Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายระดมสมองทำแผน 5 ปี “เมืองพี่เมืองน้อง” เชื่อมเศรษฐกิจชายแดน

เชียงรายเปิดเวทีระดมสมอง ทำแผน 5 ปี “เมืองพี่เมืองน้อง” รับจังหวะ FDI ไทยพุ่ง 125% ตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจ–การค้า–การลงทุนเชื่อม NEC อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 —โรงแรมทีคการ์เด้น สปา รีสอร์ท เมืองเชียงราย เป็นภาพของ “ห้องปฏิบัติการอนาคต” เมื่อผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ–รัฐวิสาหกิจ–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–ภาคเอกชน–สถาบันการศึกษา กว่า 180 คน ทยอยลงทะเบียนเข้าร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ระยะ 5 ปี ของจังหวัดเชียงราย บนโจทย์ใหญ่ที่ไม่เพียงต้องตอบ “เชียงรายอยากเป็นอะไร” แต่ต้องตอบให้ชัดว่า จะเดินไปอย่างไร ในโลกการลงทุนที่กำลังเร่งเครื่อง”

พิธีเปิดนำโดย นายนนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ก่อนจะเข้าสู่เวทีบรรยายและระดมความคิดเห็นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาระหว่างประเทศ และศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน

แก่นของการประชุมวันนี้ คือการ “ตั้งเข็มทิศร่วม” ของภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา เพื่อออกแบบแผน 5 ปี ที่ จับต้องได้ เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนของเชียงรายเข้ากับ คลื่นการลงทุนระลอกใหม่ ที่กำลังไหลผ่านภูมิภาค

ทำไมต้อง “ตอนนี้” เมื่อหน้าต่างโอกาสของ FDI เปิดกว้าง

การขับเคลื่อนเชิงรุกของเชียงรายเกิดขึ้นในจังหวะที่ “ข้อมูลใหญ่” ของประเทศชี้ชัดว่า FDI กำลังไหลเข้าไทยแรงที่สุดในรอบหลายปี ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.–ส.ค.) เงินลงทุนจากต่างชาติ แตะ 225,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 125% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมี นักลงทุน 687 ราย เข้ามาจัดตั้งธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการ

หากซูมเข้าไปดูรายละเอียด 5 อันดับประเทศต้นทาง ที่ขับเคลื่อนการลงทุน จะเห็นโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ค่อย ๆ ก่อตัว

  • ญี่ปุ่น เงินลงทุน 71,844 ล้านบาท เน้นห่วงโซ่อุตสาหกรรม—จัดหาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน, ซอฟต์แวร์, ตรวจคุณภาพสินค้า, รับจ้างผลิตตั้งแต่เครื่องจักรไปถึงชิ้นส่วนยานยนต์–การเกษตร
  • สหรัฐอเมริกา 105 ราย เงินลงทุน 3,433 ล้านบาท โดดเด่นที่บริการท่องเที่ยว–โฆษณา–คอนซัลต์ธุรกิจ–รับจ้างผลิตชิ้นส่วน
  • สิงคโปร์ 93 ราย เงินลงทุน 68,495 ล้านบาท ขยายตัวใน ดาต้าเซ็นเตอร์–ฟินเทค–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
  • จีน 87 ราย เงินลงทุน 20,785 ล้านบาท เสริมแกร่งซัพพลายเชนเครื่องจักรอัตโนมัติ–ซอฟต์แวร์–มอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงบริการซ่อมบำรุง EV
  • ฮ่องกง 74 ราย เงินลงทุน 12,372 ล้านบาท ครอบคลุมบริการพลังงาน–โทรคมนาคม–โลหะ/ชิ้นส่วน

ในมิติการกระจายตัวเชิงพื้นที่ EEC ยังเป็นแม่เหล็กหลัก ด้วยเม็ดเงิน 74,792 ล้านบาท (33% ของทั้งประเทศ) แต่สำหรับ “เชียงราย” จุดแข็งไม่ได้อยู่ที่โรงงานขนาดยักษ์ หากอยู่ที่ โลจิสติกส์ชายแดน–บริการ–ท่องเที่ยวคุณภาพ–การค้า/ขนส่ง–อุตสาหกรรมสนับสนุน ที่สอดรับกับ NEC และการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง

เชียงรายวาง 4 จุดยุทธศาสตร์ “เมืองพี่เมืองน้อง” เชื่อมเศรษฐกิจชายแดน–วัฒนธรรม–การศึกษา

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า การทำแผนครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย ลงนามแล้ว 86 คู่ จาก 40 จังหวัด สำหรับเชียงรายนั้นมีฐานที่มั่นยืนอยู่แล้วกับ มณฑลยูนนาน” (ตั้งแต่ปี 2543) และกำลังเดินหน้าอีก 3 เมือง/พื้นที่ยุทธศาสตร์ ได้แก่

  1. เมืองกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น — มุ่งความร่วมมือด้านเทคโนโลยี/อุตสาหกรรมสนับสนุน, เมืองน่าอยู่/สิ่งแวดล้อม, การศึกษาวิจัย และท่องเที่ยวคุณภาพ
  2. จังหวัดท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา — เสริมบทบาทประตูการค้าชายแดน, โลจิสติกส์, บริการท่องเที่ยว–โรงแรม–รีสอร์ต และแรงงานฝีมือ
  3. แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว — เชื่อมโครงข่ายคมนาคม–ขนส่ง, การค้าพรมแดน, เกษตร–อาหาร และวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง

ความคล้ายคลึงทางภูมิประเทศ ประเพณี และวัฒนธรรม ระหว่างเชียงรายกับเมืองเหล่านี้ ทำให้การยกระดับสู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ–การค้า–การลงทุน มีฐานรองรับจริง และต่อยอดสู่ การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ, แลกเปลี่ยนการศึกษา/นักศึกษา, อนุรักษ์และใช้ประโยชน์วัฒนธรรมร่วม ได้อย่างสมเหตุสมผล

ห้องประชุมที่กลายเป็น “ห้องทดลอง” ตั้งโจทย์–แตกประเด็น–จับคู่หุ้นส่วน

เวทีวันนี้ไม่ใช่เพียงรับฟัง แต่เป็น workshop ตั้งโจทย์ร่วม ผู้เข้าร่วมกว่า 180 คน ถูกแบ่งกลุ่มเพื่อระดมไอเดีย คลัสเตอร์ความร่วมมือ” ที่เชื่อมเศรษฐกิจ–สังคม–วัฒนธรรม–สิ่งแวดล้อม ให้สอดรับกับทุนของพื้นที่และแนวโน้มโลก

คลัสเตอร์เศรษฐกิจ/การลงทุน

  • โลจิสติกส์ชายแดน–ศูนย์กระจายสินค้า–บริการขนถ่าย
  • บริการดิจิทัล–ดาต้า–เศรษฐกิจสร้างสรรค์–คอนเทนต์ท้องถิ่น
  • เกษตร–อาหาร–เกษตรแปรรูป–มาตรฐานฮาลาล/เกษตรอินทรีย์
  • ท่องเที่ยวคุณภาพ: เชื่อมวัฒนธรรม–สุขภาพ–ธรรมชาติ–งานเทศกาล

คลัสเตอร์การศึกษา/นวัตกรรม

  • เครือข่ายวิจัยกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค—แลกเปลี่ยนนักศึกษา/อาจารย์
  • ห้องทดลองนโยบายท้องถิ่น (local policy lab) ทดสอบบริการสาธารณะดิจิทัล

คลัสเตอร์วัฒนธรรม/สังคม

  • เครือข่ายงานศิลป์–เทศกาลลุ่มน้ำโขง–แลกเปลี่ยนศิลปิน
  • พหุวัฒนธรรม–พหุภาษา–สื่อชุมชน เพื่อการท่องเที่ยวที่เคารพวิถีคน

คลัสเตอร์สิ่งแวดล้อม/เมืองยั่งยืน

  • การบริหารจัดการขยะข้ามพรมแดน–การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
  • โครงการพื้นที่สีเขียว–โครงสร้างพื้นฐานเป็นมิตรต่อคนเดิน–จักรยาน

ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ คือ แผนแม่บท 5 ปี” ที่ไม่ใช่เอกสารลอย ๆ แต่เชื่อมโยง ภาคส่วน–โครงการ–ตัวชี้วัด (KPIs) และ คู่ความร่วมมือ ที่จับมือเดินได้จริง พร้อมกำหนด Roadmap รายปี เพื่อให้ทุกฝ่ายติดตาม–ทบทวน–ปรับปรุงได้เป็นวัฏจักร

FDI พุ่ง–โครงสร้างลงทุนเปลี่ยน โอกาสของเชียงรายอยู่ตรงไหน

ข้อมูล DBD สะท้อนชัดว่า แม้จำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 ลดลงเล็กน้อย 4.25% (เหลือ 59,189 ราย) แต่ ทุนจดทะเบียนรวมกลับขยาย 4.24% (เป็น 194,347 ล้านบาท) แปลว่าภูมิทัศน์การลงทุนกำลัง ขยับสู่ธุรกิจทุนหนา–เทคโนโลยี–บริการมูลค่าเพิ่ม ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เติบโตเด่นคือ ขายส่งสินค้าทั่วไป (+51.18%) โรงแรม–รีสอร์ต–ห้องชุด (+44.79%) และขนส่ง–ขนถ่าย (+26.18%)ทั้งหมดคือ “เส้นเลือดใหญ่” ของเมืองชายแดนและเมืองท่องเที่ยว อย่างเชียงราย

สำหรับ FDI ที่ไหลเข้าไทย 225,536 ล้านบาท (+125%) รูปธรรมต่อเชียงรายชัดเจนใน 3 มิติ

  1. โหนคลื่นโลจิสติกส์ชายแดน: เชื่อมขนส่ง–โกดัง–ด่าน–บริการกำกับดูแลคุณภาพสินค้า รับเทรนด์ “จัดหาชิ้นส่วน/วัตถุดิบ” จากญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง
  2. ท่องเที่ยวคุณภาพ/บริการดิจิทัล: รับเทรนด์สหรัฐฯ/สิงคโปร์ด้านบริการท่องเที่ยว–คอนซัลต์–ฟินเทค–ดาต้าเซ็นเตอร์ (ในสเกลที่เหมาะกับพื้นที่/สิ่งแวดล้อม)
  3. ซัพพลายเชนอาหาร/เกษตรมูลค่าเพิ่ม: ต่อยอดจุดแข็งเกษตรภาคเหนือ–มาตรฐาน–แปรรูป–โลจิสติกส์–ตลาดต่างประเทศ ผ่านกรอบความร่วมมือ Sister City

Roadmap 5 ปี จาก “แผนบนกระดาษ” สู่ “การเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้”

เพื่อให้แผน 5 ปีเป็น “เครื่องมือทำงาน” ไม่ใช่ “คู่มือเก็บตู้” ที่ประชุมกำหนด โครงสร้างการขับเคลื่อน–ตัวชี้วัด–กลไกธรรมาภิบาล ไว้เบื้องต้น

1) โครงสร้างขับเคลื่อน (Governance)

  • คณะทำงานจังหวัด ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง–คัดเลือกโครงการ–จัดสรรทรัพยากร–เจรจาความร่วมมือ
  • คณะทำงานสาขา (คลัสเตอร์) ด้านเศรษฐกิจ/การค้า/โลจิสติกส์/ท่องเที่ยว/การศึกษา/วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม
  • หน่วยเลขานุการ โดยสำนักงานจังหวัด เชื่อมการเงิน–กฎหมาย–ติดตามประเมินผล

2) ตัวชี้วัด (KPIs) ที่ประชาชนเห็นและสัมผัสได้

  • มูลค่าการค้า–การลงทุนชายแดน (ปีต่อปี)
  • จำนวนโครงการ/ข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับคู่เมืองพี่เมืองน้อง
  • นักท่องเที่ยวคุณภาพ–รายได้ต่อหัว–ระยะพำนัก ในเส้นทาง Sister City
  • การแลกเปลี่ยนนักศึกษา/งานวิจัยร่วม (โปรเจ็กต์ที่มีผลผลิตชัดเจน)
  • ความโปร่งใส/ธรรมาภิบาลธุรกิจข้ามพรมแดน (เครื่องมือกำกับ–ร้องเรียน–ตรวจสอบ)

3) กลไกธรรมาภิบาล–คุ้มครองการแข่งขันเป็นธรรม

  • ประสาน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ในการ ปราบปรามนอมินี–นิติบุคคลบัญชีม้า
  • เปิดข้อมูลสถานประกอบการ–ที่ตั้ง–ผู้รับผิดชอบ (ตามกรอบกฎหมาย) ให้ตรวจสอบได้
  • คู่มือปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการชายแดน–มาตรฐานบริการ–สิทธิแรงงานข้ามชาติ

เสียงสะท้อนจากห้องประชุม เมืองน่าอยู่–เศรษฐกิจเดิน–วัฒนธรรมไม่หาย

แม้เวทีวันนี้จะเน้น “ข้อมูล–แผน–ตัวเลข” แต่สิ่งที่สะท้อนจากการระดมความคิดเห็นคือ ความหวงแหนอัตลักษณ์ และ ความหวังให้โอกาสกระจายถึงชุมชน เสียงจากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเห็นพ้องว่า การผลักดัน Sister City ควรมุ่ง “ท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน–เคารพวัฒนธรรม” มากกว่าปริมาณผู้มาเยือน ขณะที่ภาคโลจิสติกส์–การค้าขนส่ง ต้องการให้จังหวัด เร่งบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด่าน–คลัง–ศูนย์กระจายสินค้า ควบคู่กับ อำนวยความสะดวกด้านดิจิทัล (เช่น ระบบเอกสาร/ชำระค่าธรรมเนียม–ติดตามสถานะ–ข้อมูลกระจายตัวแบบเรียลไทม์)

ด้านสถาบันการศึกษาเสนอให้ตั้ง ศูนย์องค์ความรู้ Sister City” รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม–กฎระเบียบของเมืองคู่ความร่วมมือ เพื่อให้ผู้ประกอบการและชุมชนเข้าถึง ความรู้พร้อมใช้” ต่อยอดได้ทันที และใช้เป็นฐานพัฒนา หลักสูตรร่วม/โครงการวิจัย ที่มีผลลัพธ์เชิงพาณิชย์–สังคมชัดเจน

จากเวทีสู่สนามจริง โครงการนำร่องที่ชุมชน “มองเห็น–แตะต้อง–ใช้ประโยชน์”

เพื่อให้แผน 5 ปีเริ่มต้นอย่างมีพลัง ที่ประชุมได้ระบุ “แนวทางนำร่อง” ที่ทำได้เร็วและวัดผลได้ ได้แก่

  • คอร์ริดอร์ท่องเที่ยวคุณภาพ เชื่อมเมืองหลักเชียงราย–ท่าขี้เหล็ก–บ่อแก้ว ภายใต้หลักการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) และ เส้นทางเทศกาล–วัฒนธรรมร่วม
  • ศูนย์ข้อมูลการค้า–โลจิสติกส์ชายแดน พัฒนาหน้าบ้านดิจิทัลกลาง ให้ผู้ประกอบการ (โดยเฉพาะ SME) เข้าถึงข้อมูลขั้นตอน–ภาษี–มาตรฐานสินค้า–จุดให้บริการ
  • โครงการคู่หูมหาวิทยาลัย–ผู้ประกอบการ (U–Biz Buddy) ให้ทุนโปรเจ็กต์เล็ก–เร็ว–เข้าโจทย์จริง สร้างนวัตกรรมบริการ/ผลิตภัณฑ์พร้อมใช้
  • Sandbox ธรรมาภิบาลข้ามแดน ทดลองใช้ระบบตรวจสอบที่ตั้ง–สถานประกอบการ–ช่องทางร้องเรียนแบบรวมศูนย์ ร่วมกับ DBD และภาคีที่เกี่ยวข้อง

บรรยากาศที่ไม่ใช่แค่ “ฟัง” เวทีที่คนทำงานรู้สึกว่า “มีที่ยืน”

สิ่งที่โดดเด่นคือการจัดวางเวทีให้ ทุกภาคส่วนได้พูด ใน “เวลาและภาษาของตัวเอง” ภาคธุรกิจเล็ก–กลางได้อธิบายข้อจำกัดที่เผชิญประจำวัน ตั้งแต่เอกสารข้ามแดนไปจนถึงต้นทุนขนส่ง ภาครัฐรับฟังพร้อมจด “รายการแก้ไขเร็ว” (quick wins) เพื่อทดสอบในไตรมาสถัดไป ส่วนสถาบันการศึกษาวางบทบาท “ช่างเทคนิคของนโยบาย” แปลงโจทย์เป็นงานวิจัยที่ลงสนาม ไม่ใช่รายงานอยู่บนชั้น

เวทีวันนี้จึงไม่ใช่ “พิธีการ” แต่เป็นการตั้งเครื่องมือการทำงานร่วม ที่ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน วัดผลร่วมกัน และพร้อมรับผิดชอบร่วมกัน

ภาพใหญ่ของประเทศ–ภาพเฉพาะของเชียงราย เมื่อเส้นกราฟตัดกันพอดี

ข้อมูล DBD ยังชี้ว่า เดือนสิงหาคม 2568 ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,641 ราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนเดียว 23,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากทั้งเมื่อเทียบปีก่อนและเดือนก่อนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และสอดคล้องกับ FDI ที่ นักลงทุนญี่ปุ่น–สหรัฐฯ–สิงคโปร์ ยังให้ความสนใจไทยอย่างยั่งยืน

สำหรับเชียงราย เส้นกราฟ “การสร้างเมืองน่าอยู่–ปลอดภัย–ยั่งยืน” กำลังตัดกับกราฟ “การค้า–การลงทุนชายแดน–บริการมูลค่าเพิ่ม” ในจุดที่เหมาะสม การทำแผนเมืองพี่เมืองน้องระยะ 5 ปี จึงไม่ใช่เพียงการทูตเมือง แต่เป็น ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก ที่ออกแบบให้โอกาสใหม่ กระจายลงชุมชน ผ่านงานที่วัดผลได้จริง

แผน 5 ปีที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “ไม่ทิ้งข้อมูลไว้บนสไลด์”

เมื่อ FDI ของประเทศพุ่ง 125% เม็ดเงิน–เทคโนโลยี–คนเก่งกำลังมองหาพื้นที่ลงหลัก เชียงรายเลือกยืนในที่ของตัวเอง—เมืองชายแดน–บริการ–ท่องเที่ยวคุณภาพ–โลจิสติกส์–อาหาร—และเปิดหน้าต่างไปยัง ยูนนาน–กุนมะ–ท่าขี้เหล็ก–บ่อแก้ว ด้วย แผน 5 ปี ที่มี Roadmap–KPI–ธรรมาภิบาล–การมีส่วนร่วม เป็น “นอตยึด” ให้เดินไกลและมั่นคง

จากห้องประชุมวันนี้ ต่อจากนี้คือ การบ้านรายเดือน–รายไตรมาส ที่ต้องส่งพร้อมหลักฐาน—จำนวนโครงการร่วม, มูลค่าการค้า–การลงทุน, รายได้ท่องเที่ยวต่อหัว, จำนวนการแลกเปลี่ยนการศึกษา, และตัวชี้วัดความโปร่งใสทางธุรกิจ—เพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า “เชียงรายไม่ได้แค่คิด แต่กำลังทำ และทำบนข้อมูลจริง”

กล่องข้อมูลสำคัญ (Key Figures)

  • ผู้เข้าร่วมประชุมระดมสมอง: 180 คน (ภาครัฐ–รัฐวิสาหกิจ–อปท.–เอกชน–สถาบันการศึกษา)
  • คู่ความร่วมมือ Sister City ของเชียงราย: มีแล้ว 1 (ยูนนาน, จีน—ตั้งแต่ปี 2543) กำลังดำเนินการเพิ่มอีก 3 (กุนมะ–ญี่ปุ่น, ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา, บ่อแก้ว–ลาว)
  • FDI ไทย 8 เดือนแรกปี 2568: 225,536 ล้านบาท (+125%) นักลงทุน 687 ราย; 5 อันดับประเทศ: ญี่ปุ่น–สหรัฐอเมริกา–สิงคโปร์–จีน–ฮ่องกง
  • โฟกัสพื้นที่ EEC: 74,792 ล้านบาท (33% ของ FDI)
  • ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8 เดือนแรก: 59,189 ราย (-4.25%) แต่ ทุนจดทะเบียนรวม 194,347 ล้านบาท (+4.24%)
  • ธุรกิจที่เติบโตเด่น: ขายส่งสินค้าทั่วไป (+51.18%), โรงแรม–รีสอร์ต–ห้องชุด (+44.79%), ขนส่ง–ขนถ่าย (+26.18%)

เช็กลิสต์ “ก้าวต่อไป” ที่สาธารณะติดตามได้

  1. เผยแพร่ ร่างแผน 5 ปี ต่อสาธารณะ พร้อมรับฟังความเห็นรอบ 2
  2. ตั้ง คณะทำงานคลัสเตอร์ (เศรษฐกิจ/โลจิสติกส์/ท่องเที่ยว/การศึกษา/วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม) พร้อมกรอบงาน 12 เดือน
  3. เปิด ศูนย์ข้อมูล Sister City ออนไลน์—รวมกฎระเบียบ–โอกาส–คู่มือธุรกิจชายแดน
  4. เปิด โครงการนำร่อง 3–5 รายการ ภายใน 6 เดือน (ท่องเที่ยวคุณภาพ, ศูนย์ข้อมูลโลจิสติกส์, U–Biz Buddy, Sandbox ธรรมาภิบาลข้ามแดน)
  5. ประกาศ KPI รายไตรมาส และรายงานผลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (DBD)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเชียงใหม่/ฝ่ายวิจัยที่เกี่ยวข้อง)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง / มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม-คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม–คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน “กก–สาย” เดินหน้าเชื่อมฐานข้อมูล–ติดตามร่วม หวังคลี่คลายวิกฤตปนเปื้อนข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

เนปยีดอ ประเทศเมียนมา, 21 สิงหาคม 2568 — ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำชายแดนภาคเหนือ รัฐบาลไทยยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาด้วยการ “ตั้งคณะทำงานวิชาการร่วม” (Joint Technical Working Group) เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–แม่น้ำสายอย่างเป็นระบบ เป้าหมายคือเร่งเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจติดตามร่วม และออกมาตรการจัดการที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์และสิทธิประชาชนในพื้นที่ชายแดน

คณะไทยนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นายขิ่น ม่อง ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา ณ กรุงเนปยีดอ โดยเห็นพ้อง 3 แกนหลัก ได้แก่ (1) แสดงเจตนารมณ์ร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการคุณภาพน้ำ (2) ยกระดับการประสาน–แลกเปลี่ยนข้อมูลบ่อยครั้งยิ่งขึ้น และ (3) จัดตั้งคณะทำงานวิชาการร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและการจัดการกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ

“รัฐบาลมุ่งมั่นจะแก้ปัญหานี้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ…การดำเนินการต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมและแก้ได้จริง” — นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือของคณะผู้แทนไทย)

เล่าความก่อนถึง “โต๊ะเจรจา” ตัวเลขที่กดดันให้ต้องเปลี่ยนเกมจาก “แก้เฉพาะหน้า” สู่ “ความร่วมมือถาวร”

สองปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือนเรื่องสารปนเปื้อนในลุ่มน้ำกก–สายทวีความเข้มข้น ข้อมูลภาครัฐสะท้อนภาพเดียวกันว่า “สารหนู” ในบางช่วง–บางจุดของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงตอนบน “เกินเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับน้ำดื่ม” (0.01 มิลลิกรัม/ลิตร) หลายครั้งติดต่อกัน โดยผลตรวจที่เผยแพร่เมื่อปลายพฤษภาคม 2568 ระบุค่าอยู่ช่วงประมาณ 0.011–0.037 มก./ล. ในจุดตรวจหลายตำบลของเชียงรายและชายแดนแม่สาย ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องยกระดับการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนทันที

นอกจากนั้น แผนที่–สรุปสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกของ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เองก็ชี้ว่าช่วงที่มีน้ำหลาก น้ำแรง อนุภาคตะกอนและโลหะหนักจะกระจายตัวสูงขึ้น ส่วนหน้าแล้งมีแนวโน้มตกตะกอนสะสมในชั้นดินตื้นของลำน้ำและตลิ่งทั้งหมดคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายว่าทำไม “บางวันค่าขึ้น–บางวันค่าลง” แต่ภาพรวมความเสี่ยงยังคงอยู่ โดย คพ.ชี้ชัดถึงเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มก./ล. สำหรับน้ำดื่มที่สาธารณชนใช้เทียบเคียงในการตัดสินใจบริโภค

ในระดับภูมิภาค คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีความร่วมมือระหว่างลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก็มีกรอบหลักด้านการแบ่งปันข้อมูล (Procedures for Data and Information Exchange and Sharing: PDIES) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกและคู่เจรจาใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการจัดการประเด็นน้ำข้ามพรมแดน ตั้งแต่คุณภาพน้ำจนถึงอุทกภัย–ภัยแล้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมองเห็นปัญหาจากข้อมูลจริงร่วมกัน ขณะที่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy) ก็ย้ำเป้าประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการติดตามคุณภาพน้ำและการมีส่วนร่วมของชุมชนแนวทางเหล่านี้กำลังถูกนำมาผูกโยงกับบริบทลุ่มน้ำกกสายปัจจุบัน

แรงกดดันทางสังคม–การเมืองยิ่งเด่นชัดเมื่อระดับชาติเริ่มหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อสาธารณะรายงานความคืบหน้าจากฝ่ายไทย ทั้งการประชุมติดตามปัญหาและการเตรียมหารือกับฝ่ายเมียนมาในระดับนโยบาย สะท้อนว่าประเด็น “น้ำชายแดน” กำลังถูกยกระดับเป็นวาระทวิภาคีที่ต้องหาข้อยุติบนฐานข้อมูลเดียวกันและมาตรการร่วมที่ตรวจได้–วัดผลได้

3 รอยต่อที่ทำให้ “วิชาการ–นโยบาย–ชุมชน” ขยับไปด้วยกัน

1) คำมั่นร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำ
ทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ร่วมในการปกป้องลำน้ำชายแดนที่ประชาชนสองประเทศพึ่งพา โดยยึดหลักการไม่ทำให้เกิดความเสียหายข้ามพรมแดน (no significant harm) และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม–ยั่งยืน อาศัยกลไกระหว่างประเทศอย่าง MRC สนับสนุนกรอบการร่วมมือเชิงเทคนิค

2) สื่อสาร–แลกข้อมูลถี่ขึ้นจาก “รายไตรมาส” สู่ “รายเดือน/กรณีเร่งด่วน”
ภาพปัญหาช่วงที่ผ่านมาเกิดจาก “ข้อมูลไม่พร้อมใช้” หรือเข้าถึงช้า—ยิ่งในหน้าฝนที่ค่าความชื้นในดินสูง มวลน้ำหลากและมลพิษเคลื่อนตัวเร็ว การหรี่–เร่งมาตรการต้องพึ่งข้อมูลทันการณ์ การหารือจึงตกผลึกว่าจะผลักดัน “ช่องทางสื่อสารทางการ” ระหว่างห้องปฏิบัติการจังหวัด–ศูนย์วิจัยของรัฐ และหน่วยงานกลางให้เชื่อมกันแบบกำหนดเวลาได้ชัดเจนขึ้น (เช่น รายเดือน/กรณีเฝ้าระวังพิเศษรายสัปดาห์)

3) ตั้ง “คณะทำงานวิชาการร่วม” เป็นกลไกกลาง
นี่คือหัวใจที่คาดว่าจะเปลี่ยนเกมจาก “คำรับปาก” เป็น “ผลลัพธ์วัดได้” เพราะคณะทำงานจะมีอำนาจภารกิจในการ

  • ออกแบบแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำร่วม (ตำแหน่ง–ความถี่–พารามิเตอร์ เช่น สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส ตะกอนแขวนลอย)
  • ใช้มาตรฐานวิธีวิเคราะห์เดียวกันและตรวจสอบไขว้ (inter-lab comparison)
  • จัดทำ แดชบอร์ดสาธารณะ เปิดเผยผลตรวจเป็นระยะ ปรับระดับคำเตือนตาม “ประเภทการใช้น้ำ” เพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัยของประชาชนและผู้ประกอบการ
  • ประเมินกิจกรรมเสี่ยงต้นน้ำ (เช่น การทำเหมือง–การชะละลายแร่) แล้วเสนอทางเลือกเทคโนโลยี/มาตรการป้องกัน–ฟื้นฟูตามหลักวิทยาศาสตร์

“ประเด็นคุณภาพน้ำก่อความกังวลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชน…ความร่วมมือไทย–เมียนมามีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่รอบด้าน” — นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือ)

จาก “รายงานปัญหา” สู่ “นโยบายเชิงรุกที่วัดผลได้”

  1. เชื่อมฐานข้อมูลกับกรอบ MRC/PDIES — เมื่อปัญหาเกิดในลำน้ำข้ามพรมแดน การยึด PDIES เป็น “ภาษากลางด้านข้อมูล” จะลดข้อถกเถียงเรื่องแหล่งที่มาและเพิ่มความน่าเชื่อถือของการสื่อสารสาธารณะ ทั้งยังวางรากฐานให้คู่เจรจาอื่นในลุ่มน้ำโขงรับรู้ร่วมกันตามกรอบยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำ (BDS 2021–2030) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาวะของประชาชน
  2. การสื่อสารความเสี่ยงแบบ “ตามประเภทการใช้น้ำ” — บทเรียนจากพื้นที่พบว่า สังคมมักเทียบค่ากับ “มาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ล.” โดยตรง ขณะที่น้ำนอกระบบประปาอาจมีเกณฑ์ชี้นำการใช้งานที่ต่างกัน (เช่น ไม่แนะนำเพื่อดื่ม แต่ใช้เพื่อการเกษตรบางชนิดได้ภายใต้เงื่อนไข) การแยกป้ายเตือน–คำแนะนำเป็น “น้ำเพื่อการดื่ม/บริโภค” กับ “น้ำเพื่อการเกษตร–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” อย่างชัดเจน จะช่วยลดความสับสน และช่วยให้ครัวเรือน/ชุมชนตัดสินใจได้ปลอดภัยขึ้น โดยอ้างอิงค่าที่ คพ.ใช้สื่อสารต่อสาธารณะในห้วงวิกฤตที่ผ่านมา
  3. สร้าง “ระบบเตือนภัยเชิงปฏิบัติการ” ในฤดูฝน — พอเข้าปลายฝนต้นหนาว มวลน้ำหลาก–ตะกอนพุ่งสูง การวัดถี่–ประกาศเตือนเร็วช่วยประคับความเสี่ยงในช่วงวิกฤต การกำหนด “ธงสี” ระดับความเสี่ยงตามพารามิเตอร์สำคัญ (เช่น สารหนู–ตะกั่ว–แบคทีเรีย) บนแดชบอร์ดสาธารณะ ช่วยให้โรงเรียน–โรงพยาบาล–ระบบประปาหมู่บ้านปรับแผนใช้น้ำล่วงหน้าได้
  4. ผสานงาน “ชุมชน–หน่วยงานท้องถิ่น–แล็บกลาง” — ชุมชนอยู่กับน้ำทุกวัน หากมีกลไกสนับสนุนการเก็บตัวอย่างเบื้องต้นและรายงานเหตุผิดปกติ (ปลาเกย ตุ่มพุพอง ฯลฯ) เข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้การตอบสนองเร็วขึ้น สื่อสาธารณะไทยก็เคยรายงานการติดเชื้อ/ความผิดปกติของสัตว์น้ำควบคู่การรอผลตรวจโลหะหนัก ซึ่งชี้ว่าช่องทางสื่อสาร–รับแจ้งเหตุในชุมชนสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์แล็บ
  5. สื่อสาร “ที่มา–ข้อจำกัดของข้อมูล” อย่างซื่อสัตย์ — ผลตรวจคุณภาพน้ำเป็นภาพชั่วขณะ; ค่าอาจเปลี่ยนตามเวลา/สภาพอากาศ การระบุชัดว่า “จุด–วัน–เวลาตรวจ” และ “ช่วงความเชื่อมั่น” จะทำให้ประชาชนเข้าใจภาพรวม ไม่ตื่นตระหนกหรือชะล่าใจเกินไป

เศรษฐกิจท้องถิ่น–สุขภาวะ–ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาคุณภาพน้ำไม่ได้หยุดที่ก๊อกน้ำในบ้าน ประมงพื้นบ้าน–เกษตรน้ำจืด–การท่องเที่ยวทางน้ำในเชียงราย–เชียงใหม่–ชายแดนแม่สาย ต่างผูกพันกับภาพลักษณ์–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาและกรอบ MRC จึงไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “นโยบายเศรษฐกิจฐานราก” และ “นโยบายต่างประเทศเชิงมนุษยธรรม” ที่ต้องเดินคู่กัน

ที่สำคัญ ผลตรวจของ คพ.ในห้วงปี 2567–2568 ไม่ได้ชี้เฉพาะค่าปนเปื้อนในน้ำเท่านั้น แต่ยังชี้ถึง “ตะกอนดินปนเปื้อน” หลายสาขาลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บมลพิษที่อาจถูกพายุ–น้ำหลากพาออกมาได้ซ้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนฟื้นฟูตะกอนอย่างระมัดระวัง ไม่สร้าง “เขื่อนกักมลพิษ” ที่กลายเป็นระเบิดเวลาลงสู่ท้ายน้ำในฤดูฝนครั้งต่อไป

แผนจากวันนี้ถึง 12 เดือนหน้า: ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการที่ “ทำได้เลย”

  1. 90 วันแรก — คณะทำงานวิชาการร่วมจัดทำ protocol เก็บตัวอย่าง–วิเคราะห์–รายงานผลเดียวกัน กำหนดจุดตรวจ “หน้าด่านชายแดน” อย่างน้อย 6 จุด (กก–สาย–รวก) ความถี่รายเดือน/รายสัปดาห์ในฤดูฝน เปิด แดชบอร์ดสาธารณะสองภาษา (ไทย–พม่า) ระบุค่าปัจจุบัน+แนวโน้ม พร้อม ธงสีคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำ
  2. 180 วัน — เปิด “แผนที่เชิงปฏิบัติการ” พื้นที่เสี่ยงต้นน้ำ (เหมือง–บ่อกักเก็บ–แนวทางน้ำหลาก) พร้อม shortlist มาตรการลดผลกระทบทันที (เช่น คันกั้นชั่วคราว–ระบบบำบัดเฉพาะจุด–ปรับโหมดการทำเหมืองช่วงฝน)
  3. 12 เดือน — เผยแพร่ “รายงานสถานะน้ำชายแดนฉบับร่วม” ฉบับแรก ครอบคลุมข้อมูลคุณภาพน้ำ–ตะกอน–ชีวภาพ พร้อมกรณีศึกษา best practice หมู่บ้านเข้มแข็งด้านน้ำ 3–5 แห่งที่ปรับตัวสำเร็จ

น้ำเสียงจากพื้นที่ ความหวัง–ความคาดหวัง

ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–คณะกรรมการลุ่มน้ำ–เครือข่ายภาคประชาชนในเชียงราย–เชียงใหม่ ให้ข้อมูลตรงกันว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการมากที่สุดคือ “ข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันเวลา” เพราะทุกการตัดสินใจมีต้นทุน—ชาวประมงต้องรู้ว่าจะลงอวนวันไหน โรงเรียนต้องรู้ว่าจะปิด–เปิดกิจกรรมทางน้ำหรือไม่ ระบบประปาหมู่บ้านต้องรู้ว่าจะเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบชั่วคราวเมื่อไหร่ ยิ่งมีแดชบอร์ดข้อมูลและคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำที่เข้าใจง่าย ความตื่นตระหนกก็ยิ่งลดลง

ในมุมภาครัฐ ความร่วมมือแบบคณะทำงานวิชาการร่วมถือเป็น “โครงสร้าง” ที่จะพาเรื่องนี้พ้นวงจร “ตั้งโต๊ะแก้เฉพาะหน้า–รอผลตรวจ–เกิดเหตุซ้ำ” ไปสู่ ระบบจัดการความเสี่ยง ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมเศรษฐกิจต้นน้ำได้จริง

จากเนปยีดอถึงริมกก–สาย—ก้าวย่างแรกของความไว้เนื้อเชื่อใจบนฐานข้อมูลเดียวกัน

การพบกันของผู้นำฝ่ายบริหารและหน่วยงานเทคนิคของสองประเทศครั้งนี้ ไม่ได้ปิดปัญหาข้ามพรมแดนในชั่วข้ามคืน แต่คือก้าวแรกที่จำเป็นของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบัน” (institutional trust) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อทั้งสองฝ่าย “ดูข้อมูลชุดเดียวกัน” และ “ยอมรับผลทางวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกัน” แล้วเปลี่ยนเป็นมาตรการที่ประชาชนสัมผัสได้—น้ำสะอาดขึ้น คำเตือนชัดขึ้น ความเสียหายลดลง

ในฤดูฝนที่น้ำหลากเร็วและสารปนเปื้อนเคลื่อนตัวไว “หนึ่งวัน” ที่ประสานงานช้าอาจหมายถึง “หนึ่งชุมชน” ที่ต้องหยุดใช้แหล่งน้ำโดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน “หนึ่งแดชบอร์ด–หนึ่งคณะทำงาน” ที่เดินเครื่องได้จริง อาจหมายถึง “หนึ่งลุ่มน้ำ” ที่กำลังได้โอกาสเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง 

  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เยาวชนไทยในสหรัฐฯ คืนถิ่นสานวัฒนธรรม

โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 สานสายใยวัฒนธรรม สร้างรากเหง้าในหัวใจลูกหลานไทยโพ้นทะเล

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 หรือ Thai American Youth Heritage Program 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2568 โดยมีเยาวชนไทยและผู้ปกครองที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับสู่ประเทศไทย เพื่อทัศนศึกษา ศึกษาวัฒนธรรม และทำกิจกรรมจิตอาสาบนแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ

การเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของโครงการฯ ซึ่งได้รับความสนใจและการต้อนรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ วัดวาอาราม ชุมชน และสถานศึกษา โดยคณะเยาวชนได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญหลากหลาย อาทิ วัดห้วยปลากั้ง วัดพระธาตุผาเงา พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย และโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทยจากหลายมิติ

ต้นกำเนิดโครงการจากวัดไทยในลอสแอนเจลิส สู่การคืนถิ่นแห่งศรัทธา

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความพยายามของชาวไทยในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสืบทอดรากวัฒนธรรมไทยสู่รุ่นลูกหลานที่เกิดในต่างแดน โดยริเริ่ม “โครงการวัฒนธรรมไทยคืนถิ่น” ครั้งแรกในปี พ.ศ.2533 ด้วยการนำนักเรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวัดไทยลอสแอนเจลิส มาเปิดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในประเทศไทย และได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนชาวไทย

จากจุดเล็ก ๆ ในวัดไทยแห่งหนึ่ง โครงการนี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นทุก 2 ปี ด้วยความร่วมมือจากชุมชนไทยในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นโครงการระดับชาติที่มีความสำคัญทั้งในด้านการสืบสานวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตแบบประชาชนสู่ประชาชน

ผู้บริหารโครงการ: แรงใจและความทุ่มเทเพื่อ “รากไทย” ในใจเยาวชน

สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งที่ 14 นี้ คณะโครงการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ได้แก่

  • นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานโครงการ
  • นายชนะ เมี้ยนเจริญ กงสุล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานฝ่ายสหรัฐอเมริกา
  • นายดำฤทธิ์ วิริยะกุล เลขานุการโครงการ

โดยมีเป้าหมายในการให้เยาวชนเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมถึงสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นไทย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนสามารถนำความรู้กลับไปเผยแพร่ต่อในชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา

กิจกรรมบนแผ่นดินแม่สัมผัสรากเหง้า บำเพ็ญประโยชน์ด้วยหัวใจ

หนึ่งในกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของการมาเยือนจังหวัดเชียงราย คือการเข้าเยี่ยมชมวัดห้วยปลากั้งและวัดพระธาตุผาเงา ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาศิลปกรรมล้านนา และแลกเปลี่ยนความรู้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เรียนรู้วิถีชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ชนบท และนำบทเรียนกลับไปถ่ายทอดยังชุมชนของตนในต่างประเทศ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย หรือบ้านของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สร้างความประทับใจให้เยาวชน โดยเฉพาะในแง่ของการนำเสนอความเป็นไทยผ่านมุมมองของศิลปะร่วมสมัย

จากรุ่นสู่รุ่นโครงการแห่งความต่อเนื่อง

ตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ถูกยกระดับเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญระดับชาติหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ.2547 ซึ่งจัดเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในวาระพระชนมพรรษา 6 รอบ และในปี พ.ศ.2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในโอกาสครองราชย์ครบ 60 ปี

แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการจะต้องเว้นช่วงไป แต่ในปี พ.ศ.2566 และปีนี้ (พ.ศ.2568) โครงการได้กลับมาดำเนินการอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่เข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและวิถีชีวิตของเยาวชนยุคใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ผ่านพลังเยาวชน

โครงการนี้มิได้เป็นเพียงแค่การเดินทางมาเยือนบ้านเกิดของบรรพบุรุษเท่านั้น หากแต่เป็นการ “ลงทุนระยะยาว” เพื่อสร้างเครือข่ายคนไทยในต่างแดนที่มีความผูกพันกับประเทศไทย รู้จักรากเหง้าของตน และพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ไทยและอเมริกัน — ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังถือเป็นแนวทางหนึ่งของ “Soft Power” ที่มีผลจริงในระดับปัจเจก ผ่านความผูกพันทางอารมณ์และการมีส่วนร่วมของเยาวชน ซึ่งในระยะยาว จะส่งผลต่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ: www.mfa.go.th
  • คณะกรรมการโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่
  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • ข้อมูลพื้นฐานจาก วัดไทยนครลอสแอนเจลิส
    (เรียบเรียงโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

บีจีเอฟรับจีนเทาหลอกใช้พื้นที่ สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์

บีจีเอฟเมียนมารับเสียรู้จีนเทา แปลงพื้นที่สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเหยื่อกว่า 2,000 รายกลับไทย พร้อมช่วยเหลือชาวอินโดนีเซียอีก 100 คน

เมียนมา, 8 กุมภาพันธ์ 2568  – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นครั้งแรกที่ พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ได้กล่าวยอมรับถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จีนเทา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย

บีจีเอฟรับ ‘เสียรู้’ จีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้พื้นที่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

พันโทหน่ายหม่อง โซ เปิดเผยว่า กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ในช่วงแรกระบุว่า จะใช้พื้นที่ทำ คาสิโนและสถานบันเทิง เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจดีขึ้นและให้ประชาชนมีงานทำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป พบว่ามีปัญหาการดำเนินกิจกรรมของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกองกำลังบีจีเอฟไม่สามารถจัดการได้โดยลำพัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

พันโทหน่ายหม่อง โซ ระบุว่า รายได้ที่ได้รับจากนักลงทุนจีนนั้นถูกนำไปพัฒนา ถนนและสะพาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เมื่อมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามา ฝ่ายบีจีเอฟต้องพยายามแก้ไขร่วมกับทางการเมียนมา รวมถึงได้รับความร่วมมือจากสถานทูตและรัฐบาลไทย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการ ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศแล้วกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่ถูกส่งไปทางประเทศไทย เนื่องจากสะดวกและใกล้กว่าส่งไปยังเมืองย่างกุ้ง

เตรียมส่งตัวเหยื่อต่างชาติอีก 100 คน ส่วนใหญ่อินโดนีเซีย

ล่าสุด บีจีเอฟช่วยเหลือชาวต่างชาติจำนวนกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแผนส่งตัวพวกเขาไปให้ทางการไทยในเร็วๆ นี้ โดยใช้ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เป็นจุดส่งตัว

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยืนยันว่า กองกำลังบีจีเอฟได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด โดยมีการประสานกับฝ่ายรัฐบาลเมียนมา รวมถึงรัฐบาลไทย และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป

บีจีเอฟวอนไทยทบทวนมาตรการตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน

นอกจากนี้ พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณา ทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้า และการจำกัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งเข้าพื้นที่ชายแดนเมียนมา เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พร้อมย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน ชาวกะเหรี่ยงและประชาชนชาวเมียนมามีความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ไทย และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE