเรียนรู้และโอกาสสู่ตลาดโลก ยังคงเป็นกลุ่มที่โรงเรียนเหล่านี้ต้องให้ความสำคัญ

บทสรุปและแนวโน้มอนาคต

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยยังเป็นดาวรุ่งและน่าจับตามองในอนาคต กลุ่มผู้ปกครองรายได้สูงยังคงขยายตัว และความต้องการการศึกษาคุณภาพสูงไม่เคยลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันและปัจจัยภายนอกอาจกระทบในระยะยาว โรงเรียนที่ปรับตัวและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ย่อมรักษาความได้เปรียบในตลาดนี้

สถิติสำคัญจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

  • โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยปี 2566 มีรายได้รวม 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% (DBD DataWarehouse+)
  • กำไรรวมปี 2566 สูงถึง 1,600 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • โรงเรียนนานาชาติ 80% ตั้งใน กทม., เชียงใหม่, ชลบุรี, ภูเก็ต (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • การลงทุนจากอังกฤษสูงสุด 30% ของเงินลงทุนต่างชาติในธุรกิจนี้ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายเนื้อหอม ธุรกิจใหม่พุ่ง อันดับ 2 ภาคเหนือ

เชียงรายยังเติบโต ธุรกิจตั้งใหม่ไตรมาสแรกทะลุ 200 ราย สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่

ประเทศไทย, 5 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ประจำไตรมาส 1/2568 (เดือนมกราคม – มีนาคม) โดยพบว่า จังหวัดเชียงรายมีจำนวนการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่รวม 241 ราย อยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีจำนวนสูงสุดที่ 991 ราย และมากกว่าพิษณุโลกซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 ด้วยจำนวน 135 ราย

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการเป็นประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)

เชียงรายกับโอกาสทางธุรกิจที่กำลังขยายตัว

การเพิ่มขึ้นของจำนวนธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท้องถิ่น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในพื้นที่ ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านท่องเที่ยว การค้าชายแดน การขนส่ง และธุรกิจภัตตาคารร้านอาหารที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทางด่านพรมแดนแม่สาย

การมีสนามบินนานาชาติเชียงรายที่รองรับเที่ยวบินตรงจากจีนและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เช่น ถนนวงแหวนรอบเมือง ด่านโลจิสติกส์แม่สาย และศูนย์กลางกระจายสินค้า ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในจังหวัดโดยตรง

ภาคเหนือยังคงมีพลวัตทางเศรษฐกิจ

นอกจากเชียงรายแล้ว จังหวัดในภาคเหนือที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน โดยตัวเลขการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในเชียงใหม่สูงถึง 991 ราย ขณะที่ลำปางและลำพูนมีจำนวน 111 และ 98 ราย ตามลำดับ ทั้งนี้ การกระจุกตัวของธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 2,267 ราย คิดเป็นประมาณ 9.5% ของทั้งประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีจำนวนสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (991 ราย), เชียงราย (241 ราย) และพิษณุโลก (135 ราย)

จำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ ไตรมาส 1/2568 ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ดังนี้

  1. เชียงใหม่: 991 ราย
  2. เชียงราย: 241 ราย
  3. พิษณุโลก: 135 ราย
  4. นครสวรรค์: 129 ราย
  5. ลำปาง: 111 ราย
  6. ลำพูน: 98 ราย
  7. เพชรบูรณ์: 83 ราย
  8. ตาก: 82 ราย
  9. กำแพงเพชร: 70 ราย
  10. น่าน: 52 ราย
  11. อุตรดิตถ์: 51 ราย
  12. พะเยา: 50 ราย
  13. สุโขทัย: 47 ราย
  14. พิจิตร: 41 ราย
  15. แพร่: 39 ราย
  16. แม่ฮ่องสอน: 19 ราย
  17. อุทัยธานี: 17 ราย

ประเทศไทยยังน่าจับตามองในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ในระดับประเทศ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่รวมทั้งสิ้น 23,823 ราย แม้จะลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อย (ประมาณ -4.72%) แต่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 79,920 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงมีต่อระบบเศรษฐกิจไทย

ที่น่าสนใจคือในไตรมาสเดียวกันนี้ มีการขออนุญาตจากนักลงทุนต่างชาติในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวนถึง 272 ราย เพิ่มขึ้นถึง 53% จากปีก่อนหน้า โดยมีเงินลงทุนรวมกว่า 47,033 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจาก 5 ประเทศที่ลงทุนสูงสุด ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, จีน, สิงคโปร์ และฮ่องกง ธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเหล่านี้ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล พลังงานทางเลือก โลจิสติกส์ และการผลิตเพื่อส่งออก

ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ หนุนเศรษฐกิจภาคเหนือ

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านทางอากาศในประเทศไทยถึง 141 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16% ขณะที่เที่ยวบินมีจำนวนรวม 886,438 เที่ยว และมีการขนส่งสินค้าทางอากาศมากกว่า 1.5 ล้านตัน

ในระดับประเทศ มีนิติบุคคลด้านธุรกิจขนส่งทางอากาศจำนวน 141 ราย โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็กถึง 81.56% มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 53,499 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจนี้สามารถทำกำไรในปี 2566 ถึง 73,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 185%

สำหรับจังหวัดเชียงราย การเติบโตของธุรกิจขนส่งทางอากาศกำลังเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีการเสนอให้พัฒนาอาคารคลังสินค้า และศูนย์กลางการบินภูมิภาคเพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สายและพื้นที่รอยต่อสามเหลี่ยมทองคำ

ความท้าทายและโอกาสในระยะยาว

แม้ว่าแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การคงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนจากภาครัฐ การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น และการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ

สถิติ

  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในเชียงรายไตรมาส 1/2568: 241 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในภาคเหนือรวม: 2,267 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจใหม่ทั้งประเทศไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนผู้โดยสารทางอากาศปี 2567: 141 ล้านคน (สำนักงานการบินพลเรือน)
  • จำนวนเที่ยวบิน: 886,438 เที่ยวบิน (CAAT)
  • มูลค่าการลงทุนจากต่างชาติในไทยไตรมาส 1/2568: 47,033 ล้านบาท จาก 272 ราย (BOI)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. 68 บริโภค-ท่องเที่ยวดี ลงทุนยังชะลอ

เศรษฐกิจภูมิภาคไทย มกราคม 2568: แนวโน้มและปัจจัยสำคัญ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2568 โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว สะท้อนจาก ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น 18.8% และ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่เพิ่มขึ้น 6.5%
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.4 จาก 57.5 ในเดือนก่อนหน้า
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัว -14.1%
  • ภาคการท่องเที่ยวมีสัญญาณบวก รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.9%

เศรษฐกิจภาคตะวันออก

  • รายได้เกษตรกรขยายตัว 3.2% สนับสนุนการบริโภคภายใน
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.5 จาก 60.4
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7.2%
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนเอกชนลดลง เงินทุนของโรงงานใหม่หดตัว

เศรษฐกิจภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมนมสดเป็นปัจจัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 317.9% โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 59.0
  • การท่องเที่ยวแข็งแกร่ง รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.3%

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น 13.4%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.4
  • อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรลดลง -8.7%

เศรษฐกิจภาคใต้

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัว 11.9% รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 29.2%
  • การท่องเที่ยวเติบโตดี รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 20.3%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 57.0

เศรษฐกิจภาคตะวันตก

  • การลงทุนขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 909.4% โดยเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องโลหะที่กาญจนบุรี
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.9%

เศรษฐกิจภาคกลาง

  • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต เงินทุนโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 524.0% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่พระนครศรีอยุธยา
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 6.7%

แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต

จากผลสำรวจของสำนักงานคลังจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคในอีก 6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก ภาคเกษตรและภาคบริการ รวมถึง มาตรการภาครัฐ เช่น Easy E-Receipt 2.0

ข้อสังเกตและความเสี่ยง

แม้ว่าเศรษฐกิจภูมิภาคจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ความผันผวนของสภาพอากาศ ที่อาจกระทบต่อภาคเกษตร
  • เศรษฐกิจโลกและต้นทุนการผลิต ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • อัตราการลงทุนเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการลงทุนยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองในระยะถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

สรุป ‘แพทองธาร’ เยือน ‘จีน’ คุยเรื่องอะไรกันบ้าง

50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เยือนจีนอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน พร้อมลงนาม 14 ข้อตกลง มุ่งสู่ความร่วมมือไทย-จีนในทุกมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมประกาศความร่วมมือสู่ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

แพทองธารพบผู้นำจีนทุกระดับ ดันข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจเยือนจีน โดยได้เข้าพบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหารือร่วมกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึง นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่จีนให้กับไทย

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่ต้องร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการค้าดิจิทัล โดยเน้นย้ำความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในการเยือนครั้งนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสีเขียว และการพัฒนาด้านอวกาศ โดยหนึ่งในข้อตกลงที่น่าสนใจคือ การร่วมมือสำรวจดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

จีนชื่นชมไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมไซเบอร์

หนึ่งในประเด็นที่จีนให้ความสำคัญคือ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นมาตรการตัดวงจรธุรกิจผิดกฎหมายที่สร้างความเสียหายให้กับชาวจีนจำนวนมาก

จีนและไทยเห็นพ้องกันว่า ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้ พร้อมเดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่วมกัน

แพทองธารย้ำ ไทย-จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระยะยาว

นายกรัฐมนตรีแพทองธารเน้นย้ำว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีแผนขยายการลงทุนในไทย ด้านอุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล

จีนยังได้เชิญไทยเข้าร่วม งาน China International Import Expo ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดสินค้าไทยไปยังจีน โดยเฉพาะในภาค เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล

ไทย-จีน ร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ปี 2568 ถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และผู้นำจีน เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมายังไทยชั่วคราว การส่งแพนด้าให้ไทย และการให้ทุนการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้าน Soft Power โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น

จีนเตรียมขยายลงทุนในไทย อุตสาหกรรมอนาคตมาแน่

นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้พบกับ นักลงทุนชั้นนำจากจีน เช่น Xiaomi และ Hisense โดยบริษัท Hisense เตรียมขยายฐานการผลิตในไทย และ Xiaomi สนใจตั้งโรงงานผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ

รัฐบาลไทยยืนยันว่า พร้อมอำนวยความสะดวกในการลงทุน และมีมาตรการ Ease of Doing Business เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อตกลง 14 ฉบับ ไทย-จีน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการค้า

การลงนามความร่วมมือ 14 ฉบับนี้ จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทย-จีน โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น:

  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด
  • การสนับสนุน EEC และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร และโลจิสติกส์
  • การพัฒนาความร่วมมือด้านอวกาศและสำรวจดวงจันทร์

สรุปผลการเยือนจีน: ไทย-จีนสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธารครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ความร่วมมือ 14 ฉบับจะช่วยให้ การค้าขายระหว่างสองประเทศคล่องตัวขึ้น ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และเพิ่มความร่วมมือทางเทคโนโลยี

จีนยังยืนยันสนับสนุนไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในอาเซียน ขณะที่ไทยพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนขยายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล

การประชุมระดับสูงและข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ ถือเป็น จุดเริ่มต้นของอีก 50 ปีข้างหน้าของความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่จะพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ตลาดอสังหาฯ ปี 68 มีสัญญาณฟื้นตัว หลังมาตรการลดค่าธรรมเนียมหนุน

 

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2567 สัญญาณฟื้นตัวแม้ยังติดลบเล็กน้อย

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 2 – 3 ของปี 2567 ว่ายังคงเผชิญกับการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม พบว่าการติดลบลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยหลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งขยายจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฟื้นตัวในกลุ่มอาคารชุด

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเกิน 7 ล้านบาทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีการโอนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบกลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 350,545 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6.0% และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงเพียง 0.6%

แนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2568

สำหรับปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย REIC ประมาณการณ์ว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 363,600 หน่วย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.7% หรืออยู่ในช่วง -4.5% ถึง 12.3% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะมีการโอนจำนวน 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนอาคารชุดคาดว่าจะมีการโอน 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5%

ในด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากปี 2567 ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีมูลค่าการโอนประมาณ 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนอาคารชุดจะมีมูลค่าการโอน 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ตลาดอสังหาฯ รับแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าธรรมเนียม

นายกมลภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีหน้า: ฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นายกมลภพคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงต้องจับตาดูปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย และมาตรการของภาครัฐที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

สรุป แม้ตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : รับบินโดรนเชียงราย โดรนเชียงราย ถ่ายภาพมุมสูง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE