Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด “ป๊ะกาด”! เปลี่ยนโฉมตลาด 100 ปี สู่แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย

ป๊ะกาด” ศิลปะบุกกาดหลวง เทศกาลที่จุดประกายชีวิตให้ตลาด 100 ปีแห่งเชียงราย

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ในใจกลางเมืองเชียงรายที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ตลาดกาดหลวง หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ “ตลาดเทศบาล 1” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เต้นไม่หยุดของชุมชนมานานกว่า 100 ปี ด้วยกลิ่นหอมของอาหารล้านนา เสียงเจรจาค้าขาย และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวเชียงรายอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคึกคักของกาดหลวงอาจลดลงตามยุคสมัย แต่ความทรงจำและเรื่องราวที่ฝังรากลึกยังคงรอวันถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นี้ เทศกาลศิลปะสุดสร้างสรรค์ “ป๊ะกาด” (Pagad) จะมาถึง เพื่อเปลี่ยนโฉมกาดหลวงให้กลายเป็นแกลเลอรีแห่งศิลปะร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเชื่อมโยง ด้วยแนวคิด “ศิลปะ กับ กาลเวลา” เทศกาลนี้จะนำเสนอผลงานศิลปะหลากหลายแขนงใน 16 จุดทั่วทั้งตลาด พร้อมเชิญชวนผู้คนจากทุกมุมให้มาร่วม “ป๊ะ” หรือพบปะกันที่ “กาด” เพื่อค้นหาความหมายของวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมกัน

จากกาดสู่แกลเลอรีการเดินทางของ “ป๊ะกาด”

คำว่า “ป๊ะกาด” มาจากภาษาเหนือที่แปลว่า “พบกันที่กาด” ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของงานนี้ที่มุ่งสร้างพื้นที่พบปะระหว่างศิลปะ ชุมชน และผู้มาเยือน เทศกาลนี้จัดโดย Everywhere Gallery กลุ่มศิลปะทางเลือกที่มุ่งมั่นนำศิลปะสู่ผู้คนในทุกพื้นที่ โดยในปีนี้ พวกเขาเลือกกาดหลวงเป็นผืนผ้าใบสำหรับการเล่าเรื่อง ด้วยการผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับบริบทของชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

เทศกาล “ป๊ะกาด” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Art Fair ที่ชั้น 1 ของตึกโรงรับจำนำร้างใกล้หอนาฬิกาเก่า ซึ่งจะจัดแสดงผลงานจากศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญ, Workshop ที่ชวนผู้คนในชุมชนมาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ, Group Show และ Art Exhibition ที่กระจายอยู่ใน 16 จุดแลนด์มาร์คทั่วกาดหลวง ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศิลปะ แต่ยังเป็นการสนทนาที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชุมชน

หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ #ป๊ะกาด Art Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จับคู่ศิลปินกับพื้นที่ในตลาด เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนเรื่องราวของกาดหลวง นอกจากนี้ยังมี กาด Talk เสวนาที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในชุมชนมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของตลาด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมองว่างานนี้เป็นการฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาให้กับกาดหลวง

กาดหลวงหัวใจที่เต้นไม่หยุดของเชียงราย

กาดหลวง หรือตลาดเทศบาล 1 ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมวิถีชีวิตที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงราย ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายหลักของชาวเชียงรายมาหลายชั่วอายุคน ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นกิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมานาน บางร้านยังคงรักษาวิธีการค้าขายแบบดั้งเดิมไว้ สถาปัตยกรรมของอาคารยังคงสภาพดั้งเดิม สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่ฝังรากลึกในชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของกาดหลวงว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรา การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

ด้วยการดำเนินงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กาดหลวงมีจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ตั้งแต่การค้าส่งผักผลไม้ในยามเช้าตรู่ ไปจนถึงร้านอาหารริมทางที่คึกคักในยามค่ำคืน ความหลากหลายนี้ทำให้กาดหลวงเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิด

ศิลปะจุดประกายอนาคต ผลกระทบของ “ป๊ะกาด”

เทศกาล “ป๊ะกาด” ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูและส่งเสริมกาดหลวงให้เป็นมากกว่าตลาดทั่วไป การนำศิลปะร่วมสมัยมาผสานกับพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ช่วยสร้างมุมมองใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจมองข้ามความสำคัญของตลาดดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของศิลปินท้องถิ่น 16 คนและการจัดแสดงใน 16 จุดทั่วตลาด ยังเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับชุมชน

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงานนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการยกระดับกาดหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งขึ้น การที่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะและการเสวนา ช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจในคุณค่าของมรดกท้องถิ่น นอกจากนี้ การจัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย เช่น ใกล้หอนาฬิกาเก่าและสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พญามังราย และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ทำให้ “ป๊ะกาด” มีโอกาสดึงดูดผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อัตลักษณ์ดั้งเดิมของกาดหลวงและการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ผ่านศิลปะร่วมสมัย การที่เทศกาลนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนเป็นสัญญาณที่ดี แต่การจะรักษาความยั่งยืนของงานในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สู่การค้นพบครั้งใหม่ที่กาดหลวง

“ป๊ะกาด” ไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอนาคตของกาดหลวงเชียงราย ผ่านผลงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวของชุมชน และกิจกรรมที่ชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ กาดหลวงจะไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ศิลปะและความทรงจำมาบรรจบกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์นี้ สามารถเดินทางมากาดหลวงได้อย่างง่ายดาย ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเชียงราย ใกล้ถนนธนาลัย อุตรกิจ ไตรรัตน์ และสุขสถิต พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น หอนาฬิกาเชียงราย และวัดร่องขุ่น ที่รอให้คุณมาค้นพบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). ข้อมูลเกี่ยวกับกาดหลวงเชียงรายและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น.
  • Everywhere Gallery. (2568). รายละเอียดเทศกาล “ป๊ะกาด” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง.
  • รายงานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2567.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เยาวชนไทยในสหรัฐฯ คืนถิ่นสานวัฒนธรรม

โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 สานสายใยวัฒนธรรม สร้างรากเหง้าในหัวใจลูกหลานไทยโพ้นทะเล

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 หรือ Thai American Youth Heritage Program 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2568 โดยมีเยาวชนไทยและผู้ปกครองที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับสู่ประเทศไทย เพื่อทัศนศึกษา ศึกษาวัฒนธรรม และทำกิจกรรมจิตอาสาบนแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ

การเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของโครงการฯ ซึ่งได้รับความสนใจและการต้อนรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ วัดวาอาราม ชุมชน และสถานศึกษา โดยคณะเยาวชนได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญหลากหลาย อาทิ วัดห้วยปลากั้ง วัดพระธาตุผาเงา พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย และโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทยจากหลายมิติ

ต้นกำเนิดโครงการจากวัดไทยในลอสแอนเจลิส สู่การคืนถิ่นแห่งศรัทธา

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความพยายามของชาวไทยในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสืบทอดรากวัฒนธรรมไทยสู่รุ่นลูกหลานที่เกิดในต่างแดน โดยริเริ่ม “โครงการวัฒนธรรมไทยคืนถิ่น” ครั้งแรกในปี พ.ศ.2533 ด้วยการนำนักเรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวัดไทยลอสแอนเจลิส มาเปิดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในประเทศไทย และได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนชาวไทย

จากจุดเล็ก ๆ ในวัดไทยแห่งหนึ่ง โครงการนี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นทุก 2 ปี ด้วยความร่วมมือจากชุมชนไทยในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นโครงการระดับชาติที่มีความสำคัญทั้งในด้านการสืบสานวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตแบบประชาชนสู่ประชาชน

ผู้บริหารโครงการ: แรงใจและความทุ่มเทเพื่อ “รากไทย” ในใจเยาวชน

สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งที่ 14 นี้ คณะโครงการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ได้แก่

  • นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานโครงการ
  • นายชนะ เมี้ยนเจริญ กงสุล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานฝ่ายสหรัฐอเมริกา
  • นายดำฤทธิ์ วิริยะกุล เลขานุการโครงการ

โดยมีเป้าหมายในการให้เยาวชนเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมถึงสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นไทย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนสามารถนำความรู้กลับไปเผยแพร่ต่อในชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา

กิจกรรมบนแผ่นดินแม่สัมผัสรากเหง้า บำเพ็ญประโยชน์ด้วยหัวใจ

หนึ่งในกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของการมาเยือนจังหวัดเชียงราย คือการเข้าเยี่ยมชมวัดห้วยปลากั้งและวัดพระธาตุผาเงา ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาศิลปกรรมล้านนา และแลกเปลี่ยนความรู้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เรียนรู้วิถีชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ชนบท และนำบทเรียนกลับไปถ่ายทอดยังชุมชนของตนในต่างประเทศ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย หรือบ้านของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สร้างความประทับใจให้เยาวชน โดยเฉพาะในแง่ของการนำเสนอความเป็นไทยผ่านมุมมองของศิลปะร่วมสมัย

จากรุ่นสู่รุ่นโครงการแห่งความต่อเนื่อง

ตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ถูกยกระดับเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญระดับชาติหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ.2547 ซึ่งจัดเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในวาระพระชนมพรรษา 6 รอบ และในปี พ.ศ.2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในโอกาสครองราชย์ครบ 60 ปี

แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการจะต้องเว้นช่วงไป แต่ในปี พ.ศ.2566 และปีนี้ (พ.ศ.2568) โครงการได้กลับมาดำเนินการอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่เข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและวิถีชีวิตของเยาวชนยุคใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ผ่านพลังเยาวชน

โครงการนี้มิได้เป็นเพียงแค่การเดินทางมาเยือนบ้านเกิดของบรรพบุรุษเท่านั้น หากแต่เป็นการ “ลงทุนระยะยาว” เพื่อสร้างเครือข่ายคนไทยในต่างแดนที่มีความผูกพันกับประเทศไทย รู้จักรากเหง้าของตน และพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ไทยและอเมริกัน — ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังถือเป็นแนวทางหนึ่งของ “Soft Power” ที่มีผลจริงในระดับปัจเจก ผ่านความผูกพันทางอารมณ์และการมีส่วนร่วมของเยาวชน ซึ่งในระยะยาว จะส่งผลต่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ: www.mfa.go.th
  • คณะกรรมการโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่
  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • ข้อมูลพื้นฐานจาก วัดไทยนครลอสแอนเจลิส
    (เรียบเรียงโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

ศรัทธาผนึกท่องเที่ยว สวนนงนุชพัทยานำบุญสู่ 9 วัด เสริมเสน่ห์ชลบุรีช่วงเข้าพรรษา

สวนนงนุชพัทยาจัดพิธี “หล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน” สืบสานศรัทธาพุทธบูชาและวัฒนธรรมไทย สร้างสีสันท่องเที่ยวชลบุรีช่วงเข้าพรรษา

ชลบุรี, 26 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลเข้าพรรษา สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้จัดงาน “หล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน” อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2568 ณ สวนลอยฟ้า สวนนงนุชพัทยา เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและชาวไทยที่มาร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามของพุทธศาสนา โดยกิจกรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของภาคตะวันออกที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดชลบุรีทั้งด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

สืบสานศรัทธา – รวมใจถวายเทียนพรรษา 9 วัดสำคัญ

พิธีหล่อเทียนพรรษาในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยมีนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับนายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารท้องถิ่น แขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมงานกันอย่างคึกคัก ภายในพิธีได้รับความเมตตาจากพระครูเกษมกิตติโสภณ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีกรรมและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมกิจกรรม

นายกัมพล ตันสัจจา เผยถึงความตั้งใจของการจัดงานว่า “กิจกรรมหล่อเทียนพรรษาเป็นประเพณีที่สวนนงนุชพัทยาสืบสานต่อเนื่องทุกปี เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้หยั่งรากลึกในจิตใจประชาชน และสร้างแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมไทยให้แก่เยาวชน นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในบุญกุศลอันยิ่งใหญ่”

พลังศรัทธาเชื่อมโยงวัด 9 แห่ง – ส่งต่อคุณค่าจากคนสู่ชุมชน

สำหรับเทียนพรรษาที่ร่วมหล่อในงาน จะถูกนำไปถวายยังวัดสำคัญ 9 แห่งในพื้นที่ ได้แก่

  1. วัดญาณสังวรารามวิหาร
  2. วัดสัตหีบ
  3. วัดสามัคคีบรรพต
  4. วัดนาจอมเทียน
  5. วัดอัมพาราม
  6. วัดบางเสร่คงคาราม
  7. วัดเขาคันธมาทน์
  8. วัดหนองจับเต่า
  9. วัดทรัพย์นาบุญญาราม

โดยมีผู้นำชุมชนท้องถิ่น นายอนุศักดิ์ พิริยอมร นายอำเภอสัตหีบ, นายสมบัติ แก้วปทุม นายกเทศมนตรีตำบลเกล็ดแก้ว, นายธณพง โคตรมณี นายกเทศมนตรีตำบลเขาชีจรรย์, นางสาวระพีพรรณ รัตนเหลี่ยม นายกเทศมนตรีตำบลนาจอมเทียน ร่วมในพิธี

จุดเชื่อมต่อศรัทธาและวัฒนธรรม – ส่งเสริมท่องเที่ยวไทยสู่สากล

กิจกรรมหล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและอนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิม หากแต่ยังถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะเมืองพัทยาที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ซึ่งการบูรณาการกิจกรรมศาสนาเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับอัตลักษณ์ไทยแท้ สร้างความประทับใจและประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

วิเคราะห์ผลลัพธ์ – พลังบุญสร้างสุข ปลุกท่องเที่ยวไทยช่วงพรรษา

การจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน ของสวนนงนุชพัทยาในปีนี้ นับเป็นการผสมผสานคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีและจริยธรรม พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเป็นแบบอย่างที่ดีในการขยายผลไปสู่แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ทั่วประเทศ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของพัทยาและชลบุรีในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดชลบุรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกเทศบาลฯ ปลุกพลัง Soft Power สร้างคุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาชุมชน สร้าง Soft Power จากฐานอัตลักษณ์วัฒนธรรม เปิดเส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชน Soft Power บนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดโดยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาเอนกประสงค์ราชเดชดำรง เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

โครงการยกระดับศักยภาพชุมชนผ่าน Soft Power บนรากวัฒนธรรม

โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย ด้วยการนำ “Soft Power” มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ผ่านการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ร้อยเรียงเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าด้วยกัน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เส้นทางท่องเที่ยว “หมาน มัก ม่วน” ถือเป็นนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวที่นำเสนออัตลักษณ์เฉพาะของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนรากเดชดำรง ชุมชนดอยทอง และชุมชนวัดพระแก้ว สะท้อนเรื่องราวรากเหง้า ความเชื่อ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมล้านนา ต่อยอดสู่การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนภายนอกได้สัมผัสความงดงามเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

เสวนา “หมาน มัก ม่วน” – สะท้อนพลังวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ภายในงานมีเวทีเสวนาหัวข้อ “หมาน มัก ม่วน” เส้นทาง Soft Power ชุมชน : จากรากเง้าวัฒนธรรมสู่คุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีตัวแทนชุมชนทั้ง 3 แห่ง รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย ร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนด้วยฐานวัฒนธรรม ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้

การเสวนานี้เปิดโอกาสให้แต่ละชุมชนได้นำเสนอแนวคิด “Soft Power” ที่แตกต่างกัน เช่น การส่งต่อภูมิปัญญาผ่านงานหัตถกรรมพื้นถิ่น กิจกรรมทางวัฒนธรรม งานประเพณีและอาหารท้องถิ่น โดยทุกกิจกรรมถูกบูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การขับเคลื่อน “หมาน มัก ม่วน” สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การจัดโครงการและกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเมืองเชียงรายในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวในการนำพลังวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ขับเคลื่อนเมือง เชื่อมโยงกับแนวคิด Soft Power ที่กำลังได้รับความสำคัญในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวย้ำถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างคุณค่าให้กับรากเหง้าวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยตั้งเป้าให้เส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” เป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่างของการพัฒนาท่องเที่ยวที่เกิดจากพลังชุมชนและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ก้าวต่อไปของเชียงรายในโลก Soft Power

ความสำเร็จของโครงการนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการนำ Soft Power มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้า หากสามารถบูรณาการภาคประชาชน ภาครัฐ และสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะสามารถต่อยอดโมเดลนี้สู่ชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ กลายเป็นตัวอย่างของเมืองที่เติบโตจากวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นิทรรศการภาพถ่ายที่เชียงราย สะท้อนหลากหลายวัฒนธรรมไทย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” จุดประกายคุณค่าความหลากหลายในสังคมไทย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เปิดงาน “นิทรรศการภาพถ่าย: พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” หนึ่งในโครงการสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการพัฒนาการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ หอแก้วพิพิธภัณฑ์ของโบราณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) โดยจัดแสดงอย่างต่อเนื่องระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์นิทรรศการ

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้นำจากองค์กรสำคัญทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการศึกษา อาทิ อ.นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย, สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมขัวศิลปะเชียงราย, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ประธานชมรมเชียงรายโฟโต้, ศิลปินเชียงราย, ช่างภาพ, และสื่อมวลชนจำนวนมาก

คุณอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ อดีตบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. นักเขียนและช่างภาพผู้มากประสบการณ์ นำทีมช่างภาพมืออาชีพทั้ง 8 คน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายหายากกว่า 100 ภาพที่บันทึกการเดินทางบนแผ่นดินไทยตลอดกว่า 30 ปี

นิทรรศการที่หลอมรวมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินไทย

นิทรรศการ “พหุวัฒนธรรม สยามสมัย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ไม่เพียงนำเสนอภาพถ่ายสวยงาม แต่ยังถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา และความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จากขุนเขาดอยสูงถึงผืนน้ำกว้างไกล สู่ท้องทุ่งอันอุดมทั่วประเทศไทย ภาพแต่ละภาพคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่หล่อหลอมความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง ผู้ชมจะได้สัมผัสความงดงามแห่งความร่วมมือ ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนทุกกลุ่มบนผืนแผ่นดิน “ขวานทอง” แห่งนี้

ภายในพิธีเปิดยังได้รับเกียรติจากกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าจากอำเภอแม่จัน และกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าบ้านเมืองรวง ซึ่งเป็นบุคคลในภาพถ่ายหายาก ร่วมสร้างสีสันในงาน ขณะเดียวกันมีการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ถ่ายทอดเทคนิคและประสบการณ์จากช่างภาพชื่อดัง เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านศิลปะและวัฒนธรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป

เสริมสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสื่อสารให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โครงการเน้นย้ำการเคารพในความแตกต่าง รู้รักสามัคคี และเกื้อกูลกันในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ อันเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีเวทีเสวนาพหุวัฒนธรรม หัวข้อ “พหุวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว” โดยผู้นำด้านศิลปะและการท่องเที่ยว อาทิ นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย และอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้สร้างสรรค์งานศิลป์

รายชื่อช่างภาพที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงานประกอบด้วย อภินันท์ บัวหภักดี, นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง, อดุล ตัณฑโกศัย, จิระพงษ์ วงศ์วิวัฒน์, Taro Evolutions, ชนาธิป อินทรวิชะ, จิตติมา ผลเสวก และกิ่งทอง มหาพรไพศาล แต่ละคนมีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการภาพถ่ายและศิลปะร่วมสมัย

คุณอภินันท์ บัวหภักดี กล่าวว่า นิทรรศการนี้จัดแสดงขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้ช่างภาพมืออาชีพได้เล่าความงามของชีวิตและวัฒนธรรมไทยผ่านภาพถ่าย ให้เยาวชนและประชาชนได้เปิดใจรับความหลากหลาย สร้างแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว

โอกาสสำหรับเยาวชนและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

โครงการยังมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของเยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ด้วยการจัด workshop เรื่องเล่าจากภาพถ่ายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเชิญช่างภาพทั้งสายกล้องโปรและกล้องมือถือมาแบ่งปันเทคนิคและประสบการณ์ ผู้สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรมได้ผ่าน QR Code และ Facebook Page ของโครงการ

นอกจากนี้ โครงการยังเตรียมจัดทำหนังสือภาพ (Photo book) “ชุมชนวัฒนธรรมในประเทศไทย พหุวัฒนธรรมสยามสมัยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ในรูปแบบ e-book เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงเนื้อหาเชิงลึกและภาพถ่ายหายาก คาดว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

สะท้อนผลลัพธ์และแนวโน้มเชิงวัฒนธรรมในอนาคต

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ นับเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านวัฒนธรรมร่วมสมัยของจังหวัดเชียงรายและประเทศไทย กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงความงดงามของวัฒนธรรมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างความเข้าใจอันดีในหมู่ประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยยกระดับความตระหนักรู้เรื่อง “พหุวัฒนธรรม” ให้แก่คนไทย โดยหวังว่าประสบการณ์จากนิทรรศการจะเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยเปิดกว้าง รับฟัง และยอมรับความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • นิทรรศการภาพถ่าย “พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” เป็น 1 ใน 23 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี 2568
  • มีภาพถ่ายหายากจาก 8 ช่างภาพมืออาชีพมากกว่า 100 ภาพ แสดงต่อเนื่อง 3 เดือน (31 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2568)
  • คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานในพิธีเปิดและกิจกรรมกว่า 500 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเติบโตต่อเนื่องกว่า 8% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง)
  • สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • เพจ Facebook: เที่ยวไปตามใจหนุ่มพเนจร / หนุ่ม พเนจร / นิทรรศการภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สัมผัสพหุวัฒนธรรมล้านนา ดันวัดห้วยปลากั้งสู่แหล่งท่องเที่ยว

วธ. เปิด “ชุมชนยลวิถีวัดห้วยปลากั้ง” เชียงราย ต้นแบบพหุวัฒนธรรมล้านนา สู่แหล่งท่องเที่ยวสร้างสรรค์ระดับประเทศ

เชียงราย, 17 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงวัฒนธรรมเดินหน้ายกระดับชุมชนท้องถิ่นสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” โดยในวันนี้ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง” จังหวัดเชียงราย หนึ่งใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบของประเทศที่ได้รับการคัดเลือกจากทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทยและพหุวัฒนธรรมล้านนา

พิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ สะท้อนเอกลักษณ์ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์

บรรยากาศที่ลานอเนกประสงค์บริเวณองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย ในช่วงเช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 เต็มไปด้วยความคึกคักจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมในพิธีเปิด “ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง” อย่างเป็นทางการ โดยมี นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี

ภายในงานมีบุคคลสำคัญในระดับท้องถิ่นและประเทศเข้าร่วม อาทิ

  • พระไพศาลประชาทร วิ. (พบโชค ติสฺสวํโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง
  • นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย
  • นางรพีพร ทองดี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนสุดยอดชุมชนต้นแบบ
  • นายโชติ ศิริดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
    พร้อมด้วยผู้นำชุมชน ชาวบ้าน และสื่อมวลชนทั้งในและนอกพื้นที่ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมหลากหลาย แสดงอัตลักษณ์พหุวัฒนธรรมล้านนา

กิจกรรมในงานสะท้อนถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าลายประจำเผ่าของชาวลาหู่ การเต้นจะคึของชาวปอยเตเว การละเล่นสะบ้า การจักสานไม้ไผ่ ไปจนถึงการทำไม้กวาดของชาวไทลื้อ นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีพื้นเมือง และจำหน่ายอาหารท้องถิ่นจากกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่ อาข่า ไทลื้อ ให้ได้ลิ้มลองอย่างใกล้ชิด

นักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งรถรางเที่ยวชมชุมชน เยี่ยมชมพบโชคธรรมเจดีย์ (เจดีย์ 9 ชั้น) และโบสถ์สีขาวอันวิจิตรตระการตา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

ชุมชนต้นแบบที่สร้างรายได้จากทุนวัฒนธรรม

นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เป็นหนึ่งในชุมชนต้นแบบที่นำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านงานหัตถกรรม อาหารพื้นถิ่น และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกองค์ความรู้ สะท้อนถึงความสามารถของคนในพื้นที่ในการพัฒนาโดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์

“โครงการนี้เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2564 และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน” นายสถาพรกล่าว

ศูนย์กลางของพหุวัฒนธรรมล้านนา

ชุมชนวัดห้วยปลากั้งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ อาข่า ไทลื้อ ลั้วะ และชาวไทยพื้นเมือง ซึ่งสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและพึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี

ความหลากหลายดังกล่าวสะท้อนผ่านการจัดกิจกรรมที่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม เช่น การแสดงพื้นเมือง การสาธิตงานฝีมือ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้แก่สมาชิกในชุมชน

เปิดพื้นที่เพื่อโอกาสของผู้ด้อยโอกาส

อีกหนึ่งจุดแข็งของชุมชนวัดห้วยปลากั้ง คือการเปิดพื้นที่รองรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถเข้ามาใช้ชีวิตร่วมในชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี โดยเฉพาะในบริเวณวัดห้วยปลากั้ง ซึ่งมีการดูแลทั้งผู้สูงอายุ เด็กยากไร้ และผู้ไร้บ้าน ทำให้พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ยังเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันบนฐานของความเข้าใจและเมตตา

เที่ยวชุมชน ยลวิถี” จุดประกายท้องถิ่นไทย

โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ที่ริเริ่มโดยกระทรวงวัฒนธรรม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งในปีนี้ได้คัดเลือกชุมชนต้นแบบจากทั่วประเทศจำนวน 76 แห่ง และคัดเลือกเหลือเพียง 10 ชุมชนที่มีศักยภาพรอบด้าน

ชุมชนวัดห้วยปลากั้งถือเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการนำพลังของวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้พัฒนาพื้นที่และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน โดยไม่ต้องพึ่งพาทุนจากภายนอกมากนัก

ผลลัพธ์จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่

การประสบความสำเร็จของชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ชุมชนวัด กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ และเยาวชนในพื้นที่ โดยมีการประชุม วางแผน และทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสร้างโมเดลการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนขึ้นมาได้

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ระบุว่า โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีชุมชนเข้าร่วมแล้วกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ และมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนมากกว่า 5 ล้านคน/ปี

จากการประเมินผลของ สำนักวิจัยพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 38.2 ต่อปี โดยรายได้มาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน, การจัดกิจกรรมท่องเที่ยว, และบริการโฮมสเตย์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สำนักวิจัยพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

ชาติพันธุ์ล้านนา Soft Power ดันเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จุดประกาย Soft Power เชื่อมชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 16 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือได้นำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างรายได้และความยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน

ภายในงานมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ การสาธิตงานหัตถกรรม และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

Soft Power พื้นถิ่น สู่นโยบายระดับชาติ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของไทยที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ นอกจากสร้างรายได้ให้ชุมชน ยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จึงเป็นมากกว่างานแสดงวัฒนธรรม เพราะเป็นการต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มที่สนใจวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม และประสบการณ์เฉพาะถิ่น

ล้านนาแหล่งวัฒนธรรมที่ยังไม่สิ้นแสง

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม ทั้งจากมรดกทางประวัติศาสตร์ ประเพณี ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และอาหารท้องถิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year)

กิจกรรมในครั้งนี้ จึงเน้นการยกย่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในรูปแบบร่วมสมัย สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตจริงของชุมชน ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

สร้างเวทีให้ชุมชนมีบทบาทในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นายจักรพล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในรูปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวในอนาคต

ในโอกาสนี้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเชื่อมโยงชุมชน เครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างงดงามและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

วิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและลบ

ด้านบวก

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนสามารถนำสินค้าหัตถกรรมมาจำหน่าย เพิ่มรายได้
  • สร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ล้านนา สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
  • ยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยว

ด้านลบ (ข้อควรระวัง)

  • หากขาดการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
  • ความเสี่ยงในการทำลายอัตลักษณ์แท้ของชาติพันธุ์จากการดัดแปลงเพื่อตอบโจทย์ตลาด
  • ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนจริง ไม่เน้นเพียงภาพลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเพื่อการตลาดเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การตีความวัฒนธรรม และการสื่อสารภาพลักษณ์ให้น่าสนใจภายใต้บริบทความเป็นไทยอย่างแท้จริง

การสนับสนุนควรมุ่งสู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ในระยะยาว ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐ และส่งเสริมการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทยกว่า 12.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีเดียวกัน
  • จากรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างรายได้รวมกว่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2567
  • พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน มีจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า 320 ชุมชน ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลปี 2566 จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • งานวิจัยเรื่อง “Soft Power ไทยกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายยกระดับชุมชน พัฒนาสินค้า บริการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เดินหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพสุดยอดชุมชนคุณธรรมและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ประจำปี 2568

เชียงราย, 7 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายชุมชนยลวิถี เดินหน้าพัฒนาศักยภาพชุมชนและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand: CPOT) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมุ่งยกระดับชุมชนท้องถิ่นให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับเป็น Soft Power ของจังหวัด

กิจกรรมจัดขึ้น ณ ห้องประชุมวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยได้รับเกียรติจาก พระไพศาลประชาทร วิ. (ท่านเจ้าคุณพบโชค ติสสวังโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการและกล่าวสัมโมทนียกถา รวมทั้งมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการและวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ พร้อมต้อนรับเครือข่ายจากชุมชนยลวิถีหลากหลายพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

ยกระดับ CPOT สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่

วัตถุประสงค์สำคัญของโครงการในปีนี้ มุ่งเน้นการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยของชุมชน ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถเชื่อมโยงกับกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้ส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ CPOT ให้สามารถตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเน้นการออกแบบ การเล่าเรื่อง การสื่อสารคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่กับมิติความงามและการใช้งานของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตปัจจุบัน

สุดยอดชุมชนคุณธรรม 4 ปีซ้อน ร่วมกิจกรรมเต็มรูปแบบ

ภายใต้โครงการครั้งนี้ มีชุมชนต้นแบบและเครือข่ายเข้าร่วมรวม 7 กลุ่ม ได้แก่

  1. ชุมชนยลวิถีบ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2564)
  2. ชุมชนยลวิถีบ้านเมืองรวง อำเภอเมืองเชียงราย (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2565)
  3. ชุมชนยลวิถีวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2566)
  4. ชุมชนยลวิถีวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2567)
  5. ชุมชนยลวิถีบ้านสันทางหลวง อำเภอแม่จัน (สุดยอดชุมชนระดับจังหวัด ปี 2568)
  6. เครือข่ายผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT จังหวัดเชียงราย
  7. เครือข่ายนักเรียนนักเล่าเรื่อง โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม

รวมจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 60 คน ครอบคลุมทั้งผู้ผลิต นักพัฒนา นักการศึกษา และเยาวชนในพื้นที่

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพและต่อยอดองค์ความรู้เชิงสร้างสรรค์

กิจกรรมสำคัญภายในโครงการประกอบด้วย

  • การบรรยายเรื่อง “การเป็นเจ้าบ้านที่ดี” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐรกานต์ คำใจวุฒิ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เพื่อยกระดับมาตรฐานการต้อนรับนักท่องเที่ยวของชุมชนให้มีความพร้อมทั้งด้านทัศนคติและการให้บริการ
  • การบรรยายเรื่อง “การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนา CPOT ให้เชื่อมโยงกับตลาดและสามารถสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจน

แนวโน้ม CPOT เชียงราย จากท้องถิ่นสู่สากล

จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพสูงในด้านผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม เช่น งานหัตถกรรมไม้สัก ผ้าทอพื้นเมือง สมุนไพร ภูมิปัญญาอาหาร รวมถึงผลิตภัณฑ์เชิงศิลปะที่มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาเข้าสู่ระบบ CPOT อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงกับเทศกาลวัฒนธรรม การประกวด และงานแสดงสินค้าระดับประเทศ

การสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรมและความร่วมมือของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ กำลังผลักดันให้เชียงรายเป็น “ต้นแบบการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงคุณภาพ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ตามนโยบาย Soft Power ระดับชาติ

วิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากการดำเนินโครงการและผลการมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่าความสำเร็จของ CPOT ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. คุณภาพของผลิตภัณฑ์ – ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานทั้งในด้านวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และความปลอดภัย
  2. เรื่องราวและอัตลักษณ์ – ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จคือผลิตภัณฑ์ที่สามารถสื่อสารเรื่องราวของชุมชนได้อย่างชัดเจน
  3. ช่องทางการตลาด – จำเป็นต้องมีการจัดจำหน่ายทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมกลยุทธ์การสื่อสารที่ทันสมัย

ดังนั้น การสร้างระบบสนับสนุนครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบ การบรรจุภัณฑ์ การทำตลาด และการติดตามผลอย่างเป็นระบบ จึงเป็นแนวทางที่ต้องดำเนินควบคู่กันไป

สถิติและข้อมูลประกอบข่าว

  • จังหวัดเชียงรายมี ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT จำนวนกว่า 128 รายการ ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงวัฒนธรรม (ข้อมูลปี 2567)
  • จำนวนชุมชนคุณธรรมในจังหวัดเชียงรายรวมทั้งสิ้น 182 ชุมชน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • การท่องเที่ยวในชุมชนยลวิถีในจังหวัดเชียงรายปี 2566 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 170,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 65 ล้านบาท
  • ผลิตภัณฑ์ CPOT ที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้น ร้อยละ 18 ในปี 2566 (ข้อมูลจากระบบติดตามของกระทรวงวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงวัฒนธรรม, ระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT Database)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ลาบเมืองเหนือใครสุด เชียงรายแข่งครั้งแรก ชวนกินสุกปลอดภัย

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568”

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ล้านเมืองไนท์มาร์เก็ต จังหวัดเชียงราย ตลาดล้านเมืองได้จัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568” โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไปตลาดล้านเมือง กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดทีมลาบ” เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์สล่าลาบคนแรกของตลาดล้านเมือง โดยรางวัลสูงสุดเป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศจากนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท รายชื่อทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย 1. ทีมลาบตาลตะวัน 2. ทีมลาบโสภี 3. ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย) 4. ทีมเสน่ห์ลาบ 5. ทีมแจ๊คคาราบาว 6. ทีมลาบลุงพันธ์ 7. ทีมดาขันข้าว 8. ทีมป้อหลวงตั้ม 9. ทีมลาบไว้ลาย และ 10. ทีมลาบป่าบงหลวง

คณะกรรมการและผลการแข่งขัน

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  2. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  3. คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  4. คุณณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  5. คุณไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไป (ตลาดล้านเมือง)
  6. ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  7. คุณกิตติ โชติชินสิริ ผู้จัดการร้านลาบลุงน้อย
  8. คุณพรศักดิ์ นันตะรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ (ตลาดล้านเมือง)
  9. คุณภัทราพร พวงมาลา หัวหน้าฝ่ายล้านเมืองไนท์วิลเลจและการตลาดประชาสัมพันธ์

ผลการแข่งขันมีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบตาลตะวัน
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมเสน่ห์ลาบ
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมแจ๊คคาราบาว
  • รางวัลลาบลีลา: ทีมดาขันข้าว
  • รางวัลชมเชย: ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย)
  • รางวัลประกาศนียบัตร: ทีมป้อหลวงตั้ม, ทีมลาบลุงพันธ์, ทีมลาบไว้ลาย, ทีมลาบป่าบงหลวง และทีมลาบโสภี

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของล้านนา โดยเฉพาะเมนูลาบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานนักวิชาการวัฒนธรรม ได้แก่ นายสุพจน์ ทนทาน, นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง ได้เข้าร่วมงานเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสุขภาพของชุมชน

วัฒนธรรมการกินดิบ ความนิยมที่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเมนูลาบดิบ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งมองว่าการกินดิบเป็นทั้งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของล้านนา ความเผ็ดร้อนและรสชาติที่เข้มข้นของลาบดิบ รวมถึงความรู้สึกถึงความดั้งเดิม ทำให้เมนูนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล ซึ่งพบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ดังนั้น การรักษาความสวยงามของวัฒนธรรมการทำลาบพื้นบ้านไว้ โดยปรับเปลี่ยนให้ปลายทางเป็นเมนูที่ปรุงสุก จึงเป็นทางเลือกที่สามารถคงเอกลักษณ์ของรสชาติและวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพในเวลาเดียวกัน

กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ภายในงานนี้ยังมีการรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชิญชวนให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากเมนูดิบสู่เมนูที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ แคมเปญนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามการกินดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ทุกคนลองลดการบริโภคอาหารดิบ และทดลองนำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเป็นลาบสุกโดยนำเนื้อไปย่างหรือต้มให้สุกก่อน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงความสวยงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือความอร่อยของเมนูพื้นบ้าน เมนูอย่างแหนมหมกไข่ หรือก้อยดิบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเมนูสุกได้ เช่น การนึ่งหรืออบ ซึ่งยังคงรสชาติที่เข้มข้นและถูกปากคนไทยไว้เช่นเดิม

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงความอร่อยแบบที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะช่วยจุดประกายให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจสุขภาพ โดยไม่ต้องละทิ้งวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา” ตัวแทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยสะสมกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป็นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ผสานทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมสุขภาพอย่างลงตัว เพื่อให้คนไทยทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้าน ได้รับประโยชน์ทั้งจากรสชาติที่คุ้นเคยและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE