เชียงรายเร่งเครื่องสู่ “จังหวัดท้องฟ้ามืด” ผนึก NARIT–ท้องถิ่น–เยาวชน ดัน Astro Tourism รับท่องเที่ยวไทยทะลุ 30 ล้านคน
เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยที่กลับมาคึกคักจนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทะลุ 30 ล้านคน และสร้างรายได้กว่า 1.4 ล้านล้านบาท จังหวัดเชียงรายกำลังเลือก “เส้นทางเฉพาะตัว” ในการยกระดับศักยภาพของพื้นที่ ด้วยการประกาศเดินหน้าสู่เป้าหมาย “จังหวัดท้องฟ้ามืด” (Chiang Rai Dark Sky Province) เพื่อเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ (Astro Tourism) แห่งใหม่ของภูมิภาค ท่ามกลางโจทย์ใหญ่เรื่องมลภาวะทางแสงที่ท้าทายการอนุรักษ์ท้องฟ้ายามค่ำคืน
ก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา เมื่อนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย นำคณะผู้บริหารและสภาเยาวชน อบจ.เชียงราย เดินทางเข้าเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT และหารือแนวทางจัดทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสถาบันฯ เพื่อผลักดันโครงการ “Chiang Rai Dark Sky” ให้เป็นรูปธรรม
การเยี่ยมชมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการดูงานเชิงสัญลักษณ์ หากแต่สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมต่อกันของสองกระแสใหญ่ในประเทศ นั่นคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว และความพยายามรักษาทุนทางธรรมชาติที่มองไม่เห็นในเวลากลางวันอย่าง “ท้องฟ้ามืด” ให้คงอยู่คู่กับพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงรายในระยะยาว
เศรษฐกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มกำลัง – โอกาสและแรงกดดันสำหรับเชียงราย
ตัวเลขจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวไทย นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 7 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแล้วรวม 30,273,872 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายภายในประเทศประมาณ 1,405,480 ล้านบาท
เฉพาะในสัปดาห์ล่าสุดระหว่างวันที่ 1 – 7 ธันวาคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศรวม 669,991 คน หรือเฉลี่ยวันละราว 95,713 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้ากว่า 5.47% โดยกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) ฟื้นตัวโดดเด่น มีอัตราการเดินทางเพิ่มขึ้นถึง 8.10% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียที่กลับมาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นกว่า 28% หลังสถานการณ์อุทกภัยใน 10 จังหวัดภาคใต้คลี่คลาย
หากมองในภาพรวม นักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 4,234,976 คน ตามด้วยจีน 4,184,791 คน อินเดีย 2,280,823 คน รัสเซีย 1,685,931 คน และเกาหลีใต้ 1,438,827 คน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า “จำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาเกือบเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตใหญ่” ขณะเดียวกันก็หมายถึงแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ รวมถึงเชียงรายด้วย
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประเมินว่า ในช่วงสัปดาห์ถัดไปจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนสำคัญ เช่น การเข้าสู่ช่วง High season ของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) มาตรการ Ease of Traveling ของรัฐบาล การยกเว้นบัตร ตม.6 และการส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบิน ทั้งหมดนี้ทำให้จังหวัดท่องเที่ยวหลักต้องเตรียมพร้อมรองรับ “จำนวนคน” ควบคู่ไปกับการปกป้อง “คุณภาพพื้นที่” ไปพร้อมกัน
สำหรับเชียงราย จังหวัดที่กำลังถูกผลักดันให้เป็นเมืองท่องเที่ยวได้ทั้งปี เที่ยวได้ทุกสไตล์ และต่อยอดสู่เมืองสุขภาพ (Wellness City) การเลือกใช้ “ท้องฟ้ามืด” เป็นแกนกลางของการพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ จึงเป็นทั้งโอกาสสร้างจุดขาย และบททดสอบเชิงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน
มลภาวะทางแสง – ปมขัดแย้งระหว่างการเติบโตของเมืองกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
ในขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวระดับชาติเติบโตต่อเนื่อง เมืองท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยกลับต้องเผชิญปัญหาอีกด้านหนึ่ง นั่นคือ “มลภาวะทางแสง” (Light Pollution) ที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับความเจริญของเมือง แสงไฟจากอาคาร ร้านค้า ป้ายโฆษณา และโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายโดยขาดการจัดการ ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างมากขึ้นทุกปี
รายงานทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ประชากรโลกประมาณหนึ่งในสาม ไม่สามารถมองเห็นทางช้างเผือกจากที่พักอาศัยของตนได้อีกต่อไป การเรืองแสงของท้องฟ้าเหนือเมือง (Urban Sky Glow) กลายเป็น “ดัชนีเตือนภัย” ของมลภาวะทางแสงที่ค่อย ๆ กลืนกินความมืดตามธรรมชาติ
ผลกระทบไม่ได้จำกัดเฉพาะการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตอย่างกว้างขวาง แสงกลางคืนที่สว่างเกินความจำเป็นทำให้สัตว์ป่าสับสน เช่น ลูกเต่าทะเลที่เคลื่อนทิศผิดไปจากทะเล หรือแมลงที่ถูกรบกวนวงจรชีวิต ในมุมของมนุษย์ การได้รับแสงในเวลาที่ไม่เหมาะสมยังเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพและการรบกวนจังหวะชีวภาพของร่างกาย
สำหรับเชียงราย เป้าหมายการเป็น “จังหวัดท้องฟ้ามืด” ทำให้คำถามเรื่องมลภาวะทางแสงมีความหมายเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าปกติ พื้นที่ที่ต้องรักษาความมืด เช่น รอบสวนแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง หรือชุมชนฮ่อมลมจอย อำเภอพาน อาจถูกล้อมด้วยเขตชุมชนและการพัฒนาใหม่ หากขาดการวางผังเมืองและข้อกำหนดด้านการใช้แสงที่ชัดเจน แสงจากพื้นที่กันชน (Buffer Zones) ก็สามารถทำลายคุณภาพความมืดของพื้นที่แกนกลางได้ภายในเวลาไม่นาน
ก้าวแรกของเชียงราย จากพื้นที่ต้นแบบสู่จังหวัดท้องฟ้ามืดทั้งจังหวัด
เชียงรายไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่ในจังหวัดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดตามมาตรฐานโครงการ “Amazing Dark Sky in Thailand” ของ NARIT แล้วอย่างน้อย 2 แห่ง
สวนแม่ฟ้าหลวง ในโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) ได้รับการรับรองเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” ในปี 2568 ถือเป็นพื้นที่แรกของประเทศในประเภทนี้ การใช้แสงสว่างอย่างระมัดระวัง การควบคุมทิศทางของโคมไฟ และการรักษาบรรยากาศยามค่ำคืน ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชมท้องฟ้า ดวงดาว และทางช้างเผือกได้ด้วยตาเปล่า ขณะเดียวกันก็สะท้อนปรัชญาการพัฒนาที่ยั่งยืนของโครงการดอยตุง ที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติ
อีกแห่งหนึ่งคือ วิสาหกิจชุมชนฮ่อมลมจอย อำเภอพาน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคลเช่นกัน ชุมชนแห่งนี้กลายเป็นตัวอย่างของการนำสถานะ “ท้องฟ้ามืด” มาต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรผสานดาราศาสตร์ (Agro–Astronomy Tourism) เกิดตำแหน่งงานใหม่ทั้งมัคคุเทศก์ดูดาว ผู้ให้บริการโฮมสเตย์ และผู้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป สร้างรายได้ให้ชุมชนและลดการย้ายถิ่นแรงงานออกนอกพื้นที่
ด้านฐานข้อมูลทางวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ได้จัดทำ “แผนที่ท้องฟ้ามืดฉบับแรกของจังหวัดเชียงราย” วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ท้องฟ้ามืดตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา แผนที่ดังกล่าวช่วยระบุทั้งพื้นที่แกนกลางที่ยังมืดสนิท และพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังมลภาวะทางแสง ข้อมูลเชิงพื้นที่นี้ถูกใช้เป็นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายของ อบจ.เชียงราย และ NARIT ในการกำหนดเขต Core Area และ Buffer Zone อย่างมีหลักฐานรองรับ
ดีลความร่วมมือใหม่ อบจ.เชียงราย–NARIT–เยาวชน วางกรอบกฎหมายควบคุมแสง
การเดินทางของคณะ อบจ.เชียงราย และสภาเยาวชน ไปยัง NARIT เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม จึงมีความหมายมากกว่าการดูดาวผ่านกล้องโทรทรรศน์ หากแต่เป็นการวางรากฐานความร่วมมือระดับจังหวัด
ในระหว่างการหารือ นางอทิตาธรย้ำเจตนารมณ์ของจังหวัดว่า ต้องการใช้แนวคิด “Dark Sky” เป็นกลไกเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ เมืองสุขภาพ และการท่องเที่ยวรูปแบบอื่น ๆ ภายใต้นโยบาย “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” แต่เพื่อให้เป้าหมายยกระดับเป็น “จังหวัดท้องฟ้ามืด” เกิดผลจริง จำเป็นต้องมีกลไกทางกฎหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงการรณรงค์เชิงสมัครใจ
NARITจึงได้เสนอแนวทางเชิงเทคนิคสำหรับการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านการควบคุมแสงสว่าง (Local Lighting Ordinance) โดยอ้างอิงมาตรฐานสากลและประสบการณ์จากโครงการ Dark Sky ในพื้นที่อื่น แนวทางหลักประกอบด้วย
- การบังคับใช้โคมไฟแบบส่องลงล่างทั้งหมด (Fully-Shielded Fixtures) เพื่อลดการรั่วไหลของแสงขึ้นสู่ท้องฟ้า
- การจำกัดอุณหภูมิสีของแสง (CCT) ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3,000 เคลวิน เพื่อลดแสงสีฟ้าที่กระจายในบรรยากาศได้ไกล
- การกำหนดช่วงเวลาลดระดับความสว่างหรือปิดไฟที่ไม่จำเป็นหลังเวลา 23.00 น. โดยเฉพาะในเขต Buffer Zone รอบพื้นที่แกนกลาง
ตัวอย่างจากโครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งใช้หลอดไฟตามมาตรฐาน Dark Sky ชี้ให้เห็นว่า การจัดการแสงอย่างเหมาะสมช่วยลดค่าไฟฟ้ารายเดือนได้มากถึงราว 47.5% ขณะเดียวกันค่าความมืดของท้องฟ้าเพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้มาตรฐานอุทยานท้องฟ้ามืดที่ NARIT กำหนด นั่นหมายความว่า “การอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดไม่ใช่ภาระงบประมาณ แต่เป็นการลงทุนที่คืนผลประหยัดระยะยาวให้ท้องถิ่นได้จริง”
อบจ.เชียงรายจึงมีแนวโน้มจะเดินหน้าจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านการควบคุมมลภาวะทางแสงโดยอาศัยข้อมูลจากแผนที่ท้องฟ้ามืดของ มรภ.เชียงราย เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ หากทำสำเร็จเชียงรายจะกลายเป็นหนึ่งในจังหวัดแรก ๆ ของไทยที่มีกฎหมายท้องถิ่นด้านท้องฟ้ามืดอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อท้องฟ้ามืดกลายเป็น “ทรัพย์สินทางเศรษฐกิจ” ของเชียงราย
การก้าวสู่จังหวัดท้องฟ้ามืดไม่ได้หมายถึงการทำให้จังหวัดมืดลง หากแต่เป็นการจัดการ “คุณภาพของแสง” ให้เหมาะสมกับทั้งความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และเมื่อท้องฟ้ากลับมามืดพอที่จะมองเห็นดาวจำนวนมากได้อย่างชัดเจน ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจก็เริ่มปรากฏให้เห็น
ประสบการณ์ในพื้นที่ต้นแบบอย่างฮ่อมลมจอย แสดงให้เห็นว่าการได้รับการรับรองเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเฉพาะที่ยินดีเดินทางไกลเพื่อประสบการณ์ดูดาวโดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายสูงและพักค้างคืนหลายวัน ทำให้รายได้กระจายสู่ธุรกิจโฮมสเตย์ ร้านอาหาร และสินค้าเกษตรแปรรูปอย่างทั่วถึง
ในระดับจังหวัด หากเชียงรายสามารถเชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวท้องฟ้ามืดเข้ากับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมเดิม เช่น ดอยตุง ดอยช้าง ดอยผาตั้ง หรือชุมชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ จะสามารถออกแบบแพ็กเกจท่องเที่ยว “Chiang Rai Dark Sky” ได้หลากหลาย ทั้งทริปดูดาว เดินป่า เรียนรู้กาแฟหรือชา และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพที่แสวงหาประสบการณ์ลึกซึ้งมากกว่าการเดินทางเชิงถ่ายรูปเพียงระยะสั้น
นอกจากนี้ การผลักดัน Astro Tourism ยังเชื่อมโยงโดยอ้อมกับวาระด้านคุณภาพอากาศของภาคเหนือ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่น PM 2.5 เพราะท้องฟ้ามืดจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีที่สุดในช่วงที่ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง การรักษาท้องฟ้าให้มืดและใสไปพร้อมกันจึงกลายเป็นแรงส่งให้จังหวัดต้องจริงจังกับทั้งการลดมลภาวะทางแสงและมลพิษทางอากาศ
ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข – จากห้องประชุมสู่การมีส่วนร่วมของชุมชน
แม้เชียงรายจะมีพื้นที่ต้นแบบและฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์พร้อมแล้ว แต่การยกระดับทั้งจังหวัดให้เป็น “จังหวัดท้องฟ้ามืด” ยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ตั้งแต่การควบคุมแสงในโครงการพัฒนาใหม่ๆ ในเขตเมืองและชานเมือง ไปจนถึงความเข้าใจของประชาชนที่อาจกังวลว่า “ลดแสงแล้วจะไม่ปลอดภัย”
ผู้เชี่ยวชาญด้านท้องฟ้ามืดจึงเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่การปิดไฟจนมืดสนิท แต่อยู่ที่การใช้แสงให้ตรงจุดและเพียงพอ เช่น ใช้โคมไฟที่ส่องลงพื้นถนนแทนการกระจายขึ้นฟ้า ใช้แสงสีเหลืองอบอุ่นแทนแสงสีขาวจ้า และลดการเปิดไฟที่ไม่จำเป็น การสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่องจึงเป็นหัวใจในการลดความเข้าใจผิด และสร้างความภาคภูมิใจร่วมกันว่า “ทุกคนมีส่วนในการรักษาท้องฟ้าของจังหวัด”
อีกด้านหนึ่ง การบังคับใช้ข้อบัญญัติท้องถิ่นจำเป็นต้องออกแบบให้สมดุลระหว่างความเข้มงวดกับความยืดหยุ่น เช่น การให้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนโคมไฟของภาคเอกชน การจัดตั้งกองทุนหรือโครงการสนับสนุนการเปลี่ยนหลอดไฟเป็นมาตรฐาน Dark Sky สำหรับครัวเรือนรายได้ต่ำ และการเปิดช่องให้ชุมชนท้องถิ่นเสนอพื้นที่ที่ต้องการเป็นเขตอนุรักษ์เพิ่มเติม
วิสัยทัศน์ระยะยาว จากเชียงรายสู่ต้นแบบอาเซียน
เมื่อมองไกลไปกว่าขอบเขตจังหวัด การขับเคลื่อน “Chiang Rai Dark Sky” มีศักยภาพจะกลายเป็นต้นแบบให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในไทยและภูมิภาคอาเซียน การผสานกันของข้อมูลวิทยาศาสตร์จาก NARIT ฐานข้อมูลท้องถิ่นจาก มรภ.เชียงราย และอำนาจจัดการพื้นที่ของ อบจ.เชียงราย แสดงให้เห็นโมเดลความร่วมมือไตรภาคีที่น่าสนใจ ทั้งด้านกฎหมาย สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจท้องถิ่น
หากเชียงรายสามารถผลักดันข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านการควบคุมมลภาวะทางแสงให้มีผลบังคับใช้จริง พร้อมขยายผลจากพื้นที่แกนกลาง เช่น สวนแม่ฟ้าหลวงและฮ่อมลมจอย ไปสู่เครือข่ายชุมชนท้องฟ้ามืดทั่วจังหวัดได้สำเร็จ ก็จะไม่เพียงเป็นจังหวัดแรก ๆ ของไทยที่มีนโยบายท้องฟ้ามืดในระดับจังหวัด แต่ยังอาจกลายเป็น “ห้องทดลองเชิงนโยบาย” ให้ประเทศอื่นในภูมิภาคนำไปปรับใช้
ในวันที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 30 ล้านคนหลั่งไหลเข้ามาสร้างรายได้ให้ประเทศไทย ตัวเลขดังกล่าวอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากจังหวัดต่าง ๆ เลือกใช้การพัฒนาอย่างมีกลยุทธ์และตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรที่มองไม่เห็นในแสงจ้าเช่น “ท้องฟ้ามืด” สำหรับเชียงราย เส้นทางสู่การเป็น “จังหวัดท้องฟ้ามืด” จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มอีกหนึ่งแบรนด์ท่องเที่ยว แต่คือการวางรากฐานเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เดินหน้าไปด้วยกันอย่างสมดุลในระยะยาว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – รายงานสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้จากการท่องเที่ยว ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2568
- สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) – ข้อมูลโครงการ “Amazing Dark Sky in Thailand” และเกณฑ์การรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด
- องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – ข้อมูลการหารือโครงการ “Chiang Rai Dark Sky” และการเยี่ยมชม NARIT ของคณะผู้บริหารและสภาเยาวชน อบจ.เชียงราย วันที่ 7 ธันวาคม 2568
- มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย – งานวิจัยและ “แผนที่ท้องฟ้ามืดฉบับแรกของจังหวัดเชียงราย” ใช้ประกอบการวางแผนเชิงพื้นที่
- มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และวิสาหกิจชุมชนฮ่อมลมจอย – ข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในจังหวัดเชียงราย









