Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รมว.นฤมล ลงพื้นที่เชียงราย ดัน 3 นโยบายใหญ่ ศธ. เร่งซ่อมบ้านพักครูสู่ Zero Dropout

รมว.นฤมล” ลงพื้นที่เชียงราย ดัน 3 นโยบายใหญ่ ศธ. เร่งซ่อม “บ้านพักครู 13,000 หลัง” – อาชีวะอาสาช่วยชุมชน – เตรียมเยียวยาค่าอาหารนักเรียนพักนอน เดินหน้าสู่เป้าหมาย “Zero Dropout”

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของหอประชุมที่ว่าการอำเภอเวียงชัยไม่เคยคึกคักเท่านี้มาก่อน แถวยาวของผู้ปกครอง ครู นักเรียน และช่างอาชีวะที่กำลังยกกล่องเครื่องมือเบาหนักต่างกันเข้าแถวอย่างมีระเบียบ ในมุมหนึ่งของเวที ผู้คนกำลังรอซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกมุมหนึ่งช่างผมอาชีวะกำลังวัดทรงให้คุณลุงชาวบ้าน “บริการฟรี” คือคำที่ถูกย้ำโดยครูอาชีวะแต่เช้า—ภาพเล็กๆ เหล่านี้คือฉากหน้า ซึ่งกรุยทางไปสู่แกนหลักของการขับเคลื่อนการศึกษาไทยที่ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นำลงพื้นที่เชียงรายในวันนี้ ร่วมคณะกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียง “การตรวจเยี่ยม” แต่เป็นการนำนโยบาย “ยกระดับคุณภาพชีวิตครู–เปิดทางโอกาสเด็ก–อาชีวะเพื่อชุมชน” ลงสู่ปฏิบัติการแบบจับต้องได้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ตลอดจนผู้บริหาร กระทรวงศึกษาธิการ และเครือข่ายจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

“ครูคือพ่อแม่คนที่สอง ถ้าครูอยู่ดี มีแรง มีศักดิ์ศรี—เด็กก็จะมีอนาคตที่มั่นคง เราจึงต้องเริ่มที่คุณภาพชีวิตครู และเดินหน้าคุ้มครองโอกาสของเด็กไปพร้อมกัน”
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

เสาหลักที่ 1 ครูต้องอยู่ดี—เร่งซ่อม “บ้านพักครู” เฟสแรก 13,000 หลัง วางเป้าปี 2570 ครบ 40,000 หลัง

เสียงสะท้อนจากครูบนพื้นที่สูงและโรงเรียนสาขาที่ต้องดูแลนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป รมว.ศธ. ประกาศเดินหน้า แผนปรับปรุงบ้านพักครูที่ทรุดโทรม และยังมีครูอาศัยอยู่ 13,000 หลัง ในเฟสแรก (จาก 14,000 หลัง) เพื่อยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตครูให้เป็นรูปธรรม พร้อมบรรจุเป้าหมายใน ปีงบประมาณ 2570 ให้ปรับปรุงครบ 40,000 หลัง ทั้งระบบ—นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า “บ้านพักครู” ไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม” ที่กำหนดคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กโดยตรง

ควบคู่กันนั้น ศธ.ผลักดัน สหกรณ์กลางรวมหนี้ครู เพื่อจัดระเบียบภาระหนี้สิน ให้ครูมีสภาพคล่อง–ลดดอกเบี้ย และเปิด ช่องทางพิเศษขอวิทยฐานะ ทั้งครูในสังกัด สอศ. และ สพฐ. เพื่อลดคอขวดทางเอกสารและเวลาพิจารณา ให้คุณภาพผลงานครูเป็นตัวตั้งของการเติบโตในวิชาชีพ

“ครูในพื้นที่สูงและทุรกันดารทำงานหนักมาก เรากำลังพิจารณา ‘เกณฑ์พิเศษ’ หรือการประเมินเชิงประจักษ์สำหรับครูกลุ่มนี้ เพื่อยืนยันคุณค่าของงานที่มองไม่เห็นในห้องประชุม”
— ถ้อยคำชี้แจงเชิงนโยบายที่เวทีรับฟังปัญหา จ.เชียงราย

เสาหลักที่ 2 อาชีวะอาสา—“Fix it Center” ทำจริง ช่วยจริง ลดต้นทุนชีวิตรายวัน

บริเวณลานกิจกรรม Fix it Center ซึ่ง สอศ.จังหวัดเชียงราย จัดร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย–วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย–วิทยาลัยการอาชีพเชียงราย เสียงไขควงและเครื่องทดสอบไฟดังขณะช่างอาชีวะกำลังซ่อมเครื่องปั๊มน้ำและพัดลมให้ชาวบ้าน ขณะอีกมุมทีมนักศึกษากำลังตั้งโซ่–ตั้งวาล์วรถจักรยานยนต์ พร้อมให้คำแนะนำการบำรุงรักษาเบื้องต้น

บริการที่เปิด ฟรี มีทั้ง ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า–ซ่อมรถจักรยานยนต์–ซ่อมเครื่องมือเกษตร–ตัดผม และ อบรมอาชีพระยะสั้น เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำทักษะไปต่อยอดสร้างรายได้ แนวทางนี้ช่วย “ลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง” ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงของครัวเรือน และช่วย “ยืดอายุสินทรัพย์” ในบ้าน—ผลลัพธ์คือเงินในกระเป๋าชุมชนหมุนต่อได้นานขึ้น

มากกว่านั้น Fix it Center ยังเป็น “ห้องเรียนจริง” ของนักศึกษาอาชีวะ—เรียนรู้วินัยงาน ช่างมืออาชีพ และการสื่อสารกับลูกค้า—เชื่อมตรงกับ ตลาดแรงงานท้องถิ่น ที่ต้องการช่างมีมาตรฐานในภาคเกษตร–การท่องเที่ยว–บริการ

เสาหลักที่ 3 คุ้มครองโอกาสเด็ก—สำรวจ–เยียวยา “ค่าอาหารนักเรียนพักนอน” และดันเข้าวงจรงบฯ 2570

อีกด้านหนึ่งที่ รมว.ศธ. ย้ำหนัก คือผลกระทบจากการยกเลิก ค่าอาหาร 20 บาท สำหรับ นักเรียนพักนอน ในโรงเรียนที่อยู่นอกพื้นที่พิเศษ—มาตรการดังกล่าวทำให้หลายโรงเรียนในภูเขาสูง–พื้นที่ห่างไกล ต้องหาทางเอาตัวรอด ขณะที่นักเรียนบางส่วนมีความเสี่ยงจะ หลุดจากระบบ เพราะครอบครัวไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ศธ.จึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำ สำรวจจำนวนโรงเรียนและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ อย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นฐานประกอบการ ของบกลางเพื่อเยียวยาเร่งด่วน และนำเข้า แผนงบประมาณปี 2570 ให้มีแหล่งเงินถาวรรองรับ—มาตรการนี้ผูกเป้ากับ Thailand Zero Dropout (TZD) ซึ่งตั้งเป้าลดจำนวน เด็กหลุดจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ ผ่านการดูแลเชิงระบบทั้งปัจจัยในและนอกโรงเรียน

“ถ้าเด็กต้องนอนค้างในโรงเรียน แต่มื้ออาหารไม่มั่นคง การเรียนรู้ก็ไม่มั่นคง เราจะเร่งสำรวจให้ครบ และเยียวยาให้ทันที่สุด ก่อนวางงบถาวรปี 2570”
— แนวนโยบายจาก รมว.ศธ. ต่อที่ประชุมพื้นที่

เชียงราย เวทีทดสอบนโยบายเชิงพื้นที่—ครูเข้มแข็ง เด็กถึงห้องเรียน ชุมชนได้บริการ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีภูมิประเทศผสมผสาน—ที่ราบ สันเขา หุบเขา—โรงเรียนจำนวนมากรับนักเรียน หลายชาติพันธุ์ และอยู่ห่างไกลบ้าน ทำให้การ พักนอนในโรงเรียน เป็น “สภาพจริง” ไม่ใช่ “ข้อยกเว้น” การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงเป็น เวทีทดสอบ ว่า 3 นโยบายหลักของ ศธ.จะ “จับหัวใจปัญหา” ได้แค่ไหน

  • บ้านพักครู ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน = ลดความเครียดของครู–ลดการโยกย้าย–เพิ่มเวลาคุณภาพกับนักเรียน
  • อาชีวะอาสา = ลดต้นทุนครัวเรือน–สร้างทักษะ–ขยายเครือข่ายบริการสาธารณะในพื้นที่
  • ค่าอาหารนักเรียนพักนอน = หลักประกันขั้นต่ำของการเรียนรู้—ยืนยันว่าความห่างไกลจะไม่ตัดสิทธิเด็กจากโภชนาการที่เหมาะสม

ทั้งสามเสาเมื่อขึงพร้อมกัน จะช่วย “รับน้ำหนัก” โจทย์ใหญ่คือการทำให้ โอกาสทางการศึกษา ไม่ถูกกำหนดด้วย ภูมิศาสตร์ และ รายได้ครัวเรือน

แม่สอด–ตาก” ถึง “เชียงราย” โมเดลโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาที่ตอบโจทย์ภูมิประเทศจริง

ก่อนหน้านี้ รมว.ศธ. ลงพื้นที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อตรวจการศึกษาบนพื้นที่สูง–ชายแดน และได้รับข้อเสนอเรื่อง โดมเอนกประสงค์–โรงอาหาร–อินเทอร์เน็ต–โซลาร์เซลล์–ถังเก็บน้ำ–หอนอนสำหรับนักเรียนบ้านไกล ตลอดจนการ ปรับหลักสูตรแกนกลาง 2551 ให้ทันเทคโนโลยีและโลกการทำงาน

ประเด็นจากแม่สอดสะท้อนเข้ามาที่เชียงรายอย่างพอดิบพอดี—โรงเรียนบนภูเขา ต้องการไฟฟ้า–อินเทอร์เน็ต–น้ำ–อาหาร–ที่พัก และต้องการครูที่ อยู่ได้จริง—นี่คือเหตุผลว่าทำไม “บ้านพักครู–ค่าอาหาร–อาชีวะอาสา” จึงถูกวางเป็น แพ็กเดียว—เพราะทุกชิ้นเชื่อมกันเป็น คุณภาพชีวิต–คุณภาพการเรียนรู้–คุณภาพแรงงาน ในอนาคต

บทสนทนาที่ต้องเกิดขึ้นต่อ เกณฑ์ประเมินครูพื้นที่สูง–สวัสดิการ–ระบบข้อมูล

หนึ่งในข้อเสนอที่ปรากฏชัด คือ ปรับเกณฑ์ประเมินครูพื้นที่สูง/ทุรกันดาร ให้มี เกณฑ์พิเศษ หรือ การประเมินเชิงประจักษ์ ที่สะท้อนภาระงานนอกเวลา—ดูแลนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง—เดินทางยาก—ทำงานกับผู้เรียนต่างชาติพันธุ์—ซึ่งมักไม่ปรากฏในแบบฟอร์มและตารางคะแนน ปรับเกณฑ์ให้ “เห็นงานที่มองไม่เห็น” จะสร้าง ขวัญกำลังใจ ที่จับต้องได้

อีกด้านคือ ระบบข้อมูล—การเยียวยาอาหารนักเรียนพักนอนต้องตั้งอยู่บน ฐานข้อมูลโรงเรียน–จำนวนนักเรียน–ประเภทพื้นที่–ความต้องการโภชนาการ ที่ทันสมัยและตรวจสอบได้ เพื่อให้การของบกลางและการบรรจุแผนปี 2570 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Key Indicators) ที่สังคมควรถาม

  1. จำนวนบ้านพักครูที่ได้รับการปรับปรุงจริง ในเฟสแรก—กี่หลัง—ที่ไหน—เสร็จเมื่อไร—ได้มาตรฐานอะไร
  2. เวลารออนุมัติวิทยฐานะ หลังเปิดช่องทางพิเศษ—ลดลงเท่าไร—ผลต่อแรงจูงใจครูเป็นอย่างไร
  3. บริการ Fix it Center—จำนวนชิ้นที่ซ่อม—มูลค่าค่าซ่อมที่ชาวบ้านประหยัด—จำนวนผู้ผ่านอบรมทักษะอาชีพ—อัตราการต่อยอดทำกิน
  4. การเยียวยาค่าอาหารนักเรียนพักนอน—จำนวนโรงเรียน/นักเรียนที่ได้รับการช่วยเหลือ—ระยะเวลาจ่ายเงิน—ผลต่อ อัตราหลุดจากระบบ ในพื้นที่สูง
  5. การสื่อสารข้อมูลสาธารณะ—เว็บไซต์/แดชบอร์ดที่แสดงความคืบหน้าอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้

ความเสี่ยง–เงื่อนไขสำเร็จ

  • ความเสี่ยงด้านงบประมาณและเวลา ซ่อมบ้านพักครู 13,000 หลังในเฟสแรก ต้องการ “แผนงาน–ผู้รับจ้าง–มาตรฐานงาน–งบ–การกำกับติดตาม” ที่ละเอียด หากสื่อสารไม่ทันหรือเบิก–จ่ายล่าช้า ความเชื่อมั่นอาจสั่นคลอน
  • ความเสี่ยงด้านข้อมูล การเยียวยาอาหารถ้าไม่มีฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ครบถ้วน อาจพลาดกลุ่มเปราะบาง—ต้องให้ สพฐ. ทำงานเชิงรุกกับเขตพื้นที่–โรงเรียนสาขา–ศศช.
  • เงื่อนไขสำเร็จ บูรณาการระหว่าง ศธ.–สอศ.–สพฐ.–จังหวัด–อปท.–ชุมชน–สถาบันอุดมศึกษา ในพื้นที่ให้แน่นแฟ้น—โดยเฉพาะในเชียงรายซึ่งมีมหาวิทยาลัยและเครือข่ายอาชีวะพร้อมเป็นฐานปฏิบัติการ

จากเวียงชัยสู่อนาคต ภาพใหญ่ของ “การศึกษาเพื่อความเสมอภาค”

ภาพสุดท้ายของวันคือครูบนพื้นที่สูงยืนคุยกับช่างอาชีวะที่ยังเก็บเครื่องมือไม่เสร็จ “ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีพวกเรามาช่วย ชาวบ้านคงต้องจ่ายแพงกว่านี้” เสียงตอบกลับเรียบง่าย “ยินดีครับครู เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเรากลับมาฝึกอาชีพชุดใหม่”—บทสนทนาสั้นๆ แต่วางรากฐาน “วัฒนธรรมการดูแลกัน” ระหว่างโรงเรียน–อาชีวะ–ชุมชน

การลงพื้นที่เชียงรายของ รมว.นฤมล จึงไม่ใช่เพียงการประกาศนโยบาย แต่คือ การจัดวางโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา–สังคม ที่เริ่มจาก “บ้านพักครูที่ปลอดภัย” “มื้ออาหารที่มั่นคงของเด็กพักนอน” และ “อาชีวะอาสาที่ทำได้จริง” เมื่อทั้งสามชิ้นประกอบกันอย่างมีกลไกและงบประมาณรองรับ เป้าหมาย Zero Dropout ก็ไม่ใช่เส้นขีดในเอกสารอีกต่อไป แต่เป็นถนนที่เดินได้จริง—จากเวียงชัยสู่หมู่บ้านบนสันเขา และต่อเนื่องไปทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

208 รอยยิ้มในห้องเรียนชีวิต อบจ.เชียงรายเปิดเทอมโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัย

อบจ.เชียงราย–ท้องถิ่นจับมือ เปิด “โรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัย” ปั้นพลังสูงวัยสู่ห้องเรียนชีวิต ขับเคลื่อนชุมชนด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — แสงสายของเช้าวันพฤหัสบดีกรองผ่านหลังคาอาคารชุมชนที่เรียบง่าย ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย กลายเป็นฉากหลังของ “พิธีเปิดการเรียนการสอนโรงเรียนผู้สูงอายุ” ประจำปี 2568 ที่อบอวลด้วยรอยยิ้มและแรงบันดาลใจ ผู้ร่วมงานบอกกันสั้น ๆ ว่า “วันนี้ไม่ใช่แค่การเปิดเทอม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้คนทั้งชุมชนได้เริ่มรูปแบบการพัฒนาใหม่”—ภาพห้องเรียนที่เต็มไปด้วยคุณตาคุณยาย 208 คน สะท้อนสารสำคัญว่า การเรียนรู้ไม่สิ้นสุดตามอายุ” และการดูแลผู้สูงวัยที่ยั่งยืน เริ่มต้นจากการเสริมพลังให้พวกเขาเป็นเจ้าของศักยภาพของตนเอง

พิธีเปิดในวันนี้ได้รับเกียรติจาก นางสาวธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย อำเภอเวียงชัย เขต 1 ผู้แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาล ผู้นำชุมชน หน่วยงานภาครัฐ–เอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงรายที่มาร่วม “เชื่อมขีดความสามารถ” เข้ากับ “ความต้องการจริง” ของผู้สูงอายุในพื้นที่

เมล็ดพันธุ์ที่เพาะมานาน จากปี 2558 สู่รากฐานความยั่งยืน

โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลศิริเวียงชัย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 ท่ามกลางบริบทที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างต่อเนื่อง โมเดล “ห้องเรียนชีวิต” ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน ไม่ใช่โครงสร้างการศึกษาที่แยกตัวจากชีวิตจริง โรงเรียนจึงทำหน้าที่มากกว่า “สถานที่ถ่ายทอดความรู้” แต่เป็น แพลตฟอร์มการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ด้านสุขภาพ การดำเนินชีวิต การสร้างรายได้ และการมีส่วนร่วมทางสังคม—หัวใจสำคัญคือการให้ผู้สูงวัย “พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น” และ “ยังมีบทบาทเป็นกำลังพัฒนาชุมชนได้จริง”

ตลอดเส้นทางกว่า 10 ปี โรงเรียนได้ขยายหลักสูตรหลากหลาย ตั้งแต่ความรู้ด้านการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะกับวัย ไปจนถึงทักษะดิจิทัลเบื้องต้น การสื่อสารออนไลน์อย่างปลอดภัย การเงินครัวเรือน–หนี้สินชุมชน งานฝีมือและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเชิงอาชีพ รวมถึงกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อสังคม หลักสูตรเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “เนื้อหาในตำรา” หากแต่เป็น คำตอบต่อปัญหาจริงในชีวิตประจำวัน—จากการดูแลสุขภาพของตนเองและคู่ชีวิต การเข้าถึงสวัสดิการ การหาตลาดให้สินค้าชุมชน ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกหลานที่อยู่ต่างจังหวัดผ่านช่องทางออนไลน์

เปิดเทอม 2568  “ห้องเรียน 4 มิติ” ที่ออกแบบจากโจทย์ชีวิต

ปีนี้ โรงเรียนวางโครงสร้างการเรียนรู้ไว้ 4 มิติหลัก เพื่อเชื่อมการศึกษาเข้ากับคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

  1. มิติสุขภาพกาย–ใจ (Active & Healthy Ageing):
    • เวิร์กช็อป “ยืดเหยียดอย่างปลอดภัย” ปรับใช้กับข้อเข่า–ข้อไหล่
    • ฝึกหายใจแบบมีสติ เพื่อลดความเครียดและเสริมคุณภาพการนอน
    • คลินิกความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และโภชนาการสำหรับผู้สูงวัย ร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  2. มิติการดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง:
    • เคล็ดลับ “บ้านปลอดภัย” ลดการหกล้มและอุบัติเหตุในบ้าน
    • คู่มือสวัสดิการผู้สูงอายุ–เบี้ยยังชีพ–การเข้าถึงบริการรัฐ
    • ทักษะดิจิทัลจำเป็น เช่น การใช้แอปนัดหมายพบแพทย์ การโอนเงินอย่างปลอดภัย การระวังข่าวปลอมและกลโกงออนไลน์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ วิทยาลัยชุมชนเชียงราย
  3. มิติสร้างรายได้เสริม–เสริมพลังเศรษฐกิจครัวเรือน:
    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP/ของฝาก) ตั้งราคาขาย คำนวณต้นทุน–กำไร
    • บัญชีครัวเรือนและแผนเงินออมเพื่อการดูแลระยะยาว
    • ช่องทางตลาดออนไลน์อย่างง่าย ใช้เพจ–กลุ่ม–แพลตฟอร์มท้องถิ่นสนับสนุนการขาย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  4. มิติการมีส่วนร่วมทางสังคม (Silver Volunteer):
    • กลุ่มอาสาดูแลผู้สูงวัยติดบ้าน–ติดเตียงในชุมชน
    • โครงการ “เล่าเรื่องเมืองเวียงชัย” เก็บภูมิปัญญา–ประวัติชุมชนเพื่อนำไปใช้พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • สภาผู้สูงอายุย่อย เพื่อสะท้อนปัญหาและร่วมออกแบบคำตอบกับเทศบาล

การจัดมิติดังกล่าวทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับความรู้แบบกระจัดกระจาย แต่ เห็นเส้นเชื่อมโยง ระหว่างสุขภาพ–รายได้–สิทธิ–การมีส่วนร่วม นำไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ยั่งยืนกว่า เช่น ผู้เรียนที่เคยกังวลเรื่องภาวะหกล้ม ปรับบ้านและจัดระเบียบพื้นที่เดินภายในหนึ่งสัปดาห์ หรือกลุ่มที่ทำของฝากชุมชน สามารถตั้งต้นทุน–กำหนดราคาที่เป็นธรรม พร้อมเรียนรู้วิธีบันทึกบัญชีอย่างเป็นระบบ

เครือข่าย” คือรากฐาน เมื่อทุกฟันเฟืองขยับไปในทิศทางเดียวกัน

ความสำเร็จของโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง หากเกิดจาก การบูรณาการความร่วมมือ ของหลายหน่วยงาน ได้แก่

  • เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย เจ้าภาพหลักในการบริหารจัดการพื้นที่ งบประมาณพื้นฐาน และการสื่อสารกับชุมชน
  • อบจ.เชียงราย บทบาทผู้เชื่อมโยงทรัพยากร สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และขยายผลสู่ระดับอำเภอ–จังหวัด
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ให้ความรู้ด้านป้องกันโรค การคัดกรองสุขภาพ และระบบส่งต่อ
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย สนับสนุนองค์ความรู้ด้านสวัสดิการ สังคมสงเคราะห์ และการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย โค้ชชิ่งการสร้างอาชีพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเชื่อมตลาด
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ วิทยาลัยชุมชนเชียงราย ถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงวิชาการ ทักษะดิจิทัล และเครื่องมือประเมินผลหลักสูตร

เครือข่ายแบบนี้ทำให้โรงเรียนไม่ต้อง “คิดเอง–ทำเอง” ทุกเรื่อง แต่สามารถ ยกเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญตรงสาขา เข้ามาส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ และประกันคุณภาพผลลัพธ์กับผู้เรียน

เสียงจากพื้นที่เมื่อผู้สูงวัยเป็น “ครูใหญ่” ของประสบการณ์

แม้ในพิธีเปิดจะไม่มีคำปราศรัยยาวเหยียด แต่ท่าทีและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนสะท้อนความคาดหวังชัดเจน—หลายคนเลือกเข้าหลักสูตรสุขภาพเพื่อ “แข็งแรงอย่างพอดี” หลายคนอยากเรียนดิจิทัลเพื่อ “คุยกับหลานได้คล่องขึ้น” บางคนมองหาโอกาส “ต่อยอดงานฝีมือเป็นรายได้” ขณะที่อีกไม่น้อยต้องการ “ใช้เวลาให้มีคุณค่าและประโยชน์” ผ่านงานอาสาสมัคร

เมื่อบทบาทผู้สูงวัยเปลี่ยนจาก “ผู้รับบริการ” สู่ “ผู้มีส่วนร่วม” โรงเรียนจึงไม่ใช่ ที่สอน เพียงด้านเดียว แต่เป็น เวทีแลกเปลี่ยน ที่ผู้เรียนถ่ายทอดเทคนิคการครัวพื้นบ้าน วิธีการปลูกผักสวนครัวปลอดภัย แก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่เคยผ่านมาก่อน ตลอดจนเรื่องเล่าเก่าก่อนของเวียงชัย—องค์ความรู้เหล่านี้กลายเป็นหลักสูตร “จากชุมชนสู่ชุมชน” ที่สถาบันการศึกษาภายนอกก็ย้อนกลับมาเก็บข้อมูลวิจัยเชิงพื้นที่ สร้างคุณค่าร่วมกันอย่างงดงาม

เชื่อมโยงยุทธศาสตร์จังหวัด ผู้สูงวัย = กำลังพลทางสังคม

ในระดับจังหวัด เชียงรายเดินหน้าวาระ “เมืองน่าอยู่–เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง–ชุมชนเกื้อกูล” การลงทุนด้านผู้สูงอายุจึงไม่ใช่ภาระ แต่คือ ทุนทางสังคม ที่สร้างผลคูณ เศรษฐกิจชุมชนได้ประโยชน์จากแรงงาน–ทักษะ–เครือข่ายของผู้สูงวัย ขณะที่ระบบสุขภาพได้ประชากรที่ดูแลตนเองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังและการเข้ารับบริการฉุกเฉินบ่อยครั้ง ส่วนระบบการศึกษาได้ “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชนผ่านกิจกรรมบ่มเพาะทักษะชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น

สำหรับ อบจ.เชียงราย โครงการโรงเรียนผู้สูงอายุสอดรับแนวคิด “การพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงรุกทุกช่วงวัย” ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการสังคม และสร้างกลไกให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าของการพัฒนาอย่างแท้จริง—เมื่อเทศบาลสามารถออกแบบหลักสูตรจากโจทย์พื้นที่จริง และเชื่อมหน่วยงานเชี่ยวชาญเข้ามาสนับสนุน ผลลัพธ์จึง “อยู่ได้ยาว” ไม่ใช่กิจกรรมฉาบฉวย

จับต้องผลลัพธ์ ตัวชี้วัดง่าย แต่ทรงพลัง

เพื่อให้โครงการขับเคลื่อนต่อเนื่อง โรงเรียนวางกรอบ ตัวชี้วัดเชิงพฤติกรรม ที่ติดตามได้จริง ได้แก่

  • ผู้เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละหนึ่งของประชากรผู้สูงอายุในตำบลเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ
  • ร้อยละของผู้เรียนที่ปรับพฤติกรรมสุขภาพ (เช่น เดินวันละ 6–8 พันก้าว ปรับอาหารหวาน–มัน–เค็ม ลดหวานน้ำชา–กาแฟ) ภายใน 8–12 สัปดาห์
  • ร้อยละของผู้เรียนที่จัดทำบัญชีครัวเรือนต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป
  • จำนวน “กลุ่มย่อย” ที่เกิดขึ้นจริง (กลุ่มเดินเช้า กลุ่มสมุนไพร กลุ่มฝีมือ–ของฝาก กลุ่มอาสาดูแลผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง)
  • ความพึงพอใจต่อการเข้าถึงสวัสดิการและข้อมูลภาครัฐ

ตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน แต่เพียง ความต่อเนื่อง ก็สะท้อนคุณภาพโครงการได้ชัดเจน—ห้องเรียนที่ผู้เรียนกลับมาอย่างสม่ำเสมอ คือห้องเรียนที่ “มีความหมาย” ต่อชีวิตจริงของพวกเขา

ความปลอดภัย–การเข้าถึง–สิ่งแวดล้อม มาตรฐานบริการเพื่อคนทุกวัย

การเรียนรู้ของผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกเป็นพิเศษ ศูนย์ฯ จึงปรับสภาพแวดล้อม เช่น พื้นกันลื่น ทางลาดสำหรับรถเข็น ห้องน้ำผู้สูงวัย เก้าอี้พนักพิงสูงมีที่วางแขน พร้อมทีมอาสาจากโรงเรียนและชุมชนคอยประคองขึ้น–ลงบันได กำหนดช่วงเวลาพักทุก 45–60 นาที และมีมุมตรวจวัดความดัน–ระดับน้ำตาลก่อน–หลังเรียนในบางกิจกรรม

ด้านสิ่งแวดล้อม โรงเรียนใช้แนวคิด “ห้องเรียนปลอดขยะ” สนับสนุนกระติกน้ำส่วนตัว ภาชนะใช้ซ้ำ และถังคัดแยก 3 ประเภท โดยร่วมกับกลุ่มรีไซเคิลชุมชนมารับ–แยกต่อยอดรายได้ นอกจากลดภาระเทศบาลยังเป็นกิจกรรม “ขยายผล” ให้ผู้เรียนพาแนวทางกลับไปปรับใช้ที่บ้าน

บทเรียนจากเวียงชัยต้นแบบที่ขยายผลได้

สิ่งที่น่าสนใจคือโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยไม่เพียงเป็น โมเดลของตำบล แต่มีศักยภาพจะเป็น ต้นแบบของอำเภอเวียงชัย–จังหวัดเชียงราย ด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ

  1. เจ้าภาพชัดเจน (เทศบาล–อบจ.) มีงบประมาณและบุคลากรรองรับ
  2. เครือข่ายหนุนหลังแข็งแรง ครอบคลุมสุขภาพ–สังคม–เศรษฐกิจ–การศึกษา
  3. หลักสูตรยืดหยุ่น ปรับตามบริบท เช่น ฤดูกาลเพาะปลูก เทศกาลท้องถิ่น และประเด็นปัจจุบัน (ภัยไซเบอร์–ข่าวปลอม–โรคระบาด)

เมื่อองค์ประกอบครบ โรงเรียนผู้สูงอายุจะไม่ใช่ “โครงการสั้น ๆ” แต่เป็น สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน ที่ตอบโจทย์ประชากรสูงวัยมากขึ้นทุกปี

มองภาพใหญ่ ผู้สูงวัยไม่ใช่ผู้ตาม แต่เป็น “ผู้นำภารกิจชุมชน”

หากมองลึกลงไป โรงเรียนผู้สูงอายุคือการ จัดวางบทบาทใหม่ให้ผู้สูงวัย จากภาพจำเดิม ๆ ว่าต้องได้รับการดูแล สู่ภาพของ “ผู้นำภารกิจ” หลายด้าน—ครูภูมิปัญญา ผู้ประสานรอยต่อรุ่น แกนนำสาธารณสุขชุมชน ผู้เฝ้าระวังภัยทางสังคมรูปแบบใหม่ และผู้ประกอบการรายย่อยที่ส่งต่อรายได้สู่ครัวเรือน การ “คืนพื้นที่นำ” ให้ผู้สูงวัยเช่นนี้ ทำให้ชุมชนเวียงชัยมี ทุนทางสังคม ที่แข็งแกร่งขึ้นโดยอัตโนมัติ และเมื่อทุนนี้หมุนกับระบบสนับสนุนของรัฐท้องถิ่น ก็ยิ่งขยายผลได้กว้าง

เปิดเทอมของใจ เปิดทางของเมือง

การเปิดการเรียนการสอนโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการย้ำว่าการพัฒนาที่แท้จริงเริ่มจาก คน และ พื้นที่—เมื่อผู้สูงวัย 208 คนกลับเข้าห้องเรียน เมืองทั้งเมืองก็ได้ “ครูใหม่” เพิ่มอีก 208 คน ที่พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต สร้างสังคมเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล และยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง

ความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย และเครือข่ายท้องถิ่นในการผลักดัน การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้เป็นวาระปกติของเมือง คือคำตอบต่อคำถามใหญ่ของยุคสูงวัยว่า จะทำอย่างไรให้ทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—คำตอบอาจเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เปิดห้องเรียนให้ชีวิต และเปิดชีวิตให้สังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย  
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พม.)
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วิทยาลัยชุมชนเชียงราย
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) — Healthy Ageing Framework
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เวียงเชียงรุ้งเร่งเครื่อง “วิ่งเลาะเวียง” โมเดลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุ่นเครื่องเศรษฐกิจชุมชน

เวียงเชียงรุ้งเร่งเครื่อง “วิ่งเลาะเวียง” ปลายฝนต้นหนาว โมเดลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–เศรษฐกิจชุมชน ที่ออกสตาร์ทด้วยความพร้อมและความหวัง

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — ลมเย็นแรกของฤดูกาลกำลังเลียบไหล่เขาทางตะวันออกของเชียงราย ขณะเดียวกัน “อำเภอเวียงเชียงรุ้ง” ก็กำลังเร่งฝีเท้าสู่จุดปล่อยตัวครั้งสำคัญของการท่องเที่ยวฤดูหนาว ด้วยกิจกรรมวิ่งถนนขนาดกลางที่วางเป้าหมายไว้ชัดเจนทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์พื้นที่ นั่นคือ วิ่งเลาะเวียง 4 เมืองล้านนาตะวันออก จังหวัดเชียงราย ตอน เวียงเชียงรุ้ง” ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 22–23 พฤศจิกายน 2568โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนักวิ่งลงทะเบียนแล้ว 728 คน พร้อมเส้นทาง 4 ระยะ ที่ตั้งใจ “ให้ทุกคนวิ่งได้” ตั้งแต่งานสายกิน–เที่ยวไปจนถึงมาราธอนเต็มระยะ

ภาพรวมทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากแต่เป็นผลของการ “บูรณาการจริงจัง” ระหว่างภาครัฐ–เอกชน–ชุมชนท้องถิ่น สะท้อนจากการประชุมเตรียมความพร้อมเมื่อ 7 ตุลาคม 2568 ที่ The Estretto Restaurant ซึ่งมี นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, นายภาณุพันธ์ เอี่ยมอุบลสุวรรณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา และ นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง ร่วมเป็นประธาน พร้อมผู้เกี่ยวข้องรอบด้าน แนวทางที่วางไว้ชัดเจน ใช้กีฬาเป็นเข็มทิศให้การท่องเที่ยวปลายปี อุ่นเครื่องเศรษฐกิจชุมชน” ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดี

เล่าจากห้องประชุมสู่เส้นทางจริง เมื่อ “วิ่ง” ไม่ได้แปลว่าแค่กิโลเมตร

สาระจากการเตรียมงาน มี 3 แกนหลัก

  1. มาตรฐานความปลอดภัยและบริการ
    คณะทำงานให้ความสำคัญกับการจัดการเส้นทาง จุดบริการน้ำ จุดพยาบาล และการจราจรตลอดคอร์ส โดยยึดแนวปฏิบัติการแข่งขันวิ่งถนนสมัยใหม่ เช่น การกระจายจุดให้น้ำตามสภาพภูมิประเทศ, การประสานงานหน่วยกู้ชีพท้องถิ่น, การกำหนดจุดตัด (cut-off) ให้เหมาะสมกับทุกระยะ และการสื่อสารระยะจริง–ระดับความยากให้ผู้เข้าร่วมทราบล่วงหน้า
  2. ดีไซน์ระยะทาง “ครอบคลุมทุกคน”
    • Kilo Run 2.5 กม. โจทย์คือ “ชวนคนทั้งบ้านมาเคลื่อนไหว” ได้วิ่ง ได้ชิม ได้ถ่ายรูป
    • Fun Run 5 กม. ระยะยอดนิยมสำหรับผู้เริ่มวิ่งและนักท่องเที่ยว
    • Half Marathon 21 กม. จับกลุ่มนักวิ่งประสบการณ์กลาง ที่ต้องการวิวชนบท–นาข้าว–เนินสวย
    • Marathon 42 กม. สำหรับนักวิ่งจริงจังที่มองหาเส้นทางธรรมชาติในภาคเหนือปลายฝนต้นหนาว

รูปแบบรางวัลถูกออกแบบให้ “ปลอดแรงกดดันแต่จูงใจ” 100 คนแรกของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) รับเสื้อ Finisher ขณะที่ Kilo Run แจก กระบอกน้ำที่ระลึก เพื่อย้ำภาพ “งานของทุกคน”

  1. บรรยากาศนอกสนามที่คิดเผื่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 19.00 น. จะมี มินิคอนเสิร์ต “ศาล สานศิลป์” เติมสีสันช่วงรับนักวิ่งนอกพื้นที่และครอบครัว ให้ “ค่ำคืนก่อนวิ่ง” เป็นพื้นที่ของการพักผ่อน พบปะ และจับจ่ายในท้องถิ่น

ทำไม “เวียงเชียงรุ้ง” ต้องวิ่ง เศรษฐกิจ–สุขภาพ–อัตลักษณ์ ในงานเดียว

เศรษฐกิจชุมชน แม้จำนวนผู้เข้าร่วม 728 คนจะไม่ใช่งานใหญ่ระดับหมื่น แต่ด้วย สัดส่วนผู้ติดตาม และ การพักค้างคืน (โดยเฉพาะผู้ลงฮาล์ฟ–มาราธอน) เงินใช้จ่ายจะกระจายไปยัง ที่พักโฮมสเตย์–รีสอร์ทขนาดเล็ก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–รถรับจ้าง–ร้านค้าชุมชน ตลอดสุดสัปดาห์ ก่อนถึงไฮซีซันปลายปี การแข่งขันในเดือนพฤศจิกายนจึงถูกวางให้เป็น “ตัวอุ่นเครื่องกระแสท่องเที่ยว” ช่วยให้ผู้ประกอบการได้ลองแพ็กเกจ–ชิมเมนู–ทดสอบบริการ ก่อนเข้าสู่คริสต์มาส–ปีใหม่ สุขภาพและทุนทางสังคม การวิ่งไม่ได้หมายถึง “นักกีฬา” เท่านั้น แต่คือการขยับร่างกายของคนทุกวัยตามคำแนะนำสากล เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำการมีกิจกรรมแอโรบิกอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ สำหรับผู้ใหญ่ งานวิ่งชุมชนที่ออกแบบให้เข้าถึงทุกกลุ่มจึงเป็น เครื่องมือสร้างวินัยสุขภาพ และ “ทุนทางสังคม” ที่คนในพื้นที่ ซ้อม–วิ่ง–เชียร์ ร่วมกัน

สาม, อัตลักษณ์และภาพจำ
“ล้านนาตะวันออก” มี ภูมิทัศน์ชนบท–ไร่นา–สายหมอก ที่ต่างจากเมืองใหญ่ การจับ “เลนธรรมชาติ” มาอยู่ในเส้นทาง และการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมขนาดย่อมในบริเวณงาน จะทำให้ผู้มาเยือน จดจำรสชาติท้องถิ่น ผ่านสิ่งเล็ก ๆ เสียงเกราะไม้เรียกนกยามเช้า, กลิ่นกาแฟคั่วอุ่น ๆ ริมทาง, ผ้าทอและงานคราฟต์ชุมชน นี่คือ soft power ที่ไม่ต้องตะโกน

กลไกความพร้อม เมื่อ “บูรณาการ” ไม่ใช่คำสวยหรู

จากเอกสารการประชุม 7 ตุลาคม 2568 แนวทางปฏิบัติถูกไล่ชัดเป็นข้อ ๆ

  • เส้นทางและจราจร การสำรวจเส้นทางร่วมกับอปท. ทต./อบต. และสถานศึกษา เพื่อกำหนดจุดเสี่ยงทางแยก–ทางโค้ง–สะพาน พร้อมแผนปิด–เปิดช่องทางชั่วคราวให้กระทบชุมชนน้อยที่สุด
  • การแพทย์ฉุกเฉิน ประสานหน่วยกู้ชีพท้องถิ่น จุดปฐมพยาบาลเคลื่อนที่, ระบบวิทยุสื่อสาร, รถพยาบาลสแตนด์บายตามจุดระยะ 5–7 กม., และกระบวนการส่งต่อ รพ.ใกล้ที่สุด
  • สิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุลดขยะ–คัดแยกขยะงาน, สนับสนุนแก้ว/ขวดส่วนตัว, ออกแบบจุดให้น้ำที่ลด Single-use, และกำหนดทีมเก็บกวาดหลังขบวนสุดท้าย
  • การสื่อสารผู้ร่วมงาน แผนประชาสัมพันธ์เส้นทาง–เวลาปิดถนน–จุดจอดรถ–รถรับส่ง (shuttle) ชัดเจน, แผนสภาพอากาศ–แผนปรับเวลา (หากมี) เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก
  • มิติชุมชน บูธชุมชน–ตลาดเล็ก ๆ ในพื้นที่จัดงาน ให้ชาวบ้านนำสินค้าพื้นถิ่น–อาหารท้องถิ่นมาจำหน่าย สร้างการมีส่วนร่วมพร้อมรายได้เสริม

ในเชิงมาตรฐาน งานวิ่งที่ดีในพื้นที่ต่างจังหวัดยุคนี้ ต้องทำให้คนในพื้นที่ “อยู่ร่วมกับงาน” อย่างราบรื่น มากกว่ารู้สึกว่าถูก “ปิดถนนให้คนนอกมาวิ่ง” เวียงเชียงรุ้งกำลังเดินในเส้นทางนี้

4 ระยะ 4 ประสบการณ์ ออกแบบให้ “เข้าถึง–สวย–ปลอดภัย”

แม้รายละเอียดระดับจุด กม. จะประกาศใกล้วันงาน แต่กรอบใหญ่ของประสบการณ์ถูกวางไว้พร้อม

  • Kilo Run 2.5 กม. — โฟกัสครอบครัว/มือใหม่ เดินสลับวิ่งได้ สนามถ่ายภาพเยอะ จุดให้น้ำ 1 จุดเพียงพอ เน้นอาสาสมัครให้กำลังใจ
  • Fun Run 5 กม. — วิ่งวนผ่านชุมชน–ทุ่งนา ทางเรียบ–เนินน้อย วิ่งกลางเช้าอากาศเย็น รับเส้นชัยพร้อมกิจกรรมสันทนาการ
  • Half Marathon 21 กม. — ระยะ “เวียงเชียงรุ้งในเช้าวันจริง” เจอเนินยาวบ้าง วิวโล่ง–ทุ่ง–เส้นทางชนบท ต้องบริหารพลัง น้ำ/เกลือแร่ทุก 2–3 กม.
  • Marathon 42 กม. — งานสำหรับนักวิ่งจริงจัง เส้นทางหลากหลายภูมิประเทศ ต้องวางแผน pace–พลังงาน–อากาศ งานบริการควรใส่จุดน้ำ–เจล–ห้องน้ำเคลื่อนที่ถี่กว่าปกติ

การให้ เสื้อ Finisher แก่ 100 คนแรก ของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) เป็นการวางสิ่งจูงใจที่ “ชัด แต่ไม่กดดัน” เพราะเกียรติยศยังอยู่ที่การ “ข้ามเส้นชัยอย่างปลอดภัย” มากกว่าการไล่จับเวลา

นอกเส้นทาง ดนตรี–อาหาร–วัฒนธรรม ที่ยกมารวมไว้ในสุดสัปดาห์เดียว

คอนเสิร์ต ศาล สานศิลป์” คืนก่อนแข่ง คือหัวใจดึงนักวิ่ง–ผู้ติดตามให้อยู่กับพื้นที่นานขึ้น เกิดการจับจ่าย–เข้าพัก–ใช้บริการในชุมชน นอกจากนี้ ฝ่ายจัดยังวาง พื้นที่ชิม–ช้อปของดีเวียงเชียงรุ้ง ทั้งกาแฟพื้นถิ่น–ผักผลไม้ตามฤดูกาล–อาหารล้านนาง่าย ๆ ให้เป็น “สนามพบปะ” ของคนใน–คนนอก สร้างประสบการณ์รวมที่น่าจดจำ

คิดล่วงหน้าเรื่องความเสี่ยง อากาศ–ความพร้อม–การแพ้กลูโคส

ช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเช้าเย็น–บ่ายร้อนแดด ถ้าฟ้าเปิด การสูญเสียเหงื่ออาจสูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะนักวิ่งมาราธอน–ฮาล์ฟ การจัดการ น้ำ–เกลือแร่–จุดพยาบาล–รถพยาบาล จึงเป็นหัวใจ นอกจากนี้ กลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้มีโรคประจำตัว, เคยเป็นลมแดด, ภาวะน้ำตาลต่ำ) ต้องได้รับคำแนะนำให้ เตรียมตัว–แจ้งอาสาฯ–พกยาประจำตัว รวมถึงการเผยแพร่ คู่มือเตรียมตัว 7–14 วันก่อนแข่ง เพื่อให้ทุกคนถึงเส้นชัยด้วยความปลอดภัย

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตัวคูณที่เกิดจริงในชุมชน

งานวิ่งขนาด 700–1,000 คน มักสร้างการใช้จ่ายต่อหัวที่กระจายไปยังที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ของที่ระลึก หากบริหาร ตลาดชุมชน ให้เชื่อมกับงานหลักอย่างเหมาะสม จะเกิด เงินใหม่” เข้าชุมชน แท้จริง (ไม่ใช่แค่หมุนภายใน) ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนท้องถิ่น (คาเฟ่–รีสอร์ท) สามารถใช้โอกาสนี้ พล็อตแพ็กเกจปลายปี ให้กับนักวิ่งที่ “กลับมาอีก” ในช่วงไฮซีซัน การสร้าง ฐานลูกค้าซ้ำ (repeaters) คืองานเงียบ ๆ ที่คุ้มค่าที่สุด

เวียงเชียงรุ้งในแผนที่ท่องเที่ยวเชียงราย เติมช่องว่าง “ธรรมชาติใกล้–จริง–อบอุ่น”

เชียงรายมีแม่เหล็กท่องเที่ยวระดับประเทศอยู่แล้ว ทั้งวัดร่องขุ่น–ไร่ชา–ดอยแม่สลอง–ดอยตุง จึงเป็นธรรมดาที่ “อำเภอใหม่ ๆ” ต้อง หาเลนเฉพาะ ของตน งานวิ่งชุมชนที่ดี ทำให้ “พื้นที่ที่คนยังไม่คุ้น” ได้โอกาสโชว์ ถนนโล่ง–ทุ่งนา–วิถีบ้าน แบบไม่ยัดเยียด เวียงเชียงรุ้งกำลังวางตำแหน่งตนเองในเลนนั้น ธรรมชาติจริงมากกว่าฉาก, ผู้คนจริงมากกว่ารีวิว, และ ประสบการณ์อบอุ่นมากกว่าเช็กอิน

เสียงที่ยังไม่ต้องเป็นคำพูด ความร่วมมือคือหัวใจ

แม้การประชุมครั้งล่าสุดไม่ได้เปิดเผยคำกล่าวอย่างเป็นทางการของผู้บริหารต่อสาธารณะ แต่สารที่ส่งออกมาชัดเจนอยู่แล้วจาก รูปแบบการทำงาน—เวียงเชียงรุ้งไม่ได้กำลังจัด “งานของใครคนหนึ่ง” หากกำลังจัด “งานของพื้นที่” ที่ทุกหน่วยต้อง เกาะเกี่ยวกัน ตั้งแต่ อบจ./อบต., โรงเรียน, โรงพยาบาล, ตำรวจทางหลวง, ผู้ใหญ่บ้าน, ชมรมอาสาสมัคร, ผู้ประกอบการท่องเที่ยว, ไปจนถึงชาวบ้านที่เปิดบ้านเป็นจุดบริการหรือลูกมือข้างทาง

ความสำเร็จของงานวิ่ง จึงมักไม่ได้จบที่จำนวนผู้เข้าเส้นชัย หากจบที่ว่า วันรุ่งขึ้น ชุมชนยังยิ้มให้กันได้เหมือนเดิม และพร้อมเปิดบ้านรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง—ซึ่งคือ “ความยั่งยืน” แบบจับต้องได้

ข้อเสนอแนะเชิงระบบ ให้ “วิ่งเลาะเวียง” เป็นสินทรัพย์ระยะยาว

  1. สร้างมาตรฐานซ้ำได้ (Repeatable Standard)
    บันทึกคู่มือจัดการเส้นทาง–จราจร–แพทย์–อาสาสมัคร–สิ่งแวดล้อม ให้ทีมรุ่นต่อไปทำซ้ำได้โดยไม่เริ่มจากศูนย์
  2. เก็บข้อมูลจริง (Event Intelligence)
    เก็บข้อมูลอายุ–ภูมิลำเนา–พฤติกรรมจับจ่าย–ระยะพักคืน–ความพึงพอใจ เพื่อนำไปออกแบบแพ็กเกจท่องเที่ยวและสปอนเซอร์ปีหน้า
  3. เชื่อมการศึกษา–สุขภาพ (Schools x Health)
    ใช้งานวิ่งเป็นตัวคูณให้โรงเรียนในพื้นที่สร้างชมรมวิ่ง–ชมรมอาสาฯ ต่อเนื่อง สร้างทุนสุขภาพเยาวชน
  4. ยั่งยืนสิ่งแวดล้อม (Green Race)
    ลด single-use อย่างจริงจัง, จัดคัดแยกขยะ, ส่งเสริมรีฟิล, และรายงาน “คาร์บอนฟุตพริ้นต์” คร่าว ๆ หลังจบงาน เพื่อเป็นโมเดลงานสีเขียวของจังหวัด

เชิญชวนด้วยความพร้อมใจ 22–23 พฤศจิกายนนี้ พบกันที่เวียงเชียงรุ้ง

  • สถานที่: โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้ง
  • ระยะ: 2.5 กม. (Kilo Run) / 5 กม. (Fun Run) / 21 กม. (Half) / 42 กม. (Full)
  • ของที่ระลึก: ผู้เข้าเส้นชัย 100 คนแรกของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) รับเสื้อ Finisher / Kilo Run รับกระบอกน้ำที่ระลึก
  • กิจกรรมพิเศษ: มินิคอนเสิร์ต ศาล สานศิลป์” วันที่ 22 พ.ย. เวลา 19.00 น.
  • หัวใจของงาน: วิ่งอย่างปลอดภัย เคารพชุมชน สนับสนุนของดีท้องถิ่น และพากันกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม

เวียงเชียงรุ้งอาจไม่ได้อยู่กลางแผนที่ท่องเที่ยวหลักของเชียงราย แต่ในสุดสัปดาห์ปลายฝนต้นหนาวนี้ เมืองเล็กกำลังเปิดทางให้ทุกคนได้ “เลาะ” พื้นที่ที่เงียบงามด้วยรองเท้าคู่เดิม และหัวใจที่ตั้งใจจะวิ่งเพื่อสุขภาพ เพื่อชุมชน และเพื่อความจำดี ๆ ร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  •  สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา
  • ที่ว่าการอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมการท่องเที่ยว
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่แม่สาย สู่ศูนย์สุขภาพชุมชน 82 ไร่

หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ของแม่สาย สวนสาธารณะ–ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน สร้างเสร็จครบเฟส เตรียมส่งมอบบริหารให้ อบต.โป่งผา

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — พื้นที่เหนือสุดแดนสยาม ลมจากดอยผ่าลงมาช่วยพาไอเย็นแตะผิวน้ำ “หนองน้ำพุ” แหล่งพักผ่อนขนาด 82 ไร่ กลางตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ชาวบ้านเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยานสลับกันตามลู่วิ่งรอบบึง เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ บนลานกิจกรรมคละเคล้าเสียงนกน้ำ—ภาพที่หลายคนเคยจินตนาการ วันนี้กลายเป็น “ของจริง” หลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จเต็มรูปแบบ และกำลัง รอพิธีส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ จากกรมโยธาธิการและผังเมืองสู่ องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา) เพื่อเริ่มต้นบทบาทการบริหารจัดการโดยชุมชนอย่างเป็นระบบ

โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 180 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือของ สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย สังกัดกระทรวงมหาดไทย ในกรอบ โครงการพัฒนาพื้นที่รอบอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ดำเนินการต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2566–2568) จนเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลน ทั้งคันบ่อ ระบบภูมิสถาปัตยกรรมทางน้ำ ลู่วิ่ง–ทางจักรยาน ลานอเนกประสงค์ และพื้นที่สีเขียวรองรับกิจกรรมครอบครัว

ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา กล่าวขอบคุณหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนและผลักดันให้โครงการสำเร็จ พร้อมระบุว่า การส่งมอบพื้นที่จะทำให้ อบต.สามารถจัดระบบดูแล–บำรุงรักษา จัดตารางกิจกรรม และพัฒนาเฟสต่อเนื่องได้อย่างเต็มศักยภาพ “หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน และเราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง”

จาก “แนวคิด” สู่ “พื้นที่ที่จับต้องได้” บทเรียนการพัฒนาเชิงระบบ

หนองน้ำพุ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการถมดิน–ขุดบ่ออย่างฉับพลัน แต่เป็นผลของการวางผังและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอย่างมีขั้นตอน จุดเน้นของโครงการมีสองมิติที่เดินคู่กัน ได้แก่

  1. มิติสิ่งแวดล้อมและภูมินิเวศ
  • ใช้ “บึงหนอง” เป็นแกนกลาง เพื่อทำหน้าที่ทั้ง พื้นที่รับน้ำ ในฤดูฝน, บ่อหน่วงน้ำ ช่วยชะลอน้ำหลาก และ แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงพืชพรรณ ในหน้าแล้ง
  • ออกแบบ พื้นที่ชุ่มน้ำตื้น (shallow wetland) รอบบึง ช่วยกรองตะกอน–ดูดซับสารอาหารส่วนเกิน เพิ่มความหลากหลายของสัตว์น้ำและนกอพยพ
  • ปลูกไม้ยืนต้นท้องถิ่นให้ร่มเงา ลดเกาะความร้อนในเมือง (urban heat island) รอบชุมชน
  1. มิติสุขภาวะและพื้นที่สาธารณะ
  • ลู่วิ่ง–ทางจักรยานแยกเลน, ลานกิจกรรมอเนกประสงค์, สนามเด็กเล่น, ลานผู้สูงอายุ และจุดชมวิวรอบหนอง
  • แนวคิด Universal Design ทางลาด–ราวจับ–พื้นผิวต่างสัมผัส เพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงวัยเข้าถึงได้จริง
  • จุดลาน “สันทนาการครอบครัว” ที่มองเห็นผืนน้ำ เปิดรับลม ดึงคนทุกช่วงวัยให้ออกมาใช้พื้นที่ร่วมกัน

เมื่อรวมกับเครือข่ายพื้นที่สาธารณะเดิม—วัด โรงเรียน ตลาด และทางเชื่อมสัญจรของหมู่บ้าน—หนองน้ำพุจึงกลายเป็น “หัวใจสีเขียว” ดวงใหม่ของตำบลโป่งผา เชื่อมชีวิตประจำวันของผู้คนกับธรรมชาติอย่างแนบเนียน

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง 20,000+ การใช้งาน—สัญญาณ “ถูกจริตชุมชน”

แม้ยังไม่เข้าสู่โหมดบริหารเต็มรูปแบบ อบต.โป่งผา ระบุว่าตลอดช่วงทดสอบพื้นที่และเปิดใช้บางส่วน มีประชาชนมาใช้บริการเพื่อเดิน–วิ่ง–ปั่น–เล่นกีฬา และทำกิจกรรมครอบครัว สะสมมากกว่า 20,000 คน ตัวเลขนี้สะท้อนสองประเด็นสำคัญ

  • ความต้องการจริง (real demand) ของคนในพื้นที่ต่อ “สนามสุขภาพกลางแจ้ง” ที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และฟรี
  • พฤติกรรมสุขภาพที่เริ่มเปลี่ยน—จากอยู่กับบ้านสู่การออกมาทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่สาธารณะ สอดคล้องกับกรอบแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ชี้ว่าผู้ใหญ่ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง อย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ และเด็ก–เยาวชนควรมีกิจกรรมทางกาย เฉลี่ย 60 นาที/วัน การมี “พื้นที่ชวนขยับ” ใกล้บ้านถือเป็นปัจจัยเอื้อที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มกิจกรรมทางกายได้จริง

สาระสำคัญ คือ หนองน้ำพุไม่ได้เป็นเพียง “สวนสวย” แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานสุขภาพเชิงป้องกัน” (preventive health infrastructure) ที่ลดค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพระยะยาวในมิติไม่เป็นทางการ

หลังส่งมอบ 4 งานใหญ่ที่ อบต.โป่งผา ต้องทำทันที

เมื่อกรมโยธาธิการฯ ส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ อบต.จะเป็น “แม่บ้านหลัก” ของผืนที่ 82 ไร่นี้ งานเร่งด่วนที่ต้องทำคู่กันมีอย่างน้อย 4 เรื่อง

  1. จัดระเบียบการใช้งาน–ความปลอดภัย
  • เวลาเปิด–ปิด, เส้นทางเข้า–ออก, การติดตั้งไฟส่องสว่าง, กล้องวงจรปิด, จุดปฐมพยาบาล–AED, ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน
  • แนวร่วมชุมชน ตั้งอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (park steward) ร่วมกับผู้นำชุมชน–อสม.–เยาวชน
  1. แผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive O&M)
  • ตารางตัดหญ้า–ดูแลไม้ยืนต้นกำจัดวัชพืชน้ำอย่างถูกวิธี (เลี่ยงสารเคมี), ลอกตะกอนตามรอบเวลา, ตรวจอุปกรณ์สนาม พื้นทาง ราวจับ
  • การจัดการขยะและน้ำเสียจากกิจกรรมให้ไม่รบกวนคุณภาพน้ำในหนอง
  1. ออกแบบปฏิทินกิจกรรมสาธารณะประจำปี
  • “สัปดาห์สุขภาพชุมชน”, งานวิ่งการกุศล, ตลาดสีเขียวสินค้าเกษตรปลอดเผา, เวิร์กช็อปจักรยาน–พายเรือ, ลานดนตรีเยาวชน
  • โปรแกรม “หมอชวนวิ่ง ครูชวนขยับ ผู้ใหญ่บ้านชวนเดิน” เชื่อมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงเรียน, กลุ่มผู้สูงอายุ
  1. ระบบการเงินเพื่อความยั่งยืน
  • ตั้ง “กองทุนดูแลสวน” จาก 3 ช่องทาง งบประจำ, รายได้กิจกรรม/เช่าพื้นที่เฉพาะครั้ง (non-commercial friendly), และเงินร่วมบริจาคโปร่งใส
  • คู่มือธรรมาภิบาล เผยแพร่รายรับ–รายจ่ายรายไตรมาส, เปิดรับข้อเสนอชุมชน, ตั้งคณะกรรมการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ

แก่นคิด คือ พื้นที่สาธารณะจะ “อยู่รอด” ได้ก็ต่อเมื่อกลายเป็น “ของเรา” ของทุกคน—ไม่ใช่เพียงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฝ่ายเดียว

เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น สวนสาธารณะไม่ใช่ “ต้นทุนจม”

แม้โครงการใช้งบ 180 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจที่ “ไม่ติดป้ายราคา” มีมากกว่าที่คิด

  • สุขภาพดี = ค่าใช้จ่ายรักษาลด เพิ่มกิจกรรมทางกายของชุมชน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว
  • เศรษฐกิจชุมชนหมุน แผงน้ำดื่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด (ไม่ขายเครื่องดื่มหวานจัด), กิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เวิร์กช็อปสร้างรายได้เสริม
  • การท่องเที่ยวใกล้บ้าน (micro tourism)  ผู้มาเยือนแม่สาย–ถ้ำหลวงฯ มี “จุดพักจุดเรียนรู้ธรรมชาติ” เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมเส้นทางวัด ชุมชน ไร่เกษตรยั่งยืน
  • มูลค่าที่ดินโดยรอบ–คุณภาพชีวิต พื้นที่สีเขียวคุณภาพดีเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินรอบข้างในกรอบผังเมือง พร้อมลดความร้อนและน้ำท่วมเฉียบพลันแบบบัฟเฟอร์ธรรมชาติ

เมื่อรวมกับ “อัตลักษณ์ท้องถิ่น” ที่ อบต.ตั้งใจสื่อผ่าน เสื้อลายผ้าน้ำผุด” ของนายก อบต.และทีมงาน หนองน้ำพุจึงทำหน้าที่เป็น “ห้องรับแขกกลางแจ้ง” ของตำบลโป่งผา—เชื้อเชิญให้คนแปลกหน้าได้รู้จักวัฒนธรรมและวิถีชีวิตกึ่งเมือง กึ่งภูเขาที่งดงามของชายแดนแม่สาย

คำถาม–คำตอบเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้ “หนองน้ำพุ” อยู่ดีมีอนาคตยืนยาว

ถาม: งบ 180 ล้านบาท ควรคาดหวังอะไรใน 3–5 ปีแรก?
ตอบ: (1) ดัชนีกิจกรรมทางกายของชุมชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, (2) อัตราใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อวัน ต่อสัปดาห์ชัดเจนและเติบโต, (3) กิจกรรมสาธารณะคุณภาพสม่ำเสมออย่างน้อยรายเดือน, (4) ระบบ O&M เดินได้จริงโดยมีชุมชนมีส่วนร่วม, (5) คุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพรอบหนองไม่ถดถอย

ถาม: จะหลีกเลี่ยงปัญหา “สวนสาธารณะสวยเฉพาะวันเปิด” ได้อย่างไร?
ตอบ: สร้าง ผู้ใช้แกนกลาง” (core users) ตั้งแต่ต้น—กลุ่มวิ่ง–จักรยาน ผู้สูงอายุ เยาวชน ให้มี “สิทธิ–หน้าที่” ร่วมดูแลพื้นที่ ควบคู่สมดุลกิจกรรมฟรีและกิจกรรมหารายได้เพื่อกองทุนบำรุง โดยมีธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้

ถาม: ทำไมต้องย้ำ Universal Design?
ตอบ: เพราะประชากรสูงวัยในเชียงรายเพิ่มต่อเนื่อง การออกแบบที่ทุกคนใช้ได้จริงคือ ความเป็นธรรมด้านพื้นที่ และทำให้สวนเป็น “ของจริง” สำหรับคนทั้งตำบล ไม่ใช่เฉพาะคนแข็งแรงหรือวัยทำงาน

ถาม: หนองน้ำพุจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?
ตอบ: หากจัดการคันบ่อ พืชน้ำ–ตะกอนตามรอบเวลา และลดสารเคมี–ขยะได้สม่ำเสมอ บึงหนองทำงานเป็น ระบบนิเวศบริการ (ecosystem services) ทั้งบรรเทาน้ำหลาก ลดความร้อน เพิ่มความหลากหลายชีวภาพ และเป็นคลังคาร์บอนขนาดย่อม

เส้นทางข้างหน้า ปฏิทิน “หนองน้ำพุ—สวนของเรา”

เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพการใช้ประโยชน์หลังส่งมอบ อบต.สามารถประกาศปฏิทินกิจกรรมสามชุดหลัก

  1. สุขภาพชุมชน
  • เดิน–วิ่งทุกเช้าวันอังคาร/พฤหัส, โยคะเย็นวันเสาร์, “คุณตาคุณยายฟิต” เวทเทรนนิงแบบปลอดภัย, คลาสปั่นจักรยานสำหรับเด็ก
  • คลินิกโภชนาการร่วม รพ.สต. ลดหวาน–มัน–เค็ม
  1. สิ่งแวดล้อม–การเรียนรู้
  • วันชวนปลูกไม้พื้นถิ่น–ปลูกพืชน้ำ, ส่องนก–ส่องแมลง, “วิทยาศาสตร์ริมหนอง” สำหรับโรงเรียน
  • งานตลาดสีเขียว สินค้าภูมิปัญญา–เกษตรปลอดเผา
  1. วัฒนธรรม–ครอบครัว
  • ลานดนตรีเยาวชนทุกปลายเดือน, หนังกลางแปลงครอบครัว, กิจกรรมวันสำคัญ–งานบุญชุมชน เชื่อมศิลป์ชนเผ่าท้องถิ่น

ทั้งหมดต้องเดินคู่กับ กติกาใช้พื้นที่ ที่ชัดเจน (เสียง–เวลา–ความสะอาด–การใช้จักรยาน–สัตว์เลี้ยง) เพื่อรักษาความสมดุลระหว่าง “ความสนุก” และ “ความสงบ” ของคนรอบหนอง

เสียงจากพื้นที่ความภูมิใจที่ “จับต้องได้”

นอกจากคำขอบคุณของผู้บริหารท้องถิ่น หลายครอบครัวเริ่มมองหนองน้ำพุเป็น สนามหลังบ้านของตำบล” เด็ก ๆ ได้มีที่วิ่งเล่น คนทำงานมีที่ปลดล็อกร่างกาย ผู้สูงอายุมีที่พบปะเพื่อนฝูง ยิ่งไปกว่านั้น หนองน้ำพุยังกลายเป็น จุดเริ่มต้นบทสนทนา เรื่องสิ่งแวดล้อม–สุขภาพ–วัฒนธรรม ที่ผู้คนมีส่วนร่วม—ไม่ใช่เพียงผู้รับนโยบาย

“หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน…เราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง” — ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา

“หนองน้ำพุ” คือกรณีศึกษาว่าการลงทุนพื้นที่สาธารณะอย่างมี วิสัยทัศน์–วินัย–วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สามารถแปลงงบประมาณ 180 ล้านบาทให้เป็น “สินทรัพย์สาธารณะ” ที่สร้างผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจระยะยาวได้จริง อำเภอชายแดนอย่างแม่สายจึงไม่ได้มีเพียงภาพการค้าชายแดนคึกคัก แต่ยังมี อุทยานน้ำ–สวนสุขภาพชุมชน ที่เสริมคุณภาพชีวิตผู้คน

เมื่อพิธีส่งมอบเดินหน้า อบต.โป่งผาจะก้าวสู่บทบาท “ผู้จัดการสวน” ที่ท้าทาย—มีทั้งงานบำรุงรักษา การเงินโปร่งใส กิจกรรมที่เข้าถึงทุกวัย และระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ หากทำได้ครบ “หนองน้ำพุ” จะไม่ใช่เพียง แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ แต่เป็น สัญญาใจ ว่าพื้นที่สาธารณะคุณภาพดี สามารถเกิดและยืนยาวได้ ด้วยมือของคนในชุมชนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา), อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย (กระทรวงมหาดไทย)
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT), กระทรวงมหาดไทย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงม่วนคว้าแชมป์ อปท.ดีเด่น 4.23 ล้านบาท โมเดลธรรมาภิบาลล้านนา

เชียงม่วน”ขึ้นแท่นต้นแบบธรรมาภิบาลท้องถิ่นล้านนา เบื้องหลังชัยชนะอันดับ 1 เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท และบทเรียนสู่การยกระดับ อปท. ทั่วประเทศ

พะเยา, 3 ตุลาคม 2568 – แสงไฟจากเวทีแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สะท้อนประกายความภูมิใจไปถึงชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในดินแดนล้านนา—เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา เมื่อ นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน ก้าวขึ้นรับ รางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประเภทโดดเด่น ชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อม เงินรางวัล 4,233,600 บาท จากมือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางสายตาผู้บริหาร อปท. จากทั่วประเทศกว่า 250 หน่วยงานที่เข้าร่วมในฐานะผู้ได้รับรางวัลปีนี้

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 พิธีมอบรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประกาศ “ใครทำได้ดี” หากแต่เป็นการยืนยันว่าระบบการบริหารภาครัฐระดับฐานรากของไทย เดินหน้าเข้าสู่มาตรฐานธรรมาภิบาลเชิงรูปธรรม—โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีโครงสร้างท้องถิ่นหนาแน่นและความต้องการบริการสาธารณะหลากหลาย การที่เชียงม่วน “ทะยานเป็นที่หนึ่ง” จึงมีนัยยะแห่งความหวังต่อจังหวัดรอบข้างอย่าง เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และต่อทั้งภูมิภาคเหนือที่ต้องการโมเดลต้นแบบสำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านงานท้องถิ่นที่มีมาตรฐาน

จากเวทีระดับชาติสู่หมู่บ้านริมโขง ทำไม “เชียงม่วน” จึงคว้าอันดับ 1

คีย์เวิร์ดสามคำ ที่ทีมงานเชียงม่วนย้ำมาตลอดคือ ธรรมาภิบาล–ร่วมมือ–วัดผลได้” ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากแคมเปญที่หวือหวา หากมาจาก “งานประจำที่ทำอย่างไม่ประมาท” ตั้งแต่ระบบงบประมาณ การบริการประชาชน ไปจนถึงงานสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน โดยสรุปปัจจัยเชิงระบบที่ทำให้เชียงม่วนโดดเด่น มีอย่างน้อย 5 มิติ ดังนี้

  1. ธรรมาภิบาลและระบบการเงินการคลังเข้มแข็ง
    ก่อนมาถึงจุดนี้ อปท. ผู้ร่วมชิงรางวัลต้องผ่านกลไกคัดกรองหลายชั้น ตั้งแต่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ท. จนถึงการประเมินจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เพื่อยืนยันว่า “การใช้จ่ายและโครงการทุกชิ้น โปร่งใส–ตรวจสอบได้” เชียงม่วนจึงไม่ใช่เฉพาะ “ทำงานดี” แต่ “ทำดีอย่างมีหลักฐาน”
  2. การมีส่วนร่วมระดับชุมชน (People–Public Partnership)
    โมเดลการขับเคลื่อนนโยบายที่เชียงม่วนทำเป็นกิจวัตรคือ “ชวนประชาชนคิดตั้งแต่ต้นน้ำ” ผ่านเวทีรับฟัง แผนชุมชน และกลไกสภาเมืองเล็กๆ ที่จับต้องได้ จึงไม่ได้มีเพียงความเห็นชอบของผู้แทน แต่เป็น ฉันทมติร่วม ที่ทำให้การบริการสาธารณะไปถึง “ความทุกข์–ความสุขจริง” ของคนในพื้นที่
  3. บริหารแบบข้อมูลนำ (Data–Driven Local Government)
    ระบบติดตามความคืบหน้าโครงการ (dashboard) และตัวชี้วัดบริการสาธารณะทำให้ผู้บริหารเห็นคอขวดได้เร็ว เช่น งานถนน น้ำประปา ขยะมูลฝอย หรือการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เลือกใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยยึดหลัก “แก้ปัญหาที่มีผลต่อชีวิตประจำวันก่อน
  4. เชื่อมแผนจังหวัด–อำเภอ–ตำบล และพันธมิตรภาคประชาสังคม
    เชียงม่วนทำหน้าที่ “ฮับบูรณาการ” ประสานแผนกับจังหวัดพะเยาและอำเภอข้างเคียง รวมทั้งเครือข่ายชุมชนและภาคเอกชน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงเรียน–วัด–สถานประกอบการในพื้นที่ ทำให้โครงการเดินหน้าเร็วด้วยต้นทุนสังคมต่ำ
  5. พัฒนาคนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง (Local Talent First)
    ลงทุนกับ “คนทำงานด่านหน้า” ทั้งพนักงานส่วนท้องถิ่น อสม. อพปร. และอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อม จัดอบรมทักษะใหม่แบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ดิจิทัลเบื้องต้นจนถึงการสื่อสารความเสี่ยงภัยพิบัติ ขณะที่ประชาชนกลายเป็น “หุ้นส่วน” ของการป้องกันปัญหา มากกว่าจะเป็นเพียง “ผู้รับบริการ”

เมื่อยกเลนส์ไปส่องเกณฑ์การให้รางวัลระดับประเทศปีนี้—ที่มี 250 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลจากอนุกรรมการเฉพาะกิจ 52 รางวัล และกลุ่มที่ผ่านรอบสุดท้าย/ผ่านเกณฑ์ตามหลักเกณฑ์จัดสรรเงินอุดหนุนรวม 198 รางวัล—จะเห็นว่า เชียงม่วน ชนะในหมวดโดดเด่นของเทศบาลตำบล” ซึ่งเป็นสนามที่การแข่งขันดุเดือดที่สุด เพราะมีจำนวนหน่วยงานมากและงานบริการกระทบชีวิตผู้คนโดยตรง ตั้งแต่น้ำ ไฟ ถนน ไปจนถึงกิจกรรมผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสิ่งแวดล้อม

นายกฯ เน้น “อปท. คือหน่วยแรกที่แตะหัวใจประชาชน” – นายกสุเมธีตอบรับ “รางวัลนี้เป็นของทุกคน”

บนเวที นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำกลางห้องประชุมว่า อปท. คือกลไกที่ ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และเป็น “ด่านหน้า” ของรัฐในการบรรเทาความเดือดร้อน ส่งต่อปัญหา และสื่อสารนโยบาย “เพื่อให้เกิดความกินดีอยู่ดี” ข้อความสำคัญคือ รางวัลในวันนี้ต้องเป็นทั้ง แรงจูงใจและแรงบันดาลใจ ให้ท้องถิ่นทั่วประเทศรักษาความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับการทำงานอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายสุเมธี คำลือ กล่าวหลังรับรางวัลว่า “รางวัลนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นของชาวเชียงม่วนทั้งตำบล—คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา พนักงาน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจ ความเชื่อมั่นที่ทุกคนมอบให้ทำให้เรากล้าปรับปรุงงานประจำให้มีมาตรฐานขึ้นทุกปี” พร้อมกันนั้น นายกสุเมธีได้รับเชิญขึ้นเวที PITCHING ถ่ายทอด “ถอดบทเรียนสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อแบ่งปันแนวทางให้ อปท. อื่นๆ นำไปปรับใช้

คีย์เมสเสจของเชียงม่วน การบริหารจัดการที่ดี = ธรรมาภิบาล + การมีส่วนร่วม + วัดผลได้ + ทีมงานแข็งแรง + ประชาชนร่วมมือ

เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท เงินก้อนนี้จะไม่ “นอนนิ่ง” แต่ขยับคุณภาพชีวิต

เงินรางวัล 4,233,600 บาท ที่เชียงม่วนได้รับ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ หากเป็น “เชื้อเพลิงสาธารณะ” ที่เทศบาลตั้งใจจะผลักให้เกิดผลลัพธ์ต่อชีวิตผู้คนอย่างรวดเร็ว รายการใช้จ่ายที่อยู่ในกรอบแนวคิดเบื้องต้น (ตามหลักเกณฑ์เงินอุดหนุนและแผนพัฒนาท้องถิ่น) ได้แก่

  • ยกระดับบริการขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญและมีคอขวด เช่น ระบบประปาชุมชน ถนนเชื่อมชุมชน และไฟส่องสว่างที่ปลอดภัย
  • เพิ่มสมรรถนะงานสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดแยกขยะต้นทาง–รถเข็นรีไซเคิลชุมชน–สวนสาธารณะขนาดย่อมสำหรับผู้สูงอายุ
  • ลงทุนในคน ผ่านหลักสูตรทักษะใหม่สำหรับพนักงานท้องถิ่นและเครือข่ายอาสาสมัคร เช่น การรับมือภัยพิบัติ–การสื่อสารสาธารณะ–ดิจิทัลภาครัฐ
  • โครงการต้นแบบการมีส่วนร่วม เช่น เวทีวางแผนชุมชน และงบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ในโครงการที่กระทบจำนวนประชาชนมาก

การจัดสรรเช่นนี้สะท้อน “หลักการคุ้มค่าต่อภารกิจ (Value for Mission)” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการให้รางวัลนี้เป็น แรงขับต่อเนื่อง ไม่ใช่ “เช็คใบเดียวแล้วจบ”

บทเรียนสำหรับจังหวัดรอบข้าง โดยเฉพาะ “เชียงราย” จะต่อยอดอย่างไรให้เกิดผลทั้งจังหวัด

แม้รางวัลนี้จะเป็นของจังหวัดพะเยา แต่ ผลสะเทือนเชิงบวก ส่งถึงจังหวัดคู่ขนานในโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคม อย่าง เชียงราย ซึ่งกำลังเร่งเครื่องขับเคลื่อนท้องถิ่นด้วยแนวคิดใหม่ เช่น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ, เมืองฟ้ามืด (Dark Sky), Wellness/Creative City และโลจิสติกส์ชายแดน การนำบทเรียนเชียงม่วนมาจับ “โจทย์พื้นที่เชียงราย” ทำได้อย่างน้อย 4 ทาง

  1. ยกระดับธรรมาภิบาลเชิงรุก
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเปิดท้องถิ่น (Open Local Data) สำหรับโครงการลงทุนหลัก—ถนน–ประปา–ขยะ–สาธารณสุข—เผยแพร่งบประมาณ ความคืบหน้า และผลลัพธ์ต่อคุณภาพชีวิต เพื่อให้ประชาชน “ร่วมติดตาม” ได้อย่างเป็นระบบ
  2. สร้างแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วม
    ใช้กลไก “งบมีส่วนร่วม” รายตำบล/เทศบาล นำร่องในโครงการที่กระทบคนหมู่มาก เช่น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย/ทางเท้า/ไฟทางเดิน/ลานสุขภาพ โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบ–โหวตโครงการ–ลงแรงตั้งแต่ต้นน้ำ
  3. พัฒนาทีมอาสาสมัครท้องถิ่นเข้มแข็ง
    เชื่อม อสม.–กู้ชีพ–อาสาสมัครสิ่งแวดล้อม–อาสาป้องกันภัย เข้ากับระบบตอบสนองภัยพิบัติและสุขภาพชุมชน โดยอบรมทักษะเฉพาะ (เช่น การสื่อสารภาวะวิกฤต, การใช้แอปแจ้งเหตุ, การเก็บข้อมูลพื้นที่เสี่ยง)
  4. ตั้งเป้า “รางวัลรวมจังหวัด”
    ผลักดันให้ อปท. ในเชียงรายเข้าสู่สนามรางวัล การบริหารจัดการที่ดี” พร้อมกันหลายหน่วย เพื่อสร้าง “เอฟเฟกต์แคสเคด” ให้การยกระดับมาตรฐานเกิดขึ้นเป็นเครือข่ายทั้งจังหวัด เกิดแรงจูงใจระหว่างกัน มีการแลกเปลี่ยนคู่พี่เลี้ยง–คู่นวัตกรรม

หากเชียงรายเดินตามรอย “เชียงม่วนโมเดล” บวกกับจุดแข็งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทุนทางวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–ชายแดน–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภูมิภาคเหนือจะได้เห็น กลุ่มเมืองท้องถิ่นมาตรฐานสูง” ที่ขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตได้จริงในระดับพื้นที่

เกณฑ์คัดเลือก “อปท.ดีเด่น” ปี 2568 บอกอะไรเรา

การได้รับรางวัลปีนี้สะท้อนว่า อปท. ผู้ชนะ สอดคล้องนโยบายรัฐบาลดิจิทัล–ข้อมูลเชื่อมโยงทั้งระบบ” ที่นายกรัฐมนตรีประกาศในสภาเมื่อ 30 กันยายน 2568 อย่างน้อย 3 แกนหลัก

  • ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ต้องเปิดเผยข้อมูล และผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยงานตรวจสอบอิสระ
  • สมรรถนะการบริหารและบริการสาธารณะ มีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcome) ไม่ใช่เฉพาะตัวชี้วัดกิจกรรม (Output)
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการต้อง “ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมติดตาม” ไม่ใช่เพียงทำเสร็จตาม TOR

นอกจากรางวัลใหญ่ที่เชียงม่วนได้รับ ยังมีการจัดสรรรางวัลรวม 250 รางวัล ครอบคลุมทั้ง หมวดดีเลิศ (เช่น เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองลำพูน และ อบจ.สตูล) และ หมวดโดดเด่น/ทั่วไป ในขนาดองค์กรต่างๆ สะท้อนว่ามาตรฐานไม่ได้ผูกติดกับ “องค์กรใหญ่เท่านั้น” หากองค์กรขนาดเล็กที่บริหารจัดการดีอย่างมีวินัยก็สามารถขึ้นแท่นได้เช่นกัน

 “ชนะแล้วทำอะไรต่อ” – จากเหรียญรางวัลสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เสียงเฮจากห้องประชุมจางลง แต่ “งานจริง” เพิ่งเริ่ม เชียงม่วนประกาศเจตนารมณ์ว่าจะใช้รางวัลเป็น คานงัด” ผลักโครงการเร่งด่วน 3 กลุ่มใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. ปลอดภัย–เข้าถึงได้ ปรับปรุงจุดเสี่ยงทางเดิน ทางม้าลาย ไฟทางเท้า และจุดมืดหน้าสถานศึกษา–ชุมชน ให้เป็นมาตรฐานเมืองมนุษย์เดินเท้า
  2. สิ่งแวดล้อม–สุขภาวะ โครงการคัดแยกขยะต้นทางครัวเรือน/ตลาด, สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) สำหรับผู้สูงอายุ, กิจกรรมสุขภาพชุมชนต่อเนื่อง
  3. รัฐดิจิทัลท้องถิ่น ขยายบริการเอกสารออนไลน์ นัดหมายงานราชการผ่านแอป/ไลน์ออฟฟิเชียล, เปิดฐานข้อมูลโครงการ (project tracker) ให้ประชาชนติดตามสถานะได้แบบเรียลไทม์

หากทำสำเร็จ นี่จะเป็น “วงจรคุณธรรม” ของการบริหารท้องถิ่น—โปร่งใส → ประชาชนเชื่อมั่น → ร่วมมือมากขึ้น → คุณภาพบริการดีขึ้น → สร้างความไว้วางใจต่อไปไม่รู้จบ

มุมมองเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้รางวัล “ไม่ใช่งานปีละครั้ง” แต่เป็น “มาตรฐานทุกวัน”

รางวัลคือแรงจูงใจ แต่ มาตรฐาน ต้องกลายเป็น “กิจวัตร” 3 แนวทางที่หน่วยกลางอย่าง กระทรวงมหาดไทย–กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และพันธมิตรควรผลักต่อเนื่อง ได้แก่

  • เอสคูล (S-Cool) ท้องถิ่น สร้างเครือข่าย “โรงเรียนพัฒนาผู้นำท้องถิ่น” อบรมหลักสูตรระยะสั้นให้ผู้บริหาร–ข้าราชการท้องถิ่นมองภาพเชิงยุทธศาสตร์ ใช้ข้อมูลตัดสินใจ และสื่อสารสาธารณะอย่างมืออาชีพ
  • มาตรฐานข้อมูลกลาง (Local Gov Open Schema) บังคับใช้โครงสร้างข้อมูลเปิดมาตรฐานเดียวกันสำหรับงบประมาณ โครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง และผลลัพธ์บริการ เพื่อให้เทียบเคียงกันข้ามจังหวัด/อปท. ได้
  • กลไกเงินอุดหนุนตามผลลัพธ์ (Outcome–Based Grant) จัดงบพิเศษให้โครงการที่พิสูจน์ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ชัด เช่น อัตราเกิดอุบัติเหตุลดลง คุณภาพน้ำ/อากาศดีขึ้น การเข้าถึงบริการสุขภาพชุมชนเพิ่มขึ้น

แนวทางเหล่านี้จะทำให้ “ความดี” ไม่ได้วัดเฉพาะวันรับรางวัล แต่เกิดขึ้น ทุกวัน ที่ประชาชนเปิดก๊อกน้ำสะอาด เดินบนทางเท้าที่ปลอดภัย และพิมพ์เอกสารราชการได้ด้วยตนเองจากโทรศัพท์มือถือ

จากเชียงม่วนถึงเชียงราย—และทั่วประเทศ

ชัยชนะของ เทศบาลตำบลเชียงม่วน คือข้อความเชิงบวกต่อทุกชุมชนล้านนา และต่อประเทศไทยว่า “ท้องถิ่นไทยทำได้” เมื่อยึดหลักธรรมาภิบาล บริหารบนข้อมูล และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือ ความเชื่อมั่น และ คุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นอย่างจับต้องได้

สำหรับ เชียงราย เมืองใหญ่ของล้านนาตอนบนที่กำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวคุณภาพ โลจิสติกส์ชายแดน และโมเดลเมืองน่าอยู่—บทเรียนเชียงม่วนคือ เข็มทิศ ให้เดินสู่มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ผ่านความร่วมมือของเทศบาล–อบต.–ชุมชน–ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สุดท้าย รางวัลที่เชียงม่วนรับในปี 2568 จะมีคุณค่ามากที่สุด หากมันจุดประกายให้ทุก อปท. ทำสิ่งธรรมดาให้ไม่ธรรมดา—เดินเอกสารให้เร็วขึ้นอีกนิด เปิดข้อมูลให้มากขึ้นอีกหน่อย ฟังประชาชนให้ลึกขึ้นอีกขั้น และตรวจสอบตนเองให้เข้มขึ้นอีกทุกวัน เพราะปลายทางของงานท้องถิ่น ไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่คือชีวิตของผู้คนที่ ปัดเป่าความทุกข์และเพิ่มความสุข” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย / กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) / สำนักงาน ป.ป.ช. / สำนักงาน ป.ป.ท.
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี / คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

Grocegry โตสวนทางเศรษฐกิจ! คนเชียงรายเปลี่ยนพฤติกรรม ซื้อถี่-คุมงบ-เน้นสุขภาพ

คนไทยรัดเข็มขัด หยิบตะหลิวแทนเมนู เชียงรายกำลัง “เข้าเทรนด์” ทำอาหารเอง-ซื้อรายวัน ตลาด Grocery โตสวนเศรษฐกิจ

ประเทศไทย, 1 ตุลาคม 2568 — เช้าวันจันทร์ที่ตลาดชุมชนย่านในเมือง รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงหน้าแผงผักจนแน่น กะหล่ำปลีหัวใหญ่ ผักกาดขาวสดฉ่ำ และเนื้อหมูส่วนสันในถูกหยิบกวาดลงตะกร้าทีละน้อยแต่ถี่ขึ้น แม่บ้านวัยทำงานบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ช่วงนี้ตั้งใจซื้อของสดทุกสองวัน จะได้ไม่ทิ้ง ลดค่าใช้จ่ายด้วย” ภาพเล็ก ๆ แบบนี้สะท้อน “สัญญาณใหม่” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศคนไทยหันมาทำอาหารเอง และ เปลี่ยนมาซื้อรายวัน มากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

ซึ่งเชียงรายกำลังเจอเทรนด์ “ทำอาหารเอง–ซื้อรายวัน” แบบเดียวกับประเทศ และมี “แรงส่ง” มากกว่าหลายพื้นที่จากฐานวิถีชุมชน–ธรรมชาติ–สุขภาพ ผู้ชนะจะเป็นครัวเรือนที่รู้จักวางแผนเมนู–คุมงบ–คุมคุณภาพ, ผู้ค้าปลีกที่ยืดหยุ่นด้วย SKU เล็ก–Omnichannel–มาตรฐานปลอดภัย และภาครัฐท้องถิ่นที่ทำให้ ข้อมูล–สุขอนามัย–โลจิสติกส์ เดินพร้อมกัน หากเชียงราย ผนวก Grocery เข้ากับ “เมืองแห่งสุขภาพ” ได้จริง เมืองจะไม่เพียงแค่ “รับเทรนด์” แต่จะ “ยกระดับคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน” ให้จับต้องได้ในจานข้าวทุกมื้อของคนเชียงราย

รายงานของ The 1 Insight (ศูนย์ข้อมูลพฤติกรรมสมาชิก The 1) ระบุชัดว่า สินค้ากลุ่ม Grocery ขยายตัวทั้ง “ปริมาณ” และ “ความถี่” เพราะผู้บริโภคเลือกทำอาหารเองแทนการรับประทานนอกบ้าน สินค้าหมวด วัตถุดิบทำอาหาร (Cooking Ingredients) โตแรงเป็นพิเศษเติบโตถึง 2 เท่า ในปีล่าสุด ขณะที่ “รูปแบบการซื้อ” ก็ขยับจากช็อปใหญ่ปลายสัปดาห์ มาเป็น ซื้อรายวัน–รายสองวัน” ในวันธรรมดา เพื่อควบคุมงบและลดของเสีย ส่วนที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ ต่างจังหวัดโตแรงกว่ากรุงเทพฯ โดย การใช้จ่ายต่อครั้งในต่างจังหวัดโตเร็วกว่าในเมืองถึงราว 2 เท่า สะท้อนว่า “หัวเมือง” กลายเป็นสมรภูมิเศรษฐกิจของตลาด Grocery แบบเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง

คำถามจึงโยนกลับมาที่เชียงรายเมืองชายแดนที่ตั้งเป้าเป็น “เมืองแห่งสุขภาพ–เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์” เราเจอเทรนด์นี้เต็ม ๆ แล้วหรือยัง และควรรับมืออย่างไรเพื่อให้ครัวเรือน–ผู้ประกอบการ–เกษตรกร ได้ประโยชน์สูงสุด

ภาพใหญ่ของพฤติกรรมใหม่ ทุกเจเนอเรชันลงครัว แต่คนละสไตล์

The 1 Insight แยกภาพผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ และเมื่อฉายลงสังคมเชียงรายที่มีทั้งครัวเรือนเกษตร, วัยทำงานกลับถิ่น, นักศึกษา และผู้สูงวัย จะเห็นว่า “ทุกกลุ่มพร้อมเข้าครัว” แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน

  • กลุ่มขับเคลื่อนหลัก (Gen X และ Millennial Family) ใช้จ่ายสูงสุดในหมวด Grocery รายการยอดนิยมคือ เนื้อสัตว์–ผักสด–เครื่องปรุงพื้นฐาน สอดคล้องครัวเรือนมีลูกเล็ก/ผู้สูงวัยอาศัยรวมกัน ทำให้ “ทำอาหารเอง” เป็นกิจวัตรเพื่อตอบทั้ง สุขภาพ–รสชาติ–ความหลากหลาย
  • กลุ่มใช้จ่ายต่อคนสูงสุด (Silver Spenders) แม้จำนวนไม่มาก แต่ จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงราว 3 เท่า เน้น วัตถุดิบคุณภาพสูง–ออร์แกนิก ตรงกับโครงสร้างประชากรเชียงรายที่มีสัดส่วนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น และความสนใจด้าน อาหารปลอดภัย–สุขภาวะ
  • กลุ่มเร่งรีบ (Gen Y/Gen Z เมือง–มหาวิทยาลัย) ผสม “ทำง่ายที่บ้าน” กับ สินค้าสะดวกทาน เช่น โยเกิร์ต อาหารแช่แข็ง ขนมปัง พร้อมเครื่องดื่มโปรตีน/นมทางเลือกเป็น สุขภาพแบบทันใจ

บทสรุปเชิงพฤติกรรม ภาพรวม ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่เป็น ลงทุนในคุณภาพชีวิต” ผ่านการคุมวัตถุดิบและโภชนาการด้วยตนเอง ขณะที่รูปแบบการซื้อที่ ถี่กว่า แต่ต่อครั้งน้อยลง กลายเป็นสมการใหม่ที่ค้าปลีก–ซัพพลายเชนต้องปรับตัว

ทำไมต่างจังหวัด (อย่างเชียงราย) โตไวกว่า 4 ปัจจัยโครงสร้างที่ผลักดัน

  1. โครงสร้างครัวเรือนและพื้นที่อยู่อาศัย
    บ้านเดี่ยว–ทาวน์เฮาส์ในเชียงรายเอื้อต่อ “ครัวจริงจัง” มากกว่าอยู่คอนโดพื้นที่จำกัดในเมืองใหญ่ การปรุงอาหารเองจึงสะดวกและคุ้มกว่า
  2. เครือข่ายตลาดสด–สินค้าเกษตรชุมชน
    เชียงรายมี ตลาดเช้าตามชุมชน–กลุ่มวิสาหกิจเกษตร ที่เข้าถึงง่าย ทำให้วัตถุดิบสดคุณภาพดีถูกนำเสนอได้ทุกวัน ตรงกับ “โมเดลซื้อรายวัน”
  3. วิถีสุขภาพ–เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
    จังหวัดผลักดันเรื่องสุขภาวะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอาหารปลอดภัย จิตสำนึกสุขภาพ สูงขึ้น วัตถุดิบดีมีทางเลือกมากขึ้น จึงเกิด “ดีมานด์บวก”
  4. อีคอมเมิร์ซ–เดลิเวอรีที่เข้าถึง
    บริการจัดส่งจากซูเปอร์มาร์เก็ต–ร้านโชห่วย–มินิมาร์ทยุคใหม่ ช่วย “ลดต้นทุนเวลา” สำหรับคนทำงาน/ครอบครัวเลี้ยงลูก ชี้ว่า Omnichannel เป็นบทใหม่ของต่างจังหวัดแล้ว

ผลรวมทั้งสี่ข้อ ทำให้เชียงราย อยู่ในตำแหน่งที่รับเทรนด์ได้เร็ว ยิ่งเมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องจัดลำดับความสำคัญค่าใช้จ่าย การซื้อถี่ขึ้นในพื้นที่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

สัญญาณที่เห็นได้ภาคสนาม (บนกรอบความเป็นกลาง)

แม้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขทางการรายจังหวัดอย่างละเอียด แต่จาก โครงสร้างตลาด–บริการที่เกิดขึ้นจริง สามารถระบุ “สัญญาณปลายทาง” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศ ได้แก่

  • ยอดสั่งเดลิเวอรีวัตถุดิบ/ของสดช่วงเย็น–หัวค่ำ เพิ่มขึ้นในย่านที่พักอาศัย/แหล่งงาน (แรงส่งจากแคมเปญสะสมแต้ม/ส่งฟรี)
  • ยอดขายวัตถุดิบเบสิก เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมูส่วนยอดนิยม ผักใบเขียว สมุนไพรพื้นฐาน (ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด) และ เครื่องปรุง “พรีเมียมขนาดเล็ก” สำหรับทำเมนูสุขภาพที่บ้าน
  • สินค้ากลุ่ม Ready-to-cook / Ready-to-heat เช่น อกไก่ปรุงรส, ข้าวโพด/ผักแช่แข็งพอร์ชันเล็ก, น้ำซุปเข้มข้นหมุนเวียนลอตไวขึ้น เพราะตอบโจทย์ ทำเอง ครึ่งหนึ่ง” ของคนเมืองเร่งรีบ
  • ตลาดชุมชนช่วงวันธรรมดา คึกคักขึ้น โดยเฉพาะเช้า/เย็น สอดคล้องแนวโน้ม ซื้อวันธรรมดา แทนซื้อรวบปลายสัปดาห์”

ทั้งหมดนี้สอดรับกับชุดข้อมูลของ The 1 Insight เรื่อง ซื้อรายวัน” และ “ต่างจังหวัดโตแรง” ซึ่งชี้ทิศทางชัดว่า เชียงรายกำลังเดินบนเส้นเดียวกับประเทศ

โอกาส–ความเสี่ยง–สิ่งที่เชียงรายควรทำ “ตอนนี้เลย”

1) โอกาสของครัวเรือน “กินดี–คุมงบ–ปลอดภัย”

  • สร้าง เมนูสั้น 7 วัน ที่ใช้วัตถุดิบทับซ้อน ลด Food Waste และประหยัดค่าเดินทาง
  • ใช้ ช่องทางเดลิเวอรี เฉพาะรายการหนัก/เน่าเสียง่าย (นม–เนื้อแช่เย็น) ลดทริปซื้อถี่โดยไม่เพิ่มต้นทุนเวลา
  • เลือก ตรารับรอง/มาตรฐานสุขอนามัย ของตลาด–ซูเปอร์–ร้านชำ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะครัวเรือนผู้สูงวัย/เด็กเล็ก

2) โอกาสของผู้ประกอบการค้าปลีก–เกษตร–แปรรูป “แพ็กเล็ก–หมุนไว–แต้มต่อสุขภาพ”

  • ปรับสินค้าเป็น พอร์ชันเล็ก–ขนาดทดลอง (SKU เล็ก) สำหรับลูกค้าที่ซื้อถี่และคุมงบ
  • เพิ่มไลน์ วัตถุดิบ–เซ็ตทำอาหารสุขภาพ (โปรตีนสูง/ไขมันดี/โซเดียมต่ำ) พร้อมสูตรทำง่าย 15–20 นาที
  • ทำ Omnichannel จริงจัง ร้านหน้าบ้าน + แอป/แชต + เดลิเวอรีภายใน 2 ชม. โดยเชื่อม คะแนนสมาชิก/แคมเปญสะสมแต้ม (ตัวอย่างความร่วมมือระดับประเทศอย่าง Tops x GrabMart ชี้ให้เห็นรูปแบบการเพิ่มความคุ้มค่าให้ลูกค้า)
  • ลงทุน โคลด์เชนต้นน้ำ–ปลายน้ำ (ตู้แช่/รถห้องเย็นขนาดเล็ก) และ มาตรฐานสุขอนามัย สร้างความต่างให้ต่างจังหวัดจับต้อง “คุณภาพระดับเมืองใหญ่”

3) โอกาสเชิงนโยบายเมือง “Wellness x Grocery = สุขภาพระดับครัวเรือน”

  • ผนวกแนวคิด Wellness City เข้ากับ พาณิชย์ชุมชน โครงการ “ครัวสุขภาพเชียงราย” ส่งเสริม ผัก–โปรตีนท้องถิ่น–สมุนไพรล้านนา พร้อมป้ายโภชนาการเข้าใจง่าย
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลค้าปลีก–ตลาดสดระดับจังหวัด (Dashboard เปิดเผยรายเดือน เช่น สินค้าขายดี 10 อันดับ วัตถุดิบขาด–ล้น) เพื่อให้ผู้ประกอบการ วางสต็อกตรงดีมานด์ ลดทิ้งของ ลดราคาเหวี่ยง
  • ดัน เทศกาลกินดี–ทำกับข้าวที่บ้าน ช่วง “ไหล่ฤดู” (หน้าฝน/ปลายฝน) เพื่อกระจายรายได้และดึงนักท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (เรียนทำอาหาร–เยี่ยมแปลงเกษตร–คาเฟ่สุขภาพ)

 “เช็กลิสต์ร้านดัง” สู่ “เมนูบ้านที่อร่อยและคุ้มกว่า”

“เมื่อก่อนเลิกงานก็ชวนกันกินข้าวนอกบ้าน สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เดี๋ยวนี้ทำกับข้าวเองสัก 3 วัน ที่เหลือค่อยสั่งกลับบ้าน” พ่อวัยทำงานย่านรอบเมืองเล่าให้ฟัง ในมือถือของเขามีลิสต์ส่วนผสมพื้นฐาน อกไก่ 500 กรัม, เห็ด 1 แพ็ก, ผักใบเขียว 2 ชนิด, ไข่ 10 ฟอง และโยเกิร์ต เซ็ตพื้นฐานที่อยู่ได้ 3–4 มื้อ ต้นทุนต่อจานลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการกินนอกบ้าน “ประหยัดขึ้น แต่ก็ได้คุณภาพอย่างที่อยากกิน” เขาว่า

ถัดจากนั้นไม่กี่ซอย คุณยายวัย 65 ปี หยิบผักออร์แกนิกและปลานิลจากบ่อชุมชนลงตะกร้า “หมอว่าให้ลดเค็มเพิ่มผัก” เธอเล่าว่าเลือกซื้อ พอร์ชันเล็ก แต่ ซื้อบ่อย เพื่อคงความสด “กินเท่าที่พออิ่ม ไม่ต้องเหลือทิ้ง”

เรื่องเล่าเล็ก ๆ เหล่านี้ คือชีวิตจริงของ “เทรนด์ใหญ่” ที่กำลังเคลื่อน ทำอาหารเอง, ซื้อรายวัน, เลือกสุขภาพ และเชียงรายก็กำลังเดินตามโค้งเส้นนี้อย่างสอดคล้อง

มองข้ามช็อต เชียงรายจะ “ชนะ” เทรนด์นี้ได้อย่างไรใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. แพ็กเกจ “ครัวสุขภาพเชียงราย”
    รวมชุดวัตถุดิบพื้นฐาน + สูตร 7 วัน + คูปองส่วนลดเดลิเวอรี/รับแต้มสมาชิก ร่วมมือซูเปอร์มาร์เก็ต–ตลาดชุมชน–เกษตรกรท้องถิ่น
  2. ตรารับรอง “สะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน” สำหรับตลาด–ร้านชำ
    สร้างความมั่นใจให้ผู้สูงวัย/ครอบครัว พร้อมอบรมสุขอนามัย–การจัดการโคลด์เชน การติดฉลากโภชนาการเข้าใจง่าย
  3. Open Data ค้าปลีก–อาหารปลอดภัยของจังหวัด
    ฐานข้อมูลราคากลาง–สินค้าขายดี แหล่งผลิตที่ตรวจสอบได้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ คุมสต็อก และช่วยผู้บริโภค คุมงบ ได้ด้วยข้อมูล
  4. ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (Learning Tourism)
    คอร์สสั้น “จากแปลงถึงจาน” เยี่ยมเกษตรกร–เรียนทำอาหารล้านนาสุขภาพ–กาแฟ/ชาเชียงราย รับเทรนด์ผู้สูงวัย–ครอบครัว–กลุ่มสนใจสุขภาพ
  5. ทางเท้าปลอดภัย แสงสว่าง–มุมพักคอยเดลิเวอรี
    รายละเอียดเล็ก ๆ แต่สำคัญในเมือง/หน้าตลาด รองรับพฤติกรรม “ซื้อถี่ รับของเร็ว” โดยเฉพาะช่วงเย็น–หัวค่ำ

ความเสี่ยงต้องระวัง ราคาเหวี่ยง ของเสีย–ความปลอดภัยอาหาร

  • ราคาเหวี่ยงช่วงสั้น เมื่อดีมานด์รายวันเพิ่ม หากสต็อกต้นน้ำ กลางน้ำไม่ยืดหยุ่น อาจเกิด “ดีดราคา” ชั่วคราว ทางออกคือ ข้อมูลล่วงหน้า–การกระจายสต็อก และ พอร์ชันย่อย
  • ของเสียจากซื้อถี่แต่เกินใช้ ต้องมี ความรู้จัดการวัตถุดิบ (เก็บยังไงให้สด, แปรรูปยังไงให้ยืดอายุ) สื่อสารผ่านโรงพยาบาล สาธารณสุข–ห้าง ตลาด
  • ความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) คุม โคลด์เชน–พื้นที่เตรียมอาหาร คุณภาพน้ำแข็ง การขนส่ง ให้เข้มมาตรฐานเดียวกันในตลาด โชห่วย รถพ่วงข้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The 1 Insight (กลุ่มเซ็นทรัล)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / เครือข่าย Wellness City (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, โรงพยาบาลในจังหวัด)
  • จังหวัดเชียงราย/กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • หน่วยงานมาตรฐานอาหารและสุขอนามัยระดับชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงเชียงรุ้งพลิกโฉม อบจ.สร้างสะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ยกระดับสุขภาพชุมชน

พลิกโฉมเวียงเชียงรุ้งสู่ “แลนด์มาร์คสุขภาพ” อบจ.เชียงรายผนึกกำลังอำเภอ–อบต. เดินหน้าปรับภูมิทัศน์–สร้างสะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโตอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 23 กันยายน 2568 — เวลา 10.00 น. อากาศยามสายที่ว่าการอำเภอเวียงเชียงรุ้งยังคงคึกคักเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อพื้นที่หน้าศูนย์ราชการกลายเป็น “โต๊ะปฏิบัติการกลางแจ้ง” ของคณะทำงานหลายหน่วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย นำโดย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ. (ปฏิบัติราชการแทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย) ลงพื้นที่หารือร่วมกับ นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง และ นายเอกชัย สุขเกษม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย พร้อมทีมสำนักช่างของ อบจ. จุดประสงค์ไม่ใช่เพียงตรวจงาน แต่คือการ “ตั้งโจทย์ร่วม” เพื่อพลิกโฉมอำเภอให้เป็น แลนด์มาร์คสุขภาพ ที่คนในพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และนักเดินทาง “ต้องแวะ”

ภาพที่วางบนโต๊ะประชุมย่อขนาดคือ สององค์ประกอบหลักที่เดินคู่กัน
(1) ปรับภูมิทัศน์รอบที่ว่าการอำเภอ ให้เป็นสวนสาธารณะและจุดออกกำลังกายที่ได้มาตรฐานร่มรื่น ปลอดภัย ใช้งานได้ทั้งเด็ก–ผู้สูงอายุ–ผู้พิการ (universal design)
(2) ศึกษาความเป็นไปได้–ออกแบบก่อสร้าง “สะพานเชื่อม” จากย่านศูนย์ราชการไปยัง สนามกีฬา อบต.ทุ่งก่อ เพื่อลดการอ้อมเส้นทาง เปิดการเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายที่ “สั้นกว่า ปลอดภัยกว่า และเหมาะกับการใช้งานจริง”

นี่ไม่ใช่แค่ “โครงการสวยงาม” ลงรูปถ่ายได้ แต่เป็น ยุทธศาสตร์เชิงระบบ ที่เชื่อม การบริหาร–สุขภาพ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก เข้าด้วยกัน

แลนด์มาร์คสุขภาพ จากหลุมฝุ่นสู่พื้นที่ชุบชีวิตชุมชน

หากมองแผนที่อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จุดศูนย์กลางของงานราชการและบริการประชาชนอยู่ตรง “ที่ว่าการอำเภอ” ซึ่งเป็นพื้นที่หมายเลขหนึ่งที่คนทั้งอำเภอต้องมาเยือน—ทำบัตร, งานทะเบียน, ธุระปกครอง ฯลฯ เมื่อ พื้นที่หน้าศูนย์ราชการ ถูก “รีดีไซน์” ให้เป็น สวนสาธารณะเพื่อสุขภาพ เมืองจะได้ “จังหวะชีวิตใหม่” โดยอัตโนมัติ

  • การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design): ทางลาด–พื้นผิว–ราวจับ–ไฟส่องสว่าง–ม้านั่ง–สัญลักษณ์นำทาง ต้องคิดถึงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ใช้รถเข็น เพื่อให้ “พื้นที่สาธารณะ” เป็นของทุกคนจริง
  • ฟังก์ชันสุขภาพเชิงป้องกัน: ลู่วิ่ง–ลู่เดิน–ลู่วิ่งเล็กสำหรับผู้สูงอายุ, ลานอเนกประสงค์สำหรับแอโรบิก/ยืดเหยียด, มุมเล่นของเด็กที่ใช้วัสดุยืดหยุ่นเน้นความปลอดภัย, สถานีออกกำลังแบบใช้แรงกาย (body-weight) ลดการซ่อมบำรุง
  • ความปลอดภัยและนิเวศ: กล้องวงจรปิด–ไฟส่องสว่าง–ป้ายเอ็กซิต–จุดปฐมพยาบาล–ระบบระบายน้ำ–ต้นไม้ให้ร่มเงา และพืชท้องถิ่นดูแลง่าย ลดต้นทุนระยะยาว

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นทันที คือผู้คน “มีที่ให้ไป” หลังเลิกงานราชการ เด็กมีสนามเล่น ผู้สูงอายุมีที่เดิน ยามเย็นจึงกลายเป็น “ชั่วโมงทองของชุมชน” ที่ผู้ค้ารายย่อย–สหกรณ์ชุมชน–วิสาหกิจชุมชนสามารถจัด “ตลาดสุขภาพ” เล็กๆ สร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

สะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ทางลัดที่ปลอดภัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้เมือง

โครงการที่สองคือ สะพานเชื่อมจากโซนศูนย์ราชการไปสนามกีฬา อบต.ทุ่งก่อ เหตุผลเรียบง่ายแต่ทรงพลัง การเข้าถึง” หากต้องอ้อมไกล–ต้องตัดถนนใหญ่–เสี่ยงอุบัติเหตุ คนก็ “เลิกไป” แต่เมื่อมีสะพานเชื่อมที่ ใกล้–ปลอดภัย–เป็นมิตรกับคนเดินเท้าและจักรยาน พฤติกรรมการใช้ชีวิตจะค่อยๆ เปลี่ยนจาก “นั่งนิ่ง” เป็น “ขยับตัว” โดยไม่ต้องบังคับ

หัวใจของสะพานเพื่อสุขภาพ (Active Mobility Bridge):

  • ช่องสัญจรแยกชัด คนเดิน–จักรยาน–รถฉุกเฉิน (ในกรณีจำเป็น)
  • ลาดชันไม่เกินมาตรฐาน ใช้ได้ทั้งผู้สูงอายุและรถเข็น
  • ไฟ–ราวกันตก–พื้นกันลื่น เน้นปลอดภัยกลางคืนและฤดูฝน
  • งานโครงสร้างทนทาน–บำรุงรักษาง่าย ลดภาระงบประมาณในอนาคต

ผลทางเศรษฐกิจฐานราก เกิดขึ้นทันทีเมื่อคนใช้สนามกีฬา “ถี่ขึ้น–นานขึ้น”—ร้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ, ผลผลิตชุมชน, ร้านซ่อมจักรยานเล็กๆ, ครูสอนออกกำลังกาย/โยคะ/วิ่ง ฯลฯ มีพื้นที่สร้างอาชีพได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

ทำไมโครงการนี้ “คุ้ม” มองผ่านแว่นเศรษฐกิจ–สังคม–การท่องเที่ยว

  1. คุ้มด้านสุขภาพ: เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะคุณภาพดีช่วยลดภาวะนั่งนาน–ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว ต้นทุนรักษาพยาบาลของครัวเรือนและท้องถิ่นลดลง ขณะเดียวกันเสริมสุขภาวะจิต (พื้นที่สีเขียว–การพบปะ)
  2. คุ้มด้านเศรษฐกิจชุมชน: ตลาดรายย่อย–งานบริการชุมชน–แหล่งท่องเที่ยวใกล้เมืองเกิดขึ้นจาก “คนมา–คนอยู่–คนใช้” ไม่ใช่เพียง “คนผ่าน”
  3. คุ้มด้านภาพลักษณ์–การท่องเที่ยวคุณภาพ: นักเดินทางสมัยใหม่ค้นหา “เมืองที่ใช้ชีวิตได้” มากกว่า “เมืองที่มองอย่างเดียว” แลนด์มาร์คสุขภาพที่เชื่อมศูนย์ราชการ–สวน–สนามกีฬา จึงเป็น “ประสบการณ์เมือง” ที่เพิ่มเหตุผลให้ต้องแวะเวียน

P2P Model หุ้นส่วนรัฐ–รัฐ ที่ทำให้ของยาก “เดินได้จริง”

โครงการลักษณะนี้หากปล่อยให้แต่ละหน่วย “ทำของใครของมัน” มักไปต่อยาก เพราะติดข้อจำกัดงบ–อำนาจ–ขั้นตอน แต่ เวียงเชียงรุ้ง กลับเลือก โมเดลหุ้นส่วนรัฐ–รัฐ (Public–Public Partnership: P2P) ที่แต่ละหน่วย ใส่จุดแข็งของตนลงไป แบบ “จิ๊กซอว์พอดีมือ”

  • อบจ.เชียงราย: งบประมาณ–วิศวกรรม–มาตรฐานงานช่าง–การจัดทำแบบ–การคุมงาน–เลนความปลอดภัย
  • ที่ว่าการอำเภอ: กำกับพื้นที่–ประสานเจ้าของที่ดิน–ขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (area-based)–จัดทำกระบวนการรับฟัง
  • อบต.ทุ่งก่อ: เจ้าของพื้นที่สนามกีฬา–ร่วมออกแบบการใช้ประโยชน์–บำรุงรักษาหลังโครงการเสร็จ

ผลลัพธ์คือ ลดเวลาหน่วงทางเอกสาร–ปิดช่องทับซ้อนอำนาจหน้าที่–ตอบสนองโจทย์ชุมชนตรงจุด และนำไปสู่การ “เห็นของจริง” ในระยะเวลาที่คนยังสนใจและพร้อมมีส่วนร่วม

Roadmap การทำงานจากทุ่งหญ้าสู่สวน–จากฝั่งนี้สู่สะพาน

เพื่อให้เห็นภาพ “เดินงาน” อย่างเป็นขั้นตอน คณะทำงานได้วางหลักการกว้าง ๆ ดังนี้

  1. สำรวจ–เก็บข้อมูลพื้นที่ (Site Survey & Due Diligence):
    • ขอบเขตที่ดิน–สาธารณูปโภคใต้ดิน–แนวท่อ/สายไฟ–จุดน้ำท่วมซ้ำซาก
    • สภาพการจราจร–ทางสัญจรคนเดิน–จักรยาน–จุดเสี่ยงอุบัติเหตุ
    • พฤติกรรมการใช้พื้นที่จริง (เวลา–กลุ่มคน–กิจกรรม)
  2. ออกแบบแนวคิด (Concept Design):
    • ผังสวน–ฟังก์ชันสุขภาพ–ตำแหน่งทางเข้า–จุดพัก–แหล่งน้ำ–ต้นไม้
    • แนวสะพาน–ระดับความสูง–จุดขึ้น–ลง–ความเชื่อมโยงกับสนามกีฬา
    • วัสดุ–งบประมาณโดยสังเขป–ค่าบำรุงรักษาในอนาคต
  3. รับฟังความคิดเห็น (Public Hearing):
    • เชิญชุมชน–ผู้ค้า–ครูกีฬา–โรงเรียน–ผู้สูงอายุ–กลุ่มเปราะบางร่วม
    • เปิดแบบให้ดู–ลองเดินเส้นทางจำลอง–รับข้อเสนอปรับแก้ก่อน “ล็อกแบบ”
  4. ออกแบบรายละเอียด–ขออนุญาต–จัดสรรงบ (Detail Design & Approvals):
    • แบบโครงสร้าง–ไฟ–งานระบบ–ทางลาดตามมาตรฐานผู้พิการ
    • ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (หากเข้าหลักเกณฑ์)
    • จัดทำ BOQ–จัดสรรงบประมาณตามระเบียบ–ตารางเวลาคุมงาน
  5. ก่อสร้าง–สื่อสาร–ร่วมดูแล (Build & Stewardship):
    • แผนก่อสร้างแบ่งเฟส ลดผลกระทบงานราชการและชุมชน
    • ป้ายความคืบหน้า–สื่อสารออนไลน์–ตั้ง “ชมรมผู้ใช้สวน/สะพาน”
    • ตั้งกติกาใช้งาน–เวรดูแลร่วมกัน–งบดูแลรายปีที่ชัดเจน

หัวใจ คือ “ทำไป–สื่อสารไป–ชวนชุมชนร่วมเป็นเจ้าของ” เพื่อให้พื้นที่ใหม่ถูกใช้จริง ไม่ใช่เพียง “งานสวยในภาพถ่าย”

ตัวเลขที่ควรมองเวลาเดินทาง–ความปลอดภัย–กิจกรรมชุมชน

แม้วันนี้ยังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ แต่ กรอบวัดผล (KPIs) ที่คณะทำงานเห็นพ้อง มีดังนี้ เพื่อใช้ติดตามผลหลังโครงการเสร็จ

  • ลดเวลาเดินทาง จากศูนย์ราชการถึงสนามกีฬา (เป้าหมาย: ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบเส้นทางเดิม)
  • เพิ่มปริมาณการใช้งาน สวน/สะพาน (ผู้ใช้ต่อวัน–ต่อสัปดาห์)
  • ความปลอดภัยทางถนน (อุบัติเหตุในจุดเสี่ยงเดิมลดลง)
  • กิจกรรมชุมชนเพิ่มขึ้น (คลาสออกกำลัง–ตลาดสุขภาพ–อีเวนต์ท้องถิ่น)
  • รายได้ผู้ค้ารายย่อย รอบพื้นที่ (สำรวจหลังใช้งาน 3–6–12 เดือน)

KPIs แบบนี้ช่วยให้ภาครัฐ–ชุมชน–ผู้ประกอบการ คุยกันด้วยข้อมูล มากกว่า “ความรู้สึก” และนำไปสู่การปรับปรุงต่อเนื่องในปีถัดไป

ความท้าทาย–ทางออกที่ดิน–น้ำ–งบ–บำรุงรักษา

โครงการสาธารณะทุกแห่งย่อมมีโจทย์ท้าทาย เวียงเชียงรุ้งเตรียม “การบ้าน” ไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้สะดุด

  • แนวเขต–สิทธิในที่ดิน: เคลียร์เส้นเขตและกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ต้น ลดโอกาสร้องเรียน
  • บริหารน้ำฝน–น้ำท่วม: ออกแบบทางระบายน้ำ–แก้มลิงขนาดย่อม–วัสดุปูพื้นที่ระบายน้ำได้
  • งบประมาณ: แบ่งเฟส–ของบผสม (งบ อบจ./อปท./บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยว เช่น กรมโยธาธิการฯ/กรมทางหลวงชนบท—ตามความเหมาะสมของลักษณะงาน)
  • บำรุงรักษาระยะยาว: ตั้งงบประจำ–ใช้วัสดุทน–ออกแบบให้ดูแลง่าย–ตั้ง “ชมรมผู้ใช้” ร่วมดูพื้นที่ประจำวัน

เมื่อคิดครบตั้งแต่วินาทีแรก โครงการมีโอกาส “ยืนระยะ” ได้จริง

เสียงสะท้อนเชิงนโยบายเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ เริ่มที่ “คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่”

แม้ข่าววันนี้ไม่มี “คำพูดใหญ่” จากผู้นำ แต่ สาร ที่สะท้อนผ่านการลงพื้นที่ร่วมกันของ อบจ.–อำเภอ–ส.อบจ.–สำนักช่าง–อบต. คือ ปรัชญาเมืองท่องเที่ยวคุณภาพเมืองที่ดีสำหรับคนในพื้นที่ ย่อมดีสำหรับนักท่องเที่ยวโดยอัตโนมัติ

  • สำหรับครอบครัว: มีพื้นที่ให้เด็กวิ่งเล่น ปลอดภัย มองเห็นลูกหลานชัด
  • สำหรับผู้สูงอายุ: ทางเดิน–ราวจับ–พื้นที่ยืดเหยียด–ห้องน้ำเข้าถึงได้
  • สำหรับวัยทำงาน: ทางลัด–เวลาสั้น–ไป–กลับการออกกำลังได้จริง
  • สำหรับผู้ประกอบการ: คนมาคนอยู่คนจ่าย = โอกาสรายได้รอบพื้นที่
  • สำหรับหน่วยงานท้องถิ่น: ภาพลักษณ์ดีความเชื่อมั่นเพิ่มคนเห็นของจริง

เมื่อ “เมืองใช้ชีวิตได้” เมืองก็ “ขายตัวเองได้”—โดยไม่ต้องยัดเยียดโฆษณา

สรุปสะพานที่เชื่อมมากกว่าสองฝั่ง—เชื่อมการบริหารกับความสุขของคน

โครงการ ปรับภูมิทัศน์ + สะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ในเวียงเชียงรุ้ง ไม่ได้สร้างเพียงสวนและสะพาน แต่สร้าง ทางเลือกชีวิต ให้คนในพื้นที่—ให้เด็กมีสนาม ให้ผู้สูงอายุมีที่เดิน ให้คนทำงานมีที่หายใจ ให้ผู้ค้ารายย่อยมีตลาด และให้เมืองมีเรื่องเล่าที่จับต้องได้

ในภาพรวมของจังหวัดเชียงรายที่มุ่งเป็น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ โครงการระดับอำเภอเช่นนี้คือ “หน่วยก่อรูป” ที่ทำให้ยุทธศาสตร์ใหญ่ลงดิน อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อ อบจ.–อำเภอ–อบต. จับมือแบบ P2P ได้เช่นนี้ เมืองทั้งจังหวัดก็มีโอกาส “ยกมาตรฐานคุณภาพชีวิต” พร้อมกัน—หนึ่งสะพานจึงไม่เพียงเชื่อมสองฝั่งคลอง หากเชื่อม การบริหารงานท้องถิ่นกับความสุขของประชาชน เข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น

เช็กลิสต์ “ก้าวต่อไป” ที่สาธารณะติดตามได้

  1. เผยแพร่ผลสำรวจพื้นที่แบบร่างแนวคิดผังสวน/แนวสะพาน ให้สาธารณะเห็น
  2. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น 2 รอบ (ก่อน–หลังปรับแบบ) ครอบคลุมกลุ่มเปราะบาง
  3. ประกาศไทม์ไลน์งบประมาณแหล่งงบ รูปแบบการจัดจ้างตามระเบียบ
  4. ติดตาม KPIs รายไตรมาสหลังเปิดใช้จริง (ผู้ใช้ ความปลอดภัย กิจกรรม รายได้ชุมชน)
  5. ตั้ง “ชมรมผู้ใช้สวนและสะพาน” ทำงานร่วม อปท. ดูแลประจำวันจัดกิจกรรมสม่ำเสมอ

เมื่อประชาชน “เห็นทางเห็นข้อมูลเห็นตัวเลข” ความร่วมมือจะเกิดขึ้นเอง และโครงการจะ “มีชีวิต” ยืนยาวกว่าวาระใด ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงเทิงโมเดล! นายก อบจ.เชียงราย ชูพลังผู้สูงวัย สร้างสังคมคุณภาพอย่างยั่งยืน

วันแม่–วันยิ้มของชุมชน” นายก อบจ.เชียงราย ร่วมกิจกรรมผู้สูงวัยเวียงเทิง เชื่อม “น้ำใจ–นโยบาย” สู่สังคมสูงวัยคุณภาพ

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 —  เสียงหัวเราะและทำนองเพลงเบา ๆ ดังสอดรับกับจังหวะยืดเหยียดของแขนขาในศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เก้าอี้ถูกจัดวางเป็นวงกว้าง เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงวัยกว่าเต็มศาลาได้ขยับร่างกายและใจไปพร้อมกัน บรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้นเมื่อ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินทักทาย จับมือไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อม นายสุชัด เสนคำ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.เทิง เขต 2 และ นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ขณะ นายสิงห์ทอง หนุนนำสิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เจ้าภาพงาน ยืนเคียงข้างทีมงานท้องถิ่นที่เตรียมกิจกรรมอย่างประณีต

กิจกรรม “วันแม่กับผู้สูงวัยเวียงเทิง” เป็นมากกว่า “งานรื่นเริง” — มันคือจุดนัดพบระหว่าง น้ำใจในชุมชน กับ นโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย ผ่านรูปธรรมง่าย ๆ แต่ทรงพลัง: การละเล่นเพื่อสุขภาพ การร้องเพลงร่วมกัน เวิร์กช็อปงานประดิษฐ์ และวงสนทนาสั้น ๆ ว่าด้วยการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน

“การจัดกิจกรรมวันแม่ไม่เพียงเป็นการระลึกถึงพระคุณแม่ หากยังเป็นเวทีสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่งสร้าง สังคมผู้สูงอายุที่มีความสุข’” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างพบปะผู้สูงวัย

ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” จากพื้นที่ประชุม สู่แพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” ตั้งอยู่ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2557 ด้วยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จุดตั้งต้นไม่ใช่ “ทำกิจกรรมให้ครบ” แต่คือ “ออกแบบพื้นที่เรียนรู้” ตามความต้องการจริงของผู้สูงอายุในชุมชน เน้นการพัฒนา 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม

ในช่วงเริ่มต้นปี 2558 ศูนย์ฯ ทดลองเปิดการเรียนรู้ เดือนละ 1 ครั้ง ต่อมามีเสียงเรียกร้องจากผู้สูงวัยให้เพิ่มความถี่ จึงค่อย ๆ ขยับมาเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ โดยเฉพาะ ทุกวันพุธ ซึ่งกลายเป็น “วันนัดพบของเพื่อนร่วมรุ่น” ที่ไม่ใช่แค่มาออกกำลังกายหรือทำงานประดิษฐ์ แต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต เชื่อมโยงไปถึงกิจกรรมระหว่างรุ่นกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเทศบาล—ให้ “วัยเด็ก” ได้เห็น “ภูมิปัญญา” และให้ “วัยเกษียณ” ได้เห็น “พลังสดใหม่” ในชุมชนเดียวกัน

เหนือกว่านั้น ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่ ศูนย์ต้นแบบ” ให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากพื้นที่อื่นเข้ามาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดวิธีคิด วิธีทำ และวิธีประเมินผล นับเป็นการขยายผลเชิงนโยบายที่จับต้องได้ โดยศูนย์ฯ เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของโครงการนวัตกรรมพื้นที่สาธารณะ ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ซึ่งวางกรอบพัฒนาท้องถิ่นระยะ 5 ปี อย่างเป็นระบบ เชื่อมกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในมิติสุขภาวะและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เมื่อเสียงเพลงกลายเป็น “ดัชนีความสุข”

ในกิจกรรมวันนี้ ช่วงที่ทำให้หลายคนยิ้มกว้างที่สุด คือวินาทีที่เพลงลูกกรุงยุคคลาสสิกดังขึ้น ผู้สูงวัยจับคู่รำวงเบา ๆ มีเสียงเชียร์จากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ กลายเป็นภาพ “ฟื้นวัย” ที่งดงาม การละเล่นเพื่อสุขภาพ—ยืดเส้นยืดสาย ชวนหัวเราะ—ทำให้อุณหภูมิของงานอุ่นขึ้นอย่างทันทีทันใด

สำหรับผู้จัด งานแบบนี้คือ “ดัชนีความสุข” ที่อ่านค่าจากแววตาและรอยยิ้ม ไม่ใช่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ในมุมของนโยบายสาธารณะ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากและเสียงหัวเราะคือ “กลไกป้องกันโรค” ที่จะลดความโดดเดี่ยว ซึมเศร้า และภาวะถดถอยทางกาย—สิ่งที่มักคืบคลานเข้าหาผู้สูงวัยอย่างเงียบ ๆ

โจทย์ใหญ่ของเชียงรายสังคมสูงวัยที่ “มาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ข้อมูลด้านประชากรสะท้อนภาพใหญ่ที่ท้องถิ่นหลีกเลี่ยงไม่ได้—เชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ อย่างต่อเนื่อง ปี 2566 จังหวัดมีประชากรผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ราว 290,547 คน คิดเป็น 22.4% ของทั้งจังหวัด ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2567 อยู่ที่ราว 20% ประเทศไทยโดยรวมเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แล้ว และหลายจังหวัดภาคเหนือ—รวมถึงเชียงราย—กำลังก้าวเร็วสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัยไม่ได้สะท้อนแค่ “อายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” แต่ยังหมายถึง อัตราส่วนพึ่งพิง ของวัยแรงงานที่สูงขึ้น—ตั้งคำถามเชิงนโยบายทันทีว่าเราจะจัดระบบ สุขภาพ–สวัสดิการ–การเรียนรู้ตลอดชีวิต–และโอกาสการทำงาน ให้คนรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าได้อย่างไร

นั่นทำให้กิจกรรมเชิงสังคมอย่างวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะมันขยับ “ปลายเหตุ” ในระดับพฤติกรรมสุขภาพ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางขยับ “ต้นเหตุ” ผ่านงบประมาณ การจัดบริการสุขภาพ การส่งเสริมอาชีพเสริม และหลักสูตรดิจิทัลรู้เท่าทันสื่อเพื่อกันภัยหลอกลวงที่พุ่งเป้าไปยังผู้สูงวัย

จากกิจกรรมสู่ระบบ 3 วงล้อ “ผู้สูงวัยคุณภาพ”

เพื่อให้การดูแลผู้สูงวัยยั่งยืนและไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ “งานครั้งคราว” ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุในจังหวัดเสนอกรอบทำงาน 3 วงล้อ ที่ต้องหมุนไปพร้อมกัน

  1. วงล้อสุขภาพ — เสริม “ทุนสุขภาพ” ที่บ้านและชุมชน ผ่านออกกำลังกายเหมาะวัย กายภาพบำบัดเบื้องต้น การคัดกรองโรคไม่ติดต่อ (ความดัน เบาหวาน) และทักษะดูแลตนเอง รวมถึงบริการเยี่ยมบ้านร่วม อปท.–สาธารณสุข
  2. วงล้อทักษะ–เศรษฐกิจ — หลักสูตรงานประดิษฐ์ งานครัว งานบริการชุมชน และ ทักษะดิจิทัล สำหรับผู้สูงวัย เพื่อเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย ขายของออนไลน์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรับงานพาร์ทไทม์ที่เหมาะวัย เปิดประตูสู่ “เศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy)” ในระดับครัวเรือน
  3. วงล้อสังคม–การเรียนรู้ — ระบบโรงเรียนผู้สูงอายุประจำสัปดาห์ กิจกรรมข้ามรุ่น (intergenerational) ระหว่างผู้สูงวัยกับเด็กและเยาวชน พื้นที่สาธารณะสร้างสรรค์อย่าง “ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ที่เปิดให้ทุกวัยมาใช้ร่วมกัน

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัยเวียงเทิงทำหน้าที่ “จุดรวมแรง” ของทั้งสามวงล้อนี้—เป็นทั้งสถานที่ กำลังคน วิธีการ และชุมชนปฏิบัติ (community of practice) ที่ขับเคลื่อนโดยเทศบาลตำบลเวียงเทิง สนับสนุนโดยเครือข่ายจังหวัดและหน่วยงานระดับชาติ

ทำไม “การลงทุนกับผู้สูงวัย” คุ้มค่ากว่า “ค่ารักษา”

  • 22.4% — สัดส่วนผู้สูงวัยของเชียงราย (ปี 2566) สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (ปี 2567 ที่ 20%)
  • แนวโน้ม 4–5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทะลุ 300,000 คน ในเวลาไม่นาน
  • โครงสร้างช่วงวัยของผู้สูงอายุ—วัยต้น (60–69 ปี) เป็นสัดส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าหากเสริมทักษะและสุขภาพตอนนี้ จะ “คืนทุนสังคม” ในระยะยาว
  • ผู้ดูแลหลักของผู้สูงวัยในเชียงรายส่วนใหญ่คือ บุตรหลานและคู่สมรส ความเข้มแข็งของครอบครัวท้องถิ่นจึงเป็น “ทุนสังคม” ที่ต้องเสริม ไม่ใช่แทนที่

คำถามชวนคิด หากกิจกรรมเชิงรุกอย่างวันนี้สามารถลดการเข้ารพ.จากโรคไม่ติดต่อได้แม้เพียง 5–10% ต่อปี เม็ดเงินค่ารักษาที่ลดลงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้สูงวัย คุ้มค่ากับการลงทุนใน “พื้นที่เรียนรู้” มากเพียงใด?

บทบาท อบจ.–เทศบาล จากโมเดลเวียงเทิงสู่การขยายผลทั้งจังหวัด

งานวันนี้สะท้อน “รูปธรรม–นโยบาย–เครือข่าย” ที่เดินไปด้วยกัน—นายก อบจ.เชียงราย มองบทบาทท้องถิ่นว่าไม่ใช่เพียง “จัดงบ–จัดงาน” แต่ต้องเป็น ผู้อำนวยความสะดวก ให้ภาคีทั้งสาธารณสุข การศึกษา ภาคเอกชน และชุมชน ร้อยเรียงเป็น “ระบบบริการชุมชนผู้สูงวัย” ที่ใช้งานได้จริง

เทศบาลตำบลเวียงเทิง ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ชูจุดเด่นการปรับกิจกรรม ตามคนจริง ๆ” ไม่ใช่ตามแบบฟอร์ม—ตั้งแต่การออกกำลังกายเบา ๆ กิจกรรมงานฝีมือ ไปจนถึงเวิร์กช็อปพื้นฐานดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย ขณะที่ อบจ.เชียงราย พร้อมหนุนการยกระดับบทเรียนจากเวียงเทิงไปยังพื้นที่อื่นในจังหวัด ผ่านเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ และ ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย ของ อปท. ต่าง ๆ

เสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากภาคสนาม

  1. เพิ่มทักษะยุคใหม่ — หลักสูตร “รู้เท่าทันสื่อ–ดิจิทัล–การเงินพื้นฐาน” เพื่อลดความเสี่ยงหลอกลวงทางออนไลน์ และเปิดช่องทางหารายได้ยืดหยุ่นสำหรับผู้สูงวัย
  2. เชื่อมโรงพยาบาล–อบต.–อสม. — ตั้ง “คลินิกผู้สูงวัยชุมชน” เดือนละครั้งในศูนย์ฯ ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง ปรับยาเบื้องต้น สอนการกายภาพง่าย ๆ และให้คำปรึกษาภาวะซึมเศร้า
  3. ประเมินผลเป็นระบบ — เก็บข้อมูลผลลัพธ์ทั้งเชิงปริมาณ (สุขภาพกาย–ใจ, การเข้าร่วม, ความพึงพอใจ) และเชิงคุณภาพ (เรื่องเล่าความเปลี่ยนแปลง) เพื่อใช้ “งบตามผลลัพธ์” (result-based) ในปีถัดไป
  4. เปิดพื้นที่ข้ามรุ่น — จับคู่โรงเรียน–ศูนย์ผู้สูงวัย ทำกิจกรรมร่วมเดือนละครั้ง อาทิ เล่านิทานพื้นบ้าน สอนงานฝีมือ แลกเปลี่ยนทักษะดิจิทัล (เด็กสอนมือถือ–ผู้สูงวัยสอนภูมิปัญญา)

ยิ้มวันนี้—แผนพรุ่งนี้” คลี่คลายปมสังคมสูงวัยด้วยชุมชนเป็นฐาน

ภาพผู้สูงวัยรำวงคู่กับนายก อบจ.เชียงรายในเช้าวันนี้ อาจดูเรียบง่าย แต่มันคือ “คำตอบนโยบาย” ที่จับต้องได้—เพราะชี้ให้เห็นว่า หากชุมชนมีพื้นที่ มีคน มีงานที่ออกแบบตามความต้องการจริง ให้ผู้สูงวัย ได้ออกจากบ้าน–ได้พบปะ–ได้เรียนรู้–ได้สร้างคุณค่า วงจรสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สังคมจะหมุนไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่งใหญ่จากส่วนกลาง

สุดท้าย การขับเคลื่อนสังคมสูงวัยในเชียงรายไม่ได้ขึ้นกับ “งานใหญ่ปีละครั้ง” แต่เกิดจาก งานเล็กทุกสัปดาห์ ที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง—และนั่นคือบทเรียนจากเวียงเทิงที่ควรส่งต่อ

กล่องข้อมูล “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” คืออะไร

  • สถานที่: ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย
  • ภารกิจ: พื้นที่เรียนรู้ผู้สูงวัย 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
  • กำเนิด: เริ่มปี 2557 ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.
  • รูปแบบ: กิจกรรมประจำสัปดาห์ (ทุกวันพุธ), เวิร์กช็อปงานฝีมือ, กิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพ, พื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น
  • บทบาทเพิ่มเติม: ศูนย์ต้นแบบศึกษาดูงานของ อปท. และหน่วยงานรัฐจากพื้นที่อื่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง 
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) 
  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) 
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) / กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 
  • เอกสารเผยแพร่ระดับจังหวัดเชียงราย 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายส่งสตรีดีเด่นสองท่านรับโล่เกียรติยศเวทีชาติ ตอกย้ำพลังสตรีท้องถิ่น

เชียงรายนำ 2 สตรีดีเด่นรับโล่ระดับประเทศ ตอกย้ำ “พลังสตรีไทย” ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 กระทรวงมหาดไทยจัดพิธีมอบ “รางวัลสตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2568” ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี และมอบรางวัลรวม 152 รายชื่อ พร้อมผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วม

เวทีที่สะท้อนแรงบันดาลใจของผู้หญิงทำงานเพื่อชุมชน

แสงไฟสว่างไสวในฮอลล์อิมแพ็คคลี่ม่านขึ้นพร้อมเสียงปรบมือแน่นขนัด ตัวแทนสตรีจากทุกภูมิภาคก้าวขึ้นสู่เวทีด้วยความภาคภูมิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยืนรอต้อนรับพร้อมมอบโล่เกียรติยศทีละราย ชื่อถูกประกาศสลับกับเสียงชื่นชมจากเพื่อนร่วมเครือข่าย “พลังสตรี” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำ แต่คือสิ่งที่ทุกคนในห้องพิสูจน์ผ่านการลงมือทำจริงในหมู่บ้าน ตำบล และจังหวัดของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ในงานเดียวกัน เครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาสตรี 76 จังหวัดเข้าร่วมประชุมถอดบทเรียนความสำเร็จ รวบรวมกรณีศึกษาจากพื้นที่ นำเสนอแนวทางต่อยอดนโยบายให้เกิดผลจริงระดับครัวเรือนและชุมชน ตัวเลขผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนสะท้อนพลังเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่ใช่งานพิธีการที่จบเพียงวันเดียว

รางวัลนี้คืออะไร และเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างไร

“สตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย” เป็นการเชิดชูสตรีผู้ทำงานขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ยกระดับรายได้ครัวเรือน ส่งเสริมอาชีพ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ไปจนถึงการจัดการสวัสดิการชุมชน รางวัลสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต้องอาศัยคนทำงานหน้างาน โดยเฉพาะเครือข่ายสตรี ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญของนโยบายด้านชุมชนของกระทรวงมหาดไทยและกรมการพัฒนาชุมชน.

ในพิธีมอบรางวัลปีนี้ ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วมครบถ้วน พร้อมย้ำบทบาทสตรีในฐานะ “ภาคีร่วมพัฒนา” ที่เชื่อมรัฐกับชุมชน และเป็นแรงหลักในการนำโครงการลงสู่ครัวเรือนได้จริง ตั้งแต่ OTOP, กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี, ไปจนถึงโครงการพัฒนาศักยภาพอาชีพและเศรษฐกิจฐานราก.

เชียงรายบนเวทีประเทศ 2 รายชื่อ 2 พื้นที่ 1 ความภาคภูมิ

สำหรับจังหวัดเชียงราย นำโดย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงราย เชียงรายส่งตัวแทนสตรีดีเด่นสองท่านขึ้นรับโล่เกียรติยศ ได้แก่

  • นางแว่นแก้ว ภิรมย์พลัด ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • นางนงลักษณ์ เทพทองพันธ์ ตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย

ทั้งสองรายชื่อได้รับการประกาศยืนยันจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 และปรากฏตัวในเวทีระดับประเทศช่วงสัปดาห์งานดังกล่าว นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จของบุคคล แต่เป็นความภูมิใจของชุมชนและทีมคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดที่ร่วมผลักดันโครงการต่อเนื่อง.

กลไกที่ทำให้ “พลังสตรี” ขับเคลื่อนได้จริง

หัวใจของรางวัลนี้อยู่ที่โครงสร้างการมีส่วนร่วมของ คณะกรรมการพัฒนาสตรี (กพส.) ซึ่งตั้งได้ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงจังหวัด ทำงานเชื่อมการรับรู้ปัญหาในพื้นที่กับการออกแบบโครงการและการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่วางไว้ทำให้เครือข่ายสตรีเติบโตอย่างเป็นระบบและมีบทบาทกำกับการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานรัฐ

อีกกลไกสำคัญคือ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนหมุนเวียนและเงินสนับสนุน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของสมาชิก โดยมีเครือข่ายสมาชิกในทุกจังหวัด และมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องผ่านเวทีระดับชาติและระดับจังหวัด ตัวเลขสมาชิกและผู้ได้รับประโยชน์จำนวนมากจากคำแถลงของรัฐบาลสะท้อนขนาดและความครอบคลุมของนโยบายเชิงโครงสร้างนี้

ภาพใหญ่ระดับชาติ สถิติเพศภาวะและแรงงาน

เมื่อนำรางวัลไปวางไว้ในบริบทระดับประเทศ ภาพรวมความก้าวหน้าของไทยด้านความเสมอภาคระหว่างเพศยังต้องเดินหน้าต่อ รายงาน Global Gender Gap 2025 ระบุไทยอยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก และอันดับ 3 ในอาเซียน สะท้อนความก้าวหน้าบางมิติ แต่ยังมี “ช่องว่าง” ให้ขยายบทบาทสตรีทั้งในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

ในตลาดแรงงาน ข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 1/2568 ชี้ให้เห็นแนวโน้มการมีงานทำและกำลังแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนสตรีในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางและสูงของไทยอยู่ราว 34.7% ตามฐานข้อมูล World Bank ตัวเลขดังกล่าวชี้ถึงโอกาสและภารกิจต่อเนื่องในการเพิ่มจำนวนสตรีในบทบาทตัดสินใจ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 5.5

ทำไม “รางวัลเชิดชูสตรี” จึงมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานราก

การยกระดับบทบาทสตรีในชุมชนไม่ได้หยุดที่เวทีรับรางวัล แต่ส่งผลเชื่อมโยงกับรายได้ครัวเรือน โอกาสการจ้างงาน และศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตั้งแต่การยกระดับ OTOP ผ่านมาตรฐานและบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทำงานประสานเพื่อ “ต่อท่อน้ำเลี้ยง” เข้าสู่โครงการจริง และกำกับติดตามผ่านระบบข้อมูลของกรมการพัฒนาชุมชน.

เชียงรายเองมีกรณีศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเวทีคัดเลือกครัวเรือนสัมมาชีพดีเด่น การพัฒนาทักษะดิจิทัลของผู้ประกอบการ และการนำเสนอผลงานต่อผู้กำหนดนโยบายระดับชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้ “เวทีระดับประเทศ” ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นจุดเริ่มของรอบการทำงานใหม่ ๆ ที่ขยายผลสู่คนในพื้นที่.

น้ำเสียงจากผู้กำหนดนโยบาย ข้อความที่ส่งถึงพื้นที่

สารหลักที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยส่งถึงเครือข่ายสตรีคือ “สนับสนุนพลังสตรีให้ขับเคลื่อนสิ่งที่ดีงามเพื่อความยั่งยืนของประเทศ” พร้อมย้ำบทบาทกรมการพัฒนาชุมชนในการเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดโครงการที่มีผลจริงในพื้นที่ ข้อความดังกล่าวสะท้อนแนวทางที่ให้ความสำคัญกับ คนหน้างาน มากกว่างานเชิงเอกสาร และยืนยันการบูรณาการระหว่างนโยบายระดับชาติกับงานระดับตำบล

ในมิติการสื่อสารสาธารณะ พรรคการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และสื่อกระแสหลักหลายสำนักร่วมรายงานข่าวและเผยแพร่สารจากเวทีนี้ ช่วยเพิ่มการรับรู้และแรงจูงใจให้เครือข่ายสตรีในจังหวัดต่าง ๆ กลับไป “ทำงานต่อ” ด้วยพลังที่มากขึ้น.

จากรางวัลสู่การเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง

พิธีมอบรางวัลสตรีดีเด่นปีนี้ไม่ใช่ภาพจำเฉพาะหน้าเวที แต่คือ “จุดนัด” ของคนทำงานชุมชนที่กำลังผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและสวัสดิการสังคมให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน เชียงรายมีชื่อสองสตรีดีเด่นขึ้นเวทีระดับชาติ ท่ามกลางเครือข่าย 76 จังหวัดที่กำลังขยายผลนโยบายจากส่วนกลางสู่ครัวเรือน ความสำเร็จนี้ยืนอยู่บนกลไก กพส. และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสอดคล้องกับสัญญาณเชิงข้อมูลจากรายงานสากลและสถิติแรงงานไทย

เส้นทางข้างหน้าจึงชัดเจนขึ้น: ทำให้ “พลังสตรี” เคลื่อนต่อด้วยเป้าหมายที่วัดผลได้ สนับสนุนทักษะจำเป็นในตลาดจริง เพิ่มบทบาทผู้หญิงในตำแหน่งตัดสินใจ และบริหารทรัพยากรอย่างโปร่งใส หากทำได้ต่อเนื่อง รางวัลในวันนี้จะกลายเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจฐานรากเติบโต และความเสมอภาคทางเพศเดินหน้าไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี: ข่าว “ธีรรัตน์ มอบรางวัลสตรีผู้ขับเคลื่อนงานบำบัดทุกข์ บำรุงสุขดีเด่น” (14 ส.ค. 2568). Thai Government
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลระเบียบ–โครงสร้าง กพส.: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (เอกสารระเบียบคณะกรรมการพัฒนาสตรี). Department of Land Affaires
  • กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี: เว็บไซต์กลางและข่าวรัฐบาลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและการดำเนินงาน. womenfund.in.thThai Government
  • รายงาน Global Gender Gap 2025: เอกสารของ World Economic Forum และบทความสรุปข้อมูลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/Nation. World Economic Forum ReportsChulalongkorn Universitynationthailand
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: สำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 1/2568. National Statistical Office
  • World Bank Gender Data Portal: Female share of employment in senior and middle management (%), Thailand 2023.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

“วาดอดีต สู่อนาคต” ศิลปินสิริฉาย เอาฬาร ใช้ศิลปะปลุกชีวิตย่านเก่าเชียงราย

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่ เชื่อมโยงรากเหง้าวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ย่านเมืองเก่าเชียงราย สร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านพลังงานศิลปะและความร่วมมือชุมชน

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการพัฒนาที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จังหวัดเชียงรายได้ริเริ่มโครงการอันทรงคุณค่าที่หวนคืนสู่รากเหง้าและเรื่องราวในอดีต เพื่อนำมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน นั่นคือนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ซึ่งได้ฤกษ์เปิดฉากอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำศักยภาพของย่านธนาลัย ในฐานะย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

จากอดีตสู่ปัจจุบันการผลิบานของย่านธนาลัย

ย่านธนาลัยเป็นเสมือนหัวใจประวัติศาสตร์และศูนย์กลางการค้าเก่าแก่ของเมืองเชียงรายที่หลอมรวมความเป็นพหุวัฒนธรรมไว้อย่างกลมกลืน ตลอดเส้นทางนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของศิลปะ วัฒนธรรม ร้านค้าเก่าแก่ที่ยืนหยัดมานานนับทศวรรษ รวมถึงธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาต่อยอดและพัฒนาแบรนด์กิจการดั้งเดิมสู่รูปแบบสร้างสรรค์ใหม่ๆ โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เรื่องราวอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดไปสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย เป็นการรวมตัวของกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ เพื่อร่วมกันบอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ และถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ รวมถึงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าผ่านผลงานการออกแบบสร้างสรรค์ ที่สะท้อนถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของย่านนี้

วาดอดีต สู่อนาคต”ศิลปะเชื่อมโยงหัวใจแห่งชุมชน

หัวใจหลักของการนำเสนอเรื่องราวในนิทรรศการนี้คือแนวคิด “Sketch the past, Draw the future” หรือ วาดอดีต สู่อนาคต” ซึ่งเป็นแนวคิดแกนหลักของ นางสาวสิริฉาย เอาฬาร ศิลปินหญิงผู้เปี่ยมด้วยความสนใจในการทำงานร่วมกับชุมชน เธอเชื่อว่าในโลกที่หมุนเร็ว ผู้คนต่างมุ่งไปข้างหน้า การหันกลับมามอง “ราก” ของผู้คนในย่านเก่าแก่ผ่านสายตาอันละเมียดละไมของศิลปะ จะสามารถสร้างความเชื่อมโยงและความเข้าใจระหว่างรุ่นได้อย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในกิจกรรมเด่นที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ โครงการ Food Sketch Tour ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่เข้ากับผู้ประกอบการรุ่นอาวุโส โดยเฉพาะเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่นเก่าแก่ที่มีเรื่องราวอันทรงคุณค่า แต่ยังขาดการบันทึกอย่างเป็นระบบ โครงการนี้เชื้อเชิญเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ วาด” ภาพอาหารจากร้านเก่าแก่ และ ฟัง” เรื่องเล่าจากเจ้าของร้านผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตยาวนาน

นางสาวสิริฉาย เอาฬาร เลือกที่จะหันกลับมามอง "ราก" ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด "Sketch the past, Draw the future" หรือ "วาดอดีต สู่ อนาคต". โครงการ "Food Sketch Tour"

ผ่านกิจกรรมนี้ เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของร้าน การเปลี่ยนแปลงของประเภทอาหารตามยุคสมัย หรือการปรับตัวของผู้ประกอบการจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นภาพวาดอาหาร ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงามทางศิลปะ แต่ยังอัดแน่นไปด้วยความทรงจำและความหมายที่ลึกซึ้ง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคือบทสนทนาระหว่างรุ่นที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความอบอุ่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นิทรรศการที่ “ชวนชิม” เรื่องราวประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ด้วยทุกประสาทสัมผัส

ความโดดเด่นของนิทรรศการนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เนื้อหา แต่ยังรวมถึงรูปแบบการจัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในส่วนของ นางสาวสิริฉาย เอาฬาร ภาพวาดจากศิลปินผู้เข้าร่วมกิจกรรม Food Sketch Tour ทั้งหมดจะถูกจัดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารจริง ในบรรยากาศของ มื้อสร้างสรรค์” ซึ่งเชิญชวนให้ผู้ชมได้ ลิ้มรสเรื่องราว” ผ่านทั้งสายตาและการมีส่วนร่วมในประสบการณ์การกิน

นี่คือการนำเสนอศิลปะที่ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อมอง แต่เพื่อ “มีส่วนร่วม” และ “รู้สึก” เป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนความเข้าใจและความสัมพันธ์ในสังคมอย่างแท้จริง แนวคิด “Sketch the past, Draw the future” จึงมิได้เป็นเพียงชื่อโครงการ หากแต่เป็นทัศนคติที่ใช้ศิลปะเชื่อมร้อยอดีตกับอนาคต ผ่านบทสนทนาเล็กๆ บนโต๊ะอาหาร ที่เต็มไปด้วยความหมาย ความทรงจำ และความหวัง

ประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับ การลงทุนในอนาคตของชุมชน

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นโครงการที่ส่งมอบคุณค่าและประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนในวงกว้างอย่างแท้จริง:

  • สำหรับชุมชนและผู้ประกอบการ: การจัดแสดงผลงานในครั้งนี้ช่วยยกระดับและอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงเรื่องราวอันทรงคุณค่าของร้านค้าเก่าแก่ ซึ่งหลายครั้งอาจถูกมองข้าม นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจดั้งเดิมได้ต่อยอดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ สร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน ทำให้ย่านธนาลัยเป็นย่านที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเติบโตอย่างยั่งยืน
  • สำหรับเยาวชนและคนรุ่นใหม่: โครงการนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจากผู้สูงอายุโดยตรง ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ เป็นการบ่มเพาะความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างช่วงวัย พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะและการทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคต
  • สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน: นิทรรศการนำเสนอการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่ได้ชม แต่ยังได้สัมผัสและมีส่วนร่วม ผู้มาเยือนจะได้เข้าถึงเรื่องราวและจิตวิญญาณของย่านธนาลัยอย่างลึกซึ้งผ่านศิลปะ อาหาร และประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงความรู้สึกกับท้องถิ่น
  • สำหรับจังหวัดเชียงราย: โครงการนี้เป็นการขับเคลื่อนให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม การผนวกศิลปะเข้ากับการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจ ช่วยสร้างเอกลักษณ์และความน่าสนใจให้กับเมือง ดึงดูดทั้งนักลงทุน นักสร้างสรรค์ และนักท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงไม่ใช่เพียงอดีตที่หวนคืนมา หากแต่เป็นบทเริ่มต้นของการสร้างสรรค์อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับย่านธนาลัยและจังหวัดเชียงราย ด้วยพลังแห่งศิลปะและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News