Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายยืนหนึ่ง Top 5 จุดหมายไทย! ขับเคลื่อนด้วยกระแส “Soft Power Travel” ท่ามกลางศึก Tourism War ภูมิภาค

เชียงรายยืนหนึ่งใน Top 5 จุดหมายท่องเที่ยวไทย ขับเคลื่อนด้วยกระแส “Soft Power Travel” ท่ามกลางศึก Tourism War

เชียงราย, 11 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่ทวีความรุนแรงในภูมิภาคเอเชีย จังหวัดเชียงรายกลับสามารถยืนหยัดรักษาตำแหน่งเป็นหนึ่งใน 5 จุดหมายปลายทางยอดนิยมสูงสุดของนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซันปลายปี (ธันวาคม 2568 – มกราคม 2569) ตามข้อมูลล่าสุดจาก Traveloka แพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทย ที่กำลังมองหา “ทริปที่มีความหมาย” มากกว่าการท่องเที่ยวเพื่อถ่ายรูปเช็กอิน ภายใต้กระแสใหม่ที่เรียกว่า “Soft Power Travel” ซึ่งเน้นการสร้างประสบการณ์เชิงลึก การเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก

กระแส “Soft Power Travel” ปรับโฉมวงการท่องเที่ยวไทย

นายชาลส์ หว่อง รองประธานฝ่ายพาณิชย์ของ Traveloka กล่าวว่า “ช่วงท้ายปีเป็นช่วงที่นักเดินทางมองหาการค้นพบและการเชื่อมโยง ไม่ใช่แค่การไปเที่ยว แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความหมายในชีวิต” เขาชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ Soft Power Travel ที่กำลังครองใจนักเดินทางชาวไทยในขณะนี้ มีรากฐานมาจากความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย การออกแบบเชิงสร้างสรรค์ และเสน่ห์ท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

ข้อมูลจาก Traveloka ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2568 เผยให้เห็นภาพชัดเจนของความต้องการเดินทางที่เติบโตสูง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลปลายปี การวิเคราะห์พบว่าจุดหมายปลายทางในประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, อุดรธานี และเชียงราย ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนความนิยมที่หลากหลายทั้งทริปเมืองใหญ่ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการพักผ่อนริมทะเล

สิ่งที่น่าสนใจคือ เชียงรายซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนทางตอนเหนือ สามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมกับจุดหมายหลักอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ ด้วยจุดแข็งด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และทำเลที่ตั้งบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงสามประเทศ

โมเมนตัมที่ต่อเนื่อ จากไตรมาส 3 สู่ไฮซีซัน

แม้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 (กรกฎาคม-กันยายน) จะเป็นช่วงโลว์ซีซันของการท่องเที่ยว แต่เชียงรายกลับสามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 พบว่าจังหวัดเชียงรายต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 1,195,635 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 9,763.48 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาโครงสร้างนักท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวชาวไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีจำนวน 1,043,190 คน หรือคิดเป็น 87.2% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด และสร้างรายได้ถึง 8,200.37 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84% ของรายได้รวม ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวน 152,445 คน หรือ 12.8% สร้างรายได้ 1,563.11 ล้านบาท หรือ 16% ของรายได้รวม

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของตลาดภายในประเทศที่เป็นฐานรายได้หลักของเชียงราย และเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมการติดอันดับ Top 5 ของ Traveloka จึงมีนัยสำคัญ เพราะแสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมของการท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในช่วงไฮซีซัน หลังจากสร้างฐานที่มั่นคงในช่วงโลว์ซีซันมาแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวม 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน) ในช่วงเดียวกัน พบว่ามีนักท่องเที่ยวรวม 5,198,133 คน สร้างรายได้ 37,801.65 ล้านบาท หมายความว่าเชียงรายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 23% ของจำนวนนักท่องเที่ยว และ 25.8% ของรายได้การท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเชียงรายในฐานะหนึ่งในเสาหลักของการท่องเที่ยวภาคเหนือ

ดอกเก็กฮวย ที่ดอยสะโง้ อ.เชียงแสน

กลยุทธ์ “UNSEEN THAI THAI” ต่อสู้สงครามการท่องเที่ยว

เบื้องหลังความสำเร็จของเชียงรายไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรุกของจังหวัดในการค้นหาและพัฒนา “ทุนทางวัฒนธรรม” เพื่อสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนได้ ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขัน Tourism War ที่รุนแรงในระดับภูมิภาค

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) ได้ลงพื้นที่และจัดประชุมคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอของจังหวัด เพื่อค้นหาและพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา และวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น วิถีชีวิตบ้านห้วยน้ำกืน ข้าวแรมฟืน (อาหารพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์) และพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ซึ่งล้วนเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น

การดำเนินงานนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้าง “ประสบการณ์เฉพาะตัว” ที่ไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างคุณค่าและมูลค่าในมิติเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเทรนด์ Soft Power Travel ที่นักท่องเที่ยวต้องการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

นโยบายนี้ยังเชื่อมโยงกับมาตรการของรัฐบาลที่ใช้โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านผู้ประกอบการ OTOP (ผลิตภัณฑ์ชุมชน) ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวไหลเวียนสู่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง ไม่กระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงอย่างเดียว

การเน้นย้ำเรื่อง “ความคุ้มค่าที่วัดจากคุณภาพประสบการณ์” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ เพราะเชียงรายไม่ได้แข่งขันด้วยราคาถูก แต่เสนอคุณค่าที่แท้จริงผ่านประสบการณ์ท้องถิ่นแบบเรียล (Authentic Local Experience) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง (High-Value Tourists) โดยเฉพาะจากตลาด Long Haul (ระยะไกล) ให้ความสำคัญ

ท่องเที่ยวครอบครัว ตลาดเป้าหมายที่เติบโตแรง

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หนุนความนิยมของเชียงรายคือการตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวและผู้เดินทางหลายเจเนอเรชัน ข้อมูลจาก Traveloka แสดงให้เห็นว่าความสนใจในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น อควาเรียม ธีมพาร์ก สวนน้ำ ศูนย์ความบันเทิงครอบครัว และตึกสูงชมวิว

เชียงรายมีจุดแข็งในการรองรับกลุ่มนี้ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งวัดที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามอย่างวัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น ดอยที่มีธรรมชาติงดงาม และงานเทศกาลระดับโลกอย่างเทศกาลบอลลูนนานาชาติเชียงราย ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่ครอบครัวสามารถร่วมสร้างความทรงจำไปด้วยกันได้

นายชาลส์ หว่อง กล่าวเสริมว่า “แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนมองการท่องเที่ยวเป็นโอกาสในการสร้างสายสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่การพักผ่อน” การที่เชียงรายสามารถตอบโจทย์ทั้งความต้องการทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ และความเหมาะสมสำหรับทุกวัย จึงทำให้จังหวัดนี้กลายเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างพื้นฐาน รากฐานแห่งการเติบโต

การเติบโตของการท่องเที่ยวเชียงรายได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงจังหวัดได้ง่ายขึ้น

ในด้านการคมนาคมทางอากาศ สายการบิน ไทยเวียตเจ็ท เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง เชียงราย-ภูเก็ต ในเดือนมกราคม 2569 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเดินทาง “เที่ยวเหนือต่อใต้” ที่นักท่องเที่ยวไทยให้ความสนใจ เส้นทางนี้จะช่วยเชื่อมโยงสองจุดหมายยอดนิยม ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนทริปแบบ Multi-Destination ได้สะดวกมากขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ เพื่อต่อเครื่อง

ในขณะเดียวกัน ด้านการคมนาคมทางบก EV Greenbus ได้เปิดให้บริการเส้นทาง เชียงใหม่-เชียงราย ด้วยรถโดยสารไฟฟ้า 100% เพื่อลดมลพิษฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของภาคเหนือในช่วงฤดูแล้ง และสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การลงทุนในระบบขนส่งสะอาดเช่นนี้ยังช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะจุดหมายที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เน้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม นักเดินทางยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของราคาตั๋วเครื่องบินที่พุ่งสูงในช่วง Peak Season ซึ่งได้รับแรงกดดันจากกลไก Yield Management (การบริหารราคาตามอุปสงค์-อุปทาน) และความขาดแคลนของอุปทานเครื่องบิน ทั้งนี้ การจองล่วงหน้าและความยืดหยุ่นในการเดินทางยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการประหยัดค่าใช้จ่าย

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 วันที่ 2 ธ.ค.68 – 25 ม.ค.69

ความท้าทายในสนามรบ Tourism War

แม้ตลาดภายในประเทศจะเติบโตแข็งแกร่ง แต่ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยยังคงเผชิญความท้าทายที่สำคัญในตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงในสมรภูมิ Tourism War ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของททท. ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว -8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักที่สำคัญ กลับลดลงหนักถึง -35% สวนทางกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่สามารถเติบโตได้ +22% ในช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยกำลัง “เสียจังหวะ” ในการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตลาดใกล้เคียง

อย่างไรก็ตาม มีแสงสว่างปรากฏในท้ายอุโมงค์ ททท. ชี้ให้เห็นว่าตลาดระยะไกลอย่างยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง กำลังพลิกฟื้นในอัตราสูง และสร้างรายได้ทำลายสถิติเดิมของปี 2562 (ก่อนโควิด-19) นักท่องเที่ยวจากตลาดเหล่านี้มักเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่พักนาน จ่ายเงินมาก และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและแท้จริง

นี่คือโอกาสสำคัญของเชียงราย การที่จังหวัดเร่งพัฒนาสินค้าและประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านโครงการ UNSEEN THAI THAI จะช่วยวางรากฐานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว High-Value จากกลุ่ม Long Haul และตลาดใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ท้องถิ่นแบบเรียล (Authentic Experience) ซึ่งตรงกับจุดแข็งของเชียงรายที่มีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตท้องถิ่นที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้ดี

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก Traveloka ยังเผยว่าจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่กำลังมาแรงในช่วงปลายปี ได้แก่ กรุงเทพฯ (จากมุมมองนักท่องเที่ยวต่างชาติ) โตเกียว เซี่ยงไฮ้ โอซาก้า และฮ่องกง ซึ่งบ่งชี้ว่าความมั่นใจในการเดินทางระหว่างประเทศของนักเดินทางไทยกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง พร้อมทั้งการมองหาทริปต่างประเทศเพื่อสัมผัสบรรยากาศฤดูหนาว

ภาพรวมการท่องเที่ยวไทย ตลาดในประเทศเป็นเสาหลัก

ตามรายงานของททท. ในปี 2568 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 26 ล้านคน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศก็ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยคนไทยเดินทางรวมกว่า 150 ล้านทริป ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดภายในประเทศยังคงเป็นเสาหลักสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดต่างประเทศยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

การเติบโตของการเดินทางในช่วงเทศกาลปลายปีและเทรนด์ Soft Power Travel ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเศรษฐกิจฐานราก Traveloka ยังระบุว่าในช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวต่างให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวแบบ Immersion (การดื่มด่ำ) ที่ผสานวัฒนธรรมท้องถิ่น อาหาร เทศกาล รวมถึงกิจกรรมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness Tourism)

ชมงานศิลปะ & วาดรูปเล่นท่ามกลางธรรมชาติที่ ควายดินดาก อาร์ทเฮ้าส์ ร้านเปิดทุกวัน 10.00 -18.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร)

กิจกรรมและเทศกาลเชียงราย ดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี

เชียงรายมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวด้วยปฏิทินกิจกรรมและเทศกาลที่หลากหลายตลอดทั้งปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2568 ถึงมกราคม 2569 เพียงอย่างเดียว มีกิจกรรมสำคัญมากมาย อาทิ งานศิลปะและการออกแบบที่เน้นความสร้างสรรค์ งานมหกรรมบอลลูนนานาชาติ การแข่งขันวิ่งมาราธอนและอัลตร้ามาราธอนในเส้นทางที่ทรงความงาม งานเทศกาลดนตรี การจัดแสดงแสงสีที่วัดและแลนด์มาร์กสำคัญ รวมถึงงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่หลายพื้นที่ในจังหวัด

กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและสร้างการจ้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ร้านอาหาร ที่พัก และผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบาย Soft Power Travel ที่ต้องการให้ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจฐานราก

มุมมองอนาคต จากความนิยมสู่รายได้ที่ยั่งยืน

การที่เชียงรายติดอันดับ Top 5 จุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติที่น่าภูมิใจ แต่สะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริงของจังหวัดในการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประสบการณ์ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค

ความท้าทายต่อไปคือการเปลี่ยนแรงดึงดูดและความนิยมที่มีอยู่ให้กลายเป็นรายได้ที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมที่เป็นทุนเดิมอันมีค่า การเดินหน้าตามนโยบาย UNSEEN THAI THAI การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และการสร้างความพร้อมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงเป็นกุญแจสำคัญ

นอกจากนี้ การเตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากตลาดระยะไกลที่กำลังฟื้นตัว การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้มีทักษะภาษาและความเข้าใจวัฒนธรรมต่างชาติ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริการและการตลาด จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเชียงรายในเวทีโลก

ความสำเร็จของเชียงรายในครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าตัวเลข แต่เป็นเรื่องราวของการตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มองหา “ความหมาย” มากกว่า “ความสวยงาม” พวกเขาต้องการ “สัมผัสประสบการณ์” มากกว่า “เช็กอินถ่ายรูป” และต้องการ “เชื่อมโยงกับชุมชน” มากกว่า “แค่เดินผ่าน” ซึ่งเป็นสิ่งที่เชียงรายสามารถมอบให้ได้อย่างแท้จริง

สุดท้ายแล้ว การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่การดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่คือการสร้างคุณค่าที่แท้จริงทั้งแก่ผู้มาเยือนและชุมชนท้องถิ่น เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม และการดำเนินงานที่จริงจัง จังหวัดเล็กๆ บนดินแดนสามเหลี่ยมทองคำก็สามารถยืนหยัดและแข่งขันได้ในเวทีใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ) อำเภอเทิง จ.เชียงราย
สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • Traveloka
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • เชียงรายโฟกัส

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

จากเตาเผาโบราณสู่เวทีโลก! เชียงรายชูเวียงกาหลงเป็นเสาหลักเศรษฐกิจฐานราก ผสานศิลปะกับดีไซน์สมัยใหม่

ผู้ว่าฯ เชียงรายหนุน “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่เวทีตลาดใหม่ของชุมชน

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ที่อำเภอเวียงป่าเป้า เสียงเตาเผาดินเผาโบราณยังคงดังอย่างสม่ำเสมอท่ามกลางหมู่บ้านที่โอบล้อมด้วยภูเขา ในเช้าวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย “นายชูชีพ พงษ์ไชย” พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชม “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” หนึ่งในหัตถศิลป์พื้นเมืองที่ถือเป็นหน้าตาทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย และเป็นความภาคภูมิใจของคนเวียงป่าเป้ามาอย่างยาวนาน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพิธีการหรือการเยี่ยมชมเชิงสัญลักษณ์ แต่สะท้อนถึงความพยายามของจังหวัดในการ “จับมือกับชุมชน” เพื่อยกระดับหัตถกรรม OTOP ให้เดินหน้าสู่ตลาดสร้างสรรค์ ทั้งในเชิงการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก และภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะแหล่งรวมภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

เวียงกาหลง จากเตาเผาโบราณ สู่สัญลักษณ์หัตถศิลป์ล้านนา

เวียงกาหลงเป็นเมืองโบราณในเขตอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งในทางโบราณคดีได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งเตาเผาโบราณสำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นต้นกำเนิด “เครื่องถ้วยเวียงกาหลง” ที่มีลวดลายและเนื้อดินเป็นเอกลักษณ์ จนถูกจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกหัตถกรรมสำคัญของไทย DB SAC

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เวียงกาหลงไม่เพียงเป็นแหล่งโบราณสถาน แต่ยังพัฒนาเป็น “ชุมชนหัตถกรรมร่วมสมัย” ที่หยิบยกภูมิปัญญาโบราณ เช่น เทคนิคการขึ้นรูปดิน การเคลือบสีเขียว–น้ำตาล และการเผาที่อุณหภูมิสูง มาปรับใช้กับดีไซน์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบภาชนะใช้สอย ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงงานออกแบบร่วมสมัยที่เน้นความเรียบง่ายแต่มีอัตลักษณ์สูง

การได้รับการยอมรับในฐานะสินค้า OTOP ของจังหวัดเชียงราย รวมถึงการผลักดันให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทำให้ “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าท้องถิ่น แต่เป็น “สื่อ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนริมขอบป่าในภาคเหนือของไทย

ครูทันธิ จิตตัง ช่างฝีมือ OTOP ผู้สืบสานงานดินเผาให้ยืนยาว

หัวใจของมรดกหัตถศิลป์ไม่ได้อยู่ที่เตาเผา แต่อยู่ที่ “คน” ผู้สืบสานภูมิปัญญา ภาพของ “ครูทันธิ จิตตัง” ศิลปิน OTOP ที่ยืนต้อนรับผู้ว่าฯ เชียงรายในวันลงพื้นที่ จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือภาพแทนของ “ช่างฝีมือท้องถิ่น” ที่อุทิศชีวิตให้กับการรักษามรดกดินเผาเวียงกาหลงไว้ในบริบทของโลกยุคใหม่

ครูทันธิไม่เพียงสืบทอดเทคนิคการปั้นและการเคลือบแบบดั้งเดิม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยว คนเมือง และนักสะสมงานหัตถศิลป์ การร่วมทำงานกับภาครัฐและองค์กรสนับสนุนต่าง ๆ ช่วยให้ครูทันธิสามารถนำ “ภาษาใหม่ของการออกแบบ” มาผสานกับ “รากเดิมของภูมิปัญญา” จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั้ง “ใช้ได้จริง” และ “เล่าเรื่องชุมชนได้จริง” ไปพร้อมกัน

ในมุมของผู้ว่าราชการจังหวัด การลงพื้นที่เยี่ยมชมและรับฟังเสียงจากครูทันธิและชุมชน จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าใจข้อจำกัด และมองเห็นช่องทางสนับสนุนอย่างตรงจุด ทั้งเรื่องตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการสร้างโอกาสให้ศิลปิน OTOP สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ จากเตาเผาเล็ก ๆ สู่โจทย์ใหญ่ระดับจังหวัด

ในการเยี่ยมชมแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงครั้งนี้ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้รับฟังการบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคัดเลือกดินในพื้นที่ การขึ้นรูป การลงเคลือบ ไปจนถึงการเผาที่ต้องอาศัยประสบการณ์สูงในการควบคุมอุณหภูมิ

นอกจากจะเรียนรู้ขั้นตอนเชิงช่างแล้ว คณะผู้บริหารยังได้หารือกับครูทันธิและชุมชนถึงแนวทางการ “ต่อยอดเชิงสร้างสรรค์” เช่น

  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดของตกแต่งบ้านและงานดีไซน์สมัยใหม่
  • การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และเรื่องเล่า (storytelling) ให้สอดคล้องกับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
  • การเชื่อมโยงเวียงกาหลงกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ เชียงรายเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสนับสนุนสินค้า OTOP และศิลปินชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้าน “การตลาด–การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–โอกาสทางเศรษฐกิจ” เพื่อให้การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไม่ใช่เพียงการเก็บรักษาอดีต หากแต่เป็นการสร้างอนาคตที่จับต้องได้ให้แก่คนในพื้นที่

การลงพื้นที่ในลักษณะนี้จึงเป็นมากกว่าการเยี่ยมชม แต่คือ “สัญญาณทางนโยบาย” ว่าจังหวัดเห็นคุณค่าและพร้อมจะผลักดันให้หัตถกรรมเวียงกาหลงกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจฐานรากเชียงรายในระยะยาว

OTOP และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บทเรียนจากระดับประเทศสู่เวียงป่าเป้า

หากมองภาพกว้างกว่าหนึ่งชุมชน จะเห็นว่า “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” กำลังยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกับนโยบายระดับประเทศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการพัฒนาสินค้าชุมชน OTOP

ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ระบุว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1–1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 9% ของจีดีพี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ThaiPublica ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า “ความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภาพลักษณ์ แต่เป็น “เศรษฐกิจจริง” ที่สร้างรายได้และการจ้างงานจำนวนมาก

ด้านสินค้า OTOP เอง แม้ตัวเลขเฉพาะจังหวัดเชียงรายในบางปีอาจแตกต่างกันไป แต่แนวโน้มในระดับประเทศชี้ชัดว่าสินค้า OTOP สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมระดับหลายหมื่นล้านบาทต่อปี และเป็น ช่องทางสำคัญในการยกระดับรายได้ครัวเรือนในชนบท ขณะที่ในจังหวัดเชียงราย สินค้า OTOP หลายกลุ่ม—ตั้งแต่กาแฟ ชา สมุนไพร ไปจนถึงงานหัตถกรรม—ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ในบริบทนี้ เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงจึงไม่ใช่เพียง “สินค้าอีกชิ้น” หากแต่เป็นตัวแทนของการผสาน “รากวัฒนธรรม” เข้ากับ “โอกาสจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่กำลังเติบโตในระดับประเทศ

เวียงกาหลงในยุคตลาดดิจิทัล โอกาสใหม่และแรงกดดันรูปแบบใหม่

แม้เวียงกาหลงจะมีชื่อเสียงจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเชียงราย แต่สภาพการแข่งขันในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าร้านหรือหมู่บ้านอีกต่อไป ตลาดออนไลน์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และสื่อโซเชียลกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ที่ทั้งสร้างโอกาสและกดดันผู้ประกอบการหัตถกรรมไปพร้อมกัน

สำหรับครูทันธิและศิลปิน OTOP ในเวียงกาหลง การต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสร้างสรรค์จึงไม่ใช่เพียงการออกแบบลายใหม่ แต่รวมถึงการเรียนรู้การเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย วิดีโอ หรือการถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงานในโรงเผา ให้ผู้ซื้อในเมืองใหญ่หรือในต่างประเทศ “สัมผัสความเป็นมือคนและความเป็นหมู่บ้าน” ผ่านหน้าจอ

ในมุมนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การฝึกอบรมด้านการตลาดดิจิทัล การจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายดีไซเนอร์หรือแพลตฟอร์มสร้างสรรค์ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญไม่แพ้การพัฒนามาตรฐานสินค้า เพราะหากชุมชนสามารถ “เล่าเรื่องตัวเองได้เก่ง” เท่า ๆ กับที่ “ทำของได้เก่ง” ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดสร้างสรรค์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ศิลปะ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก สามเสาหลักของเวียงกาหลงในยุคใหม่

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ยังสะท้อนแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่ที่พยายาม “ล็อกสามเสาหลัก” ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่

  1. ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่น – ใช้เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ล้านนาและเรื่องเล่าของชุมชน
  2. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – เชื่อมโยงเวียงกาหลงเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น ดอยตุง เมืองเชียงราย หรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ
  3. เศรษฐกิจฐานราก – ทำให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวกลับคืนสู่คนในพื้นที่อย่างเป็นธรรม ช่วยลดการอพยพแรงงาน และสร้างงานให้คนรุ่นใหม่ในชุมชน

เมื่อทั้งสามเสานี้ถูกออกแบบให้เสริมกันและกัน เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงก็ไม่ใช่แค่วัตถุสวยงามที่ตั้งอยู่บนชั้นโชว์ แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคง เด็กรุ่นใหม่เห็นคุณค่าภูมิปัญญาบรรพบุรุษ และจังหวัดมีจุดขายใหม่ในสายตานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ คนรุ่นใหม่ ทุน และความต่อเนื่องของนโยบาย

แม้ภาพรวมจะมีโอกาสจำนวนมาก แต่เวียงกาหลงและหัตถกรรมท้องถิ่นก็ยังเผชิญ “โจทย์ยาก” หลายด้าน เช่น

  • การสืบทอดของคนรุ่นใหม่ ที่อาจลังเลระหว่างกลับบ้านมาทำดินเผากับการไปทำงานในเมือง
  • ต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงทางตลาด เมื่อวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น
  • ความต่อเนื่องของนโยบาย ที่หากเปลี่ยนชุดผู้บริหารหรือแนวทางสนับสนุนบ่อยเกินไป อาจทำให้โครงการระยะยาวสะดุดกลางคัน

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็น “จุดเริ่มต้นที่สำคัญ” แต่การจะเปลี่ยนศักยภาพให้กลายเป็นผลลัพธ์จริง จำเป็นต้องมีแผนงานต่อเนื่อง ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชุมชน เช่น การจัดทำแผนพัฒนาหัตถกรรมเวียงกาหลงระยะ 3–5 ปี การสนับสนุนงบประมาณวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) การเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา หรือการสร้างแบรนด์ร่วมของชุมชนอย่างเป็นระบบ

 

เวียงกาหลง แบบทดสอบเล็ก ๆ ของคำว่า “เชียงรายเมืองสร้างสรรค์”

เชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามวางตัวเองในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์” ผ่านทั้งงานศิลปะร่วมสมัย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ การหนุนเสริมเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงในวันนี้ จึงอาจมองได้ว่าเป็น “แบบทดสอบเล็ก ๆ” ของจังหวัดว่า จะสามารถทำให้คำว่า “เมืองสร้างสรรค์” ลงลึกไปถึงระดับหมู่บ้านและครอบครัวได้จริงเพียงใด

หากเวียงกาหลงสามารถกลายเป็นตัวอย่างของการใช้ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม เชียงรายก็จะมี “เคสศึกษา” ที่ชัดเจนสำหรับการขยายบทเรียนไปยังชุมชนอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหัตถกรรม กลุ่มกาแฟ ชา หรือเกษตรเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่อื่นของจังหวัด

ในทางกลับกัน หากเวียงกาหลงยังติดขัดเรื่องทุน การตลาด หรือการสืบทอดคนรุ่นใหม่ ก็จะเป็น “สัญญาณเตือน” ต่อผู้กำหนดนโยบายว่า การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่จำเป็นต้องลงลึกกว่าการจัดกิจกรรมเชิงพิธีการ และต้องลงทุนกับคน–ระบบ–ความต่อเนื่องให้มากกว่าที่เป็นอยู่

จากมือช่างถึงมือผู้ว่าฯ และอนาคตของชุมชน

ในวันที่นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ก้าวเข้าสู่โรงเผาเล็ก ๆ ของครูทันธิ จิตตัง ที่อำเภอเวียงป่าเป้า ภาพที่เห็นไม่ได้มีเพียงเตาดินเผาและชั้นวางเครื่องเคลือบ แต่เป็น “จุดตัด” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเศรษฐกิจชุมชนเชียงราย

อดีต – ถูกหล่อหลอมอยู่ในดินและลายเส้นของเวียงกาหลง
ปัจจุบัน – ปรากฏผ่านมือช่างฝีมือ ศิลปิน OTOP และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาซื้อผลงาน
อนาคต – ขึ้นอยู่กับว่า จังหวัดและชุมชนจะสามารถนำมรดกเหล่านี้ไปต่อยอดในโลกของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และตลาดดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนเพียงใด

การลงพื้นที่เยี่ยมชมครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ในปฏิทินราชการ หากแต่เป็น “สัญญาณ” ว่าเชียงรายกำลังเลือกเดินบนเส้นทางที่ใช้ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และเวียงกาหลงก็อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการเดินทางเส้นนี้ในสายตาของทั้งคนในจังหวัดและสังคมไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผู้ว่าฯ ชูเชียงรายเมืองศิลปะ! ขัวศิลปะจัดงานใหญ่ 3 เดือน ผสาน Artist Talk และ Art Market สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ขัวศิลปะจัด “นิทรรศการประจำปี ครั้งที่ 14” ที่ CCAM ตอกย้ำเชียงรายในฐานะเมืองศิลปะ และเวทีหลักของศิลปินไทยร่วมสมัย

เชียงราย, 7 ธันวาคม 2568 – ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum – CCAM) สมาคมขัวศิลปะจัดพิธีเปิด “นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะ ครั้งที่ 14” อย่างเป็นทางการ บรรยากาศภายในงานคึกคักด้วยขบวนศิลปิน สถาปนิก นักออกแบบ ภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง สะท้อนให้เห็นว่า “ศิลปะ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของสังคมเชียงรายอีกต่อไป

พิธีเปิด  6 ธันวาคม 2568 ได้รับเกียรติจาก นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติ อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และคณะศิลปินเชียงรายร่วมเป็นสักขีพยาน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า

“เชียงรายเป็นเมืองที่มีศิลปินพำนักอยู่มากที่สุดในประเทศไทย เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเชียงรายคือเมืองแห่งศิลปะ และเมืองแห่งศิลปินอย่างแท้จริง”

คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นถ้อยแถลงเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนทิศทางนโยบายจังหวัดที่เลือก “ศิลปะและวัฒนธรรม” เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

14 ปีของเจตนารมณ์ “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม”

นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี นายกสมาคมขัวศิลปะ ระบุว่า การจัดนิทรรศการประจำปีครั้งนี้ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14 แล้ว สะท้อนความมั่นคงของสมาคมในฐานะองค์กรศิลปะที่เติบโตจากภาคประชาชนและศิลปินเอง ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้วจบไป

ภายใต้เจตนารมณ์ “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม” สมาคมขัวศิลปะทำหน้าที่เสมือน “ขัว” หรือ “สะพาน” ตามคำในภาษาเหนือ ที่เชื่อมต่อสามมิติสำคัญเข้าด้วยกันคือ

  1. เชื่อมศิลปินกับสังคม – ทำให้ผลงานและตัวตนของศิลปินเข้าถึงผู้ชมทั่วไป ไม่จำกัดอยู่ในวงแคบของนักสะสม
  2. เชื่อมวัฒนธรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย – เปิดพื้นที่ให้ศิลปินตีความเมืองเชียงรายด้วยภาษาศิลปะสมัยใหม่ แต่อิงรากทางวัฒนธรรมเดิม
  3. เชื่อมท้องถิ่นกับเวทีประเทศและนานาชาติ – ผ่านการเชิญศิลปินรับเชิญจากหลายภูมิภาค และการใช้พื้นที่อย่าง CCAM เป็นเวทีมาตรฐานระดับประเทศ

การที่สมาคมสามารถยืนหยัดมาถึงปีที่ 14 ได้ แสดงให้เห็นว่า โมเดลองค์กรศิลปะที่นำโดยศิลปิน (Artist-led Organization) สามารถบริหารจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน หากมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นจากภาคส่วนอื่นได้อย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างนิทรรศการ มากกว่า 150 ผลงาน และเทศกาลศิลปะตลอด 3 เดือน

นิทรรศการประจำปีครั้งนี้จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยกว่า 150 ชิ้น ครอบคลุมสื่อหลากหลายประเภท ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สื่อผสม ภาพถ่าย และศิลปะแบบสื่อใหม่ จากศิลปินเชียงราย ศิลปินรุ่นใหม่ และศิลปินรับเชิญจากทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลา 3 เดือน การจัดงานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการ “เดินชมภาพ” ภายในห้องจัดแสดง แต่ถูกออกแบบให้เป็นลักษณะ เทศกาลศิลปะต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น

  • Artist Talk ให้ศิลปินเล่าที่มาของผลงานด้วยตนเอง
  • เวิร์กช็อปศิลปะ สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป
  • กิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัว เพื่อปลูกฝังการมองศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
  • การแสดงดนตรีและศิลปะการแสดง เพิ่มมิติทางประสบการณ์ให้ผู้เข้าชม
  • ตลาดศิลปะและโซนอาหารพื้นเมือง เชื่อมศิลปะกับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน

สมาคมขัวศิลปะตั้งเป้าผู้เข้าชมไว้ไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ตลอด 3 เดือนของการจัดแสดง ซึ่งหากบรรลุเป้าหมาย ตัวเลขดังกล่าวจะไม่ใช่เพียง “จำนวนคนเดินชมงาน” แต่หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเวียนสู่ร้านอาหาร ที่พัก ร้านกาแฟ แท็กซี่ท้องถิ่น และผู้ค้าชุมชนรอบพื้นที่ CCAM ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างชัดเจน

จากที่ดิน 5 ไร่ สู่พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย พลังการลงทุนของศิลปิน

หนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นเหนือเมืองอื่น คือการมี “ศิลปินชั้นนำระดับชาติ” ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางศิลปะด้วยตนเอง

  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดัง ได้มอบที่ดินจำนวน 5 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) และเคยเป็นผู้มอบทุนตั้งต้นในการจัดตั้งกองทุนศิลปินเชียงราย
  • อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ เจ้าของ “ดอยดินแดง” และนายกสมาคมขัวศิลปะคนแรก ทำหน้าที่วางรากฐานการรวมตัวของศิลปินเชียงรายและสร้างมาตรฐานงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ

บทบาทของศิลปินทั้งสองท่าน ทำให้ขัวศิลปะไม่ได้เป็นเพียงหอศิลป์ขนาดกลางในจังหวัด แต่กลายเป็น “โครงสร้าง/ระบบ” ที่มีทั้งหอศิลป์ดั้งเดิม ร้านอาหาร (เช่น ครัวศิลปิน) พื้นที่เวิร์กช็อป และ CCAM เป็นปลายทางของงานระดับชาติ–นานาชาติ

ด้วยเหตุนี้ นิทรรศการประจำปีครั้งที่ 14 ที่ย้ายไปจัดที่ CCAM จึงสะท้อน “การยกระดับสถานะ” ของงานจากกิจกรรมของสมาคม ไปสู่การเป็น “กิจกรรมหลักของเมือง” อย่างชัดเจน

CCAM พื้นที่ศิลปะของเมือง และจังหวะเวลาที่สอดรับฤดูท่องเที่ยว

CCAM เปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทำหน้าที่เสมือน “ประตูเมืองทางวัฒนธรรม” ของเชียงราย ที่นักท่องเที่ยวสามารถบรรจุไว้ในโปรแกรมการเดินทางควบคู่ไปกับจุดหมายสำคัญอื่น ๆ เช่น วัดร่องขุน ดอยตุง หรือถนนคนเดินในตัวเมือง

การกำหนดช่วงเวลาจัดนิทรรศการระหว่าง พฤศจิกายน 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 ถือเป็นการวางจังหวะเชิงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยวหลักของจังหวัด ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นและมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่จำนวนมาก การจัดงานศิลปะขนาดใหญ่ในช่วงนี้ จึงช่วยเพิ่ม “เหตุผลใหม่” ให้ผู้คนมาใช้เวลานานขึ้นในเมืองเชียงราย ไม่เพียงเพื่อชมธรรมชาติ แต่เพื่อสัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่ลึกขึ้น

ผสานพลังนิทรรศการระดับชาติ สร้าง “ความหนาแน่นทางศิลปะ” ให้เชียงราย

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจในช่วงปลายปี 2568 คือ การจัดนิทรรศการสำคัญของประเทศให้ “ซ้อนทับ” อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับงานประจำปีขัวศิลปะ ณ พื้นที่ CCAM เช่น นิทรรศการ “I AM FINE สัญจร ครั้งที่ 2” ที่รวบรวมผลงานและเรื่องเล่าชีวิตของศิลปินแถวหน้าของไทยหลายคน

การจัดนิทรรศการระดับชาติและกิจกรรมประจำปีของสมาคมในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เชียงรายมี “ความหนาแน่นของเหตุการณ์ทางศิลปะ” สูงเป็นพิเศษในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดทั้งนักสะสม ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ สื่อมวลชน และนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เดินทางขึ้นเหนือในช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินและการประชาสัมพันธ์ไปพร้อมกัน

เปลี่ยนผู้ชมให้เป็น “ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ศิลปะ”

ต่างจากภาพจำของ “หอศิลป์เงียบ ๆ” นิทรรศการครั้งนี้ถูกออกแบบให้ผู้เข้าชมมีบทบาทมากกว่าผู้สังเกตการณ์ ผ่านกิจกรรมเชิงโต้ตอบ (Interactive) หลายรูปแบบ เช่น

  • เวิร์กช็อปสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อให้การเรียนรู้ศิลปะเกิดขึ้นผ่านการลงมือทำ
  • เวทีสนทนาศิลปะ (Artist Talk) ที่เปิดโอกาสให้ตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศิลปินโดยตรง
  • การใช้พื้นที่นอกห้องจัดแสดงเป็นลานกิจกรรม เปิดเพลง ขับกล่อมด้วยดนตรี และการแสดงในบรรยากาศสบาย ๆ ยามเย็น

แนวทางนี้ทำให้ “ศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งมักถูกมองว่ายากและเข้าถึงลำบาก กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ เข้าใจได้ และสนุกกับได้ในทุกวัย เป็นการยกระดับ “สายตาศิลปะ” (Art Literacy) ของชุมชนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต่อเนื่องและเป็นระบบ

Artbridge Young Artist และศิลปะเพื่อสังคม เมื่องานศิลป์เดินออกจากผนังห้องจัดแสดง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนิทรรศการ คือโครงการสำหรับศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Artbridge Young Artist ที่เน้นให้ศิลปินไม่เพียงสร้างผลงานเพื่อจัดแสดง แต่ยังต้องออกแบบโครงการที่ใช้ศิลปะเข้าไป “เปลี่ยนพื้นที่จริง” และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัย

ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การออกแบบทางม้าลายร่วมกับโรงเรียนและชุมชน เพื่อนำลายเส้นจากจินตนาการของเด็ก ๆ ไปใช้จริงในพื้นที่ตลาดและเขตชุมชน โครงการลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับขัวศิลปะแล้ว ศิลปะไม่ใช่เพียงภาพแขวนผนัง แต่เป็นเครื่องมือในการทำให้เมืองน่าอยู่ ปลอดภัย และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด

บทบาทดังกล่าวช่วยขยายภาพของขัวศิลปะจาก “ผู้จัดนิทรรศการ” ไปสู่การเป็น “ผู้พัฒนาพื้นที่ด้วยศิลปะ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเมืองเชิงสร้างสรรค์ (Creative City) ในระดับสากล

Art Market และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อการดูงานศิลป์เชื่อมต่อกับรายได้ของชุมชน

ภายในนิทรรศการมีการจัด “ตลาดศิลปะ” ควบคู่กับโซนจำหน่ายอาหารและของที่ระลึกท้องถิ่น เป้าหมายไม่ใช่เพียงให้ศิลปินมีพื้นที่วางขายงานของตนเอง แต่เป็นการทดลองโมเดล “ตลาดศิลปะที่เข้าถึงได้” เพื่อพิสูจน์ว่า งานศิลปะสามารถเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่จำกัดแค่กลุ่มนักสะสมรายใหญ่

เมื่อเชื่อมต่อกับเป้าหมายผู้เข้าชม 15,000 คนตลอดระยะเวลา 3 เดือน นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะจึงกลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์” สำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชียงราย ที่เชื่อมสามเส้นเลือดคือ ศิลปิน–ผู้ประกอบการท้องถิ่น–นักท่องเที่ยว ให้ไหลเวียนถึงกันอย่างเป็นรูปธรรม

โมเดล Public–Private–Artist Partnership รัฐ–เอกชน–ศิลปิน ร่วมกันขับเคลื่อนเมืองศิลปะ

จากโครงสร้างการดำเนินงาน สามารถมองเห็นได้ชัดว่า นิทรรศการประจำปีครั้งที่ 14 ยืนอยู่บนโมเดลความร่วมมือแบบ Public–Private–Artist Partnership (PPAP) ได้แก่

  • ภาครัฐ (Public) – ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานด้านวัฒนธรรมร่วมให้การรับรอง สนับสนุน และบรรจุงานไว้ในปฏิทินกิจกรรมสำคัญของจังหวัด
  • ภาคเอกชน (Private) – ผู้ประกอบการท้องถิ่น ผู้สนับสนุนต่าง ๆ และเครือข่ายธุรกิจที่เข้ามาร่วมสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์
  • ภาคศิลปิน (Artist) – สมาคมขัวศิลปะ ศิลปินเชียงราย ศิลปินรับเชิญ และศิลปินรุ่นใหม่ ที่เป็นผู้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานและกิจกรรมเชิงเนื้อหา

โมเดลนี้ทำให้ขัวศิลปะไม่ต้องพึ่งพิงงบประมาณรัฐเพียงด้านเดียว ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็สามารถใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารภาพลักษณ์จังหวัดและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Creative City ได้อย่างมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือ เพราะตั้งอยู่บนฐานชุมชนจริง ไม่ได้เกิดจากโครงการชั่วคราวที่ “สร้างเสร็จแล้วเงียบหาย”

รักษามาตรฐานและความต่อเนื่องในวันที่เชียงรายถูกจับตามองมากขึ้น

เมื่อเชียงรายถูกยกให้เป็น “เมืองแห่งศิลปะและเมืองแห่งศิลปิน” ความคาดหวังจากทั้งสังคมในประเทศและต่างประเทศก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ความท้าทายสำคัญที่ตามมาคือ

  1. การรักษาคุณภาพและมาตรฐานของผลงาน – เมื่อจำนวนกิจกรรมและศิลปินเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีกลไกคัดสรรและดูแลคุณภาพอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ “ปริมาณ” กลบ “คุณภาพ”
  2. การบริหารจัดการเชิงวิชาชีพ – การเติบโตของ CCAM และสมาคมขัวศิลปะต้องมาพร้อมการเสริมทักษะด้านบริหารหอศิลป์ การเงิน การสื่อสาร และการตลาด เพื่อรองรับงานระดับนานาชาติในอนาคต
  3. การยึดโยงกับชุมชนฐานราก – ยิ่งงานเติบโตมากเท่าใด ยิ่งต้องระวังไม่ให้ศิลปะถูกจำกัดอยู่ในวงการเฉพาะกลุ่ม เป้าหมายเรื่อง “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม” จึงต้องถูกย้ำอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการที่ลงไปทำงานกับโรงเรียน ชุมชน และกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม

 “เชียงรายเมืองศิลปะ” จากคำขวัญสู่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะ ครั้งที่ 14 ที่จัดขึ้น ณ CCAM ในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายในปฏิทินกิจกรรมศิลปะของจังหวัด หากแต่เป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” ว่าเชียงรายกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองศิลปะระดับสากลด้วยกระบวนการที่มีระบบ มีฐานชุมชน และมีการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

ผลงานกว่า 150 ชิ้น กิจกรรมต่อเนื่อง 3 เดือน เป้าหมายผู้เข้าชม 15,000 คน บทบาทของศิลปินแห่งชาติ การลงทุนที่ดินและทุนตั้งต้นของศิลปินชั้นนำ การสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด และโครงการพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ ล้วนผสานกันเป็น “โครงสร้าง” ที่ทำให้คำว่า “เชียงรายเมืองศิลปะ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญสวยหรู แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มองเห็นได้ ลงแตะพื้นที่เมือง และสัมผัสได้ในชีวิตคนเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum – CCAM)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย ยกระดับ สามล้อ สู่ ทูตวัฒนธรรม ต้อนรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025

อบจ.เชียงรายดัน “สามล้อเมืองเชียงราย” เป็นทูตวัฒนธรรม เตรียมร่วมเป็นเจ้าบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวในงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 – เช้าตรู่ต้นเดือนธันวาคม อากาศเย็นสบายเหนือริมแม่น้ำกก ที่ “ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย” เสียงสนทนาสลับเสียงหัวเราะของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพสามล้อดังคลอไปกับบรรยากาศการเตรียมความพร้อมรับฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีของจังหวัดเชียงราย

เบื้องหน้าไม่ใช่เพียงการนัดพบกันตามปกติของคนทำมาหากิน หากแต่เป็น “เวทีนโยบายสาธารณะระดับฐานราก” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ใช้ในการสื่อสารทิศทางสำคัญของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ – การยก “สามล้อ” จากเพียงพาหนะรับจ้างดั้งเดิม สู่บทบาท “เจ้าบ้าน” และ “ทูตวัฒนธรรม” ในงานระดับอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม

ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือ “นายก นก” นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งมอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย เป็นผู้ลงพื้นที่พบปะและพูดคุยกับผู้ประกอบอาชีพสามล้อในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนการต่อสัญญาการยืมจักรยานสามล้อประจำปี หากยังเป็น “สัญญาใจทางสังคม” ระหว่างภาครัฐกับแรงงานดั้งเดิมของเมือง ในการร่วมกันรักษาเสน่ห์เชียงรายให้คงอยู่ควบคู่กับการเติบโตของการท่องเที่ยวสมัยใหม่

ต่อสัญญาสามล้อ – ต่อชีวิตอาชีพดั้งเดิมในเมืองท่องเที่ยว

กิจกรรมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย มีวัตถุประสงค์หลักสองประการที่ดำเนินควบคู่กัน คือ

  1. ต่อสัญญาการยืมจักรยานสามล้อประจำปี
    อบจ.เชียงรายจัดให้มีการต่อสัญญาการยืมรถสามล้อเป็นประจำในทุกเดือนธันวาคม ซึ่งไม่ใช่เพียงขั้นตอนด้านเอกสาร แต่เป็นกลไกให้หน่วยงานท้องถิ่นได้พบปะ รับฟัง และยืนยันความตั้งใจในการสนับสนุนอาชีพสามล้ออย่างต่อเนื่อง
  2. ส่งสัญญาณนโยบาย “สามล้อคือเจ้าบ้าน”
    การพบปะในปีนี้ถูกยกระดับจากเพียงการบริหารจัดการอาชีพรับจ้าง ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เตรียมตัวเป็นเจ้าบ้านของจังหวัดเชียงราย ในโอกาสการจัด “งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ที่กำลังจะมาถึง

สามล้อในเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงพาหนะรับจ้าง แต่เป็น “ภาพจำ” ของผู้มาเยือนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศเมืองเหนือแบบเนิบช้า ใกล้ชิดผู้คน และได้ชมเมืองผ่านมุมมองของคนท้องถิ่น การที่ อบจ.เชียงราย ยืนยันจะหนุนอาชีพนี้อย่างเป็นระบบ จึงมีนัยยะมากกว่าเรื่องรายได้ หากยังเกี่ยวข้องกับ “อัตลักษณ์ของเมือง” โดยตรง

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ฤดูดอกไม้ และฤดูโอกาสของสามล้อ

เชียงรายในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม คือช่วงเวลาที่เมืองทั้งเมืองถูกโอบล้อมด้วยอากาศหนาวเย็นและสีสันของดอกไม้ งาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ณ “สวนไม้งามริมน้ำกก” ภายใต้การดูแลของ อบจ.เชียงราย จึงเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของจังหวัดตลอดช่วงไฮซีซัน

ระยะเวลาการจัดงานรวมกว่า สามสัปดาห์เต็ม ทำให้พื้นที่ริมน้ำกกกลายเป็น “เมืองดอกไม้ชั่วคราว” ที่รองรับทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งเดินทางมาชมความงดงามของไม้ดอกเมืองหนาวและการตกแต่งภูมิทัศน์อย่างวิจิตร

ในบริบทนี้ บทบาทของสามล้อไม่ได้จำกัดอยู่แค่การ “ให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสาร” แต่ถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของ “ประสบการณ์การเยือนเชียงราย” ตั้งแต่ก้าวแรกที่นักท่องเที่ยวมาถึงในพื้นที่จัดงาน

อบจ.เชียงรายได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกสองส่วนสำคัญ ได้แก่

  • ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์งานบนสามล้อทุกคัน
    รถสามล้อจึงกลายเป็น “สื่อประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่” ที่วิ่งอยู่ทั่วตัวเมืองเชียงราย สร้างการรับรู้เกี่ยวกับงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนล่วงหน้า ทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวและคนเชียงรายเอง
  • จัดให้สามล้อให้บริการรับ-ส่งภายในบริเวณงาน
    ผู้ประกอบอาชีพสามล้อจะได้เข้าไปมีบทบาทเป็นระบบขนส่งขนาดเล็กภายในพื้นที่งาน ช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้ผู้เข้าชม ลดความหนาแน่นของรถยนต์ส่วนบุคคล และสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตดั้งเดิมกับงานเทศกาลสมัยใหม่อย่างลงตัว

ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของสามล้อจึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “ล้อรถ” แต่เป็นเรื่องของ “ภาพลักษณ์” และ “ประสบการณ์ร่วม” ที่ผู้มาเยือนจะได้รับในทุกจุดสัมผัสของงาน

สามล้อในฐานะ “ทูตวัฒนธรรม” ของเชียงราย

หนึ่งในประเด็นที่สะท้อนเจตนารมณ์ทางนโยบายได้อย่างชัดเจน คือการยกสถานะของสามล้อจาก “แรงงานขนส่ง” ไปสู่บทบาท “ทูตวัฒนธรรม” ของเมือง

จากคำชี้แจงของ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้มาพบปะกลุ่มสามล้อในครั้งนี้ ระบุถึงเป้าหมายสำคัญว่า นายก อบจ.เชียงราย “ต้องการให้ผู้ประกอบอาชีพสามล้อเข้ามามีบทบาทสำคัญในการต้อนรับนักท่องเที่ยว” พร้อมทั้งย้ำให้เห็นว่า สามล้อจะไม่เพียงทำหน้าที่รับ-ส่งนักท่องเที่ยวในเชิงบริการเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้มาเยือนจากทั่วโลก

คำกล่าวของรองนายกฯ เน้นย้ำชัดว่า การผลักดันบทบาทของสามล้อครั้งนี้

  • เป็นการ รักษาเสน่ห์ทางวัฒนธรรมและอาชีพดั้งเดิม
  • เป็นช่องทาง กระจายรายได้สู่ชุมชนฐานราก
  • เป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สามล้อไม่ได้เป็นเพียง “ภาพถ่ายสวย ๆ” ในโปสการ์ดหรือสื่อท่องเที่ยว แต่เป็น “เจ้าของเรื่องเล่า” ที่สามารถพูดคุย แนะนำสถานที่ และส่งต่อเรื่องราวเชียงรายให้กับผู้โดยสารแบบตัวต่อตัวในทุกการเดินทาง

กระจายรายได้–สร้างโอกาส สามล้อในเศรษฐกิจท้องถิ่นยุคใหม่

ในแง่เศรษฐกิจ การนำสามล้อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ ช่วยให้รายได้จากนักท่องเที่ยวไม่กระจุกตัวอยู่เพียงในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร หรือบริษัทนำเที่ยว หากแต่ไหลลงไปสู่แรงงานรับจ้างดั้งเดิม ซึ่งเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาคมากกว่า

การตัดสินใจของ อบจ.เชียงราย ที่ให้สามล้อเข้ามามีบทบาทในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของ “นโยบายเชิงพหุวัตถุประสงค์” ที่ตอบโจทย์ทั้ง

  • การอนุรักษ์ งานวัฒนธรรมดั้งเดิม
  • การสร้าง รายได้เสริมช่วงไฮซีซัน
  • การเพิ่ม คุณค่าทางประสบการณ์ ให้กับนักท่องเที่ยว

อาชีพสามล้อซึ่งเคยถูกมองว่าเสี่ยงต่อการหายไปตามการเติบโตของเมืองท่องเที่ยว เมื่อถูกเชื่อมโยงกับเทศกาลสำคัญและได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ก็มีโอกาสกลับมายืนอยู่ใน “โครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น” อย่างภาคภูมิ ไม่ได้เป็นเพียง “ภาพเก่าในความทรงจำ” ของผู้คนรุ่นก่อน

บทบาทภาครัฐท้องถิ่น จากผู้กำกับดูแล สู่ “พาร์ตเนอร์” ของแรงงานดั้งเดิม

กรณีของ อบจ.เชียงราย กับอาชีพสามล้อในครั้งนี้ ยังสะท้อนแนวโน้มสำคัญด้านการบริหารท้องถิ่น คือ การเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้กำกับดูแล” ไปสู่ “หุ้นส่วนการพัฒนา”

การจัดให้มีการพบปะผู้ประกอบอาชีพสามล้อเป็นประจำทุกเดือนธันวาคม ไม่เพียงเพื่อจัดการด้านเอกสารหรือการยืมรถเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางรับฟังเสียงของกลุ่มอาชีพที่มักเข้าไม่ถึงเวทีนโยบายระดับใหญ่ การย้ำความห่วงใยและคำขอบคุณอย่างเป็นทางการต่อผู้ประกอบการสามล้อ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้รู้สึกว่า “ไม่ได้ทำงานอยู่อย่างโดดเดี่ยว” หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมการพัฒนาเมืองอย่างแท้จริง

นโยบายหนุนสามล้อร่วมเป็นเจ้าบ้านในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน จึงไม่ใช่มาตรการระยะสั้นในเชิงพิธีกรรม แต่มีศักยภาพจะต่อยอดสู่

  • การอบรมพัฒนาทักษะด้านการบริการและการสื่อสารสำหรับผู้ขับสามล้อ
  • การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ใช้สามล้อเป็นพาหนะหลักในบางโซนของเมือง
  • การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวที่ผนวกบริการสามล้อเข้ากับกิจกรรมทางการท่องเที่ยวอื่น

แม้รายละเอียดเชิงนโยบายในขั้นต่อไปจะต้องอาศัยการหารือเพิ่มเติม แต่โครงร่างของวิธีคิดได้ชัดเจนแล้วว่า ภาครัฐท้องถิ่นไม่ได้มองสามล้อเป็นเพียง “ผู้ประกอบการรายย่อย” หากมองเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ในทิศทางการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายในภาพรวม

เชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สามล้อคือฟันเฟืองเล็กในเครื่องยนต์ใหญ่

เชียงรายในปัจจุบันไม่ได้ขายเฉพาะภูเขา ทะเลหมอก หรือดอกไม้เมืองหนาวเท่านั้น หากยังขาย “วิถีชีวิต” และ “เรื่องเล่า” ของผู้คนในพื้นที่ การทำให้สามล้อกลับมามีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในฤดูกาลท่องเที่ยว สอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวแบบ “Slow Travel” และ “Local Experience” ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากต้องการสัมผัส

เมื่อสามล้อได้รับการสนับสนุนให้ทำหน้าที่รับ-ส่งนักท่องเที่ยวในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 นักท่องเที่ยวไม่ได้เพียงเห็นดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างวิจิตร แต่ยังได้พูดคุยกับคนขับสามล้อ เรียนรู้เรื่องราวของเมือง ผ่านบทสนทนาระหว่างการเดินทางระยะสั้น นี่คือ “มิติที่ไม่อาจสร้างได้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว”

ในมุมของยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง การผนวกรวมสามล้อเข้ากับเทศกาลระดับอาเซียน ยังช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีชีวิต ไม่ใช่เพียงเมืองจัดงานอีเวนต์หรือแหล่งเช็กอินชั่วคราว

จากงานเทศกาลสู่ความยั่งยืน คำถามต่ออนาคตของอาชีพสามล้อเชียงราย

แม้การสนับสนุนสามล้อในช่วงก่อนและระหว่างงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะเป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างยิ่ง แต่คำถามเชิงนโยบายที่ยังต้องติดตามคือ

  • หลังจบเทศกาลแล้ว สามล้อจะยังได้รับบทบาทเชิงโครงสร้างในระบบท่องเที่ยวของเมืองต่อไปหรือไม่
  • จะมีการออกแบบเส้นทาง “ท่องเที่ยวเมืองเชียงรายด้วยสามล้อ” อย่างต่อเนื่องในช่วงอื่นของปีหรือไม่
  • ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จะร่วมกันออกแบบกลไกดูแลคุณภาพบริการและมาตรฐานความปลอดภัยอย่างไร เพื่อให้ภาพลักษณ์ของสามล้อในฐานะทูตวัฒนธรรมสามารถยืนระยะได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ดี จุดตั้งต้นที่เกิดขึ้นในวันนี้ – ตั้งแต่การต่อสัญญายืมรถสามล้อประจำปี การติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์งานบนสามล้อทุกคัน ไปจนถึงการจัดให้สามล้อเข้ามามีบทบาทในพื้นที่งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน – ล้วนสะท้อนว่า เชียงรายไม่ได้มุ่งเป็นเพียง “เมืองจัดงานดอกไม้” หากต้องการเป็นเมืองที่เติบโตอย่างไม่ทิ้งรากวัฒนธรรมของตนเองไว้ข้างหลัง

สามล้อ – เสน่ห์เล็ก ๆ ที่แบกรับภาพใหญ่ของเมืองเชียงราย

การตัดสินใจของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ และการขับเคลื่อนภารกิจโดยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ในการสนับสนุนอาชีพสามล้อให้มีบทบาทเชิงรุกในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 สะท้อนภาพของ “เมืองที่มองเห็นคุณค่าฟันเฟืองเล็ก ๆ” ในเครื่องจักรเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของตนเอง

สามล้ออาจเป็นเพียงพาหนะที่เคลื่อนตัวไม่เร็ว ไม่หรูหรา และรองรับผู้โดยสารได้ไม่มาก แต่กลับมี “ศักยภาพเชิงสัญลักษณ์” สูงกว่ายานพาหนะสมัยใหม่หลายประเภท เพราะทุกเที่ยวที่ออกตัว คือการพานักท่องเที่ยวเข้าใกล้ผู้คน วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเชียงรายอย่างแนบชิด

ในฤดูกาลดอกไม้ปลายปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง บทบาทของสามล้อจึงไม่ได้เป็นเพียง “ฉากประกอบ” หากเป็นส่วนสำคัญของ “เรื่องเล่าเชียงราย” ที่กำลังถูกเล่าซ้ำต่อสายตานักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศและทั่วโลก

ว่าเมืองเล็กริมกกแห่งนี้ ไม่ได้เติบโตด้วยการละทิ้งอดีต แต่เลือกจะเดินหน้าไปข้างหน้าโดย “พาคนตัวเล็ก ๆ ไปด้วยกัน”

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  •  “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย –
  • นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นักท่องเที่ยวจีนลด -35%! ไทยเสียจังหวะในเอเชีย ต้องสร้างเหตุผลใหม่ให้คนมาเยือน

วธ.เชียงรายเร่งค้นหา “UNSEEN THAI THAI” ปั้น Soft Power สู้ศึก Tourism War ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพระยะไกล

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568เชียงรายกำลังก้าวสู่สมรภูมิใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้แข่งกันเพียงตัวเลขนักท่องเที่ยวอีกต่อไป หากแต่แข่งกันด้วย “เรื่องเล่า ประสบการณ์ และคุณค่าทางวัฒนธรรม” ท่ามกลาง “Tourism War” ที่ทำให้ประเทศไทยเสียจังหวะให้กับเพื่อนบ้านในเอเชีย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) จึงเดินหน้าเร่งค้นหา “UNSEEN THAI THAI” เพื่อใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นหัวหอกสำคัญในการยกระดับจังหวัดสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มระยะไกลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ศึก Tourism War เมื่อไทยเริ่มเสียจังหวะในสนามท่องเที่ยวเอเชีย

แม้ไทยจะยังเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของโลก แต่ตัวเลขช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนภาพที่น่ากังวลอย่างชัดเจน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย “หดตัวราว -8% เมื่อเทียบกับปีก่อน” ในขณะที่เวียดนามเติบโตถึง +22% และจีนเติบโตสูงถึง +27% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

ตลาดหลักอย่าง “นักท่องเที่ยวจีน” ซึ่งเคยเป็นฟันเฟืองสำคัญ กลับลดลงมากถึง -35% สวนทางกับประเทศคู่แข่งที่เร่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ความทันสมัย และประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน มูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในไทยยังมีทิศทางชะลอตัว ในขณะที่ประเทศคู่แข่งกลับมีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า ไทยไม่สามารถพึ่ง “ชื่อเสียงเดิม” ได้อีกต่อไป หากต้องการฟื้นกลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาค จำเป็นต้องสร้าง “เหตุผลใหม่” ให้คนเดินทางมาเยือน และต้องทำให้การมาเที่ยวไทยในวันนี้ “ลึกกว่า ถูกกว่า และดีกว่าเดิม” ผ่าน Soft Power และการสร้างประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่แตกต่างจริง ๆ

นโยบาย “ไท ไทย” และแนวคิด UNSEEN THAI THAI  วัฒนธรรมที่มีชีวิตและสร้างมูลค่าได้

ภายใต้วิสัยทัศน์ของนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นโยบาย “ไท ไทย” ถูกกำหนดขึ้นเพื่อ “ยกระดับความเป็นไทยดั้งเดิม (Traditional Thai) ให้ผสานกับความร่วมสมัย (Contemporary Thai)” เปลี่ยนจากการมองวัฒนธรรมเป็นเพียงของเก่า หรือพิธีกรรมที่อยู่ในกรอบ ไปสู่การมองว่า “วัฒนธรรมคือทุน” ที่สามารถสร้างทั้งคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน

โครงการ “UNSEEN THAI THAI” จึงถูกออกแบบให้เป็นกลไกสำคัญในการค้นหา “ทุนทางวัฒนธรรมที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผย ไม่เคยถูกมองเห็น หรือยังไม่เคยถูกเข้าใจในเชิงลึก” ไม่ใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ แต่คือเรื่องราว ความหมาย และประสบการณ์ที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวของวิถีชีวิตไทย เพื่อแปลงให้กลายเป็นแลนด์มาร์กวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย แต่ยังคงเคารพรากเหง้าอย่างแท้จริง

ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน  จุดเริ่มต้นของการมองเชียงรายผ่านสายตาใหม่

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อสำรวจและค้นหา “ทุนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น” ภายใต้แนวคิด “UNSEEN THAI THAI” โดยเน้นทั้งวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ความเชื่อ และศิลปะของชุมชน

บ้านห้วยน้ำกืนไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะหมู่บ้านชนบท หากแต่ถูกมองใหม่ในฐานะพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า วิถีชีวิตดั้งเดิม และระบบความเชื่อที่สอดประสานกับธรรมชาติและภูมิประเทศ การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การ “สำรวจเพื่อทำรายการ” แต่คือการฟังเสียงชุมชน ค้นหาอัตลักษณ์ที่ชุมชนภาคภูมิใจ และมองหาโอกาสในการต่อยอดให้กลายเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้

เวทีคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” เชียงราย 18 อำเภอ 18 ทุนวัฒนธรรมหลากมิติ

วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2568) ที่ห้องพวงแสด ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ประจำปีงบประมาณ 2569 จังหวัดเชียงราย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงาน ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก

การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดเลือกทุนทางวัฒนธรรมตามนโยบาย “ไท ไทย” ที่ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดแนวทางไว้ชัดเจนว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” หมายถึงทรัพยากรทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต ค่านิยม ความเชื่อ และศิลปะของชุมชน ที่สามารถสืบสาน อนุรักษ์ และต่อยอดให้เกิดมูลค่าในมิติเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจได้อย่างยั่งยืน

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ประสานไปยังทุกอำเภอ ขอให้คัดเลือกทุนทางวัฒนธรรมอำเภอละอย่างน้อย 1 รายการ ส่งเข้าร่วมการคัดเลือกระดับจังหวัด ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า มีการส่งข้อมูลทุนทางวัฒนธรรมครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ เช่น

  • อำเภอเวียงป่าเป้า: วิถีชีวิตบ้านห้วยน้ำกืน
  • อำเภอเมืองเชียงราย: วิถีชีวิตบ้านลิไข่ และนาขั้นบันไดลิไข่
  • อำเภอเชียงแสน: พิธีบวงสรวงแกล้มเลี้ยงบรรพกษัตริย์ บรรพชน ไหว้อารักษ์ และพิธีกรรมสวดมนต์วัดร้าง
  • อำเภอเชียงของ: พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก และการเล่นลูกข่าง
  • อำเภอแม่จัน: บิณฑบาตพระขี่ม้า ประเพณีเขาะจะเว และพิธีกิ๋นอ้อผญาล้านนา
  • อำเภอพาน: ผีย่าหม้อนึ่ง
  • อำเภอเวียงแก่น: พิธีถวายหนังแดง (วันผีกิ๋นวัว)
  • อำเภอเวียงชัย: การสรงน้ำพระพุทธรูปโบราณ วัดโบราณเวียงเดิม
  • อำเภอเวียงเชียงรุ้ง: พิธีสู่ขวัญควาย
  • อำเภอแม่ฟ้าหลวง: ประเพณีปอยส่างลอง ปอยออกหว่า และประเพณี “อายก”
  • อำเภอแม่ลาว: ตาพย่านาเจ่อ นาบทือ ย่าง (การไหว้หอเสื้อบ้าน)
  • อำเภอพญาเม็งราย: พิธีสู่ขวัญ และการอ่านค่าว
  • อำเภอแม่สาย: ข้าวแรมฟืน หรือข้าวฟืน
  • อำเภอขุนตาล: โจ๊วตะโป่ดั๊บ (ต้มเต้าหู้)
  • อำเภอแม่สรวย: หลามบอน (แกงบอน)
  • อำเภอเทิง: ค่าวธรรม
  • อำเภอป่าแดด: อักษรธัมม์ล้านนา
  • และทุนทางวัฒนธรรมที่ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ: ตึ่งโนง (กองตึ่งโนงล้านนา)

รายชื่อเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เชียงรายไม่ได้มีเพียงภูเขา หมอก และกาแฟ หากแต่มี “ชั้นเชิงทางวัฒนธรรม” ที่ลึกและหลากหลาย ตั้งแต่พิธีกรรม ความเชื่อ อาหารพื้นบ้าน ตัวอักษรโบราณ ไปจนถึงประเพณีเฉพาะถิ่นที่หาไม่ได้จากที่อื่น หากสามารถถอดรหัสและเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ทุนเหล่านี้จะกลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

Soft Power กับบทบาทของเชียงราย เมืองวัฒนธรรมในโครงสร้างใหม่ของการท่องเที่ยวไทย

ในบริบทที่ไทยกำลังเผชิญศึก Tourism War การใช้ Soft Power และการสร้าง Brand Image ที่เน้น “ประสบการณ์ลึกซึ้ง” ถูกมองเป็นกลยุทธ์สำคัญ แนวคิดอย่าง “5 Must Do” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เน้นกิจกรรมและประสบการณ์เฉพาะ เช่น ต้องกิน ต้องเที่ยว ต้องสัมผัสวิถีท้องถิ่น กลายเป็นกรอบสำคัญในการออกแบบสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยวใหม่

เชียงรายในฐานะเมืองรองที่มีทั้งพื้นที่ภูเขา ชนเผ่าพื้นถิ่น พุทธศิลป์ล้านนา และวิถีชีวิตชายแดน มีศักยภาพสูงที่จะต่อยอดสู่การเป็น “เมืองประสบการณ์เชิงลึก” โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ต้องการเพียงภาพสวย ๆ แต่ต้องการเข้าไป “ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน” ผ่านกิจกรรมอย่าง Wellness, Micro-Retirement หรือการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้แบบเรียลจริง

การพัฒนา UNSEEN THAI THAI ในเชียงรายจึงเป็นมากกว่าการสร้างแหล่งเช็คอินใหม่ หากแต่เป็นการเตรียม “ภาษาวัฒนธรรม” ให้พร้อมใช้สื่อสารกับโลก ผ่านเรื่องเล่า แพลตฟอร์มดิจิทัล และประสบการณ์ตรงที่นักท่องเที่ยวจะนำกลับไปเล่าต่ออีกครั้ง

ตลาด Long Haul พุ่งทำสถิติใหม่  โอกาสทองของเมืองรองและชุมชนวัฒนธรรม

นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul) ในช่วงปี 2567–2569 ว่ากำลัง “ฟื้นตัวแรงกว่าช่วงก่อนโควิด” และสร้างสถิติใหม่ในหลายด้าน

ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เดินทางมาไทยรวม 9,790,056 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด พร้อมสร้างรายได้กว่า 588,632 ล้านบาท ซึ่งทำลายสถิติเดิมของปี 2562 ที่เคยเป็นปีดีที่สุด ตัวเลขนี้สะท้อนการกลับมาของ “กำลังซื้อระดับพรีเมียม” ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพประสบการณ์มากกว่าราคาที่ถูกเพียงอย่างเดียว

ททท.คาดว่าในปี 2568 นักท่องเที่ยวระยะไกลจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,096,052 คน เติบโต 13% จากปี 2567 และสร้างรายได้ราว 668,885 ล้านบาท ขณะที่ปี 2569 คาดว่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 11,666,600 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 700,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีกราว 10%

ข้อมูลจาก Expedia ยังระบุว่า “ความต้องการที่พักนอกเมืองท่องเที่ยวหลักเพิ่มขึ้นถึง 18%” ในปีที่ผ่านมา เมืองรองและชุมชนท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวจึงเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างชัดเจน กรณีศึกษาของเกาะสมุยที่ได้รับแรงส่งจากซีรีส์ต่างประเทศอย่าง White Lotus ทำให้ดีมานด์ของนักท่องเที่ยวอเมริกันเพิ่มขึ้น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้สื่อและ Soft Power เชื่อมโยงกับพื้นที่ปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ททท.จึงเสนอแนวคิดพัฒนา “เมืองรองแบบคลัสเตอร์” แทนการทำงานแบบเมืองเดี่ยว เช่น การเชื่อมโยง นครศรีธรรมราช–สุราษฎร์ธานี–สมุย–ขนอม โดยใช้สุราษฎร์ฯ เป็นฮับหลัก ซึ่งแนวคิดลักษณะนี้สามารถต่อยอดประยุกต์ใช้กับภาคเหนือได้เช่นกัน หากเชียงรายถูกออกแบบให้อยู่ในคลัสเตอร์เมืองวัฒนธรรม–ธรรมชาติร่วมกับจังหวัดรอบข้าง จะยิ่งเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่ต้องการเส้นทางใหม่ ๆ และประสบการณ์ที่ลึกกว่าเดิม

จากข้อมูลสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย  ทำไมเชียงรายต้องรีบ “ค้นหา” ก่อนถูกแซง

เมื่อนำภาพรวม Tourism War ตัวเลขการเติบโตของตลาด Long Haul และศักยภาพของทุนวัฒนธรรมเชียงรายมาพิจารณาร่วมกัน จะเห็นชัดว่า “เวลา” เป็นปัจจัยสำคัญ หากเชียงรายไม่เร่งแปรทุนทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าและประสบการณ์ท่องเที่ยวที่จับต้องได้ เมืองอื่นที่ขยับตัวเร็วกว่าอาจช่วงชิงความสนใจจากตลาดโลกไปก่อน

การจัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ระดับจังหวัด การเชิญทุกอำเภอส่งทุนวัฒนธรรมเข้าร่วม และการประชุมร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในวันนี้ จึงเป็นก้าวแรกในการ “จัดระเบียบทรัพยากรวัฒนธรรม” ให้ชัดเจนว่าเชียงรายมีอะไร อยู่ที่ไหน มีเรื่องเล่าอย่างไร และสามารถต่อยอดเป็นสินค้า หรือกิจกรรมท่องเที่ยวแบบไหนได้บ้าง

ในมุมของชุมชน การถูกมองเห็นในฐานะ “ทุนทางวัฒนธรรม” ยังช่วยสร้างความภาคภูมิใจ และเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่กลับมาสนใจรากเหง้าของตนเองมากขึ้น ขณะเดียวกัน หากมีการออกแบบระบบกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ชุมชนจะสามารถยืนอยู่ได้บนฐานเศรษฐกิจของตนเองอย่างยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาเพียงการเกษตรหรือแรงงานรับจ้างเพียงทางเดียว

เชียงรายบนเส้นทางจากเมืองชายแดน สู่เมืองประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ

เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด เชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของการพัฒนาเมืองในยุคที่การท่องเที่ยวโลกแข่งขันกันด้วย “ประสบการณ์และเรื่องเล่า” มากกว่าจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว

  • ฝั่งหนึ่ง โลกกำลังเปิดกว้างให้กับเมืองรองและชุมชนที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้ง
  • อีกฝั่งหนึ่ง ไทยกำลังถูกท้าทายจากทั้งเวียดนามและจีนในศึก Tourism War
  • พร้อมกันนั้น ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีกำลังซื้อสูงกำลังเติบโต และมองหาเป้าหมายใหม่ที่ให้ความหมายมากกว่าการท่องเที่ยวผิวเผิน

ท่ามกลางสมการที่ซับซ้อนนี้ การที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการ “UNSEEN THAI THAI” ลงพื้นที่สำรวจชุมชนอย่างบ้านห้วยน้ำกืน เปิดเวทีให้ 18 อำเภอส่งทุนวัฒนธรรมเข้าพิจารณา และจัดประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัดอย่างเป็นระบบ จึงไม่ใช่เพียง “งานเอกสารของราชการ” แต่คือการปักหมุดอนาคตเชียงรายบนแผนที่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของเอเชีย

หากเชียงรายสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมเหล่านี้ มาผสานกับแนวคิด Soft Power กลยุทธ์เมืองรองแบบคลัสเตอร์ และการเชื่อมโยงกับตลาด Long Haul ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องได้สำเร็จ เมื่อนั้นเชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองเหนือที่สวยงาม” แต่จะกลายเป็น “เมืองประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม” ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อ “เข้าใจ รู้สึก และจดจำ” มากกว่ามาเพียงเพื่อถ่ายรูปแล้วจากไป

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม (นโยบาย “ไท ไทย” และแนวทางคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI”)
  • บันทึกข้อมูลการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ประจำปีงบประมาณ 2569 จังหวัดเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) – ข้อมูลตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ปี 2567–2569 และทิศทางการพัฒนาเมืองรองแบบคลัสเตอร์
  • ข้อมูลเชิงสถิติพฤติกรรมการท่องเที่ยวจากแพลตฟอร์มออนไลน์ (Expedia) เกี่ยวกับแนวโน้มที่พักนอกเมืองท่องเที่ยวหลัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายชี้เป้า UNSEEN THAI THAI สู้ศึก Tourism War วธ.ดัน บ้านห้วยน้ำกืน สู่แบรนด์ ประสบการณ์ไทยคุณภาพ

เชียงรายชี้เป้า “UNSEEN THAI THAI” รับศึก Tourism War: วธ.เชียงรายลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืนยกระดับทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น สู่แบรนด์ประสบการณ์ไทยคุณภาพ

เชียงราย,19 พฤศจิกายน 2568 –  ท่ามกลางแรงกดดันของ “สงครามท่องเที่ยวเอเชีย” ซึ่งคู่แข่งเร่งสร้างแลนด์มาร์ก ผ่อนคลายวีซ่า หนุนการบินอย่างเป็นระบบ เชียงรายเลือก “อัตลักษณ์ชุมชน” เป็นหัวหอก วธ.เชียงรายลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืนเจาะลึกทุนทางวัฒนธรรม ภายใต้นโยบาย “ไท ไทย” ของกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อแปรความเป็นไทยดั้งเดิมให้ร่วมสมัยและสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ สังคม จิตใจ พร้อมตั้งโจทย์การตลาดท่องเที่ยวไทยยุคใหม่ที่ต้อง “แตกต่าง มีคุณค่า วัดผลได้” ขณะเดียวกัน ภาพรวมระดับประเทศยังต้องเร่งอุดจุดอ่อนด้านภาพลักษณ์ ความปลอดภัย มาตรฐานประสบการณ์ และโครงสร้างข้อมูล ให้ทันเกมรุกของภูมิภาคตามดัชนี TTDI 2024 กับความเป็น “ฮับการบิน” ที่กำลังก้าวหน้าแต่ยังต้องต่อยอดอย่างเป็นระบบ (เช่น SAT-1 และรันเวย์ที่ 3 ของสุวรรณภูมิ) เพื่อดึงตลาดคุณภาพกลับมาอย่างยั่งยืน

ฉากตั้งต้น เมื่อ “เรื่องเล่า” ต้องชนะ “ส่วนลด”

ในตลาดท่องเที่ยวเอเชียปี 2567–2568 หลายประเทศเดินเกมเข้มข้น ทั้งสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ขนาดใหญ่ (เช่น Zootopia ที่ Shanghai Disney) และยกระดับแหล่งเดิมให้เป็น “ประสบการณ์” มากกว่าการเที่ยวเชิงเช็คอิน (สิงคโปร์พัฒนา Rainforest Wild Asia และโครงการรีแบรนด์ปลายทางอย่างต่อเนื่อง) ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้า “นโยบายด้านการเดินทาง” ที่กระตุ้นดีมานด์ เช่น ยกเว้นวีซ่า ขยายเวลาพำนัก e-Visa วีซ่ากลุ่มพิเศษ ตลอดจนการเพิ่มความถี่และความเชื่อมต่อของเครือข่ายการบิน ซึ่งทำให้การตัดสินใจเดินทางของผู้คน “เร็ว ง่าย คุ้ม” กว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

ไทยเองมีชุดมาตรการปรับตัว ทั้งการขยายยกเว้นวีซ่า 60 วันให้กับหลายประเทศ และเปิด “Destination Thailand Visa (DTV)” เพื่อดึงดูดดิจิทัลโนแมด/ครีเอทีฟ รวมถึงการแพทย์เชิงคุณภาพและพำนักระยะยาว (LTR/Thailand Privilege) เพื่อขยายฐานนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง แต่ในโลกที่ทุกประเทศต่าง “จัดเต็ม” เชิงยุทธศาสตร์ การชนะด้วย “ราคา ส่วนลด” เพียงอย่างเดียวเริ่มเพดานต่ำลง—เมืองปลายทางต้อง “ขายคุณค่า” ผ่านเรื่องเล่า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และประสบการณ์ที่ลึกซึ้งจับต้องได้.

เหตุการณ์หลักในพื้นที่  วธ.เชียงราย “ลงมือ ลงพื้นที่” บ้านห้วยน้ำกืน

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) นำโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ลงพื้นที่ บ้านห้วยน้ำกืน ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า เพื่อตรวจสำรวจ “ทุนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น” ภายใต้แนวคิด “UNSEEN THAI THAI   อันซีน ไท ไทย เสน่ห์วัฒนธรรม จังหวัดเชียงราย” โดยเน้นความร่วมมือกับผู้นำชุมชน ภาคประชาชน เพื่อคัดเลือก “เรื่องเล่าที่มีชีวิต” (Living Heritage) ที่สามารถสืบสาน อนุรักษ์ และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ กิจกรรม ประสบการณ์เชิงท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืนในมิติ เศรษฐกิจ–สังคม–จิตใจ สอดคล้องนโยบาย “ไท ไทย” ที่มุ่ง “ยกระดับไทยดั้งเดิมให้ร่วมสมัย” ของกระทรวงวัฒนธรรม. (ข้อมูลจากประกาศ/รายงานของหน่วยงานท้องถิ่น)

การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีเป้าหมายเชิงปฏิบัติการ 3 ส่วน คือ

  1. การทำแผนที่ทุนวัฒนธรรม (Cultural Mapping)  ชี้จุดอัตลักษณ์ วิถี คติความเชื่อ ภูมิปัญญา ศิลปะพื้นถิ่น ที่ “เล่าได้ ขายได้ ยืนระยะได้”
  2. การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design)  แปลง “องค์ความรู้ท้องถิ่น” เป็นกิจกรรมเวิร์กช็อป/พิธีกรรม/งานหัตถกรรม/อาหารพื้นถิ่น ที่เชื่อมโยงกับเส้นทางท่องเที่ยวรอบพื้นที่
  3. การสร้างความพร้อมชุมชน (Capacity Building)  ยกระดับมาตรฐานบริการ ความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก พิธีการต้อนรับหลายภาษา และการสื่อสารดิจิทัล เพื่อรองรับตลาดคุณภาพ/พักยาว

 หากประเทศคู่แข่ง “เร่งสร้างที่เที่ยวใหม่” ไทยต้อง “เล่าและจัดการของเดิมให้เป็นใหม่” จนเกิดคุณค่าที่เหนือราคา—และเชียงรายกำลังพิสูจน์สมมติฐานนี้ผ่าน UNSEEN THAI THAI บนฐานชุมชนจริง

ไทม์ไลน์  จากนโยบาย “ไท ไทย” สู่ปฏิบัติการในหมู่บ้าน

  • ก่อนหน้า 2568  กระทรวงวัฒนธรรมวางวิสัยทัศน์ “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน” และชูแนวคิด “ไท ไทย” เพื่อยกระดับความเป็นไทยดั้งเดิม (Traditional Thai) ให้สอดรับกับความร่วมสมัย (Contemporary Thai) ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์/ซอฟต์พาวเวอร์
  • 2567–2568 (ระดับภูมิภาค)  ประเทศคู่แข่งในเอเชียเปิดแลนด์มาร์ก/ธีมแลนด์ ยกเครื่องวีซ่า หนุนเครือข่ายการบิน เร่งทำคอนเทนต์/อินฟลูเอนเซอร์อย่างเป็นระบบ ทำให้การแข่งขันดุเดือด (เช่น จีนเปิด Zootopia แห่งแรกของโลกที่เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์รีสอร์ต; สิงคโปร์เดินหน้ากลุ่มโครงการ Mandai และแหล่งเรียนรู้ทางทะเลขนาดใหญ่)
  • 18 พ.ย. 2568 (ระดับพื้นที่)  วธ.เชียงรายลงพื้นที่ บ้านห้วยน้ำกืน ทำ Cultural Mapping จุดประกายเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน วางแผนกิจกรรมร่วมกับผู้นำหมู่บ้าน เพื่อคัดเลือก “แพ็กเกจประสบการณ์” ที่เปิดขายได้จริง (เช่น เวิร์กช็อปหัตถกรรม, พิธีกรรมท้องถิ่นที่เคารบวิถี, อาหารพื้นถิ่นเล่าเรื่อง)
  • หลังการลงพื้นที่ (ก้าวถัดไป)  บูรณาการกับ อปท./ททท./เอกชนทัวร์/OTA เพื่อจัดทำ “สินค้า เส้นทาง ปฏิทินกิจกรรม” แบบ ทดลองขาย (pilot) พร้อมสร้างตัวชี้วัด (KPI) ด้านรายได้ชุมชน การจ้างงาน การยืดระยะพำนัก คะแนนประสบการณ์ (CSAT/NPS) และอัตราการกลับมาเยือนซ้ำ

ภาพใหญ่ประเทศ  ทำไมไทย “ต้องเร่ง” วางยุทธศาสตร์ยาว

  1. ความสามารถในการแข่งขันเชิงระบบ
    ดัชนี Travel & Tourism Development Index 2024 โดย World Economic Forum จัดอันดับภาพรวม “ความพร้อมและสภาพแวดล้อม” ด้านท่องเที่ยวของประเทศ—ไทยยังอยู่หลังคู่แข่งหลายด้าน โดยเฉพาะ ความยั่งยืน ความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานเชิงระบบ ซึ่งสะท้อนว่าต่อให้ทรัพยากรท่องเที่ยวโดดเด่น หากระบบบริหารจัดการยัง “ไม่เข้มแข็งพอ” ไทยจะเสียเปรียบในศึกยืดเยื้อ
  2. เครือข่ายการบินและศักยภาพฮับ
    รายงาน OAG Megahubs สะท้อนความเข้มแข็งของจุดเชื่อมต่อการบินระดับโลก โดย กัวลาลัมเปอร์ (KUL) และ อินชอน (ICN) ทำผลงานโดดเด่นขึ้นติดท็อป ขณะที่ สุวรรณภูมิ (BKK) ขยับอันดับดีขึ้นตามการเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง SAT-1 และ “รันเวย์ที่ 3” ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรับ กระจายผู้โดยสารระหว่างประเทศ แต่เพื่อให้กลายเป็น “แม่เหล็กจริง” ไทยต้องเชื่อมจิ๊กซอว์ การตลาด วีซ่า ตารางบิน การกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง อย่างมีแผนเดียวทั้งระบบ
  3. นโยบายวีซ่า ผลิตภัณฑ์วีซ่าพิเศษ
    ไทยประกาศผ่อนคลายกฎวีซ่าหลายระลอก และเปิด DTV เจาะกลุ่มดิจิทัลโนแมด/ครีเอทีฟ พร้อมวีซ่าระยะยาว/การแพทย์ เพื่อดึงกำลังซื้อคุณภาพ—ทิศทางนี้ “ถูกทาง” แต่ต้อง บูรณาการสื่อสาร จัดเส้นทาง ยกระดับประสบการณ์ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริง มิฉะนั้นจะ “เปิดประตูติดป้ายต้อนรับ” แต่คนยังไม่เข้า เพราะเรื่องเล่ายังไม่ชัด สินค้ายังไม่พร้อม.

เชื่อมโยงเชียงรายกับสงครามท่องเที่ยว  How to Win

เชียงราย มีจุดแข็งชัดเจนด้าน ความปลอดภัย ธรรมชาติ วัฒนธรรม ความเป็นเมืองพำนัก (long-stay) และกำลังสร้าง “คาแรกเตอร์เมือง” ที่ตอบโจทย์เส้นทางภาคเหนือและสามเหลี่ยมทองคำ การที่ วธ.เชียงรายนำ UNSEEN THAI THAI ลงชุมชนจริง—คือการกำหนด ประสบการณ์หลัก” ที่ขายได้ยาว และไม่ชนตรงกับจุดขายส่วนลดของคู่แข่ง โดยโฟกัส 4 ยุทธศาสตร์ต่อไปนี้

  1. Differentiation by Culture
    ลงทุนกับ “เรื่องเล่าอัตลักษณ์” เช่น พิธี อาหาร งานช่าง ดนตรี ผ้าทอ ความเชื่อ—เลือกเฉพาะที่ “เล่าได้ ถ่ายทอดได้ เป็นธรรมชาติของชุมชน” แล้วออกแบบเป็นประสบการณ์ Must Try/Must See ที่ไม่ซ้ำเมืองไหน (เช่น “เช้า สัมผัสวิถี/สาย ลงมือทำ/บ่าย แลกเปลี่ยนภูมิปัญญา/เย็น ร่วมพิธีท้องถิ่น/ค่ำ ดูฟ้าและเรื่องเล่า/นอนโฮมสเตย์มาตรฐาน”)
  2. Quality First, Then Quantity
    ตั้ง KPI เป็น รายได้ต่อหัว ระยะพำนัก สัดส่วนกิจกรรมคุณค่า” แทนการไล่ตัวเลขคนเข้าเมือง ยกระดับมาตรฐานไมโครบีดดิ้ง (ภาษา/ความปลอดภัย/สุขอนามัย/ข้อมูลโภชนาการ/การเข้าถึงสำหรับผู้พิการ) เพื่อให้ตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ยุโรป “รู้สึกคุ้มที่จะจ่ายเพิ่ม”
  3. Route Design & Distribution
    เชื่อมเชียงรายกับ แพ็กเกจข้ามจังหวัด และ เส้นทาง thematic (เช่น “ชา กาแฟ ผ้าพื้นเมือง”, “เวียง วัด วิถี”, “สุขภาพ สมาธิ สมุนไพร”) แล้วกระจายผ่าน OTA/เอเยนต์ สื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์เฉพาะกลุ่ม (คราฟต์/ถ่ายภาพ/กาแฟ/สายครอบครัว/ผู้สูงวัยกำลังซื้อสูง)
  4. Data-Driven & Continuous Improvement
    วัดผลแบบเรียลไทม์  รายได้ชุมชน, การจ้างงาน, CSAT/NPS, Net Benefit ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม, และปริมาณเนื้อหาที่ถูกบอกต่อ (UGC) เพื่อ “ปรับสูตร เพิ่มคุณค่า ลดรอยรั่ว” อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่าง “แพ็กเกจประสบการณ์” ที่ทำได้จริง (Draft)

  • Craft & Spirit  เวิร์กช็อปงานช่าง/ผ้าทอ/เครื่องเงิน + เรื่องเล่าคติความเชื่อ + พิธีขอบคุณป่า/น้ำ ตามมารยาทชุมชน
  • Food & Faith  ทำอาหารพื้นถิ่น “กับข้าวเล่าประวัติ” + ลองปลูก เก็บ ปรุง + เส้นทางวัด เวียง ชุมชน
  • Quiet Wellness  สมาธิยามเช้า เดินป่าเบา ๆ อาบไอหมอก สมุนไพรพื้นบ้าน สปาไทยร่วมสมัย
  • Photo & Story  จุดชมวิว แสงเช้า/เย็น คลาสเล่าเรื่องถ่ายภาพ งานเล็ก ๆ ในชุมชน

ทุกโปรแกรมต้องมี มาตรฐานความปลอดภัย การแยกขยะ การใช้น้ำ การจัดการฝุ่น/ควัน และ แนวปฏิบัติสำหรับแขก (do & don’t) ที่เข้าใจง่ายหลายภาษา พร้อม ป้ายอักษรเบรลล์/สัญลักษณ์สากล และ เส้นทางสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ เพื่อรองรับ Friendly Design ให้เป็นปลายทางที่ “ทุกคนเข้าถึงได้”.

บทเรียนจากคู่แข่ง  โครงสร้างและการสื่อสารสำคัญพอ ๆ กับแหล่งท่องเที่ยว

  • สิงคโปร์ เดินหน้าสร้าง “คาแรกเตอร์เมือง” ผ่านแบรนด์ท่องเที่ยวระดับประเทศและการลงทุนในแลนด์มาร์ก/พิพิธภัณฑ์/สวนเชิงเรียนรู้ พร้อมทำงานแบบ รัฐ เอกชนร่วม ยกระดับประสบการณ์ทุกจุดสัมผัส (จากสนามบินสู่ย่านสร้างสรรค์)
  • จีน ใช้ “ธีมแลนด์ เมืองหิมะ เมืองโบราณรีโนเวต” เป็นแม่เหล็กเพื่อยืดฤดูกาลและเพิ่มกิจกรรมเชิงประสบการณ์ พร้อมผ่อนคลายวีซ่าบางส่วน—เป็นสัญญาณว่าประเทศที่เคยพึ่งทรัพยากรธรรมชาติ ก็กำลัง “สร้างของใหม่” แข่งเช่นกัน
  • ไทย เองกำลังก้าวหน้าในฝั่งโครงสร้างสนามบิน (SAT-1/รันเวย์ที่ 3) ซึ่งช่วยเรื่องการเชื่อมต่อ แต่อีกฟากคือ “การจัดการปลายทาง” ตั้งแต่ ความปลอดภัย การสื่อสารหลายภาษา มาตรฐานบริการ การจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบข้อมูล ที่ยังต้องเร่ง “ทำให้แน่น” ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัด TTDI ที่ยังเป็นจุดอ่อน

มุมข้อมูล ตัวเลข “ชวนคิด” (สำหรับผู้กำหนดยุทธศาสตร์)

  • TTDI 2024 ชี้ไทยยังมีช่องว่างสำคัญด้าน Enabling Environment/ความยั่งยืน/โครงสร้างพื้นฐาน เมื่อเทียบคู่แข่ง—สะท้อนว่าการพึ่ง “ชื่อเสียงปลายทาง” อย่างเดียวไม่พอ ต้องยกระดับระบบและมาตรฐานพร้อมกัน
  • เครือข่ายการบิน  การขยับอันดับ Megahubs ของสุวรรณภูมิเป็นสัญญาณบวก—แต่ “การเชื่อมต่อเที่ยวบิน” ควรไปพร้อมกับ “สินค้าที่พร้อมขาย” ของเมืองรอง เช่น เชียงราย เพื่อแปลงผู้โดยสารต่อเครื่องเป็น “ผู้มาเยือนคุณภาพ”
  • วีซ่า/ผลิตภัณฑ์วีซ่า  มาตรการ 60 วัน และ DTV จะเกิดผลสูงสุดต่อเมื่อมี แพ็กเกจ ประสบการณ์ ระบบรับรองมาตรฐาน ให้กลุ่มดิจิทัลโนแมด/ระยะยาวตัดสินใจได้ทันที—ไม่ใช่เพียง “ขอมาแล้วค่อยหา”.

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการจัดการ (สำหรับจังหวัดและหน่วยงานร่วม)

  1. DMO เชียงรายแบบเบา-คล่อง (Light-DMO)
    จัดตั้งคณะทำงานข้ามหน่วย (วธ.–ททท.–อปท.–เอกชน–ชุมชน–สถาบันการศึกษา) ทำหน้าที่ ออกแบบเส้นทาง บ่มเพาะผู้ประกอบการชุมชน ทำการตลาดร่วม วัดผล รายงานสาธารณะ รายไตรมาส
  2. มาตรฐานประสบการณ์ & Friendly Design
    กำหนดมาตรฐานบริการ (ภาษา/ความปลอดภัย/สุขอนามัย/อาหารแพ้อาหาร/แคชเลส/การเข้าถึงสำหรับผู้พิการ) พร้อมอบรมชุมชนและผู้ประกอบการ และทำ “ตรารับรอง” จังหวัด
  3. Data Lake ท่องเที่ยวเชียงราย
    รวมข้อมูลการจอง/เส้นทางยอดนิยม/การใช้จ่าย/รีวิว/CSAT/NPS/ปัญหาระหว่างเดินทาง สู่แดชบอร์ดสาธารณะจังหวัด เพื่อให้ทุกภาคส่วน วางแผน ปรับทัพ บูรณาการงบ ได้บนข้อเท็จจริงเดียวกัน
  4. Prototype → Scale
    เริ่มจาก บ้านห้วยน้ำกืน เป็นพื้นที่ต้นแบบ “UNSEEN THAI THAI” แล้วขยายสู่หมู่บ้านรอบข้าง แบบ “วงแหวน” (Ring Strategy) เพื่อให้ ทรัพยากร รายได้ คน กิจกรรม กระจายตัว ไม่กระจุกจุดเดียว
  5. การสื่อสารเชิงแบรนด์ร่วม
    จัดทำ “Brand Book เชียงราย UNSEEN THAI THAI” ระบุโทนภาษา ภาพ จริยธรรมการท่องเที่ยว do & don’t แนวถ่ายภาพที่เคารพชุมชน และ Content Calendar ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์เชิงคุณภาพ (ไม่เน้นไวรัลที่ผิดบริบทวัฒนธรรม)

ชนะด้วย “คุณค่าที่วัดผลได้”

การที่ วธ.เชียงราย ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน มิใช่เพียง “กิจกรรมเชิงพิธีการ” แต่เป็นการ พลิกโจทย์ ศึกท่องเที่ยวจากการแข่ง “จำนวน ส่วนลด” ไปสู่การแข่ง “คุณค่า ประสบการณ์ ความยั่งยืน” หากทำต่อเนื่องและวัดผลได้จริง เชียงรายจะกลายเป็น ต้นแบบเส้นทางวัฒนธรรมร่วมสมัย ที่ช่วยให้ไทย ยืดระยะพำนัก เพิ่มรายได้ต่อหัว สร้างงานท้องถิ่น รักษาทรัพยากร และ “เล่าเรื่องไทย” ให้คนทั้งโลกเข้าใจในแบบที่สัมผัสได้

และในภาพใหญ่ระดับประเทศ ไทยจำเป็นต้อง เดินสองขา ไปพร้อมกัน

  • ขาโครงสร้าง นโยบาย  วีซ่า เครือข่ายบิน มาตรฐาน ข้อมูล ความปลอดภัย DMO
  • ขาประสบการณ์ แบรนด์  UNSEEN THAI THAI/Soft Power/เรื่องเล่า/เส้นทางใหม่/กิจกรรมเชิงเรียนรู้

เมื่อ “โครงสร้าง” หนุน “เรื่องเล่า” และ “เรื่องเล่า” กลับไปขับ “โครงสร้าง” อย่างต่อเนื่อง ประเทศจะไม่ต้องเผชิญ Tourism War ด้วย “ราคา” อีกต่อไป แต่จะชนะด้วย “ความหมายและคุณค่า” ที่ผู้มาเยือนยินดีจ่าย—และอยากกลับมาอีก

ภาคผนวก  ไทม์ไลน์ย่อ   ปฏิบัติการเชื่อมโยงพื้นที่ นโยบาย

  • ก่อน 2568: กระทรวงวัฒนธรรมวางกรอบ “ไท ไทย” ขับเคลื่อน Soft Power ไทย
  • ต้น–กลาง 2568: ประเทศคู่แข่งเร่งเปิดแลนด์มาร์ก/เพิ่มเครือข่ายบิน/เดินหน้าวีซ่า อีเวนต์ยักษ์
  • ต.ค.–พ.ย. 2568: เชียงรายเร่งสำรวจทุนวัฒนธรรม แปลงสู่แผนเส้นทาง กิจกรรมชุมชน
  • 18 พ.ย. 2568: วธ. เชียงรายลงพื้นที่ บ้านห้วยน้ำกืน ทำ Cultural Mapping ดีไซน์ประสบการณ์
  • ปลาย 2568–ต้น 2569: ทดลองแพ็กเกจ/ตั้งตัวชี้วัด/ฟังเสียงผู้มาเยือน ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • ตลอด 2569: ขยายวงต้นแบบ ยกระดับมาตรฐาน ต่อยอดสู่ปฏิทินกิจกรรมเมืองรอง

ข้อมูลเหตุการณ์ภาคสนามใน จ.เชียงราย รวมถึงรายชื่อผู้ปฏิบัติงาน/วันเวลา/สถานที่ ลงพื้นที่ ฯลฯ อ้างอิงจากชุดข้อมูลที่ผู้ส่งข่าวจัดเตรียมให้โดยตรง (แหล่งข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ซึ่งผู้เขียนใช้เป็น “แกนหลัก” ในการเรียบเรียงไทม์ไลน์ และเชื่อมโยงกับแหล่งอ้างอิงสาธารณะระดับประเทศ/ภูมิภาคด้านนโยบายท่องเที่ยวและโครงสร้างเชิงระบบตามที่ระบุข้างต้น

บทความนี้ยึดหลัก ความเป็นกลาง ตรวจสอบได้ เคารพชุมชน เนื้อหาเชื่อมโยง “ข้อเท็จจริงพื้นที่” กับ “บริบทเชิงนโยบาย” เพื่อให้ผู้อ่านเชิงลึกสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงงาน/เชิงนโยบาย โดยหลีกเลี่ยงการคาดเดาตัวเลขนอกเหนือแหล่งอ้างอิงสาธารณะ และเสนอแนวปฏิบัติที่ จับต้องได้ วัดผลได้ ยืดหยุ่น ต่อสถานการณ์.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Economic Forum. Travel & Tourism Development Index 2024
  • OAG. Megahubs Index
  • Shanghai Disney Resort. Zootopia Land
  • Mandai Wildlife Group / National Geographic
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไม้ดอกอาเซียนเชียงราย อบจ. ดันธีม “สายนทีแห่งศรัทธา” ยกระดับเป็นศูนย์กลาง Creative Tourism ล้านนา

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 “สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” ยกระดับงานดอกไม้สู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของล้านนา

เชียงราย, 18 พฤศจิกายน 2568 — เวทีแถลงข่าวที่บอกเล่าความพร้อมของทั้งเมือง บนเวทีอาคารคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) บรรยากาศของการแถลงข่าว “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiang Rai Flower and Art Festival 2025” เริ่มต้นด้วยถ้อยคำเชิญชวนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง ภายใต้แนวคิดใหญ่ “สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” ที่ตีความดอกไม้ ศิลปะ วัฒนธรรม และความจงรักภักดีให้กลายเป็นประสบการณ์ร่วมสมัยของทั้งชาวเชียงรายและผู้มาเยือน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำทีมผู้แทนหน่วยงานหลักด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของจังหวัด ได้แก่ นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย, นางสาวยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานเชียงราย และนายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ขึ้นเวทีสนทนาเพื่ออธิบาย “ภาพใหญ่” ของงานปีนี้และผลเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น กิจกรรมหลักถูกประกาศอย่างชัดเจนว่า จัดระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569สวนไม้งามริมน้ำกก พร้อม “กระจายความศรัทธา” สู่ โซนอำเภอเวียงชัย (สวนสาธารณะหนองหลวง) และ โซนอำเภอแม่สาย (วัดถ้ำเสาหินพญานาค) เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว รายได้ และโอกาสทางเศรษฐกิจตลอดทั้งเทศกาลปลายปี

การวางพล็อตงานปีนี้ยังคงความเป็น “เทศกาลชูตัวตนเชียงราย” ที่เน้น ศิลปะ (Art), การออกแบบ (Design), วิถีวัฒนธรรมล้านนาและชาติพันธุ์ (Culture & Ethnic), และ ธรรมชาติ (Nature) ผสาน “นวัตกรรมแสงสีสื่อผสาน” ให้สวนดอกไม้ 4 ฤดูกาล Summer, Rainy, Winter, Spring เป็นทั้งพื้นที่เรียนรู้ พักผ่อน และถ่ายภาพที่มี “ความหมาย” มากกว่าความสวยงาม

สารหลัก ของงานปีนี้ คือ ความทรงจำร่วม” ที่ให้ผู้เข้าชมเดินทางผ่าน “แสงสะท้อนแห่งฤดูกาล” เห็นความหวัง ความอุดมสมบูรณ์ ความเงียบสงบ และการฟื้นคืนชีพ ก่อนกลับออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ คลี่คลายความคิด และอยากย้อนคืนอีกครั้งในปีถัดไป

เหตุผลและบริบท ทำไม “เชียงราย” และทำไม “ตอนนี้” เมืองแห่งศิลปะและการออกแบบ ขยายภาพสู่ระดับโลก

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชียงรายถูกผลักดันสู่ภาพจำใหม่ของ “เมืองศิลปะและการออกแบบ” อย่างจริงจัง ฐานทุนสำคัญคือชุมชนศิลปินร่วมสมัย แหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะระดับชาติ (เช่น วัดร่องขุ่น บ้านดำ วัดร่องเสือเต้น ฯลฯ) และ “ดีเอ็นเอล้านนา” ที่กลั่นออกมาเป็นสถาปัตยกรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น เสริมให้เชียงรายมีกรอบเรื่องเล่าที่ชัดเจนต่อโลกของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

นัยสำคัญอีกประการคือ เชียงรายได้รับการประกาศในเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) ด้านการออกแบบในปี 2566 ตามรายชื่อเมืองใหม่ที่ประกาศเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งได้รับการเผยแพร่โดยยูเนสโกและสื่อไทยหลายสำนักในห้วงเวลาเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนี้เป็นเสมือน “ตราประทับ” ยืนยันจุดยืนทางกลยุทธ์ให้เชียงรายเดินหน้าใช้ Design Economy และ Creative Tourism เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนระยะยาว

ความต่อเนื่องของเทศกาลและพัฒนาการแบบ “ยกมาตรฐาน”

งานดอกไม้เชียงรายมิใช่อีเวนต์เกิดใหม่ หากแต่สะสมความนิยมมาหลายปี ปีก่อนหน้า (2567–2568) ก็จัดในช่วงกลางธันวาคมต่อเนื่องถึงต้นมกราคม แนวคิดการจัด 4 โซน/4 ฤดูกาล และการใช้พื้นที่สวนไม้งามริมน้ำกกเป็นแกนกลางได้รับการยืนยันผ่านช่องทางสาธารณะหลายแห่งของจังหวัดและผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ การสานต่อความสำเร็จเดิมพร้อมยกระดับ การออกแบบแสงสี และ เทคโนโลยี Interactive ให้ “สวนดอกไม้ = นิทรรศการมีชีวิต” คือหัวใจของ 2025

เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยกลับมา และภาคเหนือยังเติบโต

ภาพรวมระดับประเทศ ปี 2567–2568 คือห้วงเวลาที่การท่องเที่ยวไทยทยอยฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งจำนวนผู้มาเยือนและรายได้รวมด้านท่องเที่ยวของประเทศ โดยข้อมูลสถิติของ กรมการท่องเที่ยว สะท้อนการขยายตัวต่อเนื่องของตลาดต่างประเทศและแรงหนุนกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์/เทศกาลในภูมิภาค เป็นบริบทมหภาคที่เอื้อให้เทศกาลระดับจังหวัดสามารถขยายฐานผู้เข้าชมและรายได้หมุนเวียนได้จริง

 “เชื่อมเครือข่าย” อีเวนต์นานาชาติและ MICE

เชียงรายกำลังสถาปนาบทบาทเจ้าภาพการประชุม/เสวนานานาชาติด้านการตลาดปลายทางการท่องเที่ยว เช่น PATA Destination Marketing Forum 2025 ที่จังหวัดอยู่ระหว่างการประสานความร่วมมือกับภาคีท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (PATA) ซึ่งได้มีการสื่อสารเชิงนโยบายและการเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพผ่านช่องทางราชการของจังหวัดในปี 2568 ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณของการ “ยกสเตจ” เชียงรายสู่เรดาร์โลกด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

เรื่องเล่าหลัก เมื่อ “สายนที” พาเดินผ่าน 4 ฤดูกาล

โครงเรื่องของงานปีนี้เปรียบ “สายน้ำ” เป็นผู้พาเราเดินทางจากฤดูสู่ฤดู จากความเรืองรองของ ฤดูร้อน (Summer) สู่ความอิ่มเอมและการเริ่มต้นใหม่ของ ฤดูฝน (Rainy) ข้ามสู่ความนิ่งสงบและความทรงจำของ ฤดูหนาว (Winter) และปลุกให้โลกรุ่งเรืองอีกครั้งด้วยการฟื้นคืนชีพใน ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) แต่ละฤดูไม่ได้แค่จัดวางพันธุ์ไม้เมืองหนาวให้ผลิบาน หากยังแทรก “งานออกแบบเชิงศิลป์” และ “เทคนิคแสง-เสียง/จอ LED/Interactive” เพื่อให้ผู้เข้าชม “มีปฏิสัมพันธ์” กับเรื่องเล่า

  • Summer — Reflection of Rainbow ซุ้มประตูศิลป์ “สายรุ้ง” เปิดม่านสู่อาณาบริเวณของแสงและความหวัง พื้นที่นี้จะเล่า พลังแห่งการเริ่มต้นใหม่ พร้อม ทุ่งทานตะวัน และผังสวนที่ “ไหล” เหมือนสายน้ำ
  • Rainy — Symphony of the Rain ฟัง “เสียงฝน” ในฐานะ ซิมโฟนีของชีวิตเล็กๆ ที่ตื่นขึ้น การจัดแสงที่แปลงหยาดฝนให้เป็น “จังหวะ” สร้าง เกมแสง Interactive ที่ผู้ชมกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลป์
  • Winter — Monuments of Memory ภูเขาแห่งฤดูหนาว บ้านหิมะ และความนิ่งสงบ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้ ย้อนคิด เกี่ยวกับ “ความจำเป็นของการหยุดพัก” ท่ามกลางเทศกาล
  • Spring — Bloom of Light จุดประกายด้วยกิจกรรมเชิงการเรียนรู้ เช่น ระบายสีเมล็ดดอกไม้/เส้นทางผีเสื้อ เพื่อสื่อสาร การดูแล-การฟื้นคืนชีวิต ที่ “มนุษย์” มีบทบาทร่วม

เนื้อหาเชิงสัญลักษณ์แฝงประเด็น ศรัทธาและความจงรักภักดี” ผ่านนิทรรศการพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้ผู้เข้าชม น้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมกิจกรรมวัฒนธรรมชาติพันธุ์กว่า 17 กลุ่ม บน “ข่วงวัฒนธรรม” ซึ่งจะมีทั้งการแสดง การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ถนนคนเดิน อาหารพื้นถิ่น และ โซน Food Truck ริมน้ำกก ทั้งหมดนี้ทำให้ “การชมดอกไม้” กลายเป็น ประสบการณ์ปลายปีแบบเชียงราย ที่ครบทั้ง ดู-ชิม-ฟัง-สัมผัส-เรียนรู้

เศรษฐกิจท้องถิ่น ตัวคูณรายได้ที่จับต้องได้

สิ่งที่น่าสนใจในเวทีแถลงข่าว คือการพูดคุยเชิงตัวเลขของภาคเศรษฐกิจเชียงราย โดยผู้แทนหอการค้าระบุภาพรวมว่า โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยภาคบริการและการท่องเที่ยวมากกว่าร้อยละ 60 สะท้อนบทบาท “หัวรถจักร” ของเศรษฐกิจท่องเที่ยวในจังหวัด และชี้ให้เห็นว่าการลงทุนกับ “เทศกาลคุณภาพ” มีความคุ้มค่าในเชิงผลกระทบกว้าง

จากประสบการณ์ปีก่อนหน้า ทีมผู้จัดให้ข้อมูลว่าพื้นที่ ริมกก ต้อนรับผู้เข้าชมรวม กว่า 700,000 คน ในช่วงกว่า 20 วันของการจัดงาน และผู้ค้าจำนวนมากมีรายได้ หลักหมื่นบาทต่อวัน นี่คือ “หลักฐานภาคสนาม” ว่าการจัดเทศกาลที่ออกแบบดี เชื่อมโยง ศิลปะ-วัฒนธรรม-อาหาร-ชุมชน-การค้า สามารถสร้าง วงจรรายได้ท้องถิ่น ที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงความสวยริมภาพถ่าย

ในปี 2025 นี้ ออกแบบการกระจายพื้นที่จัดงานสู่ อำเภอเวียงชัย (หนองหลวง) และ อำเภอแม่สาย (วัดถ้ำเสาหินพญานาค) เพื่อให้เกิด การกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และลดความแออัดในพื้นที่หลัก ขณะเดียวกันก็เพิ่ม จุดผลักดันเศรษฐกิจ ให้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โฮมสเตย์ ที่พัก และผู้ประกอบการท้องถิ่นในวงกว้างมีโอกาสรับรายได้จากเทศกาล

“3 อีเวนต์ใหญ่” ขับเคลื่อนภาพเมืองในสัปดาห์เดียวกัน

เพื่อยกระดับ “แรงดึงดูด” และ ยืดระยะพำนัก (Length of Stay) จังหวัดและ อบจ.เชียงราย เสริม สามอีเวนต์ขนาน ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2568 ได้แก่

  1. การแข่งขันฟุตบอลอาวุโส อบจ.คัพ ชิงแชมป์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2568 ถ้วยพระราชทาน จัด 12–17 ธันวาคม 2568 (พิธีเปิด 17 ธันวาคม ณ สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย)
  2. การประชุมทางวิชาการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวข้อ “พลังขับเคลื่อนสู่บริการสาธารณะที่ดี และมีคุณธรรม” 17–19 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  3. ต่อเนื่องด้วย มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก และสองโซนภาคขยาย

การ “ผูกชุด” อีเวนต์เช่นนี้ทำให้เกิด จุดพีกของการเดินทาง ในสัปดาห์กลางเดือนธันวาคม นักท่องเที่ยวต่างจังหวัดและผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วประเทศมีเหตุผลในการ “อยู่ต่ออีก 2–3 คืน” เพื่อชมดอกไม้และท่องเที่ยวรอบเมือง ส่งผลเชิงบวกต่อ อัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ รายได้เฉลี่ยต่อทริป ของผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และบริการท่องเที่ยว

เชื่อมทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

ผู้จัดวางกรอบยุทธศาสตร์ “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย ไว้ชัดเจน งานดอกไม้ปีนี้จึงไม่ใช่ “กิจกรรมเฉพาะกิจ” หากแต่เป็น เครื่องมือบรรลุเป้าหมาย ต่อไปนี้

  • กระจายรายได้ สู่ทุกอำเภอ ผ่านการทำ “โซนภาคขยาย” และเนื้อหาเฉพาะพื้นที่
  • ต่อยอดทุนวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ ให้คนท้องถิ่นเป็น “เจ้าภาพ” และ “ผู้แสดง” แท้จริง
  • รักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ด้วยการจัดการพื้นที่สีเขียว หนองน้ำ และการนำวัสดุธรรมชาติมาเพิ่มมูลค่า (เช่น การจัดการผักตบชวา ณ หนองหลวง เพื่อเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของชุมชน)
  • ยกระดับคุณภาพประสบการณ์ ให้เชียงรายเป็น “เมืองปลายทาง” ที่นักท่องเที่ยวตั้งใจมา ไม่ใช่แค่ “ทางผ่าน”

เสียงสะท้อนบนเวที ประเด็นเด่น ประเด็นรอง ที่สังคมควรรับรู้

ประเด็นเด่น (Highlights)

  • เรื่องเล่าแบบ 4 ฤดูกาล จากความหวัง (Summer) สู่การเริ่มต้นใหม่ (Rainy) ผ่านความทรงจำ (Winter) ไปยังการฟื้นคืนชีพ (Spring)
  • การออกแบบร่วมสมัย ใช้แสง สี เสียง จอ LED ขนาดใหญ่ และ Interactive Art ให้ “ผู้ชมมีส่วนร่วม”
  • วัฒนธรรมชาติพันธุ์ 17 ชาติพันธุ์ร่วมแสดง เรียนรู้ วิถีชีวิต และสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
  • เศรษฐกิจเชิงคุณภาพ กลไกเพิ่มรายได้ชุมชนแบบจับต้องได้ (จากประสบการณ์ปีก่อนและแบบจำลองปีนี้)
  • ความทรงจำร่วม นิทรรศการพระราชกรณียกิจ พื้นที่ของความจงรักภักดีและการน้อมรำลึก

ประเด็นรอง (แต่สำคัญ)

  • การกระจายตัวนักท่องเที่ยว ลดแออัด สร้างโอกาสรายได้ใหม่แก่พื้นที่นอกศูนย์กลาง
  • การเชื่อมโยงอีเวนต์ (ฟุตบอลอาวุโส-ประชุมวิชาการ-ดอกไม้) เพื่อยืดเวลาพำนัก
  • การสื่อสารการตลาดร่วมกับ ททท. ทั้งปฏิทินกิจกรรมและแคมเปญกระตุ้น เที่ยววันธรรมดา เพื่อบริหารโหลดการท่องเที่ยว (สอดคล้องพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจสั้นลง)
  • การเชื่อมเวทีโลก (เช่น PATA DMF) เพื่อสร้างแบรนด์ “เชียงราย” ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

วิเคราะห์ผลกระทบที่คาดหวัง จาก “ความสวยงาม” สู่ “ความคุ้มค่าทางสังคม-เศรษฐกิจ”

  1. รายได้กระจาย ธุรกิจฐานรากเติบโต
    ด้วยจำนวนวันจัดงาน ~3 สัปดาห์ครึ่ง หากเฉลี่ยผู้เข้าชมวันละหลายหมื่นคน (อิงประสบการณ์ปีก่อนที่รวมทะลุหลายแสนราย) จะเกิด วงจรจับจ่าย ครอบคลุมตั้งแต่ค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร ร้านกาแฟ ของฝาก งานฝีมือ โฮมสเตย์ ไปจนถึงธุรกิจบริการรายย่อย การที่ภาครัฐท้องถิ่นจัด โซนเสริม ใน เวียงชัย และ แม่สาย ยังช่วยสร้าง จุดหมายรอง ที่ผู้มาเยือนยอม “ขยับออกนอกเมือง” เพื่อค้นพบประสบการณ์ใหม่ รายได้กระจายตัวมากขึ้น
  2. ภาพลักษณ์เมืองสร้างสรรค์ ดีต่อการลงทุนระยะยาว
    การเล่าเรื่องระดับ ศิลปะ-การออกแบบ ขับเน้นสถานะ Creative City ของเชียงรายที่ได้รับการกล่าวถึงในบริบท UNESCO Creative Cities Network (สาขาการออกแบบ) ตั้งแต่ปลายปี 2566 และถูกหยิบยกซ้ำบนเวทีนโยบายหลายครั้งในรอบปีที่ผ่านมา สร้าง ความเชื่อมั่น ให้เอกชน/พันธมิตรพร้อม “ร่วมลงทุน” กับเทศกาลและกิจกรรมต่อเนื่อง
  3. เสถียรภาพเชิงฤดูกาล เที่ยวได้ทั้งปี
    การจัดวาระกิจกรรมปลายปีเชื่อมกับช่วง “หนาวเหนือ” ช่วยตอกย้ำแคมเปญ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี โดย ปลายปี = ไฮซีซัน ดอกไม้และหมอกหนาว ช่วงอื่นของปีสามารถพัฒนา “ฤดูกาลเฉพาะทาง” เช่น คาเฟ่และสวนดอกไม้ดอยช้าง-วาวี (ฤดูฝน/ฤดูร้อน), เส้นทางกาแฟ-ชา (ทั้งปี), เทศกาลศิลปะร่วมสมัย (ฤดูฝน/ปลายฝน) ให้ กราฟรายได้ ของผู้ประกอบการไม่เหวี่ยงแรง
  4. สังคมและวัฒนธรรม ความภาคภูมิใจร่วม
    เมื่อชุมชนชาติพันธุ์ถูกยกขึ้นเป็น “เจ้าภาพร่วม” คนในพื้นที่มีบทบาททั้ง ผู้แสดง และ ผู้ประกอบการ เกิดการส่งต่อภูมิปัญญาอย่างมีรายได้และศักดิ์ศรี การจัดการพื้นที่สาธารณะ เช่น หนองหลวง ให้สะอาดและมีชีวิตด้วย น้ำพุดนตรี-งานประติมากรรม ยังสร้าง ความรู้สึกเป็นเจ้าของเมือง และความภูมิใจแก่ชาวบ้านโดยตรง

คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับนักท่องเที่ยวและสื่อ

  • วางแผนเส้นทางล่วงหน้า ปีนี้มี 3 โซน และ 3 อีเวนต์ใหญ่ ในช่วงไล่เลี่ยกัน แนะนำแบ่งวันชม โซนหลัก (ริมน้ำกก) 1 วันเต็ม และเผื่อเวลาอีก 1–2 วันสำหรับ เวียงชัย และ แม่สาย
  • เลือกวันธรรมดา หากต้องการเลี่ยงความหนาแน่น และมักได้ มุมถ่ายภาพโล่งกว่า
  • เส้นทางชิม-ช้อป อย่าพลาด ชา-กาแฟเชียงราย, อาหารชาติพันธุ์, และโซน OTOP/ถนนคนเดิน รอบงาน
  • มารยาทการชมงาน รักษาความสะอาด ไม่เหยียบแปลงดอกไม้ เคารพพื้นที่พิธีการ/นิทรรศการเชิงสถาบัน
  • ที่พัก ช่วงไฮซีซัน ห้องพักในเมืองอาจเต็มเร็วกว่าปกติ ลอง กระจายการพัก ไปอำเภอรอบนอก จะได้ประสบการณ์แตกต่างและช่วยเศรษฐกิจชุมชน

โครงสร้างการบริหารจัดการ สิ่งที่ผู้จัด “ทำถูกทาง”

  1. Design First, Tech-Enhanced ชัดเจนว่าปีนี้ให้ “การออกแบบประสบการณ์” เป็นแกน แล้วค่อยเสริมเทคโนโลยี (แสง-สี-เสียง-LED-Interactive) ให้เล่าเรื่องได้ทรงพลัง
  2. Place-Based Storytelling ใช้ ริมน้ำกก-หนองหลวง-วัดถ้ำเสาหินพญานาค เป็นเวทีเล่า “ความหมายของสายน้ำ-ธรรมชาติ-ศรัทธา”
  3. Distributed Tourism เปิด “วงจรรายได้” ให้กว้างขึ้น ด้วยการทำโซนภาคขยายในอำเภอรอง
  4. Event Bundling ผูกอีเวนต์กีฬา-วิชาการ-เทศกาล เพื่อยืดเวลาพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป
  5. Cross-Agency Alliance ร้อยเครือข่ายกับ ททท., หน่วยงานจังหวัด, มหาวิทยาลัย, ภาคเอกชน และชุมชนชาติพันธุ์

เสียงบนเวที ถ้อยคำสำคัญที่ขับเคลื่อน

  • นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ (นายก อบจ.เชียงราย) ย้ำว่าเทศกาลนี้คือ สวนดอกไม้แห่งศิลปะ” ที่ผสาน นวัตกรรม และ ความจงรักภักดี เพื่อให้ผู้ชม “ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด” ตลอดเส้นทาง 4 ฤดูกาล
  • นายนิพนธ์ นิยม (หัวหน้าสำนักงานจังหวัด) ชี้ “ทุนศิลปะและการออกแบบ” ของเชียงรายที่ โดดเด่นระดับชาติ และบทบาทของแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลป์ที่เป็นหน้าเป็นตา
  • นางสาวยุรีพรรณ แสนใจยา (ผอ.ททท.เชียงราย) เปิดมุมการตลาด จะ ปักหมุด” จุดเที่ยว 4 ทิศ และ แคมเปญวันธรรมดา เพื่อกระจายนักท่องเที่ยว
  • นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ (ประธานหอการค้าจังหวัด) ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเชียงราย พึ่งพาบริการ-ท่องเที่ยว เป็นสำคัญ จึงต้องมี อีเวนต์ระดับอินเตอร์ เพื่อขยายสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ

จากเวที “งานดอกไม้ที่ดี ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง ‘มีความหมาย’ และ ‘มีมูลค่า’ ทั้งต่อผู้ชมและต่อชุมชน”

เช็คพอยต์สำคัญของงาน 2025 (สรุปเชิงปฏิบัติ)

  • กำหนดการหลัก 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569 (สวนไม้งามริมน้ำกก)
  • โซนภาคขยาย เวียงชัย (หนองหลวง), แม่สาย (วัดถ้ำเสาหินพญานาค)
  • ธีม “สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” + “แสงสะท้อนแห่งฤดูกาล (Reflex of Seasons)”
  • คอนเทนต์ 4 ฤดูกาล + นิทรรศการพระราชกรณียกิจ + ข่วงวัฒนธรรมชาติพันธุ์ 17 กลุ่ม + ถนนคนเดิน/OTOP/Food Truck + โซนชา-กาแฟ
  • อีเวนต์ขนาน ฟุตบอลอาวุโส อบจ.คัพ (12–17 ธ.ค.), ประชุมวิชาการ อปท. (17–19 ธ.ค.)
  • สารหลัก ศิลปะ × การออกแบบ × วัฒนธรรม × ความจงรักภักดี × เศรษฐกิจชุมชน

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้ “ดี” และ “ยั่งยืน”

  1. จัดการภาระการท่องเที่ยว (Overtourism) เชิงนำ
    วางระบบ จุดจอด–รถรับส่ง (Park & Ride) เพิ่มป้ายแนะนำเส้นทางรอบเมือง จัด สล็อตเวลา สำหรับการแสดงยอดนิยม เพื่อเฉลี่ยความหนาแน่น
  2. เศรษฐกิจหมุนเวียน
    สนับสนุน วัสดุทดแทน-รีไซเคิล ในงาน (เช่น การออกแบบฉาก/ทางเดินจากวัสดุท้องถิ่น), ระบบ คัดแยกขยะ, จูงใจร้านค้าใช้ ภาชนะย่อยสลายได้
  3. การเข้าถึงอย่างเท่าเทียม (Universal Design)
    พัฒนาทางลาด พื้นผิวเดินเรียบ ห้องน้ำทางเลือก ป้ายสองภาษา และ สื่อบรรยายเสียง/ภาษามือ สำหรับกิจกรรมหลัก สอดคล้องภาพลักษณ์เมืองออกแบบ
  4. การวัดผลแบบ Evidence-based
    เก็บข้อมูล จำนวนผู้เข้าชม, ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย, เวลาพำนัก, ความพึงพอใจ, รายได้ผู้ค้า และ เม็ดเงินหมุนเวียน เพื่อสื่อสาร “ผลคุ้มค่า” ต่อสาธารณะและผู้สนับสนุน

งานดอกไม้ที่เป็นมากกว่า “ดอกไม้”

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” เป็น “บทพิสูจน์” ว่าเชียงรายกำลังก้าวจาก ความงามเชิงทัศนียภาพ ไปสู่ ความงามเชิงความหมาย เรื่องเล่าที่เชื่อม ศิลปะ-ดีไซน์-วิถีชาติพันธุ์-สถาบัน-ธรรมชาติ-เศรษฐกิจชุมชน เข้าด้วยกันอย่างพอดิบพอดี ปีนี้งานถูก “วางองค์ประกอบ” ให้ เดินเพลิน และ คิดเพลิน ได้ในคราวเดียว ตั้งแต่ก้าวผ่าน “สายรุ้งแห่งฤดูร้อน” จนถึง “บลูมออฟไลท์” ที่บอกเราว่า การฟื้นคืนชีพของเมือง ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากดอกไม้บาน แต่เกิดจาก ผู้คนบาน ไปพร้อมๆ กัน

และเมื่อม่านไฟปิดลงในคืนสุดท้ายของเทศกาล สิ่งที่เหลือในใจ ไม่ใช่แค่ภาพถ่าย หากคือความทรงจำร่วมว่า เชียงราย คือเมืองที่จัดการ ความสวย ให้กลายเป็น ความหมาย และจัดการ ความหมาย ให้กลายเป็น ความยั่งยืน ได้อย่างงดงาม

แหล่งข้อมูลประกอบการรายงาน (คัดสรร)

  • รายการเมืองใหม่ใน UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ปี 2566 (ข่าวและบทความสรุปภาษาไทย)   ยืนยันว่าเชียงรายได้รับการประกาศเป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ในปี 2566 (อัปเดตเชิงอ้างอิงจากยูเนสโกและสื่อไทยช่วงปลาย ต.ค. 2566)
  • ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัด/สื่อท้องถิ่น มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024 วันที่จัด งาน 4 โซน แนวคิด และสถานที่ (เพื่อยืนยันความต่อเนื่องและรูปแบบกิจกรรมที่ยกมาตรฐานในปี 2025).
  • กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ข้อมูลสถิติท่องเที่ยวไทยปี 2567–2568 (ภาพรวมการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ/รายได้รวมของประเทศ บริบทมหภาคที่เอื้อให้เทศกาลระดับจังหวัดเติบโต)
  • จังหวัดเชียงราย (ช่องทางสื่อสารกับ PATA) สัญญาณความร่วมมือจัด PATA Destination Marketing Forum 2025 ที่เชียงราย สะท้อนบทบาทเมืองเจ้าภาพอีเวนต์นานาชาติที่ต่อเนื่อง.

ตัวเลขเชิงประสบการณ์ (เช่น ผู้เข้าชมรวมกว่า 700,000 คนในปีที่ผ่านมา, รายได้ผู้ค้าหลักหมื่นบาท/วัน) เป็น คำให้ข้อมูลบนเวทีแถลงข่าว ของผู้จัดงาน/ผู้บริหารท้องถิ่นในครั้งนี้ ซึ่งผู้สื่อข่าวตรวจสอบแล้วว่ามีความสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของเทศกาลในปีก่อน ๆ จากแหล่งข่าวภาคพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยืนยัน 1 ม.ค. 69 วัดร่องขุ่นปรับค่าเข้าชมชาวต่างชาติเป็น 200 บาท พร้อมเพิ่มสิทธิ “เข้าชมถ้ำฟรี”

วัดร่องขุ่น” ขยับค่าเข้าชมชาวต่างชาติเป็น 200 บาท มีผล 1 ม.ค. 2569 ตอกย้ำคุณค่าศิลปะระดับโลก เดินหน้าแผนบริหารจัดการพื้นที่-ยกระดับประสบการณ์ผู้เยือน

เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 – อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติและผู้สร้าง “วัดร่องขุ่น” ยืนยันปรับค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจาก 100 บาทเป็น 200 บาทต่อคน เริ่ม 1 มกราคม 2569 โดยคนไทยยังเข้าชมฟรีเหมือนเดิม พร้อมเพิ่มสิทธิ “เข้าชมถ้ำฟรี” และ “ยืมผ้าถุงฟรี” เพื่อรักษามาตรฐานความเหมาะสมในการแต่งกาย ขณะที่ฝ่ายท่องเที่ยวมองเป็นโอกาสยกระดับคุณภาพ สอดรับแนวโน้มท่องเที่ยวคุณภาพสูงของเชียงราย

เช้าวันหนึ่งที่ “ขาวจัด—คมชัด—และงอกงาม”

ยามแสงเช้ากระทบปลีเสาศิลาปูนปั้นสีขาว เจิมประกายกระจกนับพันบนสิมวัด ภาพจำของ “วัดร่องขุ่น” หรือ “วัดขาว” ในอำเภอเมืองเชียงราย ยังทำให้ผู้มาเยือนหยุดหายใจสั้น ๆ ด้วยความตื่นตา วัดร่วมสมัยที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไม่เพียงเป็นหมุดหมายด้านศิลปวัฒนธรรม หากยังแปลงร่างเป็น “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่ต้องดูแล บำรุงรักษา และจัดการผู้เยือนนับล้านอย่างเป็นระบบ

ในฉากหลังอันงดงามนั้น ความเปลี่ยนแปลงสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น การปรับ “ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ” จาก 100 บาทเป็น 200 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยอาจารย์เฉลิมชัยยืนยันผ่านสื่อสังคมว่า การปรับราคาสะท้อน “ศักดิ์ศรีงานศิลปะระดับโลก” และช่วยรองรับต้นทุนการบริหาร ดูแล และรักษามาตรฐานพื้นที่อันซับซ้อนของวัดร่วมสมัยที่ยังคงสร้าง-ซ่อม-เสริมรายละเอียดไม่สิ้นสุด  

ทำไม “200 บาท” จึงสมเหตุสมผล เมื่อศิลปะต้องคู่มาตรฐานการจัดการ

มิติคุณค่าและความสากลของผลงาน วัดร่องขุ่นมิใช่วัดโบราณที่หยุดนิ่ง หากเป็น “โครงการศิลปกรรมขนาดใหญ่” ที่ค่อย ๆ เติบโตมาตลอดกว่าสองทศวรรษ การเพิ่มค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติเป็น 200 บาทจึงเป็นการ “ราคาให้สมคุณค่า” เมื่อเทียบกับแลนด์มาร์กทางศิลปะและพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกซึ่งประเมินค่าเข้าชมสูงกว่านี้หลายเท่า อาจารย์เฉลิมชัยชี้ว่า ราคาดังกล่าวยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเข้าชมสถานที่ศิลปะขนาดย่อมในต่างประเทศ และตน “รอจังหวะเหมาะสม” มาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนถึงวันนี้จึงแจ้งกำหนดใช้จริง

มิติมาตรฐานประสบการณ์ สิทธิพิเศษใหม่สองรายการ

มาตรการใหม่ไม่ใช่เพียง “ขึ้นราคา” แต่เป็น “ยกระดับแพ็กเกจประสบการณ์” ชัดเจนผ่าน 2 สิทธิพิเศษสำหรับผู้เข้าชมชาวต่างชาติ ได้แก่

  • เข้าชม “ถ้ำ” ฟรี ส่วนจัดแสดงงานศิลปะเฉพาะพื้นที่ของวัด ซึ่งเคยจำกัดหรือมีค่าใช้จ่ายตามโอกาส จะเปิดโอกาสให้สัมผัสมากขึ้นในบัตรเดียว
  • ยืมผ้าถุงฟรี เพื่อสนับสนุนความเหมาะสมตามธรรมเนียมการแต่งกายเข้าพื้นที่ศาสนา ลดภาระการเช่าจากร้านรอบวัด และทำให้การควบคุมมาตรฐานการแต่งกายละเอียดขึ้น (แนวปฏิบัติเรื่องการแต่งกายเข้าเขตพุทธาวาสและความยาวท่อนล่างมีการสื่อสารในช่องทางชุมชน ตัวอย่างข้อแนะนำสาธารณะเรื่องครอบไหล่/ยาวคลุมเข่า

มิติความเป็นธรรมคนไทยเข้าฟรีเหมือนเดิม

แม้จะขึ้นค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ แต่ คนไทยยังคงเข้าฟรี แนวทางที่วัดร่องขุ่นยึดถือมายาวนานเพื่อให้ชุมชนไทยเข้าถึงศิลปะร่วมสมัยได้ไม่เป็นภาระ (สอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบันที่สะท้อนว่า “ชาวต่างชาติ 100 บาท/คน ก่อนปรับเป็น 200 บาท”

ผลกระทบ “บวก” ที่คาดหมาย จากหน้าประตูวัดสู่เศรษฐกิจเมือง

การบริหารพื้นที่และความปลอดภัย วัดร่วมสมัยที่มีองค์ประกอบละเอียดอ่อน จากงานปูนปั้น กระจกโมเสก ไปจนถึงภูมิทัศน์และระบบทางเดิน ย่อมต้องมีต้นทุนดูแลสูง ทั้งงานทำความสะอาดเชิงเทคนิค การบำรุงซ่อมแซมเฉพาะทาง และการควบคุมฝูงชนช่วงพีก ค่าเข้าชมที่เพิ่มขึ้นถูกอธิบายว่า “คืนกลับ” ในรูปมาตรฐานการจัดการพื้นที่ที่เข้มขึ้น ตั้งแต่วัสดุ อุปกรณ์บุคลากร ไปจนถึงระบบอำนวยความสะดวก

การคัดกรองและยกระดับ “คุณภาพการเยือน” ประสบการณ์ของแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกชี้ว่า ราคาบัตรที่สะท้อนคุณค่าช่วย “คัดกรองความตั้งใจ” ของผู้เยือน ทำให้สัดส่วนผู้เข้าชมที่มุ่งหมายทางศิลปวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น กระตุ้นพฤติกรรมท่องเที่ยวรับผิดชอบ (responsible tourism) และลดแรงกดดันต่อทรัพยากร

เศรษฐกิจท้องถิ่นและคลัสเตอร์บริการเม็ดเงินจากผู้เยือนต่างชาติที่ “ไม่มากเกินไป” แต่ “เพียงพอ” ต่อการดูแลสถานที่ สามารถหมุนกลับสู่ห่วงโซ่บริการรอบวัดไกด์พื้นที่ ผู้ให้บริการขนส่ง ร้านอาหาร ของที่ระลึก และโฮมสเตย์ ในภาพใหญ่ระดับจังหวัด แนวโน้มนี้สอดคล้องกับนโยบายท่องเที่ยวคุณภาพและการใช้ soft power ของเชียงราย ซึ่งในช่วงหลังโควิดกลับมาฟื้นตัวดีแม้ตัวเลขเชิงลึกแบบรายจังหวัดต้องติดตามจากฐานข้อมูลรัฐอย่างเป็นทางการ แต่ทิศทางมหภาคสะท้อนผ่านดัชนีท่องเที่ยวและรายได้ท่องเที่ยวของประเทศที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง

ไทม์ไลน์และข้อเท็จจริงเชิงบริบท จาก “100 บาท” สู่ “200 บาท”

  • ก่อนหน้า หลายปีที่ผ่านมา วัดร่องขุ่นสื่อสารนโยบาย “คนไทยเข้าฟรีชาวต่างชาติ 100 บาท” ต่อเนื่อง
  • ประกาศใหม่ อาจารย์เฉลิมชัยยืนยัน ปรับเป็น 200 บาท เริ่ม 1 ม.ค. 2569 โดยให้เหตุผลด้านคุณค่าและต้นทุนการบริหารจัดการ พร้อมสื่อสารสิทธิพิเศษเพิ่มเติม
  • ระหว่างนี้ แนวปฏิบัติเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสมยังคงเข้มงวดคลุมไหล่/ยาวคลุมเข่าและมี “บริการผ้าถุง” เพื่อช่วยให้ผู้เยือนแต่งกายได้ตามธรรมเนียม

วิเคราะห์เชิงนโยบาย “ราคาบัตร” กับ “ธรรมาภิบาลแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม”

1) ราคาบัตรคือเครื่องมือกำกับคุณภาพ (price as a governance tool)
ในแหล่งมรดกหรือพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ราคารองรับบทบาทสำคัญ เป็นทั้ง “สัญญาณคุณค่า” และ “ทรัพยากรเพื่อบำรุงรักษา” ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (preventive conservation) ซึ่งเหมาะกับงานศิลปะที่เสี่ยงต่อการผุกร่อนจากฝุ่นละอองและความชื้น รวมถึงความเสียหายจากการสัมผัส

2) Differentiated pricing ความเป็นธรรมระหว่าง “เจ้าของวัฒนธรรม” กับ “ผู้มาเยือน”
การคงสิทธิคนไทยเข้าฟรี สะท้อนแนวคิด “ทำให้ศิลปะกลับสู่สังคมไทย” และยืนยันว่าชาวเชียงราย/ไทยยังเข้าถึงได้โดยไม่ถูกต้นทุนกีดกัน ขณะที่ “ผู้มาเยือนต่างชาติ” มีส่วนร่วมสมทบค่าดูแลที่สอดคล้องกับความสามารถในการจับจ่ายเป็นแนวทางที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายแห่งใช้

3) มาตรฐานประสบการณ์และความเหมาะสม (dress code)
การประกาศ “ยืมผ้าถุงฟรี” ลดแรงเสียดทานหน้างานแทนที่จะผลักภาระไปยังร้านค้าเอกชนเพียงด้านเดียว วัดเลือก “อำนวยความสะดวก” ภายใต้กรอบความเหมาะสมของพื้นที่ศาสนา ซึ่งท้ายที่สุดช่วยยกระดับภาพรวมประสบการณ์และความเคารพสถานที่

มุมมองผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความท้าทายที่ต้องสื่อสารให้ตรงจุด

แม้สังคมออนไลน์จำนวนหนึ่งอาจตั้งคำถามเรื่อง “ผลกระทบต่อจำนวนผู้เยือน” แต่ในมุมปฏิบัติ ค่าเข้าชม 200 บาทสำหรับผู้เดินทางข้ามพรมแดนซึ่งมักใช้จ่ายทริปละหลายพันถึงหลายหมื่นบาท แทบไม่ใช่ตัวแปรหลักในการตัดสินใจเดินทางเทียบกับ ความคุ้มค่าของประสบการณ์ และ เวลาเข้าชมที่ราบรื่น มากกว่า นอกจากนี้ การประกาศล่วงหน้าพร้อมเหตุผลชัดเจนและสิทธิพิเศษที่เพิ่มเป็นสิ่งสะท้อน “ธรรมาภิบาลการสื่อสาร” ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทัวร์ ไกด์ และแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตร ปรับข้อมูลบริการได้ทันกำหนด

ในทางกลับกัน ผู้ดูแลวัดจำเป็นต้อง ติดตามผลเชิงข้อมูล อย่างใกล้ชิดทั้งจำนวนผู้เยือนต่อวัน ช่วงพีก การร้องเรียนเรื่องแออัด/รอคิว ตลอดจนผลสะเทือนต่อร้านค้ารอบวัด เพื่อโยง “รายได้จากบัตร” กลับไปสู่งานพัฒนาพื้นที่และบริการเชิงประจักษ์ เช่น ป้ายทางเดินหลายภาษา ระบบเข้าคิวอัจฉริยะ ห้องน้ำสะอาด-เพียงพอ จุดพักร่ม ระบบอธิบายงานศิลป์ (interpretation) ที่เข้าถึงคนทั่วไปและผู้มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหว

เชียงรายในระยะยาว เมืองศิลปะ-วัฒนธรรม-ธรรมชาติ ที่ต้องบริหาร “สมดุล”

จังหวัดเชียงรายสะสมทุนทางวัฒนธรรม ศิลปะร่วมสมัย ธรรมชาติ และอีเวนต์คุณภาพไว้แน่นจากวัดร่องขุ่น สิงห์ปาร์ค พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงเทศกาลเชิงวัฒนธรรมหลากหลายล้วนวางเชียงรายไว้ในแผนที่ “ท่องเที่ยวคุณภาพ” ของไทย ในบริบทเช่นนี้ การปรับค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวหลักให้สมเหตุสมผลกับคุณค่าและต้นทุนดูแล ถือเป็น “องค์ประกอบหนึ่ง” ของยุทธศาสตร์ระยะยาวควบคู่กับการกระจายผู้เยือนไปยังอำเภอรอบนอก เส้นทางกาแฟ-ชา-ชุมชนสร้างสรรค์ และการพัฒนาการเดินทางสาธารณะภายในจังหวัด

คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับผู้เยือนต่างชาติ (สรุปเร็ว)

  • เตรียมงบค่าเข้าชม 200 บาท/คน เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569
  • คนไทยเข้าฟรี พกบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตน
  • แต่งกายสุภาพ คลุมไหล่ กางเกง/กระโปรงคลุมเข่า หากไม่พร้อม มีบริการยืมผ้าถุงฟรี ณ จุดเข้าชมตามประกาศล่าสุด
  • วางแผนเวลา ช่วงเช้าและบ่ายแก่ ๆ แสงสวย หลีกเลี่ยงช่วงพีกทัวร์รวม หากมากับครอบครัวหรือผู้สูงอายุให้เผื่อเวลาเดินชมมากขึ้น

 “ราคาบัตร” คือสัญญาและภารกิจดูแลมรดกศิลป์ร่วมสมัยของไทย

การขยับ “200 บาท” ของวัดร่องขุ่นจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขหน้าประตู หากเป็น “สัญญา” ระหว่างผู้สร้าง ผู้ดูแล และผู้มาเยือน ว่าศิลปะร่วมสมัยอันงอกงามของไทยจะได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานสากล พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่ากว่าเดิม ทั้งในมิติความงาม ความรู้ และความสงบในวิถีวัฒนธรรมล้านนา ขณะเดียวกัน ก็เป็นบททดสอบธรรมาภิบาล รายได้จากบัตรต้อง “ไหลกลับ” สู่คุณภาพหน้างานอย่างสัมผัสได้ เพื่อให้สังคมไทยและผู้มาเยือนทั่วโลกมั่นใจว่า ทุกบาทที่จ่าย คือการร่วมกันรักษา “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ชิ้นเอกของเชียงรายให้คงอยู่อย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดร่องขุ่น – Wat Rong Khun – White Temple , Chiang Rai , Thailand 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไทลื้อศรีดอนชัย จัดมหาบุญจุลกฐินครั้งที่ 21 ทอผ้าไตรเสร็จใน 24 ชม. พิสูจน์ศรัทธา

มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อ “ศรีดอนชัย” ครั้งที่ 21 ศรัทธา–หัตถศิลป์–สามัคคี ร่วมหล่อเลี้ยงลุ่มน้ำอิง อาราธนาพระอุปคุต” นำขบวน—อบจ.เชียงรายหนุน “4 สืบ” ขับเคลื่อน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ชายแดนโขง

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ริมสายน้ำอิงที่ทอดตัวคู่ชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ แสงประทีปราตรีปลายฝนต้นหนาวส่องประกายทาบร่างขบวนแห่ “อาราธนาพระอุปคุต” ผู้คุ้มครองพิธีบุญใหญ่ตามความเชื่อแห่งล้านนา ก่อนเสียงกลองปูจาและบทสาธยายศรัทธาจะพาเช้าวันใหม่เข้าสู่ “จุลกฐิน”—กฐินทันใจที่ต้องทำ “ให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง” ตั้งแต่ฝ้ายยังช่ออยู่บนกิ่งจนกลายเป็นผ้าไตรจีวรครบองค์ สัญญะที่ชาวศรีดอนชัยยืนยันต่อโลกว่า ศรัทธา – ความชำนาญ – ความพร้อมเพรียงของชุมชน ยังทำงานได้จริงในยุคสมัยนี้

ปีนี้เป็น ครั้งที่ 21 ของ “มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อวัดท่าข้ามศรีดอนชัย” จัดระหว่าง 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วัตถุประสงค์ “4 สืบ” อันเป็นกรอบคิดยุทธศาสตร์ที่ผนึก การสืบสานประเพณี–การถ่ายทอดองค์ความรู้–การธำรงพระธรรมวินัย–และการเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อยกระดับ Soft Power ของไทลื้อสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในลุ่มน้ำโขง

ฉากเปิด เช้าตรู่ที่ลมหายใจของชุมชน “สวด–สาน–ซ่อมสายใย”

เสียงระฆังวัดท่าข้ามศรีดอนชัยปลุกผู้คนสองฟากถนนเลียบแม่น้ำให้ตื่นพร้อมรอยยิ้มและเสื้อผ้าไทลื้อสีคราม–แดง–ดำ อันเป็นเอกลักษณ์ “ลื้อลายคำ” ขบวนแห่ อาราธนาพระอุปคุต เคลื่อนด้วยจังหวะศรัทธา—สัญลักษณ์ของ “ผู้คุ้มครองงานบุญใหญ่” ตามตำนานพระเจ้าอโศกและคติล้านนา ก่อนเข้าสู่กระบวนการสำคัญที่ต้องแข่งกับเข็มนาฬิกา จุลกฐิน หรือ กฐินทันใจ 24 ชั่วโมง ที่ทั้งหมู่บ้านจะ “ยกโรงทอ” ชั่วคราว—จาก เก็บฝ้าย–ปั่นด้าย–ตั้งหูก–ทอ–ย้อม–ตัดเย็บ—ให้สำเร็จเป็น ผ้าไตรจีวร เพื่อถวายกฐินภายในกำหนด

ในเชิงพิธีกรรม สิ่งนี้ไม่ใช่ “โชว์” แต่คือ พระวินัย ที่ทดสอบ ความพร้อมเพรียงและความละเอียดอ่อน ของชุมชน ทุกรอยมือบนด้าย ทุกจังหวะตีนกี่ คือวงจรการเรียนรู้ระหว่างวัย—เด็กเห็นมือพ่อแม่ ปู่ย่า ครูช่าง; คนหนุ่มสาวเห็นความอดทนเชิงงานฝีมือ; ผู้เฒ่าผู้แก่เห็น “คนรุ่นใหม่” ยืนเคียงข้าง และทั้งหมดเห็นกันและกัน ใต้แสงเดียวกันที่ชื่อว่า “ศรัทธาและความร่วมแรงร่วมใจ”

“4 สืบ” ของ อบจ.เชียงราย กรอบคิดที่ประกอบร่างพิธี–วัฒนธรรม–เศรษฐกิจ

การสนับสนุนของ อบจ.เชียงราย ในปีนี้เน้น “4 สืบ” เป็นเข็มทิศ

  1. สืบสานวัฒนธรรมประเพณี – รักษา จุลกฐิน และพิธีการไทลื้อ (การแต่งกาย อาหารถิ่น การแสดงพื้นบ้าน) ให้คงรูปและร่วมสมัย
  2. สืบศรีสมัย – ถ่ายทอด ความรู้การทอผ้า และงานฝีมือ “ลื้อลายคำ” ข้ามรุ่น พร้อมเปิดให้ ประยุกต์–ดัดแปลง อย่างมีขอบเขต เพื่อให้ อัตลักษณ์ ไม่ถูกตรึง แต่เติบโต
  3. สืบพระธรรมวินัย – คงหลัก กฐินภายใน 1 เดือน หลังออกพรรษาและกรอบ จุลกฐิน 24 ชั่วโมง ให้สมบูรณ์ถูกต้อง
  4. สืบสายสัมพันธ์ – ใช้งานบุญเป็นเวที เชื่อมผู้คน–เครือข่ายศรัทธา–หน่วยงาน และ นักท่องเที่ยว ให้มาร่วม “ทำ–เห็น–เรียนรู้” ไปพร้อมกัน

ผลที่สัมผัสได้ คือภาพของ “วัด–ชุมชน–โรงเรียน–ผู้สูงวัย–เยาวชน” ที่ร่วมยกงานวัฒนธรรมให้เป็น สินทรัพย์สาธารณะ ไม่ใช่ภาระ และเมื่อพิธีถูกออกแบบให้ “เปิดรับผู้มาเยือน” อย่างมีมารยาททางศาสนา งานบุญก็กลายเป็น หน้าต่างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่คนทั้งสองฟากโขงมองเห็นและอยากเดินเข้ามามีส่วนร่วม

อัตลักษณ์ไทลื้อ จากสิบสองปันนาสู่ “ศรีดอนชัย”—ผืนผ้าที่เล่าเรื่องคน

รากของ ศรีดอนชัย ผูกโยงกับการอพยพของไทลื้อจาก สิบสองปันนา อัตลักษณ์จึงถูกเก็บไว้ทั้งใน ภาษา–พิธีกรรม–เครื่องแต่งกาย–ผ้าทอ และความทรงจำร่วมของการตั้งถิ่นฐานริมโขง การมี พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ และพื้นที่เรียนรู้ชุมชน ทำให้คนรุ่นใหม่ “เห็น–จับ–ทอ” มรดกบรรพชนด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่เพียงผ่านรูปภาพ

ผ้าทอไทลื้อ จึงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่คือ คลังความรู้มีชีวิต ลาย–สี–เส้นใย—ล้วนบันทึกวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตของคนลุ่มน้ำอิง เมื่อถูกยกขึ้นสู่ จุลกฐิน ผืนผ้าไม่ใช่ของฝาก หากคือ “ของถวาย” ที่ต้องสะอาด งาม และถูกต้องตามระเบียบ พระสงฆ์ห่มผ้า—ชุมชนก็ห่มความภาคภูมิใจ

พระอุปคุต “ผู้คุ้มครองพิธีใหญ่” กับกลยุทธ์พิธีกรรมของชุมชน

ตำนาน พระอุปคุตเถระ ผู้มีอิทธิฤทธิ์คุ้มครอง “ปอยหลวง” ในสมัยพระเจ้าอโศก ถูกชาวล้านนาน้อมรับสู่พิธีใหญ่ของชุมชนมาเนิ่นนาน ในงานนี้ พิธีอาราธนาพระอุปคุต ทำหน้าที่เป็น “โล่พิธีกรรม” เพื่อขอพลังป้องกันอุปสรรคในภารกิจ 24 ชั่วโมง ที่ผิดพลาดไม่ได้—ทั้งเชิงเวลาและความถูกต้องตามพระวินัย

สัญลักษณ์ตัวเลข 9 ใน พิธีตักบาตรสามเณร 9 รูป ก็ถูกให้ความหมายถึง “ก้าวหน้า–รุ่งเรือง” และ “การสืบต่อพระศาสนา”—เป็นภาพย้ำว่าหาก “จุลกฐิน” คือการรวบรวมมือ พิธีพระอุปคุตก็คือการรวบรวมใจ ให้ทุกช่วงเวลาในงานบุญเดินหน้าอย่างร่มเย็น

24 ชั่วโมงที่ท้าทาย จากต้นฝ้ายถึงผ้าไตร—งานหัตถศิลป์ในโหมด “High-Stakes”

จุลกฐิน พิสูจน์ ความละเอียดอ่อน – ความเร็ว – ความพร้อมเพรียง ในคราวเดียว ขั้นตอนตั้งแต่ เก็บฝ้าย–ปั่น–กรอ–ตั้งหูก–ทอ–ย้อม–ตัด–เย็บ ต้องเดินโดยแทบไร้รอยสะดุด เพราะเส้นด้ายที่ขาดง่ายที่สุดคือ “ความร่วมมือ

ปีนี้ ชุมชนศรีดอนชัยยังย้ำบทบาท “เวทีถ่ายทอดข้ามรุ่น” ผ่านการมีส่วนร่วมของ โรงเรียนผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และครูช่างประจำหมู่บ้าน ขณะที่เวทีกิจกรรมรอบงานทำหน้าที่เป็น “ชั้นเรียนพื้นที่เปิด” สาธิตการทอ ซ่อมแซมอุปกรณ์กี่ทอมือ แนะนำการย้อมสีธรรมชาติ และเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ลอง “จับหูก” ด้วยตัวเอง—ความรู้จึงไม่เคลื่อนผ่านเอกสาร แต่เคลื่อนผ่านมือและสายตา

พิธี–การแสดง–ตลาดวัฒนธรรม เมื่อศิลปะทำให้ศรัทธามีสีสัน

ข้างพิธีกรรมหลัก คือ กาดหมั้วครัวแลง ตลาดพื้นบ้านที่ชวนชิม–ชวนดู–ชวนซื้อ ทั้งอาหารถิ่น เครื่องจักสาน ผ้าทอ และของทำมือ พร้อมการแสดง ฟ้อนดาบ–ฟ้อนซอ–สะล้อซอซึง จากเครือข่ายศิลปินท้องถิ่นและโรงเรียนในอำเภอเชียงของ แสงประทีปและโคมลอย ในค่ำคืนปัจฉิมบท คือฉากจบที่พาผู้คน “ยกคำอธิษฐานขึ้นฟ้า” และหอบความอิ่มเอมกลับบ้าน—ศิลปะจึงไม่ได้เป็นเพียงการประดับพิธี แต่เป็น เครื่องมือเชื่อมใจ–ดึงสายตา–ขยายเศรษฐกิจ

Soft Power เชียงของ–เชียงราย งานบุญที่เลี้ยงเศรษฐกิจฐานราก

การสนับสนุนของ อบจ.เชียงราย ทำให้งานบุญไม่ถูกมองเป็นกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม หากเป็น “ทรัพยากรสาธารณะ” ของจังหวัด ผลทางเศรษฐกิจที่เห็นได้คือ การค้าขายชุมชนคึกคัก สินค้า GI–Chiang Rai Brand–งานหัตถกรรมไทลื้อ ได้พื้นที่สื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค นักท่องเที่ยวที่เดินทางตามปฏิทินวัฒนธรรมก็มีเหตุผลใหม่ในการ “แวะ–พัก–ใช้เวลา” ในเชียงของยาวขึ้น โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวรายรอบ—ที่พัก โฮมสเตย์ คาเฟ่—ได้รับ อานิสงส์ อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ ทุนทางสังคม ของชุมชนก็ยิ่งแน่นด้วย “การลงมือทำร่วมกัน” ทุกปี

บทวิเคราะห์แบบไต่ระดับ ทำไม “จุลกฐิน – อุปคุต – ลื้อลายคำ” จึงยืนยาวและยั่งยืน

  1. คติ–วินัย–วิถี เชื่อมกันเป็นระบบ จุลกฐิน (วินัย 24 ชม.) – อุปคุต (โล่พิธีกรรม) – ลื้อลายคำ (วิถีงานฝีมือ) สร้าง “สามเหลี่ยมคุณค่า” ที่ต่างค้ำกันและกัน—จารีตคุ้มพิธี พิธีคุ้มงาน งานคุ้มจารีต
  2. พิธีคือแพลตฟอร์มสาธารณะ การตั้งเวทีการแสดง–ตลาดวัฒนธรรม–พื้นที่สาธิตงานช่าง ทำให้ “ผู้มาเยือน” ไม่ได้เป็นผู้ชมเฉย ๆ แต่เป็น ผู้มีส่วนร่วม—ยิ่งมีส่วนร่วม ยิ่งเกิดความเข้าใจ ยิ่งต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
  3. 4 สืบ = นโยบายเชื่อมปัจจุบันกับอนาคต “สืบสาน” รักษาราก; “สืบศรีสมัย” เติมทักษะใหม่; “สืบพระธรรมวินัย” รักษาแกนศรัทธา; “สืบสายสัมพันธ์” เชื่อมเครือข่าย—นี่คือเครื่องจักรสังคมที่ทำให้พิธีไม่เป็นเพียง “ของเมื่อวาน”
  4. คนคือดิจิทัลมีชีวิต การจดจำกระบวนการด้วยมือ–ตา–หู ทำให้ความรู้ไม่พึ่งพา “ไฟล์” เพียงอย่างเดียว หากอยู่ใน “คน”—ความเสี่ยงสูญหายลดลงด้วยการทำซ้ำทุกปี

ข้อเสนอเชิงมานุษยวิทยา–เชิงระบบ เติมความรู้เพื่อความยั่งยืน

  • บันทึกเชิงเทคนิคเชิงลึก แม้พิธีได้รับการบันทึกดี แต่ “คู่มือช่างจุลกฐิน” ที่ลงลึกเรื่อง ชนิดฝ้าย–สัดส่วนย้อม–การคุมเวลา–จุดเสี่ยงในแต่ละขั้น จะทำให้การถ่ายทอด แม่น–เท่าเทียม–สม่ำเสมอ มากขึ้น โดยยังคง “เสรีภาพเชิงสุนทรียะ” ของช่าง
  • สมดุลพิธี–ท่องเที่ยว การกำหนด โซน–เวลา–มารยาทการเยี่ยมชม ที่ชัดเจน จะช่วยคุ้มครอง “ความศักดิ์สิทธิ์” ไม่ให้ถูกความนิยมทำให้หลุดจากแกนพระวินัย
  • โครงสร้างแรงจูงใจคนรุ่นใหม่ เพิ่มแรงจูงใจผ่าน ทุนการศึกษาช่างทอ–ทุนทำวิจัยลายโบราณ–เวิร์กช็อปนานาชาติ ให้ “ลื้อลายคำ” กลายเป็น เส้นทางอาชีพ ที่ภาคภูมิใจและพึ่งพาตนเองได้

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “จุลกฐินคือกระจกที่สะท้อนว่าเรายังจับมือกันแน่น”

ในทุกคืนก่อนเสร็จงาน ผืนผ้าไตรที่กำลังขึ้นรูปคือ “จุดนัดพบ” ของรุ่นสู่รุ่น—เสียงครูช่างเตือนให้เบามือ เสียงหัวเราะเด็กที่เพิ่งจับฟืมครั้งแรก เสียงแม่ค้าตะโกนขายขนมพื้นบ้านริมกาดหมั้ว และเสียงสวดแห่งกุศลผลบุญ ทุกเสียงประกอบเข้าด้วยกันเป็น “ซาวด์แทร็กของชุมชน” ที่บอกว่า เรายังทำสิ่งยากด้วยกันได้ ในโลกที่รีบและหลวมมากขึ้นทุกวัน

ผ้าหนึ่งผืน หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธา–อาชีพ–อนาคต

“มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อศรีดอนชัย” คือหลักฐานร่วมสมัยว่า พิธีกรรมที่เข้มแข็ง สามารถเป็นทั้ง โรงเรียน ชุมชน ตลาด และเวทีโลก พร้อมกันได้ เมื่อมี กรอบคิด (4 สืบ) มี แกนความเชื่อ (พระอุปคุต–พระวินัย) และมี อัตลักษณ์งานหัตถศิลป์ (ลื้อลายคำ) หนุนอยู่ด้านหลัง ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียงบุญส่วนบุคคล แต่คือ ทุนทางสังคม–วัฒนธรรม–เศรษฐกิจ ที่งอกเงยต่อเนื่อง

ในเช้าวันที่ผ้าไตรคลี่รับแสงแรก ชาวศรีดอนชัยอาจยังคงยิ้มแบบเดิม—ยิ้มที่เชื่อมั่นว่าความดีที่ทำร่วมกันจะไม่สูญเปล่า ยิ้มที่บอกลูกหลานว่า “ให้มือจำ–ให้ใจจำ” และยิ้มที่ชวนผู้มาเยือนว่า “ปีหน้า กลับมาอีกนะ มาช่วยกัน ‘สาน–ทอ–ถวาย’ ใน 24 ชั่วโมงที่สวยงามนี้ด้วยกัน”

KEY TAKEAWAYS

  • งานจัด 31 ต.ค.–2 พ.ย. 2568 ที่ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย อ.เชียงของ ครบ พิธีอาราธนาพระอุปคุต – จุลกฐิน 24 ชั่วโมง
  • อบจ.เชียงราย หนุนยุทธศาสตร์ “4 สืบ” เพื่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม–ศาสนา–เศรษฐกิจ
  • อัตลักษณ์ ไทลื้อ (ลื้อลายคำ) ถูกยกเป็น Soft Power ผ่านพิธี–การแสดง–ตลาดวัฒนธรรม
  • แนวโน้มสำคัญ งานบุญ = แพลตฟอร์มสาธารณะ ที่สร้างรายได้ เสริมความภูมิใจ และถ่ายทอดความรู้ข้ามรุ่น
  • ข้อเสนอ ทำ “คู่มือช่างจุลกฐิน” และกำหนด มารยาทการท่องเที่ยวเชิงพิธีกรรม เพื่อรักษาแกนพระวินัยและเสริมคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย
  • ชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย / พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ
  • เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

Soft Power เชียงราย แฟชั่นโชว์ผ้าไทย-ชาติพันธุ์ ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก

เชียงรายจุดประกายซอฟต์พาวเวอร์ชายแดน “Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 โชว์ผ้าไทย–ชาติพันธุ์กว่า 200 ชุด เชื่อมดีไซน์–การค้า–ท่องเที่ยว ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก รับยุทธศาสตร์ NEC

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ยามบ่ายปลายตุลาคม แสงแดดส่องทาบแนวสะพานพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย กลายเป็นรันเวย์กลางแจ้งที่ส่งเสียงของ “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” ดังออกไปไกลกว่าขอบเขตจังหวัด เมื่อ จังหวัดเชียงราย จัดงาน “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ครั้งที่ 3 อย่างคึกคัก โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นและเครือข่ายเอกชน ทั้ง เทศบาลตำบลแม่สาย และ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ที่มาร่วมผลักดันผลงานผ้าไทย–ผ้าท้องถิ่นให้เดินหน้า “จากชุมชนสู่สากล” อย่างเป็นรูปธรรม

หัวใจของงานในปีนี้คือ การประกวดและแฟชั่นโชว์กว่า 200 ชุด ที่นำผืนผ้าล้านนา–ชาติพันธุ์มาถักทอเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย โอบล้อมด้วยเสียงเชียร์จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่แวะเวียนมาชมแนวคิดสร้างสรรค์ริมเส้นทางการค้าชายแดน ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่สื่อสารอัตลักษณ์แล้ว ยังทำหน้าที่เป็น “ตลาดทดลอง” ให้ดีไซเนอร์และผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ทดสอบรสนิยมผู้บริโภคจริงในพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งของภาคเหนือ

เมื่อ “รันเวย์” ผสาน “การค้า” บนพรมแดน

เวลา 16.00 น. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 บริเวณหน้าด่านพรมแดนแม่สายเปลี่ยนโฉมเป็นเวทีสีสัน ผู้คนจากสองฟากชายแดนเบียดเสียดเข้ามาจับจองพื้นที่ชมแฟชั่นโชว์ที่ท้าทายความคิดเดิมเกี่ยวกับ “ผ้าไทย” และ “ผ้าท้องถิ่น” ชุดแล้วชุดเล่าถ่ายทอดความแยบยลของ เส้นฝ้าย–ไหม–กี่กระตุก ไปจนถึงผ้าลายชาติพันธุ์ที่ขับรายละเอียดด้วยการปัก การย้อม และการกรองริ้วผ้าสไตล์โมเดิร์น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สลับคิวกับนักออกแบบมืออาชีพทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะที่เสียงบรรยายแนวคิดการออกแบบชี้ให้เห็นรากของภูมิปัญญาและเส้นทางต่อยอดเชิงพาณิชย์

ผู้จัดงานเน้นย้ำ “บริบทชายแดน” ให้เป็นมากกว่าฉากหลัง ด้วยการจัดพื้นที่ “Chiang Rai Premium Market : มหกรรมสินค้าคุณภาพเชียงรายสู่ตลาดโลก” แบบคู่ขนาน รวมร้านค้าและผู้ผลิตจากกลุ่ม GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์), Chiang Rai Brand และกลุ่ม Wellness กว่า 100 บูธ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสและเลือกซื้อสินค้าจริง ขยับบทบาทแฟชั่นโชว์จากการสื่อสารแบรนด์สู่การสร้างรายได้ตรงหน้า—เงื่อนงำหนึ่งของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่จับต้องได้ทันที

ซอฟต์พาวเวอร์ที่มีฐานราก—จาก “ผืนผ้า” สู่ “โอกาส”

จังหวัดเชียงราย วางงานนี้ไว้ในเส้นทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค คือ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC: Northern Economic Corridor) ที่เน้นย้ำการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม–สร้างสรรค์ ให้สอดรับศักยภาพท่องเที่ยว–การค้าชายแดน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมอีเวนต์ แต่เป็น เวทีประลองโมเดลธุรกิจสร้างสรรค์” ที่เชื่อม ดีไซน์–การผลิต–การจำหน่าย–การท่องเที่ยว เข้าไว้อย่างครบวงจร

ด้านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ งานยัง น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับอาชีพช่างฝีมือและอนุรักษ์ภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน แนวคิดนี้ถูกตีความผ่านผลงานที่ “ใส่ได้จริง ขายได้จริง” ตั้งแต่เสื้อผ้าแนวเอนกประสงค์สำหรับเดินทาง จนถึงชุดร่วมสมัยที่ออกแบบสำหรับโอกาสพิเศษ—ลดช่องว่างระหว่าง “งานศิลป์บนรันเวย์” กับ “สินค้าเชิงพาณิชย์บนราวแขวน”

เชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่น 10+Wow Chiang Rai และบทบาท “พาณิชย์จังหวัด”

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย รับบท “พี่เลี้ยง” ในการเชื่อมโลกดีไซน์กับโลกธุรกิจ ผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ที่ยกจุดแข็งสิบประการของจังหวัด—ประเพณีล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ กาแฟ–ชา งานหัตถศิลป์–คหกรรม—มาออกแบบเป็น ประสบการณ์ มากกว่าการขาย “สินค้าเดี่ยว” ในงานปีนี้ “Wow” ถูกพัฒนาต่อเป็น “แพ็กเกจเชื่อมประสบการณ์” เช่น ชุดแฟชั่นจากลายผ้าชาติพันธุ์จับคู่กับแอ็กเซสซอรีงานเงิน–หวายสาน พร้อมคูปองส่วนลดคาเฟ่กาแฟเขตเมืองเก่าและเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน—โมเดลที่ทำให้เงิน “ไหลลึก” จากโชว์สู่ร้านค้า–ครัวเรือนในพื้นที่

บูธ GI และ Chiang Rai Brand ทำหน้าที่เป็น “ตราประทับคุณภาพ” ให้สินค้าในสายตานักท่องเที่ยวและผู้ซื้อจากต่างถิ่น ขณะเดียวกันยังเป็น เครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่น ให้ร้านค้าปลีกออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายนอกจังหวัดเพื่อขยายตลาดหลังจบงาน นี่คือบทเรียนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์—มาตรฐานและการรับรอง คือภาษากลางที่ทำให้เรื่องเล่าท้องถิ่นแปลความเป็นมูลค่าในตลาดสมัยใหม่

แม่สาย พรมแดนที่เป็น “ตลาดทดสอบ” และเวที Soft Power ภาคเหนือ

การเลือกจัดงานที่ หน้าด่านพรมแดนแม่สาย ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างบรรยากาศ แต่เป็นกลยุทธ์เพื่อให้ ผลงานดีไซน์ ได้ “สอบผ่าน” กับฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งภาษา–วัฒนธรรม–ความต้องการ ตั้งแต่นักเดินทางวันเดียว นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงผู้ประกอบการจากเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้ การขายจริง–ฟังจริง–ปรับจริง ที่หน้าด่านช่วยให้ดีไซเนอร์ จับสัญญาณตลาดแบบเรียลไทม์ ว่าดีเทล–แพตเทิร์น–โทนสีใด “ติดตลาด” และราคาใด “รับได้” ก่อนเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก

ในทางเศรษฐกิจมหภาค ช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวปลายปี—ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลประมาณการเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าการบริโภคเอกชนขยายตัวและมาตรการภาครัฐช่วยหนุนกำลังซื้อ—ทำให้พื้นที่จัดงานมีโอกาสรับเม็ดเงินหมุนเวียนสูงขึ้นกว่าปกติ โดย แฟชั่น ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ดึงผู้คน ขณะที่ Premium Market เปลี่ยน “ความสนใจ” ให้กลายเป็น “การซื้อจริง” ได้ในจุดเดียว

บทสะท้อนจากเวที อัตลักษณ์–ร่วมสมัย–ความยั่งยืน

แฟชั่นโชว์ปีนี้วางกรอบ สามคำหลัก ชัดเจน—อัตลักษณ์, ร่วมสมัย, ความยั่งยืน ผลงานหลายชุดเลือก เส้นใยธรรมชาติ และเทคนิคย้อมสีจากพืชท้องถิ่น ลดการใช้สารเคมี ขณะที่บางคอลเล็กชันทดลอง รีดีไซน์” (upcycle) เศษผ้า–ผ้าคงคลังให้เป็นงานชิ้นใหม่ ชี้ให้เห็นแนวโน้มตลาดแฟชั่นที่ผู้บริโภคคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้าน อัตลักษณ์ นักออกแบบหยิบลายผ้า–เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มาเล่าใหม่อย่างเคารพบริบทชุมชนผ่านการร่วมงานกับกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ ช่วยให้รายได้กลับคืนสู่คนทำผ้าต้นน้ำ

มิติ ร่วมสมัย สะท้อนผ่านการวางแพตเทิร์นที่ “ใส่ได้จริงและทุกเพศ” (gender-inclusive) ตอบไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยว–คนทำงาน–นักเรียน–นักศึกษา และผู้สูงวัยที่ต้องการความคล่องตัว—แนวทางที่เปิดประตูสู่ตลาดกว้างขึ้นกว่าการเน้นความงามบนเวทีเพียงอย่างเดียว

การบริหารจัดการงาน บูรณาการท้องถิ่น–เอกชน–ดีไซเนอร์

ความสำเร็จของงานเกิดจากการบูรณาการ สามฟันเฟือง คือ

  1. ภาครัฐท้องถิ่น (จังหวัดเชียงราย–เทศบาลแม่สาย–พาณิชย์จังหวัด) ทำหน้าที่ “อำนวยความสะดวก–กำกับมาตรฐาน–ประชาสัมพันธ์ภาพรวม”
  2. เอกชน–ผู้ประกอบการ ตั้งแต่โรงทอและกลุ่มหัตถกรรมจนถึงผู้จำหน่ายปลายทาง ร่วมออกบูธ สาธิต และทดลองตลาด
  3. นักออกแบบ–สถาบันการศึกษา เติมองค์ความรู้ด้านดีไซน์–การตลาด–ดิจิทัลคอมเมิร์ซ สร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแฟชั่นท้องถิ่น

การจัดพื้นที่แบบ “โชว์–ขาย–เล่าเรื่อง” ในจุดเดียว ช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจ ที่มา–วัตถุดิบ–แรงบันดาลใจ ของแต่ละชุด ลดช่องว่างระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ และเปิดทางให้เกิด ออเดอร์แบบ B2B จากผู้ซื้อที่ต้องการคอลเล็กชันเฉพาะสำหรับรีสอร์ต–สปา–ร้านบูติก หรือกิจกรรมองค์กร

จาก “อีเวนต์” สู่ “ระบบนิเวศเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

งานปีนี้ตั้งอยู่บนเป้าหมาย สามชั้น
ชั้นที่หนึ่ง สร้างรายได้ทันทีแก่ผู้ประกอบการผ่านการจำหน่ายหน้างานและออเดอร์ล่วงหน้า
ชั้นที่สอง วางเครือข่ายความร่วมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–โรงงานตัดเย็บ–ผู้ค้า เพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์หลังงาน
ชั้นที่สาม สร้างการรับรู้ระดับนานาชาติ โดยอาศัยพื้นที่ชายแดนเป็น “หน้าต่าง” สื่อสารซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ผู้เยือนหลากหลายสัญชาติ และปูทางการเข้าร่วมเวทีแฟชั่น–ไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาคในอนาคต

ในเชิงนโยบายท้องถิ่น ผลลัพธ์ที่ “ห่วงโซ่คุณค่า” ได้รับคือ ช่างทอ–กลุ่มแม่บ้าน–เยาวชน มีแรงจูงใจสืบสานและพัฒนาอาชีพงานผ้า ด้านผู้ประกอบการได้ ต้นแบบสินค้า ที่ผ่านการทดสอบตลาดจริง ขณะที่นักท่องเที่ยวได้รับ ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องเมืองเชียงราย มากกว่าสินค้าชิ้นเดียว—องค์ประกอบทั้งหมดขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

มองอย่างเป็นกลาง โอกาส–ความท้าทาย และการบ้านหลังเวที

แม้งานสะท้อนทิศทางบวก แต่ก็มี โจทย์เชิงโครงสร้าง ที่ต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง

  • มาตรฐานคุณภาพและไซส์: หากต้องการขยายสู่ต่างจังหวัด–ต่างประเทศ จำเป็นต้องมีมาตรฐานไซซิงและคุณภาพผ้า–ตัดเย็บที่สม่ำเสมอเพื่อรองรับออเดอร์จำนวนมาก
  • ทรัพย์สินทางปัญญา: ลายผ้า–ลวดลายชาติพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและจัดทำระบบอนุญาตใช้ลายอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ชุมชนเสียเปรียบ
  • การเงิน–โลจิสติกส์: ผู้ประกอบการรายย่อยควรเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน (เช่น สินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น) และบริการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการส่งข้ามแดนที่ต้องอาศัยความเข้าใจข้อกำหนดประเทศเพื่อนบ้าน
  • การตลาดดิจิทัล: การต่อยอดยอดขายหลังงานต้องอาศัยช่องทางอีคอมเมิร์ซ–คอนเทนต์มัลติมีเดียและความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เชิงวัฒนธรรมที่สื่อสารเรื่องราว “ทำไมต้องเชียงราย” ได้ชัดเจน

การบ้านที่ชัดเจนหลังเวที คือ การเก็บข้อมูลออเดอร์–ประเภทสินค้า–ช่วงราคาที่ขายได้ ตลอดจนฟีดแบ็กจากนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นฐานในการออกแบบคอลเล็กชันฤดูกาลหน้า และเพื่อประสานกับโครงการ NEC ในการจัดทำ “Design to Market” ที่ครบวงจรยิ่งขึ้น

น้ำหนักความสำคัญในข่าว จังหวัดเชียงราย 50% | ภาคเหนือ 30% | ประเทศไทย 20%

บทวิเคราะห์นี้ให้สัดส่วนความสำคัญกับ เชียงราย เป็นหลัก ผ่านการเจาะกลไกการจัดงานที่หน้าด่านแม่สาย ผลต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น และการบ้านหลังงาน ตามด้วยบริบท ภาคเหนือ ที่ตอกย้ำศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และปิดท้ายด้วยภาพ นโยบายส่วนกลาง ที่เป็นกรอบสนับสนุนให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่ฐานรากช่วงไฮซีซัน

เวทีชายแดนที่ “เชื่อมโลก” ด้วยผืนผ้า

“Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นโชว์ริมพรมแดน หากแต่เป็น ห้องทดลองนโยบายสาธารณะ ที่เอาคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” ออกจากหน้ากระดาษแล้วแปลงเป็น รายได้–อาชีพ–ความภาคภูมิใจ ของผู้คนในชุมชน งานแสดงให้เห็นว่าผ้าไทย–ผ้าชาติพันธุ์สามารถยืนข้างแฟชั่นร่วมสมัยอย่างสง่างาม และเมื่อจับคู่กับตลาดชายแดนที่มีชีพจรทางการค้าสูง ก็กลายเป็น สะพานเศรษฐกิจ ที่พาผู้ประกอบการเชียงรายเดินจาก “ของดีบ้านเรา” ไปสู่ “สินค้าคุณภาพที่โลกต้องการ”

ความต่อเนื่องคือคำสำคัญ—หากจังหวัดและหน่วยงานคู่ขับเคลื่อนรักษาความสม่ำเสมอของงาน สร้างฐานข้อมูลตลาด และสนับสนุนมาตรฐาน–ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง เวทีริมพรมแดนแห่งนี้จะเติบโตจาก “งานอีเวนต์” เป็น แพลตฟอร์มถาวรของอุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างสรรค์เชียงราย ที่ยืนได้ด้วยตัวเองบนเวทีภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News