
ครม.ไฟเขียวมาตรการป้องกันทุจริต บล็อกข้าราชการทุจริตคืนสู่ระบบ
แนวทางใหม่เพื่อคัดกรองบุคลากรราชการ
ประเทศไทย,วันที่ 22 เมษายน 2568 – ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยถูกให้ออกจากราชการจากกรณีทุจริตกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
มอบสำนักงาน ก.พ. ขับเคลื่อนมาตรการร่วมหน่วยงานกลาง
นอกจากนี้ ครม. ยังได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) รับเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของรัฐ หน่วยงานกฎหมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อนำไปสู่ข้อยุติในการปฏิบัติร่วมกัน โดยต้องสรุปผลและส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน
แนวทางคัดกรองบุคลากรที่เคยทุจริต
ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอที่ชัดเจนให้มีการใช้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของรัฐ โดยเสนอให้ระบุชัดเจนว่า ข้าราชการที่เคยถูกให้ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตถือเป็น “ลักษณะต้องห้าม” ไม่สามารถกลับเข้ารับราชการหรือเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐได้อีก
บังคับใช้ทั่วทุกหน่วยงานรัฐ
ข้อเสนอของ ป.ป.ช. กำหนดให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐทุกประเภท โดยให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีบทลงโทษต่อผู้บังคับบัญชาที่ฝ่าฝืน เช่น กรณีรับผู้ที่เคยกระทำทุจริตกลับเข้ารับราชการ
ขอความร่วมมือใช้แนวทางเดียวกันทั่วประเทศ
นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมติ ก.พ. ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่องการบรรจุบุคคลผู้เคยกระทำผิดวินัยฐานทุจริตกลับเข้ารับราชการ มาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้เกิดการแต่งตั้งบุคคลที่เคยกระทำผิดเข้าระบบราชการอีก
บังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ การเสนอแนวทางเหล่านี้ เป็นไปตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการเสนอแนะมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
ครม.ต้องตอบกลับภายในกรอบเวลา
เมื่อ ครม. ได้รับแจ้งข้อเสนอจาก ป.ป.ช. หากมีเหตุไม่สามารถดำเนินการได้ จำเป็นต้องแจ้งเหตุผลและอุปสรรคให้ ป.ป.ช. ทราบภายใน 90 วัน ซึ่งในกรณีนี้ครบกำหนดวันที่ 8 มิถุนายน 2568
จุดยืนของรัฐบาลต่อปัญหาทุจริต
มาตรการดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลปัจจุบันมีจุดยืนที่เข้มงวดต่อปัญหาการทุจริตในระบบราชการ โดยการป้องกันการกลับเข้ารับราชการของผู้กระทำผิดในอดีต ถือเป็นการเสริมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของระบบราชการไทย
ประเด็นถกเถียงและการวิเคราะห์
ในแง่มุมของนักวิชาการ บางฝ่ายตั้งคำถามถึงความสมดุลของมาตรการนี้ ระหว่างการป้องกันทุจริต กับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิในการกลับตัวหรือได้รับโอกาสครั้งที่สอง ในขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนมองว่าหากไม่กำหนดแนวทางชัดเจน ระบบราชการอาจกลายเป็นแหล่งรวมผู้มีประวัติไม่โปร่งใส และกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนในระยะยาว
ตัวอย่างนโยบายใกล้เคียงในต่างประเทศ
ประเทศอย่างสิงคโปร์และเกาหลีใต้ต่างมีแนวทางคล้ายกันในการจำกัดโอกาสของข้าราชการที่เคยกระทำผิดทางวินัยให้กลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง โดยถือเป็นหลักการพื้นฐานในการควบคุมคุณภาพบุคลากรภาครัฐ
แนวโน้มในอนาคตของระบบบริหารงานบุคคล
นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากมาตรการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการทั่วประเทศ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการคัดเลือกบุคลากรภาครัฐ และอาจนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายด้านระเบียบราชการให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สถิติที่เกี่ยวข้อง
- ข้อมูลจากสำนักงาน ก.พ. ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2560 – 2567 มีข้าราชการที่ถูกให้ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตมากกว่า 2,100 ราย
- รายงานจาก ป.ป.ช. ระบุว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีการร้องเรียนข้าราชการกระทำผิดวินัย รวม 527 กรณี
- จากผลสำรวจโดยสำนักงาน ก.พ. ในปี 2566 ประชาชนกว่า 78.2% สนับสนุนนโยบายห้ามบรรจุข้าราชการที่เคยทุจริตกลับเข้าสู่ระบบ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
- คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
- ราชกิจจานุเบกษา
- สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
- ThaiPBS, Bangkok Post (รายงานข่าวย้อนหลังเกี่ยวกับการบรรจุข้าราชการทุจริต)