Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงเทิงโมเดล! นายก อบจ.เชียงราย ชูพลังผู้สูงวัย สร้างสังคมคุณภาพอย่างยั่งยืน

วันแม่–วันยิ้มของชุมชน” นายก อบจ.เชียงราย ร่วมกิจกรรมผู้สูงวัยเวียงเทิง เชื่อม “น้ำใจ–นโยบาย” สู่สังคมสูงวัยคุณภาพ

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 —  เสียงหัวเราะและทำนองเพลงเบา ๆ ดังสอดรับกับจังหวะยืดเหยียดของแขนขาในศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เก้าอี้ถูกจัดวางเป็นวงกว้าง เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงวัยกว่าเต็มศาลาได้ขยับร่างกายและใจไปพร้อมกัน บรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้นเมื่อ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินทักทาย จับมือไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อม นายสุชัด เสนคำ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.เทิง เขต 2 และ นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ขณะ นายสิงห์ทอง หนุนนำสิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เจ้าภาพงาน ยืนเคียงข้างทีมงานท้องถิ่นที่เตรียมกิจกรรมอย่างประณีต

กิจกรรม “วันแม่กับผู้สูงวัยเวียงเทิง” เป็นมากกว่า “งานรื่นเริง” — มันคือจุดนัดพบระหว่าง น้ำใจในชุมชน กับ นโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย ผ่านรูปธรรมง่าย ๆ แต่ทรงพลัง: การละเล่นเพื่อสุขภาพ การร้องเพลงร่วมกัน เวิร์กช็อปงานประดิษฐ์ และวงสนทนาสั้น ๆ ว่าด้วยการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน

“การจัดกิจกรรมวันแม่ไม่เพียงเป็นการระลึกถึงพระคุณแม่ หากยังเป็นเวทีสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่งสร้าง สังคมผู้สูงอายุที่มีความสุข’” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างพบปะผู้สูงวัย

ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” จากพื้นที่ประชุม สู่แพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” ตั้งอยู่ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2557 ด้วยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จุดตั้งต้นไม่ใช่ “ทำกิจกรรมให้ครบ” แต่คือ “ออกแบบพื้นที่เรียนรู้” ตามความต้องการจริงของผู้สูงอายุในชุมชน เน้นการพัฒนา 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม

ในช่วงเริ่มต้นปี 2558 ศูนย์ฯ ทดลองเปิดการเรียนรู้ เดือนละ 1 ครั้ง ต่อมามีเสียงเรียกร้องจากผู้สูงวัยให้เพิ่มความถี่ จึงค่อย ๆ ขยับมาเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ โดยเฉพาะ ทุกวันพุธ ซึ่งกลายเป็น “วันนัดพบของเพื่อนร่วมรุ่น” ที่ไม่ใช่แค่มาออกกำลังกายหรือทำงานประดิษฐ์ แต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต เชื่อมโยงไปถึงกิจกรรมระหว่างรุ่นกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเทศบาล—ให้ “วัยเด็ก” ได้เห็น “ภูมิปัญญา” และให้ “วัยเกษียณ” ได้เห็น “พลังสดใหม่” ในชุมชนเดียวกัน

เหนือกว่านั้น ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่ ศูนย์ต้นแบบ” ให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากพื้นที่อื่นเข้ามาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดวิธีคิด วิธีทำ และวิธีประเมินผล นับเป็นการขยายผลเชิงนโยบายที่จับต้องได้ โดยศูนย์ฯ เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของโครงการนวัตกรรมพื้นที่สาธารณะ ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ซึ่งวางกรอบพัฒนาท้องถิ่นระยะ 5 ปี อย่างเป็นระบบ เชื่อมกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในมิติสุขภาวะและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เมื่อเสียงเพลงกลายเป็น “ดัชนีความสุข”

ในกิจกรรมวันนี้ ช่วงที่ทำให้หลายคนยิ้มกว้างที่สุด คือวินาทีที่เพลงลูกกรุงยุคคลาสสิกดังขึ้น ผู้สูงวัยจับคู่รำวงเบา ๆ มีเสียงเชียร์จากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ กลายเป็นภาพ “ฟื้นวัย” ที่งดงาม การละเล่นเพื่อสุขภาพ—ยืดเส้นยืดสาย ชวนหัวเราะ—ทำให้อุณหภูมิของงานอุ่นขึ้นอย่างทันทีทันใด

สำหรับผู้จัด งานแบบนี้คือ “ดัชนีความสุข” ที่อ่านค่าจากแววตาและรอยยิ้ม ไม่ใช่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ในมุมของนโยบายสาธารณะ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากและเสียงหัวเราะคือ “กลไกป้องกันโรค” ที่จะลดความโดดเดี่ยว ซึมเศร้า และภาวะถดถอยทางกาย—สิ่งที่มักคืบคลานเข้าหาผู้สูงวัยอย่างเงียบ ๆ

โจทย์ใหญ่ของเชียงรายสังคมสูงวัยที่ “มาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ข้อมูลด้านประชากรสะท้อนภาพใหญ่ที่ท้องถิ่นหลีกเลี่ยงไม่ได้—เชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ อย่างต่อเนื่อง ปี 2566 จังหวัดมีประชากรผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ราว 290,547 คน คิดเป็น 22.4% ของทั้งจังหวัด ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2567 อยู่ที่ราว 20% ประเทศไทยโดยรวมเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แล้ว และหลายจังหวัดภาคเหนือ—รวมถึงเชียงราย—กำลังก้าวเร็วสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัยไม่ได้สะท้อนแค่ “อายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” แต่ยังหมายถึง อัตราส่วนพึ่งพิง ของวัยแรงงานที่สูงขึ้น—ตั้งคำถามเชิงนโยบายทันทีว่าเราจะจัดระบบ สุขภาพ–สวัสดิการ–การเรียนรู้ตลอดชีวิต–และโอกาสการทำงาน ให้คนรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าได้อย่างไร

นั่นทำให้กิจกรรมเชิงสังคมอย่างวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะมันขยับ “ปลายเหตุ” ในระดับพฤติกรรมสุขภาพ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางขยับ “ต้นเหตุ” ผ่านงบประมาณ การจัดบริการสุขภาพ การส่งเสริมอาชีพเสริม และหลักสูตรดิจิทัลรู้เท่าทันสื่อเพื่อกันภัยหลอกลวงที่พุ่งเป้าไปยังผู้สูงวัย

จากกิจกรรมสู่ระบบ 3 วงล้อ “ผู้สูงวัยคุณภาพ”

เพื่อให้การดูแลผู้สูงวัยยั่งยืนและไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ “งานครั้งคราว” ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุในจังหวัดเสนอกรอบทำงาน 3 วงล้อ ที่ต้องหมุนไปพร้อมกัน

  1. วงล้อสุขภาพ — เสริม “ทุนสุขภาพ” ที่บ้านและชุมชน ผ่านออกกำลังกายเหมาะวัย กายภาพบำบัดเบื้องต้น การคัดกรองโรคไม่ติดต่อ (ความดัน เบาหวาน) และทักษะดูแลตนเอง รวมถึงบริการเยี่ยมบ้านร่วม อปท.–สาธารณสุข
  2. วงล้อทักษะ–เศรษฐกิจ — หลักสูตรงานประดิษฐ์ งานครัว งานบริการชุมชน และ ทักษะดิจิทัล สำหรับผู้สูงวัย เพื่อเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย ขายของออนไลน์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรับงานพาร์ทไทม์ที่เหมาะวัย เปิดประตูสู่ “เศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy)” ในระดับครัวเรือน
  3. วงล้อสังคม–การเรียนรู้ — ระบบโรงเรียนผู้สูงอายุประจำสัปดาห์ กิจกรรมข้ามรุ่น (intergenerational) ระหว่างผู้สูงวัยกับเด็กและเยาวชน พื้นที่สาธารณะสร้างสรรค์อย่าง “ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ที่เปิดให้ทุกวัยมาใช้ร่วมกัน

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัยเวียงเทิงทำหน้าที่ “จุดรวมแรง” ของทั้งสามวงล้อนี้—เป็นทั้งสถานที่ กำลังคน วิธีการ และชุมชนปฏิบัติ (community of practice) ที่ขับเคลื่อนโดยเทศบาลตำบลเวียงเทิง สนับสนุนโดยเครือข่ายจังหวัดและหน่วยงานระดับชาติ

ทำไม “การลงทุนกับผู้สูงวัย” คุ้มค่ากว่า “ค่ารักษา”

  • 22.4% — สัดส่วนผู้สูงวัยของเชียงราย (ปี 2566) สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (ปี 2567 ที่ 20%)
  • แนวโน้ม 4–5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทะลุ 300,000 คน ในเวลาไม่นาน
  • โครงสร้างช่วงวัยของผู้สูงอายุ—วัยต้น (60–69 ปี) เป็นสัดส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าหากเสริมทักษะและสุขภาพตอนนี้ จะ “คืนทุนสังคม” ในระยะยาว
  • ผู้ดูแลหลักของผู้สูงวัยในเชียงรายส่วนใหญ่คือ บุตรหลานและคู่สมรส ความเข้มแข็งของครอบครัวท้องถิ่นจึงเป็น “ทุนสังคม” ที่ต้องเสริม ไม่ใช่แทนที่

คำถามชวนคิด หากกิจกรรมเชิงรุกอย่างวันนี้สามารถลดการเข้ารพ.จากโรคไม่ติดต่อได้แม้เพียง 5–10% ต่อปี เม็ดเงินค่ารักษาที่ลดลงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้สูงวัย คุ้มค่ากับการลงทุนใน “พื้นที่เรียนรู้” มากเพียงใด?

บทบาท อบจ.–เทศบาล จากโมเดลเวียงเทิงสู่การขยายผลทั้งจังหวัด

งานวันนี้สะท้อน “รูปธรรม–นโยบาย–เครือข่าย” ที่เดินไปด้วยกัน—นายก อบจ.เชียงราย มองบทบาทท้องถิ่นว่าไม่ใช่เพียง “จัดงบ–จัดงาน” แต่ต้องเป็น ผู้อำนวยความสะดวก ให้ภาคีทั้งสาธารณสุข การศึกษา ภาคเอกชน และชุมชน ร้อยเรียงเป็น “ระบบบริการชุมชนผู้สูงวัย” ที่ใช้งานได้จริง

เทศบาลตำบลเวียงเทิง ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ชูจุดเด่นการปรับกิจกรรม ตามคนจริง ๆ” ไม่ใช่ตามแบบฟอร์ม—ตั้งแต่การออกกำลังกายเบา ๆ กิจกรรมงานฝีมือ ไปจนถึงเวิร์กช็อปพื้นฐานดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย ขณะที่ อบจ.เชียงราย พร้อมหนุนการยกระดับบทเรียนจากเวียงเทิงไปยังพื้นที่อื่นในจังหวัด ผ่านเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ และ ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย ของ อปท. ต่าง ๆ

เสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากภาคสนาม

  1. เพิ่มทักษะยุคใหม่ — หลักสูตร “รู้เท่าทันสื่อ–ดิจิทัล–การเงินพื้นฐาน” เพื่อลดความเสี่ยงหลอกลวงทางออนไลน์ และเปิดช่องทางหารายได้ยืดหยุ่นสำหรับผู้สูงวัย
  2. เชื่อมโรงพยาบาล–อบต.–อสม. — ตั้ง “คลินิกผู้สูงวัยชุมชน” เดือนละครั้งในศูนย์ฯ ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง ปรับยาเบื้องต้น สอนการกายภาพง่าย ๆ และให้คำปรึกษาภาวะซึมเศร้า
  3. ประเมินผลเป็นระบบ — เก็บข้อมูลผลลัพธ์ทั้งเชิงปริมาณ (สุขภาพกาย–ใจ, การเข้าร่วม, ความพึงพอใจ) และเชิงคุณภาพ (เรื่องเล่าความเปลี่ยนแปลง) เพื่อใช้ “งบตามผลลัพธ์” (result-based) ในปีถัดไป
  4. เปิดพื้นที่ข้ามรุ่น — จับคู่โรงเรียน–ศูนย์ผู้สูงวัย ทำกิจกรรมร่วมเดือนละครั้ง อาทิ เล่านิทานพื้นบ้าน สอนงานฝีมือ แลกเปลี่ยนทักษะดิจิทัล (เด็กสอนมือถือ–ผู้สูงวัยสอนภูมิปัญญา)

ยิ้มวันนี้—แผนพรุ่งนี้” คลี่คลายปมสังคมสูงวัยด้วยชุมชนเป็นฐาน

ภาพผู้สูงวัยรำวงคู่กับนายก อบจ.เชียงรายในเช้าวันนี้ อาจดูเรียบง่าย แต่มันคือ “คำตอบนโยบาย” ที่จับต้องได้—เพราะชี้ให้เห็นว่า หากชุมชนมีพื้นที่ มีคน มีงานที่ออกแบบตามความต้องการจริง ให้ผู้สูงวัย ได้ออกจากบ้าน–ได้พบปะ–ได้เรียนรู้–ได้สร้างคุณค่า วงจรสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สังคมจะหมุนไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่งใหญ่จากส่วนกลาง

สุดท้าย การขับเคลื่อนสังคมสูงวัยในเชียงรายไม่ได้ขึ้นกับ “งานใหญ่ปีละครั้ง” แต่เกิดจาก งานเล็กทุกสัปดาห์ ที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง—และนั่นคือบทเรียนจากเวียงเทิงที่ควรส่งต่อ

กล่องข้อมูล “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” คืออะไร

  • สถานที่: ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย
  • ภารกิจ: พื้นที่เรียนรู้ผู้สูงวัย 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
  • กำเนิด: เริ่มปี 2557 ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.
  • รูปแบบ: กิจกรรมประจำสัปดาห์ (ทุกวันพุธ), เวิร์กช็อปงานฝีมือ, กิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพ, พื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น
  • บทบาทเพิ่มเติม: ศูนย์ต้นแบบศึกษาดูงานของ อปท. และหน่วยงานรัฐจากพื้นที่อื่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง 
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) 
  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) 
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) / กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 
  • เอกสารเผยแพร่ระดับจังหวัดเชียงราย 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายส่งสตรีดีเด่นสองท่านรับโล่เกียรติยศเวทีชาติ ตอกย้ำพลังสตรีท้องถิ่น

เชียงรายนำ 2 สตรีดีเด่นรับโล่ระดับประเทศ ตอกย้ำ “พลังสตรีไทย” ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 กระทรวงมหาดไทยจัดพิธีมอบ “รางวัลสตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2568” ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี และมอบรางวัลรวม 152 รายชื่อ พร้อมผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วม

เวทีที่สะท้อนแรงบันดาลใจของผู้หญิงทำงานเพื่อชุมชน

แสงไฟสว่างไสวในฮอลล์อิมแพ็คคลี่ม่านขึ้นพร้อมเสียงปรบมือแน่นขนัด ตัวแทนสตรีจากทุกภูมิภาคก้าวขึ้นสู่เวทีด้วยความภาคภูมิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยืนรอต้อนรับพร้อมมอบโล่เกียรติยศทีละราย ชื่อถูกประกาศสลับกับเสียงชื่นชมจากเพื่อนร่วมเครือข่าย “พลังสตรี” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำ แต่คือสิ่งที่ทุกคนในห้องพิสูจน์ผ่านการลงมือทำจริงในหมู่บ้าน ตำบล และจังหวัดของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ในงานเดียวกัน เครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาสตรี 76 จังหวัดเข้าร่วมประชุมถอดบทเรียนความสำเร็จ รวบรวมกรณีศึกษาจากพื้นที่ นำเสนอแนวทางต่อยอดนโยบายให้เกิดผลจริงระดับครัวเรือนและชุมชน ตัวเลขผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนสะท้อนพลังเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่ใช่งานพิธีการที่จบเพียงวันเดียว

รางวัลนี้คืออะไร และเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างไร

“สตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย” เป็นการเชิดชูสตรีผู้ทำงานขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ยกระดับรายได้ครัวเรือน ส่งเสริมอาชีพ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ไปจนถึงการจัดการสวัสดิการชุมชน รางวัลสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต้องอาศัยคนทำงานหน้างาน โดยเฉพาะเครือข่ายสตรี ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญของนโยบายด้านชุมชนของกระทรวงมหาดไทยและกรมการพัฒนาชุมชน.

ในพิธีมอบรางวัลปีนี้ ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วมครบถ้วน พร้อมย้ำบทบาทสตรีในฐานะ “ภาคีร่วมพัฒนา” ที่เชื่อมรัฐกับชุมชน และเป็นแรงหลักในการนำโครงการลงสู่ครัวเรือนได้จริง ตั้งแต่ OTOP, กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี, ไปจนถึงโครงการพัฒนาศักยภาพอาชีพและเศรษฐกิจฐานราก.

เชียงรายบนเวทีประเทศ 2 รายชื่อ 2 พื้นที่ 1 ความภาคภูมิ

สำหรับจังหวัดเชียงราย นำโดย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงราย เชียงรายส่งตัวแทนสตรีดีเด่นสองท่านขึ้นรับโล่เกียรติยศ ได้แก่

  • นางแว่นแก้ว ภิรมย์พลัด ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • นางนงลักษณ์ เทพทองพันธ์ ตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย

ทั้งสองรายชื่อได้รับการประกาศยืนยันจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 และปรากฏตัวในเวทีระดับประเทศช่วงสัปดาห์งานดังกล่าว นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จของบุคคล แต่เป็นความภูมิใจของชุมชนและทีมคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดที่ร่วมผลักดันโครงการต่อเนื่อง.

กลไกที่ทำให้ “พลังสตรี” ขับเคลื่อนได้จริง

หัวใจของรางวัลนี้อยู่ที่โครงสร้างการมีส่วนร่วมของ คณะกรรมการพัฒนาสตรี (กพส.) ซึ่งตั้งได้ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงจังหวัด ทำงานเชื่อมการรับรู้ปัญหาในพื้นที่กับการออกแบบโครงการและการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่วางไว้ทำให้เครือข่ายสตรีเติบโตอย่างเป็นระบบและมีบทบาทกำกับการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานรัฐ

อีกกลไกสำคัญคือ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนหมุนเวียนและเงินสนับสนุน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของสมาชิก โดยมีเครือข่ายสมาชิกในทุกจังหวัด และมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องผ่านเวทีระดับชาติและระดับจังหวัด ตัวเลขสมาชิกและผู้ได้รับประโยชน์จำนวนมากจากคำแถลงของรัฐบาลสะท้อนขนาดและความครอบคลุมของนโยบายเชิงโครงสร้างนี้

ภาพใหญ่ระดับชาติ สถิติเพศภาวะและแรงงาน

เมื่อนำรางวัลไปวางไว้ในบริบทระดับประเทศ ภาพรวมความก้าวหน้าของไทยด้านความเสมอภาคระหว่างเพศยังต้องเดินหน้าต่อ รายงาน Global Gender Gap 2025 ระบุไทยอยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก และอันดับ 3 ในอาเซียน สะท้อนความก้าวหน้าบางมิติ แต่ยังมี “ช่องว่าง” ให้ขยายบทบาทสตรีทั้งในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

ในตลาดแรงงาน ข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 1/2568 ชี้ให้เห็นแนวโน้มการมีงานทำและกำลังแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนสตรีในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางและสูงของไทยอยู่ราว 34.7% ตามฐานข้อมูล World Bank ตัวเลขดังกล่าวชี้ถึงโอกาสและภารกิจต่อเนื่องในการเพิ่มจำนวนสตรีในบทบาทตัดสินใจ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 5.5

ทำไม “รางวัลเชิดชูสตรี” จึงมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานราก

การยกระดับบทบาทสตรีในชุมชนไม่ได้หยุดที่เวทีรับรางวัล แต่ส่งผลเชื่อมโยงกับรายได้ครัวเรือน โอกาสการจ้างงาน และศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตั้งแต่การยกระดับ OTOP ผ่านมาตรฐานและบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทำงานประสานเพื่อ “ต่อท่อน้ำเลี้ยง” เข้าสู่โครงการจริง และกำกับติดตามผ่านระบบข้อมูลของกรมการพัฒนาชุมชน.

เชียงรายเองมีกรณีศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเวทีคัดเลือกครัวเรือนสัมมาชีพดีเด่น การพัฒนาทักษะดิจิทัลของผู้ประกอบการ และการนำเสนอผลงานต่อผู้กำหนดนโยบายระดับชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้ “เวทีระดับประเทศ” ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นจุดเริ่มของรอบการทำงานใหม่ ๆ ที่ขยายผลสู่คนในพื้นที่.

น้ำเสียงจากผู้กำหนดนโยบาย ข้อความที่ส่งถึงพื้นที่

สารหลักที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยส่งถึงเครือข่ายสตรีคือ “สนับสนุนพลังสตรีให้ขับเคลื่อนสิ่งที่ดีงามเพื่อความยั่งยืนของประเทศ” พร้อมย้ำบทบาทกรมการพัฒนาชุมชนในการเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดโครงการที่มีผลจริงในพื้นที่ ข้อความดังกล่าวสะท้อนแนวทางที่ให้ความสำคัญกับ คนหน้างาน มากกว่างานเชิงเอกสาร และยืนยันการบูรณาการระหว่างนโยบายระดับชาติกับงานระดับตำบล

ในมิติการสื่อสารสาธารณะ พรรคการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และสื่อกระแสหลักหลายสำนักร่วมรายงานข่าวและเผยแพร่สารจากเวทีนี้ ช่วยเพิ่มการรับรู้และแรงจูงใจให้เครือข่ายสตรีในจังหวัดต่าง ๆ กลับไป “ทำงานต่อ” ด้วยพลังที่มากขึ้น.

จากรางวัลสู่การเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง

พิธีมอบรางวัลสตรีดีเด่นปีนี้ไม่ใช่ภาพจำเฉพาะหน้าเวที แต่คือ “จุดนัด” ของคนทำงานชุมชนที่กำลังผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและสวัสดิการสังคมให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน เชียงรายมีชื่อสองสตรีดีเด่นขึ้นเวทีระดับชาติ ท่ามกลางเครือข่าย 76 จังหวัดที่กำลังขยายผลนโยบายจากส่วนกลางสู่ครัวเรือน ความสำเร็จนี้ยืนอยู่บนกลไก กพส. และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสอดคล้องกับสัญญาณเชิงข้อมูลจากรายงานสากลและสถิติแรงงานไทย

เส้นทางข้างหน้าจึงชัดเจนขึ้น: ทำให้ “พลังสตรี” เคลื่อนต่อด้วยเป้าหมายที่วัดผลได้ สนับสนุนทักษะจำเป็นในตลาดจริง เพิ่มบทบาทผู้หญิงในตำแหน่งตัดสินใจ และบริหารทรัพยากรอย่างโปร่งใส หากทำได้ต่อเนื่อง รางวัลในวันนี้จะกลายเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจฐานรากเติบโต และความเสมอภาคทางเพศเดินหน้าไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี: ข่าว “ธีรรัตน์ มอบรางวัลสตรีผู้ขับเคลื่อนงานบำบัดทุกข์ บำรุงสุขดีเด่น” (14 ส.ค. 2568). Thai Government
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลระเบียบ–โครงสร้าง กพส.: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (เอกสารระเบียบคณะกรรมการพัฒนาสตรี). Department of Land Affaires
  • กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี: เว็บไซต์กลางและข่าวรัฐบาลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและการดำเนินงาน. womenfund.in.thThai Government
  • รายงาน Global Gender Gap 2025: เอกสารของ World Economic Forum และบทความสรุปข้อมูลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/Nation. World Economic Forum ReportsChulalongkorn Universitynationthailand
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: สำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 1/2568. National Statistical Office
  • World Bank Gender Data Portal: Female share of employment in senior and middle management (%), Thailand 2023.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

“วาดอดีต สู่อนาคต” ศิลปินสิริฉาย เอาฬาร ใช้ศิลปะปลุกชีวิตย่านเก่าเชียงราย

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่ เชื่อมโยงรากเหง้าวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ย่านเมืองเก่าเชียงราย สร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านพลังงานศิลปะและความร่วมมือชุมชน

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการพัฒนาที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จังหวัดเชียงรายได้ริเริ่มโครงการอันทรงคุณค่าที่หวนคืนสู่รากเหง้าและเรื่องราวในอดีต เพื่อนำมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน นั่นคือนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ซึ่งได้ฤกษ์เปิดฉากอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำศักยภาพของย่านธนาลัย ในฐานะย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

จากอดีตสู่ปัจจุบันการผลิบานของย่านธนาลัย

ย่านธนาลัยเป็นเสมือนหัวใจประวัติศาสตร์และศูนย์กลางการค้าเก่าแก่ของเมืองเชียงรายที่หลอมรวมความเป็นพหุวัฒนธรรมไว้อย่างกลมกลืน ตลอดเส้นทางนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของศิลปะ วัฒนธรรม ร้านค้าเก่าแก่ที่ยืนหยัดมานานนับทศวรรษ รวมถึงธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาต่อยอดและพัฒนาแบรนด์กิจการดั้งเดิมสู่รูปแบบสร้างสรรค์ใหม่ๆ โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เรื่องราวอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดไปสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย เป็นการรวมตัวของกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ เพื่อร่วมกันบอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ และถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ รวมถึงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าผ่านผลงานการออกแบบสร้างสรรค์ ที่สะท้อนถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของย่านนี้

วาดอดีต สู่อนาคต”ศิลปะเชื่อมโยงหัวใจแห่งชุมชน

หัวใจหลักของการนำเสนอเรื่องราวในนิทรรศการนี้คือแนวคิด “Sketch the past, Draw the future” หรือ วาดอดีต สู่อนาคต” ซึ่งเป็นแนวคิดแกนหลักของ นางสาวสิริฉาย เอาฬาร ศิลปินหญิงผู้เปี่ยมด้วยความสนใจในการทำงานร่วมกับชุมชน เธอเชื่อว่าในโลกที่หมุนเร็ว ผู้คนต่างมุ่งไปข้างหน้า การหันกลับมามอง “ราก” ของผู้คนในย่านเก่าแก่ผ่านสายตาอันละเมียดละไมของศิลปะ จะสามารถสร้างความเชื่อมโยงและความเข้าใจระหว่างรุ่นได้อย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในกิจกรรมเด่นที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ โครงการ Food Sketch Tour ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่เข้ากับผู้ประกอบการรุ่นอาวุโส โดยเฉพาะเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่นเก่าแก่ที่มีเรื่องราวอันทรงคุณค่า แต่ยังขาดการบันทึกอย่างเป็นระบบ โครงการนี้เชื้อเชิญเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ วาด” ภาพอาหารจากร้านเก่าแก่ และ ฟัง” เรื่องเล่าจากเจ้าของร้านผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตยาวนาน

นางสาวสิริฉาย เอาฬาร เลือกที่จะหันกลับมามอง "ราก" ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด "Sketch the past, Draw the future" หรือ "วาดอดีต สู่ อนาคต". โครงการ "Food Sketch Tour"

ผ่านกิจกรรมนี้ เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของร้าน การเปลี่ยนแปลงของประเภทอาหารตามยุคสมัย หรือการปรับตัวของผู้ประกอบการจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นภาพวาดอาหาร ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงามทางศิลปะ แต่ยังอัดแน่นไปด้วยความทรงจำและความหมายที่ลึกซึ้ง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคือบทสนทนาระหว่างรุ่นที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความอบอุ่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นิทรรศการที่ “ชวนชิม” เรื่องราวประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ด้วยทุกประสาทสัมผัส

ความโดดเด่นของนิทรรศการนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เนื้อหา แต่ยังรวมถึงรูปแบบการจัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในส่วนของ นางสาวสิริฉาย เอาฬาร ภาพวาดจากศิลปินผู้เข้าร่วมกิจกรรม Food Sketch Tour ทั้งหมดจะถูกจัดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารจริง ในบรรยากาศของ มื้อสร้างสรรค์” ซึ่งเชิญชวนให้ผู้ชมได้ ลิ้มรสเรื่องราว” ผ่านทั้งสายตาและการมีส่วนร่วมในประสบการณ์การกิน

นี่คือการนำเสนอศิลปะที่ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อมอง แต่เพื่อ “มีส่วนร่วม” และ “รู้สึก” เป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนความเข้าใจและความสัมพันธ์ในสังคมอย่างแท้จริง แนวคิด “Sketch the past, Draw the future” จึงมิได้เป็นเพียงชื่อโครงการ หากแต่เป็นทัศนคติที่ใช้ศิลปะเชื่อมร้อยอดีตกับอนาคต ผ่านบทสนทนาเล็กๆ บนโต๊ะอาหาร ที่เต็มไปด้วยความหมาย ความทรงจำ และความหวัง

ประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับ การลงทุนในอนาคตของชุมชน

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นโครงการที่ส่งมอบคุณค่าและประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนในวงกว้างอย่างแท้จริง:

  • สำหรับชุมชนและผู้ประกอบการ: การจัดแสดงผลงานในครั้งนี้ช่วยยกระดับและอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงเรื่องราวอันทรงคุณค่าของร้านค้าเก่าแก่ ซึ่งหลายครั้งอาจถูกมองข้าม นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจดั้งเดิมได้ต่อยอดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ สร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน ทำให้ย่านธนาลัยเป็นย่านที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเติบโตอย่างยั่งยืน
  • สำหรับเยาวชนและคนรุ่นใหม่: โครงการนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจากผู้สูงอายุโดยตรง ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ เป็นการบ่มเพาะความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างช่วงวัย พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะและการทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคต
  • สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน: นิทรรศการนำเสนอการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่ได้ชม แต่ยังได้สัมผัสและมีส่วนร่วม ผู้มาเยือนจะได้เข้าถึงเรื่องราวและจิตวิญญาณของย่านธนาลัยอย่างลึกซึ้งผ่านศิลปะ อาหาร และประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงความรู้สึกกับท้องถิ่น
  • สำหรับจังหวัดเชียงราย: โครงการนี้เป็นการขับเคลื่อนให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม การผนวกศิลปะเข้ากับการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจ ช่วยสร้างเอกลักษณ์และความน่าสนใจให้กับเมือง ดึงดูดทั้งนักลงทุน นักสร้างสรรค์ และนักท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงไม่ใช่เพียงอดีตที่หวนคืนมา หากแต่เป็นบทเริ่มต้นของการสร้างสรรค์อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับย่านธนาลัยและจังหวัดเชียงราย ด้วยพลังแห่งศิลปะและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปลุกวิถีชีวิตดั้งเดิม! เทศบาลนครเชียงรายดันนโยบายอาหารปลอดภัย-การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จากทุ่งนาสู่เมืองแห่งการเรียนรู้: เทศบาลนครเชียงราย ดัน 2 นโยบายใหญ่ ‘อาหารปลอดภัย-การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ปลุกวิถีชีวิตดั้งเดิม หวังสร้างชุมชนยั่งยืน

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในห้วงเวลาที่หลายเมืองทั่วโลกเร่งเครื่องสู่การเป็นมหานครแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัล เทศบาลนครเชียงรายกลับเลือกเดินทางในแนวทางที่แตกต่าง คือการหวนคืนสู่วิถีชุมชนดั้งเดิม อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเป็นรากฐานพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยการขับเคลื่อน 2 นโยบายสำคัญ “เชียงรายต้นแบบเมืองอาหารปลอดภัย” และ “เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้นครเชียงราย” ผ่านโครงการเสริมสร้างความยั่งยืนของการพัฒนานครเชียงรายในอนาคต (กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพชุมชนด้วยวิถีชุมชน) ณ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา

บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและพลังของผู้คนกว่า 300 คน ภายใต้การนำของ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนแนวคิด “เมืองน่าอยู่ ชุมชนยั่งยืน” ให้กลายเป็นความจริง ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน คณะผู้บริหารเทศบาล ครู นักเรียน และชาวบ้านที่ต่างพร้อมใจกันมา “ลงแขก” ทำกิจกรรมและเรียนรู้ร่วมกัน

อาหารปลอดภัย” จากผืนนาสู่จานข้าว – ปลูกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่

เทศบาลนครเชียงรายให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) อย่างยิ่งยวด มองว่าอาหารปลอดภัยไม่ใช่เพียงโครงการ แต่เป็นรากฐานของการสร้างคุณภาพชีวิต สุขภาพ และความยั่งยืนที่แท้จริง ภายหลังพิธีเปิด นายวันชัยนำคณะผู้บริหารและนักเรียนลงมือ “เกี่ยวข้าว” ในแปลงนา นำร่องให้เด็กๆ ได้สัมผัสและเข้าใจขั้นตอนการทำนาแบบดั้งเดิมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การเตรียมดิน การหว่าน การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

กิจกรรมเชิงปฏิบัติการนี้ไม่เพียงทำให้เยาวชนเห็นความสำคัญของข้าวในฐานะอาหารหลักของคนไทย แต่ยังได้ตระหนักถึงคุณค่าของการกินอาหารที่ปลอดภัย ปราศจากสารเคมี และเรียนรู้ว่ากว่าข้าวสักเมล็ดจะมาถึงจาน ต้องผ่านกระบวนการและความร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน

นอกจากนี้ ในกิจกรรมยังมีการปล่อยปลาในแหล่งน้ำชุมชน เพื่อสร้างสมดุลทางนิเวศและเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของครัวเรือน การสาธิตอาหารพื้นบ้านล้านนาและขนมโบราณ เปิดโอกาสให้ทุกเพศทุกวัยได้เรียนรู้ภูมิปัญญาในการแปรรูปวัตถุดิบท้องถิ่นและต่อยอดเป็นอาชีพเสริม สะท้อนการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นอย่างแท้จริง

เมืองแห่งการเรียนรู้” – สะพานเชื่อมปราชญ์กับเยาวชน สร้างพลเมืองคุณภาพ

เชียงรายตระหนักดีว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน เทศบาลฯ จึงจัดตั้ง “โครงการเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้นครเชียงราย” ให้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ และเยาวชนเป็นแกนกลางการขับเคลื่อน สะพานความรู้จากปราชญ์ชุมชนสู่คนรุ่นใหม่ สร้างพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)

ภายในงาน มีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เปิดกว้าง เช่น การวาดภาพของดีในชุมชน การเรียนรู้การเพาะเห็ดในครัวเรือน การเลี้ยงปูนา (ไข่ไข่) และเวิร์กช็อปภูมิปัญญาท้องถิ่นหลากหลาย เพื่อปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักรักบ้านเกิด ภูมิใจในวัฒนธรรมตนเอง รวมถึงเปิดโอกาสให้ค้นพบความสามารถและอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองในอนาคต

โครงการนี้ยังเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ถ่ายทอดความรู้-ทักษะจากประสบการณ์จริงผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” อันเป็นรากฐานของเมืองแห่งอนาคตอย่างแท้จริง

นโยบายท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากรากสู่ยอด

กรณีเทศบาลนครเชียงราย ถือเป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและยั่งยืน (Holistic Approach) ที่ผสมผสานประเด็นเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษาเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ความกล้าหาญในการหยิบยกภูมิปัญญาดั้งเดิมขึ้นมาสร้างคุณค่าใหม่ ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองยุคใหม่ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากความเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

ในสายตาของนักวิเคราะห์ นโยบายทั้งสองดังกล่าวเป็นการตอบโจทย์ SDGs ขององค์การสหประชาชาติในเป้าหมายที่ 2 (ขจัดความหิวโหย) และ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) ผ่านการขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมและการมีส่วนร่วมที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมท้องถิ่นสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น

 “เชียงรายโมเดล” – เดินช้ากว่าคนอื่น แต่มั่นคงกว่าด้วยรากเหง้า

การจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพชุมชนในครั้งนี้ คือเครื่องพิสูจน์ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เสมอไป แต่เริ่มต้นได้จากจุดเล็กๆ ใกล้ตัว ผ่านความร่วมมือของคนในชุมชนเอง และด้วยการวางรากฐานวิถีชีวิตและการเรียนรู้ที่ดี เมืองเชียงรายกำลังกลายเป็นต้นแบบ “เมืองที่น่าอยู่” ซึ่งทุกคนในสังคมสามารถเติบโตไปพร้อมกัน

ดังคำกล่าวของนายวันชัย จงสุทธานามณี ที่ว่า “เทศบาลนครเชียงรายจะเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่บูรณาการวิถีชุมชนเข้ากับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนอย่างยั่งยืน” นี่คือพลังเล็กๆ ที่จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคตของเมืองและลูกหลานเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายชู Soft Power ศาสนา ฝึกอบรม ‘ปิดทอง’ หนุนเศรษฐกิจชุมชน พัฒนาสินค้าเด่นประจำจังหวัด

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ยกระดับผลิตภัณฑ์มิติศาสนา “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก หนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สินค้าระดับจังหวัด

เชียงราย, 27 มิถุนายน 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (สวจ.เชียงราย) ขับเคลื่อนโครงการ “พลังบวรในมิติศาสนา” ประจำปีงบประมาณ 2568 เดินหน้าต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชน ผ่านกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการยกระดับ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ที่วัดดงชัย ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เพื่อพลิกโฉมงานช่างศิลป์ไทยจากมรดกทางศาสนาให้กลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นและมีมูลค่าสูง

เดินหน้าต่อยอดงานช่างศิลป์ไทยจากรากฐาน “บ้าน วัด โรงเรียน” สู่สินค้าสร้างรายได้

ระหว่างวันที่ 26-27 มิถุนายน 2568 สวจ.เชียงราย ร่วมกับชุมชนคุณธรรมวัดดงชัย จัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการฯ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เน้นการบูรณาการพลัง “บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ” หรือ “บวร” ในชุมชนให้เกิดเป็นกลไกขับเคลื่อนการยกระดับผลิตภัณฑ์ศาสนาเป็นสินค้าระดับจังหวัด

กิจกรรมดังกล่าวมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ซึ่งเป็นศิลปะภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย ในการสร้างคุณค่าใหม่ เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสทางอาชีพให้กับสามเณร นักเรียน ครู และคนในชุมชน โดยฝึกอบรมกระบวนการผลิตอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การลงดำ การปิดทอง การเก็บรายละเอียด ไปจนถึงการเข้ากรอบรูป เพื่อเตรียมสินค้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์

เปิดเวทีให้เยาวชน สร้างความภาคภูมิใจ ถ่ายทอดศรัทธาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

พระครูวิสิฐวรนารถ เจ้าคณะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง/เจ้าอาวาสวัดดงชัย ให้เกียรติมอบวุฒิบัตรแก่สามเณรและนักเรียนผู้ผ่านการอบรม รวมถึงมอบเกียรติบัตรให้พระวิทยากรและครูผู้สนับสนุน เพื่อยกย่องการร่วมกันสืบสานงานศิลป์ช่างสิบหมู่ และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนพื้นฐานศรัทธา โดยในพิธีปิดยังเน้นย้ำถึงบทบาทของศาสนาในการเชื่อมโยงใจคนในชุมชน สร้างความรักความผูกพันทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่

ทั้งนี้ ภาพเทคนิคการปิดทองไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของศรัทธาและความเชื่อในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงทักษะและภูมิปัญญาของช่างไทยที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน งานศิลปะที่งดงามนี้เมื่อพัฒนาอย่างมีมาตรฐาน จะสามารถยกระดับเป็นของที่ระลึก สินค้าสะสม หรือของขวัญคุณค่าสูง ทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน

ก้าวสู่ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม “ดาวรุ่ง” ของเชียงราย

ผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” จากชุมชนคุณธรรมวัดดงชัย นับเป็นผลสำเร็จของการบูรณาการแนวคิดวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สามารถต่อยอดให้เป็นสินค้าระดับจังหวัด ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้จากทุกภาคส่วน ผลักดันให้ชุมชนเกิดการจ้างงาน เสริมรายได้ เสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก และรักษาเอกลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของท้องถิ่นไว้ได้อย่างมั่นคง

สวจ.เชียงราย เร่งผลักดันศิลปวัฒนธรรมสู่ “เศรษฐกิจฐานราก” ที่ยั่งยืน

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม นำทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ร่วมสนับสนุนอย่างเต็มที่ หวังให้ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” กลายเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมร่วมสมัยของเชียงราย เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความภาคภูมิใจให้คนในท้องถิ่น

สรุป

การจัดฝึกอบรมในครั้งนี้สะท้อนถึงพลังของ “บวร” ในการสร้างสรรค์และต่อยอดศิลปวัฒนธรรมไทยให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าในตลาด ทั้งยังช่วยเสริมสร้างทักษะและจิตสำนึกในกลุ่มเยาวชน เปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ พร้อมขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตคนเชียงรายให้เติบโตบนรากฐานความศรัทธาและภูมิปัญญาท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

UNIDO เลือกเชียงราย สร้างภูมิคุ้มกันโลกร้อน หนุนท่องเที่ยวชุมชนเข้มแข็ง

เชียงราย จังหวัดต้นแบบ “อยู่ร่วมโลกร้อน” อพท. จับมือ UNIDO ระดมพลังทุกภาคส่วน เดินหน้าโครงการท่องเที่ยวชุมชนยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ผนึกความร่วมมือกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ประกาศเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้ปรับตัวและอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนและโลกรวนอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน ร่วมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนโครงการนำร่อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างแบบจำลองการปรับตัวในระดับพื้นที่ต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของไทย

เวทีร่วมคิดสร้างแผนปรับตัวเพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ โรงแรม Athita The Hidden Court Chiang Saen Boutique Hotel อพท. จัดประชุมระดมความคิดเห็น “การสร้างการท่องเที่ยวชุมชนที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน” เพื่อร่วมกำหนดแผนงานโครงการต้นแบบในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ เชียงแสน แม่สาย แม่จัน และแม่ฟ้าหลวง ครอบคลุมกว่า 300 หมู่บ้าน โดยมี นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ อพท. เป็นประธาน, นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, Mr.Virpi Stucki Chief, Fair Production, Sustainability Standard and Trade, UNIDO (ประชุมทางไกล) พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญของเชียงราย เนื่องจาก UNIDO ได้ตัดสินใจนำร่องพัฒนาระบบการอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนในจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่แรกของไทย และเตรียมสนับสนุนงบประมาณจากองค์การสหประชาชาติ ต่อยอดการพัฒนาทั้งมิติการท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากร การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน

สู่เป้าหมาย “ปรับตัวอยู่รอด” ในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

จุดเด่นของโครงการฯ คือการมุ่งสร้างความยืดหยุ่น (Climate Resilience) ให้กับชุมชน โดยอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น องค์กรระหว่างประเทศ และภาควิชาการ ตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาที่จะผลักดันในพื้นที่เป้าหมาย เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือน้ำท่วมหรือภัยแล้ง พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) และสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานสินค้าและบริการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้จริง

นายศิริปกรณ์ ย้ำว่า “เรากำลังติดกระดุมเม็ดแรก” ให้กับชุมชนเชียงราย เพื่อวางระบบการบริหารจัดการเงินทุนและความร่วมมือ เมื่อได้รับงบประมาณและโอกาสจากต่างประเทศแล้ว จะต้องบริหารงบอย่างตรงเป้าหมายและโปร่งใส พร้อมให้ความสำคัญกับต้นน้ำของปัญหาในแต่ละชุมชน เช่น ภัยน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น จังหวัด อบจ. และเทศบาล เพื่อให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

โอกาสเชียงรายจากเวทีโลกสู่การพัฒนาท้องถิ่นยั่งยืน

การเลือกเชียงรายเป็นพื้นที่นำร่องครั้งนี้เกิดจากความเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดและการทำงานแบบเป็นทีม โดยเฉพาะความเข้มแข็งของผู้นำจังหวัดอย่างนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการยอมรับจากทีม UNIDO และภาคีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ อพท. ยังได้ร่วมมือกับ GISTDA ในการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและระบบอวกาศมาวิเคราะห์ วางแผนและติดตามผลลัพธ์ของโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ

สะท้อนภาพอนาคตเชียงรายต้นแบบการอยู่ร่วมกับโลกร้อน

ในเวทีระดมความคิดเห็นครั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยนปัญหาและแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางเลือกใหม่ๆ ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สินค้าท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า หรือการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต

การเคลื่อนโครงการนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนและความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ชุมชนต่างๆ สามารถนำไปต่อยอดขยายผลในพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทย

สรุปและวิเคราะห์ผลลัพธ์

โครงการความร่วมมือระหว่าง อพท. และ UNIDO เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวในเชียงราย ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในเวทีโลก ดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยความร่วมมือของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารพันธุ์ดี เสริมแกร่ง ศปร.ทบ. ตรวจเยี่ยมเชียงราย-พะเยา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน

มทบ.37 ต้อนรับ ผอ.ศปร.ทบ. ลงพื้นที่เชียงราย-พะเยา ติดตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ–ขยายผล “ทหารพันธุ์ดี” หนุนความมั่นคงยั่งยืน

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – พลเอก พรมงคล พึ่งเสมา ผู้อำนวยการสำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.) พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 จังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา เพื่อติดตามความคืบหน้าและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมถึงโครงการ “โคก หนอง นา” และโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือ

ก้าวสำคัญของการพัฒนาจากพระราชดำริสู่ความมั่นคงชุมชน

เวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ให้การต้อนรับ พล.อ. พรมงคล พึ่งเสมา และคณะ ณ ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย ก่อนเข้าสู่ภารกิจหลัก ได้แก่ การรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานและการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ห้องประชุมพญาเม็งราย บก.มทบ.37 และเยี่ยมชมโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ค่ายเม็งรายมหาราช

จากนั้น คณะฯ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการผลิตแพะพันธุ์แบล็คเบงกอล “เพื่อนช่วยเพื่อน” ของ ร.17 พัน.3 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชทานที่มุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สร้างต้นแบบด้านความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน

ตรวจเยี่ยมและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่สูง

ในการเดินทางครั้งนี้ คณะ สปร.ทบ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลายจุดสำคัญ อาทิ

  • โครงการดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ จังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านหนองห้า อ.เชียงคำ จ.พะเยา
  • โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านสันติสุข อ.ปง จ.พะเยา
  • โครงการทดลองเลี้ยงแกะและสัตว์ปีก บ้านร่มฟ้าทอง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ทุกโครงการล้วนมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของชุมชน ส่งเสริมการเกษตรบนพื้นที่สูง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามแนวพระราชดำริที่เน้นการพึ่งพาตนเอง ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสทางอาชีพ และลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชนบท

ผลักดัน “ทหารพันธุ์ดี” ขยายผลสู่ชุมชน สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อความมั่นคง

การดำเนินงานโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งริเริ่มโดยกองทัพบก ได้ขยายผลอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ร่วมมือกับกรมทหารราบที่ 17 กองพันทหารราบที่ 3 (ร.17 พัน.3) ผลักดันโครงการฝึกอบรมเกษตรกรต้นแบบ การผลิตและกระจายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ (เช่น แพะพันธุ์แบล็คเบงกอล) และการส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสานในพื้นที่ของหน่วยงานทหาร นำไปสู่การส่งเสริมรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่โดยรอบค่ายทหาร

นอกจากนี้ สปร.ทบ. ยังรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงการไปยังชุมชนที่ยังขาดโอกาส และสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนผ่านเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

การลงพื้นที่ติดตามและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการสืบสานแนวคิด “ประชาชนอยู่ดี มีสุข” ผ่านการผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น และประชาชน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคงทางอาหาร อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และผลักดันนวัตกรรมเกษตรในพื้นที่สูงของภาคเหนือ

ในอนาคต การบริหารจัดการและขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุมมากขึ้น จะยิ่งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • สำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.)
  • คณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย นำทัพ! สู่ตลาดมาตรฐานระดับชาติ หนุนเที่ยว สร้างงาน

เชียงรายยกระดับตลาดท้องถิ่น 4 แห่ง เข้ารอบประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐาน” ปี 2568 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 24 มิถุนายน 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมและยกระดับตลาดสดในพื้นที่ หลังได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงมหาดไทย ให้เข้าร่วมประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้นโยบายการพัฒนาตลาดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่ความเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชน เพิ่มมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม

ก้าวสำคัญ ตลาดดีมีมาตรฐาน สร้างงาน สร้างอาชีพ

โครงการ “ตลาดดีมีมาตรฐาน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งยกระดับตลาดท้องถิ่นทั่วประเทศให้เป็นตลาดที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน และอาหารพื้นถิ่นที่หลากหลาย ตอบโจทย์วิถีชีวิตของประชาชน และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล โดยเน้นการพัฒนาตลาดให้เป็นพื้นที่สร้างรายได้ สนับสนุนอาชีพและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย 4 ตลาดเด่น

ในปีงบประมาณ 2568 จังหวัดเชียงรายมีตลาดที่ผ่านเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายจำนวน 4 แห่ง ได้แก่

  1. ตลาดสดเทศบาล 2 ศิริกรณ์
  2. ตลาดสดเทศบาลตำบลบ้านดู่
  3. ตลาดประชารัฐตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  4. ตลาดสดเวียงชัย อำเภอเวียงชัย

การประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน ดำเนินการโดยคณะกรรมการระดับจังหวัด นำโดยนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด หอการค้าจังหวัดเชียงราย สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด อบจ.เชียงราย และท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย

ยกระดับมาตรฐานตลาด สุขาภิบาล สะอาด ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยว

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มอบหมายให้นางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย นางนงคราญ กันกา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านสุขอนามัย ความสะอาด ความปลอดภัย รวมถึงการคัดสรรและจัดระเบียบพื้นที่การขายสินค้าให้มีมาตรฐาน พร้อมส่งเสริมการจัดกิจกรรมตลาดนัดเชิงสร้างสรรค์ เพิ่มความมีชีวิตชีวาและตอบโจทย์การท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของการขับเคลื่อนตลาดดีมีมาตรฐานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเชื่อมโยงตลาดท้องถิ่นกับภาคการท่องเที่ยว สร้างความมั่นคงให้กับอาชีพค้าขายและการผลิตสินค้าเกษตรในท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และโอกาส

การเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายของ 4 ตลาดในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการตลาดของท้องถิ่นที่สามารถรักษามาตรฐานด้านความสะอาด สุขาภิบาล และการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดศักยภาพด้านเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยววิถีชุมชน นำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

การยกระดับตลาดในครั้งนี้ จะช่วยสร้าง “จุดขาย” ให้กับชุมชน เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ใหม่ กระจายโอกาสและสร้างความภาคภูมิใจแก่ประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • คณะกรรมการประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเคลื่อนที่ มอบสุขถึงบ้าน แก้ปัญหาชุมชน

อบจ.เชียงราย ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้ม” ส่งความสุข-บริการถึงบ้าน สร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้ชุมชน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้านโยบาย “รัฐบริการเชิงรุก” ด้วยการนำหน่วยงานภาครัฐออกให้บริการถึงพื้นที่ห่างไกล ผ่านโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม พร้อมรับฟังปัญหาเพื่อหาทางออกอย่างมีส่วนร่วม

ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ บ้านป่าลัน หมู่ 5 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ณ วัดป่าอรัญญวิเวก พร้อมด้วย นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายสุทัศน์ ลิ้มวณิชย์กุล นายอำเภอดอยหลวง และ นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เข้าร่วม พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำท้องถิ่น และอาสาสมัคร พอ.สว.

จาก “หน่วยรัฐประจำจังหวัด” สู่ “รัฐบริการเชิงรุกถึงบ้าน”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมาย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. พร้อมด้วยบุคลากรกองสาธารณสุข ร่วมลงพื้นที่กับโครงการในครั้งนี้ เพื่อรับฟังปัญหาอย่างใกล้ชิด และตรวจเยี่ยมผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในพื้นที่จำนวน 5 ราย ตอกย้ำภารกิจหลักของ อบจ. ในฐานะองค์กรท้องถิ่นที่ใส่ใจสุขภาวะของประชาชน

โครงการนี้ถือเป็นรูปธรรมของการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตในถิ่นทุรกันดาร โดยนำบริการรัฐหลากหลายด้านมาไว้ในพื้นที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการทางการแพทย์ การตรวจสุขภาพ การให้คำปรึกษาด้านสวัสดิการ การเกษตร การศึกษา รวมถึงการเปิดช่องทางร้องเรียน-ร้องทุกข์ต่อหน่วยงานภาครัฐได้โดยตรง

ลดภาระ เพิ่มโอกาส สร้างสุขใกล้บ้าน

หัวใจสำคัญของโครงการ คือการทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลเพื่อเข้ารับบริการที่จำเป็น ซึ่งจากการสัมภาษณ์ประชาชนในพื้นที่ต่างสะท้อนเสียงตรงกันว่า “สะดวก รวดเร็ว ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง” ขณะที่ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนได้รับการเยี่ยมเยียนและตรวจสุขภาพถึงบ้าน ถือเป็นการฟื้นฟูสุขภาพกายใจในเวลาเดียวกัน

อีกทั้งหน่วยงานที่เข้าร่วมในครั้งนี้ยังได้มอบ ถุงยังชีพ 100 ชุด, ข้าวสาร 50 ถุง, ผ้าห่มกันหนาว 100 ชุด, และ พันธุ์ปลา 20 ถุง ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในครัวเรือน

Clinic Center ช่องทางเชื่อมรัฐ-ชุมชนอย่างใกล้ชิด

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้เปิด “Clinic Center” เป็นหน่วยงานประสานงานกลางที่เปิดรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และคำแนะนำจากประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

Clinic Center ยังมีบทบาทในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยประชาชนสามารถเสนอแนวคิดการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และเป็นเจ้าของโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น สอดคล้องกับหลักการ “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา”

บูรณาการหน่วยงาน รัฐ-เอกชน-อาสาสมัคร ผนึกกำลังเพื่อท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง พลังของความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานราชการระดับจังหวัด อำเภอ อบจ. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เหล่ากาชาด และภาคประชาชน อาสาสมัคร พอ.สว. ที่ร่วมกันสนับสนุนทั้งทรัพยากร กำลังคน และความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการแบบครบวงจร

การมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอดอยหลวง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามข้อมูลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด

วิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้สะดวกและทั่วถึง
  • ผู้ป่วยติดเตียงได้รับการดูแลต่อเนื่อง ไม่ถูกทอดทิ้ง
  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณะ
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบราชการและการบริหารงานของ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่น

ข้อสังเกตเชิงลบ/ความท้าทาย

  • บางพื้นที่ยังขาดอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรเฉพาะทาง
  • ความต่อเนื่องของโครงการขึ้นอยู่กับงบประมาณและการประสานงาน
  • ความต้องการของประชาชนในบางประเด็นอาจยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างครอบคลุม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2567) พบว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 28% เคยไม่ได้รับบริการสาธารณสุขเพราะไม่มีรถรับส่งหรือค่าเดินทาง
  • โครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ปี 2567 จัดขึ้นรวม 18 ครั้งใน 18 อำเภอ ครอบคลุมประชาชนกว่า 35,000 ราย
  • รายงานผลการเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงในจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า กว่า 3,700 ราย อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขาดการดูแลหากไม่มีโครงการเยี่ยมบ้านแบบเคลื่อนที่
  • กรมการปกครอง ระบุว่า โครงการจังหวัดเคลื่อนที่สามารถลดภาระการเดินทางของประชาชนได้เฉลี่ย กว่า 850 บาท/ครัวเรือน/ครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • รายงานโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ 2567-2568
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายยกระดับชุมชน พัฒนาสินค้า บริการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เดินหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพสุดยอดชุมชนคุณธรรมและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ประจำปี 2568

เชียงราย, 7 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายชุมชนยลวิถี เดินหน้าพัฒนาศักยภาพชุมชนและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand: CPOT) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมุ่งยกระดับชุมชนท้องถิ่นให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับเป็น Soft Power ของจังหวัด

กิจกรรมจัดขึ้น ณ ห้องประชุมวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยได้รับเกียรติจาก พระไพศาลประชาทร วิ. (ท่านเจ้าคุณพบโชค ติสสวังโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการและกล่าวสัมโมทนียกถา รวมทั้งมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการและวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ พร้อมต้อนรับเครือข่ายจากชุมชนยลวิถีหลากหลายพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

ยกระดับ CPOT สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่

วัตถุประสงค์สำคัญของโครงการในปีนี้ มุ่งเน้นการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยของชุมชน ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถเชื่อมโยงกับกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้ส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ CPOT ให้สามารถตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเน้นการออกแบบ การเล่าเรื่อง การสื่อสารคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่กับมิติความงามและการใช้งานของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตปัจจุบัน

สุดยอดชุมชนคุณธรรม 4 ปีซ้อน ร่วมกิจกรรมเต็มรูปแบบ

ภายใต้โครงการครั้งนี้ มีชุมชนต้นแบบและเครือข่ายเข้าร่วมรวม 7 กลุ่ม ได้แก่

  1. ชุมชนยลวิถีบ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2564)
  2. ชุมชนยลวิถีบ้านเมืองรวง อำเภอเมืองเชียงราย (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2565)
  3. ชุมชนยลวิถีวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2566)
  4. ชุมชนยลวิถีวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2567)
  5. ชุมชนยลวิถีบ้านสันทางหลวง อำเภอแม่จัน (สุดยอดชุมชนระดับจังหวัด ปี 2568)
  6. เครือข่ายผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT จังหวัดเชียงราย
  7. เครือข่ายนักเรียนนักเล่าเรื่อง โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม

รวมจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 60 คน ครอบคลุมทั้งผู้ผลิต นักพัฒนา นักการศึกษา และเยาวชนในพื้นที่

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพและต่อยอดองค์ความรู้เชิงสร้างสรรค์

กิจกรรมสำคัญภายในโครงการประกอบด้วย

  • การบรรยายเรื่อง “การเป็นเจ้าบ้านที่ดี” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐรกานต์ คำใจวุฒิ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เพื่อยกระดับมาตรฐานการต้อนรับนักท่องเที่ยวของชุมชนให้มีความพร้อมทั้งด้านทัศนคติและการให้บริการ
  • การบรรยายเรื่อง “การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนา CPOT ให้เชื่อมโยงกับตลาดและสามารถสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจน

แนวโน้ม CPOT เชียงราย จากท้องถิ่นสู่สากล

จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพสูงในด้านผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม เช่น งานหัตถกรรมไม้สัก ผ้าทอพื้นเมือง สมุนไพร ภูมิปัญญาอาหาร รวมถึงผลิตภัณฑ์เชิงศิลปะที่มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาเข้าสู่ระบบ CPOT อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงกับเทศกาลวัฒนธรรม การประกวด และงานแสดงสินค้าระดับประเทศ

การสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรมและความร่วมมือของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ กำลังผลักดันให้เชียงรายเป็น “ต้นแบบการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงคุณภาพ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ตามนโยบาย Soft Power ระดับชาติ

วิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากการดำเนินโครงการและผลการมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่าความสำเร็จของ CPOT ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. คุณภาพของผลิตภัณฑ์ – ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานทั้งในด้านวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และความปลอดภัย
  2. เรื่องราวและอัตลักษณ์ – ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จคือผลิตภัณฑ์ที่สามารถสื่อสารเรื่องราวของชุมชนได้อย่างชัดเจน
  3. ช่องทางการตลาด – จำเป็นต้องมีการจัดจำหน่ายทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมกลยุทธ์การสื่อสารที่ทันสมัย

ดังนั้น การสร้างระบบสนับสนุนครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบ การบรรจุภัณฑ์ การทำตลาด และการติดตามผลอย่างเป็นระบบ จึงเป็นแนวทางที่ต้องดำเนินควบคู่กันไป

สถิติและข้อมูลประกอบข่าว

  • จังหวัดเชียงรายมี ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT จำนวนกว่า 128 รายการ ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงวัฒนธรรม (ข้อมูลปี 2567)
  • จำนวนชุมชนคุณธรรมในจังหวัดเชียงรายรวมทั้งสิ้น 182 ชุมชน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • การท่องเที่ยวในชุมชนยลวิถีในจังหวัดเชียงรายปี 2566 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 170,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 65 ล้านบาท
  • ผลิตภัณฑ์ CPOT ที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้น ร้อยละ 18 ในปี 2566 (ข้อมูลจากระบบติดตามของกระทรวงวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงวัฒนธรรม, ระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT Database)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE