Categories
NEWS UPDATE

ทอท.เร่งขยายสนามบิน รับนักท่องเที่ยวพุ่งปี 2568

การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว นักท่องเที่ยวรัสเซีย-ฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น ขณะตลาดเอเชียชะลอตัว

กรุงเทพฯ, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (Long-haul Market) ซึ่งมีอัตราเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 4.15% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดย ตลาดรัสเซียและฝรั่งเศส ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 41.53% จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การส่งเสริมตลาด จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น และการเข้าสู่ช่วงปิดเทอมของยุโรป (School Holiday)

อย่างไรก็ตาม ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (Short-haul Market) กลับมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางอากาศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และค่าเงินที่ผันผวน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 837,407 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 109,551 คน (-11.57%) คิดเป็นค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 119,630 คนต่อวัน

5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย

  1. มาเลเซีย – 134,912 คน
  2. จีน – 114,930 คน
  3. รัสเซีย – 55,948 คน
  4. เกาหลีใต้ – 41,579 คน
  5. อินเดีย – 37,406 คน

นักท่องเที่ยวจาก อินเดีย และ รัสเซีย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 11.75% และ 1.06% ตามลำดับ ขณะที่ จีน (-35.37%), มาเลเซีย (-21.01%), และเกาหลีใต้ (-9.42%) มีจำนวนลดลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเดินทางในสัปดาห์ถัดไป

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจะทรงตัว โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการเดินทาง ได้แก่

  • โครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
  • มาตรการ Ease of Traveling เช่น ยกเว้นบัตร ตม.6 ที่ด่านทางบก
  • การส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน
  • การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของสายการบิน

รายได้จากการท่องเที่ยวไทยแตะ 234,958 ล้านบาท

ข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม อยู่ที่ 4,804,876 คน สร้างรายได้ 234,958 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวสะสมสูงสุด ได้แก่

  1. จีน – 825,617 คน
  2. มาเลเซีย – 617,631 คน
  3. รัสเซีย – 330,628 คน
  4. เกาหลีใต้ – 263,572 คน
  5. อินเดีย – 232,828 คน

คมนาคมเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวฤดูร้อน 2568

นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วง 30 มีนาคม – 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็น ตารางบินฤดูร้อน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรองรับที่สนามบินต่าง ๆ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) รายงานว่า

  • สนามบินสุวรรณภูมิ รองรับ 1,930 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 1,202 เที่ยวบิน/วัน (+16.36%)
  • สนามบินดอนเมือง รองรับ 1,222 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 745 เที่ยวบิน/วัน (-2.74%)
  • สนามบินเชียงใหม่ รองรับ 444 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 240 เที่ยวบิน/วัน (+17.65%)
  • สนามบินภูเก็ต รองรับ 424 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 340 เที่ยวบิน/วัน (+7.59%)

เพิ่มเที่ยวบิน รองรับผู้โดยสาร 7.88 ล้านคนในฤดูร้อน 2568

กรมท่าอากาศยาน (ทย.) คาดการณ์จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 27,077 เที่ยวบิน แบ่งเป็น

  • เที่ยวบินภายในประเทศ – 25,395 เที่ยวบิน (+6.67%)
  • เที่ยวบินระหว่างประเทศ – 1,682 เที่ยวบิน (+43.28%)
  • จำนวนผู้โดยสาร7,887,295 คน (+10.52%)

นายสุริยะเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการบินของอาเซียน ภายใน 5 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยดึงนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน สร้างรายได้ทะลุเป้า 1.8 ล้านล้านบาท

ไทยแลนด์ครองเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2567 เตรียมพร้อมสู่ปี Amazing Thailand Grand Tourism 2025

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 35,047,501 คน ในปี 2567 ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ สร้างรายได้กว่า 1.8 ล้านล้านบาท จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

มาตรการเสริมศักยภาพการท่องเที่ยว
ความสำเร็จในปี 2567 เป็นผลมาจากมาตรการที่หลากหลาย เช่น

  • ยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) สำหรับ 93 ประเทศ
  • ยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับ 16 ด่านชายแดนทางบกและน้ำ
  • ความร่วมมือกับสายการบินระหว่างประเทศในการเปิดเส้นทางบินใหม่ เพิ่มเที่ยวบิน และขยายความจุที่นั่งสายการบิน

โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น มีสายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ถึง 311 เที่ยวบิน เพิ่มความจุที่นั่งกว่า 70,000 ที่นั่ง

ตลาดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูง
ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติสูงสุด (New High) เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้แก่

  • จีน: 6,667,610 คน
  • มาเลเซีย: 4,898,496 คน
  • อินเดีย: 2,100,645 คน
  • เกาหลีใต้: 1,847,276 คน
  • รัสเซีย: 1,705,198 คน
    นอกจากนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและยุโรปยังคงเติบโตต่อเนื่อง

กิจกรรมเด่นดึงดูดนักท่องเที่ยว


ในปีที่ผ่านมา ททท. จัดกิจกรรมและอีเวนต์ระดับโลก เช่น

  • Amazing Thailand Countdown 2024
  • เทศกาลสงกรานต์ระดับชาติ
  • การท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และภาพยนตร์ไทย
  • โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges

แผนงานปี 2568 สู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

ททท. วางเป้าหมายปี 2568 ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36-39 ล้านคน สร้างรายได้ 1.98 – 2.23 ล้านล้านบาท ภายใต้แผนงาน Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยเน้นเสน่ห์ไทยที่แตกต่าง เช่น

  • จัดอีเวนต์ระดับโลก
  • เสริมประสบการณ์การเดินทางใหม่
  • เพิ่มสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว
  • เชิญผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

การเปิดเส้นทางบินใหม่ในปี 2568
สายการบินจากทั่วโลกเตรียมเปิดเส้นทางใหม่ ได้แก่

  • Ruili Airlines: คุนหมิง-เชียงใหม่
  • British Airways: ลอนดอน-กรุงเทพฯ
  • Thai Airways: บรัสเซลส์-กรุงเทพฯ
  • Air Canada: แวนคูเวอร์-กรุงเทพฯ

การมุ่งสู่การเป็น Tourism Hub

การผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเน้นความสะดวกและสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง

บทสรุป

ความสำเร็จในปี 2567 เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ที่สะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง โดยปี 2568 จะเป็นปีที่ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในการก้าวสู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยเสนอวีซ่าร่วม 6 ประเทศ ดันอาเซียนเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว

ไทยเดินหน้าสร้างภูมิภาคท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ ภายใต้แนวคิด “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย”

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 thailandnow รายงานว่า ประเทศไทยกำลังผลักดันโครงการนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยว โดยเสนอแนวคิดวีซ่าร่วมในลักษณะเดียวกับวีซ่าเชงเก้นของยุโรป เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 6 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม ลาว มาเลเซีย และเมียนมา แนวคิดนี้ได้รับการผลักดันโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้หารือกับผู้นำอาเซียนหลายครั้งในปีที่ผ่านมา

“หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” จุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวอาเซียน

แนวคิด “Six Countries, One Destination” หรือ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” ถูกเสนอครั้งแรกโดยประเทศไทยในเดือนเมษายน 2567 และได้รับการหารือใน การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 ที่ประเทศลาว เป้าหมายของโครงการนี้คือการทำให้อาเซียนเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ ลดขั้นตอนด้านเอกสาร และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ได้ผลักดันโครงการนี้ผ่านการเจรจาระหว่างผู้นำอาเซียนหลายประเทศ รวมถึงหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ จิญห์ ของเวียดนาม โดยตกลงเริ่มนำร่องระบบวีซ่าร่วม รวมถึงการเจรจากับนายกรัฐมนตรีโสเนไซ สีพันดอน ของลาว เน้นเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจและการคมนาคม นอกจากนี้ ยังมีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่มาเลเซียเพื่อหารือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น การปรับขั้นตอนข้ามแดน และการเชื่อมโยงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับแผนส่งเสริมการท่องเที่ยว

เป้าหมายของวีซ่าร่วม: เพิ่มการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ระบบวีซ่าร่วมนี้มุ่งเน้นการลดขั้นตอนด้านเอกสารและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าประเทศในกลุ่มที่เข้าร่วมได้ด้วยวีซ่าเดียว ส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนวันพักและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้าง “ภูมิภาคการท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์” คล้ายกับระบบของยุโรป แต่ผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียน ระบบนี้ยังช่วยลดอุปสรรคทางด้านเอกสาร เช่น การยื่นขอวีซ่าหลายครั้ง ช่วยให้การเดินทางในภูมิภาคง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ไทยในฐานะผู้นำการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค

บทบาทของไทยในฐานะผู้นำโครงการนี้ถูกเน้นย้ำผ่านการประชุมสุดยอดและการหารือทวิภาคีต่างๆ โดยรัฐบาลไทยยังเน้นความสำคัญของการปรับปรุงขั้นตอนการเดินทาง และการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมระหว่างประเทศในภูมิภาค

นอกจากนี้ การนำเสนอโครงการนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก โดยเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อ พร้อมทั้งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ก้าวใหม่ของการท่องเที่ยวในเอเชีย

โครงการ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” ถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคเอเชียในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค โดยการรวมวีซ่าเข้าด้วยกันจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ด้วยการสนับสนุนจากผู้นำในภูมิภาคและการผลักดันอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้คาดว่าจะสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการเดินทางในภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อประโยชน์ของนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : thailandnow

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยโต 3% ไตรมาส 3 ปัจจัยบวกการท่องเที่ยวหนุน

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัว 3% แม้เผชิญปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจโลก

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า GDP ขยายตัว 3% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยที่ 2.3% การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากภาคบริการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการผลิตและเกษตรกรรมยังชะลอตัวลง

สัญญาณการฟื้นตัวในภาคบริการและการท่องเที่ยว

นายดนุชากล่าวว่า สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัว 8.4% ในไตรมาสนี้ จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยกว่า 8.58 ล้านคน สร้างรายรับจากการท่องเที่ยวรวมกว่า 5.82 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 29.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 2.25 แสนล้านบาท

ความท้าทายในปี 2568 จากปัจจัยเสี่ยงภายนอก

สศช. คาดการณ์ว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.6% ส่วนปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.3-3.3% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและภาคการผลิตของไทย ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาการกีดกันทางการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ

เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน สศช. แนะนำให้รัฐบาลผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูป รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง เน้นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น

การปรับตัวของภาคเอกชนและการบริโภค

คาดการณ์ว่าในปี 2568 การลงทุนของภาคเอกชนจะขยายตัว 2.8% และการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 3% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายของประชาชน

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองในอนาคต

นายดนุชาเน้นย้ำว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เปิด 15 อำเภอเมืองเจริญที่สุด เชียงรายติดอันดับ 12

เปิดอันดับ 15 อำเภอเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศไทย เชียงรายติดอันดับ 12

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ได้มีการจัดอันดับอำเภอเมืองที่มีความเจริญที่สุดในประเทศไทย ซึ่งการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นผลการสำรวจโดย The Ranking โดยพิจารณาจากหลายเกณฑ์ ได้แก่ ความเป็นเมือง เศรษฐกิจ งบประมาณ ขนส่งในเมือง การศึกษา การแพทย์ ความบันเทิง และการค้าขาย ผลการจัดอันดับเผยให้เห็นว่า อำเภอเมืองเชียงรายสามารถติดอันดับที่ 12 จากทั้งหมด 15 อำเภอเมืองทั่วประเทศ ซึ่งไม่รวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ความสำคัญของ “อำเภอเมือง” ในการพัฒนาแต่ละจังหวัด

อำเภอเมืองของแต่ละจังหวัดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การศึกษา การแพทย์ รวมถึงการเป็น แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ และความสะดวกสบายต่าง ๆ อำเภอเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมักมี โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ ทำให้ประชาชนในจังหวัดได้รับ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับอำเภอเมือง

The Ranking ได้ใช้ปัจจัยหลายด้านในการประเมินว่า อำเภอเมืองไหนเจริญที่สุด โดยเน้นที่:

  1. ความเป็นเมือง (Urbanization): การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ
  2. เศรษฐกิจ (Economy): การลงทุน การเจริญเติบโตของธุรกิจ และรายได้ต่อหัวประชากร
  3. งบประมาณ (Budget): การจัดสรรงบประมาณของท้องถิ่นในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ
  4. ขนส่งในเมือง (Transportation): ความสะดวกในการเดินทาง ระบบขนส่งสาธารณะ
  5. การศึกษา (Education): คุณภาพของสถานศึกษาและการเข้าถึงการเรียนรู้
  6. การแพทย์ (Healthcare): ความพร้อมของสถานพยาบาลและการให้บริการสุขภาพ
  7. ความบันเทิง (Entertainment): สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า
  8. การค้าขาย (Commerce): ความหลากหลายของร้านค้า ศูนย์การค้า และตลาดนัด

เปิด 15 อันดับ อำเภอเมืองที่เจริญที่สุด

จากการประเมินและวิเคราะห์ข้อมูล The Ranking ได้เผยรายชื่อ 15 อำเภอเมืองที่เจริญที่สุด ดังนี้:

  1. เมืองเชียงใหม่ (เชียงใหม่) – ศูนย์กลางทางการศึกษาและการท่องเที่ยวในภาคเหนือ
  2. เมืองขอนแก่น (ขอนแก่น) – จุดเชื่อมต่อการค้าสำคัญในภาคอีสาน
  3. เมืองนครราชสีมา (นครราชสีมา) – เมืองเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  4. เมืองชลบุรี (ชลบุรี) – เมืองอุตสาหกรรมและท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก
  5. เมืองอุดรธานี (อุดรธานี) – แหล่งรวมธุรกิจและการค้าชายแดน
  6. เมืองภูเก็ต (ภูเก็ต) – เมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  7. เมืองระยอง (ระยอง) – แหล่งอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคตะวันออก
  8. เมืองพิษณุโลก (พิษณุโลก) – เมืองประวัติศาสตร์ที่มีการพัฒนาด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว
  9. เมืองสุราษฎร์ธานี (สุราษฎร์ธานี) – ประตูสู่เกาะสมุยและแหล่งท่องเที่ยวภาคใต้
  10. เมืองอุบลราชธานี (อุบลราชธานี) – เมืองสำคัญในด้านการศึกษาและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  11. เมืองนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช) – เมืองศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมภาคใต้
  12. เมืองเชียงราย (เชียงราย) – เมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์และเป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
  13. เมืองนครสวรรค์ (นครสวรรค์) – ศูนย์กลางการค้าและขนส่งในภาคเหนือ
  14. เมืองสงขลา (สงขลา) – เมืองท่าเรือและการค้าชายแดนที่มีความสำคัญ
  15. เมืองลำปาง (ลำปาง) – เมืองที่มีความสงบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

อำเภอเมืองเชียงใหม่: ผู้นำในการพัฒนาเมือง

อันดับที่หนึ่งตกเป็นของ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน มีสนามบินนานาชาติ สถานศึกษาชั้นนำ และสถานพยาบาลที่ทันสมัย ทำให้เชียงใหม่กลายเป็น จุดหมายปลายทางยอดนิยม ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

อำเภอเมืองขอนแก่น: เมืองใหญ่แห่งอีสาน

สำหรับ อำเภอเมืองขอนแก่น ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาที่สำคัญของภาคอีสาน มีมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำในระดับประเทศ และยังมีระบบขนส่งที่สะดวก ทำให้การเดินทางและการค้าขายในพื้นที่นี้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อำเภอเมืองเชียงราย: เมืองแห่งศักยภาพในภาคเหนือ

เชียงรายติดอันดับที่ 12 ซึ่งถือเป็นอำเภอเมืองที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ด้วยทำเลที่ตั้งเป็น ประตูสู่อาเซียน เชียงรายมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

ปัจจัยที่ทำให้เชียงรายเจริญเติบโตขึ้น

  1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม
    เชียงรายมีการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งสนามบินและถนนสายหลัก ทำให้การเข้าถึงเมืองสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากภาคเอกชน

  2. แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย
    เชียงรายมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ดอยตุง วัดร่องขุ่น และภูชี้ฟ้า ทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีเทศกาลและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว

  3. ศูนย์กลางการค้าชายแดน
    ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนเมียนมาและลาว เชียงรายจึงเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่สำคัญ มีด่านชายแดนที่สำคัญอย่างแม่สายและเชียงของ ทำให้เกิดการค้าขายและการลงทุนข้ามพรมแดนมากขึ้น

ทำไมเชียงรายเจริญขึ้นจนติดอันดับ 12 ของประเทศ?

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาต่อเนื่องในหลาย ๆ ด้านในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับในระดับประเทศได้ มาดูกันว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชียงรายเจริญขึ้นคืออะไร

  1. สถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์
    เชียงรายเป็นเมืองที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น ดอยตุง ดอยแม่สลอง วัดร่องขุ่น หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างหมู่บ้านชนเผ่า ทำให้เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศนิยมเดินทางมาเยือน ส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

  2. การลงทุนจากภาครัฐและเอกชน
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบขนส่ง โรงพยาบาล และโรงเรียน นอกจากนี้ยังมีโครงการสนับสนุนด้านการเกษตรและการค้าชายแดนที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดให้แข็งแกร่งขึ้น

  3. การเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมในภูมิภาค
    เชียงรายตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม เนื่องจากอยู่ใกล้ชายแดนไทย-ลาว และไทย-เมียนมา ทำให้สามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนได้ มีด่านชายแดนที่สำคัญ เช่น ด่านแม่สาย และด่านเชียงของ ซึ่งเชื่อมโยงการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

  4. การพัฒนาสถาบันการศึกษาและสถานพยาบาล
    เชียงรายมีการพัฒนาด้านการศึกษาและสถานพยาบาลที่ดี มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลชั้นนำที่สามารถให้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ขีดจำกัดและความท้าทายของเชียงราย

แม้เชียงรายจะมีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดและความท้าทายหลายประการที่ควรพิจารณาในการพัฒนาต่อไป ได้แก่

  1. การขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
    แม้เชียงรายจะมีการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน แต่การเข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในบางพื้นที่ยังคงจำกัด ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่าง ๆ ที่ทันสมัย

  2. การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
    เชียงรายเป็นเมืองที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก โดยเฉพาะในการท่องเที่ยวและการเกษตร หากไม่มีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชน

  3. การกระจายรายได้อย่างไม่เท่าเทียม
    แม้เศรษฐกิจของเชียงรายจะเติบโต แต่รายได้ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และพื้นที่เมือง ขณะที่พื้นที่ชนบทยังคงมีปัญหาด้านความยากจนและการขาดแคลนโอกาสในการพัฒนา

แนวทางการพัฒนาเชียงรายให้เจริญมากยิ่งขึ้น

เพื่อให้เชียงรายสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มีแนวทางที่ควรดำเนินการดังนี้

  1. พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร
    ควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลได้ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล

  2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและชุมชน
    ควรส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่และช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น

  3. เพิ่มการลงทุนในภาคการศึกษาและสุขภาพ
    การพัฒนาโรงเรียน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างบุคลากรที่มีความรู้และทักษะ รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้น

  4. สร้างโอกาสให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
    การส่งเสริมธุรกิจ SMEs ในพื้นที่จะช่วยกระจายรายได้และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ

  5. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง
    ควรพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงเชียงรายกับจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการค้าและการลงทุน

สรุป: ความสำคัญของการพัฒนาอำเภอเมือง

การจัดอันดับครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า อำเภอเมือง แต่ละแห่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การที่อำเภอเมืองต่าง ๆ พยายามพัฒนาตนเองให้เป็น ศูนย์กลางความเจริญของจังหวัด จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศไทย

เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงมีขีดจำกัดและความท้าทายที่ต้องเผชิญ การพัฒนาจังหวัดให้เจริญยิ่งขึ้นจำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการศึกษา เทคโนโลยี การท่องเที่ยว และการกระจายรายได้ การร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงราบนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวต่างชาติทะลักไทย กวาดรายได้ 1.35 ล้านล้าน

กระทรวงการท่องเที่ยวเผยนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 29 ล้านคน สร้างรายได้ 1.35 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยในปี 2567 ว่า มีนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 3 พฤศจิกายน รวม 29,080,399 คน ซึ่งสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 1.35 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังคงครองแชมป์อันดับ 1 มีจำนวนมากถึง 5,756,998 คน ตามมาด้วยมาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย

นักท่องเที่ยวกลุ่ม Long Haul และ Short Haul ฟื้นตัวดี

สำหรับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจำนวนมากในทุกกลุ่มตลาด โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) จากยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย มีจำนวนเข้ามา 243,204 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.85 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบหลายเดือน โดยเฉพาะตลาดรัสเซียและเยอรมันที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 คน นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (Short haul) จากประเทศในเอเชีย เช่น มาเลเซีย อินเดีย และสิงคโปร์ ก็มีอัตราการเดินทางเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเทศกาลดิวาลี ส่งผลให้ในสัปดาห์นี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 701,962 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 20.10

นักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย รัสเซีย และอินเดีย มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

5 อันดับแรกของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ มาเลเซีย (123,121 คน) จีน (96,756 คน) รัสเซีย (41,397 คน) อินเดีย (40,956 คน) และเกาหลีใต้ (32,593 คน) ซึ่งทั้ง 5 ประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมาเลเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.24 รัสเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.41 และจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.58

ปัจจัยที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือ High Season กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การเพิ่มจำนวนที่นั่งการเดินทางเข้าไทยระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิ้นปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 รวมถึงการยกเว้นการใช้บัตร ตม.6 ในด่านทางบกและการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินเข้าไทยมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการ Ease of traveling ที่ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการเข้าเมืองและกระตุ้นการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย

คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ถัดไป

จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว จึงคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ถัดไป โดยเฉพาะกลุ่มตลาดระยะไกลจากยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย ขณะเดียวกันตลาดในเอเชีย เช่น จีนและมาเลเซียยังมีแนวโน้มขยายตัวดี โดยกระทรวงการท่องเที่ยวตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไทยอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / Flow Chiangsaen

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

สำรวจความคิดเห็นการท่องเที่ยวไทยปี 67 ประชาชนพอใจนโยบายรัฐ

 

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 นายสานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลในปี 2567 โดยผลสำรวจดังกล่าวได้เก็บข้อมูลจากประชาชน 1,500 รายทั่วประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว

ความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาล

จากผลสำรวจพบว่าประชาชนพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาลปัจจุบันถึง 61.2% โดยแบ่งเป็นพอใจมาก 32.5% และพอใจในระดับปานกลาง 28.7% ขณะที่มีประชาชนที่พอใจในระดับกลาง 20.4% ไม่พอใจ 12.3% และไม่พอใจอย่างมาก 6.1%

เปรียบเทียบการท่องเที่ยวในปี 2567 กับปีก่อน

เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารจัดการท่องเที่ยวของปีที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 55.7% เห็นว่าการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 ดีขึ้น ส่วนอีก 22.8% เห็นว่าเหมือนเดิม และ 21.5% คิดว่าแย่ลง

การมีส่วนช่วยของการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจไทย

จากการสอบถามถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มีต่อเศรษฐกิจไทย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยเศรษฐกิจมากที่สุดในระดับมากถึง 35.4% รองลงมาคือระดับมาก 27.8% ระดับปานกลาง 18.3% ระดับน้อย 12.6% และระดับน้อยที่สุด 5.9%

มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นประโยชน์

ในส่วนของมาตรการที่ประชาชนเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สุด ได้แก่ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยและการทำประกันนักท่องเที่ยววงเงิน 1 ล้านบาท 27.3% ตามมาด้วยการส่งเสริมการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวตลอดทั้งปี 16.8% และการเร่งพัฒนาสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน 12.1%

โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม

เมื่อสอบถามถึงโครงการที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในปี 2567 พบว่าโครงการ “Amazing Thailand 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว” ได้รับความนิยมมากที่สุดที่ 22.7% ตามมาด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง 16.3% และโครงการการทำตลาดท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 10.7%

ผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยว

จากการสอบถามผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาลมีส่วนช่วยฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19

การสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกของประชาชนและผู้ประกอบการต่อมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล และการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านภาคการท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News