Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายพร้อม! ดัน “โล้ชิงช้าอาข่า” เป็น Soft Power แห่งการท่องเที่ยว

โล้ชิงช้าบ่อฉ่องตุ๊” ประเพณีศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่ฟ้าหลวง—อบจ.เชียงราย–อบต.แม่สลองใน ผนึกพลังชุมชน ขับเคลื่อน Soft Power ชนเผ่าอาข่าสู่สายตาโลก

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เหนือยอดดอยแม่สลอง เสียงฆ้องและกระบอกไม้ไผ่กระทบกันเป็นจังหวะกังวาน ณ ลานพระสยามเทวาธิราช บ้านสามแยกอาข่า ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปีติของชุมชนอาข่า—ชายหญิงแต่งชุดชาติพันธุ์อันวิจิตร สีเงินของเครื่องประดับสะท้อนแดดอ่อนราวประกายแห่งศรัทธา วันนี้คือ “วันสร้างชิงช้า”—วันสำคัญในลำดับพิธีของ เทศกาลโล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” ที่ชาวอาข่าขนานนามกันมายาวนานว่า “ปีใหม่อาข่า” และพรุ่งนี้ (7 กันยายน) คือวันไคลแมกซ์ที่ทั้งหญิงและชายจะออกมาโล้ชิงช้าอย่างสนุกสนานและสำรวมในคราวเดียวกัน

พิธีเปิดงานปีนี้ได้รับเกียรติจาก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เป็นประธาน ท่ามกลางการต้อนรับจากผู้นำชุมชน ผู้แทนหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ ภาพทั้งหมดสะท้อนพลัง “ร่วมจัด–ร่วมอนุรักษ์–ร่วมภาคภูมิใจ” และกำลังผลักเชียงรายให้โดดเด่นขึ้นในฐานะจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มี “วิถีชนเผ่า” เป็นหัวใจ

พิธีกรรมที่มากกว่างานรื่นเริง บูชาพระแม่โพสพ–กตัญญูบรรพชน–ยกย่องบทบาทสตรี

ตาม ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม เทศกาลโล้ชิงช้าเป็นพิธีกรรมที่จัดปีละครั้งเพื่อบูชา “พระแม่โพสพ” และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป้าหมายลึกซึ้งกว่าการเฉลิมฉลอง คือการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผืนดินและข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนร้อยสายใยคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น

สัญลักษณ์เด่นที่สุดของงานคือ “การโล้ชิงช้า” ซึ่งถูกมอบความหมายเชิงยกย่องบทบาทของสตรีชาวอาข่า ในเทศกาลนี้หญิงสาวจะสวมชุดประจำเผ่าที่ประดับงานโลหะ ลูกปัด และเครื่องตกแต่งแฮนด์เมดอันละเอียดอ่อน ออกมาโล้ชิงช้าอย่างสง่างาม ถึงพร้อมด้วยความสนุกและกิริยามารยาทที่อยู่บนฐานของมารยาทชุมชน ในสายตาคนนอก นี่คือภาพงดงามทางสุนทรียะ แต่สำหรับชาวอาข่า มันคือ “การประกาศตัวตน”—การสืบสานวิถีชีวิตและบทบาทสตรีที่มีเกียรติในโครงสร้างสังคมของชนเผ่า

แผนงาน 3 พื้นที่—หนึ่งอัตลักษณ์ร่วม

เทศกาลปี 2568 มิได้มีเพียง “บ่อฉ่องตุ๊” แห่งแม่ฟ้าหลวงเท่านั้น หากยังจัดต่อเนื่องในพื้นที่ชุมชนอาข่าชื่อดังของอำเภอแม่สาย ตาม กำหนดการในข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ดังนี้

  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย : วันที่ 4–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาหมี อ.แม่สาย : วันที่ 6–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” บ้านสามแยกอาข่า อ.แม่ฟ้าหลวง : วันที่ 6–7 กันยายน 2568

แม้จะต่างวันและต่างพื้นที่ แต่ทั้งสามต่างยึดแก่นพิธีเดียวกัน—การสำนึกในบุญคุณผืนดินและบรรพบุรุษพร้อมการเฉลิมฉลองชุมชน รายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละชุมชนสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานอยู่ภายใต้ “รากเดียวกัน” ของอาข่า และนี่คือเสน่ห์ซึ่งนักเดินทางสมัยใหม่ที่มองหาประสบการณ์แท้ (authentic) ให้ความสนใจ

วัตถุประสงค์ชัด 4 ข้อ—โมเดลจัดงานที่วางบนฐานความยั่งยืน

นายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน ย้ำถึงแกนกลางของงานว่า เทศกาลนี้มิใช่เพียง “งานรื่นเริง” แต่คือเครื่องมือสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ

  1. ฟื้นฟูประเพณี–พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: ให้คนมา “เห็น–เข้าใจ–เคารพ” วิถีชนเผ่า ผ่านพิธีกรรมและกิจกรรมที่ชุมชนออกแบบ
  2. เสริมความเข้มแข็งและสามัคคี: ทุกเพศวัยมีบทบาทร่วมในงาน เกิดความภูมิใจและเป็นเจ้าของมรดกร่วม
  3. ปลูกจิตสำนึกเยาวชน: ถ่ายทอดความรู้ ขนบธรรมเนียม และบทบาทหน้าที่ทางวัฒนธรรมสู่คนรุ่นใหม่
  4. สืบทอดวิถีชนเผ่า: ให้ประเพณียัง “มีชีวิต” ไม่ใช่แค่ “จัดแสดง”

การกำหนดเป้าหมาย “เชิงสังคม–เชิงวัฒนธรรม–เชิงเศรษฐกิจ” ควบคู่กัน ทำให้งานนี้กลายเป็นต้นแบบการใช้วัฒนธรรมสร้างคุณค่าใหม่ (value creation) โดยไม่ทำลายแก่นแท้—ตรงกับหลักคิด “ท่องเที่ยวรับผิดชอบและยั่งยืน” ที่สังคมไทยและโลกกำลังมุ่งไป

กิจกรรมแน่นตลอดสองวัน—จากพิธีกรรมสู่เวทีสร้างสรรค์

ภายในงาน บ่อฉ่องตุ๊ 2568 ชุดกิจกรรมถูกออกแบบให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสทั้งพิธีกรรม วิถีชีวิต และความบันเทิงร่วมสมัย (ข้อมูลจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) อาทิ

  • พิธีและการละเล่นโล้ชิงช้า (ไฮไลต์ของงาน)
  • การละเล่นชิงช้าสวรรค์ และ การแสดงกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่
  • เดินแบบชุดชาติพันธุ์อาข่า โชว์ศิลปะการแต่งกายอย่างเป็นระบบ
  • ประกวดประกอบอาหารชนเผ่า เปิดพื้นที่ให้สูตรดั้งเดิม–ดัดแปลงร่วมสมัย
  • การแสดงของพี่น้องรวม 7 ชนเผ่า สะท้อนความหลากหลายชาติพันธุ์บนดอย
  • นิทรรศการชุมชน และ ตลาดชนเผ่า” จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น
  • การแสดงจาก ศิลปินดาราชื่อดังชาวอาข่า เพิ่มสีสันยามค่ำคืน (มีการจัดพื้นที่นั่งโต๊ะแบบจองล่วงหน้า เพื่อความเรียบร้อยของงาน)

โครงสร้างกิจกรรมแบบ “พิธี–เรียนรู้–สร้างสรรค์–แบ่งปันรายได้” ทำให้งานไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังคืนรายได้สู่ครัวเรือนชุมชน ตั้งแต่กลุ่มแม่บ้านเครื่องประดับงานปัก ผู้สูงวัยที่เชี่ยวชาญงานฝีมือ ไปจนถึงเยาวชนที่ได้แสดงความสามารถบนเวทีร่วมสมัย

Soft Power ชนเผ่าบนฐานความเคารพ—ทางรอดของท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เมื่อคำว่า “Soft Power” กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ การผลักดันให้ วัฒนธรรมชนเผ่าอาข่า ก้าวออกสู่สาธารณะโดย เจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้นำ คือคำตอบที่ถูกทาง เทศกาลโล้ชิงช้า ทำให้โลกเห็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย พิธีกรรม ดนตรี ไปจนถึงเรื่องเล่าปากต่อปากที่ถ่ายทอดผ่านผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จด้านภาพลักษณ์ต้องเดินคู่กับ หลักการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ในเชิงปฏิบัติ—เช่น การกำหนดขอบเขตการถ่ายภาพบางช่วงพิธี การขออนุญาตก่อนบันทึกเสียง–ภาพ การซื้อสินค้า/อาหารจากร้านชุมชนจริง และการแต่งกายสุภาพในการร่วมงาน ทั้งหมดคือ “กติกาแห่งความเคารพ” ที่ทำให้งานเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน

เส้นทางสู่ความยั่งยืนข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนพื้นที่

จากประสบการณ์การจัดงานซ้ำต่อเนื่องในหลายชุมชน ผู้สื่อข่าวสรุป “ข้อเสนอเชิงระบบ” ที่สะท้อนจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม และข้อเท็จจริงหน้างานดังนี้

  1. ปฏิทินท่องเที่ยวร่วมเดียวกัน: รวมทุกงานโล้ชิงช้าในจังหวัดไว้ในหน้าเดียว (ออนไลน์/ออฟไลน์) กำหนดเวลา–สถานที่–ข้อควรรู้ให้เข้าใจง่าย ลดความสับสนของนักท่องเที่ยว
  2. เส้นทางเข้า–ออกและจุดจอดรถชัดเจน: โดยเฉพาะพื้นที่ภูเขา ทางคดเคี้ยว—ต้องมีแผนผังภาษาไทย–อังกฤษ–จีน พร้อมระบบรถรับ–ส่งจากจุดจอด
  3. มาตรฐานค้าขายชุมชน: ป้ายราคาเดียวกัน ชื่อสินค้า–แหล่งผลิตชัดเจน หนุนให้ “ตลาดชนเผ่า” เป็นหน้าต่างเศรษฐกิจของบ้านตนเองจริง ๆ
  4. พื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชน: จัดมุมเวิร์กช็อปงานฝีมือ/การเล่าเรื่องโดยผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อ “ต่อสายใย” ระหว่างรุ่น
  5. คู่มือผู้เยี่ยมเยือน (Visitor Code): ข้อพึงระวังในพิธี กติกาการถ่ายภาพ การแต่งตัว และการมีส่วนร่วมอย่างเคารพ

มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความเรียบร้อย” แต่เป็น “ระบบนิเวศ” ที่รักษาสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับศักดิ์ศรีของวัฒนธรรม

จากลานชิงช้าสู่ความทรงจำร่วมปลายทางของเรื่องเล่า

เมื่อเสาสูงทั้งสี่ถูกผูกเข้าหากันเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ และเชือกเส้นสุดท้ายถูกขึงตึงโดยมือของผู้อาวุโส—เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ คลอไปกับบทสวดสั้น ๆ ในภาษาชุมชน พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของพิธีในปีนี้ วันที่ทั้งหญิงและชายจะได้ “โล้ชิงช้า” ร่วมกันตามครรลอง เป็นการปิดพิธีอย่างรื่นเริงและสำรวมในคราเดียวกัน

ในมุมของนักเดินทาง นี่คือเทศกาลที่ “ต้องไปให้เห็นด้วยตา” สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ในมุมของชุมชนอาข่า มันคือ “ชีวิตประจำปี” ที่กลับมาเติมเต็มความทรงจำร่วมของผู้คน—ยืนยันว่ารากเหง้าที่ยืนหยัดอยู่บนดอยสูงยังคงแข็งแรง และพร้อมส่งต่อสู่สายตาโลกด้วยภาษาวัฒนธรรมของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน (อบต.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนา สู่นวัตกรรมวัฒนธรรม

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนาโบราณ สู่นวัตกรรมวัฒนธรรมที่ชุมชนร่วมสร้าง

เชียงราย, 18 สิงหาคม 2568 – ประเพณี “ตักบาตรพระขี่ม้า” ที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย กลับมาเป็นข่าวเด่นอีกครั้ง เพราะไม่ใช่เพียงภาพงามตาของพระสงฆ์บนหลังม้า หากแต่เป็น “แบบฝึกหัดร่วมสมัย” ของสังคมท้องถิ่นในการชุบชีวิตภูมิปัญญาล้านนา สร้างพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น และต่อยอดเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอเพียง กิจกรรมครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 อยู่ภายใต้โครงการ “เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมกับวัดถ้ำป่าอาชาทอง จุดสังเกตที่ควรจับตา ได้แก่ (1) การใช้ “วันธรรมสวนะ” เป็นจุดศูนย์ถ่วงให้ชุมชนกลับมาพบกันในวัด (2) การแปะป้าย “อุดหนุนชุมชน” ควบคู่การทำบุญ สื่อถึงแนวทางวัฒนธรรมที่เกื้อกูลเศรษฐกิจฐานราก และ (3) การเล่าเรื่อง “พระขี่ม้า” ในฐานะสัญลักษณ์การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลของศาสนา ซึ่งมีนัยต่อการออกแบบบริการสาธารณะในปัจจุบันอย่างน่าคิด ปมหัวข้อสำคัญที่บทความนี้จะพาไปคลี่คลาย คือ เหตุผลที่ประเพณีนี้ยังทรงพลังในยุคดิจิทัล, ผลลัพธ์เชิงสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจที่เกิดกับชุมชน, และ เงื่อนไขความยั่งยืน ของการสืบสานให้สอดรับมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนบทบาทของหน่วยงานรัฐ–ศาสนา–สังคมในฐานะหุ้นส่วนทางวัฒนธรรม

เช้าตรู่วันธรรมสวนะ กลิ่นอายล้านนากลับมาเคลื่อนไหว

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 – ดอยเขียวชอุ่มของแม่จัน เสียงสาธุการแผ่วเบาไหลรวมกับจังหวะก้าวเท้าม้าบนลานวัดถ้ำป่าอาชาทอง ผู้คนหลากวัยยืนเรียงรายอย่างสงบ มือประคองปิ่นโต ข้าวปลาอาหาร และผลไม้ตามฤดูกาล ขณะพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาส ขี่ม้านำหน้าพระภิกษุออกบิณฑบาต ภาพที่เคยพบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกลับปรากฏอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อ “ย้อนอดีต” แบบพิธีกรรมตัวอย่าง หากแต่เพื่อย้ำว่า “ความหมาย” ของศาสนาและชุมชน ยังเดินทางมาถึงผู้คนได้เสมอ เมื่อมีช่องทางและภาษาที่เหมาะสม

กิจกรรมครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 จัดโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ วัดถ้ำป่าอาชาทอง ภายใต้กรอบ โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน จุดมุ่งหมายคือให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนา และมองเห็น “ดีเอ็นเอวัฒนธรรม” ของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอดีพองาม

ความหมายร่วมสมัยของ “พระขี่ม้า” สัญลักษณ์การเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ยากลำบาก

อดีตล้านนาคือภูมิประเทศของดอยสูง ป่าลึก ลำห้วยซับซ้อน จึงไม่แปลกที่ ม้า จะเป็นพาหนะคู่ชีวิตของทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ การบิณฑบาตด้วยม้าจึงเกิดจาก “ความจำเป็น” มากกว่าความแปลกประหลาด และยังทำให้ศาสนา “ไปถึง” บ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล—นี่คือเหตุผลที่ประเพณีนี้ฝังรากในจิตใจผู้คน และยังทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างพระกับโยมอย่างทรงพลัง

ในปัจจุบัน ความจำเป็นด้านภูมิประเทศอาจลดลง แต่ สัญลักษณ์ ของการเข้าถึงยังคงทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่ชุมชนกระจัดกระจายและคนรุ่นใหม่เติบโตกับหน้าจอ การเห็นพระออกบิณฑบาตบนหลังม้าไม่เพียงสร้างความประทับใจ หากยัง ตั้งคำถามชวนคิด ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ศาสนาเข้าถึงหัวใจผู้คนได้รวดเร็วและตรงบริบท เหมือนที่ม้าเคยทำหน้าที่นั้นในอดีต” นี่คือบทสนทนาที่ประเพณีเก่าแก่กำลังก่อรูปให้เกิดขึ้นใหม่

วันธรรมสวนะ เข็มทิศเวลาเชิงวัฒนธรรมของชุมชน

วันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม–รักษาศีล–เจริญภาวนาในแต่ละเดือนจันทรคติ (โดยมากตรงกับขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ) ถือเป็น “จังหวะเวลา” ที่ทำให้ผู้คนมีช่วงหยุดเพื่อชำระใจและทบทวนการดำเนินชีวิต การผูกกิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” เข้ากับวันธรรมสวนะ จึงเป็นการ “ตั้งวงจร” ที่หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธาและชุมชน—เมื่อมีรอบเวลา ชุมชนก็มีจุดนัดพบ เมื่อมีจุดนัดพบ การมีส่วนร่วมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม

ในเช้าวันนี้ ภายหลังพิธีตักบาตร มีการฟังธรรมเทศนาและเจริญจิตภาวนาตามลำดับ ผู้มาร่วมงานตั้งใจเงียบสงบ หลายคนปิดโทรศัพท์ วางงานด่วนไว้ข้างกาย เพื่อ “อยู่กับลมหายใจ” และ “ฟังเสียงของตัวเอง” อีกครั้ง—ความเรียบง่ายเช่นนี้คือความซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งมักหาได้ยากในวันธรรมดา

ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” วัด–โรงเรียน–เครือข่ายวัฒนธรรม ร้อยมือเป็นหนึ่ง

ความโดดเด่นของงานครั้งนี้ คือการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ ศาสนา การศึกษา และภาคประชาสังคม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นแกนกลางด้านนโยบายและงบประมาณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง เป็นเจ้าภาพเชิงพื้นที่ โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง นำโดยนางสาวสุภาภรณ์ ธรรมสอน พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียน ร่วมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านศิลปวัฒนธรรม ขณะที่ เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ในพื้นที่ระดมพลังจิตอาสาและทุนทางสังคม ทั้งหมดนี้สะท้อน “โมเดลสามเหลี่ยม” ที่ให้วัด–ชุมชน–โรงเรียนหนุนเสริมกัน

สโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ไม่ได้ตั้งเพื่อความไพเราะ หากแต่ตอกย้ำ วงจรเศรษฐกิจวัฒนธรรม ระดับฐานราก—ผู้คนมาทำบุญ ฟังธรรม และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนสินค้าและบริการจากชาวบ้านในละแวกวัด เกิดการหมุนเวียนรายได้เล็กๆ ที่สัมผัสได้จริง ไม่ฟุ้งฝันเกินไป และเดินไปพร้อมกับศรัทธา

สถิติที่ชี้ทิศ จาก “ครั้งที่ 1–4” ไปสู่ “ปฏิทินวัฒนธรรมประจำปี”

ปีงบประมาณ 2568 กิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” จัดแล้ว 4 ครั้ง ภายใต้กรอบโครงการเดียวกัน การทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอสร้าง “ความคุ้นชิน” และเปิดโอกาสให้ทีมปฏิบัติงานปรับระบบหลังบ้านให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น แผนจราจร, จุดนัดหมาย, พื้นที่พักม้า, แนวทางสื่อสารกับสาธารณะ, หรือ ขั้นตอนสั้นๆ สำหรับผู้ร่วมงานครั้งแรก เมื่อครบรอบปี ข้อมูลจาก 4 ครั้งนี้จะกลายเป็น ฐานวิชาการ สำหรับออกแบบ “ปฏิทินวัฒนธรรม” ที่เท่าทันความเสี่ยงและความต้องการของคนในพื้นที่จริง

ตัวเลขชวนคิด
• วันธรรมสวนะในหนึ่งเดือนโดยทั่วไปมี 4 ครั้ง (ขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ)
• การจัดกิจกรรมปีละหลายรอบ ทำให้เกิด “กราฟการเรียนรู้” (learning curve) ของทั้งทีมงานและชุมชน
• เมื่องานวัฒนธรรมผูกกับปฏิทินที่ชัดเจน การมีส่วนร่วม–การสื่อสาร–งบประมาณ จะบริหารง่ายและคุ้มค่าขึ้น

เมื่อ “ประเพณี” เป็น “ห้องเรียน” เด็กและเยาวชนเรียนรู้จากพื้นที่จริง

การมีส่วนร่วมของโรงเรียนและเครือข่ายเยาวชนคือภาพน่าชื่นใจ นักเรียนบางส่วนมีหน้าที่ช่วยประสานจุดบริการน้ำดื่ม แนะนำเส้นทางให้ผู้สูงอายุ หรือร่วมทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังพิธี—งานเล็กๆ ที่แปลงเป็นบทเรียนเรื่อง ความรับผิดชอบ, วินัย, และ มารยาทสาธารณะ แบบไม่ต้องขึ้นกระดานดำ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ภูมิความหมายของการสงบ รู้จักคำว่า “สมถะ” ผ่านการเจริญภาวนา และที่สำคัญ คือเข้าใจว่า วัดมิใช่ที่ไกลตัว แต่เป็น “ศูนย์กลางชุมชน” ที่มีชีวิตอยู่จริง

ความปลอดภัย–สวัสดิภาพสัตว์ เงื่อนไขที่ทำให้การสืบสานน่าเชื่อถือ

ประเพณีที่มี “ม้า” เป็นตัวแสดงสำคัญ ต้องให้ความสำคัญกับ สวัสดิภาพสัตว์ อย่างรอบคอบ ตั้งแต่การคัดเลือกม้า การตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์ การควบคุมน้ำหนักบรรทุก การกำหนดเส้นทางและระยะเวลาเหมาะสม ไปจนถึงการจัดพื้นที่พักและน้ำสะอาด งานครั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายจัดงานและวัดให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ศรัทธาเดินคู่กับ ความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เศรษฐกิจวัฒนธรรม ทำบุญแล้วชุมชนต้องอยู่ได้

แม้กิจกรรมศาสนาจะไม่ควรถูกตัดทอนเป็น “มูลค่าเงิน” อย่างเดียว แต่มิติทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อ ความยั่งยืน การวางสโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ทำให้ผู้มาร่วมงานตระหนักรู้ว่า การจับจ่ายเล็กๆ กับร้านชุมชน—ข้าวเหนียว, ของพื้นบ้าน, งานหัตถกรรม—คือการต่อชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน การจัดระบบให้ผู้ค้าในชุมชนมี “มาตรฐานสุขอนามัย” และ “ราคายุติธรรม” จะช่วยให้วงจรบุญ–คุณค่าทางเศรษฐกิจไหลเวียนได้จริง โดยไม่เกิดผลข้างเคียงเชิงพาณิชย์ที่เกินควร

 “การสื่อสาร” จากภาพสวยสู่ความเข้าใจที่ลึก

ภาพ “พระขี่ม้า” งดงามและดึงดูดสายตา แต่หากมีเพียงภาพ อาจทำให้ประเพณีถูกเข้าใจแบบผิวเผิน ฝ่ายจัดงานจึงสื่อสาร “ความหมาย” คู่ไปกับ “ความงาม” ตั้งแต่ที่มา–เหตุผลเชิงพื้นที่ในอดีต–ความเชื่อมโยงกับวันธรรมสวนะ–ความหมายของทานและศีล–ไปจนถึงข้อควรระวังและมารยาทในการร่วมพิธี การทำให้คน “เข้าใจ” มากกว่า “เห็น” คือหัวใจที่ทำให้กิจกรรมไม่กลายเป็นเพียงคอนเทนต์ชั่ววูบในโลกออนไลน์

รัฐ–ศาสนา–สังคม คือหุ้นส่วน ไม่ใช่ผู้สั่ง–ผู้ตาม

โมเดลที่เกิดขึ้นในแม่จันสะท้อนบทเรียนสำคัญ 3 ประการ

  1. วัฒนธรรมจังหวัด เป็น “ผู้จัดกระบวนการ” (process owner) ที่เชื่อมงบประมาณ นโยบาย และมาตรฐานการทำงานให้เข้ากับพื้นที่จริง
  2. วัด เป็น “เจ้าภาพพื้นที่” ที่รู้จังหวะชุมชน เข้าใจภูมิประเทศและศรัทธา จึงบริหารความละเอียดอ่อนของพิธีกรรมได้
  3. ชุมชน–โรงเรียน–เครือข่ายประชาสังคม เป็น “แรงขับเคลื่อน” ที่ทำให้กิจกรรมมีชีวิต มีผู้คนหลากวัย และกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง

หากปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกขั้น การทำ ฐานข้อมูลกิจกรรมต่อรอบ, เช็กลิสต์ความปลอดภัย, และ แนวปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อม (ลดพลาสติก ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ คัดแยกขยะหลังพิธี) จะทำให้แม้กิจกรรมจะเติบโต ก็ยังรักษา “ความพอดี” และลดภาระสิ่งแวดล้อมได้

การมีส่วนร่วมคือเครื่องยืนยัน

แม้บทความชิ้นนี้จะไม่หยิบคำพูดตรงๆ มาอ้างอิง แต่การมีส่วนร่วมของ ครู–นักเรียน–ผู้สูงอายุ–เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ที่มา “ลงมือ” กันจริง คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากิจกรรมเชื่อมคนต่างวัยเข้าด้วยกันได้ การเห็นเด็กมัธยมยื่นขันน้ำให้คุณตาคุณยาย หรือจัดแถวให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าใจพิธีการ คือภาพเล็กๆ ที่บอกว่า “วัฒนธรรมไม่ใช่ของวางโชว์ หากเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันทุกคน”

 “งดงาม” สู่ “ยั่งยืน”

เพื่อให้ “ตักบาตรพระขี่ม้า” เป็นทั้ง มรดกที่มีชีวิต และ นวัตกรรมทางวัฒนธรรม ในระยะยาว ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่ภาคส่วนต่างๆ อาจพิจารณา ได้แก่

  • คู่มือกิจกรรมมาตรฐานจังหวัด: ครอบคลุมความปลอดภัย สวัสดิภาพม้า การสื่อสาร การจัดการขยะ และมาตรการรองรับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ
  • คลังความรู้ดิจิทัล: รวบรวมภาพถ่าย เรื่องเล่า บันทึกพิธี ตลอดจนบทเรียนจากแต่ละรอบ เพื่อใช้สร้างหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน
  • ปฏิทินวัฒนธรรมเชื่อมท่องเที่ยวคุณภาพ: ยึดหลัก “เล็ก–ลึก–พอดี” ไม่ไล่ตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่เน้นประสบการณ์เรียนรู้ที่เคารพพื้นที่
  • ตัวชี้วัดร่วม: เช่น สัดส่วนครัวเรือนชุมชนที่ได้ประโยชน์ การลดขยะต่อรอบ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความพึงพอใจผู้สูงอายุ

เมื่อเสียงม้าคลอเสียงสวด ศรัทธาก็เดินต่อ

เมื่อพิธีจบ ผู้คนทยอยเก็บข้าวของ ลมเช้าพัดผ่านใบไม้ เสียงระฆังเบาๆ ดังก้อง พระภิกษุและม้าคู่ใจกลับสู่ศาลาวัด เด็กๆ โค้งคำนับครู ก่อนช่วยกันคัดแยกขยะ เหมือนภาพเรียบง่าย แต่หากมองให้ลึก นี่คือ ภาพสังคมที่กำลังซักซ้อมการอยู่ร่วมกัน ด้วยความเคารพ–แบ่งปัน–และรับผิดชอบต่อกัน “ตักบาตรพระขี่ม้า” จึงไม่ใช่เพียงพิธี หากคือเวทีที่ทำให้คนละบทบาทจากหลายรุ่นมา “เรียนรู้ความเป็นชุมชน” และยืนยันว่า วัฒนธรรมไม่เคยหายไปไหน—มันรอให้เราใส่ใจและทำร่วมกัน เท่านั้นเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • เครือข่ายสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่จัน
  • โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 ศิลปะบุกตลาดเก่าแก่ เชื่อมโยงชุมชน-เศรษฐกิจยั่งยืน

ป๊ะกาด” 2025 ศิลปะบุกตลาดเก่าแก่ เชื่อมโยงชุมชน-เศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ศิลปะร่วมสมัยกำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทั่วโลก จังหวัดเชียงรายกำลังก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางศิลปะสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการจัดงานเทศกาลศิลปะ “ป๊ะกาด” ครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนตลาดสดเทศบาล 1 หรือ “กาดหลวง” ให้กลายเป็นพื้นที่แสดงศิลปะกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ

เทศกาลศิลปะ Everywhere Gallery “ป๊ะกาด” 2025 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2568 มิใช่เพียงการจัดแสดงผลงานศิลปะธรรมดา แต่เป็นการทดลองสังคมที่ยิ่งใหญ่ในการนำศิลปะร่วมสมัยไปผสานกับวิถีชีวิตประจำวันของชุมชนเมือง นำโดยกีรติ วุฒิสกุลชัย ศิลปิน-ภัณฑารักษ์วัย 37 ปี ผู้มีประสบการณ์การทำงานด้านสารคดีและศิลปะมากกว่า 13 ปี

กีรติ วุฒิสกุลชัย สู่การเป็นผู้ก่อตั้ง Everywhere Gallery

จากสารคดีสู่ศิลปะเพื่อชุมชน

การเดินทางของกีรติ วุฒิสกุลชัย สู่การเป็นผู้ก่อตั้ง Everywhere Gallery เริ่มต้นจากการตัดสินใจกลับมายังบ้านเกิดเชียงรายเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากสั่งสมประสบการณ์การทำงานในกรุงเทพฯ ในฐานะโปรดิวเซอร์สารคดี ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้าง “เชียงรายแบบที่อยากอยู่” เมืองที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยอาชีพสร้างสรรค์และมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์

“การทำงานสารคดีทำให้ผมเรียนรู้ว่าการเล่าเรื่องที่ดีต้องเกิดจากการเข้าใจบริบทและการมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างแท้จริง เมื่อผมนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับงานศิลปะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือศิลปะที่มีชีวิตและสามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง” กีรติกล่าว

การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2566 เมื่อเขาได้รับโอกาสทำงานในตำแหน่งประสานงานท้องถิ่น (Local Co-ordinator) ในมหกรรมศิลปะร่วมสมัย Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ประสบการณ์นี้ไม่เพียงขยายเครือข่ายการทำงาน แต่ยังเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับศักยภาพของศิลปะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

ความสำเร็จที่พิสูจน์แล้ว

ตัวเลขจากผลงานที่ผ่านมาของ Everywhere Gallery สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกที่ศิลปะสามารถสร้างให้กับเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น ในงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ที่จัดเป็นกิจกรรมคู่ขนาน Everywhere Gallery สามารถร่วมมือกับสถานประกอบการ 12 แห่ง จัดแสดงนิทรรศการ 20 แห่ง เวิร์คช็อป 5 กิจกรรม และการฉายภาพยนตร์ 3 เรื่อง โดยมีศิลปินกว่า 40 ท่านเข้าร่วมโครงการ

ผลลัพธ์ที่ได้คือการมีผู้เข้าชมและใช้บริการที่พัก ร้านอาหารกว่า 200,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 75 ล้านบาทให้กับสถานประกอบการในพื้นที่ ความสำเร็จนี้ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องในเทศกาล Everywhere Gallery 2024 ภายใต้ธีม “Chiang Rai, Who are you?” ที่ร่วมมือกับ 10 สถานประกอบการและ 10 ศิลปินเชียงราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้หมุนเวียนในจังหวัดกว่า 11.95 ล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว

กาดหลวง” พื้นที่แห่งความทรงจำ

การเลือกตลาดสดเทศบาล 1 หรือ “กาดหลวง” เป็นพื้นที่หลักของเทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตลาดแห่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของชุมชนเชียงรายมาอย่างยาวนานกว่าศตวรรษ เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงผู้คนจากทุกชนชั้น มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงของเมืองฝังรากลึกอยู่ในทุกซอกมุม

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย อธิบายความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรามานานกว่าศตวรรษ การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

คำว่า “ป๊ะกาด” ในภาษาเหนือที่หมายถึง “พบปะกันที่ตลาด” สะท้อนถึงเจตนารมณ์หลักของเทศกาลที่ต้องการให้ตลาดแห่งนี้กลับมาเป็นจุดรวมพลังของชุมชนและเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนรุ่นต่างๆ ผ่านสื่อกลางของศิลปะ

54 ศิลปิน 16 พื้นที่ การผสานระหว่างท้องถิ่นและสากล

เทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 นำเสนอผลงานจากศิลปินกว่า 54 ท่าน ทั้งศิลปินชื่อดังระดับสากลและศิลปินท้องถิน ใน 16 พื้นที่จัดแสดงที่กระจายทั่วทั้งตลาด โดยแต่ละผลงานได้รับการคิวเรตให้เชื่อมโยงกับบริบทของพื้นที่และชุมชนอย่างมีความหมาย

สกัณห์ อายุรพงศ์ และอังกฤษ อัจฉริยโสภณ นำเสนอกิจกรรม Performing Art “A Perfect Day Every Day” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ของผู้กำกับ Wim Wenders โดยการแสดงจะเกิดขึ้นท่ามกลางความคึกคักของตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับความงามในชีวิตประจำวัน

สมลักษณ์ ปันติบุญ ร่วมมือกับร้านกาแฟลุงอี๊ด ผู้ดำเนินกิจการในตลาดมากว่า 60 ปี ในผลงาน “ถ้วยกาแฟและถ้วยไข่ลวก” โครงการที่ไม่เพียงสร้างผลงานศิลปะ แต่ยังสร้างกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชน โดยรายได้จากการขายผลงานทั้งหมดจะกลับไปยังทั้งตลาดสดเทศบาล 1 และชุมชนศิลปะ

ทรงเดช ทิพย์ทอง นำเสนอผลงาน “ยินดีต้อนรับ” ที่นำอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่าง ‘ตุง’ มาสร้างสรรค์จากวัสดุที่หาซื้อได้ในตลาด สะท้อนแนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในการสร้างสรรค์งานศิลปะ

ภุชคฤน ตั้งตรงเจตนา ศิลปินที่เติบโตมากับชุมชนตลาดแห่งนี้ นำเสนอผลงานศิลปะจัดวางและศิลปะการแสดง “หอนาฬิกา กาลเวลา กังสดาล และความทรงจำร่วมของเมือง” ที่เน้นการทำงานร่วมกับชุมชนและการสืบทอดความทรงจำของพื้นที่

กลุ่มไส้ติ่ง (SIDE:THINK) นำเสนอกิจกรรม “แม่ซ่อนหา” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการละเล่นในวัยเยาว์ เพื่อสร้างการรับรู้เชิงพื้นที่อย่างลึกซึ้งและเชิญชวนให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมในการสำรวจตลาดในมิติใหม่

นอกจากนี้ ยังมีการมีส่วนร่วมของศิลปินตัวน้อยจากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย ที่ร่วมขับเคลื่อนระบบนิเวศศิลปะของเทศกาลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการส่งต่อความรู้และความรักในศิลปะสู่คนรุ่นใหม่

การมีส่วนร่วมของชุมชนเมื่อพ่อค้าแม่ค้ากลายเป็น Docent

หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจของเทศกาล “ป๊ะกาด” คือการฝึกอบรมพ่อค้าแม่ค้าในตลาดให้เป็น Docent หรือผู้นำชมนิทรรศการ โดยเขาเหล่านี้จะเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของผลงานศิลปะในแต่ละพื้นที่ผ่านมุมมองและประสบการณ์ของตนเอง

แนวคิดนี้ไม่เพียงสร้างรายได้เสริมให้กับพ่อค้าแม่ค้า แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงความรู้ดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถพบได้ที่อื่น การได้ฟังเรื่องราวของผลงานศิลปะจากผู้ที่อาศัยและทำงานในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ย่อมให้ความรู้สึกและความเข้าใจที่แตกต่างจากการฟังจากผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะทั่วไป

เวิร์คช็อปและกิจกรรมสร้างสรรค์

เทศกาลจัดเวิร์คช็อปสร้างสรรค์ 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ “การออกแบบทางม้าลายในจินตนาการของฉัน” โดยความร่วมมือระหว่าง Art Bridge Young Artists จากสมาคมขัวศิลปะ และนักเรียนอนุบาล 3 โรงเรียนอนุบาลเชียงราย เพื่อสร้างทางม้าลายที่ใช้งานได้จริงในพื้นที่ตลาด แสดงให้เห็นว่าศิลปะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้อย่างชัดเจน

“เพ้นท์หินทองคำ” โดยปัทมาภรณ์ อุณหะนันทน์ เป็นกิจกรรมที่เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น และ “Photo Walk” โดยเฉลิมชัย คำแสน แห่งห้องภาพฟองเสรี ที่จะนำผู้เข้าร่วมสำรวจมุมมองใหม่ของตลาดผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูป

Artist Art Fair ตอบคำถามเรื่องตลาดศิลปะ

หนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจคือ Artist Art Fair ที่จัดขึ้นเป็นพื้นที่แสดงผลงานและจำหน่ายสินค้าโดยศิลปิน 12 ท่านจากเชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง กิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อตอบคำถามสำคัญสองข้อ คือ “งานศิลปะแบบไหนที่จะขายในตลาดได้” และ “ตลาดแบบไหนที่จะขายงานศิลปะได้”

การทดลองนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบนิเวศศิลปะในท้องถิ่น โดยการสร้างตลาดที่ยั่งยืนสำหรับผลงานศิลปะท้องถิ่น ไม่ใช่เพียงการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวหรือนักสะสมศิลปะชั้นสูงเท่านั้น แต่เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป

ผลกระทบและวิสัยทัศน์ระยะยาว

กีรติ วุฒิสกุลชัย แสดงทรรศนะเกี่ยวกับเป้าหมายระยะยาวของโครงการว่า “ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่ห่างไกลจากชีวิตประจำวัน แต่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าไปสัมผัสและเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้มีชีวิตได้ กาดหลวงแห่งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของสมมติฐานที่ว่าเมื่อศิลปะเข้าไปผสานกับวิถีชีวิตจริงของผู้คน สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นมากกว่าการจัดแสดงผลงานศิลปะ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทุกคนจะจดจำไปตลอดชีวิต”

ผู้จัดงานคาดหวังว่าเทศกาล “ป๊ะกาด” จะเป็นการลงทุนในอนาคตของชุมชนและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายหลายประการ ได้แก่ การสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาด การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว การเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับประวัติศาสตร์ชุมชน และการเปิดโอกาสให้ศิลปินท้องถิ่นได้แสดงผลงาน

การสร้างแบรนด์เมืองศิลปะ

เทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองศิลปะของภูมิภาค โดยการสร้างกิจกรรมที่ต่อเนื่องและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน ไม่ใช่เพียงการจัดงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะสั้น

ความสำเร็จของโครงการนี้จะเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาเมืองอื่นๆ ในการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูพื้นที่เมือง สร้างรายได้ให้กับชุมชน และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมกัน

เทศกาลศิลปะ Everywhere Gallery “ป๊ะกาด” 2025 จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น. ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2568 ณ ตลาดสดเทศบาล 1 (กาดหลวง) จ.เชียงราย การเข้าชมฟรี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • Everywhere Gallery เชียงราย
  • Thailand Biennale Foundation
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด “ป๊ะกาด”! เปลี่ยนโฉมตลาด 100 ปี สู่แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย

ป๊ะกาด” ศิลปะบุกกาดหลวง เทศกาลที่จุดประกายชีวิตให้ตลาด 100 ปีแห่งเชียงราย

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ในใจกลางเมืองเชียงรายที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ตลาดกาดหลวง หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ “ตลาดเทศบาล 1” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เต้นไม่หยุดของชุมชนมานานกว่า 100 ปี ด้วยกลิ่นหอมของอาหารล้านนา เสียงเจรจาค้าขาย และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวเชียงรายอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคึกคักของกาดหลวงอาจลดลงตามยุคสมัย แต่ความทรงจำและเรื่องราวที่ฝังรากลึกยังคงรอวันถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นี้ เทศกาลศิลปะสุดสร้างสรรค์ “ป๊ะกาด” (Pagad) จะมาถึง เพื่อเปลี่ยนโฉมกาดหลวงให้กลายเป็นแกลเลอรีแห่งศิลปะร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเชื่อมโยง ด้วยแนวคิด “ศิลปะ กับ กาลเวลา” เทศกาลนี้จะนำเสนอผลงานศิลปะหลากหลายแขนงใน 16 จุดทั่วทั้งตลาด พร้อมเชิญชวนผู้คนจากทุกมุมให้มาร่วม “ป๊ะ” หรือพบปะกันที่ “กาด” เพื่อค้นหาความหมายของวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมกัน

จากกาดสู่แกลเลอรีการเดินทางของ “ป๊ะกาด”

คำว่า “ป๊ะกาด” มาจากภาษาเหนือที่แปลว่า “พบกันที่กาด” ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของงานนี้ที่มุ่งสร้างพื้นที่พบปะระหว่างศิลปะ ชุมชน และผู้มาเยือน เทศกาลนี้จัดโดย Everywhere Gallery กลุ่มศิลปะทางเลือกที่มุ่งมั่นนำศิลปะสู่ผู้คนในทุกพื้นที่ โดยในปีนี้ พวกเขาเลือกกาดหลวงเป็นผืนผ้าใบสำหรับการเล่าเรื่อง ด้วยการผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับบริบทของชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

เทศกาล “ป๊ะกาด” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Art Fair ที่ชั้น 1 ของตึกโรงรับจำนำร้างใกล้หอนาฬิกาเก่า ซึ่งจะจัดแสดงผลงานจากศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญ, Workshop ที่ชวนผู้คนในชุมชนมาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ, Group Show และ Art Exhibition ที่กระจายอยู่ใน 16 จุดแลนด์มาร์คทั่วกาดหลวง ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศิลปะ แต่ยังเป็นการสนทนาที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชุมชน

หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ #ป๊ะกาด Art Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จับคู่ศิลปินกับพื้นที่ในตลาด เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนเรื่องราวของกาดหลวง นอกจากนี้ยังมี กาด Talk เสวนาที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในชุมชนมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของตลาด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมองว่างานนี้เป็นการฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาให้กับกาดหลวง

กาดหลวงหัวใจที่เต้นไม่หยุดของเชียงราย

กาดหลวง หรือตลาดเทศบาล 1 ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมวิถีชีวิตที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงราย ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายหลักของชาวเชียงรายมาหลายชั่วอายุคน ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นกิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมานาน บางร้านยังคงรักษาวิธีการค้าขายแบบดั้งเดิมไว้ สถาปัตยกรรมของอาคารยังคงสภาพดั้งเดิม สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่ฝังรากลึกในชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของกาดหลวงว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรา การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

ด้วยการดำเนินงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กาดหลวงมีจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ตั้งแต่การค้าส่งผักผลไม้ในยามเช้าตรู่ ไปจนถึงร้านอาหารริมทางที่คึกคักในยามค่ำคืน ความหลากหลายนี้ทำให้กาดหลวงเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิด

ศิลปะจุดประกายอนาคต ผลกระทบของ “ป๊ะกาด”

เทศกาล “ป๊ะกาด” ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูและส่งเสริมกาดหลวงให้เป็นมากกว่าตลาดทั่วไป การนำศิลปะร่วมสมัยมาผสานกับพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ช่วยสร้างมุมมองใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจมองข้ามความสำคัญของตลาดดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของศิลปินท้องถิ่น 16 คนและการจัดแสดงใน 16 จุดทั่วตลาด ยังเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับชุมชน

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงานนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการยกระดับกาดหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งขึ้น การที่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะและการเสวนา ช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจในคุณค่าของมรดกท้องถิ่น นอกจากนี้ การจัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย เช่น ใกล้หอนาฬิกาเก่าและสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พญามังราย และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ทำให้ “ป๊ะกาด” มีโอกาสดึงดูดผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อัตลักษณ์ดั้งเดิมของกาดหลวงและการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ผ่านศิลปะร่วมสมัย การที่เทศกาลนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนเป็นสัญญาณที่ดี แต่การจะรักษาความยั่งยืนของงานในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สู่การค้นพบครั้งใหม่ที่กาดหลวง

“ป๊ะกาด” ไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอนาคตของกาดหลวงเชียงราย ผ่านผลงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวของชุมชน และกิจกรรมที่ชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ กาดหลวงจะไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ศิลปะและความทรงจำมาบรรจบกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์นี้ สามารถเดินทางมากาดหลวงได้อย่างง่ายดาย ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเชียงราย ใกล้ถนนธนาลัย อุตรกิจ ไตรรัตน์ และสุขสถิต พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น หอนาฬิกาเชียงราย และวัดร่องขุ่น ที่รอให้คุณมาค้นพบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). ข้อมูลเกี่ยวกับกาดหลวงเชียงรายและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น.
  • Everywhere Gallery. (2568). รายละเอียดเทศกาล “ป๊ะกาด” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง.
  • รายงานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2567.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เยาวชนไทยในสหรัฐฯ คืนถิ่นสานวัฒนธรรม

โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 สานสายใยวัฒนธรรม สร้างรากเหง้าในหัวใจลูกหลานไทยโพ้นทะเล

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 หรือ Thai American Youth Heritage Program 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2568 โดยมีเยาวชนไทยและผู้ปกครองที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับสู่ประเทศไทย เพื่อทัศนศึกษา ศึกษาวัฒนธรรม และทำกิจกรรมจิตอาสาบนแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ

การเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของโครงการฯ ซึ่งได้รับความสนใจและการต้อนรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ วัดวาอาราม ชุมชน และสถานศึกษา โดยคณะเยาวชนได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญหลากหลาย อาทิ วัดห้วยปลากั้ง วัดพระธาตุผาเงา พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย และโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทยจากหลายมิติ

ต้นกำเนิดโครงการจากวัดไทยในลอสแอนเจลิส สู่การคืนถิ่นแห่งศรัทธา

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความพยายามของชาวไทยในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสืบทอดรากวัฒนธรรมไทยสู่รุ่นลูกหลานที่เกิดในต่างแดน โดยริเริ่ม “โครงการวัฒนธรรมไทยคืนถิ่น” ครั้งแรกในปี พ.ศ.2533 ด้วยการนำนักเรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวัดไทยลอสแอนเจลิส มาเปิดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในประเทศไทย และได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนชาวไทย

จากจุดเล็ก ๆ ในวัดไทยแห่งหนึ่ง โครงการนี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นทุก 2 ปี ด้วยความร่วมมือจากชุมชนไทยในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นโครงการระดับชาติที่มีความสำคัญทั้งในด้านการสืบสานวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตแบบประชาชนสู่ประชาชน

ผู้บริหารโครงการ: แรงใจและความทุ่มเทเพื่อ “รากไทย” ในใจเยาวชน

สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งที่ 14 นี้ คณะโครงการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ได้แก่

  • นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานโครงการ
  • นายชนะ เมี้ยนเจริญ กงสุล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานฝ่ายสหรัฐอเมริกา
  • นายดำฤทธิ์ วิริยะกุล เลขานุการโครงการ

โดยมีเป้าหมายในการให้เยาวชนเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมถึงสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นไทย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนสามารถนำความรู้กลับไปเผยแพร่ต่อในชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา

กิจกรรมบนแผ่นดินแม่สัมผัสรากเหง้า บำเพ็ญประโยชน์ด้วยหัวใจ

หนึ่งในกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของการมาเยือนจังหวัดเชียงราย คือการเข้าเยี่ยมชมวัดห้วยปลากั้งและวัดพระธาตุผาเงา ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาศิลปกรรมล้านนา และแลกเปลี่ยนความรู้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เรียนรู้วิถีชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ชนบท และนำบทเรียนกลับไปถ่ายทอดยังชุมชนของตนในต่างประเทศ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย หรือบ้านของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สร้างความประทับใจให้เยาวชน โดยเฉพาะในแง่ของการนำเสนอความเป็นไทยผ่านมุมมองของศิลปะร่วมสมัย

จากรุ่นสู่รุ่นโครงการแห่งความต่อเนื่อง

ตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ถูกยกระดับเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญระดับชาติหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ.2547 ซึ่งจัดเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในวาระพระชนมพรรษา 6 รอบ และในปี พ.ศ.2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในโอกาสครองราชย์ครบ 60 ปี

แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการจะต้องเว้นช่วงไป แต่ในปี พ.ศ.2566 และปีนี้ (พ.ศ.2568) โครงการได้กลับมาดำเนินการอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่เข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและวิถีชีวิตของเยาวชนยุคใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ผ่านพลังเยาวชน

โครงการนี้มิได้เป็นเพียงแค่การเดินทางมาเยือนบ้านเกิดของบรรพบุรุษเท่านั้น หากแต่เป็นการ “ลงทุนระยะยาว” เพื่อสร้างเครือข่ายคนไทยในต่างแดนที่มีความผูกพันกับประเทศไทย รู้จักรากเหง้าของตน และพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ไทยและอเมริกัน — ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังถือเป็นแนวทางหนึ่งของ “Soft Power” ที่มีผลจริงในระดับปัจเจก ผ่านความผูกพันทางอารมณ์และการมีส่วนร่วมของเยาวชน ซึ่งในระยะยาว จะส่งผลต่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ: www.mfa.go.th
  • คณะกรรมการโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่
  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • ข้อมูลพื้นฐานจาก วัดไทยนครลอสแอนเจลิส
    (เรียบเรียงโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

ศรัทธาผนึกท่องเที่ยว สวนนงนุชพัทยานำบุญสู่ 9 วัด เสริมเสน่ห์ชลบุรีช่วงเข้าพรรษา

สวนนงนุชพัทยาจัดพิธี “หล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน” สืบสานศรัทธาพุทธบูชาและวัฒนธรรมไทย สร้างสีสันท่องเที่ยวชลบุรีช่วงเข้าพรรษา

ชลบุรี, 26 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลเข้าพรรษา สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้จัดงาน “หล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน” อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2568 ณ สวนลอยฟ้า สวนนงนุชพัทยา เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและชาวไทยที่มาร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามของพุทธศาสนา โดยกิจกรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของภาคตะวันออกที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดชลบุรีทั้งด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

สืบสานศรัทธา – รวมใจถวายเทียนพรรษา 9 วัดสำคัญ

พิธีหล่อเทียนพรรษาในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยมีนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับนายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารท้องถิ่น แขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมงานกันอย่างคึกคัก ภายในพิธีได้รับความเมตตาจากพระครูเกษมกิตติโสภณ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีกรรมและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมกิจกรรม

นายกัมพล ตันสัจจา เผยถึงความตั้งใจของการจัดงานว่า “กิจกรรมหล่อเทียนพรรษาเป็นประเพณีที่สวนนงนุชพัทยาสืบสานต่อเนื่องทุกปี เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้หยั่งรากลึกในจิตใจประชาชน และสร้างแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมไทยให้แก่เยาวชน นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในบุญกุศลอันยิ่งใหญ่”

พลังศรัทธาเชื่อมโยงวัด 9 แห่ง – ส่งต่อคุณค่าจากคนสู่ชุมชน

สำหรับเทียนพรรษาที่ร่วมหล่อในงาน จะถูกนำไปถวายยังวัดสำคัญ 9 แห่งในพื้นที่ ได้แก่

  1. วัดญาณสังวรารามวิหาร
  2. วัดสัตหีบ
  3. วัดสามัคคีบรรพต
  4. วัดนาจอมเทียน
  5. วัดอัมพาราม
  6. วัดบางเสร่คงคาราม
  7. วัดเขาคันธมาทน์
  8. วัดหนองจับเต่า
  9. วัดทรัพย์นาบุญญาราม

โดยมีผู้นำชุมชนท้องถิ่น นายอนุศักดิ์ พิริยอมร นายอำเภอสัตหีบ, นายสมบัติ แก้วปทุม นายกเทศมนตรีตำบลเกล็ดแก้ว, นายธณพง โคตรมณี นายกเทศมนตรีตำบลเขาชีจรรย์, นางสาวระพีพรรณ รัตนเหลี่ยม นายกเทศมนตรีตำบลนาจอมเทียน ร่วมในพิธี

จุดเชื่อมต่อศรัทธาและวัฒนธรรม – ส่งเสริมท่องเที่ยวไทยสู่สากล

กิจกรรมหล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและอนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิม หากแต่ยังถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะเมืองพัทยาที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ซึ่งการบูรณาการกิจกรรมศาสนาเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับอัตลักษณ์ไทยแท้ สร้างความประทับใจและประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

วิเคราะห์ผลลัพธ์ – พลังบุญสร้างสุข ปลุกท่องเที่ยวไทยช่วงพรรษา

การจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน ของสวนนงนุชพัทยาในปีนี้ นับเป็นการผสมผสานคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีและจริยธรรม พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเป็นแบบอย่างที่ดีในการขยายผลไปสู่แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ทั่วประเทศ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของพัทยาและชลบุรีในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดชลบุรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกเทศบาลฯ ปลุกพลัง Soft Power สร้างคุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาชุมชน สร้าง Soft Power จากฐานอัตลักษณ์วัฒนธรรม เปิดเส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชน Soft Power บนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดโดยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาเอนกประสงค์ราชเดชดำรง เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

โครงการยกระดับศักยภาพชุมชนผ่าน Soft Power บนรากวัฒนธรรม

โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย ด้วยการนำ “Soft Power” มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ผ่านการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ร้อยเรียงเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าด้วยกัน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เส้นทางท่องเที่ยว “หมาน มัก ม่วน” ถือเป็นนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวที่นำเสนออัตลักษณ์เฉพาะของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนรากเดชดำรง ชุมชนดอยทอง และชุมชนวัดพระแก้ว สะท้อนเรื่องราวรากเหง้า ความเชื่อ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมล้านนา ต่อยอดสู่การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนภายนอกได้สัมผัสความงดงามเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

เสวนา “หมาน มัก ม่วน” – สะท้อนพลังวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ภายในงานมีเวทีเสวนาหัวข้อ “หมาน มัก ม่วน” เส้นทาง Soft Power ชุมชน : จากรากเง้าวัฒนธรรมสู่คุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีตัวแทนชุมชนทั้ง 3 แห่ง รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย ร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนด้วยฐานวัฒนธรรม ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้

การเสวนานี้เปิดโอกาสให้แต่ละชุมชนได้นำเสนอแนวคิด “Soft Power” ที่แตกต่างกัน เช่น การส่งต่อภูมิปัญญาผ่านงานหัตถกรรมพื้นถิ่น กิจกรรมทางวัฒนธรรม งานประเพณีและอาหารท้องถิ่น โดยทุกกิจกรรมถูกบูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การขับเคลื่อน “หมาน มัก ม่วน” สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การจัดโครงการและกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเมืองเชียงรายในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวในการนำพลังวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ขับเคลื่อนเมือง เชื่อมโยงกับแนวคิด Soft Power ที่กำลังได้รับความสำคัญในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวย้ำถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างคุณค่าให้กับรากเหง้าวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยตั้งเป้าให้เส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” เป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่างของการพัฒนาท่องเที่ยวที่เกิดจากพลังชุมชนและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ก้าวต่อไปของเชียงรายในโลก Soft Power

ความสำเร็จของโครงการนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการนำ Soft Power มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้า หากสามารถบูรณาการภาคประชาชน ภาครัฐ และสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะสามารถต่อยอดโมเดลนี้สู่ชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ กลายเป็นตัวอย่างของเมืองที่เติบโตจากวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นิทรรศการภาพถ่ายที่เชียงราย สะท้อนหลากหลายวัฒนธรรมไทย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” จุดประกายคุณค่าความหลากหลายในสังคมไทย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เปิดงาน “นิทรรศการภาพถ่าย: พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” หนึ่งในโครงการสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการพัฒนาการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ หอแก้วพิพิธภัณฑ์ของโบราณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) โดยจัดแสดงอย่างต่อเนื่องระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์นิทรรศการ

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้นำจากองค์กรสำคัญทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการศึกษา อาทิ อ.นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย, สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมขัวศิลปะเชียงราย, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ประธานชมรมเชียงรายโฟโต้, ศิลปินเชียงราย, ช่างภาพ, และสื่อมวลชนจำนวนมาก

คุณอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ อดีตบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. นักเขียนและช่างภาพผู้มากประสบการณ์ นำทีมช่างภาพมืออาชีพทั้ง 8 คน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายหายากกว่า 100 ภาพที่บันทึกการเดินทางบนแผ่นดินไทยตลอดกว่า 30 ปี

นิทรรศการที่หลอมรวมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินไทย

นิทรรศการ “พหุวัฒนธรรม สยามสมัย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ไม่เพียงนำเสนอภาพถ่ายสวยงาม แต่ยังถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา และความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จากขุนเขาดอยสูงถึงผืนน้ำกว้างไกล สู่ท้องทุ่งอันอุดมทั่วประเทศไทย ภาพแต่ละภาพคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่หล่อหลอมความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง ผู้ชมจะได้สัมผัสความงดงามแห่งความร่วมมือ ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนทุกกลุ่มบนผืนแผ่นดิน “ขวานทอง” แห่งนี้

ภายในพิธีเปิดยังได้รับเกียรติจากกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าจากอำเภอแม่จัน และกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าบ้านเมืองรวง ซึ่งเป็นบุคคลในภาพถ่ายหายาก ร่วมสร้างสีสันในงาน ขณะเดียวกันมีการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ถ่ายทอดเทคนิคและประสบการณ์จากช่างภาพชื่อดัง เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านศิลปะและวัฒนธรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป

เสริมสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสื่อสารให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โครงการเน้นย้ำการเคารพในความแตกต่าง รู้รักสามัคคี และเกื้อกูลกันในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ อันเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีเวทีเสวนาพหุวัฒนธรรม หัวข้อ “พหุวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว” โดยผู้นำด้านศิลปะและการท่องเที่ยว อาทิ นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย และอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้สร้างสรรค์งานศิลป์

รายชื่อช่างภาพที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงานประกอบด้วย อภินันท์ บัวหภักดี, นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง, อดุล ตัณฑโกศัย, จิระพงษ์ วงศ์วิวัฒน์, Taro Evolutions, ชนาธิป อินทรวิชะ, จิตติมา ผลเสวก และกิ่งทอง มหาพรไพศาล แต่ละคนมีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการภาพถ่ายและศิลปะร่วมสมัย

คุณอภินันท์ บัวหภักดี กล่าวว่า นิทรรศการนี้จัดแสดงขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้ช่างภาพมืออาชีพได้เล่าความงามของชีวิตและวัฒนธรรมไทยผ่านภาพถ่าย ให้เยาวชนและประชาชนได้เปิดใจรับความหลากหลาย สร้างแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว

โอกาสสำหรับเยาวชนและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

โครงการยังมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของเยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ด้วยการจัด workshop เรื่องเล่าจากภาพถ่ายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเชิญช่างภาพทั้งสายกล้องโปรและกล้องมือถือมาแบ่งปันเทคนิคและประสบการณ์ ผู้สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรมได้ผ่าน QR Code และ Facebook Page ของโครงการ

นอกจากนี้ โครงการยังเตรียมจัดทำหนังสือภาพ (Photo book) “ชุมชนวัฒนธรรมในประเทศไทย พหุวัฒนธรรมสยามสมัยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ในรูปแบบ e-book เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงเนื้อหาเชิงลึกและภาพถ่ายหายาก คาดว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

สะท้อนผลลัพธ์และแนวโน้มเชิงวัฒนธรรมในอนาคต

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ นับเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านวัฒนธรรมร่วมสมัยของจังหวัดเชียงรายและประเทศไทย กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงความงดงามของวัฒนธรรมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างความเข้าใจอันดีในหมู่ประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยยกระดับความตระหนักรู้เรื่อง “พหุวัฒนธรรม” ให้แก่คนไทย โดยหวังว่าประสบการณ์จากนิทรรศการจะเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยเปิดกว้าง รับฟัง และยอมรับความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • นิทรรศการภาพถ่าย “พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” เป็น 1 ใน 23 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี 2568
  • มีภาพถ่ายหายากจาก 8 ช่างภาพมืออาชีพมากกว่า 100 ภาพ แสดงต่อเนื่อง 3 เดือน (31 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2568)
  • คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานในพิธีเปิดและกิจกรรมกว่า 500 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเติบโตต่อเนื่องกว่า 8% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง)
  • สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • เพจ Facebook: เที่ยวไปตามใจหนุ่มพเนจร / หนุ่ม พเนจร / นิทรรศการภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สัมผัสพหุวัฒนธรรมล้านนา ดันวัดห้วยปลากั้งสู่แหล่งท่องเที่ยว

วธ. เปิด “ชุมชนยลวิถีวัดห้วยปลากั้ง” เชียงราย ต้นแบบพหุวัฒนธรรมล้านนา สู่แหล่งท่องเที่ยวสร้างสรรค์ระดับประเทศ

เชียงราย, 17 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงวัฒนธรรมเดินหน้ายกระดับชุมชนท้องถิ่นสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” โดยในวันนี้ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง” จังหวัดเชียงราย หนึ่งใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบของประเทศที่ได้รับการคัดเลือกจากทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทยและพหุวัฒนธรรมล้านนา

พิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ สะท้อนเอกลักษณ์ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์

บรรยากาศที่ลานอเนกประสงค์บริเวณองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย ในช่วงเช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 เต็มไปด้วยความคึกคักจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมในพิธีเปิด “ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง” อย่างเป็นทางการ โดยมี นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี

ภายในงานมีบุคคลสำคัญในระดับท้องถิ่นและประเทศเข้าร่วม อาทิ

  • พระไพศาลประชาทร วิ. (พบโชค ติสฺสวํโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง
  • นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย
  • นางรพีพร ทองดี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนสุดยอดชุมชนต้นแบบ
  • นายโชติ ศิริดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
    พร้อมด้วยผู้นำชุมชน ชาวบ้าน และสื่อมวลชนทั้งในและนอกพื้นที่ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมหลากหลาย แสดงอัตลักษณ์พหุวัฒนธรรมล้านนา

กิจกรรมในงานสะท้อนถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าลายประจำเผ่าของชาวลาหู่ การเต้นจะคึของชาวปอยเตเว การละเล่นสะบ้า การจักสานไม้ไผ่ ไปจนถึงการทำไม้กวาดของชาวไทลื้อ นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีพื้นเมือง และจำหน่ายอาหารท้องถิ่นจากกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่ อาข่า ไทลื้อ ให้ได้ลิ้มลองอย่างใกล้ชิด

นักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งรถรางเที่ยวชมชุมชน เยี่ยมชมพบโชคธรรมเจดีย์ (เจดีย์ 9 ชั้น) และโบสถ์สีขาวอันวิจิตรตระการตา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

ชุมชนต้นแบบที่สร้างรายได้จากทุนวัฒนธรรม

นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เป็นหนึ่งในชุมชนต้นแบบที่นำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านงานหัตถกรรม อาหารพื้นถิ่น และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกองค์ความรู้ สะท้อนถึงความสามารถของคนในพื้นที่ในการพัฒนาโดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์

“โครงการนี้เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2564 และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน” นายสถาพรกล่าว

ศูนย์กลางของพหุวัฒนธรรมล้านนา

ชุมชนวัดห้วยปลากั้งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ อาข่า ไทลื้อ ลั้วะ และชาวไทยพื้นเมือง ซึ่งสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและพึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี

ความหลากหลายดังกล่าวสะท้อนผ่านการจัดกิจกรรมที่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม เช่น การแสดงพื้นเมือง การสาธิตงานฝีมือ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้แก่สมาชิกในชุมชน

เปิดพื้นที่เพื่อโอกาสของผู้ด้อยโอกาส

อีกหนึ่งจุดแข็งของชุมชนวัดห้วยปลากั้ง คือการเปิดพื้นที่รองรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถเข้ามาใช้ชีวิตร่วมในชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี โดยเฉพาะในบริเวณวัดห้วยปลากั้ง ซึ่งมีการดูแลทั้งผู้สูงอายุ เด็กยากไร้ และผู้ไร้บ้าน ทำให้พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ยังเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันบนฐานของความเข้าใจและเมตตา

เที่ยวชุมชน ยลวิถี” จุดประกายท้องถิ่นไทย

โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ที่ริเริ่มโดยกระทรวงวัฒนธรรม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งในปีนี้ได้คัดเลือกชุมชนต้นแบบจากทั่วประเทศจำนวน 76 แห่ง และคัดเลือกเหลือเพียง 10 ชุมชนที่มีศักยภาพรอบด้าน

ชุมชนวัดห้วยปลากั้งถือเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการนำพลังของวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้พัฒนาพื้นที่และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน โดยไม่ต้องพึ่งพาทุนจากภายนอกมากนัก

ผลลัพธ์จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่

การประสบความสำเร็จของชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ชุมชนวัด กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ และเยาวชนในพื้นที่ โดยมีการประชุม วางแผน และทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสร้างโมเดลการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนขึ้นมาได้

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ระบุว่า โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีชุมชนเข้าร่วมแล้วกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ และมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนมากกว่า 5 ล้านคน/ปี

จากการประเมินผลของ สำนักวิจัยพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 38.2 ต่อปี โดยรายได้มาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน, การจัดกิจกรรมท่องเที่ยว, และบริการโฮมสเตย์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สำนักวิจัยพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

ชาติพันธุ์ล้านนา Soft Power ดันเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จุดประกาย Soft Power เชื่อมชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 16 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือได้นำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างรายได้และความยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน

ภายในงานมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ การสาธิตงานหัตถกรรม และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

Soft Power พื้นถิ่น สู่นโยบายระดับชาติ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของไทยที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ นอกจากสร้างรายได้ให้ชุมชน ยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จึงเป็นมากกว่างานแสดงวัฒนธรรม เพราะเป็นการต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มที่สนใจวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม และประสบการณ์เฉพาะถิ่น

ล้านนาแหล่งวัฒนธรรมที่ยังไม่สิ้นแสง

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม ทั้งจากมรดกทางประวัติศาสตร์ ประเพณี ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และอาหารท้องถิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year)

กิจกรรมในครั้งนี้ จึงเน้นการยกย่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในรูปแบบร่วมสมัย สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตจริงของชุมชน ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

สร้างเวทีให้ชุมชนมีบทบาทในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นายจักรพล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในรูปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวในอนาคต

ในโอกาสนี้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเชื่อมโยงชุมชน เครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างงดงามและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

วิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและลบ

ด้านบวก

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนสามารถนำสินค้าหัตถกรรมมาจำหน่าย เพิ่มรายได้
  • สร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ล้านนา สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
  • ยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยว

ด้านลบ (ข้อควรระวัง)

  • หากขาดการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
  • ความเสี่ยงในการทำลายอัตลักษณ์แท้ของชาติพันธุ์จากการดัดแปลงเพื่อตอบโจทย์ตลาด
  • ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนจริง ไม่เน้นเพียงภาพลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเพื่อการตลาดเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การตีความวัฒนธรรม และการสื่อสารภาพลักษณ์ให้น่าสนใจภายใต้บริบทความเป็นไทยอย่างแท้จริง

การสนับสนุนควรมุ่งสู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ในระยะยาว ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐ และส่งเสริมการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทยกว่า 12.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีเดียวกัน
  • จากรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างรายได้รวมกว่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2567
  • พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน มีจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า 320 ชุมชน ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลปี 2566 จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • งานวิจัยเรื่อง “Soft Power ไทยกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE